ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1327 จากทั้งหมด 6201 หน้า แสดงรายการที่ 26521 - 26540 จากข้อมูลทั้งหมด 124003 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
26521 | รายงานผลการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 21 และการประชุมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ 25 ณ บาหลี สาธารณรัฐอินโดนีเซีย | นร04 | 03/12/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๒๑ และการประชุมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ ๒๕ ณ เกาะบาหลี สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ระหว่างวันที่ ๔-๗ ตุลาคม ๒๕๕๖ ของนายกรัฐมนตรี และนายจุลพงษ์ โนนศรีชัย ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๒๑ ที่ประชุมฯ ได้รับรองปฏิญญาผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๒๑ “เอเชีย-แปซิฟิกที่แข็งแกร่ง แรงขับเคลื่อนของเศรษฐกิจโลก” (Resilient Asia-Pacific, Engine of Global Growth) ซึ่งครอบคลุม ๓ ประเด็นหลักที่เอเปคให้ความสำคัญในปีนี้ ได้แก่ การสนับสนุนระบบการค้าพหุภาคีและการบรรลุเป้าหมายโบกอร์ การส่งเสริมความเชื่อมโยงในภูมิภาค การเจริญเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยความเท่าเทียม รวมทั้งได้รับรองถ้อยแถลงแยกเรื่อง “Supporting the Multilateral Trading System and the 9th Ministerial Conference of the World Trade Organization” ซึ่งย้ำเจตนารมณ์ร่วมกันในการผลักดันให้การประชุมรัฐมนตรีองค์การการค้าโลก ครั้งที่ ๙ มีผลลัพธ์เป็นรูปธรรม นอกจากนี้ ยังมีการประชุม Retreat ของผู้นำ ประกอบด้วย Retreat I : บทบาทของเอเปคในการสร้างเสริมระบบการค้าพหุภาคีในภาวะเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน และ Retreat II : วิสัยทัศน์ว่าด้วยความเชื่อมโยงของเอเปคท่ามกลางโครงสร้างสถาปัตยกรรมในภูมิภาคและระหว่างประเทศที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป ตลอดจนการหารือระหว่างผู้นำฯ ในหัวข้อ “การเจริญเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยความเท่าเทียม-ความมั่นคงทางอาหาร น้ำ และพลังงาน” ๒. การประชุมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ ๒๕ สาธารณรัฐอินโดนีเซียเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมฯ ระหว่างวันที่ ๔-๕ ตุลาคม ๒๕๕๖ ณ บาหลี โดยมีนายจุลพงษ์ โนนศรีชัย ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมฯ ซึ่งมีการรับรองถ้อยแถลงร่วมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ ๒๕ โดยมีการประชุมกลุ่มย่อย (Breakout Session) ในหัวข้อ “บทบาทของเอเปคท่ามกลางสถาปัตยกรรมทางเศรษฐกิจในภูมิภาคที่เปลี่ยนแปลง” และการประชุมเต็มคณะ (Plenary Session) ในหัวข้อ “การส่งเสริมการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยความเท่าเทียม” และหัวข้อ “การส่งเสริมความเชื่อมโยงในภูมิภาค” นอกจากนี้ ยังมีการหารืออย่างไม่เป็นทางการในเรื่องสถานการณ์ปัจจุบันและความท้าทายในภูมิภาค ๓. การดำเนินการของเอเปคในระยะต่อไป สาธารณรัฐประชาชนจีนในฐานะเจ้าภาพการประชุมเอเปคในปี ๒๕๕๗ จะให้ความสำคัญกับประเด็นการรวมตัวทางเศรษฐกิจในภูมิภาค การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อส่งเสริมความเชื่อมโยง และการเจริญเติบโตที่ครอบคลุม (Comprehensive Growth) โดยเน้นการปรับโครงสร้างเพื่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ (Growth Transformation) โดยในช่วงปี ๒๕๕๗ สาธารณรัฐประชาชนจีนจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับรัฐมนตรีเอเปคใน ๙ สาขา ได้แก่ การค้า พลังงาน การท่องเที่ยว การเกษตรและอาหาร SMEs สตรี เหมืองแร่ ป่าไม้ และมหาสมุทร และมีกำหนดจะจัดการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๒๒ ในเดือนตุลาคม ๒๕๕๗ ณ ทะเลสาบ Yangqi ชานกรุงปักกิ่ง
|
||||||||||||||||||||||||
26522 | แนวทางการแก้ไขปัญหาความล่าช้าในกระบวนการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) และความคืบหน้า | ทส | 03/12/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบความคืบหน้าเรื่อง การลดระยะเวลาการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) และการกำหนดประเภทและขนาดของโครงการหรือกิจการที่สามารถขอรับการยกเว้นไม่ต้องจัดรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามมาตรา ๔๖ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ปรับปรุงองค์ประกอบคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (คชก.) และความรับผิดชอบของคณะกรรมการแต่ละชุด โดยยุบรวมคณะกรรมการที่ทำหน้าที่พิจารณาโครงการภาครัฐและเอกชนแต่รับผิดชอบในเรื่องเดียวกันเข้าด้วยกัน และกำหนดองค์ประกอบคณะกรรมการแต่ละชุดให้เหมือนกันเพื่อสร้างมาตรฐานในการพิจารณาให้เหลือเพียงมาตรฐานเดียว ๑.๒ จัดทำแนวทางปฏิบัติในการตรวจสอบรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) สำหรับโครงการหรือกิจการที่ต้องได้รับอนุญาตจากทางราชการและโครงการหรือกิจการที่ไม่ต้องเสนอขอรับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี และแนวทางพิจารณารายงาน EIA สำหรับ คชก. โดยให้เจ้าหน้าที่สำนักวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมเร่งรัดตรวจสอบรายงาน EIA และเอกสารที่เกี่ยวข้องที่เสนอมา หากรายงานที่เสนอมามิได้จัดทำให้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดไว้ในมาตรา ๔๖ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ หรือมีเอกสารข้อมูลไม่ครบถ้วน ให้แจ้งบุคคลผู้ขออนุญาตที่เสนอรายงานทราบภายในกำหนด ๗ วันทำการ ๑.๓ จัดทำวาระเสนอคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดประเภทและขนาดของโครงการหรือกิจการที่สามารถขอรับการยกเว้นไม่ต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามมาตรา ๔๖ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๔๓๕ โดยเบื้องต้นกำหนดให้โครงการประเภทอาคารอยู่อาศัยรวมและโรงแรมซึ่งต้องจัดทำรายงาน EIA ที่มีความสูงน้อยกว่า ๒๓ เมตร และพื้นที่ใช้สอยรวมทุกอาคารน้อยกว่า ๑๐,๐๐๐ ตารางเมตร สามารถขอรับการยกเว้นไม่ต้องจัดทำรายงาน EIA โดยยินยอมปฏิบัติตามมาตรการต่าง ๆ ที่กำหนดไว้ในรายงาน EIA ของโครงการในลักษณะเดียวกันที่ได้มีการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมไว้แล้ว ตามมาตรา ๔๖ วรรคสาม ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (คณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการยกเว้นการทำรายงาน EIA โครงการประเภทที่อยู่อาศัยรวม หรือโรงแรมที่มีความสูงน้อยกว่า ๒๓ เมตร และมีขนาดพื้นที่ใช้สอยรวมน้อยกว่า ๑๐,๐๐๐ ตารางเมตร ควรเปิดช่องทางการสื่อสารในรูปแบบสาธารณะให้ผู้ประกอบการรายใหม่ที่จะยื่นขอแบบอาคารพักอาศัยขนาดดังกล่าวได้รับทราบว่ามีการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมไว้แล้วในพื้นที่ใด และในการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือรายงาน EIA เป็นการวิเคราะห์ผลกระทบรายโครงการ จึงไม่สามารถตอบภาพรวมของการแก้ไขปัญหาเชิงพื้นที่ได้ รวมทั้งยังมีกิจการ และโครงการจำนวนมากตามมาตรา ๔๖ วรรคสาม ที่จะขอยกเว้นไม่ต้องจัดทำรายงาน EIA จึงควรมีมาตรการหรือเครื่องมือที่สามารถสื่อสารกับทุกภาคส่วนให้เข้าใจตรงกันในมาตรการดังกล่าว นอกจากนี้ ควรมีการเก็บข้อมูลผลหรือเสียงสะท้อนของโครงการที่ไม่ต้องจัดทำรายงาน EIA จากการปฏิบัติตามมาตรา ๔๖ วรรคสาม เพื่อนำไปสู่การพิจารณาเพิ่มเติมประเภทและขนาดของโครงการหรือกิจการที่สามารถขอรับการยกเว้นไม่ต้องจัดทำรายงาน EIA และการปรับปรุงประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมฯ ให้มีความเหมาะสมถูกต้อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
26523 | ขออนุมัติเปิดตลาดนำเข้านมผงขาดมันเนยปี 2556 เพิ่มเติม | กษ | 03/12/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบเปิดตลาดนำเข้านมผงขาดมันเนย ปี ๒๕๕๖ เพิ่มเติม จำนวน ๓,๒๒๖.๗ ตัน ในอัตราภาษีร้อยละ ๕ เท่ากับอัตราภาษีในโควตาที่เก็บจริงในปัจจุบัน โดยให้ผู้ประกอบการนำเข้าให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ โดยมีเงื่อนไขและแนวทางการจัดสรรโควตาส่วนนี้ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ติดตาม กำกับ ดูแลการดำเนินการมิให้เกิดผลกระทบต่อมาตรการและปริมาณการรับซื้อน้ำนมโคจากเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการเตรียมแนวทางในการทำความเข้าใจกับผู้ที่อาจได้รับผลกระทบจากการเปิดตลาดนำเข้านมผงดังกล่าวหากไม่ขัดต่อพันธกรณีภายใต้ WTO และ TAFTA เช่น เกษตรกรโคนมในประเทศที่อาจมีข้อกังวลเรื่องการสูญเสียตลาดน้ำนมดิบที่จะใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตซึ่งจะถูกทดแทนโดยนมผงขาดมันเนย การรณรงค์ส่งเสริมการบริโภคนมพร้อมดื่มในประเทศอย่างต่อเนื่อง และการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการใช้นมผงขาดมันเนยที่ผลิตได้ในประเทศเพื่อทดแทนการนำเข้านมผงขาดมันเนยจากต่างประเทศหลังจากที่ได้ก่อสร้างโรงงานผลิตนมผงในประเทศซึ่งคาดว่าจะดำเนินการได้ในปี ๒๕๕๗ เพื่อเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ผลิตน้ำนมดิบในประเทศอีกช่องทางหนึ่ง รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงอุตสาหกรรมเกี่ยวกับการทบทวนแนวทางการบริหารจัดการการนำเข้าและการจัดสรรโควตานมผงขาดมันเนยใหม่ที่จะทำให้ผู้ประกอบการสามารถบริหารจัดการวัตถุดิบนมผงขาดมันเนยของผู้ประกอบการในแต่ละกลุ่มได้อย่างเหมาะสม การให้ความสำคัญกับการกระตุ้นยอดขายของผู้ประกอบการรูปแบบต่าง ๆ เพื่อเพิ่มความต้องการบริโภคผลิตภัณฑ์นมสดในตลาดนมพาณิชย์ การรณรงค์บริโภคนมสดแก่ผู้บริโภคทั่วไปควบคู่ไปกับการพัฒนาการผลิตน้ำนมดิบให้มีผลิตภาพสูงขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
26524 | การกำหนดอัตราค่าเบี้ยประชุมของคณะกรรมการควบคุมการใช้สารต้องห้ามทางการกีฬา และคณะกรรมการเฉพาะเรื่อง | กก | 03/12/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กำหนดอัตราค่าเบี้ยประชุมของคณะกรรมการควบคุมการใช้สารต้องห้ามทางการกีฬาและคณะกรรมการเฉพาะเรื่อง ตามความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงาน ก.พ. ดังนี้
๑. กำหนดอัตราเบี้ยประชุมของคณะกรรมการควบคุมการใช้สารต้องห้ามทางการกีฬาในอัตราที่ลดหลั่นจากอัตราเบี้ยประชุมของคณะกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทย เนื่องจากมีอำนาจหน้าที่เฉพาะด้านเกี่ยวกับการควบคุมการใช้สารต้องห้ามทางการกีฬา โดยเทียบเคียงกับคณะกรรมการที่มีนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีเป็นประธาน โดยกำหนดให้ประธานกรรมการได้รับเบี้ยประชุมเป็นรายครั้งในอัตราไม่เกินครั้งละ ๗,๕๐๐ บาท กรรมการให้ได้รับเบี้ยประชุมเป็นรายครั้งในอัตราไม่เกินครั้งละ ๖,๐๐๐ บาท ทั้งนี้ ให้มีสิทธิได้รับเบี้ยประชุมไม่เกิน ๑ ครั้งต่อเดือนเฉพาะกรรมการที่มาประชุม เพื่อให้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์การจ่ายเบี้ยประชุมกรรมการรัฐวิสาหกิจตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ๒. กำหนดอัตราเบี้ยประชุมของคณะกรรมการเฉพาะเรื่อง ให้สอดคล้องกับอัตราเบี้ยประชุมรายครั้งตามประกาศกระทรวงการคลังที่เกี่ยวข้อง โดยกำหนดให้ประธานกรรมการได้รับเบี้ยประชุมในอัตราไม่เกิน ๑,๕๐๐ บาทต่อครั้ง กรรมการให้ได้รับเบี้ยประชุมในอัตราไม่เกิน ๑,๒๐๐ บาทต่อครั้ง ทั้งนี้ ให้มีสิทธิได้รับเบี้ยประชุมเฉพาะกรรมการที่มาประชุมเพียงครั้งเดียวในวันหนึ่ง |
||||||||||||||||||||||||
26525 | ข้อเสนอเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือเยียวยาด้านการเงินตามหลักมนุษยธรรม สำหรับความเสียหายแก่ชีวิต ร่างกาย ให้แก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบจาก เหตุการณ์ชุมนุมการเมือง | นร01 | 03/12/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์ดำเนินการช่วยเหลือเยียวยาด้านการเงินตามหลักมนุษยธรรม สำหรับความเสียหายแก่ชีวิต ร่างกาย ให้แก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมือง ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๕๕ (เรื่อง ข้อเสนอแนะเพื่อส่งเสริมให้การเยียวยาและฟื้นฟูเหยื่อและผู้เสียหายตลอดจนผู้ที่ได้รับผลกระทบจากความรุนแรงหรือความขัดแย้งทางการเมือง) และวันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับหลักเกณฑ์และวิธีการให้ความช่วยเหลือเยียวยาด้านการเงินสำหรับความเสียหายแก่ชีวิต ร่างกาย ให้แก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากความรุนแรง หรือความขัดแย้งทางการเมือง) มาใช้ในการช่วยเหลือเยียวยาให้แก่ผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมือง ในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนธันวาคม ๒๕๕๖ โดยให้คณะกรรมการประสานและติดตามผลการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (ปคอป.) และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ดำเนินการช่วยเหลือเยียวยาต่อไป ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
26526 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 214 สายต่อเขตเทศบาลเมืองกาฬสินธุ์ควบคุม - ช่องจอม ตอนทางเลี่ยงเมืองสุรินทร์ด้านเหนือ พ.ศ. .... | คค | 03/12/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๒๑๔ สายต่อเขตเทศบาลเมืองกาฬสินธุ์ควบคุม-ช่องจอม ตอนทางเลี่ยงเมืองสุรินทร์ด้านเหนือ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๒๑๔ สายต่อเขตเทศบาลเมืองกาฬสินธุ์ควบคุม-ช่องจอม ตอนทางเลี่ยงเมืองสุรินทร์ด้านเหนือ ในท้องที่ตำบลคอโค ตำบลท่าสว่าง ตำบลแกใหญ่และตำบลแสลงพันธ์ อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ เพื่ออำนวยความสะดวกและความรวดเร็วแก่การจราจรและการขนส่งอันเป็นกิจการสาธารณูปโภค และเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจและเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กรมทางหลวงประสานการรถไฟแห่งประเทศไทย เพื่อขอข้อมูลโครงการรถไฟทางคู่สายชุมทางจิระ-อุบลราชธานี มาใช้ประกอบการพิจารณาออกแบบก่อสร้างเส้นทางบริเวณจุดตัดทางรถไฟได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
26527 | การแต่งตั้งคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการคดีพิเศษ | ยธ | 03/12/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการคดีพิเศษแทนกรรมการที่พ้นจากตำแหน่ง จำนวน ๒ คน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๓ ธันวาคม ๒๕๕๖) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้
๑. ศาสตราจารย์ (พิเศษ) จุลสิงห์ วสันตสิงห์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเงินการธนาคาร ๒. นายอุดม มั่งมีดี ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมายและการพิจารณาพิพากษาคดี
|
||||||||||||||||||||||||
26528 | ร่างพระราชกฤษฎีกาถอนสภาพที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในท้องที่ตำบลบ้านพร้าว อำเภอเมืองหนองบัวลำภู จังหวัดหนองบัวลำภู พ.ศ. .... | มท | 03/12/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาถอนสภาพที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในท้องที่ตำบลบ้านพร้าว อำเภอเมืองหนองบัวลำภู จังหวัดหนองบัวลำภู พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ถอนสภาพที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในท้องที่ตำบลบ้านพร้าว อำเภอเมืองหนองบัวลำภู จังหวัดหนองบัวลำภู เนื้อที่ประมาณ ๒๐๐ ไร่ เพื่อมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาใช้เป็นที่ตั้งวิทยาลัยชุมชนหนองบัวลำภู และใช้ประโยชน์อย่างอื่นในราชการของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
26529 | การจัดทำแถลงการณ์ร่วมว่าด้วยการเยือนสหพันธรัฐรัสเซียอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี | กต | 03/12/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. การจัดทำแถลงการณ์ร่วมว่าด้วยผลการเยือนสหพันธรัฐรัสเซียอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี (Joint Statement on the outcome of the official visit to the Russian Federation by the Prime Minister of the Kingdom of Thailand) ในระหว่างวันที่ ๘-๙ ธันวาคม ๒๕๕๖ โดยสาระสำคัญของร่างแถลงการณ์ร่วมฯ มีเป้าหมายที่จะยกระดับความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศไปสู่ความเป็นหุ้นส่วนในระดับที่สูงขึ้น โดยจะกระชับและขยายความร่วมมือในทุกมิติผ่านกลไกที่มีอยู่ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงถ้อยคำของแถลงการณ์ร่วมดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ เพื่อให้สอดคล้องกับผลประโยชน์และนโยบายของราชอาณาจักรไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง ๒. ให้นายกรัฐมนตรีร่วมรับรองเอกสารดังกล่าวกับประธานาธิบดีสหพันธรัฐรัสเซียโดยไม่มีการลงนาม
|
||||||||||||||||||||||||
26530 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 งบกลาง ค่าใช้จ่ายในการรักษาความสงบเรียบร้อยการชุมนุม | ตช | 03/12/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่กระทรวงการคลังได้อนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว ภายในกรอบวางเงิน ๘๑๕,๑๘๔,๗๒๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการรักษาความสงบเรียบร้อยจากการชุมนุม ทั้งนี้ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำรายละเอียดค่าใช้จ่ายและขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงในอัตราค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติงานควบคุมสถานการณ์ความไม่สงบที่กรมบัญชีกลางกำหนดตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||
26531 | ขอยกเว้นการปฏิบัติตามระเบียบก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณและขอสนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติมโครงการจัดตั้งศูนย์ผลิตภัณฑ์จากพลาสมา ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย | สกช | 03/12/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ ๑.๑ สภากาชาดไทยเป็นองค์กรสาธารณสุขเพื่อมนุษยธรรมซึ่งมิใช่ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานอื่นใดของรัฐ และมีสถานะเป็นนิติบุคคลที่พึงได้รับการสนับสนุนการดำเนินการของรัฐ สภากาชาดไทยจึงมิใช่ส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจภายใต้บังคับของพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม แต่เนื่องจากสภากาชาดไทยขอรับงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อคณะรัฐมนตรีในลักษณะการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ ซึ่งเป็นข้อผูกพันต่อคณะรัฐมนตรีที่จะต้องจัดสรรงบประมาณรายจ่ายสนับสนุนให้ในปีต่อ ๆ ไปต้องดำเนินการให้สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณสำหรับรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖) กรณีที่สภากาชาดไทยได้ดำเนินการลงนามในสัญญาจัดตั้งศูนย์ผลิตภัณฑ์จากพลาสมา ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ไปแล้ว เห็นสมควรที่คณะรัฐมนตรีจะอนุมัติยกเว้นเป็นกรณีพิเศษเฉพาะรายต่อไป ๑.๒ การขอสนับสนุนงบประมาณอุดหนุนเพิ่มเติม จำนวน ๗๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท จากวงเงินที่เพิ่มขึ้น ๗๑๔,๑๘๔,๐๐๐ บาท รวมเป็นวงเงินของโครงการทั้งสิ้น ๒,๗๗๗,๑๔๙,๐๐๐ บาท เห็นควรเห็นชอบความเหมาะสมของทั้งโครงการเป็นจำนวน ๒,๖๗๑,๐๐๐,๕๐๐ บาท โดยใช้เงินงบประมาณ จำนวน ๑,๑๖๕,๘๙๑,๗๐๐ บาท และใช้เงินนอกงบประมาณสมทบ จำนวน ๑,๕๐๕,๑๐๘,๘๐๐ บาท ตามสัดส่วนเดิม ๒. ให้สภากาชาดไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับสถาบันทางวิชาการที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยพลาสมาเพื่อต่อยอดการผลิตผลิตภัณฑ์พลาสมากลุ่มอื่น ๆ รวมทั้งสร้างมาตรฐานคุณภาพการจัดเก็บพลาสมาของโรงพยาบาลที่จะต้องมีการจำหน่ายให้แก่ศูนย์ผลิตผลิตภัณฑ์พลาสมาเพื่อนำมาใช้ในการรักษาโรค ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
26532 | การขออนุมัติการซื้อหุ้นเพิ่มทุนเพิ่มเติมของบรรษัทประกันต่อแห่งเอเชียของรัฐบาลไทย | กค | 03/12/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๑๓/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการซื้อหุ้นเพิ่มทุนเพิ่มเติมของบรรษัทประกันต่อแห่งเอเชีย จำนวน ๖.๘๒๒ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อให้ครบ ๑๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามเจตนารมณ์เดิมในการก่อตั้งบรรษัทฯ ๒. ให้กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ และกระทรวงการต่างประเทศ ร่วมกันพิจารณาถึงข้อกฎหมายและระเบียบปฏิบัติที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งกรอบระยะเวลาที่ต้องใช้ในการดำเนินการในกรณีกระทรวงการคลังจะขอใช้จ่ายเงินตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจำหน่ายหุ้นและซื้อหุ้นของส่วนราชการ พ.ศ. ๒๕๓๕ เพื่อการซื้อหุ้นเพิ่มทุนเพิ่มเติมของบรรษัทฯ และให้นำเสนอผลการพิจารณาเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีต่อไป และหากกระทรวงการคลังไม่สามารถซื้อหุ้นเพิ่มทุนเพิ่มเติมของบรรษัทฯ โดยใช้จ่ายเงินตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจำหน่ายหุ้นและซื้อหุ้นของส่วนราชการ พ.ศ. ๒๕๓๕ ได้ หรือไม่สามารถดำเนินการได้ทันภายในเดือนธันวาคม ๒๕๕๖ คณะกรรมการกลั่นกรองฯ เห็นควรให้ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่เสนอให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่ได้รับอนุมัติจากกระทรวงการคลังให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปี ภายในกรอบวงเงินจำนวน ๒๑๙ ล้านบาท อัตราแลกเปลี่ยน ๑ ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ ๓๒ บาท โดยให้เบิกจ่ายตามอัตราจริง ณ วันเบิกจ่าย ทั้งนี้ ให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลังประสานสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจพิจารณาปรับแผนการใช้จ่ายเงินที่ได้รับตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจำหน่ายหุ้นและซื้อหุ้นของส่วนราชการมาใช้จ่ายเพื่อการนี้อีกครั้งหนึ่งก่อน |
||||||||||||||||||||||||
26533 | โครงการจัดหารถไฟฟ้าธรรมดา (City Line Airport Rail Link) จำนวน 7 ขบวน ของบริษัท รถไฟฟ้า รฟท. จำกัด | คค | 03/12/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๑๓/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบโครงการจัดหารถไฟฟ้าธรรมดา (City Line Airport Rail Link) จำนวน ๗ ขบวน ขบวนละ ๔ ตู้ วงเงินรวม ๔,๘๕๔.๔๑ ล้านบาท (รวมค่าใช้จ่ายสำหรับอะไหล่สำรอง ร้อยละ ๑๐ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ร้อยละ ๗ และค่าใช้จ่ายในการแก้ไขระบบอาณัติสัญญาณและการเดินรถ) ของบริษัท รถไฟฟ้า รฟท. จำกัด โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มรายได้เชิงพาณิชย์ด้านการโดยสารรถไฟฟ้าและเพิ่มความปลอดภัยในการเดินขบวนรถไฟฟ้าเนื่องจากเป็นการจัดหาขบวนรถไฟฟ้าธรรมดาเพิ่มเติม จำนวน ๗ ขบวน ขบวนละ ๔ ตู้ และเสริมการให้บริการของขบวนรถไฟฟ้าที่บริษัทฯ มีอยู่เดิมที่จะครบวาระในการซ่อมหนัก (Overhaul) เมื่อวิ่งครบระยะทาง ๑ ล้านกิโลเมตร ในช่วงต้นปี ๒๕๕๗ รวมทั้งปริมาณผู้โดยสารคาดการณ์ ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ขบวนรถไฟฟ้าธรรมดา ที่บริษัทฯ มีอยู่ในปัจจุบัน จำนวน ๕ ขบวน ขบวนละ ๓ ตู้ ไม่สามารถรองรับได้อย่างเพียงพอ โดยเฉพาะในช่วงเวลาเร่งด่วน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ให้ใช้แหล่งเงินกู้ในประเทศในการดำเนินโครงการฯ โดยให้กระทรวงการคลังดำเนินการกู้เงิน และนำมาให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กู้ต่อเพื่อนำไปเพิ่มทุนให้กับบริษัทฯ เพื่อดำเนินโครงการฯ โดยจะให้ รฟท. ถือหุ้นร้อยละ ๑๐๐ ต่อไป อย่างไรก็ตาม กรณีการให้กระทรวงการคลังเข้าร่วมถือหุ้นในบริษัทฯ แทน รฟท. ให้ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของกระทรวงคมนาคม และ รฟท. ทั้งนี้ หากกระทรวงคมนาคม และ รฟท. ประสงค์ให้กระทรวงการคลังเข้าถือหุ้นในบริษัทฯ กระทรวงการคลังจะต้องเปิดโอกาสให้ รฟท. สามารถซื้อหุ้นของบริษัทฯ คืนจากกระทรวงการคลังได้ในราคาทุนในอนาคต |
||||||||||||||||||||||||
26534 | การเลื่อนการจัดเที่ยวบินพิเศษมหากุศล เส้นทางบินไปกลับกรุงเทพฯ - นครศรีธรรมราช | นร | 03/12/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่เลขาธิการคณะรัฐมนตรีรายงานว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ (เรื่อง การจัดเที่ยวบินพิเศษมหากุศล เส้นทางบินไปกลับกรุงเทพ-นครศรีธรรมราช) รับทราบและอนุมัติการจัดเที่ยวบินพิเศษมหากุศล เส้นทางบินไปกลับกรุงเทพ-นครศรีธรรมราช ในวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ นั้น บัดนี้ กองกิจการในพระองค์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร แจ้งว่า ของดเที่ยวบินพิเศษดังกล่าวไว้ก่อน
|
||||||||||||||||||||||||
26535 | ขออความเห็นชอบการลงนามบันทึกความเข้าใจเพื่อการจัดตั้งสมาคมการรถไฟของประเทศลุ่มแม่น้ำโขง | คค | 03/12/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้
๑. ร่างบันทึกความเข้าใจเพื่อการจัดตั้งสมาคมการรถไฟของประเทศลุ่มแม่น้ำโขง (Draft Final MOU for the Establishment of the Greater Mekong Railway Association : GMRA) ฉบับปรับปรุงใหม่ ๒. การลงนามบันทึกความเข้าใจเพื่อการจัดตั้งสมาคมการรถไฟของประเทศลุ่มแม่น้ำโขง (GMRA) ๓. ให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายวราเทพ รัตนากร) ซึ่งได้รับมอบหมายให้กำกับดูแลความร่วมมือในกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (Greater Mekong Subregion : GMS) เป็นผู้ลงนามบันทึกความเข้าใจฯ |
||||||||||||||||||||||||
26536 | การประเมินค่าภาษีโรงเรือนและที่ดิน | คค | 03/12/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้ลดหย่อนค่ารายปีให้แก่การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ประจำปีภาษี ๒๕๔๘ ถึงปีภาษี ๒๕๕๓ จากที่กรุงเทพมหานครกำหนดไว้ จำนวน ๑,๒๘๙,๓๕๒,๔๒๓.๐๕ บาท ลงเหลือ จำนวน ๖๘,๐๑๗,๖๘๔.๑๖ บาท
|
||||||||||||||||||||||||
26537 | โครงการเพิ่มประสิทธิภาพระบบศูนย์สั่งการจ่ายไฟ (การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค) | มท | 03/12/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานกรรมการกลั่นกรองฯ คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมคณะกรรมการกลั่นกรองฯ คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ครั้งที่ ๑๒/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๖ ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) รองประธานกรรมการ ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุม เสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ดำเนินโครงการเพิ่มประสิทธิภาพระบบศูนย์สั่งการจ่ายไฟ ในวงเงินลงทุนรวม ๔,๕๓๐ ล้านบาท แบ่งเป็นเงินกู้ในประเทศ ๓,๓๙๕ ล้านบาท และเงินรายได้ กฟภ. วงเงิน ๑,๑๓๕ ล้านบาท และเห็นชอบให้ กฟภ. กู้เงินในประเทศภายในกรอบวงเงิน ๓,๓๙๕ ล้านบาท เพื่อเป็นเงินลงทุนของโครงการเพิ่มประสิทธิภาพระบบศูนย์สั่งการจ่ายไฟ ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามนัยมาตรา ๔๒ แห่งพระราชบัญญัติการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค พ.ศ. ๒๕๐๓ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ๒. ให้ กฟภ. รับข้อสังเกตเพิ่มเติมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับโครงการดังกล่าวมีรายละเอียดการปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบศูนย์สั่งการจ่ายไฟทั้งด้านฮาร์ตแวร์ และซอฟต์แวร์ โดยมีการติดตั้งอุปกรณ์ต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก กฟภ. จึงควรมุ่งเน้นด้านการพัฒนาเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงระบบไฟฟ้ากำลังเป็นอันดับแรก เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายการเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ และให้ความสำคัญกับการปรับปรุงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพระบบศูนย์สั่งการจ่ายไฟให้สอดรับกับแนวทางการพัฒนาระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid) ในอนาคต นอกจากนี้ กฟภ. ควรพิจารณาดำเนินการปรับปรุงพัฒนาให้ระบบศูนย์สั่งการจ่ายไฟสามารถรองรับการใช้งานได้ในระยะยาว เพื่อเป็นการใช้สินทรัพย์ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และใช้งบประมาณให้เกิดความคุ้มค่าสูงสุด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
26538 | การกู้เงินประจำปีงบประมาณ 2557 ของการเคหะแห่งชาติ | พม | 03/12/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้การเคหะแห่งชาติกู้เงินประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๗ จำนวน ๓,๐๐๐ ล้านบาท โดยมีกระทรวงการคลังค้ำประกัน เพื่อการบริหารหนี้เงินกู้ที่ครบกำหนดชำระ (Roll Over) ในปีงบประมาณ ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
26539 | รายงานปัญหาอาชญากรรม (ในรอบเดือนตุลาคม 2556) | ตช | 03/12/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานตามมาตรการดูแลรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน รอบเดือนตุลาคม ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ด้านการป้องกันอาชญากรรม คดีกลุ่มที่ ๑ คดีอุกฉกรรจ์ สะเทือนขวัญ มีการรับแจ้งคดีทั้งสิ้น ๔๐๗ คดี คดีกลุ่มที่ ๒ คดีประทุษร้ายต่อชีวิต ร่างกาย และเพศ มีการรับแจ้งคดีทั้งสิ้น ๑,๘๔๔ คดี และคดีกลุ่มที่ ๓ คดีประทุษร้ายต่อทรัพย์ มีการรับแจ้งคดีทั้งสิ้น ๔,๒๔๒ คดี ๒. ด้านการปราบปรามอาชญากรรม คดีกลุ่มที่ ๑ จับกุมได้ ๒๔๒ คดี คดีกลุ่มที่ ๒ จับกุมได้ ๘๘๙ คดี และคดีกลุ่มที่ ๓ จับกุมได้ ๑,๘๔๐ คดี ๓. ด้านการประชาสัมพันธ์ ได้เร่งรณรงค์ประชาสัมพันธ์ทางสื่อต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ให้ประชาชนมีความระมัดระวังในการรักษาความปลอดภัยในทรัพย์สินของตนเองให้มากยิ่งขึ้น โดยไม่เปิดโอกาสให้คนร้ายเข้ามาประทุษร้ายต่อทรัพย์ของตนเองได้ง่าย รวมทั้งการให้ความร่วมมือในการแจ้งเบาะแสการกระทำผิดของคนร้าย สำหรับกรณีที่มีการจับกุมผู้กระทำผิดในคดีที่ก่อให้เกิดความเสียหายในภาพรวมหรือกระทบต่อความสงบสุขในการดำรงชีวิตประจำวันของประชาชน ให้พิจารณาจัดแถลงข่าวทางสื่อมวลชนให้ประชาชนได้รับทราบ ๔. จากผลการดำเนินการในรอบเดือนตุลาคม ๒๕๕๖ พบว่าในด้านการป้องกันอาชญากรรมในภาพรวม สำนักงานตำรวจแห่งชาติสามารถควบคุมอาชญากรรมให้อยู่ในระดับเกณฑ์เป้าหมายที่กำหนดไว้ เนื่องจากได้มีคำสั่งให้ทุกหน่วยงานในสังกัด เข้มงวดกวดขันในการตั้งจุดตรวจ จุดสกัด ในพื้นที่ล่อแหลมหรือเสี่ยงต่อการเกิดอาชญากรรม ส่งผลให้สถิติคดีอาญาลดน้อยลง ส่วนด้านการปราบปรามอาชญากรรม ทุกกลุ่มคดีมีผลการปฏิบัติไม่ผ่านเกณฑ์เป้าหมายที่กำหนดไว้ เนื่องจากมีกลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงอย่างต่อเนื่อง ทำให้ขาดกำลังพลที่จะปฏิบัติงานในพื้นที่ปกติ จึงให้หน่วยงานพิจารณาจัดสรรกำลังทดแทนจากหน่วยข้างเคียง และขอความร่วมมือจากฝ่ายปกครอง อาสาสมัครภาคประชาชน มาร่วมปฏิบัติงานเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงานมากที่สุด
|
||||||||||||||||||||||||
26540 | รัฐบาลรัฐสุลต่านโอมานเสนอขอแต่งตั้งเอกอักราชทูตประจำประเทศไทย [นายอับดุลเลาะฮ์ เศาะลาฮ์ อะห์มัด อัล-ไมมานีย์ (Mr. Abdullah Saleh Ahmed Al-Maimani)] | กต | 03/12/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายอับดุลเลาะฮ์ เศาะลาฮ์ อะห์มัด อัล-ไมมานีย์ (Mr. Abdullah Saleh Ahmed Al-Maimani) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งรัฐสุลต่านโอมานประจำประเทศไทยคนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงเทพมหานคร สืบแทนนายฮาฟีดห์ ซาลิม โมฮาเมด บา-โอมาร์ (Mr. Hafeedh Salim Mohamed Ba-Omar) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
.....