ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 81 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 1601 - 1620 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1601 | ขออนุมัติดำเนินโครงการพัฒนาระบบ CCTV และเทคโนโลยีอื่นที่เหมาะสมเพื่อการควบคุมทางศุลกากรรองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) | กค | 30/09/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบหลักการดำเนินโครงการพัฒนาระบบ CCTV และเทคโนโลยีอื่นที่เหมาะสมเพื่อการควบคุมทางศุลกากรรองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) วงเงินลงทุนไม่เกิน ๑,๑๙๙,๒๗๙,๕๔๐ บาท เพื่อกระทรวงการคลังจะได้บรรจุโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน ภายในกรอบวงเงินกู้ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๕๘ (เรื่อง ขออนุมัติโครงการและการกู้เงินสำหรับโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน : มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ ๒) ๑.๒ อนุมัติในหลักการสำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการพัฒนาระบบ CCTV และเทคโนโลยีอื่นที่เหมาะสมเพื่อการควบคุมทางศุลกากรรองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) เมื่อครบกำหนดระยะเวลาการรับประกันตั้งแต่ปีงบประมาณ ๒๕๖๑ เป็นต้นไป โดยให้สำนักงบประมาณและกระทรวงการคลังพิจารณาจัดสรรเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี และ/หรือโอนเงินนอกงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสม ภายในวงเงินไม่เกินปีละ ๑๕๒,๔๒๐,๔๓๐ บาท และให้กรมศุลกากรดำเนินการตามระเบียบกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐที่เห็นควรมีการจำแนกรายละเอียดให้ชัดเจนทั้งในด้านจำนวน คุณลักษณะ คุณสมบัติการใช้งาน และความสามารถของอุปกรณ์ที่ใช้ประกอบการพิจารณา มีการระบุถึงความเชื่อมโยงของระบบตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์ด้วยเครื่องเอกซเรย์ (X-ray Container Inspection System) และระบบควบคุมการเคลื่อนย้ายและติดตามควบคุมการขนส่งสินค้าผ่านแดนและถ่ายลำ (e-Lock, RFID & GPS System) มีแผนการปรับเปลี่ยนรูปแบบการจัดหาโดยดำเนินการในลักษณะการซื้อบริการแบบครบวงจร มีการวางแผนในเรื่องการจัดเก็บข้อมูล การสืบค้นข้อมูล และการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (big data analytic) และกำหนดพื้นที่ในการจัดเก็บ อีกทั้งการดูแลบำรุงรักษาข้อมูลที่มีขนาดใหญ่ มีการประสานความร่วมมือและบูรณาการข้อมูลร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น เชื่อมต่อระบบตรวจป้ายทะเบียนรถยนต์และระบบควบคุมยานพาหนะผ่านแดนกับกรมการขนส่งทางบกและสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง มีการศึกษาความเป็นไปได้ในการใช้งานในระบบหรือพัฒนาต่อยอดจากระบบของหน่วยงานอื่นที่ได้ดำเนินการไว้แล้วเพื่อลดความซ้ำซ้อนในการดำเนินการ มีรายละเอียดสถาปัตยกรรมองค์กร (Enterprise Architecture) ที่แสดงให้เห็นภาพรวมของการดำเนินการและเพื่อประโยชน์ในการขยายระบบในอนาคต ตลอดจนการกำหนดเกณฑ์ราคากลางและคุณลักษณะพื้นฐานของระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิด และการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ที่กำหนดให้โครงการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐ หรือโครงการจัดหาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่ใช้เงินงบประมาณแผ่นดินและมีวงเงินงบประมาณในการจัดหาตั้งแต่ ๑๐๐ ล้านบาทขึ้นไป ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป รวมทั้งให้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องด้วย ๓. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ร่วมกับกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการระบบ CCTV ของท่าอากาศยานทั่วประเทศ ระบบ BIOMETRICS และระบบ CCTV เพื่อการควบคุมทางศุลกากรเข้าด้วยกัน เพื่อให้สามารถเชื่อมต่อข้อมูลกันได้และสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในด้านความมั่นคงได้ด้วย |
|||||||||||||||||||||
1602 | กรอบและงบประมาณของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ 2559 | นร11 | 22/09/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเสนอเพิ่มเติมว่า ยังมีโครงการของรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมจำนวนหนึ่งที่อยู่ระหว่างรอเสนอคณะรัฐมนตรีอนุมัติ ซึ่งมีวงเงินลงทุนประมาณ ๑๒๗,๕๐๑ ล้านบาท ดังนั้น เมื่อคณะรัฐมนตรีอนุมัติโครงการเหล่านั้นแล้ว จะมีผลทำให้กรอบวงเงินเบิกจ่ายลงทุนของรัฐวิสาหกิจ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ มีการปรับเพิ่มขึ้นอีกประมาณ ร้อยละ ๑๖ ซึ่งสูงกว่ากรอบวงเงินเบิกจ่ายลงทุนของรัฐวิสาหกิจ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ๒. รับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๒.๑ รับทราบประมาณการงบทำการประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๙ ที่คาดว่าจะมีกำไรสุทธิประมาณ ๗๕,๐๗๙ ล้านบาท และรับทราบประมาณการแนวโน้มการดำเนินงานช่วงปี ๒๕๖๐-๒๕๖๒ ของรัฐวิสาหกิจที่คาดว่าผลประกอบการจะมีกำไรสุทธิรวม ๒๙๕,๑๘๖ ล้านบาท หรือเฉลี่ยประมาณปีละ ๙๘,๓๙๕ ล้านบาท และการเบิกจ่ายลงทุนรวม ๒,๕๐๙,๗๓๖ ล้านบาท หรือเฉลี่ยประมาณปีละ ๘๓๖,๕๗๙ ล้านบาท ๒.๒ เห็นชอบกรอบและงบประมาณของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๙ วงเงินดำเนินการ จำนวน ๑,๔๘๒,๑๑๒ ล้านบาท และวงเงินเบิกจ่ายลงทุน จำนวน ๕๙๓,๑๖๗ ล้านบาท ประกอบด้วย ๒.๒.๑ กรอบการลงทุนสำหรับงานตามภารกิจปกติและโครงการต่อเนื่องวงเงินดำเนินการ จำนวน ๑,๑๘๒,๑๑๒ ล้านบาท และวงเงินเบิกจ่ายลงทุน จำนวน ๕๓๓,๑๖๗ ล้านบาท ๒.๒.๒ กรอบการลงทุนสำหรับการเพิ่มเติมระหว่างปีวงเงินดำเนินการ จำนวน ๓๐๐,๐๐๐ ล้านบาท และวงเงินเบิกจ่ายลงทุน จำนวน ๖๐,๐๐๐ ล้านบาท สำหรับรองรับโครงการลงทุนที่คณะรัฐมนตรีจะมีมติอนุมัติเพิ่มเติมระหว่างปี และงบลงทุนปกติที่อาจต้องปรับเปลี่ยนเพิ่มเติมตามความจำเป็นระหว่างปี เพื่อให้รัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการได้ทันทีภายในปีงบประมาณ สำหรับโครงการที่ยังไม่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีและการลงทุนที่ใช้เงินงบประมาณตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ เห็นควรให้ดำเนินการได้เมื่อได้รับอนุมัติตามขั้นตอนแล้ว ทั้งนี้ กำหนดเป้าหมายให้รัฐวิสาหกิจเบิกจ่ายลงทุนไม่น้อยกว่าร้อยละ ๙๕ ของกรอบวงเงินอนุมัติเบิกจ่ายลงทุน ๒.๓ เห็นควรมอบหมายคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นผู้พิจารณาอนุมัติการเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมงบลงทุนระหว่างปี ในส่วนของงบลงทุนเพื่อการดำเนินงานปกติ และโครงการต่อเนื่องที่การเปลี่ยนแปลงไม่มีผลกระทบต่อสาระสำคัญและกรอบวงเงินโครงการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้แล้วแทนคณะรัฐมนตรี เพื่อความคล่องตัวในการบริหารจัดการ ๒.๔ เห็นชอบให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติปรับวงเงินลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๙ ที่ใช้แหล่งเงินดำเนินงานจากเงินงบประมาณ ให้สอดคล้องกับผลการจัดสรรงบประมาณตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ และมติคณะรัฐมนตรีที่อนุมัติการลงทุนเพิ่มเติมระหว่างปีของรัฐวิสาหกิจ ๒.๕ เห็นควรให้รัฐวิสาหกิจรายงานความก้าวหน้าของการดำเนินงาน และการเบิกจ่ายลงทุนในปีงบประมาณ ๒๕๕๙ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติทราบภายในทุกวันที่ ๕ ของเดือนอย่างเคร่งครัด และให้กระทรวงเจ้าสังกัดรับข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ระดับกระทรวงและระดับองค์กร ไปพิจารณาดำเนินการ รวมทั้งให้รายงานผลการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะและความก้าวหน้าการดำเนินโครงการลงทุนทุกไตรมาส ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ในการติดตามประเมินผลการดำเนินงานและการลงทุนของรัฐวิสาหกิจได้อย่างต่อเนื่อง ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการพิจารณากรอบและงบประมาณลงทุนของรัฐวิสาหกิจ ควรคำนึงถึงความสามารถในการเบิกจ่ายลงทุนในอดีต ความพร้อม และประสิทธิภาพของรัฐวิสาหกิจประกอบด้วย ส่วนโครงการตามแผนการลงทุนของรัฐวิสาหกิจที่มีความพร้อมในการดำเนินการและยังไม่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี เห็นควรให้กระทรวงเจ้าสังกัดและรัฐวิสาหกิจเร่งนำเสนอโครงการดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรีโดยเร็ว และให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ รัฐมนตรีเจ้าสังกัดที่กำกับดูแล และคณะกรรมการของแต่ละรัฐวิสาหกิจให้ความสำคัญในการติดตามผลการปฏิบัติงานและการใช้จ่ายงบประมาณอย่างต่อเนื่อง สำหรับกรณีมอบหมายให้คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นผู้พิจารณาอนุมัติการเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมงบลงทุนระหว่างปี รวมทั้งให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติปรับวงเงินลงทุนของรัฐวิสาหกิจ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ควรมีการรายงานผลการดำเนินงานให้คณะรัฐมนตรีทราบในโอกาสแรก ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
1603 | โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ปีการผลิต 2558/59 | พณ | 22/09/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ปีการผลิต ๒๕๕๘/๕๙ โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการค้าข้าวที่เข้าร่วมโครงการเก็บสต็อกในรูปข้าวเปลือกและข้าวสารจากเดิมตรวจนับเฉพาะข้าวเปลือก เพื่อดูดซับผลผลิต เป้าหมายเก็บสต็อก ๓ ล้านบาท เป็นระยะเวลา ๒-๖ เดือน ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. ส่วนงบประมาณดำเนินการ จำนวน ๓๘๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวที่เข้าร่วมโครงการฯ ในอัตราร้อยละ ๓ จำนวน ๓๘๒,๕๐๐,๐๐๐ บาท และค่าใช้จ่ายในการกำกับดูแลและประเมินโครงการของคณะอนุกรรมการระดับจังหวัดและกรมการค้าภายใน ในพื้นที่ที่เข้าร่วมโครงการฯ จำนวน ๒,๕๐๐,๐๐๐ บาท ให้กระทรวงพาณิชย์ใช้จ่ายจากงบประมาณคงเหลือของโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อกเพิ่มขึ้น ที่กรมการค้าภายในเบิกจ่ายแทนสำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ และได้เสนอขอขยายระยะเวลาเพื่อกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีกรณีไม่มีหนี้ผูกพันแล้ว จำนวน ๓๑๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยหักภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นตามโครงการ ปีการผลิต ๒๕๕๗/๕๘ ในโอกาสแรกก่อน สำหรับส่วนที่เหลือหากไม่เพียงพอหรือมีความจำเป็นต้องใช้จ่ายงบประมาณเพิ่มเติม ก็ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์จัดทำรายละเอียดและแผนการใช้จ่ายเงินงบกลางเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์พิจารณาทบทวนเป้าหมายของโครงการให้เหมาะสมกับสถานการณ์และติดตามประเมินผลการดำเนินโครงการอย่างต่อเนื่องเพื่อรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ ๆ ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ เกี่ยวกับการดำเนินโครงการฯ ควรมีกลไกการป้องกันมิให้เกิดการกักตุนสต็อกและบิดเบือนกลไกตลาด ซึ่งจะทำให้ผิดวัตถุประสงค์ในการดำเนินโครงการฯ และควรพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการให้มีความเหมาะสม และสร้างแรงจูงใจให้ผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการฯ รวมทั้งมีแนวทางในการติดตามประเมินผลโครงการฯ อย่างต่อเนื่อง เพื่อพัฒนาให้โครงการฯ มีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ ระยะเวลาการรับซื้อผลผลิตของโครงการฯ ควรจะสิ้นสุดตามระยะเวลาที่ผลิตผลข้าวนาปีออกสู่ท้องตลาด คือ ประมาณสิ้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๙ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
1604 | ขออนุมัติดำเนินโครงการพัฒนาศูนย์การขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟที่ท่าเรือแหลมฉบังของการท่าเรือแห่งประเทศไทย | คค | 22/09/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้กระทรวงคมนาคม (การท่าเรือแห่งประเทศไทย) ดำเนินโครงการพัฒนาศูนย์การขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟที่ท่าเรือแหลมฉบัง โดยการท่าเรือแห่งประเทศไทยเป็นผู้ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและเครื่องมือยกขนหลักทั้งหมด รวมถึงการบริหารและการประกอบการ โดยใช้งบประมาณลงทุนของการท่าเรือแห่งประเทศไทย วงเงินรวม ๒,๙๔๔.๙๓ ล้านบาท ๒. ให้กระทรวงคมนาคม (การท่าเรือแห่งประเทศไทย) รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เกี่ยวข้องกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๓๔ (เรื่อง การกำหนดอัตราค่าภาระขั้นสูงและขั้นต่ำของท่าเรือพาณิชย์แหลมฉบัง) โดยการกำหนดอัตราค่าภาระการใช้ท่าเรือ การท่าเรือแห่งประเทศไทยควรพิจารณากำหนดส่วนแบ่งจากอัตราค่าภาระสำหรับการจ้างเอกชนให้มีความเหมาะสม โดยภาครัฐไม่เสียประโยชน์ และควรกำกับ ดูแล ให้การลงทุนเป็นไปตามที่ได้รับอนุมัติไว้อย่างเคร่งครัด และเร่งรัดให้มีการใช้จ่ายรายจ่ายลงทุนที่สอดคล้องกับการดำเนินงานของรัฐบาล เพื่อให้การดำเนินโครงการเป็นไปอย่างต่อเนื่อง เรียบร้อย และเสร็จภายในเวลาที่กำหนด รวมทั้งให้กระทรวงคมนาคมกำกับดูแลและกำชับให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยจัดทำสัญญาจ้างเหมาบริการกับเอกชน โดยที่ทั้งภาครัฐและเอกชนได้รับประโยชน์ร่วมกันอย่างคุ้มค่าและเป็นธรรม รวมถึงพิจารณากำหนดอัตราค่าจ้างเหมาให้มีความเหมาะสม โดยไม่ให้เกิดเป็นต้นทุนค่าใช้จ่ายที่เป็นภาระแก่รัฐวิสาหกิจ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
1605 | รายงานการศึกษาความเหมาะสมของโครงการให้เอกชนลงทุนก่อสร้างและบริหารจัดการระบบกำจัดขยะมูลฝอยขององค์การบริหารส่วนจังหวัดนนทบุรี | กค | 22/09/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอเพิ่มเติมว่า เนื่องจากโครงการให้เอกชนลงทุนก่อสร้างและบริหารจัดการระบบกำจัดขยะมูลฝอยขององค์การบริหารส่วนจังหวัดนนทบุรีเป็นการดำเนินโครงการใหม่ ตามนัยของพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ จึงเห็นควรให้กระทรวงมหาดไทย (องค์การบริหารส่วนจังหวัดนนทบุรี) ดำเนินการตามมาตรา ๘ ของพระราชบัญญัติฯ โดยเสนอผลการศึกษาและวิเคราะห์โครงการให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาก่อน หากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเห็นด้วยกับโครงการ ให้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบในหลักการของโครงการต่อไป ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย (องค์การบริหารส่วนจังหวัดนนทบุรี) รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ เกี่ยวกับการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม การปรับเพิ่มรายได้และค่าใช้จ่ายในแต่ละปีให้สอดคล้องกับอัตราเงินเฟ้อ รวมทั้งผนวกรวมสิทธิประโยชน์จากการส่งเสริมการลงทุนตามนโยบายของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ซึ่งจะช่วยให้ผลตอบแทนสุทธิของโครงการสูงขึ้นและสอดคล้องกับความเป็นจริง การพิจารณาประเด็นด้านเทคนิครวมถึงเตรียมบุคลากรที่เชี่ยวชาญเพื่อสร้างความมั่นใจในการเดินระบบให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้ การพิจารณาความเสี่ยงหรือปัญหาที่อาจเกิดขึ้นภายหลังจากการบริหารจัดการ ได้แก่ ผลกระทบจากการขนส่งขยะเข้ามาในพื้นที่โครงการ การก่อเหตุรำคาญ ทั้งด้าน เสียง กลิ่น ฝุ่น ความสั่นสะเทือน ผลกระทบด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม ปัญหาไดออกซิน ฯลฯ การเร่งประสานกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยและการไฟฟ้านครหลวงในการยื่นคำร้องและข้อเสนอการขายไฟฟ้าเพื่อดำเนินการตามขั้นตอนการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก การจัดทำแผนการลดปริมาณและการคัดแยกขยะมูลฝอยจากแหล่งกำเนิดควบคู่ไปด้วย (Preventive Method) การพิจารณาใช้หลักการผู้ก่อมลพิษเป็นผู้รับภาระค่าใช้จ่าย (Polluter Pays Principle) เพื่อลดปริมาณขยะมูลฝอยและภาระค่าใช้จ่ายในการกำจัด และเป็นการแก้ไขปัญหาขยะมูลฝอยอย่างยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการ รวมทั้งให้ดำเนินโครงการด้วยความโปร่งใส มีประสิทธิภาพ และปฏิบัติตามข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยไม่ก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างประชาชนในพื้นที่ ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
1606 | การบริหารโครงการลงทุนภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 | กค | 22/09/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้กรมชลประทานขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี ขอโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณที่เหลือจ่าย หรือแหล่งเงินนอกงบประมาณอื่น ๆ ของกรมชลประทาน ในการดำเนินโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ที่ยังไม่แล้วเสร็จ จำนวน ๓ รายการ วงเงิน ๒๕,๖๐๕,๘๒๕.๔๔ ล้านบาท ทั้งนี้ ให้กรมชลประทานดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย ๑.๑.๑ งานก่อสร้างประตูระบายน้ำคลองพระพิมล จังหวัดนนทบุรี วงเงินที่ขอขยายระยะเวลาการเบิกจ่าย ๑๙,๐๓๑,๐๐๐ บาท ๑.๑.๒ งานก่อสร้างสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้าพร้อมระบบส่งน้ำบ้านเลิงบัวน้อย จังหวัดมหาสารคาม วงเงินที่ขอขยายระยะเวลาการเบิกจ่าย ๒,๙๒๕,๒๐๐ บาท ๑.๑.๓ งานก่อสร้างระบบส่งน้ำและอาคารประกอบ โครงการระบบส่งน้ำเขื่อนทดน้ำโกกโก่ จังหวัดตาก วงเงินที่ขอขยายระยะเวลาการเบิกจ่าย ๓,๖๔๙,๖๒๕.๔๔ บาท ๑.๒ อนุมัติการจัดสรรเงินสำรองจ่ายเพื่อเป็นเงินชดเชยค่างานสิ่งก่อสร้างตามสัญญาแบบปรับราคาได้ (ค่า K) และจ่ายคืนเงินค่าปรับให้แก่ผู้ประกอบการก่อสร้าง จำนวน ๔ รายการ วงเงิน ๑๔,๙๓๒,๐๒๒.๓๒ บาท ประกอบด้วย ๑.๒.๑ อาคารพักแพทย์ ๑๐ ครอบครัว โรงพยาบาลตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ งวดที่ ๑-๕ (สุดท้าย) วงเงิน ๒๕๕,๓๒๗ บาท ของสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ๑.๒.๒ อาคารศูนย์ศึกษาวิจัยถ่ายทอดความรู้ด้านระบบประสาท งวดที่ ๑๖-๒๔ วงเงิน ๒,๑๕๑,๔๕๐ บาท (เงินนอกงบประมาณสมทบตามสัดส่วนแหล่งเงิน ๑,๐๓๑,๖๔๐.๖๔ บาท) ของกรมการแพทย์ ๑.๒.๓ อาคารหอพักนักศึกษา วิทยาเขตตรัง งวดที่ ๑-๒๓ วงเงิน ๔,๕๑๙,๒๒๙.๙๓ บาท ของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ๑.๒.๔ อาคารที่ทำการศาลจังหวัดปัตตานี ขนาด ๑๔ บัลลังก์ ๑ หลัง พร้อมสิ่งก่อสร้างประกอบ งวดที่ ๑-๑๘ วงเงิน ๘,๐๐๖,๐๒๐.๓๙ บาท ของสำนักงานศาลยุติธรรม ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรพิจารณาตรวจสอบและเร่งรัดการดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็วและรายงานผลการดำเนินการให้คณะรัฐมนตรีทราบในโอกาสแรก ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
1607 | ขอความเห็นชอบการดำเนินโครงการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล | ทก | 22/09/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารโอนเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ จากโครงการจัดการเรียนการสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์พกพา โครงการพัฒนาระบบโครงข่ายไร้สาย (Wi-Fi Network) เพื่อสนับสนุนการจัดการเรียนการสอนโดยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์พกพา (One Tablet Per Child) ที่ได้รับความเห็นชอบให้ชะลอการดำเนินการไว้ และได้เสนอกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว ไปดำเนินโครงการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล ทั้งนี้ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารนำเสนอรายละเอียดแผนงาน/โครงการและงบประมาณในการดำเนินการภายใต้โครงการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการก่อนดำเนินโครงการต่อไป และขอทำความตกลงโอนเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ กับสำนักงบประมาณ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๔๑ (เรื่อง หลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการกันเงินงบประมาณไว้เบิกเหลื่อมปี และการขยายเวลาเบิกจ่ายเงิน) รวมทั้งขอขยายเวลาเบิกจ่ายเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปีดังกล่าวกับกระทรวงการคลังตามระเบียบการเบิกจ่ายเงินจากคลัง การเก็บรักษาเงินและการนำเงินส่งคลัง พ.ศ. ๒๕๕๑ ด้วย ๒. ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรับความเห็นของคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐเกี่ยวกับการเร่งรัดจัดทำรายละเอียดแผนงาน/โครงการ และการใช้งบประมาณโดยเร็ว ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
1608 | ขออนุมัติโครงการจัดมหกรรมเรือสำราญและมารีน่า | คค | 15/09/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติโครงการจัดมหกรรมเรือสำราญและมารีน่าเพื่อสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางมารีน่าของอาเซียน (Thailand : Marina Hub of ASEAN) ในกรอบวงเงิน จำนวน ๑๕ ล้านบาท โดยใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ๑.๒ เห็นชอบให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการจัดมหกรรมเรือสำราญและมารีน่า และคณะอนุกรรมการสาขาต่าง ๆ เพื่อดำเนินการตามหน้าที่ที่กำหนด ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สำนักงบประมาณ และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) ที่เห็นควรมีการประชาสัมพันธ์การจัดงานอย่างต่อเนื่อง และให้ประชาชน/ชุมชนในพื้นที่ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดงาน ส่วนการจ้างให้เอกชนผู้รับจัดงาน (Organizer) งานโฆษณาและงานประชาสัมพันธ์ ที่มีวงเงินจัดจ้างเกินกว่า ๕ ล้านบาทขึ้นไป จะต้องรายงานให้ คตร. ทราบก่อนดำเนินการจัดจ้าง และให้ คตร. รวบรวมเสนอคณะรัฐมนตรี สำหรับงบประมาณการดำเนินโครงการจัดมหกรรมเรือสำราญและมารีน่า ควรสนับสนุนตามที่ใช้จ่ายจริง โดยใช้งบประมาณจากเงินรายได้จากการจัดงานและงบประมาณการสนับสนุนจากภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องเป็นหลัก ทั้งนี้ การดำเนินการทุกขั้นตอนการปฏิบัติ จะต้องโปร่งใส และตรวจสอบได้ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||
1609 | ผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ ครั้งที่ 2/2558 | กค | 15/09/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ ครั้งที่ ๒/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๘ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศเสนอ โดยที่ประชุมมีมติและข้อเสนอแนะ ดังนี้
๑. มาตรการเร่งรัดการดำเนินโครงการในกลุ่มโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจและโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่อยู่ระหว่างดำเนินการ สำหรับโครงการตามแผนบริหารจัดการทรัพยากรน้ำที่ใช้เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีและงบกลางปี พ.ศ. ๒๕๕๘ และงบประมาณรายจ่ายประจำปี ๒๕๕๙ เห็นควรเร่งรัดการเบิกจ่ายเงินงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว สำหรับโครงการที่เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี ๒๕๕๙ ให้เร่งดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างตามมาตรการเร่งรัดของกรมบัญชีกลาง โครงการเงินกู้ตามแผนบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนน เห็นควรเร่งรัด (๑) โครงการที่ลงนามในสัญญาแล้วให้เร่งรัดการเบิกจ่ายเงินกู้ให้เป็นไปตามแผนงาน และขอความร่วมมือผู้รับจ้างให้เบิกเงินล่วงหน้า (Advance Payment) ร้อยละ ๑๕ ตามวงเงินสัญญา โดยกำหนดเป้าหมายการเบิกจ่ายภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๘ ไม่น้อยกว่า ๓๐,๐๐๐ ล้านบาท (๒) โครงการที่ยังไม่ลงนามในสัญญา ให้เร่งรัดการลงนามในสัญญาให้แล้วเสร็จภายในวันที่๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๘ (๓) โครงการที่อยู่ระหว่างรอสำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรที่มีผลประกวดราคาแล้ว เห็นควรให้สำนักงบประมาณจัดสรรให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๘ และ (๔) โครงการที่ยังไม่มีผลประกวดราคา เห็นควรให้เร่งรัดดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างและลงนามในสัญญาเมื่อได้รับการจัดสรรจากสำนักงบประมาณ ๒. มาตรการเร่งรัดการดำเนินโครงการในกลุ่มโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่มีความพร้อมเริ่มประกวดราคาได้ในปี ๒๕๕๘ เห็นควรเร่งรัดขั้นตอนการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จตามกรอบระยะเวลาที่ตั้งไว้ รวมทั้งเร่งรัดและติดตามให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการตามกระบวนการประกวดราคาให้แล้วเสร็จตามแผนงานที่กำหนดไว้ ๓. มาตรการเร่งรัดการดำเนินโครงการในกลุ่มโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่มีความพร้อมเริ่มประกวดราคาได้ในปี ๒๕๕๙-๒๕๖๐ สำหรับกลุ่มโครงการที่อยู่ระหว่างนำเสนอคณะรัฐมนตรี เห็นควรเร่งรัดให้กระทรวงคมนาคมนำเสนอโครงการที่มีความพร้อมให้ดำเนินโครงการเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติภายในไตรมาสที่ ๓ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๘ กลุ่มโครงการที่ยังไม่ได้อนุมัติ EIA เห็นควรเร่งรัดกระบวนการอนุมัติ EIA โดยกำหนดให้เป็นโครงการ “Fast Track” กลุ่มโครงการรถไฟขนาดทางมาตรฐาน (ไทย-ญี่ปุ่น/ช่วง กรุงเทพฯ-หัวหิน/กรุงเทพฯ-ระยอง) เห็นควรให้รัฐรับภาระเฉพาะค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน การให้สิทธิ์การใช้ราง (Right of Way) และให้เอกชนร่วมลงทุนค่าใช้จ่ายอื่นทั้งหมดในรูปแบบ PPP Net Cost และกำหนดค่าโดยสารเอง รวมทั้งต้องมีการกำหนดระยะเวลาการร่วมลงทุนที่ชัดเจนด้วย และโครงการร่วมพัฒนารถไฟความเร็วปานกลาง (ไทย-จีน) จึงต้องให้ความสำคัญกับการพิจารณาด้านต้นทุนโครงการให้เหมาะสม จึงควรกำหนดมาตรการเพื่อเร่งรัดขั้นตอนการดำเนินการในรูปแบบ EPC ให้มีความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบต้นทุนของโครงการได้ ในการนี้ การรถไฟแห่งประเทศไทยควรต้องจ้างที่ปรึกษาเพื่อตรวจสอบและประเมินค่าใช้จ่ายของโครงการในส่วนที่ฝ่ายจีนเป็นผู้ออกแบบรายละเอียดและกำหนดต้นทุนของโครงการให้ชัดเจน ๔. การส่งเสริมการลงทุนควรเร่งรัดให้ผู้ประกอบการที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนแล้วให้มีการลงทุนจริงโดยเร็ว โดยลดระยะเวลาการถือบัตรส่งเสริมให้สั้นลง ๕. การจัดตั้งกองทุนร่วมลงทุนในกิจการ SMEs เพื่อแก้ไขปัญหาข้อจำกัดของทุนจดทะเบียน เห็นควรให้มีการแปลงสินทรัพย์ถาวรเป็นทุนจดทะเบียนก่อนทำการร่วมทุน และสำหรับการแปลงสินทรัพย์ที่ไม่มีตัวตนเห็นควรให้มีการเปิดกว้างเอาไว้ โดยระบุเรื่องดังกล่าวเอาไว้ในสัญญาร่วมลงทุนและหากจะนำสินทรัพย์ที่ไม่มีตัวตนมาใช้ขอเพิ่มเงินร่วมลงทุนจากกองทุนฯ ในภายหลัง จำเป็นต้องได้รับการประเมินมูลค่าตามวิธีมาตรฐานและแปลงเป็นทุนจดทะเบียนให้เสร็จเรียบร้อยก่อน ๖. มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมไปหารือกับสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินงานที่เหมาะสมของมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางตามมาตรการใหม่ และนำเสนอคณะรัฐมนตรีภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘
|
|||||||||||||||||||||
1610 | รายงานการพิจารณาศึกษา ติดตาม และตรวจสอบการปฏิบัติงานของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) | สว | 08/09/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานการพิจารณาศึกษา ติดตาม และตรวจสอบการปฏิบัติงานของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ประกอบด้วยข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการวิสามัญด้านการใช้จ่ายงบประมาณและติดตามการดำเนินโครงการของ กสทช. รวมทั้งข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการวิสามัญด้านการติดตามการบังคับใช้กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานของ กสทช. ๒. มอบหมายให้สำนักงาน กสทช. รับข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ ตามรายงานดังกล่าว ไปพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อสังเกตและข้อเสนอแนะฯ ดังกล่าว แล้วสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
1611 | มาตรการการเงินการคลังเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในระยะเร่งด่วน | กค | 08/09/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบหลักเกณฑ์และเงื่อนไขโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนให้แก่ผู้ประกอบกิจการ SMEs โดยธนาคารออมสินให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำแก่ธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจที่เข้าร่วมโครงการฯ และธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบกิจการ SMEs เฉพาะการปล่อยสินเชื่อใหม่ โดยมีเงื่อนไขไม่ให้ Refinance หนี้เดิม วงเงินโครงการรวม ๑๐๐,๐๐๐ ล้านบาท และอนุมัติงบประมาณในการดำเนินโครงการเป็นวงเงินรวมไม่เกิน ๒๐,๐๒๐ ล้านบาท ๑.๒ ทบทวนหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการค้ำประกันสินเชื่อโครงการค้ำประกันสินเชื่อ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ ๕ (PGS-5) เดิมที่เคยได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๕๘ และอนุมัติหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการค้ำประกันสินเชื่อโครงการ PGS-5 โดยมีวงเงินค้ำประกัน ๑๐๐,๐๐๐ ล้านบาท อายุการค้ำประกันไม่เกิน ๗ ปี และอนุมัติงบประมาณการชดเชยความเสียหาย จำนวน ๑๔,๒๕๐ ล้านบาท ๑.๓ เห็นชอบการลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับผู้ประกอบการ SMEs ที่มีกำไรสุทธิตั้งแต่ ๓๐๐,๐๐๑ บาทขึ้นไป จากเดิมร้อยละ ๑๕ และ ๒๐ ของกำไรสุทธิ เป็นร้อยละ ๑๐ ของกำไรสุทธิ เป็นเวลา ๒ รอบระยะเวลาบัญชีต่อเนื่องกัน สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๘ จนถึงรอบระยะเวลาบัญชีวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๙ ๑.๔ เห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการรายใหม่ (New Start-up) โดยยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับผู้ประกอบการ SMEs ในอุตสาหกรรมเป้าหมายหลักที่มีศักยภาพขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่จดทะเบียนพาณิชย์ระหว่างวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๘ ถึง ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๙ เป็นเวลา ๕ รอบระยะเวลาบัญชีต่อเนื่องกัน ๑.๕ มอบหมายให้กรมสรรพากรดำเนินการยกร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อให้มาตรการ ตามข้อ ๑.๓ และ ๑.๔ มีผลบังคับใช้โดยเร็วต่อไป ๒. ในส่วนของงบประมาณที่ใช้ในการดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยงบประมาณที่ใช้ในการดำเนินโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนให้แก่ผู้ประกอบกิจการ SMEs จำนวน ๒๐,๐๒๐ ล้านบาท ให้ธนาคารออมสินเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ และปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงในแต่ละปีตามความจำเป็นและเหมาะสม สำหรับงบประมาณที่ใช้ในการดำเนินโครงการ PGS-5 ให้ บสย. ขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ และปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงตามความจำเป็นและเหมาะสม โดยขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณ ส่วนการชดเชยค่าประกันชดเชยรายปี ให้ บสย. ใช้เงินรายได้จากค่าธรรมเนียมค้ำประกันสินเชื่อของโครงการก่อน หากไม่เพียงพอจึงขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการกำหนดกลุ่มธุรกิจเป้าหมายที่สมควรได้รับการสนับสนุนให้เข้าร่วมโครงการ PGS-5 ให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล เพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการ SMEs ที่มีศักยภาพให้มีความเข้มแข็ง มีความสามารถในการแข่งขัน และเติบโตได้อย่างยั่งยืน รวมทั้งการเข้าถึงโครงการ PGS-5 อย่างทั่วถึงของผู้ประกอบการรายย่อย ตลอดจนการกำหนดอุตสาหกรรมและบริการเป้าหมาย เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการพิจารณาธุรกิจที่จะร่วมลงทุนและเป็นประโยชน์ต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
1612 | แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2559 | กค | 01/09/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๙ ซึ่งประกอบด้วย ๓ แผนย่อย วงเงินรวม ๑,๕๙๑,๖๖๔.๖๓ ล้านบาท ได้แก่ แผนการก่อหนี้ใหม่ วงเงิน ๕๖๓,๙๒๖.๘๘ ล้านบาท แผนการปรับโครงสร้างหนี้ วงเงิน ๙๐๔,๖๒๓.๒๑ ล้านบาท และแผนการบริหารความเสี่ยง วงเงิน ๑๒๓,๑๑๔.๕๔ ล้านบาท และรับทราบแผนการบริหารหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่ต้องขออนุมัติภายใต้กรอบแผนฯ วงเงิน ๑๐๔,๘๒๓.๙๘ ล้านบาท และแผนการบริหารหนี้ของหน่วยงานอื่นของรัฐที่ไม่ต้องขออนุมัติภายใต้กรอบแผนฯ วงเงิน ๓๑,๖๘๑.๖๐ ล้านบาท ๑.๒ อนุมัติการกู้เงินของรัฐบาลเพื่อการก่อหนี้ใหม่ การกู้มาและการนำไปให้กู้ต่อ การกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ และการค้ำประกันเงินกู้ให้กับรัฐวิสาหกิจ ตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมทั้งขออนุมัติการกู้เงินของรัฐวิสาหกิจเพื่อดำเนินโครงการลงทุน และการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ภายใต้กรอบวงเงินของแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๙ ๑.๓ อนุมัติให้กระทรวงการคลังกู้เงินตราต่างประเทศสำหรับโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองของกรมทางหลวง จำนวน ๒ สายทาง ได้แก่ สายบางปะอิน-สระบุรี-นครราชสีมา และสายบางใหญ่-กาญจนบุรี ในวงเงิน ๒๑,๗๓๖ ล้านบาท และถ้าภาวะตลาดการเงินในประเทศเอื้ออำนวยและจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาระบบการเงิน การคลัง และตลาดทุน ให้กระทรวงการคลังสามารถกู้เป็นเงินบาทแทนการกู้ต่างประเทศได้ตามนัยมาตรา ๒๒ และมาตรา ๒๓ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ๑.๔ อนุมัติให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไขและรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงิน การค้ำประกันและการบริหารความเสี่ยงในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๙ ทั้งนี้ หากรัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการกู้เงินได้เอง ก็ให้สามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ ๑.๕ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมอบหมาย เป็นผู้ลงนามผูกพันการกู้เงินและหรือการค้ำประกันเงินกู้และเอกสารที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะรายงานผลการดำเนินการตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะดังกล่าวตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๙ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นสมควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินโครงการที่กำหนดไว้ในแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ตั้งแต่ปีงบประมาณ เพื่อให้การเบิกจ่ายเงินกู้เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ และหากมีการปรับเปลี่ยนแผนการบริหารหนี้สาธารณะระหว่างปี ให้พิจารณาโครงการที่มีความพร้อมสามารถดำเนินการได้จริง และนำผลการเบิกจ่ายเงินที่ผ่านมาประกอบการปรับแผนฯ เพื่อไม่ให้วงเงินกู้มีจำนวนมากเกินความจำเป็น รวมทั้งในการจัดทำแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปี ควรยึดตามกรอบแนวทางแผนเงินกู้ ๓ ปี ซึ่งจัดทำขึ้นเพื่อเป็นกรอบวางแผนการบริหารหนี้สาธารณะของประเทศ และเป็นแนวทางในการพิจารณาและจัดลำดับความสำคัญของโครงการที่จะขอใช้เงินกู้ตามแผนในแต่ละปีงบประมาณอย่างเคร่งครัด และกำชับให้หน่วยงานที่มีความจำเป็นต้องการก่อหนี้ใหม่หรือปรับโครงสร้างหนี้ พิจารณาการกำหนดกรอบวงเงินอย่างรอบคอบ เพื่อให้การดำเนินการโครงการและแผนงานภาครัฐ และการวางแผนบริหารหนี้สาธารณะของประเทศเป็นไปอย่างประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ในการเสนอปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๙ ครั้งต่อไป มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ร่วมกับกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนการบริหารหนี้สาธารณะ เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการดำเนินโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสังเกตให้มีการร่วมลงทุนจากภาคเอกชนเพื่อเป็นการลดภาระหนี้ของภาครัฐในระยะยาว เช่น โครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางใหญ่-กาญจนบุรี และโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน-สระบุรี นครราชสีมา ของกรมทางหลวง เป็นต้น รวมทั้งพิจารณาทบทวนการจัดทำประมาณการหนี้สาธารณะและสัดส่วนหนี้สาธารณะคงค้างต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ในระยะ ๕ ปีข้างหน้า ให้สอดคล้องกับแนวทางดังกล่าวข้างต้น เพื่อให้คณะรัฐมนตรีได้รับทราบแนวโน้มของหนี้ในอนาคต |
|||||||||||||||||||||
1613 | มาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ของประชาชนผู้มีรายได้น้อยและมาตรการกระตุ้นการลงทุนขนาดเล็กของรัฐบาลทั่วประเทศ | กค | 01/09/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบหลักเกณฑ์และเงื่อนไขมาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ในระดับหมู่บ้าน และอนุมัติงบประมาณในการดำเนินโครงการ เป็นวงเงินรวมไม่เกิน ๒,๔๗๘ ล้านบาท ทั้งนี้ ให้เบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ และปีต่อ ๆ ไป ตามประมาณการค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในแต่ละปี โดยให้ธนาคารออมสินและธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ทำความตกลงกับสำนักงบประมาณในรายละเอียดต่อไป ๑.๒ เห็นชอบมาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ระดับตำบล และอนุมัติงบประมาณในการดำเนินมาตรการ เป็นวงเงินรวมไม่เกิน ๓๖,๒๗๕ ล้านบาท ทั้งนี้ ให้เบิกจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ และ/หรือ ๒๕๕๙ และมอบหมายให้ ๑.๒.๑ กระทรวงมหาดไทยเป็นผู้รับผิดชอบมาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ระดับตำบล โดยให้กระทรวงมหาดไทยกำหนดระเบียบ หลักเกณฑ์ และเงื่อนไขโครงการต่าง ๆ เสนอให้คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบภายในเวลา ๒ สัปดาห์ หลังจากวันที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบมาตรการ ทั้งนี้ ให้เปิดเผยข้อมูลโครงการต่อประชาชนและรายงานการประเมินโครงการเสนอต่อคณะรัฐมนตรีภายในเดือนมกราคม ๒๕๕๙ ๑.๒.๒ ให้สำนักงบประมาณเป็นผู้จัดหางบประมาณ พร้อมทั้งติดตามการเบิกจ่ายงบประมาณตามแผนงานการปฏิบัติงานและเบิกจ่ายงบประมาณ และเสนอรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบความคืบหน้าทุกเดือน ๑.๓ เห็นชอบมาตรการส่งเสริมการลงทุนขนาดเล็กของรัฐบาลทั่วประเทศ และอนุมัติงบประมาณในการดำเนินมาตรการเป็นวงเงินรวมไม่เกิน ๔๐,๐๐๐ ล้านบาท ทั้งนี้ ให้เบิกจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ และงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ โดยให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณ พร้อมทั้งจัดทำระบบการตรวจสอบ ติดตามและรายงานผลการเบิกจ่ายให้คณะรัฐมนตรีทราบทุกเดือน รวมทั้งรายงานผลสำเร็จของโครงการต่อคณะรัฐมนตรีภายในเดือนมกราคม ๒๕๕๙ ๑.๔ ให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๘ (เรื่อง แนวทางการเสนอเรื่องงบประมาณต่อคณะรัฐมนตรี) สำหรับการดำเนินการเกี่ยวกับงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ในข้อ ๑.๒ และข้อ ๑.๓ เนื่องจากมีความจำเป็นเร่งด่วนในการดำเนินมาตรการเพื่อช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจโดยเร็ว ทั้งนี้ การดำเนินมาตรการดังกล่าว สำหรับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ให้นำแนวทางปฏิบัติเพื่อเร่งรัดการจัดหาพัสดุก่อนพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ มีผลใช้บังคับ ตามหนังสือคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุที่ กค (กวพ) ๐๔๒๑.๓/ว๒๕๕ ลงวันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๕๘ (เรื่อง แจ้งรายชื่อผู้ทิ้งงาน) มาใช้ประกอบการจัดทำโครงการตามมาตรการดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เพิ่มศักยภาพการหารายได้ของลูกหนี้ในระยะยาว เพื่อป้องกันปัญหาการขาดศักยภาพในการชำระหนี้ในอนาคต และป้องกันปัญหาการชะลอตัวของเศรษฐกิจภายหลังสิ้นสุดมาตรการ รวมทั้งควรมีความเข้มงวดในการพิจารณา ติดตาม และประเมินผลการดำเนินโครงการให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนด และไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนกับโครงการที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณไปแล้ว ไปพิจารณาต่อไปด้วย ๓. เห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเสนอขอแก้ไขข้อความในหนังสือกระทรวงการคลัง ด่วนที่สุด ที่ กค ๑๐๐๙/๑๘๓๙๓ ลงวันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๘ หน้า ๓ ข้อ ๓.๑.๒ (๒.๒) จากเดิม “ให้หมู่บ้านหรือชุมชนจัดทำโครงการตามข้อ (๒.๑) เสนอต่อคณะกรรมการตำบลรวบรวมและรับรองโครงการเสนอต่อนายอำเภอ เพื่อเสนอขออนุมัติต่อคณะกรรมการระดับจังหวัด...” เป็น “ให้คณะกรรมการหมู่บ้าน (กม.) หรือกรรมการชุมชนจัดทำโครงการ ตามข้อ (๒.๑) เสนอต่อคณะกรรมการระดับอำเภอรวบรวมเสนอต่อคณะกรรมการระดับจังหวัดเพื่อพิจารณาอนุมัติ...” ๔. ในส่วนของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองที่อยู่ในขั้นตอนของการเพิ่มทุน จำนวน ๑๘,๕๖๖ กองทุน นั้น ให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) กระทรวงมหาดไทยและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาหารือร่วมกันว่า กฎ ระเบียบ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน มีกลไกในการคัดกรองและติดตามให้สามารถดำเนินการได้ตามวัตถุประสงค์ มีความคุ้มค่า และโปร่งใสหรือไม่ โดยหากยังไม่สามารถดำเนินการได้ตามกฎ ระเบียบ ที่มีอยู่ปัจจุบัน ก็ให้เสนอมาตรการทางกฎหมายเพื่อให้ดำเนินการได้ต่อไป ๕. ในส่วนของมาตรการกระตุ้นการลงทุนขนาดเล็กของรัฐบาลทั่วประเทศ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินโครงการที่เป็นการส่งเสริมกิจการของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และการดำเนินโครงการด้วยวิธีการจัดซื้อ จัดจ้าง เพื่อก่อให้เกิดการจ้างงานในพื้นที่ |
|||||||||||||||||||||
1614 | การเพิ่มความคล่องตัวในการจัดหาพัสดุของส่วนราชการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 | กค | 01/09/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบแนวทางปฏิบัติเพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการจัดหาพัสดุของส่วนราชการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดวงเงินในการจัดหาพัสดุตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม จากเดิมเป็นดังนี้ ๑.๑.๑ การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีตกลงราคา ได้แก่ การซื้อหรือการจ้างครั้งหนึ่งซึ่งมีราคาไม่เกิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท ๑.๑.๒ การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีสอบราคา ได้แก่ การซื้อหรือการจ้างครั้งหนึ่งซึ่งมีราคาเกิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท แต่ไม่เกิน ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท ๑.๑.๓ การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีประกวดราคา ได้แก่ การซื้อหรือการจ้างครั้งหนึ่ง ซึ่งมีราคาเกิน ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท ๑.๑.๔ การซื้อโดยวิธีพิเศษ ได้แก่ การซื้อครั้งหนึ่งซึ่งมีราคาเกิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท ให้กระทำได้เฉพาะกรณีหนึ่งกรณีใดตามที่กำหนดในระเบียบฯ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ข้อ ๒๓ ๑.๑.๕ การจ้างโดยวิธีพิเศษ ได้แก่ การจ้างครั้งหนึ่งซึ่งมีราคาเกิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท ให้กระทำได้เฉพาะกรณีหนึ่งกรณีใดตามที่กำหนดในระเบียบฯ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ข้อ ๒๔ ๑.๒ การจัดหาพัสดุครั้งหนึ่งซึ่งมีราคาเกิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท แต่ไม่เกิน ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งเดิมกำหนดให้ส่วนราชการต้องดำเนินการจัดหาพัสดุด้วยวิธีตลาดอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Market : e-market) และด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Bidding : e-bidding) ให้ส่วนราชการดังกล่าวดำเนินการจัดหาพัสดุด้วยวิธีประกวดราคาตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม สำหรับการจัดหาพัสดุครั้งหนึ่งซึ่งมีราคาเกิน ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท ให้ส่วนราชการดำเนินการจัดหาพัสดุด้วยวิธีตลาดอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Market : e-market) หรือด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Bidding : e-bidding) แล้วแต่กรณี ๑.๓ แนวทางการปฏิบัติในข้อ ๑.๑ และ ๑.๒ ให้เริ่มถือปฏิบัติตั้งแต่วันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๕๘ ถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๙ สำหรับกระบวนการจัดหาพัสดุที่ได้ดำเนินการก่อนวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๕๘ และยังไม่แล้วเสร็จ ให้ถือปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และวิธีการเดิมต่อไป ๒. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานชี้แจงเพิ่มเติมว่า ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐสามารถดำเนินโครงการลงทุนที่มีงบประมาณตั้งแต่ ๕๐,๐๐๐,๐๐๐ บาทขึ้นไป ได้ตามขั้นตอนปกติ เนื่องจากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ เมษายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การรายงานรายการรายจ่ายลงทุนที่มีงบประมาณตั้งแต่ ๕๐,๐๐๐,๐๐๐ บาทขึ้นไป ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘) กำหนดให้คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลเพื่อติดตามการดำเนินโครงการเท่านั้น ไม่ใช่เป็นการตรวจสอบก่อนอนุมัติหรือเห็นชอบให้ดำเนินโครงการแต่อย่างใด
|
|||||||||||||||||||||
1615 | แนวทางปฏิบัติต่าง ๆ เกี่ยวกับคณะรัฐมนตรี | นร05 | 25/08/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบแนวทางปฏิบัติต่าง ๆ เกี่ยวกับคณะรัฐมนตรี ตามที่เลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การผลัดเวรเฝ้าฯ ของรัฐมนตรีในพระราชพิธี รัฐพิธี และพิธีสำคัญในโอกาสต่าง ๆ ๑.๒ การยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของรัฐมนตรี ๑.๓ การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง ๑.๔ หลักการเกี่ยวกับการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี (๑) หลักการทั่วไปในการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี (๒) หลักการในการเสนอขออนุมัติงบประมาณต่อคณะรัฐมนตรี และการขออนุมัติงบประมาณหรือเงินกู้ของรัฐวิสาหกิจ และ (๓) หลักการเสนอเรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ๑.๕ การแต่งตั้งคณะกรรมการตามมติคณะรัฐมนตรีที่สำคัญ ๒. เห็นชอบให้ส่วนราชการดำเนินการและถือปฏิบัติเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติต่าง ๆ เกี่ยวกับคณะรัฐมนตรีตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีอย่างเคร่งครัดต่อไป ดังนี้ ๒.๑ หลักในการปฏิบัติ ๒.๑.๑ ยึดหลักความโปร่งใส ความมีประสิทธิภาพ ความรวดเร็วทันต่อเวลา การรักษาความลับ และสร้างผลงานที่เป็นรูปธรรม โดยเน้นการบูรณาการระหว่างหน่วยงาน คำนึงถึงประชาชนเป็นศูนย์กลาง และให้ความสำคัญต่อประโยชน์ต่อประเทศชาติ ๒.๑.๒ เป้าหมายการทำงาน คือ สร้างรากฐานในการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน สร้างความมีเสถียรภาพทางการเมืองและความมั่นคง และสร้างความเข้มแข็งให้แก่ภาคประชาชน ๒.๑.๓ ร่วมกันสร้างความเข้าใจและความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างประชาชนกับรัฐบาล โดยให้รัฐมนตรีชี้แจงในเรื่องต่าง ๆ ที่ประชาชนสงสัยหรือไม่เข้าใจเกี่ยวกับการบริหารงานของรัฐบาล และชี้แจงความคืบหน้าในการดำเนินการ รวมทั้งเผยแพร่ผลงานในความรับผิดชอบให้ประชาชนได้รับทราบอย่างต่อเนื่องด้วย ๒.๑.๔ เรื่องใดถึงแม้อยู่ในอำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรี แต่หากจะมีแนวโน้มที่จะมีผลกระทบโดยรวมต่อนายกรัฐมนตรี รัฐบาล หรือประเทศชาติ ให้หารือนายกรัฐมนตรีหรือนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาก่อนดำเนินการ เพื่อลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ๒.๒ สิ่งที่ต้องดำเนินการ ๒.๒.๑ ในการดำเนินโครงการต่าง ๆ ที่จะดำเนินการในช่วงปี ๒๕๕๘-๒๕๕๙ ให้จัดทำแผนที่ชัดเจนว่าในทุก ๆ ระยะ ๓ เดือนจะมีผลสัมฤทธิ์อย่างไร ๒.๒.๒ ให้มีการสื่อสารกับต่างประเทศในโอกาสต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องว่าการดำเนินการของรัฐบาลเป็นไปตาม Roadmap ที่กำหนดไว้ ๒.๒.๓ ให้นำตัวอย่างเรื่องที่ต่างประเทศดำเนินการประสบความสำเร็จมาศึกษา และประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับภารกิจของหน่วยงาน เช่น การพัฒนาระบบการศึกษาของประเทศเกาหลีใต้ สิงคโปร์ และฟินแลนด์ ๒.๒.๔ ในการจัดซื้อจัดจ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดซื้อจัดจ้างโดยวิธีพิเศษ ให้ดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๒.๒.๕ เรื่องเร่งด่วนที่ต้องเร่งรัดการดำเนินการ เช่น การแก้ไขปัญหาให้แก่ประชาชนผู้มีรายได้น้อย การส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน การเร่งรัดการลงทุนทั้งในส่วนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เช่น รถไฟฟ้า ถนน โดยเน้นการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ และการส่งเสริมการลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยปรับปรุงการให้สิทธิประโยชน์แก่ผู้ลงทุนให้มากขึ้น ๒.๒.๖ ในการแต่งตั้งข้าราชการการเมืองเพื่อช่วยงานให้พิจารณาแต่งตั้งผู้ที่มีความเหมาะสมและระมัดระวังไม่ให้มีการใช้อำนาจเกินกว่าที่ได้รับมอบหมาย รวมทั้งกรณีที่อาจจะมีการแอบอ้างคำสั่งนายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีในการดำเนินการต่าง ๆ ที่ไม่เหมาะสมด้วย ๒.๒.๗ เพื่อให้รัฐมนตรีในคณะรัฐมนตรีชุดนี้ปฏิบัติงานในตำแหน่งได้อย่างเต็มที่ จึงขอให้รัฐมนตรีที่ยังดำรงตำแหน่งข้าราชการประจำและจะเกษียณอายุราชการในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๘ นี้ แต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนในตำแหน่งของฝ่ายข้าราชการประจำเพื่อปฏิบัติหน้าที่แทน ส่วนรัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่งข้าราชการประจำแต่ยังไม่เกษียณอายุราชการในปีนี้ ขอให้พิจารณาการลาออกจากตำแหน่งภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๘ ต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||
1616 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 25/08/2558 | ||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) รับไปดำเนินการ ดังนี้ ๑.๑ พิจารณาร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อกำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำโดยเฉพาะข้าว ยางพารา พร้อมทั้งพิจารณาแนวทางการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาดังกล่าวโดยเฉพาะชาวสวนยาง รวมทั้งเร่งรัดการจัดตั้งเมืองยางพารา (Rubber City) ในพื้นที่เศรษฐกิจตามยุทธศาสตร์ของรัฐบาลให้เกิดขึ้นเป็นรูปธรรมภายในปี ๒๕๕๘ ด้วย ๑.๒ พิจารณาร่วมกับกระทรวงพลังงาน กระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อทบทวนและกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาการดำเนินโครงการต่าง ๆ ที่ยังไม่สามารถดำเนินการได้ เช่น โครงการโรงไฟฟ้าถ่านหิน การทำเหมืองแร่ลิกไนต์ การใช้พื้นที่เพื่อการจัดการขยะตามนโยบายรัฐบาล การดำเนินโครงการด้านพลังงาน ซึ่งยังมีกลุ่มผู้คัดค้านการดำเนินโครงการดังกล่าว โดยอาจจะพิจารณาปรับเปลี่ยนแนวทางการดำเนินโครงการให้เกิดความเหมาะสมและสามารถดำเนินการต่อไปได้ ๑.๓ กำกับให้กระทรวงพาณิชย์กำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหากรณีที่ราคาสินค้าอุปโภคและบริโภคภายในประเทศมีราคาสูงในขณะที่ราคาน้ำมันลดลงแล้ว พร้อมทั้งพิจารณาความเป็นไปได้ในการกำหนดราคากลางของสินค้าอุปโภคและบริโภคให้สอดคล้องกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศโดยเฉพาะระดับราคาน้ำมัน เพื่อป้องกันมิให้ผู้ประกอบการเอารัดเอาเปรียบผู้บริโภค ๑.๔ กำกับให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบโครงการต่าง ๆ ที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติให้ดำเนินการแล้ว แต่ยังไม่ได้ดำเนินการ เช่น การให้สิทธิประโยชน์แก่นักลงทุน การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน การสนับสนุนเศรษฐกิจชุมชน เร่งดำเนินการตามแผนงานโครงการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ๒. ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีและกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารติดตามผลการพิจารณาคดีพิพาทที่หน่วยงานของรัฐเป็นผู้ฟ้องคดีและผู้ถูกฟ้องคดี เช่น คดีพิพาทระหว่างสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี กับบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) คดีพิพาทระหว่างกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กับบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และคดีพิพาทระหว่างผู้ประกอบการทีวีดิจิทัล กับคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) โดยให้รายงานให้นายกรัฐมนตรีทราบด้วย ๓. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๓.๑ ให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง) เร่งรัดการปรับปรุงด่านตรวจคนเข้าเมืองให้มีอุปกรณ์ที่พร้อมใช้งานและมีความทันสมัย โดยสามารถเชื่อมโยงกับด่านตรวจคนเข้าเมืองของต่างประเทศได้ รวมทั้งมีแผนการซ่อมและบำรุงรักษาอุปกรณ์อย่างต่อเนื่องด้วย ๓.๒ ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๔ สิงหาคม ๒๕๕๘) ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบมาตรการและโครงการสำคัญต่าง ๆ เร่งดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ซึ่งรวมถึงเรื่องการจัดตั้ง single gateway ที่ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นผู้รับผิดชอบ โดยให้รายงานความคืบหน้าการดำเนินการให้นายกรัฐมนตรีทราบภายในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๘ นั้น ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเร่งรัดการดำเนินการเรื่องดังกล่าวและรายงานความคืบหน้าให้นายกรัฐมนตรีทราบภายในเดือนกันยายน ๒๕๕๘ ต่อไปด้วย ๓.๓ ให้กระทรวงแรงงานสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับความแตกต่างของสิทธิประโยชน์และจำนวนเงินสมทบของผู้ประกันตนตามมาตรา ๓๙ และมาตรา ๔๐ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ และที่แก้ไขเพิ่มเติมด้วย เพื่อให้ผู้ประกันตนทราบและเข้าใจอย่างถูกต้อง ๓.๔ สืบเนื่องจากผลสำเร็จของการจัดกิจกรรมจักรยานเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๘๓ พรรษา เมื่อวันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๕๘ นั้น ให้หน่วยงานร่วมกันรณรงค์การปั่นจักรยานเพื่อสุขภาพ รวมทั้งพิจารณาจัดกิจกรรมปั่นจักรยานในทุกโอกาสต่าง ๆ ตามความเหมาะสมต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
1617 | ผลการดำเนินงานของกรมการบินพลเรือนในปีงบประมาณ 2558 | คค | 25/08/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่กระทรวงคมนาคมรายงานว่า ปีงบประมาณ ๒๕๕๘ กรมการบินพลเรือนได้ดำเนินงานตามยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของไทยโดยเร่งดำเนินการปรับปรุงและพัฒนาท่าอากาศยานที่อยู่ในความรับผิดชอบ ได้แก่ ท่าอากาศยานในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ๙ แห่ง เช่น ปรับปรุงท่าอากาศยานอุดรธานีในส่วนของอาคารที่พักผู้โดยสารให้สามารถรองรับผู้โดยสารได้มากขึ้น และแผนพัฒนาการก่อสร้างต่อเติมลานจอดเครื่องบินเพื่อให้สามารถรองรับเครื่องบินขนาด Boeing 737 ได้เพิ่มขึ้น ท่าอากาศยานในภาคใต้ ๙ แห่ง และอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างใหม่อีก ๑ แห่ง คือ ท่าอากาศยานเบตง เพื่อแก้ปัญหาเส้นทางการคมนาคมทางบกไปยังอำเภอเบตง และท่าอากาศยานในภาคเหนือ ๑๐ แห่ง มีการดำเนินการปรับปรุงขยายท่าอากาศยาน จำนวน ๓ แห่ง คือ ท่าอากาศยานลำปาง ท่าอากาศยานน่านนคร และท่าอากาศยานแม่สอด ๒. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) และกระทรวงคมนาคมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑ กำกับดูแลและเร่งรัดการดำเนินการเรื่องดังต่อไปนี้ให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน ๒๕๕๙ ได้แก่ (๑) การแก้ไขปัญหามาตรฐานความปลอดภัยด้านการบินของประเทศไทยให้เป็นไปตามมาตรฐานขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) (๒) การแก้ไขปัญหาการขาดทุนของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และ (๓) การดำเนินโครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะที่ ๒ ๒.๒ จัดทำแผนการพัฒนาปรับปรุงท่าอากาศยานจังหวัดต่าง ๆ ที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจ โดยร่วมกับกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณจัดทำรายละเอียดต่าง ๆ เช่น ระยะเวลาการดำเนินการ จำนวนและแหล่งที่มาของงบประมาณ ให้มีความชัดเจนครบถ้วน โดยให้พิจารณาความเป็นไปได้ในการให้เอกชนเข้าร่วมทุน (PPP) ด้วย รวมทั้งเร่งรัดการขยายอาคารผู้โดยสาร อาคาร ๒ และอาคารจอดรถของท่าอากาศยานดอนเมือง ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ๒.๓ ในการดำเนินโครงการก่อสร้างท่าอากาศยานเบตง จังหวัดยะลา ให้กระทรวงคมนาคม (กรมการบินพลเรือน) คำนึงถึงมิติด้านความมั่นคงเป็นสำคัญ รวมทั้งให้พิจารณาความเหมาะสมในการขยายทางวิ่งขึ้นลงอากาศยาน (Runway) ของท่าอากาศยานนราธิวาสให้มีระยะทางยาวขึ้นเพื่อรองรับการขึ้นลงของอากาศยานขนาดใหญ่ ในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินที่ต้องมีการส่งความช่วยเหลือหรือขนย้ายประชาชนหรือสิ่งของด้วย ๓. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ติดตามการดำเนินการเชื่อมโยงโครงข่ายการคมนาคมทางรถไฟไปยังท่าอากาศยานอู่ตะเภาเพื่อรองรับการเปิดให้บริการเป็นท่าอากาศยานพาณิชย์ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
1618 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 18/08/2558 | ||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๔ กรกฎาคม ๒๕๕๘) ให้ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการกำหนดนโยบายและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำชี้แจงให้สาธารณชนได้รับทราบข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำ พร้อมทั้งแนวทางเตรียมการเพื่อป้องกันสถานการณ์น้ำขาดแคลน โดยให้ขอความร่วมมือจากประชาชนทุกภาคส่วนทั้งชุมชนเมืองและภาคเกษตรกรรมในการประหยัดการใช้น้ำในช่วงเวลานี้และสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำในระยะต่อไป เพื่อให้สามารถเตรียมการรองรับได้อย่างเหมาะสม นั้น เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับฤดูกาลผลิตที่กำลังจะมาถึง ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้ ๑.๑ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามสถานการณ์น้ำอย่างต่อเนื่อง หากมีความจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงปริมาณการปล่อยน้ำจากเขื่อนสำหรับการทำการเกษตรอย่างมีนัยสำคัญให้ดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนที่กฎหมายและมติคณะรัฐมนตรีกำหนด และแจ้งให้เกษตรกรทราบล่วงหน้าแต่เนิ่น ๆ ด้วย ๑.๒ ให้กระทรวงมหาดไทยเร่งดำเนินการขุดลอกและกำจัดวัชพืชในคูคลองให้แล้วเสร็จ โดยให้ใช้จ่ายจากงบประมาณที่ได้รับจัดสรรแล้วเป็นอันดับแรก ๑.๓ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงมหาดไทยร่วมกันศึกษาการดำเนินการของกลุ่มเกษตรกรที่มีวิธีการช่วยเหลือตนเองในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในช่วงที่เกิดปัญหาภัยแล้ง เช่น การขุดสระเก็บกักน้ำ การสร้างถังเก็บกักน้ำ การปลูกข้าวแบบน้ำไหลผ่าน การปลูกพืชหมุนเวียนเพื่อนำเทคนิคหรือวิธีการดังกล่าวไปเผยแพร่ให้เกษตรกรในพื้นที่อื่น ๆ นำไปใช้ต่อไป ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานต่าง ๆ ที่ได้ดำเนินโครงการที่มีลักษณะเป็นการฝึกอบรมให้ความรู้แก่เกษตรกรในเรื่องต่าง ๆ ติดตามและประเมินผลว่า เกษตรกรผู้เข้ารับการอบรมได้นำความรู้ที่ได้รับไปใช้ประโยชน์ได้หรือไม่ อย่างไร เพื่อนำไปปรับปรุงการดำเนินโครงการในครั้งต่อไปให้มีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับวิถีการทำการเกษตรของเกษตรกรในแต่ละพื้นที่ด้วย
|
|||||||||||||||||||||
1619 | ข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา 31 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย [โครงการส่งเสริมการติดตั้งโซลาร์รูฟอย่างเสรี (ระบบผลิตไฟฟ้าด้วยแสงอาทิตย์ สำหรับบ้านและอาคาร)] | พน | 11/08/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้
๑. การดำเนินงานของกระทรวงพลังงานตามข้อเสนอโครงการส่งเสริมการติดตั้งโซลาร์รูฟเสรี (ระบบผลิตไฟฟ้าด้วยแสงอาทิตย์สำหรับบ้านและอาคาร) โดยที่ประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานครั้งที่ ๔/๒๕๕๘ (ครั้งที่ ๔) เมื่อวันที่ ๗ พฤษภาคม ๒๕๕๘ มีมติ (๑) เห็นชอบหลักการการดำเนินโครงการส่งเสริมการติดตั้งโซลาร์รูฟอย่างเสรี โดยเน้นให้เป็นการผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้เองในบ้านและอาคารเป็นหลัก (๒) มอบหมายให้กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานรับไปดำเนินโครงการส่งเสริมการติดตั้งโซลาร์รูฟอย่างเสรี และ (๓) เห็นควรให้การผลิตไฟฟ้าจากพลังแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน (Solar Farm) ขนาดไม่เกิน ๑,๐๐๐ kWp สามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องขอรับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน (ร.ง. ๔) ตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ เพื่อส่งเสริมให้มีการผลิตไฟฟ้าจากพลังแสงอาทิตย์ได้อย่างเสรียิ่งขึ้น ๒. การสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ประชาชนเกี่ยวกับการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ตามโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Cell) กระทรวงพลังงาน โดยสำนักงานนโยบายและแผนพลังงานได้ดำเนินโครงการประชาสัมพันธ์นโยบายส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ เพื่อเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับนโยบายส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ไปสู่ประชาชนกลุ่มเป้าหมายทั้งส่วนกลางและท้องถิ่น รูปแบบการประชาสัมพันธ์โครงการ ประกอบด้วย การลงพื้นที่เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่กลุ่มเป้าหมายในชุมชนในพื้นที่ที่มีศักยภาพในการดำเนินโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ๑๒ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดนครปฐม ปราจีนบุรี นครราชสีมา ลพบุรี พระนครศรีอยุธยา อุดรธานี ร้อยเอ็ด อุบลราชธานี ลำปาง ลำพูน เพชรบูรณ์ และนครสวรรค์ รวมถึงการเผยแพร่ข้อมูลและการประชาสัมพันธ์โครงการในรูปแบบสื่อ สิ่งพิมพ์ บทความเชิงวิชาการ และการโฆษณาผ่านช่องทางต่าง ๆ มีระยะเวลาดำเนินโครงการ ๑๒ เดือน ซึ่งเริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ๒๕๕๗
|
|||||||||||||||||||||
1620 | ขอทบทวนแหล่งเงินลงทุนสำหรับโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน | กค | 11/08/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติแหล่งเงินลงทุนสำหรับโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน ประกอบด้วย เงินยืมจากกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ (กองทุนฯ) ของสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ วงเงิน ๑๔,๓๐๐ ล้านบาท และเงินกู้เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ในกรอบวงเงินไม่เกิน ๖๕,๗๐๐ ล้านบาท และถ้าภาวะตลาดการเงินในประเทศเอื้ออำนวยและจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาระบบการเงิน การคลัง และตลาดทุน ให้กระทรวงการคลังสามารถกู้เงินบาทแทนการกู้เงินตราต่างประเทศได้ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อรองรับการเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ สำหรับใช้ในการดำเนินโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. สำหรับแนวทางการชำระคืนเงินยืมกองทุนฯ ให้กระทรวงการคลังซึ่งเป็นผู้ยืมเงินจากกองทุนฯ เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐-พ.ศ. ๒๕๖๓ เพื่อนำไปชำระคืนเงินยืมกองทุนฯ ตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ กรณีการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเงินกองทุนและสำนักงาน กสทช. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนด้วย |
.....