ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1325 จากทั้งหมด 6214 หน้า แสดงรายการที่ 26481 - 26500 จากข้อมูลทั้งหมด 124262 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
26481 | การจัดทำพิธีสารฉบับที่หนึ่งเพื่อแก้ไขความตกลงเพื่อจัดตั้งเขตการค้าเสรี อาเซียน - ออสเตรเลีย - นิวซีแลนด์ | พณ | 08/07/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างพิธีสารฉบับที่หนึ่งเพื่อแก้ไขความตกลงเพื่อจัดตั้งเขตการค้าเสรี อาเซียน-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ (First Protocol to Amend the Agreement Establishing the ASEAN-Australia-New Zealand Free Trade Area) ๑.๒ อนุมัติการลงนามร่างพิธีสารฯ โดยมอบอำนาจให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนาม ทั้งนี้ หากมีการแก้ไขถ้อยคำที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติพิจารณาอีกครั้ง ๑.๓ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างพิธีสารดังกล่าว ๑.๔ ให้กระทรวงพาณิชย์ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเพื่อปฏิบัติตามพันธกรณีที่กำหนดในพิธีสารดังกล่าว ๑.๕ ให้กระทรวงพาณิชย์ประสานกระทรวงการต่างประเทศแจ้งประเทศภาคีความตกลงเพื่อจัดตั้งเขตการค้าเสรี อาเซียน-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ ว่าประเทศไทยพร้อมที่จะให้พิธีสารดังกล่าวมีผลผูกพันต่อไป ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและข้อสังเกตของกระทรวงอุตสาหกรรมที่เห็นควรเร่งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกรมศุลกากรเพื่อให้สามารถดำเนินการตามพันธกรณีได้ รวมทั้งประชาสัมพันธ์ให้ภาคเอกชนทราบเพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากความตกลงดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเห็นควรพิจารณาระเบียบปฏิบัติเกี่ยวกับการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า ให้เป็นไปตามหลักการตามกระบวนการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเอง (Self Certification) ซึ่งมีกำหนดการจัดทำโครงการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองรวม (ASEAN-wide Implementation of Self-Certification) ให้แล้วเสร็จภายในปี ค.ศ. ๒๐๑๕ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์รายงานผลความคืบหน้าการดำเนินการเรื่องนี้ให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติทราบตามนัยมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ) รวมทั้งให้กระทรวงพาณิชย์ประสานภาคเอกชนและสมาคมการค้าของออสเตรเลียและนิวซีแลนด์เพื่อชี้แจงให้เข้าใจถึงนโยบายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติในด้านความสัมพันธ์ทางการค้าและการลงทุนของต่างประเทศด้วย |
||||||||||||||||||||||||
26482 | ขอความเห็นชอบกรอบการเจรจาความตกลงการค้าบริการอาเซียน | พณ | 08/07/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบกรอบการเจรจาความตกลงการค้าบริการอาเซียน เพื่อกระทรวงพาณิชย์จะได้เข้าร่วมการเจรจาจัดทำความตกลงการค้าบริการอาเซียน เพื่อรักษาผลประโยชน์ด้านการค้าและการลงทุนของประเทศไทยในกรอบอาเซียน ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุขและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการกำหนดให้ผู้ประกอบการต่างชาติที่ต้องการเข้ามาลงทุนธุรกิจบริการสุขภาพในประเทศไทยต้องขึ้นทะเบียนกับสำนักสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ภายใต้เงื่อนไขว่าด้วยผู้ดำเนินการสถานพยาบาลนั้น ๆ จะต้องเป็นผู้ที่ได้รับใบอนุญาตการประกอบวิชาชีพในประเทศไทย และการกำหนดให้บุคคลธรรมดา สาขาแพทย์ ทันตแพทย์ และพยาบาล ต้องขึ้นทะเบียนการประกอบวิชาชีพในประเทศไทยกับสภาวิชาชีพนั้น ๆ ภายใต้เงื่อนไข limited practice ใน ๒ ลักษณะ ได้แก่ (ก) ใบอนุญาตการประกอบวิชาชีพถาวรสำหรับผู้ที่สอบผ่านโดยการรับรองของสภาวิชาชีพ และ (ข) ใบอนุญาตการประกอบวิชาชีพชั่วคราวสำหรับผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับเชิญให้มาสอนหรือฝึกอบรมที่จัดขึ้นในประเทศไทย การไม่กำหนดให้ผลิตภัณฑ์ยาสูบและการดำเนินธุรกิจยาสูบอยู่ในรายการสินค้าและบริการของกรอบการเจรจาในทุกมิติ การให้ความสำคัญกับการเปิดตลาดในสาขาบริการที่ประเทศไทยมีศักยภาพและสาขาที่จะส่งผลให้เกิดการลดต้นทุนในการประกอบธุรกิจ หรือมีเทคโนโลยีเฉพาะ เพื่อสร้างโอกาสและยกระดับมาตรฐานธุรกิจบริการ การพัฒนาบุคลากรวิชาชีพรองรับภาคบริการที่สำคัญ การหารือกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนในการกำหนดท่าทีของประเทศไทยต่อประเด็นต่าง ๆ โดยเฉพาะข้อผูกพันการเปิดตลาด เพื่อให้ผู้ประกอบการมีระยะเวลาในการปรับตัวที่เหมาะสมในกรณีที่จะได้รับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น รวมทั้งการประเมินผลลัพธ์จากการทำความตกลงในกรอบต่าง ๆ ให้เป็นระบบและมีความต่อเนื่อง เพื่อนำไปสู่การกำหนดแนวทางและการเจรจาการค้าในรายละเอียด ไปพิจารณาดำเนินการ ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์รายงานผลความคืบหน้าการดำเนินการเรื่องนี้ให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติทราบตามนัยมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ให้ฝ่ายสังคมจิตวิทยารับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ สถาบันการศึกษา และสถาบันวิชาชีพที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณากำหนดแนวทาง มาตรการ รวมทั้งแผนการผลิตและพัฒนาทักษะของบุคลากรของประเทศในสาขาวิชาชีพต่าง ๆ ให้สามารถรองรับความต้องการและแข่งขันในด้านการค้าบริการกับประเทศอื่น ๆ ได้ โดยสอดคล้องกับข้อตกลงทวิภาคีและพหุภาคีต่าง ๆ รวมทั้งการเข้าสู่ความเป็นประชาคมอาเซียนในปี ๒๕๕๘ ด้วย แล้วนำเสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
26483 | ขอความเห็นชอบข้อผูกพันเปิดตลาดการค้าบริการชุดที่ 9 ของไทย และการลงนามพิธีสารอนุวัติข้อผูกพันเปิดตลาดการค้าบริการชุดที่ 9 ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยการค้าบริการอาเซียน | พณ | 08/07/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบข้อผูกพันเปิดตลาดการค้าบริการชุดที่ ๙ ของไทย เพื่อใช้ผนวกกับพิธีสารอนุวัติข้อผูกพันเปิดตลาดการค้าบริการชุดที่ ๙ โดยมีสาระสำคัญเป็นการเพิ่มสาขาบริการที่ประเทศไทยจะเปิดให้อาเซียนถือหุ้นได้ถึงร้อยละ ๗๐ ตามเป้าหมายของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community : AEC) ๑.๒ อนุมัติการลงนามพิธีสารอนุวัติข้อผูกพันเปิดตลาดการค้าบริการชุดที่ ๙ ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยการค้าบริการอาเซียน โดยมอบอำนาจให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนาม ทั้งนี้ หากมีการแก้ไขถ้อยคำที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติพิจารณาอีกครั้ง ๑.๓ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในพิธีสารดังกล่าว ๑.๔ ให้กระทรวงพาณิชย์ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเพื่อปฏิบัติตามพันธกรณีที่กำหนดในพิธีสารดังกล่าว ๑.๕ ให้กระทรวงพาณิชย์ประสานกระทรวงการต่างประเทศแจ้งต่อสำนักเลขาธิการอาเซียนว่าไทยพร้อมที่จะให้พิธีสารดังกล่าวมีผลผูกพันต่อไป ๒. ให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงพาณิชย์เร่งรัดการหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน ตลอดจนผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากทุกภาคส่วน เพื่อรับฟังข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่อการจัดทำข้อผูกพันเปิดตลาดการค้าบริการของไทยชุดที่ ๑๐ ต่อไป เพื่อให้มีระยะเวลาในการพิจารณาอย่างรอบคอบ รวมทั้งการปรับตัวและกำหนดมาตรการรองรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นตามข้อผูกพันการเปิดตลาดการค้าบริการทั้งในทางบวกและลบได้อย่างมีประสิทธิผล ไปพิจารณาดำเนินการ ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ในการทำความตกลง โดยยึดผลประโยชน์ที่ประเทศไทยจะได้รับเป็นสำคัญเพื่อรักษาสถานะของไทยในการเป็นศูนย์กลางทางการเงิน การบริการสาธารณสุข การศึกษา ระบบโลจิสติกส์ของการค้าส่ง-ค้าปลีก ทั้งนี้ เมื่อได้ลงนามในพิธีสารดังกล่าวแล้วให้กระทรวงพาณิชย์กลับมาพิจารณาทบทวนสาขาบริการที่ได้เปิดตลาดไป ในข้อผูกพันเปิดตลาดการค้าบริการชุดที่ ๑ ถึงชุดที่ ๙ ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยการค้าบริการอาเซียนว่ามีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของประเทศอย่างไร โดยให้พิจารณาร่วมกับฝ่ายความมั่นคงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต รวมทั้งรายงานความคืบหน้าการดำเนินการต่าง ๆ ให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติทราบ และประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบข้อมูลดังกล่าวต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
26484 | การลงนามความตกลงด้านการค้าบริการ และความตกลงด้านการลงทุน ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับสาธารณรัฐอินเดีย | พณ | 08/07/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบและอนุมัติการลงนามความตกลงด้านการค้าบริการ และความตกลงด้านการลงทุน ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับสาธารณรัฐอินเดีย ที่ทั้งสองฝ่ายตั้งเป้าหมายให้มีการลงนามความตกลงทั้งสองฉบับในการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน-อินเดีย ครั้งที่ ๑๒ ซึ่งมีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๒-๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๗ ๑.๒ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้ได้รับมอบหมายอื่นเป็นผู้ลงนามความตกลงทั้งสองฉบับ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขถ้อยคำที่มิใช่สาระสำคัญในความตกลงดังกล่าว ขอให้หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติมอบหมายให้ผู้ลงนามเป็นผู้ใช้ดุลยพินิจตามสถานการณ์ ตามความเหมาะสมที่จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยต่อไป ๑.๓ ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้ได้รับมอบหมายอื่นลงนามความตกลงทั้งสองฉบับ ๑.๔ ภายหลังจากการลงนาม ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินกระบวนการภายในประเทศ เพื่ออนุวัติให้เป็นไปตามความตกลงทั้งสองฉบับ และให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือแจ้งเลขาธิการอาเซียนว่าประเทศไทยได้ดำเนินการตามกระบวนการภายในเสร็จสิ้นแล้ว เพื่อให้ความตกลงทั้งสองฉบับมีผลใช้บังคับ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รายงานผลความคืบหน้าการดำเนินการเรื่องนี้ให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติทราบตามนัยมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. โดยที่ประเทศไทยและสาธารณรัฐอินเดียมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันมาแน่นแฟ้นยาวนาน และสาธารณรัฐอินเดียได้ยืนยันที่จะให้การสนับสนุนการดำเนินงานของฝ่ายไทยเพื่อให้เกิดความสงบสุขและความมีเสถียรภาพของประเทศไทยทั้งด้านความมั่นคง การค้า เศรษฐกิจ การลงทุน และการท่องเที่ยว ดังนั้น ให้กระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงพาณิชย์พิจารณาเร่งรัดขยายความร่วมมือกับสาธารณรัฐอินเดียในด้านต่าง ๆ ให้มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะความร่วมมือทางด้านการถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ และขยายตลาดสินค้าของประเทศไทยเพราะสาธารณรัฐอินเดียเป็นประเทศที่มีประชากรจำนวนมากและเป็นตลาดที่มีปริมาณการบริโภคสินค้าที่สำคัญในภูมิภาค |
||||||||||||||||||||||||
26485 | ขออนุญาตก่อสร้างอาคาร "โครงการก่อสร้างศูนย์การแพทย์พร้อมระบบสาธารณูปโภค" คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล เป็นกรณีพิเศษของมหาวิทยาลัยมหิดล | ศธ | 08/07/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติเห็นสมควรยกเว้นการปฏิบัติตามกฎ ระเบียบ เกี่ยวกับความสูงของการก่อสร้างศูนย์การแพทย์พร้อมระบบสาธารณูปโภค คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล เนื่องจากมหาวิทยาลัยมหิดล (โรงพยาบาลศิริราช) มีข้อจำกัดเกี่ยวกับพื้นที่ก่อสร้าง ประกอบกับมหาวิทยาลัยมหิดลมีฐานะเป็นหน่วยงานในกำกับของรัฐ คณะรักษาความสงบแห่งชาติจึงมีมติมอบให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งมหาวิทยาลัยมหิดลเพื่อพิจารณากำหนดวิธีการและแนวทางการดำเนินการเพื่อยกเว้นการปฏิบัติตามกฎ ระเบียบที่เกี่ยวข้อง โดยหากมีความจำเป็นต้องจัดทำเป็นประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ก็ให้เร่งดำเนินการแล้วเสนอหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติผ่านฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม เพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
26486 | โครงการบูรณาการงานบริการภาครัฐให้มีประสิทธิภาพ | นร12 | 08/07/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้สำนักงาน ก.พ.ร. ดำเนินโครงการบูรณาการงานบริการภาครัฐให้มีประสิทธิภาพ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ให้รัฐสามารถให้บริการประชาชนและภาคธุรกิจเอกชนได้อย่างเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว มีช่องทางการบริการที่สะดวก ทันสมัย เพื่อให้สามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ เกิดความโปร่งใส รวมทั้งป้องกันการทุจริตคอร์รัปชันของภาครัฐ ซึ่งเป็นนโยบายเร่งด่วนของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ๒. เพื่อให้การดำเนินการไม่เกิดความซ้ำซ้อน สามารถเชื่อมโยงข้อมูลและขั้นตอนการทำงานระหว่างหน่วยงานภาครัฐ จึงมอบหมายให้ฝ่ายความมั่นคง ซึ่งกำกับดูแลกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและกระทรวงมหาดไทยรับไปพิจารณาร่วมกับสำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเร่งรัดและกำกับการดำเนินการของหน่วยงานต่าง ๆ ในการให้ความร่วมมือและสนับสนุนการดำเนินโครงการในส่วนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการเสนอการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการบูรณาการข้อมูลและงานบริการภาครัฐด้วย ๓. สำหรับงบประมาณค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ ให้สำนักงาน ก.พ.ร. ดำเนินการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๔๗ (เรื่อง หลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐ) ตามความเห็นของสำนักงบประมาณและคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะใช้เงินส่วนที่เหลือจากเงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ (Structural Adjustment Loan : SAL) ให้สำนักงาน ก.พ.ร. ดำเนินการตามขั้นตอนตามความเห็นของกระทรวงการคลัง |
||||||||||||||||||||||||
26487 | ข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ | สลธ.คสช. | 08/07/2557 | |||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้เร่งรัดการดำเนินการต่าง ๆ เพื่อฟื้นฟูให้เศรษฐกิจปี ๒๕๕๗ ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้คาดการณ์ไว้ที่ร้อยละ ๑.๕ โดยได้ดำเนินการแก้ปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกรผู้ปลูกข้าว และเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศให้ปรับตัวดีขึ้น รวมทั้งผลักดันให้เกิดการเจรจาและจัดทำความตกลงตามพันธกรณีระหว่างประเทศต่าง ๆ ที่ไม่สามารถดำเนินการได้ในช่วงที่ผ่านมา เพื่อขับเคลื่อนการค้าและการลงทุน ดังนั้น เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ให้ทุกหน่วยงานควบคุมดูแลงานที่รับผิดชอบให้เป็นไปตามนโยบายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ดังนี้ ๑.๑.๑ ให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดูแลระดับราคาผลผลิตทางการเกษตรที่ออกสู่ตลาดเป็นจำนวนมากตามฤดูกาลให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เช่น ลำไยอบแห้ง เป็นต้น รวมทั้งส่งเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันและขยายตลาดส่งออกสินค้าเกษตรไปยังประเทศในภูมิภาคอื่น เช่น ข้าว กล้วยไม้ มะพร้าว เป็นต้น ๑.๑.๒ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติติดตามและประสานงานกับธนาคารแห่งประเทศไทยและกระทรวงการคลัง ในการดูแลค่าเงินบาทให้มีเสถียรภาพและอยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่ส่งผลกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้นำเข้าและส่งออกของไทย รวมทั้งเฝ้าระวังการเคลื่อนย้ายเงินทุนที่มีลักษณะของการเก็งกำไร ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดความผันผวนในตลาดเงิน ตลาดทุน และอัตราแลกเปลี่ยน ทั้งนี้ ให้รายงานให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติทราบเป็นระยะด้วย ๑.๑.๓ ให้ฝ่ายเศรษฐกิจ โดยกระทรวงการคลังเร่งจัดทำมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) เพิ่มเติม จากที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้อนุมัติไว้แล้ว เพื่อให้ครอบคลุมผู้ประกอบการทุกกลุ่ม เช่น มาตรการให้ความช่วยเหลือกลุ่มผู้ประกอบการส่งออกและนำเข้าผ่านธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เป็นต้น ๑.๑.๔ ให้ฝ่ายเศรษฐกิจ โดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเร่งรัดพิจารณาคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนที่ยังคงค้างการพิจารณา และเป็นโครงการที่มีความสอดคล้องกับแนวนโยบายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติเพื่อนำเสนอคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนพิจารณาโดยเร็ว ทั้งนี้ ให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนรับไปตรวจสอบและพิจารณาทบทวนสิทธิของผู้ได้รับการส่งเสริมการลงทุนที่มีอายุเกินกว่า ๒ ปี แต่มิได้ลงทุนเพื่อประกอบธุรกิจจริง และรายงานให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติทราบในประเด็นดังกล่าวเป็นระยะด้วย ๑.๒ ให้ฝ่ายสังคมจิตวิทยาเร่งรัดหามาตรการเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยเฉพาะในฤดูกาลท่องเที่ยว (High season) ทั้งในด้านการประชาสัมพันธ์ และการส่งเสริมผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยว รวมทั้งหารือกับฝ่ายความมั่นคง ในการกำหนดมาตรการด้านความปลอดภัย เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยว ทั้งนี้ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาจัดทำแผนงานและมาตรการเพื่อเสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติพิจารณาโดยด่วน ๒. พลังงาน ให้ฝ่ายเศรษฐกิจ โดยกระทรวงพลังงานดำเนินการจัดตั้งศูนย์ติดตามข้อมูลด้านพลังงาน ซึ่งประกอบด้วย ผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ภาคประชาสังคม รวมถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม ทำหน้าที่ติดตาม รวบรวมข้อมูลข่าวสารด้านพลังงาน โดยเฉพาะประเด็นที่อยู่ในความสนใจของสาธารณชน ตลอดจนวิเคราะห์และตรวจสอบข้อเท็จจริงในประเด็นดังกล่าว เพื่อให้การชี้แจงข้อมูลข่าวสารด้านพลังงานแก่ประชาชนมีความเป็นเอกภาพและน่าเชื่อถือ ๓. ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ให้ฝ่ายความมั่นคง โดยกระทรวงการต่างประเทศร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ดำเนินการตามแนวนโยบายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติในการกำหนดท่าทีและยุทธศาสตร์ในการเจรจาและจัดทำความตกลงระหว่างประเทศ โดยยึดถือผลประโยชน์ทั้งในด้านเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศเป็นหลัก ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีข้อสั่งการเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๗ และวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ทั้งนี้ ให้ฝ่ายความมั่นคงเร่งพิจารณาการขยายความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจและความมั่นคงระหว่างไทย-จีน ภายใต้กลไกคณะกรรมการร่วม เป็นลำดับแรกด้วย ๔. ด้านสังคม ๔.๑ ให้ฝ่ายสังคมจิตวิทยา โดยกระทรวงศึกษาธิการพิจารณาหาแนวทางการส่งเสริมและยกระดับสถาบันการศึกษาทางด้านวิชาชีพ ซึ่งขณะนี้มีความต้องการช่างเทคนิคในสาขาต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก โดยอาจจัดทำเป็นวิทยาลัยเทคนิคตัวอย่าง ที่เน้นความเป็นเลิศในด้านช่างฝีมือ รวมทั้งการส่งเสริมอาชีพและรายได้ที่เหมาะสม เพื่อเป็นการสร้างและพัฒนาทรัพยากรบุคคลของประเทศในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน รวมทั้งจะช่วยลดปัญหาของกลุ่มวัยรุ่นที่มั่วสุม ทะเลาะวิวาท และปัญหายาเสพติดด้วย ๔.๒ ในช่วงที่ผ่านมาคณะรักษาความสงบแห่งชาติได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน รวมทั้งจัดระเบียบสังคมในเรื่องต่าง ๆ เช่น การจัดระเบียบรถจักรยานยนต์รับจ้าง การจัดระเบียบรถตู้โดยสารสาธารณะ การแก้ปัญหาการจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลเกินราคา เป็นต้น อย่างไรก็ดี ยังคงมีเรื่องอื่น ๆ ที่ต้องดำเนินการแก้ไขอย่างเร่งด่วน เช่น การจัดระเบียบพื้นที่ค้าขาย (แผงลอย) บนทางเท้า เป็นต้น จึงมอบหมายให้กรุงเทพมหานครเร่งกำหนดมาตรการและจัดทำแผนงานในการจัดระเบียบเรื่องดังกล่าว โดยยึดหลักความเป็นธรรมและคำนึงถึงความเดือดร้อนของผู้ค้าขายซึ่งมีรายได้น้อยด้วย และเสนอต่อเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติเพื่อนำเสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติพิจารณาก่อนดำเนินการต่อไปด้วย ๕. การประชาสัมพันธ์ ให้ทุกหน่วยงานระมัดระวังการสื่อสารและให้ข้อมูลแก่สื่อมวลชนและประชาชน โดยเฉพาะประเด็นที่อาจก่อให้เกิดความขัดแย้งในสังคม โดยให้นำเสนอผลการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและความคืบหน้าการดำเนินการตามนโยบายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติเป็นหลัก รวมทั้งให้ทุกหน่วยงานปรับปรุงข้อมูลรายละเอียดในเว็บไซต์ของแต่ละหน่วยงานทั้งภาษาไทยและภาษาต่างประเทศให้เป็นไปตามข้อเท็จจริงและสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ให้แล้วเสร็จภายในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๗ ๖. ทั่วไป ๖.๑ ให้ฝ่ายกิจการพิเศษ โดยสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเร่งดำเนินการรวบรวมแผนงานและกิจกรรมของทุกภาคส่วน รวมทั้งจัดประชุมคณะกรรมการเพื่อเตรียมการจัดงานในช่วงวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทั้งนี้ ให้รายงานให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติทราบในวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๕๗ และประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบถึงกิจกรรมต่าง ๆ ด้วย ๖.๒ เนื่องจากขณะนี้มีปัญหาการขาดแคลนพลังงานไฟฟ้าในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่ที่เป็นนิคมอุตสาหกรรมและพื้นที่ภาคใต้ จึงมอบหมายให้ฝ่ายเศรษฐกิจดำเนินการ ดังนี้ ๖.๒.๑ กำหนดแผนยุทธศาสตร์ความมั่นคงด้านพลังงานระยะยาวในแต่ละภูมิภาคของประเทศ โดยให้คำนึงถึงการผลิตไฟฟ้าให้เพียงพอต่อความต้องการใช้ในแต่ละพื้นที่ รวมทั้งพิจารณาแนวทางการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน เช่น ถ่านหินสะอาด เป็นต้น ๖.๒.๒ ประสานงานกับฝ่ายความมั่นคงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น เพื่อดำเนินการจัดหาพื้นที่สำหรับสร้างโรงไฟฟ้าในที่ห่างไกลชุมชนเพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม โดยให้พิจารณาพื้นที่ป่าเสื่อมโทรม พื้นที่ทหาร หรือที่ราชพัสดุเป็นลำดับแรก ทั้งนี้ การก่อสร้างโรงไฟฟ้าจะต้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยอาจพิจารณาแนวทางการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชนในการดำเนินการก่อสร้างโรงไฟฟ้าในพื้นที่ภาคใต้เป็นลำดับแรก และให้เริ่มดำเนินการก่อสร้างภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๘
|
||||||||||||||||||||||||
26488 | มาตรการฟื้นฟูความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ | กค | 02/07/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกา รวม ๓ ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ แล้วส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ดังนี้ ๑.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตรารัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ขยายเวลาการปรับขั้นอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ออกไปอีก ๑ ปี สำหรับเงินได้สุทธิที่ได้รับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๘ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๘ ๑.๒ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตรารัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ขยายเวลาการปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราร้อยละ ๒๐ ออกไปอีก ๑ ปี สำหรับรอบบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๘ แต่ไม่เกินวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๘ ๑.๓ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ขยายเวลาการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นร้อยละ ๗ (รวมภาษีท้องถิ่น) ออกไปอีก ๑ ปี ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ แต่ไม่เกินวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๘ และให้จัดเก็บอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ ๙ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๘ เป็นต้นไป ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปพิจารณาด้วยว่าร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งมีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ เพื่อช่วยกระตุ้นการบริโภคของประชาชนและลดภาระค่าครองชีพสมควรจะออกเป็นประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติแทนหรือไม่ เนื่องจากขณะนี้ยังไม่มีรัฐธรรมนูญและการตราพระราชกฤษฎีกาจะต้องอาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญ แล้วให้ดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการเร่งปฏิรูปโครงสร้างและระบบภาษีอากรทั้งระบบ เพื่อให้ภาษีอากรเป็นเครื่องมือในการดำเนินนโยบายทางการคลังที่มีประสิทธิภาพในการสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ โดยมีหลักการสำคัญคือ การลดความเหลื่อมล้ำ การสร้างความเป็นธรรม การส่งเสริมพฤติกรรมการผลิตการบริโภคที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการเพิ่มแรงจูงใจเพื่อการวิจัยและพัฒนาที่นำไปสู่นวัตกรรมและเพิ่มผลิตภาพในภาคการผลิตและบริการให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ การเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการจัดเก็บภาษีอากรแต่ละประเภทเพื่อขยายฐานภาษีและรายได้ของรัฐอย่างยั่งยืนในระยะยาว และข้อสังเกตของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการจัดทำประมาณการมูลค่าการขาดรายได้ในแต่ละกรณีให้ชัดเจน เพื่อประกอบการพิจารณาวางแผนการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
26489 | ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 | อก | 02/07/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ มีสาระสำคัญคือ ปรับปรุงประเภทหรือชนิดของโรงงาน ลำดับที่ ๘๘ โรงงานผลิตพลังงานไฟฟ้าตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๗ (พ.ศ. ๒๕๔๙) ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ โดยแยกประเภทหรือชนิดของโรงงานผลิตพลังงานไฟฟ้าของแต่ละพลังงานเป็น ๔ ประเภท คือ การผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานความร้อน พลังงานน้ำ และพลังงานลม โดยยกเว้นการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดไม่เกิน ๑,๐๐๐ กิโลวัตต์ ไม่เป็นโรงงาน ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้หัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ คณะรักษาความสงบแห่งชาติรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทางและมาตรการในการส่งเสริมการผลิตและการใช้พลังงานทดแทนเพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงานทดแทนเพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงานของประเทศให้ยั่งยืน ตามนัยมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๕๗ (เรื่อง พลังงานของไทย) ให้เป็นระบบ ลดความซ้ำซ้อนระหว่างหน่วยงาน และไม่เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน โดยให้พิจารณาให้ครอบคลุมถึงพลังงานทดแทนอื่น ๆ นอกเหนือจากพลังงานแสงอาทิตย์ เช่น พลังงานความร้อน พลังงานน้ำ พลังงานลม เป็นต้น ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรให้หน่วยงานกำกับกิจการผลิตไฟฟ้าดำเนินการออกกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับประชาชนและสิ่งแวดล้อม จากการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดรวมกันไม่เกิน ๑,๐๐๐ กิโลวัตต์ ต้องติดตั้งเซลล์แสงอาทิตย์จำนวนมาก ซึ่งเมื่ออุปกรณ์หมดอายุการใช้งานจะทำให้เกิดของเสียอันตรายจำนวนมาก อาจทำให้เกิดปัญหาในการจัดการของเสียอันตราย และในการกำหนดให้การผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานความร้อน การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานน้ำ และการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม เป็นโรงงานผลิตพลังงานไฟฟ้าตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน ควรยกเว้นให้การผลิตพลังงานทดแทนดังกล่าวในปริมาณที่เหมาะสมและไม่กระทบต่อสิ่งแวดล้อมมิให้เป็นโรงงาน นอกจากนี้ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาทบทวนนโยบายและข้อกฎหมายในการควบคุมกำกับดูแลผู้ประกอบกิจการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนอย่างเป็นระบบเพื่อให้มาตรฐานในการกำกับดูแลที่ไม่ด้อยกว่ามาตรฐานการกำกับดูแลของหน่วยงานต่าง ๆ ที่มีอยู่เดิม การพิจารณารายละเอียดให้ครอบคลุมพลังงานทดแทนประเภทเชื้อเพลิงอื่น ๆ การออกกฎหมายเกี่ยวกับการจัดการซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งการจัดการอบรมและจัดทำคู่มือ มาตรฐานและแนวปฏิบัติที่ดีด้านพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจให้แก่ผู้ประกอบกิจการ เพื่อให้การดำเนินนโยบายส่งเสริมพลังงานทดแทนเป็นไปอย่างมีประสิทธิผลตามมาตรฐานสากลที่ยอมรับโดยทั่วไป ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย และให้นำเสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
26490 | กำหนดวันหยุดราชการเพิ่มเป็นกรณีพิเศษ | สลธ.คสช. | 02/07/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. กำหนดให้วันจันทร์ที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๗ เป็นวันหยุดราชการเพิ่มเติมเป็นกรณีพิเศษ เฉพาะปี พ.ศ. ๒๕๕๗ เพื่อให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และให้ประชาชนได้ร่วมกิจกรรมในช่วงวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ๒. ส่วนรัฐวิสาหกิจ สถาบันการเงิน และภาคเอกชน ให้รัฐวิสาหกิจแต่ละแห่ง ธนาคารแห่งประเทศไทย และกระทรวงแรงงาน พิจารณาความเหมาะสมให้สอดคล้องกับข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ในกรณีหน่วยงานใดที่มีภารกิจในการให้บริการประชาชน หรือมีความจำเป็นหรือราชการสำคัญในวันดังกล่าวโดยได้กำหนดหรือนัดหมายไว้ก่อนแล้ว ซึ่งหากยกเลิกหรือเลื่อนไปจะเกิดความเสียหายหรือกระทบต่อการให้บริการประชาชน ให้หัวหน้าหน่วยงานนั้นพิจารณาดำเนินการตามที่เห็นสมควร โดยมิให้เกิดความเสียหายต่อทางราชการและประชาชน
|
||||||||||||||||||||||||
26491 | ขอความเห็นชอบร่างข้อบังคับการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการกำหนดอัตราค่าโดยสาร วิธีการจัดเก็บค่าโดยสาร และการกำหนดประเภทบุคคลที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องชำระค่าโดยสารรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล พ.ศ. .... | คค | 02/07/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ
๑. เห็นชอบในหลักการร่างข้อบังคับการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการกำหนดอัตราค่าโดยสาร วิธีการจัดเก็บค่าโดยสาร และการกำหนดประเภทบุคคลที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องชำระค่าโดยสารรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยร่างข้อบังคับฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดให้ข้อบังคับนี้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๗ เป็นต้นไป ๑.๒ กำหนดให้ยกเลิกข้อบังคับการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการกำหนดอัตราค่าโดยสาร วิธีการจัดเก็บค่าโดยสาร และการกำหนดประเภทบุคคลที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องชำระค่าโดยสารสำหรับโครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล พ.ศ. ๒๕๕๕ ๑.๓ กำหนดให้ค่าโดยสารรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล เป็นไปตามตารางอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าท้ายข้อบังคับนี้ (เริ่มต้นที่ ๑๖ บาท สูงสุด ๔๒ บาท) ๑.๔ กำหนดประเภทบุคคลที่ลดหย่อนค่าโดยสารและได้รับการยกเว้นไม่ต้องชำระค่าโดยสาร ๑.๕ กำหนดให้คณะกรรมการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยมีอำนาจออกประกาศลดอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าได้เป็นครั้งคราวเพื่อส่งเสริมการใช้บริการรถไฟฟ้า หรือสนับสนุนกิจกรรมตามนโยบายของรัฐบาล ๒. ให้กระทรวงคมนาคมแก้ไขวันใช้บังคับให้สอดคล้องกับข้อกำหนดในสัญญาที่กำหนดให้การปรับอัตราค่าโดยสารจะต้องมีการประกาศต่อสาธารณชนก่อนวันใช้บังคับไม่น้อยกว่า ๓๐ วัน และสอดคล้องกับผลการเจรจาระหว่างกระทรวงคมนาคม โดยการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยกับบริษัท รถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BMCL) คู่สัญญา และให้ดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ ให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยเร่งพิจารณาแนวทางการบริหารสัญญาสัมปทานโครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล เพื่อให้เกิดการพัฒนาระบบการจัดเก็บค่าโดยสารที่จะสามารถรองรับการใช้ระบบตั๋วร่วมในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลที่คาดว่าจะเริ่มใช้บริการภายในปี ๒๕๕๙ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยในระยะแรกอาจพิจารณาความเหมาะสมของการใช้บัตรโดยสารร่วมกับโครงการระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพมหานคร (BTS) เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้โดยสารโดยเฉพาะในชั่วโมงเร่งด่วนเช้าและเย็น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
26492 | ข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ | สลธ.คสช. | 02/07/2557 | |||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ภาพรวม ๑.๑ ให้ส่วนราชการเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ โดยให้เบิกจ่ายหรือให้ก่อหนี้ผูกพันให้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณนี้ ทั้งนี้ ในส่วนของการดำเนินการโครงการลงทุนที่มีวงเงินเกิน ๑,๐๐๐ ล้านบาท ที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้พิจารณาและเห็นชอบในหลักการให้ดำเนินการต่อไปได้ ให้ส่วนราชการเจ้าของโครงการเร่งรัดการดำเนินการ เพื่อขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันงบประมาณข้ามปี เพื่อให้สามารถดำเนินงาน/ทำสัญญาก่อหนี้ผูกพันภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๗ สำหรับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้ทุกหน่วยงานเตรียมการให้พร้อมเพื่อให้สามารถเบิกจ่ายได้ตั้งแต่เริ่มปีงบประมาณ ๑.๒ ให้ทุกฝ่ายเร่งรัดติดตามส่วนราชการในกำกับให้ดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ ที่ได้รับมอบหมายให้แล้วเสร็จ และเกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป ๑.๓ ให้ทุกฝ่ายพิจารณารายการงานสำคัญในเอกสารแนวทางปฏิบัติของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ รวม ๒๑ รายการ ที่ได้แจกในที่ประชุมไปแล้ว และให้เพิ่มเติมงาน/โครงการสำคัญ รวมทั้งกำหนดกรอบระยะเวลาดำเนินการว่าจะดำเนินการในช่วงเวลาใด กล่าวคือ ระยะเร่งด่วน ระยะสั้น และระยะยาว แล้วแจ้งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติทราบ เพื่อนำมาจัดทำแผนปฏิบัติงานของคณะรักษาความสงบแห่งชาติต่อไป ๒. ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ๒.๑ ให้ส่วนราชการที่มีภารกิจในการเจรจาหรือการจัดทำความตกลงระหว่างประเทศในเรื่องต่าง ๆ ดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑.๑ จัดทำแผนงานการเจรจาหรือจัดทำความตกลงฯ ล่วงหน้าระยะเวลา ๖ เดือน เสนอหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติทราบ ๒.๑.๒ ในการขออนุมัติเพื่อไปเจรจาหรือจัดทำความตกลงฯ ให้ส่วนราชการจัดทำบทสรุปวิเคราะห์ สาระสำคัญของประเด็นการเจรจาหรือความตกลงระหว่างประเทศ ท่าทีของไทยในการเจรจา ผลดีและผลเสีย รวมทั้งผลกระทบในการดำเนินการต่อประเทศไทย เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณา หากคณะรักษาความสงบแห่งชาติมีข้อสังเกตในประเด็นอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องจะได้แจ้งให้ส่วนราชการที่รับผิดชอบไปดำเนินการต่อไป ๒.๑.๓ กรณีที่การเจรจาหรือการจัดทำความตกลงฯ เกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน ให้หน่วยงานหลักในการเจรจาหรือจัดทำความตกลงฯ รายงานความคืบหน้าในการหารือร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติทราบด้วย ๒.๒ ให้ทุกฝ่ายให้ความสำคัญและระมัดระวังในการชี้แจงเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องกับต่างประเทศเกี่ยวกับสถานการณ์ของประเทศไทยในปัจจุบันโดยเฉพาะในประเด็นที่อาจส่งผลกระทบต่อการสร้างความเชื่อมั่นให้ต่างประเทศ ทั้งในด้านการค้า การลงทุน การอุตสาหกรรม และการท่องเที่ยวในประเทศไทย ๓. เศรษฐกิจระหว่างประเทศ ๓.๑ ให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำกับดูแลการส่งออกสินค้าให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ เพื่อช่วยให้เศรษฐกิจของประเทศฟื้นตัวได้เร็วยิ่งขึ้น และให้พิจารณาหาแนวทางการขยายตลาดการส่งออกสินค้า โดยเฉพาะการส่งออกข้าวไปยังประเทศในภูมิภาคอื่น ๆ เช่น ทวีปแอฟริกา เป็นต้น ๓.๒ ให้กระทรวงพาณิชย์พิจารณาทบทวนการดำเนินการในงานคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาทั้งในส่วนของผลงานที่ได้รับการคุ้มครองแล้วว่ามีปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์หรือไม่ อย่างไร และผลงานที่ยังไม่ได้รับการคุ้มครองว่าควรคุ้มครองในเรื่องใดบ้าง โดยเฉพาะด้านศิลปวัฒนธรรม แล้วกำหนดแนวทางคุ้มครองสิทธิในงานทรัพย์สินทางปัญญาทั้งสองประเภทให้ชัดเจน และนำไปปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๔. พลังงาน ให้ฝ่ายเศรษฐกิจพิจารณาหาแนวทางส่งเสริมให้มีการใช้พลังงานทดแทน เช่น พลังงานน้ำ พลังงานลม พลังงานความร้อน พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานชีวภาพ เป็นต้น การใช้พลังงานที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อย เช่น ถ่านหินสะอาด เพื่อทดแทนการใช้พลังงานจากก๊าซธรรมชาติหรือน้ำมันเชื้อเพลิง รวมทั้งแสวงหาความร่วมมือด้านพลังงานกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายการสร้างความมั่นคงด้านพลังงานและการส่งเสริมพลังงานทดแทนของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ๕. กฎหมาย ให้ส่วนราชการเร่งเสนอร่างกฎหมายที่เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน การค้า เศรษฐกิจ หรือเป็นอุปสรรคต่อการบริหารราชการแผ่นดินและการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะกฎหมายที่จำเป็นต้องดำเนินการในระยะเร่งด่วน โดยเสนอให้ฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมและฝ่ายที่กำกับดูแลพิจารณากลั่นกรองก่อน แล้วจึงเสนอต่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติภายในวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๕๗
|
||||||||||||||||||||||||
26493 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นางดวงพร รอดพยาธิ์ ฯ) | อื่นๆ | 02/07/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงพาณิชย์ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์เป็นต้นไป จำนวน ๓ ราย ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ทั้งนี้ เมื่อมีการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีแล้ว ให้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งข้าราชการดังกล่าวให้ดำรงตำแหน่งเพื่อให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ดังนี้
๑. นางดวงพร รอดพยาธิ์ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาการพาณิชย์ (นักวิชาการพาณิชย์ทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๖ ๒. นางอัมพวัน พิชาลัย ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาการพาณิชย์ (นักวิชาการพาณิชย์ทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ ๖ มกราคม ๒๕๕๗ ๓. นายอดุลย์ ยุววิทยาพานิชย์ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษากฎหมาย (นิติกรทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ ๙ มกราคม ๒๕๕๗
|
||||||||||||||||||||||||
26494 | การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นางพรรษา ศิริมาจันทร์) | อื่นๆ | 02/07/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติอนุมัติแต่งตั้งนางพรรษา ศิริมาจันทร์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการประสานกิจการความมั่นคง (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๖ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์เป็นต้นไป ทั้งนี้ เมื่อมีการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีแล้ว ให้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งข้าราชการดังกล่าวให้ดำรงตำแหน่งเพื่อให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
|
||||||||||||||||||||||||
26495 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นางสาววารินทร์ ธนาสมหวัง) | กษ | 02/07/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์เป็นต้นไป จำนวน ๒ ราย ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ทั้งนี้ เมื่อมีการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีแล้ว ให้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งข้าราชการดังกล่าวให้ดำรงตำแหน่งเพื่อให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ดังนี้
๑. นางสาววารินทร์ ธนาสมหวัง ดำรงตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการประมง (นักวิชาการประมงทรงคุณวุฒิ) กรมประมง ตั้งแต่วันที่ ๙ กันยายน ๒๕๕๖ ๒. นายบุญสนอง สุชาติพงศ์ ดำรงตำแหน่งวิศวกรใหญ่ที่ปรึกษาด้านวิศวกรรมโยธา (ด้านวางแผนและโครงการ) (วิศวกรโยธาทรงคุณวุฒิ) กรมชลประทาน ตั้งแต่วันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๖
|
||||||||||||||||||||||||
26496 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 งบกลาง ค่าใช้จ่ายในการรักษาความสงบเรียบร้อยการชุมนุมของศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย ระหว่างวันที่ 1 ถึงวันที่ 20 พฤษภาคม 2557 | ตช | 02/07/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติอนุมัติให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในกรอบวงเงิน ๕๖๗,๓๔๕,๖๐๓ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการรักษาความสงบเรียบร้อยการชุมนุม ในช่วงระหว่างวันที่ ๑-๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๗ (รวม ๑๙ วัน เนื่องจากวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๗ ได้ยุติการปฏิบัติหน้าที่แล้ว ตามประกาศกองทัพบก ฉบับที่ ๒/๒๕๕๗ ลงวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๗) ของ ๙ หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม กองบัญชาการกองทัพไทย กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร กรมการปกครอง และกรมประชาสัมพันธ์ กำลังพลรวมทั้งสิ้น ๓๙,๒๖๒ นาย และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการใช้จ่ายเงินงบกลาง ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ให้สอดคล้องกับการปฏิบัติงานจริง เพื่อประกอบการพิจารณาจัดสรรงบประมาณ โดยให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติรวบรวม และขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณโดยตรงต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายข้างต้นให้ถูกต้อง โปร่งใส เป็นไปตามข้อกฎหมาย ระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด เพื่อมิให้เกิดปัญหาและข้อร้องเรียนใด ๆ ในภายหลังด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
26497 | การขอต่อเวลาการดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต (นักบริหารการทูต ระดับสูง) จำนวน 3 ราย | กต | 02/07/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติอนุมัติการต่อเวลาการดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำต่างประเทศ จำนวน ๓ ราย ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้ กรณีการขอต่อเวลาการดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตดังกล่าวเป็นเรื่องที่ค้างการพิจารณาก่อนที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติจะเข้ามาบริหารราชการแผ่นดินและเอกอัครราชทูตดังกล่าวมีภารกิจสำคัญ และจำเป็นต้องปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งเดิมต่อไปอย่างต่อเนื่อง ดังนี้
๑. นายนภดล เทพพิทักษ์ เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเวลลิงตัน ประเทศนิวซีแลนด์ ต่อเวลาการดำรงตำแหน่งไปอีก ๑ ปี ครั้งที่ ๑ ตั้งแต่วันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๕๗ ถึงวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๕๘ ๒. นายนรชิต สิงหเสนี เอกอัครราชทูต คณะผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ต่อเวลาการดำรงตำแหน่งไปอีก ๑ ปี ครั้งที่ ๒ ตั้งแต่วันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๕๗ ถึงวันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๕๘ ๓. นายวีรชัย พลาศรัย เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเฮก ราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ ต่อเวลาการดำรงตำแหน่งไปอีก ๑ ปี ครั้งที่ ๒ ตั้งแต่วันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๕๗ ถึงวันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๕๘
|
||||||||||||||||||||||||
26498 | ผลการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปคปี 2557 | พณ | 02/07/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ
๑. รับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปค (Ministers Responsible for Trade Meeting : MRT) ปี ๒๕๕๗ ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๖-๑๘ พฤษภาคม ๒๕๕๗ ณ เมืองชิงเต่า สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีปลัดกระทรวงพาณิชย์เป็นหัวหน้าผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุม MRT ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ที่ประชุม MRT เห็นชอบแถลงการณ์รัฐมนตรีการค้าเอเปค (Ministers Responsible for Trade Statement) ซึ่งครอบคลุมประเด็นสำคัญ ได้แก่ การก้าวสู่การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในภูมิภาค การส่งเสริมการพัฒนาอย่างมีนวัตกรรม การปฏิรูปเศรษฐกิจ และการเจริญเติบโต รวมทั้งการเสริมสร้างความเชื่อมโยงอย่างครอบคลุม และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ๑.๒ ที่ประชุม MRT เห็นชอบแถลงการณ์แยกเฉพาะ (Standalone Statement) เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานภายใต้องค์การการค้าโลก (WTO) ซึ่งครอบคลุมประเด็นสำคัญ ได้แก่ การต่อต้านการกีดกันทางการค้า การดำเนินการตามความตกลงว่าด้วยการอำนวยความสะดวกทางการค้า (Trade Facilitation Agreement : TFA) ภายใต้ WTO การจัดทำแผนงานเจรจาหลังบาหลี การสนับสนุนให้การเจรจาขยายความตกลงว่าด้วยการค้าสินค้าเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology Agreement : ITA) และการยืนยันการดำเนินการลดภาษีสินค้าสิ่งแวดล้อมภายใต้เอเปค ๑.๓ หัวหน้าผู้แทนไทยได้หารือทวิภาคีกับ ๒ เขตเศรษฐกิจ ได้แก่ ชิลีและเปรู รวมทั้งการหารือกับคณะนักธุรกิจสหรัฐอเมริกา โดยสหรัฐอเมริกาขอให้รัฐบาลไทยให้ความสำคัญกับการอำนวยความสะดวกทางการค้าและการลงทุน และการสนับสนุนให้การเจรจาขยายขอบเขต ITA สรุปผลได้โดยเร็ว โดยไทยเน้นย้ำการดำเนินกระบวนการภายในประเทศอย่างเต็มที่ตามกรอบระยะเวลาที่กำหนด สำหรับความตกลง TFA ภายใต้ WTO ยืนยันสนับสนุนการเจรจา ITA Expansion และให้ความสำคัญเพิ่มมากขึ้นในการเปิดเสรีการค้าบริการเพื่อตอบสนองต่อปัญหาการขาดแคลนแรงงานมีทักษะ อีกทั้งได้ให้ความมั่นใจเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองของไทย ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการติดตามความคืบหน้าการส่งเสริมการจัดทำเขตการค้าเสรีเอเชีย-แปซิฟิกอย่างใกล้ชิด การผลักดันให้การดำเนินการของเอเปคเป็นไปในแนวทางที่เป็นประโยชน์ต่อไทย ทั้งในแผนการดำเนินงานและการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการจัดตั้งเขตการค้าเสรีเอเชีย-แปซิฟิก การให้ความสำคัญกับการยกระดับผลิตภาพการผลิต การปฏิรูปด้านกฎระเบียบและนโยบายด้านการแข่งขันในตลาดโดยรวมถึงกฎระเบียบที่จะสนับสนุนให้ความเชื่อมโยงทางกายภาพสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้อย่างแท้จริง การส่งเสริมการเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือภาครัฐเอกชนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การบริหารจัดการที่ดีในทุกระดับ การเสริมสร้างบรรยากาศการดำเนินธุรกิจที่คล่องตัวมีประสิทธิภาพ การส่งเสริมการแข่งขันในตลาดโดยการสร้างบรรยากาศการแข่งขันและการสนับสนุนการเปิดเสรีด้านการบริการ การสร้างความแข็งแกร่งและการขยายฐานของ SMEs รวมทั้งการขับเคลื่อนการดำเนินการในด้านต่าง ๆ สู่การปฏิบัติอย่างจริงจัง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
26499 | การขยายระยะเวลาการใช้สิทธิว่าด้วยข้อจำกัดเกี่ยวกับสิทธิในการแปลภายใต้อนุสัญญากรุงเบิร์นว่าด้วยการคุ้มครองงานวรรณกรรมและศิลปกรรม ฉบับแก้ไข ณ กรุงปารีส | พณ | 02/07/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ประเทศไทยขยายระยะเวลาการใช้สิทธิว่าด้วยข้อจำกัดเกี่ยวกับสิทธิในการแปลภายใต้ในบทบัญญัติที่ ๒ ของเอกสารแนบท้ายอนุสัญญากรุงเบิร์นฯ ฉบับแก้ไข ณ กรุงปารีส ออกไป ๑๐ ปี จากวันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๗ และสิ้นสุดในวันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๖๗ ซึ่งการขยายระยะเวลาการใช้สิทธิในการแปลฯ ดังกล่าว เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการส่งเสริมและพัฒนางานด้านศิลปวิทยาการและเทคโนโลยีของไทยซึ่งสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของอนุสัญญากรุงเบิร์นฯ ที่เปิดโอกาสให้ประเทศกำลังพัฒนาสามารถบังคับใช้สิทธิของเจ้าของลิขสิทธิ์บางประการได้เท่าที่จำเป็นเพื่อลดอุปสรรคในการถ่ายโอนเทคโนโลยีและการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ลงนามในหนังสือแสดงเจตนารมณ์ถึงองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (World Intellectual Property Organization : WIPO) ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า กระทรวงพาณิชย์ควรเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ เอกชน และภาควิชาการ ทราบอย่างทั่วถึง เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากการขยายระยะเวลาการใช้สิทธิในการแปลฯ ดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิผล ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ (กรมทรัพย์สินทางปัญญา) รับไปตรวจสอบและรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญาในเรื่องต่าง ๆ ของไทย และเร่งดำเนินการปกป้อง คุ้มครองการจดลิขสิทธิ์ในเรื่องดังกล่าว ไม่ให้ถูกแสวงประโยชน์จากต่างชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งลิขสิทธิ์ทางด้านศิลปะและวัฒนธรรมไทย ทั้งนี้ ให้เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารในเรื่องดังกล่าวให้สาธารณชนได้ทราบอย่างทั่วถึงด้วย |
||||||||||||||||||||||||
26500 | การลงนามใน Memorandum of Agreement และ Side Letter ผลลัพธ์การหารือสองฝ่ายระหว่างไทยกับฟิลิปปินส์ ขอชดเชยการผ่อนผันไม่ปฏิบัติตามพันธกรณีการเปิดคลาดสินค้าข้าวภายใต้องค์การการค้าโลกของฟิลิปปินส์ | พณ | 02/07/2557 | |||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบสารัตถะของร่าง Memorandum of Agreement (MOA) ผลลัพธ์การหารือสองฝ่ายระหว่างไทยกับฟิลิปปินส์ ขอชดเชยการผ่อนผันไม่ปฏิบัติตามพันธกรณีการเปิดตลาดสินค้าข้าวภายใต้องค์การการค้าโลกของฟิลิปปินส์ และร่าง Side Letter ยืนยันว่า เมื่อใดที่ฟิลิปปินส์มีการให้ Tax Expenditure Subsidy (TES) กับการนำเข้าข้าวจะปฏิบัติต่อข้าวของไทยไม่น้อยไปกว่าข้าวที่นำเข้าจากแหล่งอื่น ๆ ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทราบอย่างทั่วถึง ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๒. ให้เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การการค้าโลกหรือผู้แทนลงนามใน MOA ผลลัพธ์การหารือสองฝ่ายฯ และ Side Letter ๓. ให้ผู้แทนไทยพิจารณาใช้ดุลพินิจตามสถานการณ์ ตามความเหมาะสมในเรื่องอื่นใดที่จะเป็นประโยชน์ต่อไทย หากมีการแก้ไขถ้อยคำที่ไม่ใช่สาระสำคัญใน MOA และ Side Letter ดังกล่าว ๔. ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การการค้าโลกหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามใน MOA และ Side Letter ดังกล่าว ๕. ให้กระทรวงพาณิชย์เร่งดำเนินการเจรจาและแสวงหาตลาดใหม่สำหรับสินค้าข้าวของไทยในทุกภูมิภาค เพื่อเป็นการเพิ่มช่องทางในการระบายข้าว ทั้งนี้ ให้ดำเนินการปรับปรุงคุณภาพข้าวก่อนการส่งออก และกำหนดชนิดและระดับคุณภาพของข้าวให้เหมาะสมสอดคล้องกับความต้องการของแต่ละประเทศที่เป็นตลาดใหม่ด้วย |
.....