ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1326 จากทั้งหมด 6201 หน้า แสดงรายการที่ 26501 - 26520 จากข้อมูลทั้งหมด 124003 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
26501 | สถานกาารณ์เศรษฐกิจประจำเดือนตุลาคม และแนวโน้มปี 2556 และ 2557 | นร11 | 17/12/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนตุลาคม ๒๕๕๖ และแนวโน้มปี ๒๕๕๖ และ ๒๕๕๗ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาวะเศรษฐกิจไทยในเดือนตุลาคม ๒๕๕๖ ๑.๑ ภาวะเศรษฐกิจไทยเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า เครื่องชี้เศรษฐกิจที่สำคัญ (หลังปรับปัจจัยฤดูกาล) ปรับตัวดีขึ้น แสดงถึงการฟื้นตัวอย่างช้า ๆ ของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะดัชนีการบริโภคภาคเอกชน การส่งออก และการผลิตภาคเกษตร ซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม การผลิตภาคอุตสาหกรรมหดตัว ในขณะที่ภาคการท่องเที่ยวทรงตัว ๑.๒ ภาวะเศรษฐกิจไทยเมื่อเทียบกับเดือนตุลาคม ๒๕๕๕ เครื่องชี้เศรษฐกิจที่สำคัญ ๆ ทั้งด้านการใช้จ่ายและการผลิตยังคงปรับตัวลดลง การใช้จ่ายภาคครัวเรือนปรับตัวดีขึ้น ดัชนีการลงทุนภาคเอกชนปรับตัวลดลง โดยมีสาเหตุสำคัญมาจากการนำเข้าสินค้าทุนในเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้าอยู่ในระดับสูง การส่งออกสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้น ในขณะที่การท่องเที่ยวเริ่มชะลอตัว เสถียรภาพทางเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ โดยอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นเล็กน้อย อัตราการว่างงานยังอยู่ในเกณฑ์ต่ำ ดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล ๑.๓ เสถียรภาพทางเศรษฐกิจอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ อัตราเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นเล็กน้อย อัตราการว่างงานอยู่ในระดับต่ำ ดุลบัญชีเดินสะพัดกลับมาเกินดุลเนื่องจากการเกินดุลทั้งดุลการค้าและดุลบริการ ๑.๔ สถานการณ์ด้านการคลัง การจัดเก็บรายได้สุทธิของรัฐบาลในเดือนตุลาคม ๒๕๕๖ สูงกว่าเดือนเดียวกันของปีก่อน แต่การเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีและการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจปรับตัวลดลง โดยหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนกันยายน ๒๕๕๖ มีจำนวน ๕,๔๓๐,๕๖๐.๐ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๔๕.๕ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ๑.๕ สถานการณ์ด้านการเงิน ในเดือนตุลาคม ๒๕๕๖ สินเชื่อและเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ยังคงขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง เงินบาทแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย เงินทุนเคลื่อนย้ายไหลออกสุทธิเนื่องจากการออกไปลงทุนในต่างประเทศของนักลงทุนไทยเป็นสำคัญ และในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๖ อัตราดอกเบี้ยนโยบายปรับลดลง ๒. แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี ๒๕๕๖ และ ๒๕๕๗ เศรษฐกิจไทยในปี ๒๕๕๖ มีแนวโน้มขยายตัวร้อยละ ๓.๐ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ร้อยละ ๒.๔ และบัญชีเดินสะพัดขาดดุลร้อยละ ๐.๙ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ส่วนเศรษฐกิจไทยในปี ๒๕๕๗ มีแนวโน้มขยายตัวในช่วงร้อยละ ๔.๐-๕.๐ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยทั้งปีอยู่ในช่วงร้อยละ ๒.๑-๓.๑ และบัญชีเดินสะพัดขาดดุลร้อยละ ๐.๖ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ
|
||||||||||||||||||||||||
26502 | มอบหมายให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีพิจารณากลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี | นร05 | 17/12/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีพิจารณากลั่นกรองเรื่องต่าง ๆ ของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐ ทั้งที่ได้เสนอเรื่องมาแล้ว และอยู่ระหว่างการดำเนินการของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี และเรื่องที่จะเสนอมาใหม่ โดยให้นำเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีหรือส่งเรื่องคืนหน่วยงานเจ้าของเรื่องได้ตามแต่กรณีให้สอดคล้องกับข้อกฎหมายและมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๕๖ (เรื่อง แนวทางปฏิบัติอันเนื่องมาจากการยุสภาผู้แทนราษฎร) ทั้งนี้ เรื่องใดที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้ส่งเรื่องคืนหน่วยงานเจ้าของเรื่องไปแล้ว และหน่วยงานเจ้าของเรื่องเห็นว่ามีความจำเป็นที่จะต้องดำเนินการเรื่องดังกล่าวอย่างเร่งด่วน ก็ให้หน่วยงานเจ้าของเรื่องเร่งชี้แจงข้อมูลเหตุผลความจำเป็น พร้อมจัดทำเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีให้เป็นไปตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๘ และระเบียบที่เกี่ยวข้อง และส่งไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง เพื่อที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจะได้ใช้เป็นข้อมูลประกอบการขอความเห็นจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง และนำเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
26503 | การจัดส่งข้อมูลเกี่ยวกับการต่อต้านการค้ามนุษย์ | นร04 | 17/12/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่เลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอว่า โดยที่ประเทศไทยจะต้องจัดส่งข้อมูลเกี่ยวกับการต่อต้านการค้ามนุษย์ให้กระทรวงแรงงานสหรัฐอเมริกาภายในวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๕๗ เพื่อประเมินผลการปฏิบัติงานของประเทศไทยในการขจัดรูปแบบที่เลวร้ายที่สุดของการใช้แรงงานเด็ก ระหว่างเดือนมกราคม ๒๕๕๖-มีนาคม ๒๕๕๗ จึงสมควรที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะได้เร่งรัดจัดส่งข้อมูลในส่วนที่เกี่ยวข้องให้กระทรวงแรงงาน เพื่อจัดทำข้อมูลเป็นภาพรวมของประเทศไทย แล้วส่งให้กระทรวงแรงงานสหรัฐอเมริกาภายในกำหนดดังกล่าว ๒. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) ประธานกรรมการประสานและกำกับดูแลการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดจัดทำข้อมูลให้กระทรวงแรงงาน เพื่อจัดส่งข้อมูลให้กระทรวงแรงงานสหรัฐอเมริกาได้ทันภายในวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๕๗
|
||||||||||||||||||||||||
26504 | ขอให้เร่งรัดติดตามการดำเนินโครงการ/แผนงานในความรับผิดชอบ | นร | 17/12/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่ได้มีเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองเพื่อเรียกร้องความต้องการตามแนวทางและผลประโยชน์ของกลุ่มบุคคลบางกลุ่มมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๖ จนถึงปัจจุบัน ซึ่งส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศ ตลอดจนความเชื่อมั่นของนักลงทุนและนานาประเทศ และในขณะนี้พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๕๖ มีผลใช้บังคับแล้วตั้งแต่วันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๕๖ มีผลให้คณะรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่งต้องอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่ โดยคณะรัฐมนตรีและรัฐมนตรีจะปฏิบัติหน้าที่ได้เท่าที่จำเป็นภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด ตามนัยมาตรา ๑๘๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย นั้น เพื่อให้การขับเคลื่อนการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ต่อเนื่อง และเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ จึงขอให้รัฐมนตรีทุกท่านกำชับให้หัวหน้าส่วนราชการและหัวหน้าหน่วยงานต่าง ๆ ในความรับผิดชอบเร่งรัด กำกับ ติดตามการปฏิบัติงานและการดำเนินโครงการ/แผนงานต่าง ๆ ตามอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานนั้น ๆ ให้แล้วเสร็จ เป็นไปตามกรอบเวลาและงบประมาณที่ได้รับอนุมัติหรือได้รับความเห็นชอบไว้แล้ว โดยให้ดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามข้อกฎหมาย ระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
26505 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการควบคุมและดำเนินการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการเลือกตั้งทั่วไป (กรณียุบสภา) | ลต | 17/12/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการสนับสนุนงบประมาณสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง หน่วยงานราชการ และรัฐวิสาหกิจในการควบคุมและดำเนินการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการเลือกตั้งทั่วไป (กรณียุบสภา) ในกรอบวงเงิน ๓,๘๘๕,๐๐๖,๕๐๐ บาท ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งเสนอ โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น และให้ขอทำความตกลงในรายละเอียดค่าใช้จ่ายกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับที่เกี่ยวข้องก่อนดำเนินการต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ประสานกับคณะกรรมการการเลือกตั้งในการเชิญผู้แทนของหน่วยงานและองค์กรต่างประเทศมาเป็นผู้สังเกตการณ์การเลือกตั้ง ๓. ให้รัฐมนตรีกำชับหน่วยงานที่ร่วมดำเนินการในการจัดการเลือกตั้งและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้การสนับสนุนการจัดการเลือกตั้งอย่างเต็มที่ด้วยความเป็นกลาง เพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปอย่างโปร่งใส บริสุทธิ์ และยุติธรรม |
||||||||||||||||||||||||
26506 | คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ซึ่งยกอุทธรณ์ของนายดุสิต เจริญกุลทรัพย์ ที่เป็นโจทก์ฟ้องคณะรัฐมนตรีกับพวกรวม 3 คน ต่อศาลแพ่ง เรื่องที่โจทก์ขอรับสิทธิตามระเบียบของทางราชการภายหลังพ้นโทษจำคุกอันเนื่องมาจากคำสั่งตามมาตรา 17 แห่งธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2515 | อส | 17/12/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ในคดีหมายเลขดำที่ ๕๒๕/๒๕๕๖ คดีหมายเลขแดงที่ ๑๑๒๐๐/๒๕๕๖ ซึ่งพิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์ในคดีหมายเลขดำที่ ๔๙๒๕/๒๕๕๕ คดีหมายเลขแดงที่ ๔๘๙๔/๒๕๕๕ ระหว่างนายดุสิต เจริญกุลทรัพย์ โจทก์ คณะรัฐมนตรี ที่ ๑ กับพวกรวม ๓ คน จำเลย เรื่อง เพิกถอนมติของคณะรัฐมนตรีและคำสั่งกระทรวงกลาโหม
|
||||||||||||||||||||||||
26507 | แนวทางปฏิบัติอันเนื่องมาจากการยุบสภาผู้แทนราษฎร | นร05 | 10/12/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ ๒. เห็นชอบแนวทางปฏิบัติอันเนื่องมาจากการยุบสภาผู้แทนราษฎร ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้พิจารณาร่วมกัน และให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติ ๓. เห็นชอบให้ทุกส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ถือปฏิบัติ ๓.๑ กำชับข้าราชการ พนักงาน และเจ้าหน้าที่ในสังกัดทุกประเภททุกระดับ ทั้งในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๓๙ [เรื่อง การปรับปรุง แก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติในการเลือกตั้ง (แจ้งตามหนังสือสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ที่ นร ๐๒๑๖/ว ๑๔๑ ลงวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๓๙)] โดยเคร่งครัด โดยเฉพาะการให้ความร่วมมือช่วยเหลือและสนับสนุน การดำเนินการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อได้รับการร้องขอจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง คณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดหรือคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้ง รวมทั้งการวางตัวเป็นกลางของข้าราชการ พนักงาน และเจ้าหน้าที่ของรัฐทุกประเภทและทุกระดับดังกล่าวด้วย ๓.๒ เห็นชอบในหลักการให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สามารถนำงบประมาณมาสนับสนุนการเลือกตั้งได้ โดย ๓.๒.๑ กรณีเป็นการดำเนินการใด ๆ ที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้แต่ละหน่วยงานพิจารณาดำเนินการไปได้ตามความเหมาะสม ๓.๒.๒ กรณีเป็นการดำเนินการใด ๆ ที่ไม่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้แต่ละหน่วยงานเสนอขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณก่อนดำเนินการต่อไป ๓.๒.๓ เห็นชอบให้กระทรวง กรม รัฐวิสาหกิจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งข้าราชการ พนักงาน และลูกจ้างของหน่วยงานต่าง ๆ ดังกล่าว ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๕๐ [เรื่อง สรุปผลการหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีและคณะกรรมการการเลือกตั้ง (แจ้งตามหนังสือสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ด่วนที่สุด ที่ นร ๐๕๐๖/ว ๑๔๗ ลงวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๐)]
|
||||||||||||||||||||||||
26508 | การแต่งตั้งข้าราชการ (นางชลิดา โชติยกุล) | นร10 | 03/12/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนางชลิดา โชติยกุล ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งที่ปรึกษาระบบราชการ (นักทรัพยากรบุคคลเชี่ยวชาญ) สำนักงาน ก.พ. ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาระบบราชการ (นักทรัพยากรบุคคลทรงคุณวุฒิ) สำนักงาน ก.พ. สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ ๘ มกราคม ๒๕๕๖ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
26509 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์ และสินค้าฟุ่มเฟือยเป็นสินค้าที่ต้องห้ามส่งออกไปสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี และกำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์ที่ส่งมาจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีเป็นสินค้าที่ต้องห้ามนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. .... (มาตรการคว่ำบาตรสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี) | พณ | 03/12/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์ และสินค้าฟุ่มเฟือยเป็นสินค้าที่ต้องห้ามส่งออกไปสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี และกำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์ที่ส่งมาจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีเป็นสินค้าที่ต้องห้ามนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การห้ามส่งออกอาวุธและยุทโธปกรณ์ไปสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี และการห้ามนำเข้าอาวุธและยุทโธปกรณ์ที่ส่งมาจากหรือมีแหล่งกำเนิดจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี พ.ศ. ๒๕๕๐ ลงวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๐ และให้อาวุธและยุทโธปกรณ์และสินค้าฟุ่มเฟือยเป็นสินค้าต้องห้ามในการส่งออกไปสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี รวมทั้งให้อาวุธและยุทโธปกรณ์ที่ส่งมาจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีเป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับคำกำจัดความของคำว่า “อาวุธและยุทโธปกรณ์” ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับกรณีที่คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติได้กำหนดให้รัฐสมาชิกที่จะจัดหา ซื้อขาย หรือขนย้ายอาวุธเล็กและอาวุธเบาไปยังสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี รวมทั้งธุรกรรมทางการเงิน การฝึกอบรม การให้คำแนะนำ การบริการ การให้ความช่วยเหลือ การผลิต และการบำรุงรักษาที่เกี่ยวข้อง จำเป็นต้องแจ้งให้คณะกรรมการคว่ำบาตรทราบล่วงหน้าอย่างน้อย ๕ วัน ซึ่งอาจมีผลเป็นการจำกัดสิทธิของไทยในทางปฏิบัติ เกินกว่าที่จำเป็นหรือที่มีผลผูกพันประเทศไทย โดยเฉพาะหากจะมีผู้ประกอบการไทยที่ประสงค์จะส่งออกหรือส่งผ่านอาวุธเล็กหรืออาวุธเบาไปยังสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีจะไม่อาจทำได้ภายใต้ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ฯ ฉบับใหม่นี้ ซึ่งกระทรวงพาณิชย์อาจพิจารณาหารือกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นผู้รักษากฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อความรอบคอบในรายละเอียด และให้กระทรวงพาณิชย์แจ้งรายละเอียดของร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ฯ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนทราบอย่างทั่วถึงโดยเร็ว ทั้งนี้ เพื่อให้สามารถปฏิบัติตามได้อย่างถูกต้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
26510 | การประชุมคณะรัฐมนตรี (วันพุธที่ 11 ธันวาคม 2556) | นร | 03/12/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่เลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอว่า โดยที่วันอังคารที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๕๖ เป็นวันหยุดราชการ คณะรัฐมนตรีจึงมีมติให้เลื่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีในครั้งต่อไปเป็นวันพุธที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๖
|
||||||||||||||||||||||||
26511 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นายสมบัติ แทนประเสริฐสุข) | สธ | 03/12/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายสมบัติ แทนประเสริฐสุข ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งนายแพทย์เชี่ยวชาญ (เวชกรรมป้องกัน) กรมควบคุมโรค ให้ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ผู้ทรงคุณวุฒิด้านเวชกรรมป้องกัน) กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๕๕ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
26512 | การจัดตั้งคณะกรรมการนโยบายพัฒนากฎหมายเพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียนและเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขัน | ยธ | 03/12/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติการจัดตั้งคณะกรรมการนโยบายพัฒนากฎหมายเพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียนและเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขัน โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานกรรมการ ๑.๒ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาตินำกรอบแนวทางการพัฒนากฎหมาย ๓ ด้าน ที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ได้แก่ กรอบที่ ๑ การพัฒนากฎหมายที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานในการประกอบธุรกิจเพื่อเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันอันเป็นการทั่วไป กรอบที่ ๒ การพัฒนากฎหมายเพื่อเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของกลุ่มธุรกิจ/อุตสาหกรรมเป้าหมาย และกรอบที่ ๓ การพัฒนาองคาพยพ/ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย ไปใช้เป็นแนวทางการปฏิรูปกฎหมายในกรอบยุทธศาสตร์ประเทศ (Country Strategy) ๑.๓ ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาจัดช่องทางพิเศษสำหรับการพิจารณาและผลักดันร่างกฎหมายทั้งในกรอบของรัฐบาลและกรอบของรัฐสภา โดยในกรอบของรัฐบาลควรจัดช่องทางพิเศษสำหรับร่างกฎหมายที่จะได้รับการตรวจพิจารณาจากคณะกรรมการกฤษฎีกา และขอความร่วมมือให้มีการพิจารณาโดยคณะพิเศษของคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อให้ร่างกฎหมายผ่านไปตามวัตถุประสงค์และทันตามระยะเวลาที่กำหนด และพิจารณาแนวทางร่วมมือเพื่อให้รัฐสภากำหนดเป็นวาระเร่งด่วน และจัดกลไกเฉพาะในการดูแลให้ความเห็นชอบต่อร่างกฎหมายตามแผนงานโดยเร็ว ๒. ให้ปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการนโยบายพัฒนากฎหมายเพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียนและเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขัน โดยเพิ่มอธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เป็นกรรมการ ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และกำหนดให้มีเฉพาะหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องที่มีอยู่ในปัจจุบัน ตามความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. |
||||||||||||||||||||||||
26513 | การเสนอขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2556 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น (เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการส่งเสริมสนับสนุนการจัดการศพผู้สูงอายุตามประเพณี) | พม | 03/12/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้สำนักงานส่งเสริมสวัสดิภาพและพิทักษ์เด็ก เยาวชน ผู้ด้อยโอกาส และผู้สูงอายุ ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่กระทรวงการคลังอนุมัติให้กันไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว จำนวน ๓๔๒,๑๗๔,๐๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการส่งเสริม สนับสนุนการจัดการศพผู้สูงอายุตามประเพณี จำนวน ๑๗๑,๐๘๗ ราย ที่เสียชีวิตและรอรับการช่วยเหลือค่าจัดการศพ รายละ ๒,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ โดยให้สำนักงานส่งเสริมสวัสดิภาพและพิทักษ์เด็ก เยาวชน ผู้ด้อยโอกาส และผู้สูงอายุ ขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณโดยตรงต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||
26514 | รายงานผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน ครั้งที่ 31 และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง ณ เกาะบาหลี สาธารณรัฐอินโดนีเซีย | พน | 03/12/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน ครั้งที่ ๓๑ (The 31st ASEAN Ministers on Energy Meeting 31st AMEM) และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง ตามคำเชิญของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานและทรัพยากรแร่ธาตุของอินโดนีเซียและสำนักงานเลขาธิการอาเซียน ในระหว่างวันที่ ๒๕-๒๖ กันยายน ๒๕๕๖ ณ เกาะบาหลี สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน ครั้งที่ ๓๑ (31st AMEM) ที่ประชุมได้แสดงความยินดี ชื่นชม ยืนยันและเห็นชอบข้อตกลงต่าง ๆ ได้แก่ ๑.๑ ยินดีกับความก้าวหน้าของผลการทบทวนกลางเทอมในแผนปฏิบัติการด้วยความร่วมมือด้านพลังงานอาเซียน ปี ๒๕๕๓-๒๕๕๘ (ASEAN Plan of Action on Energy Cooperation Mid-Term Review : APAEC MTR 2010-2015) ๑.๒ เห็นชอบที่จะให้เจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านพลังงานดำเนินการติดตามและทบทวนแผนปฏิบัติการฯ นี้ต่อไป ๑.๓ ยืนยันข้อตกลงร่วมกันในการส่งเสริมความมั่นคงด้านพลังงานเกี่ยวกับความร่วมมือในการจัดหาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ๑.๔ เห็นชอบและลงนามในตราสารขยายอายุบันทึกความเข้าใจอาเซียนว่าด้วยโครงการเชื่อมโยงท่อส่งก๊าซธรรมชาติ (Trans-ASEAN Gas Pipeline : TAGP) เป็นเวลา ๑๐ ปี จนถึงเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๗ และพิธีสารแก้ไขเพิ่มเติมความตกลงว่าด้วยการจัดตั้งศูนย์พลังงานอาเซียน (ASEAN Centre for Energy : ACE) สำหรับเป็น think tank มืออาชีพ และสนับสนุนงานด้านวิชาการด้านพลังงานให้แก่สมาชิกอาเซียนต่อไป ๑.๕ ชื่นชมในความพยายามของคณะสภาผู้ว่าการการไฟฟ้าอาเซียน (HAPUA) ในการดำเนินการปรับให้มีระบบข้อกฎหมาย เทคนิค โครงข่ายการกำกับดูแลให้มีมาตรฐานที่สอดคล้องกันในระบบโครงข่ายสายส่งไฟฟ้าอาเซียน (ASEAN Power Grid) และยินดีกับความคืบหน้าในการขยายโครงข่ายสายส่งไฟฟ้า ๖ โครงการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงข่ายสายส่งใหม่ระหว่างเวียดนาม-สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และรัฐซาราวักของมาเลเซีย-รัฐกาลิมันตันตะวันตกของอินโดนีเซีย รวมถึงการส่งเสริมและพัฒนาพลังงานทดแทนซึ่งมีส่วนในการลดปริมาณการใช้พลังงานต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในภูมิภาค (Energy Intensity : EI) ได้ถึงร้อยละ ๗.๕๖ ในปี ๒๕๕๓ (ปี ๒๕๔๘ เป็นปีฐาน) จากเป้าหมายในการลด EI ในการใช้พลังงานของอาเซียนให้ได้ถึงร้อยละ ๘ ภายในปี ๒๕๕๘ ๑.๖ รับทราบข้อริเริ่มของความร่วมมือโครงการสร้างความตระหนักรู้ด้านพลังงานในอาเซียน (ASEAN Energy Literacy Cooperation Initiative : AELCI) ตามข้อเสนอของไทย ๒. การประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ การประชุมรัฐมนตรีอาเซียน+๓ ด้านพลังงานอาเซียน ครั้งที่ ๑๐ (10th AMEM+3) การประชุมรัฐมนตรีเอเชียตะวันออกด้านพลังงาน ครั้งที่ ๗ (7th EAS EMM) การประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงานกับทบวงการพลังงานระหว่างประเทศ และการหารือทวิภาคีกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว การหารือทวิภาคีกับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ การหารือทวิภาคีกับสภาธุรกิจอาเซียน-สหรัฐฯ และการหารือทวิภาคีกับทบวงการพลังงานระหว่างประเทศ
|
||||||||||||||||||||||||
26515 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "ยุทธศาสตร์หุ้นส่วนเศรษฐกิจเพื่อนบ้านไทย - กัมพูชา" | สสป | 03/12/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "ยุทธศาสตร์หุ้นส่วนเศรษฐกิจเพื่อนบ้านไทย-กัมพูชา" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงพาณิชย์ร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน กระทรวงแรงงาน กระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยสภาที่ปรึกษาฯ ได้ให้ความเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับแนวนโยบายการขับเคลื่อนความเป็นหุ้นส่วนเศรษฐกิจเพื่อนบ้านไทย-กัมพูชา แนวนโยบายส่งเสริมเศรษฐกิจการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา แนวนโยบายการเชื่อมโยงเศรษฐกิจไทย-กัมพูชา ได้แก่ ผลักดันให้มีการจัดตั้งสภาธุรกิจกัมพูชา-ไทย (ฝั่งกัมพูชา) ให้สำเร็จ เพื่อเป็นจุดเชื่อมต่อหลักกับสภาธุรกิจไทย-กัมพูชา (ฝั่งไทย) ที่ได้มีการจัดตั้งขึ้นมาแล้ว แนวนโยบายส่งเสริมการลงทุนไทย-กัมพูชา และแนวนโยบายเพื่อความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ โดยมีกัมพูชาเป็นฐานการผลิต
|
||||||||||||||||||||||||
26516 | รายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานตามแนวทางการเพิ่มปริมาณการใช้ยางพาราในภาคอุตสาหกรรม | อก | 03/12/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบความก้าวหน้าการดำเนินงานตามแนวทางการเพิ่มปริมาณการใช้ยางพาราในภาคอุตสาหกรรม ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยาง ๑.๑.๑ การส่งเสริมการลงทุน ได้แก่ การพิจารณาให้การส่งเสริมผู้ประกอบการรายเดิมที่ไม่เคยได้รับการส่งเสริม การพิจารณาคำขอส่งเสริมการลงทุนของบริษัทผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ยางจากต่างประเทศที่ผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ การคงนโยบายการส่งเสริมการลงทุนเดิมถึงสิ้นปี พ.ศ. ๒๕๕๗ และตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๘ เป็นต้นไป จะเริ่มใช้นโยบายส่งเสริมการลงทุนใหม่ และการขยายเวลาการส่งเสริมการลงทุนเพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ใน ๔ จังหวัด คือ จังหวัดสตูล ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส และ ๔ อำเภอในจังหวัดสงขลา คือ อำเภอจะนะ นาทวี สะบ้าย้อย และเทพา ที่จะสิ้นสุดในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ ๑.๑.๒ การมาตรฐาน ได้แก่ การกำหนดนโยบายมาตรฐานยางรถยนต์นั่งและรถยนต์เชิงพาณิชย์ตามข้อตกลงอาเซียน โดยอ้างอิงกับ UNECE Regulation เกี่ยวกับสมรรถนะและความปลอดภัย การผลักดันให้มีการดำเนินการตามกรอบความตกลงการยอมรับร่วม (Mutual Recognition Agreement-MRA) ของ ASEAN การรวบรวมข้อมูลขีดความสามารถของห้องทดสอบต่าง ๆ รวมทั้งเร่งประสานความต้องการการทดสอบของภาคเอกชนเพื่อพัฒนาขีดความสามารถของห้องทดสอบในประเทศให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล และจัดเตรียมงบประมาณในการสนับสนุนการพัฒนาห้องทดสอบ นอกจากนี้ ได้จัดให้มีภาคเอกชนในคณะผู้แทนไทยเพื่อเข้าร่วมการประชุมสมาชิกองค์การระหว่างประเทศว่าด้วยการมาตรฐาน หรือ ISO/TC 45 Rubber and Rubber Products ซึ่งประเทศไทยเป็นสมาชิกประเภทร่วมทำงาน (P-member) ในการกำหนดมาตรฐานเกี่ยวกับยางและผลิตภัณฑ์ยาง ๑.๑.๓ การจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมเมืองยาง (Rubber City) ได้แก่ การเร่งพัฒนาพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมเพื่อรองรับการใช้ยางในประเทศ รวม ๒ แห่ง ประกอบด้วย นิคมอุตสาหกรรมภาคใต้ จังหวัดสงขลา และนิคมอุตสาหกรรมหลักชัยเมืองยาง ตำบลสำนักทอง อำเภอเมือง จังหวัดระยอง โดยกำหนดแผนพัฒนาให้แล้วเสร็จพร้อมเปิดดำเนินการในปี ๒๕๕๘ ซึ่งคาดว่าจะมีการใช้ยางได้ประมาณ ๔๔๐,๐๐๐ ตัน/ปี ๑.๒ การสนับสนุนสินเชื่อให้แก่ผู้ประกอบการแปรรูปผลิตภัณฑ์ยางพาราในการขยายกำลังการผลิตและการปรับเปลี่ยนเครื่องจักร ๑๕,๐๐๐ ล้านบาท ได้แก่ การกำหนดหลักเกณฑ์/แนวทางการพิจารณาสินเชื่อให้แก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยางกลุ่มต่าง ๆ ที่ต้องการสนับสนุนสินเชื่อ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงพลังงาน และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อใช้ประโยชน์จากนโยบายของรัฐบาลด้านการบูรณาการงานวิจัย ในการพัฒนาห่วงโซ่มูลค่าของยางพาราผลิตภัณฑ์ และอุตสาหกรรมต่อเนื่อง นอกจากนี้ ควรจัดทำแผนปฏิบัติการตามแนวทางเพิ่มปริมาณการใช้ยางพาราในภาคอุตสาหกรรมที่ชัดเจน โดยคำนึงถึงการพัฒนาอุตสาหกรรมยางพาราและผลิตภัณฑ์ทั้งระบบอย่างมีประสิทธิภาพ ต่อเนื่อง และยั่งยืน รวมทั้งการลดความเสี่ยงจากความผันผวนด้านราคายางพาราที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งเป็นผลมาจากความไม่สมดุลของปริมาณยางพาราที่เพิ่มขึ้นและความต้องการของภาคอุตสาหกรรมที่จะรองรับได้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
26517 | รายงานสรุปผลการประชุมประจำปี 2556 เรื่อง เส้นทางประเทศไทย....สู่ประชาคมอาเซียน | นร11 | 03/12/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการประชุมประจำปี ๒๕๕๖ เรื่อง เส้นทางประเทศไทย...สู่ประชาคมอาเซียน เมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๕๖ ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี เพื่อติดตามความก้าวหน้า ปัญหา และอุปสรรคของการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในมิติต่าง ๆ ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธีเปิดการประชุม ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สรุปความคิดเห็นของวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ ๑.๑ การพัฒนาการศึกษาที่ต้องส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์และการเรียนรู้ผ่านการปฏิบัติจริง และการปรับเปลี่ยนระบบการประเมินคุณภาพจากการประเมินเฉพาะด้านวิชาการอย่างเดียว เป็นการประเมินที่ครบทั้งการพัฒนาด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสังคม ๑.๒ การสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาให้มากขึ้นเพื่อใช้ประกอบการดำเนินงานในกิจการภาครัฐ สร้างนวัตกรรม และพัฒนาสินค้าและบริการให้มีมูลค่าสูงขึ้น ๑.๓ การสร้างความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย ๑.๔ การพัฒนาคนทั้งด้านองค์ความรู้และทักษะการทำงานควบคู่ไปกับการเร่งสร้างความปรองดองของคนในชาติ ๒. สรุปความเห็นร่วมกันจากการประชุมกลุ่มย่อย ๒.๑ กลุ่มที่ ๑ : การเตรียมความพร้อมด้านการเงิน การคลัง และการค้าการลงทุนเพื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ได้แก่ การวางบทบาทหรือตำแหน่ง (Positioning) ของประเทศ และการกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาที่มีความเชื่อมโยงระหว่างท้องถิ่น ประเทศ และโลก การปรับปรุงกฎ ระเบียบ และโครงสร้างภาษีที่เป็นอุปสรรคต่อการค้า การผลิต และการลงทุนให้เหมาะสมและเอื้อต่อการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว การให้ความสำคัญกับการค้าชายแดน และการอำนวยความสะดวกทางการค้า การกำหนดนโยบายการส่งเสริมการลงทุนของไทยในต่างประเทศเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมที่มีศักยภาพ การเตรียมความพร้อมด้านบุคลากรทั้งในภาครัฐ ภาคการผลิต และภาคบริการ อย่างเหมาะสมและตรงตามความต้องการ การเฝ้าระวังและติดตามผลกระทบทางลบที่อาจเกิดขึ้น รวมทั้งเตรียมมาตรการเพื่อรองรับและบริหารจัดการผลกระทบ และการสร้างความร่วมมือกับประเทศนอกกลุ่มอาเซียนในการพัฒนาประเทศสู่การเป็นศูนย์กลางทางด้านการเงินและการบริการในอนุภูมิภาค ๒.๒ กลุ่มที่ ๒ : สร้างสังคมผู้ประกอบการไทยก้าวอย่างมั่นใจสู่ประชาคมอาเซียน ได้แก่ การเตรียมความพร้อมของผู้ประกอบการ โดยคำนึงถึงการปรับแบบแผนธุรกิจด้วยการปรับปรุงผลิตภาพและลดต้นทุน หรือปรับปรุงกระบวนการผลิตโดยเลือกผลิตสินค้าและบริการที่มีความเชี่ยวชาญ การเร่งพัฒนาทักษะและความรู้ที่หลากหลายเพื่อยกระดับศักยภาพและสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ธุรกิจ การสนับสนุนผู้ประกอบการโดยการพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การสร้างนวัตกรรมต่าง ๆ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ทั้งระบบ และการพัฒนาต่อยอดด้านการศึกษาเพื่อให้เป็นผู้ประกอบการที่มีคุณภาพ และการส่งเสริมสินค้าไทยที่มีศักยภาพการแข่งขันสูงอยู่แล้ว ต้องมีการปรับตัวโดยนำเทคโนโลยีต่าง ๆ เข้ามาพัฒนาต่อยอดเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้แข่งขันได้ ๒.๓ กลุ่มที่ ๓ : สร้างสรรค์สังคมไทยสู่ประชาคมอาเซียน ได้แก่ การกระตุ้นให้สังคมไทยตื่นตัวและสร้างภูมิคุ้มกันให้สามารถเผชิญการเปลี่ยนแปลงและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการเปิดเสรีด้านต่าง ๆ ทั้งเงินทุน สินค้า บริการ และแรงงาน เพื่อมิให้คนไทยตกเป็นเหยื่อของภัยคุกคามที่มากับกระแสการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว การให้ความสำคัญอย่างจริงจังกับการลงทุนระยะยาวเพื่อพัฒนาคุณภาพคน โดยต้องปฏิรูปวิธีเรียนการสอนให้นักเรียนรู้จักคิด วิเคราะห์และสังเคราะห์ มีความต้องการใฝ่เรียนรู้ที่จะนำไปสู่การเรียนรู้ตลอดชีวิต การสร้างจิตสำนึกที่ดี เป็นคนดีมีคุณธรรม จริยธรรม ซึ่งเป็นพื้นฐานการสร้างสังคมที่ดีและสร้างภูมิคุ้มกันให้สังคม การเน้นให้สมาชิกอาเซียนสร้างค่านิยมร่วม การเห็นประโยชน์ส่วนรวมและการเปิดใจกว้างยอมรับคนอื่นเพื่อลดความแตกแยกของสังคม และการมีระบบคุ้มครองทางสังคมให้กับคนไทยและประชาชนอาเซียนอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม ๒.๔ กลุ่มที่ ๔ : การเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานสู่อาเซียน ได้แก่ การเร่งรัดการปรับปรุงกฎหมายและกฎระเบียบเพื่อการอำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าและบริการให้สามารถใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานได้เต็มศักยภาพ การพัฒนาเชิงพื้นที่รองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจทั้งในเมืองหลักและเมืองชายแดน การส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและการใช้พลังงานทดแทนเพื่อลดความต้องการพลังงานในอนาคตบางส่วนที่ต้องจัดหาแหล่งพลังงานจากต่างประเทศและสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน และการสนับสนุนให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทั้งภายในประเทศและในประเทศเพื่อนบ้าน ๒.๕ กลุ่มที่ ๕ : การเตรียมความพร้อมระดับจังหวัดและกลุ่มจังหวัดเพื่อรองรับประชาคมอาเซียน ได้แก่ บทบาทการพัฒนาเป็นศูนย์กลางการบริการหลัก บทบาทการพัฒนาตามแนวระเบียงเศรษฐกิจ บทบาทการพัฒนาเมืองชายแดนในแต่ละภูมิภาคที่มีเขตติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน บทบาทการพัฒนาเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ และบทบาทการพัฒนาเป็นเครือข่ายสนับสนุนเชื่อมโยงกับเมือง ๒.๖ กลุ่มที่ ๖ : สู่ประชาคมอาเซียน : บริหารจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างไรให้ยั่งยืน ได้แก่ การปฏิรูปกฎหมายและกฎ ระเบียบต่าง ๆ ในการรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยมีการปรับประสานกฎ ระเบียบ และกฎหมายการป้องกันคุณภาพสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน การนำเสนอปัญหาด้านการท่องเที่ยวให้เป็นวาระแห่งชาติ และการส่งเสริมองค์ความรู้ด้านสิ่งแวดล้อมและการบริโภคอย่างยั่งยืนให้แก่ประชาชนอย่างทั่วถึง การสร้างกลไกภาคประชาชน ประชาสังคม และนักวิชาการให้เข้ามามีส่วนร่วมในการติดตาม ตรวจสอบ และแก้ไขปัญหาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปกับการพัฒนาระบบสารสนเทศฐานข้อมูลและเทคโนโลยีการติดตามตรวจสอบที่ทันสมัย และภาครัฐควรเป็นผู้นำในการสนับสนุน การสร้างจิตสำนึกด้านการรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของประเทศสมาชิกอาเซียน
|
||||||||||||||||||||||||
26518 | แถลงการณ์ร่วมระดับรัฐมนตรี 6 ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ครั้งที่ 19 และแผนปฏิบัติการภายใต้กรอบการลงทุนในภูมิภาค (Regional Investment Framewok : RIF) | นร11 | 03/12/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. ร่างแถลงการณ์ร่วม (Joint Ministerial Statement : JMS) ระดับรัฐมนตรี ๖ ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง เพื่อให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) ได้ร่วมกับรัฐมนตรีของประเทศลุ่มแม่น้ำโขงให้การรับรองแถลงการณ์ร่วมระดับรัฐมนตรีฯ โดยไม่มีการลงนามในการประชุมระดับรัฐมนตรี ๖ ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ครั้งที่ ๑๙ ในวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ ๒. แผนปฏิบัติการภายใต้กรอบการลงทุนในภูมิภาค (Regional Investment Framework : RIF) เพื่อให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) ได้ร่วมกับรัฐมนตรีของประเทศลุ่มแม่น้ำโขงให้การรับรองแผนปฏิบัติการฯ โดยไม่มีการลงนามในการประชุมระดับรัฐมนตรี ๖ ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ครั้งที่ ๑๙ ในวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติสามารถปรับปรุงถ้อยคำในแถลงการณ์ร่วมระดับรัฐมนตรีฯ ได้ในกรณีที่ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญในการหารือในการประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส ในวันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๕๖ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ความเห็นชอบอีกครั้ง
|
||||||||||||||||||||||||
26519 | การแก้ไขปัญหายางพาราทั้งระบบ | กษ | 03/12/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการดำเนินงานตามโครงการแก้ไขปัญหายางพาราทั้งระบบ ปี ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ โครงการแก้ไขปัญหายางพาราระยะสั้น (ณ วันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๖) มีเกษตรกรยื่นคำร้องขอขึ้นทะเบียน จำนวน ๑,๑๙๓,๓๓๒ ครัวเรือน (ในจำนวนนี้มีเอกสารไม่ครบถ้วนอยู่ระหว่างรอเอกสารเพิ่มเติม จำนวน ๕๐,๘๘๗ ครัวเรือน) ส่วนผู้ที่มีเอกสารครบถ้วน จำนวน ๑,๑๔๒,๔๔๕ ครัวเรือน มีการบันทึกข้อมูลลงระบบแล้ว จำนวน ๑,๑๒๓,๖๖๒ ครัวเรือน (คิดเป็นพื้นที่เข้าร่วมโครงการ ๑๕.๑๗๗ ล้านไร่) แยกเป็นผู้ที่พร้อมตรวจสอบแปลงได้ จำนวน ๗๘๖,๑๙๕ ครัวเรือน และผู้ที่ยังไม่สามารถตรวจสอบแปลงในขณะนี้ได้ จำนวน ๓๓๗,๔๖๗ ครัวเรือน ทั้งนี้ การตรวจสอบแปลงซึ่งต้องดำเนินการทุกแปลง ตรวจสอบเสร็จและออกใบรับรองแล้ว จำนวน ๔๔๙,๒๘๒ ครัวเรือน จำนวน ๖๔๐,๔๖๖ แปลง โดยแจ้งรายชื่อเกษตรกรพร้อมเลขที่บัญชีธนาคารให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) โอนเงิน จำนวน ๓๓๓,๒๘๓ ครัวเรือน จำนวน ๔๗๙,๒๖๗ แปลง เป็นเงินรวมทั้งสิ้น จำนวน ๙,๕๕๐.๙๒ ล้านบาท จากวงเงินที่สำนักงบประมาณได้โอนมาตั้งจ่ายที่ ธ.ก.ส. แล้ว จำนวน ๙,๙๗๐.๒๘ ล้านบาท ๑.๒ โครงการแก้ไขปัญหายางพาราระยะปานกลาง/ระยะยาว ได้สนับสนุนสินเชื่อ จำนวน ๕,๐๐๐ ล้านบาท แก่สถาบันเกษตรกรเพื่อใช้ในการปรับปรุง/ก่อสร้างโรงงาน รวมถึงการใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนดำเนินธุรกิจแปรรูปยางพารา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมส่งเสริมสหกรณ์ได้สำรวจความต้องการของสถาบันเกษตรกร ซึ่งเบื้องต้นได้มีการยื่นแบบจำนง รวม ๒๔๕ สหกรณ์ วงเงินปริมาณ ๖,๗๑๖ ล้านบาท ส่วนสินเชื่อ จำนวน ๑๕,๐๐๐ ล้านบาท สำหรับการสนับสนุนผู้ประกอบการแปรรูปผลิตภัณฑ์ยางพารานั้น อยู่ระหว่างการจัดทำหลักเกณฑ์เงื่อนไข โดยธนาคารออมสินร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม ๒. งบประมาณที่จะใช้ในการดำเนินงานตามโครงการแก้ไขปัญหายางพาราระยะสั้นส่วนที่เหลือ จำนวน ๑๑,๒๔๘.๙๕ ล้านบาท นั้น อนุมัติและให้ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แต่โดยที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไม่ได้เสนอขอตั้งงบประมาณเพื่อการนี้ไว้ จึงเห็นควรให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่กระทรวงการคลังได้อนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว จำนวน ๑๑,๒๔๘.๙๕ ล้านบาท โดยให้ขอทำความตกลงรายละเอียดกับสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กรมส่งเสริมการเกษตรดำเนินการตามหลักเกณฑ์และขั้นตอนที่คณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติกำหนดไว้ พร้อมทั้งจัดทำคำขออนุมัติจัดสรรงบประมาณตามรายจ่ายจริง และให้ถือว่าคำขอดังกล่าวเป็นคำขออนุมัติจัดสรรงบประมาณของ ธ.ก.ส. พร้อมสำเนาส่ง ธ.ก.ส. สำนักงานใหญ่ และดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วนด้วย |
||||||||||||||||||||||||
26520 | ขอความเห็นชอบต่อเอกสารที่จะมีการรับรองหรือลงนามในการประชุมสุดยอดอาเซียน-ญี่ปุ่น สมัยพิเศษ | กต | 03/12/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมสุดยอดอาเซียน-ญี่ปุ่น สมัยพิเศษ จำนวน ๒ ฉบับ และหากมีความจำเป็นต้องแก้ไขร่างเอกสารที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง โดยร่างเอกสารผลลัพธ์ จำนวน ๒ ฉบับ ได้แก่ ๑.๑ ร่างถ้อยแถลงวิสัยทัศน์ว่าด้วยมิตรภาพและความร่วมมืออาเซียน-ญี่ปุ่น : วิสัยทัศน์ร่วม อัตลักษณ์ร่วม อนาคตร่วม (Vision Statement on ASEAN-Japan Friendship and Cooperation : Shared Vision, Shared Identity, Shared Future) และร่างแผนดำเนินงานฯ (Implementation Plan of the Vision Statement on ASEAN-Japan Friendship and Cooperation : Shared Vision, Shared Identity, Shared Future) มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันระหว่างผู้นำรัฐสมาชิกอาเซียนและญี่ปุ่นที่จะส่งเสริมความเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างอาเซียนกับญี่ปุ่นใน ๔ ด้าน ได้แก่ หุ้นส่วนเพื่อสันติภาพและเสถียรภาพ หุ้นส่วนเพี่อความเจริญรุ่งเรือง หุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิต และหุ้นส่วนใจถึงใจ ๑.๒ ร่างถ้อยแถลงร่วมของการประชุมสุดยอดอาเซียน-ญี่ปุ่น สมัยพิเศษ ภายใต้ชื่อ “มือประสานมือ รับมือกับประเด็นท้าทายระดับภูมิภาคและระดับโลก” (Joint Statement of the ASEAN-Japan Commemorative Summit “Hand in Hand, Facing Regional and Global Challenges”) มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันระหว่างผู้นำรัฐสมาชิกอาเซียนกับญี่ปุ่นถึงบทบาทที่สำคัญของอาเซียนและญี่ปุ่นในประเด็นท้าทายในระดับภูมิภาค ๒. อนุมัติให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองหรือลงนามเอกสารดังกล่าว
|
.....