ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1329 จากทั้งหมด 6201 หน้า แสดงรายการที่ 26561 - 26580 จากข้อมูลทั้งหมด 124004 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
26561 | ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง พ.ศ. .... ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กระทรวงการคลัง พ.ศ. .... รวม 3 ฉบับ | นร09 | 25/11/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการในสังกัดกระทรวงการคลัง จำนวน ๓ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจะได้เสนอร่างกฎกระทรวงดังกล่าวให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังพิจารณาลงนามและประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ดังนี้
๑. ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ปรับปรุงการแบ่งส่วนราชการกรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง โดยกำหนดให้กรมธนารักษ์แบ่งส่วนราชการออกเป็น ๑ สำนักงาน ๑๐ สำนัก ๕ กอง และ ๑ ศูนย์ ๒. ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ปรับปรุงการแบ่งส่วนราชการกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง โดยกำหนดให้กรมบัญชีกลางแบ่งส่วนราชการออกเป็น (๑) ราชการบริหารส่วนกลางแบ่งส่วนราชการออกเป็น ๑ สำนักงาน ๙ สำนัก ๓ กอง ๑ ศูนย์ ๑ สถาบัน และสำนักงานคลังเขต ๑-๙ และ (๒) ราชการบริหารส่วนภูมิภาคแบ่งส่วนราชการออกเป็นสำนักงานคลังจังหวัด รวมทั้งกำหนดให้มีกลุ่มงานด้านวิชาการ กลุ่มตรวจสอบภายใน และกลุ่มพัฒนาระบบบริหาร ๓. ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กระทรวงการคลัง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ปรับปรุงการแบ่งส่วนราชการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กระทรวงการคลัง โดยกำหนดให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจแบ่งส่วนราชการออกเป็น ๑ สำนักงาน ๔ สำนัก ๔ กอง และ ๑ ศูนย์
|
||||||||||||||||||
26562 | รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนตุลาคม 2556 | อก | 25/11/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนตุลาคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. อุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า สถานการณ์การผลิตเหล็ก คาดว่าการผลิตทั้งเหล็กทรงแบนและเหล็กทรงยาวจะขยายตัวขึ้นเล็กน้อย โดยในส่วนของเหล็กแผ่นรีดร้อนและเหล็กแผ่นรีดเย็นการผลิตอาจจะเพิ่มขึ้นเนื่องจากผลทางบวกจากการใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-dumping : AD) และมาตรการปกป้องจากการนำเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้น (Safeguard) สำหรับเหล็กเส้นที่ใช้ในธุรกิจก่อสร้างจะขยายตัวขึ้นตามภาคการก่อสร้างที่ยังมีความต้องการอยู่ ๒. อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ แนวโน้มการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑.๙ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยอุตสาหกรรมไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ ๔ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ ๐.๙ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการส่งออกอิเล็กทรอนิกส์ไปตลาดหลักบางตลาดเริ่มมีการปรับตัวดีขึ้น
|
||||||||||||||||||
26563 | รายงานผลการเบิกจ่ายเงินปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 ไตรมาสที่ 1 - 4 (ตุลาคม 2555 - กันยายน 2556) | กค | 25/11/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเบิกจ่ายเงินปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ไตรมาสที่ ๑-๔ (ตุลาคม ๒๕๕๕-กันยายน ๒๕๕๖) ของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ เป้าหมายการเบิกจ่ายไตรมาสที่ ๔ รายจ่ายภาพรวม ร้อยละ ๙๔.๐๐ ของวงเงินงบประมาณ และรายจ่ายลงทุน ร้อยละ ๘๐.๐๐ ของงบประมาณรายจ่ายลงทุน โดยไตรมาสที่ ๔ มีการเบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๒,๑๗๑,๔๕๙.๐๕ ล้านบาท หรือร้อยละ ๙๐.๔๘ ของวงเงินงบประมาณ จำนวน ๒,๔๐๐,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมาย ร้อยละ ๓.๕๒ โดยเป็นรายจ่ายประจำ จำนวน ๑,๘๙๔,๘๘๔.๕๘ ล้านบาท หรือร้อยละ ๙๕.๑๓ ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำหลังโอนเปลี่ยนแปลง จำนวน ๑,๙๙๑,๘๙๙.๒๙ ล้านบาท และรายจ่ายลงทุน จำนวน ๒๗๖,๕๗๔.๔๗ ล้านบาท หรือร้อยละ ๖๗.๗๗ ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายลงทุนหลังโอนเปลี่ยนแปลง จำนวน ๔๐๘,๑๐๐.๗๑ ล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมายรายจ่ายลงทุน ร้อยละ ๑๒.๒๓ โดยสามารถก่อหนี้ผูกพันได้ จำนวน ๓๒๖,๓๖๓.๙๖ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๗๙.๙๗ ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายลงทุน ๒. เงินงบประมาณที่กันไว้เบิกเหลื่อมปีและขยายเวลาเบิกจ่ายเงิน ประกอบด้วย เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘-๒๕๕๕ จำนวนเงินรวมทั้งสิ้น ๓๐๑,๐๐๙.๙๙ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๒๓๑,๐๒๑.๕๗ ล้านบาท หรือร้อยละ ๗๖.๗๕ ของวงเงินงบประมาณที่กันไว้เบิกเหลื่อมปี หรือเป็นจำนวนมากประมาณครึ่งหนึ่งของงบประมาณรายจ่ายลงทุนประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ เปรียบเทียบกับปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ เบิกจ่ายได้เพียง ๑๔๖,๗๕๑.๗๖ ล้านบาท หรือร้อยละ ๔๘.๗๘ สำหรับเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปีคงเหลือที่ยังไม่ได้เบิกจ่าย จำนวน ๖๙,๙๘๘.๔๒ ล้านบาท หรือร้อยละ ๒๓.๒๕ ได้ก่อหนี้แล้ว จำนวน ๔๗,๑๑๔.๘๘ ล้านบาท และยังไม่มีหนี้ จำนวน ๒๒,๘๗๓.๕๔ ล้านบาท ๓. เงินโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๓๔๙,๙๖๐.๔๔ ล้านบาท เบิกจ่ายตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ จนถึงสิ้นเดือนกันยายน ๒๕๕๖ จำนวน ๗,๕๐๔.๓๘ ล้านบาท ดังนั้น ตั้งแต่เริ่มโครงการจนถึงสิ้นเดือนกันยายน ๒๕๕๖ จัดสรรแล้วจำนวนทั้งสิ้น ๓๔๑,๒๐๘.๘๐ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๓๒๗,๖๘๙.๓๓ ล้านบาท หรือร้อยละ ๙๖.๐๔ ของวงเงินที่จัดสรร ๔. เงินตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๓๕๐,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท เบิกจ่ายตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ จนถึงสิ้นเดือนกันยายน ๒๕๕๖ จำนวน ๑๓,๓๗๙.๐๖ ล้านบาท ดังนั้น ตั้งแต่เริ่มโครงการจนถึงสิ้นเดือนกันยายน ๒๕๕๖ จัดสรรแล้วจำนวนทั้งสิ้น ๓๔๙,๙๙๘.๙๘ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๑๕,๕๐๒.๐๐ ล้านบาท หรือร้อยละ ๔.๔๓ ของวงเงินที่จัดสรร ๕. การเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ เดือนกันยายน ๒๕๕๖ เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๑๖๗,๐๗๐ ล้านบาท หรือร้อยละ ๕๗ ของแผนการลงทุนทั้งปี จำนวน ๒๙๐,๗๕๙ ล้านบาท
|
||||||||||||||||||
26564 | ผลการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 23 และการประชุมสุดยอดอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง | นร04 | 25/11/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๒๓ และการประชุมสุดยอดอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๙-๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๖ ณ บันดาร์เสรีเบกาวัน บรูไนดารุสซาลาม และให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๒๓ ได้แก่ การรับรองเอกสารผลลัพธ์ การสร้างประชาคมอาเซียน ปี ๒๕๕๘ วิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียนภายหลังปี ๒๕๕๘ บทบาทความเป็นแกนกลางของอาเซียนและการมีปฏิสัมพันธ์กับภาคีภายนอก และประเด็นทะเลจีนใต้ ๒. การประชุมสุดยอดอาเซียน-จีน ครั้งที่ ๑๖ ได้แก่ การรับรองเอกสารผลลัพธ์ ความมั่นคง การค้าและการลงทุน การเสริมสร้างความเชื่อมโยง ความร่วมมือทางทะเล การบริหารจัดการภัยพิบัติ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สาธารณสุข การศึกษา และวัฒนธรรม ๓. การประชุมสุดยอดอาเซียน-เกาหลี ครั้งที่ ๑๖ ได้แก่ ภาพรวมความสัมพันธ์อาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ การส่งเสริมความร่วมมือ การบริหารจัดการภัยพิบัติ ความร่วมมือด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน และการแลกเปลี่ยนเยาวชน ๔. การประชุมสุดยอดอาเซียน-ญี่ปุ่น ครั้งที่ ๑๖ ได้แก่ ภาพรวมความสัมพันธ์อาเซียน-ญี่ปุ่น ประเด็นความมั่นคง ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ การส่งเสริมความเชื่อมโยง การบริหารจัดการภัยพิบัติ การศึกษา การแลกเปลี่ยนเยาวชน การเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน และสาธารณสุข ๕. การประชุมสุดยอดอาเซียน+๓ ครั้งที่ ๑๖ ได้แก่ การเมืองและความมั่นคง เศรษฐกิจ การเงิน ความเชื่อมโยง ความมั่นคงทางอาหาร ความมั่นคงด้านพลังงาน สิ่งแวดล้อม การบริหารจัดการภัยพิบัติ การศึกษา และสาธารณสุข ๖. การประชุมสุดยอดอาเซียน-สหรัฐฯ ครั้งที่ ๑ ได้แก่ ความสัมพันธ์อาเซียน-สหรัฐ ด้านความมั่นคง ด้านเศรษฐกิจ ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประชาชน-ประชาชน และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ๗. การประชุมสุดยอดอาเซียน-อินเดีย ครั้งที่ ๑๑ ได้แก่ ความสัมพันธ์อาเซียน-อินเดีย ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ ความร่วมมือด้านการเมืองความมั่นคง ความร่วมมือระดับภูมิภาค การเสริมสร้างความเชื่อมโยง ความร่วมมือเพื่อการพัฒนา การรื้อฟื้นมหาวิทยาลัยนาลันทา และการจัดตั้ง ASEAN-India Centre และ ASEAN-India Trade and Investment Centre ๘. การประชุมสุดยอดอาเซียน-UN ครั้งที่ ๕ ได้แก่ ความสัมพันธ์อาเซียน-UN ประเด็นความมั่นคง เศรษฐกิจและการพัฒนา การส่งเสริมความเชื่อมโยง การบริหารจัดการภัยพิบัติ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และสิทธิมนุษยชน ๙. การประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก ครั้งที่ ๘ ได้แก่ การเมืองและความมั่นคง เศรษฐกิจและการเงิน ความเชื่อมโยง ความมั่นคงทางอาหาร ความมั่นคงด้านพลังงาน สิ่งแวดล้อม การบริหารจัดการภัยพิบัติ การศึกษา และสาธารณสุข
|
||||||||||||||||||
26565 | ผลการประชุม Singapore - Thailand Enhanced Economic Relationship (STEER) ครั้งที่ 3 | พณ | 25/11/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุม Singapore-Thailand Enhanced Economic Relationship (STEER) ครั้งที่ ๓ เมื่อวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๖ ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ และให้กระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุมดังกล่าวต่อไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
๑. ความสัมพันธ์ทางการค้า ประเด็นที่ต้องติดตาม ได้แก่ ส่งเสริมและอำนวยความสะดวกการค้าระหว่างไทยกับสิงคโปร์ให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้น ติดตามปัญหา/อุปสรรคทางการค้าและนำขึ้นหารือกับสิงคโปร์เพื่อหาแนวทางแก้ไข และสนับสนุนการดำเนินงานความร่วมมือภายใต้กรอบอาเซียน ๒. ความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว ประเด็นที่ต้องติดตาม ได้แก่ จัดทำบันทึกความเข้าใจ (MOU) เพื่อกำหนดแนวทางและกิจกรรมในการส่งเสริมการท่องเที่ยวเรือสำราญ และจัดทำแผนงานความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวเรือสำราญระหว่างไทยกับสิงคโปร์ ๓. ความร่วมมือด้านสินค้าเกษตรและอาหาร ประเด็นที่ต้องติดตาม ได้แก่ สานต่อความร่วมมือและประสานงานร่วมกับฝ่ายสิงคโปร์ คือ Agri-Food & Veterinary Authority (AVA) เพื่อการดำเนินการให้เกิดผลในเรื่องการอนุญาตให้โรงงานไก่สดแช่เย็นแช่แข็งของไทยส่งออกไปสิงคโปร์เพิ่มขึ้น การผลักดันให้สิงคโปร์อนุญาตนำเข้าไก่ปรุงสุกจากไทยเป็นสายการผลิต การผลักดันให้สิงคโปร์อนุญาตนำเข้าสุกรแช่เย็นแช่แข็งจากไทย และการเข้ามาลงทุนเลี้ยงสุกรในไทยเพื่อส่งออกไปยังสิงคโปร์ ๔. ความร่วมมือด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ประเด็นที่ต้องติดตาม ได้แก่ จัดทำรายละเอียดขอบเขตความร่วมมือโครงการพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ OTOP ของไทย เพื่อนำไปสู่การจัดทำบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารกับ Infocomm Development Authority (IDA) ของสิงคโปร์ และติดตามการดำเนินงานตาม MOU ๒ ฉบับ คือ MOU ระหว่างสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) (SIPA) กับ Media Development Authority (MDA) ของสิงคโปร์ และ MOU ระหว่างกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารกับ Infocomm Development Authority (IDA) ของสิงคโปร์ ๕. ความร่วมมือด้านโครงสร้างพื้นฐาน ประเด็นที่ต้องติดตาม ได้แก่ การให้ข้อมูลเกี่ยวกับโอกาสในการลงทุนในโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของไทยให้แก่ภาคเอกชนสิงคโปร์ และการเข้ามาลงทุนของสิงคโปร์ในโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของไทย ๖. ความร่วมมือด้านการอำนวยความสะดวกทางการค้า ประเด็นที่ต้องติดตาม ได้แก่ จัดทำแผนดำเนินการเพื่อไปสู่การจัดทำความตกลงยอมรับร่วมกัน (Mutual Recognition Agreement : MRA) ด้าน Authorized Economic Operator (AEO) ระหว่างกรมศุลกากรไทยกับสิงคโปร์ให้แล้วเสร็จและการลงนาม MRA ภายในกำหนดเวลาที่เหมาะสม และติดตามการประสานงานเพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้าระหว่างผู้ประสานงานด้านศุลกากรของฝ่ายไทยกับสิงคโปร์ ๗. การจัดประชุม STEER ครั้งที่ ๔ ได้แก่ ประสานกับฝ่ายสิงคโปร์เพื่อกำหนดวันและสถานที่ และดำเนินการจัดการประชุม |
||||||||||||||||||
26566 | การจัดทำบันทึกความเข้าใจเรื่องความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนข้อมูลธุรกรรมทางการเงินกับหน่วยข่าวกรองทางการเงินแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา | ปง | 25/11/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) เสนอ ดังนี้
๑. ให้สำนักงาน ปปง. จัดทำความตกลงกับหน่วยข่าวกรองทางการเงินแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา (The National Bank of Cambodia) โดยใช้ร่างบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding : MOU) เรื่องความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนข้อมูลธุรกรรมทางการเงินเพื่อการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ที่ปรับปรุงใหม่เป็นต้นแบบสำหรับการตกลงให้ความร่วมมือฯ ๒. ให้เลขาธิการคณะกรรมการ ปปง. เป็นผู้ลงนามบันทึกความเข้าใจฯ ๓. ให้สำนักงาน ปปง. ใช้ดุลยพินิจแก้ไขได้โดยมิต้องขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีอีก หากเป็นการแก้ไขเพียงเล็กน้อยที่ไม่กระทบต่อสารัตถะของร่างบันทึกความเข้าใจฯ |
||||||||||||||||||
26567 | ผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนและญี่ปุ่นว่าด้วยนโยบายความร่วมมือด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ | ทก | 25/11/2556 | |||||||||||||||
|
||||||||||||||||||
26568 | รายงานผลการปฏิบัติงานและผลการใช้จ่ายเงินงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | อส | 25/11/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการปฏิบัติงานและผลการใช้จ่ายเงินงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงานอัยการสูงสุด (อส.) เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการปฏิบัติงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ อส. ได้กำหนดเป้าหมายผลการดำเนินงานตามภารกิจและกิจกรรม ได้แก่ ๑.๑ กิจกรรม : งานอำนวยความยุติธรรมทางอาญา ๑.๑.๑ เป้าหมาย : ผลการดำเนินคดีเป็นไปตามฟ้องไม่น้อยกว่า ๓,๙๘๙,๕๕๐ คดี ผลการดำเนินการ : สามารถดำเนินการได้ จำนวน ๓,๐๔๙,๖๖๙ คดี ๑.๑.๒ เป้าหมาย : จำนวนคดีอาญาที่ส่งและดำเนินคดีแล้วเสร็จไม่น้อยกว่าร้อยละ ๙๐ ผลการดำเนินการ : สามารถดำเนินการได้ร้อยละ ๙๗ ๑.๒ กิจกรรม : งานรักษาผลประโยชน์ ๑.๒.๑ เป้าหมาย : จำนวนคดีแพ่งและคดีปกครองที่ดำเนินการแล้วเสร็จไม่น้อยกว่า ๑๐,๐๐๐ คดี ผลการดำเนินการ : สามารถดำเนินการได้ จำนวน ๑๙,๗๕๘ คดี ๑.๒.๒ เป้าหมาย : จำนวนร่างสัญญาและข้อหารือที่ดำเนินการแล้วเสร็จไม่น้อยกว่า ๔๕๐ เรื่อง ผลการดำเนินการ : สามารถดำเนินการได้ จำนวน ๕๗๑ เรื่อง ๑.๓ กิจกรรม : งานคุ้มครองสิทธิประชาชน เป้าหมาย : จำนวนผู้รับบริการคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายไม่น้อยกว่า ๒๕๐,๐๐๐ ราย ผลการดำเนินการ : สามารถดำเนินการได้ จำนวน ๒๖๔,๖๓๔ ราย ๒. ผลการใช้จ่ายเงินงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ อส. ได้รับจัดสรรเงินงบประมาณ ผลผลิต : การอำนวยความยุติธรรม รักษาผลประโยชน์ของรัฐและคุ้มครองสิทธิประชาชน จำนวน ๖,๕๘๕,๑๗๗,๔๐๐ บาท ในภาพรวม ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๕ สามารถเบิกจ่ายได้จำนวนทั้งสิ้น ๖,๐๕๕,๖๔๓,๖๒๕ บาท ประกอบด้วย ค่าใช้จ่ายบุคลากร จำนวน ๔,๓๑๕,๖๗๕,๐๒๖ บาท ค่าใช้จ่ายดำเนินงาน จำนวน ๑,๖๔๘,๒๔๐,๒๙๘ บาท และค่าใช้จ่ายลงทุน จำแนกเป็น ค่าครุภัณฑ์ จำนวน ๒๔,๖๔๖,๑๒๙ บาท และค่าที่ดินและสิ่งก่อสร้าง จำนวน ๖๖,๗๔๕,๑๗๒ บาท
|
||||||||||||||||||
26569 | รายงานการปฏิบัติงานของศาลปกครองและสำนักงานศาลปกครอง ประจำปี 2555 | ศป | 25/11/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการปฏิบัติงานของศาลปกครองและสำนักงานศาลปกครอง ประจำปี ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงานศาลปกครองเสนอ และให้ส่งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาต่อไป โดยรายงานฯ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับแผนยุทธศาสตร์ในการขับเคลื่อนการดำเนินงาน ๕ ยุทธศาสตร์ ประจำปี ๒๕๕๕ ดังนี้
๑. ยุทธศาสตร์ที่ ๑ พัฒนาการอำนวยความยุติธรรมทางปกครองให้เป็นที่เชื่อมั่นแก่สังคมไทย โดยได้เสริมสร้างมาตรฐานการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลปกครองที่รวดเร็วและมีคุณภาพ ตลอดจนได้เสริมสร้างระบบการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งให้มีประสิทธิผล ๒. ยุทธศาสตร์ที่ ๒ พัฒนาหลักกฎหมายและองค์ความรู้เพื่อให้เป็นศูนย์กลางวิชาการด้านกฎหมายมหาชนที่เป็นที่ยอมรับ โดยได้จัดทำองค์ความรู้ด้านกฎหมายมหาชนเพื่อเผยแพร่แก่ตุลาการศาลปกครองและข้าราชการฝ่ายปกครอง เช่น คำแปลคำพิพากษาของต่างประเทศ งานวิจัย เป็นต้น และได้พัฒนาการให้บริการของหอสมุดกฎหมายมหาชน ตลอดจนให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างความสัมพันธ์และความร่วมมือกับต่างประเทศ ๓. ยุทธศาสตร์ที่ ๓ คุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนและเสริมสร้างการปฏิบัติราชการที่ดีให้แก่หน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ โดยได้ส่งเสริมโอกาสการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมทางปกครองของประชาชน เช่น กิจกรรมศาลปกครองพบประชาชนและเสริมสร้างเครือข่ายด้านสื่อมวลชน กิจกรรมศาลปกครองของประชาชนในเวทีสื่อมวลชน เป็นต้น และได้เสริมสร้างการปฏิบัติราชการที่ดีแก่หน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ๔. ยุทธศาสตร์ที่ ๔ พัฒนาระบบบริหารทรัพยากรมนุษย์เพื่อมุ่งสู่องค์การที่มีขีดสมรรถนะสูง โดยได้ดำเนินการปรับปรุงภารกิจ โครงสร้าง และอัตรากำลังของสำนักงานศาลปกครอง ตลอดจนได้เสริมสร้างความเชี่ยวชาญและขีดสมรรถนะของบุคลากรของศาลปกครองและสำนักงานศาลปกครอง ๕. ยุทธศาสตร์ที่ ๕ พัฒนาระบบบริหารจัดการองค์การเพื่อเอื้อต่อการปฏิบัติภารกิจของศาลปกครอง โดยได้กำหนดแนวทางการปฏิบัติงานระดับหน่วยงาน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยกำหนดให้ทุกหน่วยงานจัดทำแนวทางการยกระดับขีดความสามารถในการทำงานและคุณภาพการให้บริการของหน่วยงานในสำนักงานศาลปกครองให้อยู่ในระดับสูงและได้นำเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมาช่วยสนับสนุนการปฏิบัติงานตามภารกิจของศาลปกครองและสำนักงานศาลปกครองและรองรับการพัฒนาองค์การในอนาคตอีกด้วย
|
||||||||||||||||||
26570 | ผลการเยือนไทยอย่างเป็นทางการของประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐชิลี | นร04 | 25/11/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเยือนราชอาณาจักรไทยอย่างเป็นทางการของนายเซบัสเตียน ปิเญรา เอเชนีเก ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐชิลี ระหว่างวันที่ ๔-๕ ตุลาคม ๒๕๕๖ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามตารางประมวลประเด็นที่ต้องติดตามที่กระทรวงการต่างประเทศจัดทำต่อไป ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ดังนี้
๑. ให้กระทรวงพาณิชย์ประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับความตกลงการค้าเสรี ไทย-ชิลี ให้ทราบโดยทั่วกัน เพื่อให้ภาคเอกชนไทยได้ใช้ประโยชน์จากความตกลงอย่างเต็มที่ โดยกระทรวงการต่างประเทศจะมอบหมายให้สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงซันดิอาโก ดำเนินการในสาธารณรัฐชิลีอีกทางหนึ่งด้วย ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศพิจารณาเรื่องการจัดทำความตกลงด้านการลงทุนกับสาธารณรัฐชิลี ๓. ให้กระทรวงคมนาคมติดตามและเร่งรัดการเจรจาจัดทำความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศกับสาธารณรัฐชิลี ๔. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีติดตามและเร่งรัดการจัดทำหนังสือแสดงเจตจำนงระหว่างสถาบันดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) กับคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของสาธารณรัฐชิลี (CONICYT) ๕. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงแรงงาน และสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ พิจารณาศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดทำความตกลง Work and Holiday กับสาธารณรัฐชิลี
|
||||||||||||||||||
26571 | ร่างพระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 25/11/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ผู้ได้รับหรือมีสิทธิได้รับเบี้ยหวัดตามข้อบังคับกระทรวงกลาโหม ผู้ได้รับหรือมีสิทธิได้รับบำนาญปกติ บำนาญพิเศษเพราะเหตุทุพพลภาพ บำนาญพิเศษ หรือบำนาญตกทอดในฐานะทายาทหรือผู้อุปการะหรือผู้อยู่ในอุปการะ ตามกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญข้าราชการ ซึ่งได้รับเบี้ยหวัดหรือบำนาญรวมกันทุกประเภทและรวมกับเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ (ช.ค.บ.) แล้ว ต่ำกว่าเดือนละ ๙,๐๐๐ บาท ให้ได้รับเงิน ช.ค.บ. เพิ่มขึ้นจนครบเดือนละ ๙,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||
26572 | ร่างกฎ ก.พ. ว่าด้วยการดำเนินการทางวินัย พ.ศ. .... | นร10 | 25/11/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) ในการประชุมครั้งที่ ๘/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๕๖ ที่มีมติเห็นชอบร่างกฎ ก.พ. ว่าด้วยการดำเนินการทางวินัย พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และระยะเวลาการดำเนินการทางวินัยตามมาตรา ๙๔ มาตรา ๙๕ มาตรา ๙๖ มาตรา ๙๗ มาตรา ๑๐๑ และมาตรา ๑๐๕ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) เสนอ
|
||||||||||||||||||
26573 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และอัตราค่าฟื้นฟูสมรรถภาพในการทำงานที่ให้นายจ้างจ่าย พ.ศ. .... | รง | 25/11/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และอัตราค่าฟื้นฟูสมรรถภาพในการทำงานที่ให้นายจ้างจ่าย พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญคือ ปรับปรุงค่าฟื้นฟูสมรรถภาพในการทำงานที่ให้นายจ้างจ่ายตามพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. ๒๕๓๗ ดังนี้
๑. กำหนดแยกค่าใช้จ่ายในการฟื้นฟูสมรรถภาพในการทำงานด้านอาชีพและค่าใช้จ่ายในกระบวนการเวชศาสตร์ฟื้นฟูสมรรถภาพในการทำงานด้านการแพทย์ จากเดิมกำหนดใช้จ่ายรวมกันได้ไม่เกิน ๒๐,๐๐๐ บาท เป็นแต่ละประเภทใช้จ่ายได้ไม่เกิน ๒๔,๐๐๐ บาท ๒. เพิ่มค่าใช้จ่ายในกระบวนการบำบัดรักษาและการผ่าตัดเพื่อประโยชน์ในการฟื้นฟูสมรรถภาพในการทำงาน จาก “ไม่เกิน ๒๐,๐๐๐ บาท” เป็น “ไม่เกิน ๔๐,๐๐๐ บาท” และในกรณีที่ลูกจ้างมีความจำเป็นต้องบำบัดรักษาและผ่าตัดเพื่อประโยชน์ในการฟื้นฟูสมรรถภาพในการทำงานเกินกว่า ๔๐,๐๐๐ บาท ให้จ่ายเพิ่มอีกรวมกันแล้วไม่เกิน ๑๕๐,๐๐๐ บาท ๓. เพิ่มค่าอวัยวะเทียม ค่าอุปกรณ์เสริมไม่เกินอัตราที่กระทรวงการคลังกำหนดรวมแล้วไม่เกิน ๑๖๐,๐๐๐ บาท ซึ่งจากเดิมใช้จ่ายรวมกับการฟื้นฟูสมรรถภาพในการทำงานด้านอาชีพไม่เกิน ๒๐,๐๐๐ บาท |
||||||||||||||||||
26574 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่เทศบาล ตำบลธัญบุรี อำเภอธัญบุรี และตำบลบึงคำพร้อย เทศบาลตำบลลำลูกกา อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี พ.ศ. .... | คค | 25/11/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่เทศบาล ตำบลธัญบุรี อำเภอธัญบุรี และตำบลบึงคำพร้อย เทศบาลตำบลลำลูกกา อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่เทศบาลตำบลธัญบุรี อำเภอธัญบุรี และตำบลบึงคำพร้อย เทศบาลตำบลลำลูกกา อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี เพื่อขยายทางหลวงชนบท ปท.๓๐๐๔ เพื่ออำนวยความสะดวกและความรวดเร็วแก่การจราจรและการขนส่งอันเป็นกิจการสาธารณูปโภค และเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจและเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||
26575 | การบริจาคเงินในการเพิ่มทุนของสมาคมพัฒนาการระหว่างประเทศ ครั้งที่ 17 ของธนาคารโลก | กค | 25/11/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนง (Letter of Intent) เพื่อเป็นผู้บริจาคในการเพิ่มทุนของสมาคมพัฒนาการระหว่างประเทศ (International Development Association : IDA) ครั้งที่ ๑๗ (IDA17) ให้แก่ธนาคารโลก ก่อนการประชุมเพิ่มทุนรอบที่ ๔ ในวันที่ ๑๖-๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๖ ณ กรุงมอสโก สหพันธรัฐรัสเซีย ๑.๒ ให้ผู้แทนกระทรวงการคลังแสดงเจตจำนง (Pledge) ด้วยวาจาและแจ้งจำนวนเงินบริจาคเป็นสกุลเงินบาท จำนวน ๑๕๐ ล้านบาท ในการประชุมเพิ่มทุนรอบที่ ๔ ระหว่างวันที่ ๑๖-๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๖ ณ กรุงมอสโก สหพันธรัฐรัสเซีย ๑.๓ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังลงนามใน Instrument of Commitment (IOC) ภายในวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๗ ๑.๔ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังลงนามในตั๋วสัญญาใช้เงินคลัง (Promissory Notes) ประเภทจ่ายเงินเมื่อทวงถามและไม่มีดอกเบี้ย จำนวน ๓ ฉบับ ภายในวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๕๘ ๒. ให้กระทรวงการคลัง (สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง) เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามแผนการชำระเงินบริจาคเป็นรายปีตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
||||||||||||||||||
26576 | ขอรับจัดสรรงบประมาณเพื่อช่วยเหลือคนไทยออกจากประเทศอียิปต์ | กต | 25/11/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการให้กระทรวงการต่างประเทศใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่ได้รับอนุมัติจากกระทรวงการคลังให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปี ภายในกรอบวงเงิน ๑๔๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท สำหรับอพยพและช่วยเหลือคนไทยออกจากประเทศอียิปต์ โดยให้กระทรวงการต่างประเทศขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||
26577 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการ ะดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข) (นายกิตติ พิทักษ์นิตินันท์) | สธ | 25/11/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายกิตติ พิทักษ์นิตินันท์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งนักวิชาการอาหารและยาทรงคุณวุฒิ (ด้านอาหารและยา) กลุ่มที่ปรึกษาระดับกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๕๖ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|
||||||||||||||||||
26578 | ขออนุมัติจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งเติร์กเมนิสถานว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูต | กต | 25/11/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติการจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งเติร์กเมนิสถานว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูต (Agreement between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of Turkmenistan on the Exemption of Visa Requirements for Holders of Diplomatic Passports) โดยสาระสำคัญของความตกลงฯ เป็นการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับการเดินทางเข้า-ออก เดินทางผ่าน และพำนักอาศัย สำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูตของประเทศคู่ภาคี โดยผู้ถือหนังสือเดินทางดังกล่าวสามารถพำนักในประเทศผู้รับได้ไม่เกิน ๓๐ วัน นับจากวันที่เดินทางเข้ามา อย่างไรก็ตาม ประเทศคู่ภาคีสามารถสงวนสิทธิ์ที่จะปฏิเสธการยกเว้นการตรวจลงตราได้ด้วยเหตุผลด้านความมั่นคงแห่งชาติ ผลประโยชน์แห่งชาติ ความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน และสาธารณสุข ๒. อนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามความตกลงฯ ๓. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงถ้อยคำของร่างความตกลงฯ ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญ เพื่อให้สอดคล้องกับผลประโยชน์และนโยบายของราชอาณาจักรไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง |
||||||||||||||||||
26579 | การพิจารณาให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการก่อสร้างที่ได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนแรงงานอันเนื่องมาจากการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท | กค | 25/11/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการพิจารณาให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการก่อสร้างที่ได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนแรงงาน อันเนื่องมาจากการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ ๓๐๐ บาท ที่คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุได้พิจารณาแล้วในการประชุมครั้งที่ ๑๙/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ และครั้งที่ ๒๐/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ดังนี้ ๑.๑ เป็นการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการก่อสร้างเท่านั้น ๑.๒ การขยายระยะเวลา ๑.๒.๑ ผู้ประกอบการก่อสร้างที่มีสิทธิได้รับการพิจารณาขยายระยะเวลาก่อสร้าง ต้องเป็นคู่สัญญาที่ได้ลงนามทำสัญญาจ้างก่อสร้างกับส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐ โดยบังคับใช้กับสัญญาจ้างก่อสร้างที่ได้ลงนามไว้กับหน่วยงานก่อนวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ ซึ่งสัญญาดังกล่าว ณ วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ ถึงวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๕๖ ยังมีนิติสัมพันธ์อยู่และยังมิได้มีการส่งมอบงานงวดสุดท้ายหรือสัญญาดังกล่าวยังมีนิติสัมพันธ์อยู่ แต่ได้มีการส่งมอบงานงวดสุดท้ายในช่วงระหว่างวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ ถึงวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๕๖ ซึ่งเป็นช่วงระยะเวลาที่ให้ความช่วยเหลือฯ ยกเว้นสัญญาที่หน่วยงานได้พิจารณาก่อนวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ แล้วว่า จะบอกเลิกสัญญาเนื่องจากคู่สัญญาปฏิบัติผิดสัญญา กรณีสัญญาดังกล่าวไม่เข้าเกณฑ์ที่จะได้รับความช่วยเหลือตามมติคณะรัฐมนตรีนี้ ๑.๒.๒ สัญญาจ้างก่อสร้างที่อยู่ในหลักเกณฑ์ตามข้อ ๑.๒.๑ ให้หน่วยงานขยายระยะเวลาออกไปอีก จำนวน ๑๕๐ วัน ในกรณีอายุสัญญาจ้างก่อสร้างน้อยกว่า ๑๕๐ วัน ก็ให้ขยายระยะเวลาได้เท่ากับอายุสัญญาเดิม ๑.๒.๓ สัญญาจ้างก่อสร้างที่ได้รับการขยายระยะเวลาออกไปตามข้อ ๑.๒.๒ โดยกรณีสัญญาจ้างก่อสร้างได้ดำเนินการล่วงเลยกำหนดระยะเวลาแล้วเสร็จตามสัญญา และได้ถูกปรับไว้ในช่วงก่อนหน้าวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ ยังคงเป็นหน้าที่ของผู้ประกอบการที่ต้องรับผิดชอบในส่วนของค่าปรับในช่วงก่อนหน้าที่จะได้รับการช่วยเหลือฯ แต่จะได้รับการลดหรืองดค่าปรับเฉพาะในช่วงระยะเวลาที่ได้รับการช่วยเหลือตามมาตรการนี้เท่านั้น และกรณีสัญญาจ้างก่อสร้างที่ยังอยู่ภายในระยะเวลาตามสัญญา ให้ขยายระยะเวลา โดยนับถัดจากวันสิ้นสุดระยะเวลาตามสัญญาเดิม ๑.๒.๔ กรณีสัญญาจ้างก่อสร้างที่เข้าหลักเกณฑ์ที่จะได้รับความช่วยเหลือฯ หากการขยายระยะเวลาออกไป มีผลทำให้ผู้รับจ้างไม่ถูกปรับ ก็ให้งดลดค่าปรับ หรือคืนเงินค่าปรับ ตามความเป็นจริง แล้วแต่กรณี ๑.๒.๕ กรณีสัญญาจ้างก่อสร้างที่ได้รับความช่วยเหลือ หากสัญญาจ้างก่อสร้างดังกล่าวมีการจ้างเอกชนควบคุมงาน ค่าจ้างควบคุมงาน และหรือค่าจ้างที่ปรึกษา ให้ผู้รับจ้างเป็นผู้รับภาระค่าจ้างควบคุมงาน และหรือค่าจ้างที่ปรึกษาสำหรับระยะเวลาที่ได้ขยายออกไป เนื่องจากผู้รับจ้างได้รับประโยชน์จากการได้รับการขยายระยะเวลาดังกล่าวแล้ว ๑.๒.๖ ผู้ประกอบการก่อสร้างที่ประสงค์จะขอรับความช่วยเหลือจะต้องยื่นคำร้องขอต่อหน่วยงานคู่สัญญาภายใน ๖๐ วัน นับถัดจากวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.๒.๗ กรณีคู่สัญญาใดเห็นว่า การได้รับความช่วยเหลือตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวยังไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญาได้และมีเหตุผลอันสมควร ให้หน่วยงานพิจารณา และหากเห็นสมควรขยายระยะเวลา ก็ให้เสนอต่อคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุเพื่อพิจารณาเป็นกรณี ๆ ไป ๑.๓ การพิจารณาไม่ลงโทษเป็นผู้ทิ้งงาน หากในกรณีที่หน่วยงานได้มีการบอกเลิกสัญญาจ้างก่อสร้างไปแล้ว สืบเนื่องจากผู้รับจ้างได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนแรงงาน อันเนื่องมาจากการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ ๓๐๐ บาท ซึ่งได้บอกเลิกสัญญาในช่วงระหว่างวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ ถึงวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๕๖ ให้ถือว่าไม่เป็นผู้ทิ้งงาน ๑.๔ ให้คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาตีความและวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติในการพิจารณาให้ความช่วยเหลือฯ ดังกล่าว ๑.๕ เพื่อความเป็นธรรมในการพิจารณาให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบการก่อสร้างของหน่วยงานภาครัฐในภาพรวม เห็นควรนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา และมีมติแจ้งเวียนให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐถือปฏิบัติในแนวทางเดียวกัน ๑.๖ ให้กระทรวงมหาดไทยนำมาตรการนี้ไปใช้บังคับในการจัดจ้างก่อสร้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นด้วย โดยอนุโลม ๒. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐนำหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการพิจารณาให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการก่อสร้างที่ได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนแรงงานอันเนื่องมาจากการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ ๓๐๐ บาท ที่คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุได้พิจารณาแล้ว ไปถือปฏิบัติในแนวทางเดียวกัน ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยนำหลักเกณฑ์และเงื่อนไขดังกล่าวไปใช้บังคับในการจัดจ้างก่อสร้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นด้วย โดยอนุโลม |
||||||||||||||||||
26580 | การรับรองร่างปฏิญญาลิมาว่าด้วยการพัฒนาอุตสาหกรรมที่ยั่งยืนและครอบคลุม | อก | 25/11/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างปฏิญญาลิมาว่าด้วยการพัฒนาอุตสาหกรรมที่ยั่งยืนและครอบคลุม (Lima Declaration for Inclusive and Sustainable Industrial Development) ๑.๒ อนุมัติให้หัวหน้าคณะผู้แทนไทยหรือผู้แทนที่เข้าร่วมการประชุมสมัยสามัญ (General Conference : GC) ครั้งที่ ๑๕ ขององค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Industrial Development Organization : UNIDO ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒-๖ ธันวาคม ๒๕๕๖ ณ กรุงลิมา สาธารณรัฐเปรู ให้การรับรองร่างปฏิญญาฯ ดังกล่าว ทั้งนี้ การรับรองปฏิญญาฯ จะทำให้ UNIDO ต้องปรับบทบาทการดำเนินงานให้เพิ่มขึ้นจากเดิมที่มีภารกิจที่สำคัญคือ การยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในประเทศที่ยากจน ผ่านการเผยแพร่ความรู้ ทักษะ ข้อมูล และเทคโนโลยีต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมและกระตุ้นการจ้างงาน สนับสนุนเศรษฐกิจที่มีการแข่งขันอย่างเสรี และสิ่งแวดล้อมที่เอื้ออำนวย ไปสู่การเป็นองค์กรให้ความช่วยเหลือทางเทคนิค การฝึกอบรม การเสนอแนะนโยบายและข้อแนะนำ ตลอดจนการแลกเปลี่ยนความรู้และการปฏิบัติการที่เป็นเลิศให้แก่ประเทศสมาชิก เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมที่ยั่งยืนและครอบคลุม ๑.๓ หากมีการปรับเปลี่ยนถ้อยคำของร่างปฏิญญาฯ ที่ไม่ส่งผลกระทบต่อสาระสำคัญหรือที่ไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศ ก่อนที่จะมีการรับรองเอกสารดังกล่าว ให้คณะผู้แทนไทยสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับประเด็นร่างปฏิญญาฯ จะเข้าข่ายการพิจารณาตาม ๑๙๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ หรือไม่ เห็นควรให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และเห็นควรจัดทำแผนงาน/กิจกรรมที่จะใช้ประโยชน์จากร่างปฏิญญาฯ อย่างเป็นระบบ และประชาสัมพันธ์การดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ตามแผนงานที่หน่วยงานต่าง ๆ จะขอรับการสนับสนุนตามเงื่อนไขของปฏิญญาฯ รวมทั้งรายงานผลการดำเนินงานให้คณะรัฐมนตรีรับทราบเป็นระยะ ๆ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
.....