ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1322 จากทั้งหมด 6201 หน้า แสดงรายการที่ 26421 - 26440 จากข้อมูลทั้งหมด 124003 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
26421 | ขอความเห็นชอบการแต่งตั้งผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี | ศธ | 11/03/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้แต่งตั้งนางพรพรรณ ไวทยางกูร เป็นผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้มีผลดำเนินการต่อไปได้เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้งพิจารณาให้ความเห็นชอบแล้ว
|
|||||||||||||||||||||||||||
26422 | ร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ลดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) | กค | 11/03/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานรายงานว่า ปัจจุบันเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงลดลงอย่างมาก โดยติดลบเฉลี่ย ๑๒๕ ล้านบาทต่อวัน อันเนื่องมาจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่สูงขึ้นและวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นที่ประเทศยูเครน ๒. เห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ลดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ขยายระยะเวลาการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลที่มีปริมาณกำมะถันไม่เกินร้อยละ ๐.๐๐๕ โดยน้ำหนัก ในอัตราภาษี ๐.๐๐๕ บาทต่อลิตร และน้ำมันดีเซลที่มีไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันผสมอยู่ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๔ ในอัตราภาษี ๐.๐๐๕ บาทต่อลิตร ออกไปอีก ๑ เดือน คือ ตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๗ ถึงวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้เมื่อได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้งแล้ว
|
|||||||||||||||||||||||||||
26423 | ขออนุมัติแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด อีกตำแหน่ง (พลตำรวจเอก พงศพัศ พงษ์เจริญ) | ยธ | 11/03/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งพลตำรวจเอก พงศพัศ พงษ์เจริญ ข้าราชการตำรวจ ตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด กระทรวงยุติธรรม อีกตำแหน่งหนึ่ง เป็นเวลา ๑ ปี ตั้งแต่วันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๗ เป็นต้นไป ตามมาตรา ๑๑ (๕) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่ขัดข้อง โดยให้ยังคงดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ อยู่ต่อไป และให้นับระยะเวลาการดำรงตำแหน่งต่อเนื่อง ส่วนกรณีเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง และสิทธิประโยชน์อันพึงมีพึงได้ให้คงได้รับตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
26424 | การตั้งมูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี (Princess Maha Chakri Award Foundation) | ศธ | 11/03/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้กระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักงานเลขาธิการคุรุสภา ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ซึ่งกระทรวงการคลังได้อนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว ในวงเงิน ๒๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยให้เบิกจ่ายในงบเงินอุดหนุน ประเภทเงินอุดหนุนทั่วไป เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสนับสนุนการดำเนินงานรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี “Princess Maha Chakri Award” ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้มีผลดำเนินการต่อไปได้เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้งพิจารณาให้ความเห็นชอบแล้ว ๒. สำหรับการจัดตั้งมูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี (Princess Maha Chakri Award Foundation) ให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
26425 | ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น (โรงเรียนอนุบาลทีปังกรรัศมีโชติ) | ศธ | 11/03/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการให้กระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ในวงเงิน ๑๖๗,๕๓๕,๓๐๐ บาท สมทบกับงบประมาณรายจ่ายที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติแล้วเมื่อวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๓ (เรื่อง งบประมาณเพื่อสนับสนุนโรงเรียนอนุบาลทีปังกรรัศมีโชติเป็นกรณีพิเศษ) เพื่ออุดหนุนให้กับโรงเรียนอนุบาลทีปังกรรัศมีโชติ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้มีผลดำเนินการต่อไปได้เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้งพิจารณาให้ความเห็นชอบแล้ว
|
|||||||||||||||||||||||||||
26426 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการควบคุมและดำเนินการจัดการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา เป็นการเลือกตั้งทั่วไป (กรณีครบวาระฯ) เพิ่มเติม | ลต | 11/03/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบกรอบวงเงินงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการควบคุมและดำเนินการจัดการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นการเลือกตั้งทั่วไป (กรณีครบวาระ) จำนวน ๒,๘๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ค่าใช้จ่ายในการจัดการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา จำนวน ๑,๔๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ส่วนที่เหลืออีกจำนวน ๑,๔๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ให้สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๖ [เรื่อง ขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการควบคุมและดำเนินการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการเลือกตั้งทั่วไป (กรณียุบสภา)] ภายในกรอบวงเงิน ๓,๘๘๕,๐๐๖,๕๐๐ บาท ซึ่งคาดว่าจะเหลือเป็นลำดับแรกก่อน และหากไม่เพียงพอให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่งเพื่อขอใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. คณะรัฐมนตรีมีข้อแนะนำว่าในการควบคุมและดำเนินการจัดการเลือกตั้ง คณะกรรมการการเลือกตั้งควรใช้จ่ายงบประมาณให้เป็นไปด้วยความประหยัด คุ้มค่า และเกิดประโยชน์สูงสุด เพราะการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการจัดการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาในแต่ละครั้งจะต้องใช้เงินงบประมาณแผ่นดินจำนวนมาก ซึ่งเป็นไปตามความเห็นของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
26427 | รายงานการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ 4 ปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 | กค | 11/03/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ ๔ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ในช่วงไตรมาสที่ ๔ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ (กรกฎาคม-กันยายน ๒๕๕๖) สินค้าฟุ่มเฟือยทั้ง ๑๗ กลุ่มสินค้า ได้แก่ น้ำหอมและเครื่องสำอาง ผลไม้ นาฬิกาและอุปกรณ์ กระเป๋าหนังและเข็มขัดหนัง สุราต่างประเทศ สูท เสื้อ กระโปรง กางเกง สำหรับบุรุษ สตรี เด็กชาย และเด็กหญิง และเนคไท เลนส์ รองเท้าหนัง และรองเท้าผ้าใบ แว่นตา ปากกาและอุปกรณ์ กล้องถ่ายรูปและอุปกรณ์ ไวน์ เครื่องประดับที่ทำด้วยคริสตัล ผ้าทอทำด้วยขนสัตว์ ไฟแช็คและอุปกรณ์ ดอกไม้ และเครื่องแก้วชนิดใช้บนโต๊ะอาหาร หรือใช้ตกแต่งภายในที่ทำด้วยคริสตัล มีมูลค่านำเข้า ๗๙๔.๑๕ ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ ๑.๓๐ ของมูลค่านำเข้ารวม (๖๑,๑๖๗.๔๔ ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ (กรกฎาคม-กันยายน ๒๕๕๕) ๓๒.๖๗ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ ๔.๒๙ ๒. สินค้าฟุ่มเฟือยที่มีมูลค่านำเข้าสูงสุด ๓ อันดับแรก ได้แก่ น้ำหอมและเครื่องสำอาง มูลค่านำเข้า ๑๕๗.๖๗ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น ๓๐.๖๙ ล้านดอลลาร์สหรัฐ (หรือร้อยละ ๒๔.๑๗) นาฬิกาและอุปกรณ์ มูลค่านำเข้า ๑๑๕.๔๔ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น ๑๓.๐๙ ล้านดอลลาร์สหรัฐ (หรือร้อยละ ๑๒.๗๙) และผลไม้ มูลค่านำเข้า ๑๐๘.๒๕ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น ๖.๗๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ (หรือร้อยละ ๖.๖๐) |
|||||||||||||||||||||||||||
26428 | รายงานสรุปผลการหารือกับคณะผู้บริหารระดับสูงของสาธารณรัฐประชาชนจีน | กก | 25/02/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการหารือกับคณะผู้บริหารระดับสูงของสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พร้อมคณะ ได้เดินทางไปร่วมงาน China International Travel Mart (CITM 2013) ในวันที่ ๒๓-๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๖ ณ นครคุนหมิง มณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งเป็นงานส่งเสริมการขายสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดของสาธารณรัฐประชาชนจีน พร้อมทั้งได้พบปะหารือกับคณะผู้บริหารระดับสูงของสาธารณรัฐประชาชนจีนเพื่อส่งเสริมแนวทางด้านการท่องเที่ยวร่วมกัน สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการเข้าพบปะหารือกับ Mr. Li Ji Heng ผู้ว่าการมณฑลยูนนาน เมื่อวันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๕๖ ๑.๑ มณฑลยูนนานมีนโยบายสนับสนุนการเดินทางท่องเที่ยวเชื่อมโยงกับประเทศไทย (เส้นทาง เชียงรุ้ง-ลาว-เชียงราย-พม่า) โดยขอให้รัฐบาลไทยอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวชาวจีนที่เดินทางมาท่องเที่ยวประเทศไทยผ่านเส้นทางสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ ๔ ณ อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ที่กำหนดเปิดให้บริการเดือนธันวาคม ๒๕๕๖ ๑.๒ รัฐบาลไทยพร้อมที่จะให้ความร่วมมือในการปฏิบัติตามกฎหมายใหม่ด้านการท่องเที่ยวของจีน ซึ่งประกาศใช้เมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ โดยจะจัดการอบรมให้แก่ผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยว รวมทั้งหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้รับทราบและปฏิบัติตามกฎหมายดังกล่าวอย่างเคร่งครัด ๑.๓ รัฐบาลไทยมีนโยบายในการอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวชาวจีนที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย เช่น การจัดทำเอกสารคู่มือท่องเที่ยวภาษาจีน การจัดทำป้ายบอกทางภาษาจีน การออกใบขับขี่สากลชั่วคราวแก่นักท่องเที่ยวชาวจีน รวมถึงนโยบายด้านการประกันอุบัติเหตุแก่นักท่องเที่ยวชาวจีน ๒. ผลการเข้าพบหารือกับ Mr. Shao Qi Wei, Chairman of China National Tourism (CNTA) เมื่อวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๕๖ ๒.๑ รัฐบาลไทยและรัฐบาลจีนเห็นพ้องกันในการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมไทย-จีน เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและร่วมกันแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับนักท่องเที่ยวได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ๒.๒ รัฐบาลไทยได้มีการจัดตั้งศาลท่องเที่ยวเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยวที่มีคดีความให้เข้าถึงกระบวนการยุติธรรมด้วยความรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยมีการเปิดศาลท่องเที่ยวแห่งแรกที่เมืองพัทยา และมีกำหนดเปิดในจังหวัดเชียงใหม่ ภูเก็ต และเกาะสมุยต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
26429 | การรับรองร่างปริญญาลิมาว่าด้วยการพัฒนาอุตสาหกรรมที่ยั่งยืนและครอบคลุม | อก | 25/02/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการดำเนินการของคณะผู้แทนไทยที่เข้าร่วมการประชุมสมัยสามัญ ครั้งที่ ๑๕ ขององค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Industrial Development Organization : UNIDO) ระหว่างวันที่ ๒-๖ ธันวาคม ๒๕๕๖ ณ กรุงลิมา สาธารณรัฐเปรู เพื่อให้การรับรองร่างปฏิญญาลิมาว่าด้วยการพัฒนาอุตสาหกรรมที่ยั่งยืนและครอบคลุมตามที่ได้รับความเห็นชอบและอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยไม่มีการแก้ไขแต่อย่างใด โดยร่างปฏิญญาฯ มีสาระสำคัญในการกำหนดให้การพัฒนาอุตสาหกรรมที่ยั่งยืนและครอบคลุมเป็นนโยบายหลัก เป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันในวิสัยทัศน์ที่จะนำไปสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมที่ยั่งยืนและครอบคลุม ซึ่งเป็นพื้นฐานของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน และจะรวมอยู่ในวาระเพื่อการพัฒนาภายหลังปี ๒๐๑๕ (Post-2015 Development Agenda) และเป้าหมายของการพัฒนาที่ยั่งยืนอื่น ๆ ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายและแนวทางของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ (๒๕๕๕-๒๕๕๙) และยุทธศาสตร์ประเทศของไทยในการสร้างโอกาสบนความเสมอภาคและเท่าเทียมกันของสังคม (Inclusive Growth) และการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green Growth) ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
26430 | การลงนามความตกลง Memorandum of Association among the Bay of Bengal Initiative for Multi-Sectoral Technological and Economic Coopertion (BIMSTEC) Member Countries Concerning Establishment of a BIMSTEC Center for Weather and Climate | ทก | 25/02/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ดังนี้
๑. เพิ่มเติมมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ เดิม เป็นอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความร่วมมือความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอลสำหรับความร่วมมือหลากหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจ BIMSTEC เกี่ยวกับการจัดตั้งศูนย์ BIMSTEC ด้านอวกาศและภูมิอากาศ [Memorandum of Association among the Bay of Bengal Initiative for Multi-Sectoral Technological and Economic Cooperation (BIMSTEC) Member Countries Concerning Establishment of a BIMSTEC Centre for Weather and Climate : MOA] เพื่อจัดตั้ง BIMSTEC Centre for Weather and Climate (BCWC) ซึ่งจะมีความยืดหยุ่นสำหรับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศที่จะพิจารณามอบหมายบุคคลหนึ่งบุคคลใดก็ได้เป็นผู้ลงนาม MOA ดังกล่าว ๒. ในกรณีที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมอบหมายผู้แทนเป็นผู้ลงนาม MOA ดังกล่าว ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสำหรับการลงนาม MOA ดังกล่าว
|
|||||||||||||||||||||||||||
26431 | การดำเนินการเลือกตั้งกรณีผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใน 28 เขตเลือกตั้ง ไม่สามารถสมัครได้ | ลต | 25/02/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำชี้แจงของรองนายกรัฐมนตรี (นายพงษ์เทพ เทพกาญจนา) ปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี กราบเรียนประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เกี่ยวกับการดำเนินการตราพระราชกฤษฎีกาให้มีการลงคะแนนเลือกตั้งใน ๒๘ เขตเลือกตั้ง โดยกำหนดให้คณะกรรมการการเลือกตั้งมีอำนาจในการกำหนดวันรับสมัครวันเลือกตั้ง เพิ่มเติม และกำหนดวันลงคะแนนเลือกตั้งใหม่ รวมทั้งการประกาศงดเว้นการจัดให้มีการลงคะแนนเลือกตั้งนอกเขตเลือกตั้งและนอกราชอาณาจักร นั้น ไม่สามารถกระทำได้ เนื่องจากรัฐธรรมนูญไม่ได้บัญญัติให้กระทำได้ เพราะการทูลเกล้าฯ เสนอพระมหากษัตริย์เพื่อใช้พระราชอำนาจตราพระราชกฤษฎีกานั้น ต้องไม่ขัดต่อกฎหมาย (มาตรา ๑๘๗) สำหรับการเลือกตั้งใน ๒๘ เขตเลือกตั้ง นั้น คณะกรรมการการเลือกตั้งสามารถกระทำได้ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญและพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ
|
|||||||||||||||||||||||||||
26432 | การลงนามบันทึกความเข้าใจเพื่อจัดตั้งคณะกรรมการอุตสาหกรรมวัฒนธรรม BIMSTEC และศูนย์ปฏิบัติการอุตสาหกรรมวัฒนธรรม BIMSTEC | วธ | 25/02/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติเพิ่มเติมมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๕ (เรื่อง การลงนามบันทึกความเข้าใจเพื่อจัดตั้งคณะกรรมการอุตสาหกรรมวัฒนธรรม BIMSTEC และศูนย์ปฏิบัติการอุตสาหกรรมวัฒนธรรม BIMSTEC) จากเดิม “เห็นชอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดตั้งคณะกรรมการอุตสาหกรรมวัฒนธรรม BIMSTEC และศูนย์ปฏิบัติการอุตสาหกรรมวัฒนธรรม BIMSTEC” เป็น “อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามร่างบันทึกความเข้าใจเพื่อจัดตั้งคณะกรรมการอุตสาหกรรมวัฒนธรรม BIMSTEC และศูนย์ปฏิบัติการอุตสาหกรรมวัฒนธรรม BIMSTEC” ๒. ในกรณีที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจดังกล่าว ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้ผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสำหรับการลงนามบันทึกความเข้าใจดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
26433 | การเลื่อนเงินเดือนเป็นกรณีพิเศษนอกเหนือโควตาปกติ ในวันที่ 1 เมษายน 2556 ให้แก่ข้าราชการตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่รักษาความปลอดภัยคณะรัฐมนตรี และข้าราชการพลเรือน ลูกจ้างส่วนราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ และพนักงานของรัฐอื่นที่ช่วยปฏิบัติราชการในงานของคณะรัฐมนตรี [นายกรัฐมนตรี (นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร )] | นร | 25/02/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการเลื่อนเงินเดือนเป็นกรณีพิเศษนอกเหนือโควตาปกติ ในวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๗ ให้แก่ข้าราชการตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่รักษาความปลอดภัยคณะรัฐมนตรี และข้าราชการพลเรือน ลูกจ้างส่วนราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ และพนักงานของรัฐอื่นที่ช่วยปฏิบัติราชการในงานของคณะรัฐมนตรี [นายกรัฐมนตรี (นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร)] จำนวนรวม ๙๙ คน ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ ประกอบด้วย ๑.๑ เลื่อนขั้นเงินเดือนให้แก่ข้าราชการตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่รักษาความปลอดภัยคณะรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้ที่มีผลการปฏิบัติงานระดับดีเด่น จำนวน ๒๔ คน (เลื่อนเงินเดือน ๑ ขั้น) และส่งให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติตรวจสอบคุณสมบัติและเลื่อนเงินเดือนไปได้เลย โดยไม่ต้องนำกลับมาเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติอีก ๑.๒ เลื่อนเงินเดือนให้แก่ผู้ที่ปฏิบัติราชการในงานของคณะรัฐมนตรี จำนวน ๗๕ คน และให้ส่งกระทรวง กรมต้นสังกัดตรวจสอบคุณสมบัติและเลื่อนเงินเดือนไปได้เลย โดยไม่ต้องนำกลับมาเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติอีก ประกอบด้วย ๑.๒.๑ เลื่อนเงินเดือนให้แก่ผู้ที่มีผลการปฏิบัติงานดีเด่น จำนวน ๖๘ คน [เลื่อนเงินเดือนร้อยละ ๔ (ครึ่งปี) ของฐานในการคำนวณให้แก่ข้าราชการพลเรือน และเลื่อนเงินเดือน ๑ ขั้น ให้แก่ลูกจ้างส่วนราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ และพนักงานของรัฐอื่น (ตามหลักเกณฑ์ของหน่วยงาน)] ๑.๒.๒ เลื่อนเงินเดือนให้แก่ผู้ที่มีผลการปฏิบัติงานต่ำกว่าระดับดีเด่น จำนวน ๗ คน [เลื่อนเงินเดือนร้อยละ ๓ (ครึ่งปี) ของฐานในการคำนวณให้แก่ข้าราชการพลเรือน และเลื่อนเงินเดือน ๑ ขั้น ให้แก่ลูกจ้างส่วนราชการ (ทั้งนี้ บุคคลดังกล่าวจะต้องได้รับการเลื่อนเงินเดือนทั้งปีไม่เกิน ๑.๕ ขั้น ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ (เรื่อง การเลื่อนเงินเดือนเป็นกรณีพิเศษนอกเหนือโควตาปกติ ในวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๓ ให้แก่ข้าราชการตำรวจและทหารที่ปฏิบัติหน้าที่รักษาความปลอดภัยคณะรัฐมนตรี และข้าราชการพลเรือนสามัญ ข้าราชการทหาร ลูกจ้างส่วนราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจที่ช่วยปฏิบัติราชการในงานของคณะรัฐมนตรี (จำนวน ๑๐๒ คน)] ๒. ให้ส่งรายชื่อให้หน่วยงานต้นสังกัดตรวจสอบคุณสมบัติและเลื่อนเงินเดือนไปได้เลยโดยไม่ต้องนำกลับมาเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติอีก
|
|||||||||||||||||||||||||||
26434 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "แนวทางการรักษาเสถียรภาพอัตราแลกเปลี่ยนภายใต้ความผันผวนของค่าเงินบาทซึ่งมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและภาคการผลิต" | สสป | 25/02/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "แนวทางการรักษาเสถียรภาพอัตราแลกเปลี่ยนภายใต้ความผันผวนของค่าเงินบาทซึ่งมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและภาคการผลิต" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ธนาคารแห่งประเทศไทย และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ดังนี้
๑. กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยควรพิจารณาและรักษาเสถียรภาพอัตราการแลกเปลี่ยนเงินตราไม่ให้มีความผันผวน โดยให้สอดคล้องไปกับภูมิภาค ๒. รัฐบาลควรจะเตรียมมาตรการและเครื่องมือในการรับมือความผันผวนทางเศรษฐกิจและอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากเริ่มมีสัญญาณการบ่งชี้การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ รวมทั้งในภูมิภาคและนอกภูมิภาค ซึ่งคาดว่าจะมีความรุนแรงในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๕๖ ๓. รัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทยควรมีมาตรการในการควบคุมเงินทุนไหลเข้า โดยเฉพาะจากนักลงทุนต่างชาติ ในลักษณะการเก็งกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนในช่วงปลายปี ถึงแม้ว่ารัฐบาลจะมีการออกกรอบรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ๒๒ มาตรการแล้ว แต่ยังขาดแนวปฏิบัติในการควบคุมและบังคับใช้ ๔. ธนาคารแห่งประเทศไทยควรกำหนดอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่เป็นระบบ เพื่อเป็นเครื่องมือในการบริหารเงินทุนไหลเข้า รวมทั้งเงินเฟ้อในอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสมจะส่งผลต่อเสถียรภาพด้านการเงิน ด้านต้นทุนการผลิต และเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ๕. รัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทยควรวางแนวทางในการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการมีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (Forward/ Hedging Exchange Rate) โดยเฉพาะกลุ่มผู้ส่งออกซึ่งอยู่ในภาคเกษตร เกษตรแปรรูป และ SMEs ซึ่งมี Local Content สูง ๖. รัฐบาลควรมีมาตรการช่วยเหลือด้านสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการส่งออก และมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการด้อยโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุน โดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs และภาคเกษตร-เกษตรแปรรูป โดยอาจใช้วิธีปล่อยกู้ด้วยวิธีการผ่อนปรนหลักประกันเป็นกรณีพิเศษ (PSA) ๗. รัฐบาลควรพิจารณาถึงคณะกรรมการร่วมภาครัฐ-เอกชน ในการบูรณาการขับเคลื่อนมาตรการกรอบรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ จัดทำให้สามารถขับเคลื่อนได้จริง ๘. รัฐบาลควรมีมาตรการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันที่ยั่งยืนให้กับภาคเกษตรและเกษตรแปรรูป รวมทั้ง SMEs และวิสาหกิจชุมชนประเทศไทยภายใต้ความผันผวนด้านการเงิน และเศรษฐกิจโลก
|
|||||||||||||||||||||||||||
26435 | ขออนุมัติงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต 2556/57 | พณ | 25/02/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบมติคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๗ เมื่อวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ ที่เห็นชอบให้เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อขอใช้งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท เพื่อให้กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าต่างประเทศ จ่ายให้แก่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) โดย ธ.ก.ส. จะได้จ่ายให้เกษตรกรตามใบประทวนที่เกษตรกรได้จำนำไว้กับรัฐบาลต่อไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. อนุมัติในหลักการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในวงเงิน ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ให้กรมการค้าต่างประเทศเพื่อขอทำความตกลงกับกระทรวงการคลังตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการ พ.ศ. ๒๕๔๗ สำหรับนำไปใช้จ่ายตามโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๖/๕๗ โดยเมื่อได้รับกระแสเงินสดจากกระทรวงการคลังและการระบายข้าวแล้ว ให้กรมการค้าต่างประเทศนำเงินจำนวนดังกล่าวมาชดใช้คืนเงินทดรองราชการต่อไป โดยให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบและยืนยันความถูกต้องของใบประทวนให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนด รวมทั้งพิจารณาดำเนินการให้ถูกต้องและครบถ้วนตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และตามมาตรฐานของทางราชการ โดยคำนึงถึงประโยชน์ของทางราชการเป็นสำคัญก่อนการเบิกจ่ายด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าต่างประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไปได้เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้งได้พิจารณาให้ความเห็นชอบแล้ว |
|||||||||||||||||||||||||||
26436 | ขอรับการจัดสรรงบกลางให้แก่การกีฬาแห่งประเทศไทย เพื่อนำมาสนับสนุนเป็นเงินรางวัลตามวัตถุประสงศ์ของกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ | นร04 | 25/02/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการและกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่กระทรวงการคลังได้อนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว จำนวน ๘๔,๐๗๘,๐๐๐ บาท สมทบให้แก่การกีฬาแห่งประเทศไทยเพื่อสนับสนุนเป็นเงินรางวัลตามวัตถุประสงค์ของกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ให้กับนักกีฬา ผู้ฝึกสอน และสมาคมที่ได้รับเหรียญรางวัลจากการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ ๒๗ แข่งขันระหว่างวันที่ ๑๑-๒๒ ธันวาคม ๒๕๕๖ ณ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้มีผลดำเนินการต่อไปได้ เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้งพิจารณาให้ความเห็นชอบแล้ว
|
|||||||||||||||||||||||||||
26437 | รายงานความก้าวหน้าโครงการสำคัญ (Flagship Project) ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ | กษ | 25/02/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานความก้าวหน้าโครงการสำคัญ (Flagship Project) ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยมีโครงการสำคัญเพื่อตอบสนองต่อเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ จำนวน ๘ โครงการ ดังนี้
๑. โครงการบริหารจัดการเขตเศรษฐกิจสำหรับสินค้าเกษตรที่สำคัญ (Zoning) การดำเนินงานที่สำคัญ ได้แก่ การประกาศเป็นนโยบายการบริหารจัดการเขตเศรษฐกิจ เมื่อวันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ การรวบรวมข้อมูลองค์ความรู้ทางวิชาการที่เกี่ยวข้องกับความเหมาะสมของดิน (Land Suitability) ความต้องการของพืช ประมง ปศุสัตว์ (Production Requirement) และข้อมูลเกษตรจากทุกจังหวัด การประกาศเขตเศรษฐกิจสำหรับพืช ปศุสัตว์ และประมง ระหว่างวันที่ ๕ กุมภาพันธ์-๙ พฤษภาคม ๒๕๕๖ พร้อมจัดทำแผนที่ประกอบ จำนวน ๒๐ ชนิดสินค้า ประกอบด้วย พืช ๑๓ ชนิด ปศุสัตว์ ๕ ชนิด และประมง ๒ ชนิด การจัดตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการในระดับจังหวัดและกระทรวง การปรับเปลี่ยนพื้นที่เกษตรที่ไม่เหมาะสมไปสู่พืช ประมง และปศุสัตว์ ในพื้นที่ที่เหมาะสม การเสนอแผนการบริหารจัดการพื้นที่และสินค้าเกษตรระดับจังหวัดของผู้ว่าราชการจังหวัด และการจัดทำแผนสนับสนุนปัจจัยการผลิตหลักทั้งในเรื่องดินและน้ำ รวมทั้งกิจกรรมที่จะดำเนินการต่อไปคือ การประกาศเขตเศรษฐกิจตามพระราชบัญญัติเศรษฐกิจการเกษตร พ.ศ. ๒๕๒๒ และการออกกฎกระทรวงหรือกฎหมายอื่นรองรับการดำเนินงานภายใต้โครงการ Zoning ๒. โครงการเมืองเกษตรสีเขียว (Green Agricultural City) การดำเนินงานที่สำคัญ ได้แก่ การมอบหมายให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและเจ้าหน้าที่เกษตรใน ๖ จังหวัดเป้าหมาย ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ หนองคาย ศรีสะเกษ จันทบุรี ราชบุรี และพัทลุง ดำเนินการสร้างความเข้าใจกับเกษตรกรและประชาชนในพื้นที่ที่กำหนดเป็นเมืองเกษตรสีเขียว รวมทั้งให้ความรู้เกี่ยวกับการผลิตโดยใช้สารเคมีอย่างถูกวิธีให้เกิดตำบลหรือหมู่บ้านสีเขียวต้นแบบ ๓. โครงการพัฒนาเกษตรกรและเจ้าหน้าที่เกษตรปราดเปรื่อง (Smart Farmer and Smart Officer) การดำเนินงานที่สำคัญ ได้แก่ การตรวจสอบจำนวนและคุณสมบัติของเกษตรกรที่ทำการผลิตทั้งพืช ประมง ปศุสัตว์ การดำเนินการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารโดยสนับสนุนนโยบาย Smart Farmer/Smart Office “หนึ่งบัตรประชาชนเพื่อเกษตรกรปราดเปรื่อง : One ID Card for Smart Farmer” ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพัฒนาการจดทะเบียนเกษตรกรให้ทันสมัย การจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการข้อมูลเกษตร หรือ War Room การจัดตั้งสถานีโทรทัศน์เกษตร (MOAC TV) เพื่อเป็นช่องทางในการเผยแพร่ความรู้ทางด้านเทคโนโลยีการเกษตรระบบใหม่และเป็นสื่อกลางระหว่างทุกภาคส่วน การจัดทำโปรแกรมพัฒนาเกษตรกรเชื่อมโยงกับบัตรประจำตัวเกษตรกร การจัดทำบันทึกความเข้าใจ (MOU) ร่วมกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรในการพัฒนาเกษตรกรให้เป็นเกษตรกรปราดเปรื่อง (Smart Farmer) การนำระบบ Training and Visiting (T&V) system มาใช้เต็มรูปแบบ การแต่งตั้งคณะทำงานระดับจังหวัดเพื่อดำเนินการสำรวจและคัดกรองเกษตรกร และการสร้างครูเกษตรกร ๔. โครงการพัฒนาสินค้าเกษตรสู่มาตรฐาน (Food Safety) การดำเนินงานที่สำคัญ ได้แก่ การจัดทำมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารภายใต้พระราชบัญญัติมาตรฐานสินค้าเกษตร พ.ศ. ๒๕๕๑ การส่งเสริมให้เกษตรกรเข้าสู่ระบบการผลิต มาตรฐาน โดยรับรองมาตรฐานฟาร์มเกษตรกรเป็น CAP การตรวจสอบและรับรองโรงงานตามมาตรฐาน GMP และ HACCP การถ่ายโอนการตรวจรับรองให้ส่วนราชการหรือเอกชน การรับรองร้านอาหารและภัตตาคารที่ใช้วัตถุดิบจากฟาร์มเกษตรโดยใช้สัญลักษณ์ Q รวมทั้งการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการบูรณาการเชื่อมโยงระบบการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยและคุณภาพอาหารของประเทศโดยใช้ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์เป็นตัวสนับสนุน ๕. โครงการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน การดำเนินงานที่สำคัญ ได้แก่ การจัดตั้งกองเกษตรอาเซียนเพื่อเป็นศูนย์กลางการประสานงาน การจัดประชุมทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดยุทธศาสตร์ของแต่ละชนิดสินค้า วิเคราะห์กลุ่มสินค้าที่มีศักยภาพ และกลุ่มที่ยังมีปัญหา การพัฒนามาตรฐานสินค้าเกษตรให้เป็นมาตรฐานอาเซียน การประสานงานกับกรมศุลกากรในการบูรณาการด่านพืช ประมง ปศุสัตว์ และห้องปฏิบัติการตรวจสอบคุณภาพมาตรฐานสินค้าในพื้นที่ชายแดน จุดผ่านเข้าออกสินค้าระหว่างประเทศ การร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อทำโครงการความร่วมมือทางวิชาการด้านการเกษตรและร่วมมือการผลิตในลักษณะทำการเกษตรแบบมีสัญญา (Contract Farming) และการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ๖. โครงการพัฒนาให้เป็นศูนย์กลางการผลิตเมล็ดพันธุ์พืชรองรับประชาคมอาเซียน (Seed Hub) การดำเนินงานที่สำคัญ ได้แก่ การพัฒนาศูนย์วิจัยพันธุ์พืชและผลิตพันธุ์หลักเพื่อให้เกษตรกรผลิตพันธุ์ขยายจำหน่ายให้เกษตรกร การผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวตามความต้องการของเกษตรกร การผลิตเมล็ดพันธุ์ดี การศึกษาวิจัยพันธุ์ข้าวและพันธุ์พืชที่เป็นลักษณะเฉพาะของประเทศไทย และเก็บรวบรวมพันธุ์ไว้เพื่อให้เกิดความมั่นคงอาหารและการเกษตรกรรมของประเทศ การสร้างเครือข่ายเกษตรกรผลิตเมล็ดพันธุ์และดูแลธุรกิจผลิตเมล็ดพันธุ์พืชในประเทศเพื่อให้เกิดความเข้มแข็งและเป็นศูนย์กลางของอาเซียน รวมทั้งการสนับสนุนให้สหกรณ์หรือภาคเอกชนด้านปศุสัตว์ผลิตพันธุ์ปศุสัตว์และพัฒนาเกษตรกรของไทยให้จำหน่ายพันธุ์สัตว์ ๗. โครงการส่งเสริมการใช้เครื่องจักรกลการเกษตรทดแทนแรงงานเกษตร การดำเนินงานที่สำคัญ ได้แก่ การร่วมมือกับมหาวิทยาลัยและสถาบันการศึกษาต่าง ๆ พัฒนาเครื่องจักรกลเกษตรเพื่อใช้ในการผลิตสินค้าเกษตร การจัดทำยุทธศาสตร์การส่งเสริมและพัฒนาการใช้เครื่องจักรกลการเกษตรและอุปกรณ์การเกษตร พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๑ เพื่อพัฒนาและสนับสนุนการปรับปรุงรูปแบบกระบวนการผลิตของประเทศ การจัดงานนิทรรศการเครื่องจักรกลเกษตรที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์กำแพงแสน เมื่อเดือนสิงหาคม ๒๕๕๖ เพื่อแสดงศักยภาพด้านเครื่องจักรกลการเกษตรของประเทศไทย และการสนับสนุนงานวิจัยเพื่อผลิตเครื่องจักรกลการเกษตร ๘. โครงการเพิ่มพื้นที่ชลประทาน การดำเนินงานที่สำคัญ ได้แก่ การบริหารจัดการน้ำในเขตชลประทานและนอกเขตชลประทานให้มีความชัดเจน โดยประกาศพื้นที่น้ำน้อย จัดพื้นที่ปลูกพืชตามปริมาณน้ำในเขื่อน จัดหาอาชีพและรายได้แก่เกษตรกรในภาวะน้ำแล้ง การมีระบบเตือนภัยเวลาเกิดน้ำท่วม ฝนแล้ง แจ้งเตือนแก่เกษตรกรอย่างมีประสิทธิภาพ การเพิ่มพื้นที่ชลประทานปีละ ๒๐๐,๐๐๐ ไร่ เป็นอย่างน้อย เพิ่มบ่อน้ำขนาดเล็กนอกเขตชลประทานปีละ ๑๐๐,๐๐๐ ไร่ และวางระบบเติมน้ำในแหล่งน้ำชุมชนให้สามารถใช้น้ำเพื่อการเกษตรในช่วงแล้ง การศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดการน้ำเข้าพื้นที่เกษตรเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเขตพืชไร่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต รวมทั้งการนำพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เรื่องฝนหลวงมาใช้เพื่อแก้ปัญหาน้ำเพื่อการเกษตร |
|||||||||||||||||||||||||||
26438 | รัฐบาลสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย | กต | 11/02/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายเหวียน เติ๊ต ถั่ญ (Mr. Nguyen Tat Thanh) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามประจำประเทศไทยคนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงเทพมหานคร สืบแทนนายโง ดึ้ก ทั้ง (Mr. Ngo Duc Thang) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
26439 | การแต่งตั้งกงสุลใหญ่สาธารณรัฐประชาชนจีน ณ จังหวัดเชียงใหม่ | กต | 11/02/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายฉาว เสี่ยวเหลียง (Mr. Chao Xiaoliang) ให้ดำรงตำแหน่งกงสุลใหญ่สาธารณรัฐประชาชนจีน ณ จังหวัดเชียงใใหม่ โดยมีเขตกงสุลครอบคลุม ๑๒ จังหวัดภาคเหนือของไทย ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ตาก น่าน พะเยา พิษณุโลก แพร่ แม่ฮ่องสอน ลำปาง ลำพูน สุโขทัย และอุตรดิตถ์ สืบแทนนายจาง เหว่ยฉาย (Mr. Zhang Weicai) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
26440 | รัฐบาลสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์เสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย | กต | 11/02/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง อู วีน หม่อง (U Win Maung) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ประจำประเทศไทยคนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงเทพมหานคร สืบแทน อู ตีน์ วีน์ (U Tin Win) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
.....