ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 83 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 1641 - 1660 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1641 | โครงการปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลางและกรุงเทพมหานคร เพื่อเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้า และโครงการปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าบริเวณภาคเหนือตอนบน เพื่อเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้า | พน | 14/07/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ดำเนินโครงการปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลาง และกรุงเทพมหานคร เพื่อเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้าของ กฟผ. วงเงินลงทุนรวม ๙๔,๐๔๐ ล้านบาท และขออนุมัติการเบิกจ่ายงบประมาณลงทุนประจำปี ๒๕๕๘ สำหรับโครงการดังกล่าว จำนวน ๕.๓ ล้านบาท ๑.๒ เห็นชอบให้ กฟผ. ดำเนินโครงการปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าบริเวณภาคเหนือตอนบน เพื่อเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้าของ กฟผ. วงเงินลงทุนรวม ๑๒,๒๔๐ ล้านบาท ๒. ให้กระทรวงพลังงาน โดย กฟผ. รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ประธานกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ และคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน เกี่ยวกับการจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น (IEE) การพิจารณากำหนดและปฏิบัติตามมาตรการป้องกัน แก้ไข และลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม และติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ควรคำนึงถึงสภาพพื้นที่จริงในปัจจุบันประกอบด้วย และในการดำเนินโครงการอื่น ๆ ในอนาคตควรพิจารณาหลีกเลี่ยงดำเนินการในพื้นที่ที่จะเป็นการบุกรุกพื้นที่ป่า C พื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม หรือพื้นที่ที่มีความสำคัญทางทรัพยากรธรรมชาติ และควรศึกษาทางเลือกอื่นเพิ่มเติมเพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดต่อสภาพแวดล้อม ระบบนิเวศ และทรัพยากรธรรมชาติที่อาจไม่สามารถกลับสู่สภาพเดิมหรือทดแทนได้ โดยคำนึงถึงประโยชน์ของชุมชนและประชาชนผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเป็นสำคัญ รวมทั้งควรบริหารและควบคุมการดำเนินงานให้มีต้นทุนที่ประหยัดมากที่สุด โดยคำนึงถึงการรักษาคุณภาพและมาตรฐานของอุปกรณ์ระบบไฟฟ้าต่าง ๆ ให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล นอกจากนี้ ควรดำเนินการสร้างความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ที่แนวสายส่งพาดผ่านตั้งแต่เริ่มต้นโครงการ และควรบริหารจัดการการดำเนินโครงการให้เป็นไปตามเป้าหมายและบริหารต้นทุนการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพ เพื่อมิให้กระทบต่อภาระค่าไฟฟ้าที่จะเรียกเก็บจากประชาชนมากเกินความจำเป็น เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||
1642 | การดำเนินโครงการจัดทำเครื่องมือประเมินผลกระทบทางกฎหมาย กฎ และระเบียบ | ยธ | 07/07/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) มีข้อสังเกตว่า โดยที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้มีส่วนร่วมในการดำเนินโครงการจัดทำเครื่องมือประเมินผลกระทบทางกฎหมาย กฎ และระเบียบ ด้วย ควรเพิ่มผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาในคณะทำงานตามโครงการดังกล่าวด้วย ๒. รับทราบความคืบหน้าโครงการจัดทำเครื่องมือประเมินผลกระทบทางกฎหมาย กฎ และระเบียบ เรื่อง ANSSR : Developing Regulatory Impact Assessment (RIA) Guidelines as an Anti-Corruption Tool ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๒.๑ กระทรวงยุติธรรมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้จัดทำแผนงานเพื่อกำหนดกิจกรรมที่ต้องดำเนินการร่วมกัน ประกอบด้วยกิจกรรมหลัก จำนวน ๓ กิจกรรม ได้แก่ (๑) การจัดทำแนวทางการประเมินผลกระทบทางกฎหมาย (RIA Guidelines) (๒) การประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและปรับปรุงแนวทางการประเมินผลกระทบทางกฎหมาย (RIA Guidelines) และ (๓) การเผยแพร่แนวทางการประเมินผลกระทบทางกฎหมาย (RIA Guidelines) พร้อมกับจัดฝึกอบรมเพื่อสร้างวิทยากรฝึกอบรมด้านการประเมินผลกระทบทางกฎหมายเพื่อให้หน่วยงานต่าง ๆ สามารถพัฒนาบุคลากรของตนเองได้ ๒.๒ กระทรวงยุติธรรมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจะจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการระหว่างประเทศ (Workshop on Thailand RIA Guidelines Development) ในวันที่ ๘-๙ กรกฎาคม ๒๕๕๘ เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับประโยชน์ที่ประเทศไทยจะได้รับจากการพัฒนากระบวนการวิเคราะห์ผลกระทบในการออกกฎหมาย อันเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูปประเทศ และยกร่างเอกสารเรื่อง Regulatory Impact Assessment (RIA) in Thailand เพื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้นสำหรับการจัดประชุมดังกล่าว และได้ประสานงานเพื่อเชิญผู้เชี่ยวชาญจากองค์กรระหว่างประเทศ ได้แก่ องค์การเอเปค องค์กรความร่วมมือและพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) สำนักเลขาธิการอาเซียน และธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) รวมทั้งประเทศที่ประสบความสำเร็จในการดำเนินการนำเครื่องมือการประเมินผลกระทบทางกฎหมายมาใช้ ได้แก่ ออสเตรเลีย อังกฤษ สหรัฐอเมริกา เม็กซิโก และมาเลเซีย มาเป็นวิทยากร พร้อมกับเชิญผู้แทนประเทศในกลุ่มเอเปค อาทิ ชิลี มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ จีน เวียดนาม รัสเซีย เม็กซิโก เปรู เข้าร่วมการประชุมด้วย ๓. มอบหมายให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐ สนับสนุนการดำเนินงานของกระทรวงยุติธรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตามโครงการดังกล่าว |
|||||||||||||||||||||
1643 | รายงานสถานการณ์หนี้สินภาคครัวเรือนและมาตรการในการลดภาระหนี้สินภาคครัวเรือนและหนี้นอกระบบ | กค | 07/07/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์หนี้สินภาคครัวเรือนและมาตรการในการลดภาระหนี้สินภาคครัวเรือนและหนี้นอกระบบ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สถานการณ์หนี้สินภาคครัวเรือน ณ ไตรมาสที่ ๔ ของปี ๒๕๕๗ สัดส่วนหนี้สินภาคครัวเรือนต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (Gross Domestic Product : GDP) ขยายตัวอย่างรวดเร็วในช่วง ๗ ปีที่ผ่านมา โดยพิจารณาจากเงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือนขยายตัวสูงกว่าการขยายตัวของ GDP มาโดยตลอด ทำให้หนี้สินภาคครัวเรือนเพิ่มขึ้นจากร้อยละ ๕๔.๖ ของ GDP ในไตรมาสที่ ๔ ของปี ๒๕๕๐ เป็นร้อยละ ๘๕.๙ ของ GDP ในไตรมาสที่ ๔ ของปี ๒๕๕๗ ทั้งนี้ หากพิจารณาหนี้สินภาคครัวเรือนตามวัตถุประสงค์ของสินเชื่อ ส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย รองลงมาคือ สินเชื่อรถยนต์ สินเชื่อบัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคล ๒. ผลกระทบของหนี้สินภาคครัวเรือน สถานการณ์หนี้สินภาคครัวเรือนในปัจจุบันยังอยู่ในระดับที่ไม่น่าเป็นกังวลนัก เนื่องจากหนี้สินภาคครัวเรือนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอตัวลง ประกอบกับสถาบันการเงินต่าง ๆ เพิ่มความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น จึงเป็นข้อจำกัดในการขอสินเชื่อเพื่อนำมาใช้อุปโภคบริโภคในระยะต่อไป ๓. มาตรการแก้ไขปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือนและหนี้นอกระบบ กระทรวงการคลังได้ดำเนินมาตรการแก้ไขปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือนและหนี้นอกระบบ โดยการส่งเสริมการเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกร และการดำเนินโครงการแก้ไขปัญหาหนี้สินของเกษตรกรรายย่อยผ่านระบบธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรภายใต้ ๓ โครงการย่อย ได้แก่ โครงการปลดเปลื้องหนี้สิน โครงการปรับโครงสร้างหนี้สิน และโครงการขยายเวลาการชำระหนี้สิน ตลอดจนการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบอย่างบูรณาการการให้ความคุ้มครองผู้ที่เป็นลูกหนี้ และการให้ความรู้ความเข้าใจทางการเงิน (Financial Literacy) นอกจากนี้ ได้มีมาตรการแก้ไขปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือนด้านอื่น ๆ โดยกระทรวงการคลังได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำร่างแผนพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชน พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๑ ซึ่งเป็นการกำหนดแนวทางการพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชนอย่างบูรณาการเพื่อเพิ่มโอกาสการเข้าถึงและเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการทางการเงินแก่ประชาชน ตลอดจนวางโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินภาคประชาชนที่เหมาะสม ๔. คาดการณ์สัดส่วนหนี้สินภาคครัวเรือนต่อ GDP กระทรวงการคลังได้คาดการณ์ว่าสัดส่วนหนี้สินภาคครัวเรือนต่อ GDP ในไตรมาสที่ ๑ ของปี ๒๕๕๘ จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เป็นร้อยละ ๘๐.๑ แต่ยังคงใกล้เคียงกับสัดส่วนหนี้สินภาคครัวเรือนต่อ GDP ในไตรมาสที่ ๔ ของปี ๒๕๕๗ ซึ่งอยู่ที่อยู่ระดับร้อยละ ๗๙.๓
|
|||||||||||||||||||||
1644 | โครงการตลาด กทม. กระตุ้นเศรษฐกิจตอบสนองนโยบายรัฐบาล | มท | 07/07/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยรายงานว่า กระทรวงมหาดไทยได้เตรียมการดำเนินโครงการตลาด กทม. กระตุ้นเศรษฐกิจตอบสนองนโยบายรัฐบาล กำหนดพื้นที่การจัดตลาด ๔ พื้นที่ ได้แก่ ตลาดนัดอุทยาน เขตทวีวัฒนา ตลาดนัดศูนย์กีฬาเฉลิมพระเกียรติบางมด เขตทุ่งครุ ตลาดนัดบริเวณหน้าห้างไอทีสแควร์ เขตหลักสี่ และตลาดนัดบริเวณกรมอุตุนิยมวิทยา เขตบางนา โดยประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงคมนาคม กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นต้น เพื่อร่วมดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง มีกำหนดจัดงานในวันศุกร์ วันเสาร์ และวันอาทิตย์ ของทุกสัปดาห์ ระหว่างเวลาประมาณ ๑๕.๐๐-๒๒.๐๐ น. และจะมีการประเมินผลการดำเนินการเพื่อนำมาพิจารณาปรับช่วงระยะเวลาของการดำเนินการให้เหมาะสมยิ่งขึ้นต่อไป ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงพาณิชย์ประสานความร่วมมือกับผู้ประกอบการรายใหญ่จากภาคเอกชนมาร่วมจำหน่ายสินค้าดีมีคุณภาพในราคาถูก เพื่อช่วยเหลือและแบ่งเบาภาระให้แก่ผู้ที่มีรายได้น้อย รวมทั้งเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ และประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับทราบด้วย
|
|||||||||||||||||||||
1645 | ผลการพิจารณาต่อรองราคาค่าก่อสร้างจากงานแก้ไขแบบรายละเอียดโครงการระบบขนส่งมวลชนทางรางในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ - รังสิต เพื่อรองรับการเดินรถไฟประเภทต่าง ๆ งานสัญญาที่ 1 และสัญญาที่ 2 ของการรถไฟแห่งประเทศไทย | คค | 30/06/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการพิจารณาราคาค่าก่อสร้างจากงานแก้ไขแบบรายละเอียดโครงการระบบขนส่งมวลชนทางรางในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ-รังสิต เพื่อรองรับการเดินรถไฟฟ้าประเภทต่าง ๆ งานสัญญาที่ ๑ และสัญญาที่ ๒ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ กรอบวงเงินตามที่บริษัท ทีม คอนซัลติ้ง เอนจิเนียริ่ง แอนด์ แมเนจเมนท์ จำกัด (ที่ปรึกษางานทบทวนและออกแบบรายละเอียดของการรถไฟแห่งประเทศไทย) ได้ประมาณราคาค่าก่อสร้างจากงานแก้ไขแบบรายละเอียดของสัญญาที่ ๑ และสัญญาที่ ๒ โดยศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ตรวจสอบความเหมาะสมแล้ว เป็นจำนวน ๗,๖๕๑,๙๐๘,๙๗๑.๒๕ บาท (สัญญาที่ ๑ จำนวน ๔,๓๐๕,๔๑๘,๖๘๑.๒๐ บาท และสัญญาที่ ๒ จำนวน ๓,๓๔๖,๔๙๐,๒๙๐.๐๕ บาท) ๑.๒ การรถไฟแห่งประเทศไทยได้เจรจากับผู้รับจ้างของสัญญาที่ ๑ และสัญญาที่ ๒ แล้ว โดย (๑) กิจการร่วมค้า เอส ยู ผู้รับจ้างงานสัญญาที่ ๑ ยืนยันราคา จำนวน ๔,๒๙๑,๔๐๖,๐๐๐.๐๐ บาท ซึ่งต่ำกว่ากรอบวงเงินตามมติคณะรัฐมนตรีและกรอบวงเงินที่ศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาฯ ได้ตรวจสอบความเหมาะสมแล้ว และ (๒) บริษัท อิตาเลี่ยนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ผู้รับจ้างสัญญาที่ ๒ ยืนยันราคา จำนวน ๓,๓๔๐,๕๑๒,๕๐๕.๓๖ บาท ซึ่งต่ำกว่ากรอบวงเงินตามมติคณะรัฐมนตรีและกรอบวงเงินที่ศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาฯ ได้ตรวจสอบแล้ว ๒. ให้กระทรวงคมนาคม (การรถไฟแห่งประเทศไทย) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งเจรจาต่อรองราคาสัญญาที่ ๓ งานจัดหาระบบไฟฟ้าและรถไฟฟ้ากับผู้ยื่นข้อเสนอราคาตามขั้นตอนของระเบียบที่เกี่ยวข้องให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว เพื่อให้สามารถดำเนินการเจรจาต่อรองราคางานจัดหาระบบไฟฟ้าและรถไฟฟ้าที่ได้รับผลกระทบจากการแก้ไขแบบรายละเอียดโครงการฯ กับผู้ยื่นข้อเสนอราคา ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของประธานกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจเกี่ยวกับแหล่งเงินเพื่อใช้ในการดำเนินโครงการฯ เห็นควรพิจารณาให้มีความเหมาะสมโดยคำนึงถึงความสอดคล้องกับระยะเวลาของแผนงานโครงการฯ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||
1646 | การดำเนินโครงการก่อสร้างอาคารจัดเก็บและอนุรักษ์วัตถุและเอกสารสำคัญที่มีค่าทางประวัติศาสตร์ และโครงการปรับปรุงซ่อมแซมอาคารที่ทำการ (อาคาร จปร. เดิม) | กค | 30/06/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีดำเนินโครงการก่อสร้างอาคารจัดเก็บและอนุรักษ์วัตถุและเอกสารสำคัญที่มีค่าทางประวัติศาสตร์ และโครงการปรับปรุงซ่อมแซมอาคารที่ทำการ (อาคาร จปร. เดิม) โดยเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ จากวงเงินเดิม ๓๙,๐๐๓,๐๐๐ บาท เป็น ๙๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘-พ.ศ. ๒๕๖๐ สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๒๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท และโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณ จำนวน ๗,๖๙๘,๖๐๐ บาท ส่วนที่เหลืออีก จำนวน ๖๒,๓๐๑,๔๐๐ บาท ให้ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙-พ.ศ. ๒๕๖๐ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ ๒. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีรับความเห็นของสำนักงบประมาณและคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐเกี่ยวกับโครงการก่อสร้างฯ และโครงการปรับปรุงซ่อมแซมฯ เป็นโครงการที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีให้ดำเนินการระหว่างปีงบประมาณ จึงเป็นรายการที่อยู่นอกแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณปกติ จึงเห็นควรให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเร่งรัดดำเนินการและลงนามก่อหนี้ผูกพันโครงการดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง |
|||||||||||||||||||||
1647 | รายงานผลการดำเนินโครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะที่ 2 | คค | 23/06/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินโครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะที่ ๒ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ โครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิระยะที่ ๒ อยู่ระหว่างรอการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ซึ่งกระทรวงคมนาคมได้ประชุมร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) เพื่อปรับขั้นตอนการดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว คาดว่าจะผ่านการพิจารณาภายในปลายเดือนมิถุนายน ๒๕๕๘ หรือต้นเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๘ และสามารถประกวดราคา ก่อสร้าง ได้ทันในปลายปี พ.ศ. ๒๕๕๘ หรือต้นปี พ.ศ. ๒๕๕๙ โดยมีกำหนดแล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๕๖๒ ๑.๒ โครงการก่อสร้างทางวิ่งขึ้นลง (Runway) ที่ ๓ อยู่ระหว่างกระบวนการพิจารณาของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ก่อนนำเสนอคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติต่อไป ซึ่งกระทรวงคมนาคมได้ประชุมร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และ ทอท. เพื่อพิจารณาแนวทางเร่งรัดการพิจารณาผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) เพื่อให้สามารถเริ่มดำเนินการก่อสร้างทางวิ่งขึ้นลง (Runway) ที่ ๓ ภายในต้นปี พ.ศ. ๒๕๕๙ โดยมีกำหนดแล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๕๖๓ ๑.๓ โครงการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารหลังที่ ๒ อยู่ระหว่าง ทอท. พิจารณาปรับปรุงแผนแม่บทการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยบรรจุโครงการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารหลังที่ ๒ ไว้ในแผนแม่บทฯ และจะเร่งรัดเสนอโครงการให้กระทรวงคมนาคมนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติในหลักการ เพื่อสามารถดำเนินการออกแบบและก่อสร้างต่อไป ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ที่เห็นควรเร่งดำเนินการก่อสร้างโครงการภายใต้แผนงานโครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะที่ ๒ ให้แล้วเสร็จตามเป้าหมายภายในปี ๒๕๖๒ โดยในการปรับลดการลงทุน ให้ ทอท. พิจารณาความเหมาะสมของราคาค่าก่อสร้างที่เกินความจำเป็นโดยไม่กระทบต่อระดับและมาตรฐานคุณภาพการให้บริการ (Level of Service) พร้อมทั้งเร่งปรับปรุงพัฒนาท่าอากาศยานดอนเมืองให้มีขีดความสามารถในการรองรับปริมาณผู้โดยสารสายการบินต้นทุนต่ำที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และให้เร่งดำเนินการตามแผนโครงการก่อสร้างทางวิ่งขึ้นลง (Runway) ที่ ๓ ระยะทาง ๓,๗๐๐ เมตร แทนการก่อสร้างทางวิ่งสำรองความยาว ๒,๙๐๐ เมตร โดยดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด และให้เร่งประชาสัมพันธ์ให้ความรู้และข้อมูลที่ถูกต้องเพื่อสร้างความเข้าใจกับประชาชนเกี่ยวกับปัญหาทางวิ่งที่มีอยู่เดิม ความจำเป็นที่จะต้องสร้างทางวิ่งขึ้นลงเพิ่มเติม และขีดความสามารถของทางวิ่งที่จะเพิ่มขึ้น รวมถึงวิธีการกำหนดหลักเกณฑ์ประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมทางเสียง พร้อมกับเร่งการจ่ายชดเชยผลกระทบสิ่งแวดล้อมจากการดำเนินโครงการดังกล่าวในช่วงที่ผ่านมาให้แล้วเสร็จโดยเร็ว รวมทั้งเห็นควรปรับปรุงแผนแม่บทการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและดอนเมือง โดยให้ความสำคัญกับความสามารถในการอำนวยความสะดวกรวดเร็วในการเดินทางของผู้โดยสารและอากาศยานในระดับคุณภาพบริการที่เป็นสากล และมาตรฐานความปลอดภัยตามข้อกำหนดขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศเป็นลำดับแรก ตลอดจนพิจารณาโครงสร้างพื้นฐาน ระบบสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวกที่เกี่ยวข้องที่มีอยู่เดิมเพื่อลดความซ้ำซ้อนในการลงทุน นอกจากนี้ ให้ ทอท. พิจารณาทางเลือกในการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิโดยเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียในประเด็นที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะผลกระทบโดยรวมต่อการให้บริการทั้งในระยะสั้นและระยะยาว และการลงทุนระหว่างการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารหลังที่ ๒ และอาคารผู้โดยสารทางด้านทิศใต้ พร้อมกับจัดทำแผนการบริหารจัดปริมาณการจราจรทางอากาศทั้งในเขตการบิน (Airside) และเขตนอกการบิน (Landside) ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
1648 | สรุปผลการประชุมสภารัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (สภาซีเมค) ครั้งที่ 48 | ศธ | 23/06/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมสภารัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (สภาซีเมค) ครั้งที่ ๔๘ (48th Seameo Council Conference : SEAMEC) ระหว่างวันที่ ๖-๙ พฤษภาคม ๒๕๕๘ ณ จังหวัดชลบุรี ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุมเต็มคณะ (Plenary Session) ในระหว่างพิธีเปิดการประชุมเต็มคณะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการของไทยได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานสภาซีเมคและประธานการประชุมสภาซีเมค ครั้งที่ ๔๘ มีวาระ ๒ ปี สำหรับสาระสำคัญของการประชุมเต็มคณะ คือ ที่ประชุมรับทราบความก้าวหน้าและติดตามผลการดำเนินโครงการและกิจกรรมของซีมีโอและศูนย์ระดับภูมิภาค เห็นชอบสถานะและการใช้ประโยชน์จากเงินบริจาคโดยสมาชิกสมทบและประเทศไทยมอบให้แก่สำนักงานเลขาธิการซีมีโอ รวมถึงสถานะของเงินกองทุนเพื่อการพัฒนาการศึกษาของซีมีโอ พิจารณาอนุมัติงบประมาณราย ๓ ปี ของซีมีโอ (๒๕๕๘/๒๕๕๙-๒๕๖๐/๒๕๖๑) รับทราบความก้าวหน้าการดำเนินการร่วมกับองค์การระหว่างประเทศ ภาคีเครือข่าย และหุ้นส่วนความร่วมมือ อาทิ การดำเนินโครงการตามแผนยุทธศาสตร์ ๑๐ ปีของซีมีโอ การประชุมการศึกษาและการพัฒนาระดับภูมิภาคว่าด้วยวาระการศึกษาภายหลังปี ๒๕๕๘ การดำเนินโครงการ SEAMEO College การดำเนินงานพัฒนาตามข้อเสนอแนะที่ได้จากการประชุมหารือเชิงยุทธศาสตร์ระดับรัฐมนตรีศึกษาของซีมีโอ การประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยการเสริมสร้างสมรรถนะขององค์การซีมีโอ และการดำเนินกิจกรรมระดับภูมิภาคในโอกาสครบรอบ ๕๐ ปี องค์การซีมีโอ เป็นต้น ๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการในฐานะประธานสภาซีเมคได้กล่าวนำในการประชุมโต๊ะกลมระดับรัฐมนตรี หัวข้อ ซีมีโอในทศวรรษหน้า (Ministerial Round-table Meeting on SEAMEO in the Next Decade) เกี่ยวกับความมุ่งมั่นขององค์การซีมีโอในการพัฒนาและปรับเปลี่ยนแนวทางการทำงานให้ก้าวทันกระแสโลกมาโดยตลอด รวมทั้งพยายามกำหนดวิสัยทัศน์ในการมองไปข้างหน้า และในการประชุมครั้งนี้ได้อ้างอิงตาม ๗ ประเด็นของที่ประชุมหารือเชิงยุทธศาสตร์ระดับรัฐมนตรีศึกษาของซีมีโอ เมื่อเดือนกันยายน ๒๕๕๗ ที่ สปป.ลาว ทั้งนี้ ที่ประชุมโต๊ะกลมฯ มีข้อเสนอแนะ ๕ ประเด็น ได้แก่ (๑) การใช้ประโยชน์จากศูนย์ระดับภูมิภาคของซีมีโอ จำนวน ๒๑ แห่ง (๒) การเชื่อมโยง ๗ ประเด็นระดับภูมิภาคไปสู่การให้การศึกษาเพื่อการเป็นพลเมืองโลกที่มีคุณภาพ (๓) การสนับสนุนการพัฒนาครูและการสร้างมาตรฐานสมรรถนะของครูโดยใช้เวทีการพระราชทานรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรีเนื่องในโอกาสวันครูโลกเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ร่วมกัน (๔) การสนับสนุนการเคลื่อนย้ายแลกเปลี่ยนด้านความรู้และทักษะฝีมือในทุกระดับ และ (๕) การส่งเสริมบทบาทสถาบันครอบครัวในการจัดการศึกษา นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการของไทยได้กล่าวเน้นย้ำถึงการลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา การพัฒนาคุณภาพครู และการส่งเสริมการฝึกอบรมในสายอาชีพเพื่อพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศให้สามารถเตรียมความพร้อมสู่การมีงานทำในตลาดโลก ๓. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้ประชุมหารือทวิภาคีกับ ๕ ประเทศ ได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซีย สปป.ลาว อินโดนีเซีย และติมอร์-เลสเต ซึ่งเน้นส่งเสริมการจัดอาชีวศึกษาและมองว่าประเทศไทยควรเป็นศูนย์กลางในการจัดอาชีวศึกษาโดยมีความร่วมมือกับภาคเอกชน และจากการหารือครั้งนี้ทำให้ประเทศต่าง ๆ ให้ความสนใจที่จะเข้ามาศึกษาดูงานเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์และความรู้ด้านการจัดอาชีวศึกษาของไทย รวมถึงมาเลเซียซึ่งให้ความสนใจมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐหรือมหาวิทยาลัยนอกระบบของไทย โดยขอศึกษาดูงานที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
|
|||||||||||||||||||||
1649 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 ของการรถไฟแห่งประเทศไทย | คค | 23/06/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปลี่ยนแปลงชื่อและเป้าหมายโครงการ จากเดิม โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงสุราษฎร์ธานี-ปาดังเบเซาร์ รายการค่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อศึกษาความเหมาะสม สำรวจ ออกแบบรายละเอียดและจัดทำรายงานการวิเคราะห์สิ่งแวดล้อม เป็น โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงสุราษฎร์ธานี-ชุมทางหาดใหญ่-สงขลา รายการค่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อศึกษาความเหมาะสม สำรวจ ออกแบบรายละเอียดและจัดทำรายงานการวิเคราะห์สิ่งแวดล้อม สำหรับงบประมาณในการดำเนินโครงการฯ ให้ รฟท. เปลี่ยนแปลงรายการผูกพันข้ามปีงบประมาณตามนัยข้อ ๗ (๓) ของระเบียบการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๓๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ภายในกรอบวงเงิน ๒๗๖,๘๐๐,๐๐๐ บาท ตามผลการจัดหา ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ให้ รฟท. ถือปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีให้ถูกต้องครบถ้วน และติดตามการดำเนินโครงการฯ เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณเป็นไปตามแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปี และให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงข่ายรถไฟและสิ่งอำนวยความสะดวกตามแนวเส้นทางให้สามารถเชื่อมโยงการขนส่งสินค้าทางรถไฟไปยังท่าเรือน้ำลึกในจังหวัดสงขลา รวมทั้งประสานกับสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร เพื่อพิจารณาความเหมาะสมของรูปแบบการเชื่อมโยงโครงข่ายและการเดินรถไฟทั้ง ๒ เส้นทางร่วมกัน เพื่อให้การเดินทางและขนส่งสินค้าระหว่างพื้นที่ดังกล่าวเป็นไปอย่างสะดวกและเกิดการใช้ประโยชน์โครงข่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ในการเสนอโครงการต่าง ๆ ในโอกาสต่อไป ให้กระทรวงคมนาคมตรวจสอบความพร้อมของโครงการที่อยู่ในความรับผิดชอบให้ละเอียดรอบคอบก่อนเสนอขออนุมัติดำเนินโครงการเพื่อมิให้เกิดปัญหาความซ้ำซ้อนของโครงการในลักษณะนี้อีก |
|||||||||||||||||||||
1650 | รายงานผลการดำเนินงานโครงการค้ำประกันสินเชื่อในลักษณะ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 5 | กค | 16/06/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินงานโครงการค้ำประกันสินเชื่อในลักษณะ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ ๕ (PGS 5) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ ๑.๑ ปี ๒๕๕๖ บรรษัทค้ำประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) มียอดอนุมัติค้ำประกันสินเชื่อ จำนวน ๑๘,๒๓๙ ราย วงเงิน ๖๑,๕๐๓ ล้านบาท และปี ๒๕๕๗ มียอดอนุมัติค้ำประกันสินเชื่อ จำนวน ๒๑,๐๓๐ ราย วงเงิน ๕๔,๐๔๗ ล้านบาท ทั้งนี้ ในช่วงระยะเวลา ๒ ปี บสย. มียอดอนุมัติค้ำประกันสินเชื่อรวมจำนวน ๓๙,๒๖๙ ราย วงเงิน ๑๑๕,๕๕๐ บาท ส่งผลให้ผู้ประกอบการ SMEs สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบสถาบันการเงิน จำนวน ๑๙๕,๒๕๕ ล้านบาท และก่อให้เกิดการจ้างงาน จำนวน ๘๒๖,๓๔๐ คน ๑.๒ ปัจจุบันโครงการค้ำประกันสินเชื่อ PGS 5 มีภาระค้ำประกันที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing Guarantee : NPGs) อยู่ที่ร้อยละ ๘.๕ ของภาระค้ำประกันทั้งหมด โดย บสย. ได้ขอรับการชดเชยความเสียหายจากรัฐบาลตามความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง จำนวน ๑,๒๒๕.๔ ล้านบาท แต่ยังไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณดังกล่าว ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ บสย. เร่งดำเนินการร่วมกับสถาบันการเงินในการค้ำประกันสินเชื่อให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายของโครงการ PGS ภายใต้การบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม รวมทั้งบริหารจัดการภาระค้ำประกันที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPGs) ไม่ให้เร่งตัวขึ้นจนกลายเป็นภาระของรัฐบาลในการสนับสนุนการดำเนินโครงการ PGS ในระยะต่อไป ไปประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
1651 | ขอขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการและการเบิกจ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. 2555 ของกรมทางหลวง | คค | 16/06/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการขอขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการและการเบิกจ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ ของกรมทางหลวง จำนวน ๓ โครงการ วงเงิน ๓๙๗.๙๗ ล้านบาท จากเดิมมีระยะเวลาสิ้นสุดการเบิกจ่ายในวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๘ ให้ขยายระยะเวลาออกไปจนถึงเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ประกอบด้วย ๑.๑ โครงการก่อสร้างสะพานข้ามคลอง ๕ แห่ง บนทางหลวงหมายเลข ๓๔ ตอนแยกทางหลวงหมายเลข ๓ (บางนา)-กิโลเมตรที่ ๓๕+๖๐๐ (ต่อเขตแขวงการทางฉะเชิงเทรา) จังหวัดสมุทรปราการ (คลองจระเข้ใหญ่ คลองบางกระเทียม คลองบางเสาธง คลองสนามพลี และคลองบ้านระกาศ) ๑.๒ โครงการก่อสร้างสะพานข้ามคลองพระองค์เจ้าไชยานุชิต บนทางหลวงหมายเลข ๓๔ ตอนแยกทางหลวงหมายเลข ๓ (บางนา)-กิโลเมตรที่ ๓๕+๖๐๐ (ต่อเขตแขวงการทางฉะเชิงเทรา) จังหวัดสมุทรปราการ ๑.๓ โครงการก่อสร้างสะพานข้ามคลองบนทางหลวงหมายเลข ๓๐๕ ตอน กิโลเมตรที่ ๑๕+๑๔๕ (ต่อเขตแขวงการทางปทุมธานี)-องครักษ์ จังหวัดปทุมธานี ช่วงกิโลเมตรที่ ๒๙+๕๐๐-กิโลเมตรที่ ๓๖+๐๐๐ ๒. หากกรมทางหลวงดำเนินโครงการแล้วเสร็จและมีวงเงินเหลือจ่าย ให้แจ้งคืนเงินตามแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการโอนเงินเหลือจ่ายโครงการภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง |
|||||||||||||||||||||
1652 | โครงการปรับปรุงขยายการประปาส่วนภูมิภาคสาขาพระนครศรีอยุธยา และเพชรบุรี ปี 2558 | มท | 16/06/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) ดำเนินโครงการปรับปรุงขยาย กปภ. สาขาพระนครศรีอยุธยา และเพชรบุรี ปี ๒๕๕๘ วงเงินลงทุนรวม ๒,๙๙๗.๖๓๙ ล้านบาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ กปภ. กู้เงินภายในประเทศ โดยกระทรวงการคลังไม่ค้ำประกัน รวมทั้งให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงินตามความเหมาะสมและความจำเป็นต่อไป โดยให้ กปภ. ใช้เงินรายได้ชำระคืนการกู้เงินดังกล่าว ๒. ให้ กปภ. ไปหารือกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในการดำเนินการตรวจสอบพื้นที่ดำเนินการทั้งหมดว่าอยู่ในเขตพื้นที่ที่ใช้มาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมในบริเวณพื้นที่อำเภอบ้านแหลม อำเภอเมืองเพชรบุรี อำเภอท่ายาง และอำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี อำเภอหัวหิน และอำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๓ และกิจกรรมที่ดำเนินการเข้าข่ายห้ามกระทำการตามข้อ ๑๐ ในประกาศดังกล่าวหรือไม่ ก่อนดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กปภ. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการกำหนดนโยบายและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐที่เห็นควรติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการพร้อมจัดทำแผนรองรับปัญหาขาดแคลนน้ำดิบ ภัยพิบัติ การลดอัตราน้ำสูญเสีย และการบริหารจัดการแรงดันน้ำ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการของ กปภ. และจัดทำแผนการตลาดในการเพิ่มผู้ใช้น้ำรายใหม่ให้เป็นไปตามเป้าหมายและควบคุมค่าใช้จ่ายด้านการผลิตและบริหารจัดการให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงด้านแหล่งน้ำดิบเพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำดิบและน้ำประปา รวมทั้งจัดทำแผนการดำเนินงานเพื่อลดอัตราน้ำสูญเสียขององค์กร โดยแสดงรายละเอียด เป้าหมาย ตัวชี้วัด วงเงินลงทุน และผลลัพธ์เป็นรายปี เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาโครงการปรับปรุงขยายการประปาที่จะเสนอใหม่ต่อไป ตลอดจนประสานงานระหว่างส่วนราชการ/หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในระดับส่วนกลาง อาทิ กรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ำ กรมทรัพยากรน้ำบาดาล และหน่วยงานผู้ปฏิบัติในพื้นที่เพื่อบูรณาการเรื่องการใช้ประโยชน์แหล่งน้ำในพื้นที่มาเป็นแหล่งต้นทุนน้ำดิบในกระบวนการให้เป็นไปด้วยความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน นอกจากนี้ เห็นควรเร่งรัดการดำเนินการให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาดำเนินการด้วยความโปร่งใส พร้อมรับการตรวจสอบจากหน่วยงานและองค์กรต่าง ๆ และให้มีการพิจารณาการจ้าง ดำเนินการโดยแรงงานท้องถิ่นในส่วนที่สามารถดำเนินการได้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
1653 | โครงการให้ความช่วยเหลือวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) | กค | 16/06/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบเงื่อนไขมาตรการเพิ่มวงเงินที่รัฐชำระค่าธรรมเนียมค้ำประกันสินเชื่อแทนผู้ประกอบการ SMEs ที่ให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ค้ำประกันสินเชื่อผ่านโครงการ Portfolio Guarantee Scheme (PGS) ระยะที่ ๕ เพิ่มอีกจำนวน ๕๐,๐๐๐ ล้านบาท โดยให้มีผลบังคับใช้กับลูกค้าที่ยื่นขอค้ำประกันสินเชื่อนับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการของมาตรการดังกล่าวเมื่อวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๕๘ งบประมาณในการดำเนินมาตรการเป็นวงเงินไม่เกิน ๘๗๕ ล้านบาท และเงื่อนไขโครงการ Policy Loan งบประมาณในการดำเนินโครงการเป็นวงเงินรวมไม่เกิน ๓,๒๒๕ ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยให้ บสย. ปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ หรือขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงในปีงบประมาณถัดไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ประธานกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ และธนาคารแห่งประเทศไทย ที่เห็นควรเร่งดำเนินการตามมาตรการให้เป็นตามเป้าหมาย และควรมีการพิจารณาผู้ประกอบการที่จะเข้าร่วมโครงการให้มีความหลากหลายของประเภทกิจการ ทั้งภาคอุตสาหกรรม และภาคบริการ โดยเฉพาะกิจการที่ใช้เทคโนโลยีนวัตกรรม องค์ความรู้และภูมิปัญญาของไทย รวมทั้งความครอบคลุมของพื้นที่ทั่วประเทศ เพื่อให้เกิดการกระจายการลงทุนของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และควรมีมาตรการคัดกรองผู้ประกอบการที่จะเข้าร่วมโครงการที่ละเอียด รอบคอบ และรัดกุม เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงการเกิดหนี้สูญและเพื่อให้ได้ผู้ประกอบการที่มีศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ นอกจากนี้ การดำเนินการทุกขั้นตอนการปฏิบัติจะต้องมีความโปร่งใสและตรวจสอบได้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) กระทรวงการคลัง และสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเร่งประชาสัมพันธ์โครงการหรือมาตรการให้ความช่วยเหลือวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ต่าง ๆ เพื่อสร้างการรับรู้ให้กับประชาชนด้วย |
|||||||||||||||||||||
1654 | ผลการประชุมความร่วมมือระบบรางระดับรัฐมนตรี ระหว่างกระทรวงคมนาคมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน การขนส่ง และการท่องเที่ยวแห่งญี่ปุ่น | คค | 16/06/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมความร่วมมือระบบรางระดับรัฐมนตรีระหว่างกระทรวงคมนาคมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน การขนส่ง และการท่องเที่ยวแห่งญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ ๒๖-๒๗ พฤษภาคม ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. ผลการหารือระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงที่ดินฯ ของญี่ปุ่น ๑.๑ การก่อสร้างโครงการรถไฟความเร็วสูง เส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ทั้งสองฝ่ายจะร่วมมือกันในการดำเนินโครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง เส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ โดยใช้เทคโนโลยีชินคันเซ็นของญี่ปุ่น ๑.๒ การพัฒนาเส้นทางแนวเศรษฐกิจด้านใต้ เส้นทางกาญจนบุรี-กรุงเทพฯ-แหลมฉบัง กรุงเทพฯ-อรัญประเทศ อยู่ในแผนงานที่ทั้งสองฝ่ายจะร่วมมือกันต่อไป ซึ่งนอกจากจะเป็นเส้นทางเชื่อมต่อการเดินทางของประชาชนแล้ว ยังเป็นการเชื่อมต่อพื้นที่ระหว่างทวาย-กาญจนบุรี-กรุงเทพฯ-อรัญประเทศ และต่อไปยังเวียดนาม ๑.๓ การพัฒนาเส้นทางแม่สอด-มุกดาหาร (Upper East-West Corridor) ทั้งสองฝ่ายจะหารือร่วมกันเกี่ยวกับการศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาระบบรถไฟในเส้นทางแม่สอด-มุกดาหาร ตามแนวเศรษฐกิจด้านตะวันออก-ตะวันตก ๑.๔ โครงการรถไฟฟ้าในเขตเมือง ฝ่ายญี่ปุ่นจะเร่งดำเนินการส่งมอบขบวนรถไฟฟ้าสายสีม่วง (บางใหญ่-บางซื่อ) ๓ ขบวนแรก ในปลายเดือนกันยายน ๒๕๕๘ และจะส่งมอบครบทั้ง ๒๑ ขบวนภายในปีนี้ โดยจะเริ่มทดสอบระบบและทดลองการเดินรถก่อนเปิดให้บริการประชาชนได้ในกลางปี ๒๕๕๙ ๑.๕ ความร่วมมือด้านการขนส่งทางอากาศ ทั้งสองฝ่ายรับทราบว่า กรมการบินพลเรือน และสำนักการบินพลเรือนญี่ปุ่น (Japan Civil Aviation Bureau : JCAB) ได้ตกลงกันเพื่อประกันความปลอดภัยในการเดินอากาศระหว่างประเทศ โดย JCAB จะอนุญาตให้สายการบินของไทยที่ทำการบินแบบประจำและสายการบินที่ให้บริการแบบเช่าเหมาลำ สามารถทำการบินไปยังญี่ปุ่นได้ภายใต้บันทึกความเข้าใจระหว่างกรมการบินพลเรือนและ JCAB ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๕๘ ๒. การลงนามบันทึกความร่วมมือด้านระบบรางระหว่างกระทรวงคมนาคมแห่งราชอาณาจักรไทย และกระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน การขนส่งและการท่องเที่ยวแห่งญี่ปุ่น รัฐมนตรีทั้งสองได้ร่วมลงนามบันทึกความร่วมมือด้านระบบราง โดยทั้งสองกระทรวงจะร่วมกันพัฒนารถไฟความเร็วสูงเส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ และการพัฒนาและ/หรือปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟในเส้นทางแนวเศรษฐกิจด้านใต้ (กาญจนบุรี-กรุงเทพฯ-แหลมฉบัง กรุงเทพฯ-อรัญประเทศ) รวมทั้งจะหารือร่วมกันเกี่ยวกับการศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาระบบรถไฟในเส้นทางแม่สอด-มุกดาหาร ตามแนวระเบียงเศรษฐกิจด้านตะวันออก-ตะวันตก ตลอดจนการศึกษาการพัฒนาระบบขนส่งสินค้าทางรางของไทย และศึกษาความเหมาะสมเส้นทางกรุงเทพฯ-ระยอง ซึ่งทั้งสองฝ่ายจะจัดตั้งคณะกรรมการบริหารร่วมระดับรัฐมนตรีเพื่อกำกับการดำเนินงานตามบันทึกความร่วมมือฉบับนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงที่ดินฯ ของญี่ปุ่น จะเป็นประธานร่วม และจะจัดตั้งคณะทำงานเพื่อดำเนินงานร่วมกัน ประกอบด้วย (๑) คณะทำงานโครงการรถไฟความเร็วสูง เส้นทาง กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ (๒) คณะทำงาน เส้นทาง กาญจนบุรี-กรุงเทพฯ กรุงเทพฯ-ฉะเชิงเทรา-อรัญประเทศ กรุงเทพฯ-ฉะเชิงเทรา-แหลมฉบัง และ (๓) คณะทำงานด้านการเงินและรูปแบบการลงทุน
|
|||||||||||||||||||||
1655 | เอกสารเพิ่มเติม (Addendum) ฉบับที่ 2 ของสัญญาการให้ (Grant Contract) การดำเนินความสัมพันธ์กับภายนอกของสหภาพยุโรปภายใต้ความตกลงให้ความสนับสนุนด้านการเงินในโครงการการรวมตัวทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาคอาเซียนจากสหภาพยุโรป (ASEAN Regional Integration Support from the EU: ARISE) | กต | 09/06/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบเอกสารเพิ่มเติม (Addendum) ฉบับที่ ๒ ของสัญญาการให้ (Grant Contract) การดำเนินความสัมพันธ์กับภายนอกของสหภาพยุโรปภายใต้ความตกลงให้ความสนับสนุนด้านการเงินในโครงการรวมตัวทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาคอาเซียนจากสหภาพยุโรป (ASEAN Regional Integration Support from the EU : ARISE) จัดทำขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ (๑) ขยายระยะเวลาการดำเนินการเพิ่มเติมอีก ๙ เดือน จากเดิมสิ้นสุดในวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ เป็นวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ และ (๒) จัดสรรงบประมาณที่ยังไม่ได้ใช้เพื่อตอบสนองต่อความต้องการเร่งด่วนในการพัฒนาขีดความสามารถในการดำเนินโครงการ โดยหมวดงบประมาณที่มีการจัดสรรใหม่ ได้แก่ หมวดทรัพยากรบุคคล หมวดการเดินทาง และหมวดค่าใช้จ่ายและบริการอื่น ๆ โดยหากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขเอกสารดังกล่าวในประเด็นที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก ๒. อนุมัติให้เลขาธิการอาเซียนหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนาม และให้กระทรวงการต่างประเทศแจ้งสำนักเลขาธิการอาเซียนผ่านคณะผู้แทนถาวรไทยประจำอาเซียน ณ กรุงจาการ์ตา ว่ารัฐบาลไทยเห็นชอบต่อเอกสารเพิ่มเติม ฉบับที่ ๒ แล้ว และให้เลขาธิการอาเซียนหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามเอกสารเพิ่มเติม ฉบับที่ ๒
|
|||||||||||||||||||||
1656 | การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณสำหรับรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 ที่มีวงเงินรวมตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป รายการก่อสร้างชิ้นงานนิทรรศการพิพิธภัณฑ์พระรามเก้าพร้อมติดตั้ง | วท | 09/06/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการก่อสร้างชิ้นงานนิทรรศการพิพิธภัณฑ์พระรามเก้าพร้อมติดตั้ง วงเงิน ๑,๐๖๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ โดยให้เบิกจ่ายค่างานก่อสร้างจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๒๑๔,๐๐๐,๐๐๐ บาท ที่กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปี ส่วนที่เหลือ จำนวน ๘๔๗,๐๐๐,๐๐๐ บาท ให้ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙-พ.ศ. ๒๕๖๑ โดยให้องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อ ๆ ไป เพื่อให้ครบวงเงินค่างานตามสัญญาต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรดำเนินการเร่งรัด ติดตามการดำเนินโครงการก่อสร้างพิพิธภัณฑ์พระรามเก้าให้เป็นไปตามแผนงานที่กำหนดเพื่อให้เกิดความคุ้มค่าและไม่เป็นภาระกับงบประมาณภาครัฐในอนาคต และให้ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด พร้อมทั้งติดตามตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อความโปร่งใส และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อทางราชการเป็นสำคัญ ตลอดจนกำกับดูแลให้เป็นไปตามการออกแบบและการใช้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. หากมีการดำเนินโครงการอื่น ๆ ในระยะต่อไป ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีดำเนินการต่อรองราคาให้ต่ำกว่าวงเงินที่ได้รับอนุมัติไว้ให้มากที่สุด เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าในการดำเนินการตามความเห็นของคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ |
|||||||||||||||||||||
1657 | รายงานการวิเคราะห์สถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ำในประเทศไทย ปี 2556 | นร11 | 09/06/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการวิเคราะห์สถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ำในประเทศไทย ปี ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สถานการณ์ความยากจนของประเทศไทย ปี ๒๕๕๖ ความยากจนโดยรวมลดลง แต่ความยากจนยังคงเป็นปัญหาสำคัญของประเทศไทย คนจนส่วนใหญ่อยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ และลักษณะของคน/ครัวเรือนที่มีโอกาสสูงจะตกเป็นคนจนที่สำคัญ ได้แก่ ผู้ที่มีการศึกษาต่ำ ผู้ที่ทำงานในภาคเกษตร และครัวเรือนขนาดใหญ่ ๒. สถานการณ์ความเหลื่อมล้ำในประเทศไทย ปี ๒๕๕๖ ได้แก่ ความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ ความเหลื่อมล้ำด้านสินทรัพย์ทางการเงิน ความเหลื่อมล้ำด้านการถือครองที่ดิน ความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษา ความเหลื่อมล้ำคุณภาพการให้บริการสาธารณสุข และความเหลื่อมล้ำหรือความไม่เสมอภาคทางเพศ ๓. นโยบายและการแปลงนโยบายไปสู่การปฏิบัติภายใต้โครงการที่สำคัญเพื่อแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย ได้แก่ มาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชน การสร้างความมั่นคงด้านรายได้และการสร้างโอกาสในการเข้าถึงทรัพยากรและแหล่งทุนในการประกอบอาชีพเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน การสร้างโอกาสในการเข้าถึงการศึกษาของผู้ที่มีฐานะยากจน ผู้มีรายได้น้อย หรือขาดแคลนทุนทรัพย์ การพัฒนาระบบประกันสุขภาพ การสร้างโอกาสในการเข้าถึงสวัสดิการสังคมและที่อยู่อาศัย และการสร้างโอกาสในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม ๔. ประเด็นที่สำคัญในการดำเนินงานแก้ไขปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยในช่วงที่ผ่านมา ได้แก่ การดำเนินงานแก้ไขปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำในสังคมของภาครัฐในระยะที่ผ่านมายังขาดระบบฐานข้อมูลคนจน/ผู้มีรายได้น้อยและผู้ด้อยโอกาสเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในบริหารจัดการนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติได้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายที่สมควรจะได้รับอย่างแท้จริง การดำเนินโครงการที่มีการเจาะจงกลุ่มเป้าหมายและเป็นกลุ่มเป้าหมายที่สมควรจะได้รับประโยชน์อย่างแท้จริง เป็นโครงการที่ควรจะผลักดันให้มีการดำเนินการต่อเนื่องต่อไป การดำเนินโครงการที่เจาะจงกลุ่มเป้าหมายแต่เป็นเป้าหมายที่ค่อนข้างกว้างครอบคลุมทุกคนในกลุ่มเป้าหมาย ควรพิจารณาเฉพาะกลุ่มเป้าหมายที่สมควรจะได้รับประโยชน์อย่างแท้จริงเพื่อลดภาระด้านงบประมาณของรัฐ และการดำเนินโครงการที่ไม่เจาะจงกลุ่มเป้าหมาย (เป้าหมายคือ ประชาชนทั่วไป) ควรพิจารณาดำเนินการตามความจำเป็นและเหมาะสมเพื่อสร้างความเป็นธรรมให้กับประชาชนในการเข้าถึงบริการพื้นฐานของรัฐโดยไม่เป็นภาระด้านงบประมาณมากเกินไป ๕. ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย การแก้ไขปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำในสังคมในระยะต่อไป ควรให้ความสำคัญในการพัฒนาศักยภาพ ยกระดับรายได้และยกระดับคุณภาพชีวิตของกลุ่มเป้าหมายคนจน ผู้ด้อยโอกาส และผู้มีรายได้ต่ำสุด ๔๐% ล่าง เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายดังกล่าวสามารถพึ่งตนเองได้ มีโอกาสเข้าถึงบริการพื้นฐานของรัฐได้อย่างมีคุณภาพและทั่วถึง มีโอกาสพัฒนาทักษะความรู้ในสาขาอาชีพที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานและความก้าวหน้าของเทคโนโลยี รวมทั้งมีโอกาสเข้าถึงที่ดินทำกินและแหล่งเงินทุนในการประกอบอาชีพ
|
|||||||||||||||||||||
1658 | รายงานของคณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจ การเงินและการคลัง สภานิติบัญญัติ แห่งชาติ เรื่อง การเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษีของกรมสรรพากร กรณีศึกษา : โครงการการจัดเก็บภาษีจากข้อมูลทอดแรก (Primary Information Approach : PIA) และโครงการการจัดเก็บภาษีด้วยระบบใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e - Tax Invoice) | สว | 09/06/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อสังเกตและข้อเสนอแนะตามรายงานของคณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจการเงินและการคลัง สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เรื่อง การเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษีของสรรพากร กรณีศึกษา : โครงการการจัดเก็บภาษีจากข้อมูลทอดแรก (Primary Information Approach : PIA) และโครงการจัดเก็บภาษีด้วยระบบใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) โดยมีข้อสังเกตและข้อเสนอแนะให้กรมสรรพากรดำเนิน ได้แก่ ควรพิจารณาวางแผนดำเนินการในภาพรวมแบบบูรณาการทั้งระบบ ควรศึกษาถึงความเป็นไปได้และนำข้อที่เห็นว่าเป็นประโยชน์ของระบบการจัดเก็บภาษีจากข้อมูลทอดแรก (Primary Information Approach : PIA) มาปรับใช้กับระบบใบเสร็จรับเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) ควรหามาตรการจูงใจเพื่อให้ผู้ประกอบการเข้าสู่ระบบใบเสร็จรับเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) เพิ่มมากขึ้น การเร่งรัดการดำเนินโครงการระบบใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และควรประชาสัมพันธ์ให้ภาคเอกชนและผู้ประกอบการได้รับทราบและมีความเข้าใจในระบบต่าง ๆ ที่ดำเนินการอยู่ ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ ไปพิจารณาว่าสมควรจะดำเนินการตามข้อสังเกตและข้อเสนอแนะดังกล่าวได้หรือไม่ประการใดก่อน แล้วแจ้งผลการดำเนินการให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทราบภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
1659 | ขออนุมัติดำเนินโครงการก่อสร้างทางเลี่ยงเมืองแม่สอด พร้อมสะพานข้ามแม่น้ำเมย แห่งที่ 2 ของกรมทางหลวง | คค | 02/06/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้กรมทางหลวงดำเนินโครงการก่อสร้างทางเลี่ยงเมืองแม่สอด พร้อมสะพานข้ามแม่น้ำเมย แห่งที่ ๒ ภายในกรอบวงเงิน ๓,๙๐๐ ล้านบาท และอนุมัติเงินช่วยเหลือแบบให้เปล่าแก่สาธารณรัฐสหภาพเมียนมา จำนวน ๑,๐๐๐ ล้านบาท เพื่อใช้ในการดำเนินโครงการ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สำหรับงบประมาณในการดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้ใช้จ่ายจากเงินงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๕๐๐ ล้านบาท สำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ สำนักงบประมาณได้เสนอตั้งงบประมาณรองรับตามร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ไว้แล้ว จำนวน ๑,๐๒๐ ล้านบาท หากไม่เพียงพอจากการปฏิบัติงานจริง ให้กรมทางหลวงปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีมาสมทบ ส่วนที่เหลืออีก จำนวน ๒,๓๘๐ ล้านบาท ให้กรมทางหลวงเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อ ๆ ไปเพื่อให้ครบวงเงินค่าก่อสร้าง ทั้งนี้ ให้กรมทางหลวงจัดทำแผนการใช้จ่ายเงินงบกลางและขอทำความตกลงในรายละเอียดค่าใช้จ่ายกับสำนักงบประมาณอีกครั้งหนึ่ง และดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนปฏิบัติตามประกาศหรือคำสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติให้ถูกต้องครบถ้วนด้วย ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการติดตามตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐเกี่ยวกับการให้กรมศุลกากรมีส่วนร่วมในการออกแบบและกำหนดพื้นที่ใช้สอยสำหรับการจัดสร้างอาคารด่าน Border Control Facilities ให้เป็นไปอย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับภารกิจของกรมศุลกากร การให้เงินช่วยเหลือแบบให้เปล่าแก่สาธารณรัฐสหภาพเมียนมาควรพิจารณาควบคู่กับข้อตกลงเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ที่ประเทศไทยจะได้รับจากการให้ความช่วยเหลือดังกล่าว และความพร้อมของสาธารณรัฐสหภาพเมียนมาในการดำเนินโครงการทั้งในช่วงระหว่างก่อสร้างและภายหลังเปิดให้บริการ รวมทั้งการพิจารณาวงเงินในการช่วยเหลือควรเป็นไปตามเนื้องานที่เหมาะสมและดำเนินการในลักษณะประหยัด ทั้งนี้ การดำเนินการทุกขั้นตอนการปฏิบัติจะต้องโปร่งใสและตรวจสอบได้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กรมทางหลวงไปหารือกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในการดำเนินการตรวจสอบการเข้าข่ายประเภทและขนาดของโครงการหรือกิจการซึ่งต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ลงวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๕ เรื่อง กำหนดประเภทและขนาดของโครงการหรือกิจการซึ่งต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม และหลักเกณฑ์ วิธีการ ระเบียบปฏิบัติ และแนวทางการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ก่อนดำเนินการต่อไป ๔. ให้กระทรวงคมนาคมนำเรื่องเงินช่วยเหลือแบบให้เปล่าแก่สาธารณรัฐสหภาพเมียนมา จำนวน ๑,๐๐๐ ล้านบาท เพื่อใช้ในการดำเนินโครงการในครั้งนี้เป็นข้อมูลในการเจรจาการขอใช้ประโยชน์จากแม่น้ำสาละวิน เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรต่อไป |
|||||||||||||||||||||
1660 | ขอความเห็นชอบร่างบันทึกความร่วมมือด้านระบบรางระหว่างกระทรวงคมนาคมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน การขนส่ง และการท่องเที่ยวแห่งญี่ปุ่น | คค | 26/05/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างบันทึกความร่วมมือด้านระบบรางระหว่างกระทรวงคมนาคมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน การขนส่ง และการท่องเที่ยวแห่งญี่ปุ่น (Memorandum of Cooperation between the Ministry of Transport of the Kingdom of Thailand and the Ministry of Land, Infrastructure, Transport and Tourism of Japan on Railway Sector) มีสาระสำคัญเป็นความร่วมมือระหว่างไทยกับญี่ปุ่นในการพัฒนาระบบรางในประเทศไทย เช่น การพัฒนารถไฟความเร็วสูง การพัฒนาเส้นทางรถไฟ การให้บริการขนส่งทางราง ความช่วยเหลือทางวิชาการ เป็นต้น ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างบันทึกความร่วมมือฯ ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญก่อนการลงนามและเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทย ให้กระทรวงคมนาคมสามารถดำเนินการได้โดยประสานกับกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทยสำหรับการลงนามดังกล่าว ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาเปรียบเทียบความเหมาะสมของรูปแบบการลงทุนภายใต้กรอบความร่วมมือฯ และให้ความสำคัญกับการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับบุคลากรของไทยอย่างเป็นระบบ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ในการดำเนินการตามบันทึกความร่วมมือฯ หากจะต้องมีข้อผูกพันเกี่ยวกับการกำหนดเส้นทางรถไฟสายต่าง ๆ และการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ส่วนกรณีที่มีข้อผูกพันที่เข้าข่ายต้องดำเนินการตามมาตรา ๒๓ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ที่ต้องได้รับความเห็นชอบจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เช่น การดำเนินการตามขั้นตอนหรือวิธีการตามกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์โดยตราเป็นกฎหมาย เป็นต้น ให้กระทรวงคมนาคมนำบันทึกความร่วมมือฯ เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาเพื่อให้เป็นไปตามขั้นตอนการปฏิบัติเกี่ยวกับหนังสือสัญญาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ต่อไปด้วย ๔. ให้กระทรวงคมนาคมนำเรื่องกรอบระยะเวลาการดำเนินโครงการต่าง ๆ หลักในการร่วมลงทุน และความร่วมมือระหว่างกันไปร่วมหารือในการเจรจาในครั้งนี้ด้วย ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความชัดเจน โปร่งใส และให้เกิดความเชื่อมั่นในการลงทุน ๕. ให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาการใช้ประโยชน์จากพื้นที่ตามแนวเขตเส้นทางรถไฟ โดยคำนึงถึงการจัดเป็นพื้นที่สำหรับประกอบอาชีพของประชาชนผู้มีรายได้น้อยด้วย เช่น การสร้างตลาด ร้านค้า ทั้งนี้ การดำเนินการต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องด้วย |
.....