ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 21 จากทั้งหมด 48 หน้า แสดงรายการที่ 401 - 420 จากข้อมูลทั้งหมด 958 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
401 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการช่วยเหลือผู้ประกอบการและลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุม ครั้งที่ 7/2553 | นร | 31/08/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบ รับทราบ และอนุมัติตามมติคณะกรรมการช่วยเหลือผู้ประกอบการและลูกจ้างที่ได้รับผล กระทบจากการชุมชน ในการประชุมครั้งที่ 7/2553 เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2553 ตามที่เลขาธิการนายก รัฐมนตรี ประธานกรรมการช่วยเหลือผู้ประกอบการและลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมเสนอ ดังนี้ 1.1 เห็นชอบแนวทางการดำเนินการตามหลักเกณฑ์มาตรการช่วยเหลือพิเศษให้แก่ผู้ประสบภัยที่ ถูกเพลิงไหม้อันเนื่องมาจากการชุมชนโดยตรง และผู้ประกอบการที่ไม่ได้ถูกเพลิงไหม้โดยตรงแต่ได้รับความเสีย หายเกี่ยวเนื่องจากเพลิงไหม้ เช่น น้ำดับเพลิง สารเคมี และควันไฟ (มาตรการเงินสดและมาตรการภาษี) และ อนุมัติการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการในลักษณะการฝากขายสินค้าซึ่งไม่มีพื้นที่ใช้ทำธุรกิจและได้รับความ เสียหายจากเหตุเพลิงไหม้ ทั้งมาตรการเงินสดและมาตรการภาษีเพิ่มเติม โดยมาตรการเงินสดให้ช่วยเหลือตาม ความเสียหายจริงแต่ไม่เกิน 50,000 บาท ภายใต้กรอบวงเงินงบประมาณ 600 ล้านบาท และให้สำนักงาน ปลัดกระทรวงการคลังเป็นหน่วยดำเนินการและกำหนดหลักเกณฑ์ในการจ่ายเงินให้แก่ผู้ประกอบการในลักษณะ การฝากขายสินค้าต่อไป 1.2 รับทราบการรวบรวมหลักเกณฑ์การพิจารณาให้ความช่วยเหลือตามมาตรการให้ความช่วย เหลือกรณีค่าจ้างพนักงานแก่ผู้ประกอบการที่รักษาสภาพการจ้างงาน การดำเนินการเรื่องการให้ความช่วย เหลือผู้ประกอบการต่างชาติที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุม และความคืบหน้าการดำเนินการเรื่องขอขยายเวลา เช่าพื้นที่การรถไฟแห่งประเทศไทยของห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล 1.3 อนุมัติมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่มีประกันภัยซึ่งได้รับความเสียหายจากเพลิงไหม้ (มาตรการสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมืองที่ยังไม่ได้รับการชด เชยจากบริษัทประกันภัย) 1.4 อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2553 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุก เฉินหรือจำเป็น ประเภทเงินอุดหนุนทั่วไป จำนวน 106,292,280 บาท ให้สำนักงานประกันสังคม เพื่อช่วย เหลือผู้ประกอบการซึ่งรักษาสภาพการจ้างไว้ โดยใช้หลักเกณฑ์วิธีปฏิบัติในการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประกอบการ และลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุม กรณีค่าจ้างที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้แล้ว ทั้งนี้ หากมี กรณีผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ชุมนุมทั้งกรณีปิดกิจการชั่วคราวและกรณีถูกเพลิงไหม้ ยังมิ ได้รับความช่วยเหลือค่าใช้จ่ายพนักงานที่เกิดจากการสำรวจข้อมูลไม่ครอบคลุมหรือครบถ้วน ถ้าการขอรับความ ช่วยเหลือดังกล่าวเป็นไปตามหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้ ให้ผู้ประกอบการดังกล่าวได้รับความช่วยเหลือ กรณีค่าจ้างด้วย โดยให้กระทรวงแรงงาน (สำนักงานประกันสังคม) เป็นผู้พิจารณาให้ความช่วยเหลือเป็นราย กรณี โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณคงเหลือกรณีค่าใช้จ่ายพนักงานที่สำนักงบประมาณได้อนุมัติให้สำนักงาน ประกันสังคมไปแล้ว 1.5 อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2553 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุก เฉินหรือจำเป็น ประเภทเงินอุดหนุนทั่วไป จำนวน 6,325,203.87 บาท เพื่อชดเชยเงินเพิ่มให้แก่กรุงเทพมหา นคร ซึ่งผ่อนผันการชำระภาษีโรงเรือนและที่ดินให้แก่ผู้ประกอบการที่ถูกเพลิงไหม้ 1.6 อนุมัติให้สำนักงานปลัดกระทรวงแรงงานเป็นหน่วยงานดำเนินการเรื่องการเช่าพื้นที่ห้าง สรรพสินค้าแฟชั่นมอลล์เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการซึ่งถูกเพลิงไหม้จาก ห้างเซ็นเตอร์ วัน โดยให้สำนักงาน ปลัดกระทรวงแรงงานขอรับการจัดสรรงบประมาณ กำหนด หลักเกณฑ์ และเบิกจ่ายงบประมาณให้แก่ธนาคาร ทิสโก้ จำกัด (มหาชน) ตามพื้นที่ที่ใช้จริง ภายในกรอบวงเงินงบประมาณที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติในหลักการ ไว้เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2553 ต่อไป 1.7 เห็นชอบการยุติภารกิจของคณะกรรมการช่วยเหลือผู้ประกอบการและลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบ จากการชุมชน โดยให้ส่วนราชการต่าง ๆ ที่ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการในแต่ละมาตรการเป็นผู้วินิจฉัยและ แก้ไขปัญหา หากมีปัญหาที่เป็นเรื่องสำคัญหรือกรณีจำเป็น ให้เลขาธิการนายกรัฐมนตรีเป็นผู้พิจารณา และแจ้ง ให้ส่วนราชการดำเนินการต่อไป 2. ให้เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการช่วยเหลือผู้ประกอบการและลูกจ้างที่ได้รับ ผลกระทบจากการชุมนุม รับข้อร้องเรียนของผู้ประกอบการร้านจำหน่ายทองคำและอัญมณีที่ขอให้พิจารณาให้ ความช่วยเหลือนอกเหนือจากการพิจารณาตามขนาดของพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายไปพิจารณาเพื่อเยียวยา แล้ว มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
402 | ผลการประชุมคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ 1/2553 | กค | 10/08/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี) ประธานกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ (ประธาน กนร.) เสนอผลการประชุม กนร. ครั้งที่ 1/2553 เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2553 โดยที่ประชุมได้มีมติ ดังนี้ 1.1 รับทราบความคืบหน้าการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจ และการทบทวนบทบาท ภารกิจ และความจำเป็นในการมีอยู่ของรัฐวิสาหกิจ โดยในส่วนของการทบทวนบทบาท ภารกิจฯ มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการ กนร. จัดประชุมรัฐวิสาหกิจที่ต้องจัดทำแผนปรับบทบาทหรือแผนพลิกฟื้นฐานะทางการเงินของรัฐวิสาหกิจ จำนวน 7 แห่ง ได้แก่ องค์การสะพานปลา องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย องค์การตลาด การรถไฟแห่งประเทศไทย บริษัท อู่กรุงเทพ จำกัด และองค์การคลังสินค้า และให้รัฐวิสาหกิจทั้ง 7 แห่ง รายงานความคืบหน้าในการประชุม กนร. ต่อไป รวมทั้งรับทราบความคืบหน้าในการจัดทำแผนธุรกิจเพื่อพลิกฟื้นฐานะทางการเงินของรัฐวิสาหกิจ จำนวน 13 แห่ง โดยมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการ กนร. เร่งกำกับการจัดทำแผนพลิกฟื้นของรัฐวิสาหกิจ 5 แห่ง ได้แก่ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) การเคหะแห่งชาติ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) เพื่อรายงานในการประชุม กนร. ต่อไป 1.2 มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมและการท่าเรือแห่งประเทศไทยดำเนินการตามความเห็นของคณะกรรมการ กนร. ดังนี้ 1.2.1 ตรวจสอบความถูกต้องและครบถ้วนในการดำเนินการตามกฎหมายของโครงการท่าเทียบเรือ จำนวน 10 โครงการ หากพบว่าโครงการใดมีมูลค่าโครงการเกินกว่า 1,000.00 ล้านบาท ให้ดำเนินการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 ต่อไป 1.2.2 พิจารณาถึงลักษณะการผูกขาดของสัญญาของบริษัท ฮัทชิสัน แหลมฉบัง เทอร์มินัล จำกัด และผลกระทบต่อผลประโยชน์ของรัฐในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขสัญญาของบริษัทฯ ตลอดจนความเป็นธรรมในการแข่งขันระหว่างผู้ประกอบการท่าเทียบเรือ 1.2.3 ทบทวนความเหมาะสมและความคุ้มค่าในการลงทุนโครงการท่าเทียบเรือ A (ท่าเทียบเรือชายฝั่ง) ในกรณีการท่าเรือแห่งประเทศไทยเป็นผู้ลงทุนทั้งหมดกับการเปิดโอกาสให้เอกชนเข้าร่วมลงทุน |
|||||||||||||||||||||||||||
403 | ผลการประชุมคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ 1/2553 | กค | 10/08/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้ 1. รับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี) ประธานกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ (ประธาน กนร.) เสนอผลการประชุม กนร. ครั้งที่ 1/2553 เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2553 โดยที่ประชุมได้มีมติ ดังนี้ 1.1 รับทราบความคืบหน้าการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจ และการทบทวนบทบาท ภารกิจ และความจำเป็นในการมีอยู่ของรัฐวิสาหกิจ โดยในส่วนของการทบทวนบทบาท ภารกิจฯ มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการ กนร. จัดประชุมรัฐวิสาหกิจที่ต้องจัดทำแผนปรับบทบาทหรือแผนพลิกฟื้นฐานะทางการเงินของรัฐวิสาหกิจ จำนวน 7 แห่ง ได้แก่ องค์การสะพานปลา องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย องค์การตลาด การรถไฟแห่งประเทศไทย บริษัท อู่กรุงเทพ จำกัด และองค์การคลังสินค้า และให้รัฐวิสาหกิจทั้ง 7 แห่ง รายงานความคืบหน้าในการประชุม กนร. ต่อไป รวมทั้งรับทราบความคืบหน้าในการจัดทำแผนธุรกิจเพื่อพลิกฟื้นฐานะทางการเงินของรัฐวิสาหกิจ จำนวน 13 แห่ง โดยมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการ กนร. เร่งกำกับการจัดทำแผนพลิกฟื้นของรัฐวิสาหกิจ 5 แห่ง ได้แก่ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) การเคหะแห่งชาติ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) เพื่อรายงานในการประชุม กนร. ต่อไป 1.2 มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมและการท่าเรือแห่งประเทศไทยดำเนินการตามความเห็นของคณะกรรมการ กนร. ดังนี้ 1.2.1 ตรวจสอบความถูกต้องและครบถ้วนในการดำเนินการตามกฎหมายของโครงการท่าเทียบเรือ จำนวน 10 โครงการ หากพบว่าโครงการใดมีมูลค่าโครงการเกินกว่า 1,000.00 ล้านบาท ให้ดำเนินการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 ต่อไป 1.2.2 พิจารณาถึงลักษณะการผูกขาดของสัญญาของบริษัท ฮัทชิสัน แหลมฉบัง เทอร์มินัล จำกัด และผลกระทบต่อผลประโยชน์ของรัฐในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขสัญญาของบริษัทฯ ตลอดจนความเป็นธรรมในการแข่งขันระหว่างผู้ประกอบการท่าเทียบเรือ 1.2.3 ทบทวนความเหมาะสมและความคุ้มค่าในการลงทุนโครงการท่าเทียบเรือ A (ท่าเทียบเรือชายฝั่ง) ในกรณีการท่าเรือแห่งประเทศไทยเป็นผู้ลงทุนทั้งหมดกับการเปิดโอกาสให้เอกชนเข้าร่วมลงทุน
|
|||||||||||||||||||||||||||
404 | ขอความเห็นชอบให้การรถไฟแห่งประเทศไทยกู้เงินสำหรับใช้ในการดำเนินงาน | คค | 10/08/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ถอนเรื่อง ขอความเห็นชอบให้การรถไฟแห่งประเทศไทยกู้เงินสำหรับใช้ใน
การดำเนินงาน คืนไปได้ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเสนอเพิ่มเติม |
|||||||||||||||||||||||||||
405 | ผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ครั้งที่ 8/2553 | นร | 20/07/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามมติคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ (รศก.) ในการประชุม
ครั้งที่ 8/2553 เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2553 ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่ง ชาติ กรรมการและเลขานุการ รศก. เสนอ โดยที่ประชุมคณะกรรมการ รศก. มีมติ ดังนี้ 1. รับทราบรายงานสถานการณ์การส่งเสริมการลงทุน ตามที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลง ทุน กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนรับข้อสังเกตของ คณะกรรมการ รศก. เกี่ยวกับการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้างของไทยที่ไปลงทุนในต่างประเทศยังมี ปัญหาด้านสินเชื่อเนื่องจากไม่ได้รับการสนับสนุนจากสถาบันการเงินและต้นทุนของสินเชื่อสูงกว่าของต่างประเทศ ส่วนการวิเคราะห์การลงทุน ควรวิเคราะห์ในเชิงผลิตภาพการผลิตของแรงงาน รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของเทคโน โลยี โดยในระยะยาวควรมุ่งเน้นการพัฒนาศักยภาพของแรงงานไทยและเทคโนโลยีที่พัฒนาผลิตภาพการผลิตของ อุตสาหกรรมไทย นอกจากนี้ ควรส่งเสริมให้มีการลงทุนในอุตสาหกรรมที่ใช้ทรัพยากรธรรมชาติในการผลิต (Resource-Based Industry) เช่น อุตสาหกรรมอาหาร สินค้าเกษตร บริการ เทคโนโลยีชีวภาพ และยา เป็นต้น รวมทั้งควรเร่งพัฒนาอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ โดยเร่งแก้ไขปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ ได้แก่ แพทย์ผู้เชี่ยว ชาญเฉพาะด้านที่ยังไม่มีเพียงพอ และการใช้ทรัพยากรร่วมกันระหว่างโรงพยาบาลของรัฐและเอกชน ไปพิจารณา ดำเนินการ พร้อมทั้งจัดทำสรุปภาวการณ์ลงทุนของนักลงทุนไทยในต่างประเทศ และรายงานคณะกรรมการ รศก. ในคราวต่อไป 2. รับทราบความก้าวหน้าการดำเนินโครงการลงทุนขนาดใหญ่ ตามที่ฝ่ายเลขานุการเสนอ และมอบ หมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของคณะกรรมการ รศก. ที่เห็นควรให้กระทรวงคมนาคมเร่งพิจารณา ปรับรูปแบบโครงการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกปากบารา ตามมติคณะกรรมการพัฒนาระบบการบริหารจัดการขน ส่งสินค้าและบริการของประเทศ (กบส.) ในการประชุมครั้งที่ 1/2553 เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2553 ให้เกิด ความชัดเจนในการประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจให้กับประชาชน และให้ความสำคัญกับการลงทุนในโครงการ ที่สนับสนุนยุทธศาสตร์การขนส่งเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาค ภายใต้กรอบความร่วมมือทางเศรษฐ กิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (Greater Mekong Subregion : GMS) และการลงทุนที่จะช่วยสนับสนุนการเป็น ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community : AEC) เป็นต้น และความเห็นของฝ่ายเลขานุการที่ เห็นควรเร่งรัดการดำเนินโครงการลงทุนสำคัญในสาขาขนส่งที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ดำเนินการโครงการ แล้ว อาทิ โครงการก่อสร้างทางคู่ ช่วงแหลมฉบัง-ศรีราชา-แหลมฉบัง โดยเร่งรัดการก่อสร้างให้แล้วเสร็จภายใน เดือนมีนาคม 2 554 เพื่อเพิ่มความจุในเส้นทางรถไฟสายตะวันออกให้สามารถรองรับปริมาณการขนส่งตู้สินค้า ทางรถไฟไปยังท่าเรือแหลมฉบังได้เพิ่มมากขึ้น โครงการลงทุนภายใต้แผนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของ การรถไฟแห่งประเทศไทย (เพิ่มเติม) ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2553 ที่มีความพร้อมและ สามารถดำเนินการได้ทันที จำนวน 11 ราย ให้กระทรวงคมนาคม และการรถไฟแห่งประเทศไทยติดตามเร่งรัด การดำเนินการลงทุนให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ รวมทั้งเร่งรัดการปรับโครงสร้างการรถไฟแห่งประเทศ ไทยให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2553 เป็นต้น สำหรับการดำเนินโครงการลงทุนสำคัญ ที่อยู่ระหว่างการจัดเตรียมโครงการเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอน ควรให้ความสำคัญกับ กระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนตั้งแต่เริ่มโครงการเพื่อให้เกิดความยอมรับของประชาชนในพื้นที่ และดำเนิน การตามขั้นตอนของกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ไปประกอบการพิจารณาเร่งรัดการดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
406 | ข้อเสนอการขอรับเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 ของการรถไฟแห่งประเทศไทย | กค | 06/07/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบตามความเห็นของคณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ ครั้งที่ 2/2553 เมื่อวันที่ 8 เมษา ยน 2553 ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ 1.1 เห็นชอบกรอบวงเงินอุดหนุนทางการเงินประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 ของการรถไฟแห่งประเทศ ไทย จำนวน 2,285.418 ล้านบาท จากที่เสนอขอรับเงินอุดหนุนสำหรับบริการสาธารณะ จำนวน 3,795.766 ล้าน บาท ทั้งนี้ ให้ใช้หลักการการคำนวณต้นทุนการให้บริการสาธารณะตามหลักการของปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 และ มีสมมติฐานการประมาณการรายได้ที่การรถไฟแห่งประเทศไทยปรับราคาค่าโดยสารภายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 และปรับกำหนดการขอรับเงินอุดหนุนจาก "ขอรับเงินอุดหนุนทุกกิจกรรมล่วงหน้าตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ พ.ศ. 2554" เป็น "ขอรับเงินอุดหนุนทุกกิจกรรมล่วงหน้า โดยแบ่งออกเป็น 2 งวด งวดละร้อยละ 50" 1.2 ให้การรถไฟแห่งประเทศไทยจัดทำรายงานแผนกลยุทธ์ที่จะปรับปรุงการดำเนินงานให้เข้าสู่ความเป็น เลิศในด้านต่าง ๆ (Best Practice) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการสาธารณะต่อคณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการ สาธารณะ และให้เร่งปรับปรุงระบบบัญชีขององค์กรให้ได้มาตรฐานและเป็นไปตามกิจกรรมของหน่วยธุรกิจต่าง ๆ ตาม โครงสร้างการบริหารจัดการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบในหลักการไว้เพื่อให้การแยกบัญชีเชิงพาณิชย์และบัญชี เชิงสังคมมีความชัดเจนและถูกต้องโดยเร็วต่อไป 1.3 ในการจัดทำประมาณการค่าใช้จ่ายเชื้อเพลิงของการรถไฟแห่งประเทศไทย สมควรดำเนินการภายใต้ สมมติฐานที่สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลที่เกี่ยวกับประเภทหรือชนิดของน้ำมันเชื้อเพลิง และมีระดับราคาที่เหมาะสม ใกล้เคียงกับแนวโน้มของราคาขายส่งน้ำมันเชื้อเพลิง 2. ให้การรถไฟแห่งประเทศไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่ง ชาติ ที่เห็นควรเร่งจัดทำแผนปฏิบัติการการปรับโครงสร้างองค์กร ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2553 การปรับปรุงระบบบัญชีตามโครงสร้างองค์กรใหม่ การเตรียมความพร้อมโดยเฉพาะบุคลากรด้านการบัญชีรองรับการ ปรับระบบบัญชีดังกล่าว และการควบคุมการค่าใช้จ่าย รวมทั้งความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรพิจารณาปรับ โครงสร้างราคาค่าบริการให้สอดคล้องกับต้นทุนการบริหารจัดการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 ไปดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
407 | ขอขยายระยะเวลาดำเนินการมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชน | กค | 29/06/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ 1.1 ขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนออกไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2553 ดังนี้ 1.1.1 มาตรการลดค่าใช้จ่ายไฟฟ้าของครัวเรือน โดยภาครัฐรับภาระค่าใช้จ่ายการใช้ไฟฟ้าสำหรับครัวเรือนที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 90 หน่วยต่อเดือน และสำหรับผู้เช่าอาศัยในอาคารชุดหรือห้องเช่าที่ผู้ประกอบการถูกต้องตามกฎหมายเป็นอาคารชุด หรือห้องเช่าที่มีระดับราคาไม่เกิน 3,000 บาท/ห้อง/เดือน และใช้ไฟฟ้าเฉลี่ยไม่เกิน 90 หน่วย/เดือน/ห้อง และได้ลงทะเบียนไว้กับการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) 1.1.2 มาตรการลดค่าใช้จ่ายเดินทางโดยสารประจำทาง โดยภาครัฐรับภาระค่าใช้จ่ายการจัดรถโดยสารประจำทางธรรมดา จำนวน 800 คันต่อวัน ใน 73 เส้นทาง ให้แก่บริการแก่ประชาชนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย 1.1.3 มาตรการลดค่าใช้จ่ายเดินทางโดยรถไฟชั้น 3 โดยภาครัฐรับภาระค่าใช้จ่ายการจัดรถไฟชั้น 3 เชิงสังคม จำนวน 164 ขบวนต่อวัน และรถไฟชั้น 3 ระยะทางไกลในขบวนรถเชิงพาณิชย์ จำนวน 8 ขบวนต่อวัน ให้บริการแก่ประชาชนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย 1.2 ให้รัฐวิสาหกิจซึ่งรับผิดชอบดำเนินมาตรการฯ ได้แก่ กฟน. กฟภ. องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) และการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กู้เงินเพื่อชดเชยรายได้จากการดำเนินการตามมาตรการฯ ในช่วงขยายระยะเวลาตามข้อ 1.1 และให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีเพื่อชำระคืนเงินต้น ดอกเบี้ยเงินกู้ และค่าใช้จ่ายในการกู้เงินให้กับรัฐวิสาหกิจทั้ง 4 แห่งต่อไป 2. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของคณะรัฐมนตรีที่เห็นว่า มาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชน เป็นมาตรการระยะสั้นเพื่อช่วยในการกระตุ้นเศรษฐกิจและบรรเทาความเดือดร้อนของผู้มีรายได้น้อยเป็นสำคัญเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาที่ขยายแล้วมาตรการในบางเรื่องอาจจะปรับลดหรือยกเลิกไปได้ ในขณะที่บางเรื่องอาจจะต้องพิจารณาความจำเป็นที่จะให้คงมีอยู่ต่อไปเพื่อเป็นการบรรเทาภาระค่าครองชีพของประชาชนในระยะยาวโดยมาตร การเรื่องใดที่เป็นบริการสังคมของรัฐวิสาหกิจ ก็อาจปรับเข้าสู่ระบบการให้เงินอุดหนุนบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจ (Public Service Obligation : PSO) ต่อไป ไปพิจารณาด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
408 | การพิจารณาทบทวนโครงการจัดหารถจักรดีเซลไฟฟ้า น้ำหนักกดเพลาสูงสุด 15 ตัน/เพลา จำนวน 7 คัน และการจัดหารถจักรดีเซลไฟฟ้า น้ำหนักกดเพลาสูงสุด 20 ตัน/เพลา จำนวน 13 คัน ของการรถไฟแห่งประเทศไทย | คค | 22/06/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ 1.1 ให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จัดหารถจักรดีเซลไฟฟ้าน้ำหนักกดเพลาสูงสุด 15 ตัน/เพลา จำนวน 7 คัน วงเงิน 757.680 ล้านบาท พร้อมอะไหล่วงเงิน 75.768 ล้านบาท วงเงินรวม 833.448 ล้านบาท โดย เปลี่ยนวิธีการจัดหาจากวิธีแลกเปลี่ยนสินค้าที่มีมูลค่าเท่ากัน (Barter Trade) ระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลสาธารณ รัฐประชาชนจีน เป็นการจัดหาด้วยวิธีปกติ โดย รฟท. จะเป็นผู้รับภาระค่าใช้จ่ายจากเงินกู้ และให้กระทรวงการคลัง เป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ 1.2 อนุมัติให้ รฟท. จัดหารถจักรดีเซลไฟฟ้าน้ำหนักกดเพลาสูงสุด 20 ตัน/เพลา จำนวน 13 คัน ใน ราคาคันละ 165 ล้านบาท วงเงินรวม 2,145 ล้านบาท โดย รฟท. รับภาระค่าใช้จ่ายจากเงินกู้ และให้กระทรวงการ คลังเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ 2. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และคณะกรรม การพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำหนดมาตรการในการเร่งรัดการบริหารโครงการให้มีประสิทธิ ภาพยิ่งขึ้น และให้ความสำคัญกับการดำเนินโครงการที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีแล้ว ให้เป็นไปตามแผนงานที่ได้ กำหนดไว้ รวมทั้งเร่งพิจารณาหาแนวทางการเพิ่มบทบาทให้ภาคเอกชนเข้าร่วมลงทุนในส่วนการขนส่งสินค้าเพื่อลด ภาระการลงทุนในส่วนที่ รฟท. ต้องเป็นผู้รับภาระเองและเพื่อเร่งรัดการพัฒนาการให้บริการด้านการขนส่งทางราง ให้สามารถรองรับความต้องการขนส่งสินค้าที่มีปริมาณเพิ่มขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับการเสนอขออนุมัติเพื่อ ดำเนินโครงการปรับปรุงทางระยะที่ 5 และ 6 จากแก่งคอยถึงหนองคาย ระยะทางประมาณ 586 กิโลเมตร รวมทั้ง การก่อสร้างโครงการก่อสร้างทางคู่ส่วนต่อจากฉะเชิงเทราถึงแหลมฉบัง ระยะทาง 78 กิโลเมตร ซึ่งจะเพิ่มขีดความ สามารถของทางให้รองรับน้ำหนักได้มากกว่า 15-18 ตันต่อเพลา นั้น ให้กระทรวงคมนาคม และ รฟท. เร่งรัดการขอ อนุมัติและดำเนินโครงการให้สามารถดำเนินการได้ตามแผนที่กำหนดไว้ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
409 | ขออนุมัติดำเนินโครงการปรับปรุงทางระยะที่ 5 และ 6 ของการรถไฟแห่งประเทศไทย | คค | 22/06/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ 1.1 ให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ดำเนินโครงการปรับปรุงทางระยะที่ 5 ในเส้นทางรถไฟ สายตะวันออกเฉียงเหนือ ช่วงสถานีชุมทางแก่งคอย-แก่งเสือเต้น ช่วงสถานีสุรนารายณ์-ชุมทางบัวใหญ่ และช่วง สถานีชุมทางถนนจิระ-ชุมทางบัวใหญ่ รวมระยะทางประมาณ 308 กม. ภายในกรอบวงเงิน 8,508 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ 4 ปี 1.2 ให้ รฟท. ดำเนินโครงการปรับปรุงทางระยะที่ 6 ในเส้นทางรถไฟสายตะวันออกเฉียงเหนือช่วง สถานีชุมทางบัวใหญ่-หนองคาย รวมระยะทางประมาณ 278 กม. ภายในกรอบวงเงิน 6,779 ล้านบาท ระยะ เวลาดำเนินการ 4 ปี 2. ส่วนงบประมาณที่จะใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ ให้ใช้จากเงินกู้ โดยให้กระทรวงคมนาคมเป็นผู้ พิจารณาจัดหาแหล่งเงินกู้ เงื่อนไขการกู้ และค้ำประกันเงินกู้ และให้ รฟท. เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำ ปีเพื่อชำระหนี้เงินกู้พร้อมดอกเบี้ย รวมไปถึงค่าใช้จ่ายในการกู้เงินตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความ เห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคม (รฟท.) เร่งจัดทำรายละเอียดของแผนปรับโครงสร้างองค์ กรและการบริหารกิจการรถไฟให้แล้วเสร็จ และนำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วน
|
|||||||||||||||||||||||||||
410 | ขออนุมัติแนวทางการให้กู้ต่อแก่โครงการรถไฟชานเมือง สายสีแดง ช่วงบางซื่อ - รังสิต ของการรถไฟแห่งประเทศไทย | กค | 04/05/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ 1.1 แนวทางการให้กู้ต่อโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ-รังสิต ของการรถไฟ แห่งประเทศไทย (รฟท.) 1.2 ให้กระทรวงการคลังทำสัญญาให้กู้ต่อโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ-รัง สิต กับ รฟท. วงเงิน 63,018 ล้านเยน หรือประมาณ 22,783 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับค่าโครงสร้างพื้น ฐานงานโยธา ค่างานระบบไฟฟ้าและเครื่องกล ตู้รถไฟฟ้า ค่าจ้างที่ปรึกษา และค่าเผื่อเหลือเผื่อขาด 1.3 ให้กระทรวงการคลังกู้เงินในประเทศ และให้ รฟท. กู้ต่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับงานระบบไฟฟ้า และเครื่องกล ตู้รถไฟฟ้า ค่าจ้างที่ปรึกษางานระบบไฟฟ้าและเครื่องกล และภาษีมูลค่าเพิ่ม ช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน วง เงิน 6,243 ล้านบาท โดยให้ รฟท. เป็นผู้รับภาระค่าใช้จ่ายดังกล่าว จนกว่าจะมีข้อยุติแนวทางการบริหารจัดการ และผู้รับภาระการลงทุนงานระบบไฟฟ้าและเครื่องกล และตู้รถไฟฟ้า 1.4 ให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีเพื่อเป็นงบชำระหนี้ให้แก่ รฟท. เฉพาะในส่วนค่าโครงสร้างพื้นฐานที่รัฐบาลเป็นผู้รับภาระ เพื่อใช้ชำระหนี้คืนแก่แหล่งเงินกู้โดยตรงทั้งในส่วนเงินต้น ดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวข้องตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กระทรวงการคลังจะได้ตกลงกับ รฟท. ต่อ ไป 2. ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงคมนาคมเร่งพิจารณาหาข้อยุติกรอบวงเงินลงทุนโครงการรถไฟชาน เมือง สายสีแดง ช่วงบางซื่อ-รังสิต และช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน ในส่วนค่าใช้จ่ายลงทุนงานระบบรถไฟฟ้าและเครื่องกล ตู้รถไฟฟ้า ค่าจ้างที่ปรึกษางานระบบไฟฟ้าและเครื่องกลที่ชัดเจนสำหรับการเจรจาเงินกู้ของกระทรวงการคลัง รวม ทั้งพิจารณาความเหมาะสมและเป็นไปได้ในการให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการให้บริการในรูปแบบ Public Private Partnership (PPPs) ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2552 นอกจากนี้ ให้กระทรวงคมนาคม และ รฟท. จัดทำรายละเอียดของแผนปรับโครงสร้างองค์กรและการบริหารกิจการรถไฟที่ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการ เชิงธุรกิจการพัฒนาบุคลากร การบริหารจัดการด้านการเงินและสินทรัพย์ที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และแก้ไข ข้อตกลงหรือข้อกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาระบบรถไฟของประเทศให้แล้วเสร็จ แล้วเสนอคณะรัฐมนตรี พิจารณาให้ความเห็นชอบโดยเร็วต่อไป ตามความเห็นและข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐ กิจและสังคมแห่งชาติ และให้ รฟท. จัดทำบัญชีแยกค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องเฉพาะในส่วนค่าโครงสร้างพื้นฐานที่รัฐบาล เป็นผู้รับภาระอย่างชัดเจน เพื่อให้สำนักงบประมาณสามารถจัดสรรงบประมาณชำระหนี้ได้อย่างถูกต้อง ตามความ เห็นของสำนักงบประมาณ 3. ให้กระทรวงคมนาคม รฟท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียนเกี่ยว กับการบริหารจัดการที่ดินบริเวณชุมชนบางซื่อให้แล้วเสร็จโดยเร็วด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
411 | ผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ครั้งที่ 5/2553 | นร | 27/04/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ (รศก.) ครั้งที่ 5/2553 เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2553 และเห็นชอบมติคณะกรรมการ รศก. ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการ รศก. เสนอ ดังนี้ 1.1 เห็นชอบแผนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท). กรมทางหลวง และกรมทางหลวงชนบท กระทรวงคมนาคม วงเงินรวม 195,820.50 ล้านบาท โดยให้กระทรวงการคลัง และสำนัก งบประมาณพิจารณาจัดสรรแหล่งเงินที่เหมาะสมสำหรับการดำเนินการ ตามความเห็นของคณะกรรมการ รศก. 1.2 เห็นชอบแนวทางการปรับโครงสร้างการบริหารจัดการกิจการของการรถไฟฯ ประกอบด้วย 3 หน่วย ธุรกิจภายใน และ 1 บริษัทลูก ได้แก่ หน่วยธุรกิจการเดินรถ หน่วยธุรกิจการบริหารทรัพย์สิน หน่วยธุรกิจการซ่อม บำรุง บริษัทดำเนินโครงการ Airport Rail Lind โดยการรถไฟฯ ถือหุ้นทั้งหมด รวมทั้งการปรับโครงสร้างหน่วยงาน ส่วนกลาง 1.3 ให้กระทรวงคมนาคม และ รฟท. นำความเห็นและข้อสังเกตของคณะกรรมการ รศก. เรื่อง แนวทาง การพัฒนาโครงข่ายรถไฟฟ้าเส้นทางสายใหม่ ไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป รวมทั้งให้กระทรวงการคลังเร่ง พิจารณารูปแบบการลงทุนโครงการรถไฟความเร็วสูงในเส้นทางกรุงเทพ-ระยอง ในลักษณะ PPP ที่มีความเหมาะสม ตามขั้นตอนของกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป 1.4 เห็นชอบในหลักการมาตรการเยียวยาเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมือง ในพื้นที่บริเวณแยกราชประสงค์ และพื้นที่บริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศ ตั้งแต่วันที่ 14 มีนาคม 2553 เป็นต้นไป และ มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้ 1.4.1 ให้กระทรวงการคลังพิจารณากำหนดแนวทางในการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ ในส่วน การขยายระยะเวลาในการชำระภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีหัก ณ ที่จ่าย ภาษีโรงเรือนและที่ดิน ค่า สาธารณูปโภค เงินนำเข้าประกันสังคม และเงินกองทุนทดแทนแรงงาน รวมทั้งมาตรการสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพ คล่องให้แก่ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) โดยจัดหาเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ ทั้งนี้ ในส่วนของมาตรการ สนับสนุนวงเงินบัตรเครดิต โดยการลดหย่อนอัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำ การลดอัตราดอกเบี้ยบัตรเคดิตลง การเพิ่ม วงเงินบัตรเครดิต และบัตรเงินสดแก่ร้านค้าที่มีประวัติดี ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยรับไปพิจารณาแนวทางการให้ ความช่วยเหลือที่เหมาะสมต่อไป 1.4.2 ให้กระทรวงแรงงาน ประธานผู้แทนการค้าไทย (นายเกียรติ สิทธีอมร) และรองเลขาธิการ นายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง (นางอัญชลี เทพบุตร) ตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับจำนวนพนักงานและลูกจ้างที่ถูก ปลดออกจากงานระหว่างการชุมชน เพื่อให้ทราบข้อมูลจำนวนผู้ถูกเลิกจ้าง และกรอบวงเงินในการให้ความช่วยเหลือ ที่ชัดเจนเพื่อให้สามารถให้ความช่วยเหลือได้ภายในเดือนพฤษภาคม 2553 1.4.3 ให้ประธานผู้แทนการค้าไทย (นายเกียรติ สิทธีอมร) และรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่าย การเมือง (นางอัญชลี เทพบุตร) ประสานกับผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบเพื่อตรวจสอบจำนวนผู้เช่าพื้นที่ราย ย่อยที่ชัดเจน และประสานสำนักงบประมาณเพื่อพิจารณากำหนดแนวทางการให้ความช่วยเหลือในเรื่องการลดภาระ ค่าเช่าของผู้ประกอบการรายย่อยที่เช่าพื้นที่ภายในศูนย์การค้าที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมที่เหมาะสมต่อไป 2. ในส่วนของมาตรการเยียวยาเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมืองนั้น นอกเหนือ จากพื้นที่บริเวณแยกราชประสงค์ บริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศ และบริเวณใกล้เคียงแล้ว ให้มาตรการดังกล่าวครอบ คลุมถึงผู้ประกอบการในพื้นที่อื่นที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมืองดังกล่าวด้วย เช่น บริเวณซอยสุขุมวิท 31 เป็นต้น ทั้งนี้ ในการช่วยเหลือให้พิจารณาให้ความสำคัญกับผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจนต้องปิดกิจการ เป็นลำดับแรกก่อน
|
|||||||||||||||||||||||||||
412 | ผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (กพข.) ครั้งที่ 1/2553 | นร | 23/03/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรม
การและเลขานุการคณะกรรมการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เสนอผลการประชุมคณะกรรม การพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (คณะกรรมการ กพข.) ครั้งที่ 1/2553 วันที่ 5 มีนาคม 2553 โดยได้มีการพิจารณาเรื่องต่าง ๆ รวม 3 ข้อ ดังนี้ 1. ร่างกรอบการจัดทำยุทธศาสตร์การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในระยะยาว ที่ ประชุมมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ติดตามข้อมูลและผล การดำเนินการแก้ไขปัญหาด้านความสามารถในการแข่งขันจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และรายงานคณะกรรมการ กพข. ทราบ รวมทั้งให้นำความเห็นของที่ประชุมไปประกอบการจัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาขีดความสามารถใน การแข่งขันของประเทศไทยในระยะยาว และรายงานความก้าวหน้าต่อคณะกรรมการ กพข. ภายใน 3 เดือน 2. ลำดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย ปี 2552 ที่ประชุมรับทราบรายงานผลการศึกษา สถานภาพความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย ปี 2552 พร้อมทั้งมีความเห็นเพิ่มเติมว่า ผลการสำรวจของ IMD และ WEF จะประกาศเป็นประจำทุกปี อย่างไรก็ดี รัฐบาลมีกลไกขับเคลื่อนการพัฒนาขีดความสามารถในการ แข่งขันของประเทศ ซึ่งสามารถเชื่อมโยงกับผลการสำรวจประกอบด้วย (1) แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 โดย จะดำเนินการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ (ประปา ถนน และอื่น ๆ) รวมทั้งเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ซึ่ง จะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่ และ (2) คณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ทั้งนี้ ในการดำเนินงานควรมี การตั้งเป้าหมายพร้อมกรอบเวลาให้ชัดเจนเพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลงที่เห็นเป็นรูปธรรม 3. ดัชนีชี้วัดความสามารถในการแข่งขันด้านโลจิสติกส์ของประเทศไทย ที่ประชุมรับทราบรายงานดัชนีชี้ วัดความสามารถในการแข่งขันด้านโลจิสติกส์ของประเทศไทย และมีความเห็นเพิ่มเติม ดังนี้ 3.1 ประเทศไทยสามารถปรับปรุงประสิทธิภาพการแข่งขันด้านโลจิสติกส์ได้อีกมากและดำเนินการได้ ทันที อาทิ ปรับปรุงกฎ ระเบียบ และการปรับปรุงระบบบริหารจัดการภายในขององค์กรโดยเฉพาะวิสาหกิจขนาด กลางและขนาดย่อม โดยศึกษาจากตัวอย่างที่ดี (เช่น การบริหารสินค้าคงคลัง เป็นต้น) ซึ่งภาคเอกชนสามารถที่จะ ดำเนินการได้ทันที 3.2 ควรมีการจัดลำดับความสำคัญของแผนงาน/โครงการที่ควรเร่งรัด มีการกำหนดกรอบระยะเวลา ดำเนินการที่ชัดเจน รวมทั้งกำหนดตัวชี้วัดความสำเร็จที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องดำเนินการ 3.3 ปรับปรุงระบบบริหารจัดการองค์กรของการรถไฟแห่งประเทศไทยให้ชัดเจน และเร่งพัฒนาระบบ การตรวจสอบสินค้าข้ามแดน ณ จุดเดียวร่วมกัน (Single Stop Inspection) และศูนย์การให้บริการ ณ จุดเดียว (National Single Window System) โดยเฉพาะการบูรณาการระบบงานรับรองและออกใบอนุญาตการนำเข้าส่ง ออกของสินค้าเกษตรที่สำคัญ 3.4 ในการพิจารณาต้นทุนโลจิสติกส์ โดยใช้สัดส่วนค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับโลจิสติกส์ต่อ GDP เปรียบ เทียบกับต่างประเทศควรจะต้องพิจารณาลักษณะและประเภทของสินค้าที่มีมูลค่าแตกต่างกัน ซึ่งหากสินค้ามีมูลค่า สูงหรือหากฐาน GDP มีค่าสูง จะทำให้สัดส่วนดังกล่าวลดลง และอาจจะไม่ได้สะท้อนต้นทุนโลจิสติกส์ที่แท้จริง
|
|||||||||||||||||||||||||||
413 | ขออนุมัติต่ออายุสัญญาเงินกู้วงเงิน 800 ล้านบาท ของการรถไฟแห่งประเทศไทย | คค | 02/03/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ต่ออายุสัญญาเงินกู้ วงเงิน 800 ล้านบาท จากธนาคาร กรุงไทยจำกัด (มหาชน) ต่อไปอีก 1 ปี สำหรับใช้ในกรณีที่อาจขาดเงินทุนหมุนเวียนในช่วงเวลาหนึ่ง ทั้งนี้ เพื่อไม่ ให้กระทบต่อการดำเนินงาน โดยให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกัน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ 2. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนัก งานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการเร่งดำเนินการตามแผนการลงทุนด้านโครง สร้างพื้นฐานระยะเร่งด่วน พ.ศ. 2553-2557 ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2552 โดยปรับปรุง และพัฒนาสภาพทางรถไฟระบบอาณัติสัญญาณ การจัดหารถจักรและล้อเลื่อนเพื่อให้เกิดความสะดวก ปลอดภัย และเพิ่มประสิทธิภาพในการเดินรถ นอกจากนี้ รฟท. ควรควบคุมและบริการจัดการค่าใช้จ่ายให้มีประสิทธิภาพ เพื่อลดผลการขาดทุนขององค์กรในระดับหนึ่ง ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
414 | มาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชน (ระยะที่ 3 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 31 มีนาคม 2553) | กค | 23/02/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ 1.1 รับทราบแนวทางการจัดสรรเงินเพื่อสนับสนุนการดำเนินการตามมาตรการลดภาระค่าครองชีพ ของประชาชน ระยะที่ 3 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม-31 มีนาคม 2553 โดยให้รัฐวิสาหกิจที่รับผิดชอบดำเนินการตาม มาตรการ ฯ ได้แก่ การประปานครหลวง (กปน.) การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) และการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กู้ เงินเพื่อชดเชยรายได้จากการดำเนินการตามมาตรการ ฯ ที่ได้มีการขยายระยะเวลาต่อไปอีก โดยสำนักงบประมาณ จะพิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีเพื่อชำระคืนเงินต้น ดอกเบี้ยเงินกู้ และค่าใช้จ่ายในการกู้เงินให้กับ รัฐวิสาหกิจดังกล่าวตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป 1.2 เห็นชอบการขยายระยะเวลาการดำเนินมาตรการ ฯ ต่อไปจนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2553 ในส่วนของมาตรการลดค่าใช้จ่ายไฟฟ้าของครัวเรือน มาตรการลดค่าใช้จ่ายเดินทางรถโดยสารประจำทาง และมาตร การลดค่าใช้จ่ายเดินทางโดยรถไฟชั้น 3 โดยยกเลิกมาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายน้ำประปาของครัวเรือน ทั้งนี้ ให้รัฐ วิสาหกิจที่รับผิดชอบดำเนินการ ได้แก่ กฟน. กฟภ. ขสมก. และ รฟท. กู้เงินเพื่อชดเชยรายได้จากการดำเนินการ ตามมาตรการ ฯ และให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีเพื่อชำระคืนเงินต้นดอกเบี้ย เงินกู้ และค่าใช้จ่ายในการกู้เงินให้กับรัฐวิสาหกิจทั้ง 4 แห่งต่อไป 2. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงพลังงาน และกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นต้น รับความเห็นของ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรกำหนดมาตรการด้านการประหยัดพลัง งานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ทั้งในภาคครัวเรือน ภาคธุรกิจ และภาคการผลิตของประเทศต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
415 | แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการรถไฟแห่งประเทศไทย (จำนวน 3 คน 1. นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ฯลฯ) | คค | 23/02/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการรถไฟแห่งประเทศ
ไทย จำนวน 3 คน เนื่องจากประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการรถไฟแห่งประเทศไทยได้ลาออก จากตำแหน่ง ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (23 กุมภาพันธ์ 2553) เป็นต้นไป ดังนี้ 1. นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ประธานกรรมการ 2. พลตำรวจตรี วิชัย สังข์ประไพ กรรมการ 3. นายนิพิฐ อริยวงศ์ กรรมการ (ผู้แทนกระทรวงการคลัง)
|
|||||||||||||||||||||||||||
416 | มาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชน (ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2551 จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2552) | กค | 15/12/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบแนวทางการชดเชยให้รัฐวิสาหกิจ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ 1.1 ให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพคำนวณค่าใช้จ่ายในการดำเนินการลดภาระค่าครองชีพของประชา ชน ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2551 จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2552 1.2 ให้รัฐวิสาหกิจกู้เงินเพื่อชดเชยยอดค้างชำระสำหรับนโยบาย 6 มาตรการ 6 เดือน ฝ่าวิกฤตเพื่อคน ไทยทุกคน จำนวน 3,803.218 ล้านบาท และกรอบวงเงินชดเชยสำหรับมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชา ชน ระยะที่ 2 จำนวน 11,117.000 ล้านบาท โดยให้สำนักงบประมาณตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 เพื่อชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ยเงินกู้ของรัฐวิสาหกิจดังกล่าวต่อไป 1.3 ขยายกรอบวงเงินสำหรับมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนระยะแรก เพิ่มเติม ให้แก่การ ไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การประปานครหลวง และการประปาส่วนภูมิภาค ในกรอบวงเงินงบประมาณ 62.151 ล้านบาท 37.418 ล้านบาท และ 39.407 ล้านบาท ตามลำดับ รวมทั้งสิ้น 138.976 ล้านบาท โดยให้สำนักงบประมาณจัด สรรจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือ จำเป็นที่ได้รับอนุมัติจากกรมบัญชีกลางให้กันไว้เบิกเหลื่อมปี ทั้งนี้ ในส่วนของเงินที่ได้จัดสรรงบประมาณให้แก่องค์ การขนส่งมวลชนกรุงเทพที่สูงกว่าค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงตามหลักเกณฑ์การคำนวณในข้อ 1.1 จำนวน 21.934 ล้าน บาท ให้นำยอดเงินดังกล่าวไปหักออกจากการชดเชยภาระค่าใช้จ่ายขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพสำหรับมาตร การลดภาระค่าครองชีพของประชาชนระยะที่ 2 2. เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาในการดำเนินการตามมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนต่อไปอีก เป็นเวลา 3 เดือน (1 มกราคม-31 มีนาคม 2553) และให้กระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณร่วมกันพิจารณา แนวทางการจัดสรรเงินเพื่อสนับสนุนการขยายระยะเวลาการดำเนินตามมาตรการดังกล่าว ให้แก่หน่วยงานที่รับผิด ชอบดำเนินการ ได้แก่ การประปานครหลวง การประปาส่วนภูมิภาค การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ และการรถไฟแห่งประเทศไทย ตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ส่วนการดำเนิน การขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ใช้จากงบประมาณที่ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลเพื่อชดเชยรายได้ที่ลดค่าน้ำ ให้แก่ประชาชนในท้องถิ่นของตน ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||
417 | ผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ครั้งที่ 16/2552 | นร | 17/11/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและ
เลขานุการคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ (รศก.) เสนอ ดังนี้ 1. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการ รศก. ครั้งที่ 16/2552 เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2552 โดย ที่ประชุมได้พิจารณาเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ การแก้ไขมติคณะกรรมการ รศก. ครั้งที่ 15/2552 การแต่งตั้งคณะกรรม การ 4 ฝ่าย เพื่อตรวจสอบการดำเนินการโครงการ 76 โครงการ และเสนอแนะแนวทางแก้ไขปัญหามาบตาพุด และการพัฒนาระบบขนส่งทางรถไฟ และแนวทางแก้ไขปัญหาการบริหารจัดการการรถไฟแห่งประเทศไทย 2. รับทราบการแก้ไขมติการประชุมคณะกรรมการ รศก. ครั้งที่ 15/2552 เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2552 เรื่อง แผนพัฒนาระบบสถาบันการเงินระยะที่ 2 3. เห็นชอบให้แต่งตั้งคณะกรรมการ 4 ฝ่าย ประกอบด้วย ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน และนัก วิชาการ เพื่อแก้ไขปัญหาในพื้นที่มาบตาพุดและพื้นที่ใกล้เคียงในจังหวัดระยอง รวมทั้งกำหนดแนวทางการดำเนิน งานที่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 67 วรรค 2 4. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ) ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อม ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และรองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม (นายโกศล ใจรังษี) เป็นกรรมการใน ส่วนของผู้แทนจากภาครัฐ และให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นฝ่ายเลขานุการ ฯ และให้หน่วยงานที่ เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงพลังงาน กระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่ง ชาติ และนายสรยุทธ เพ็ชรตระกูล (กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงอุตสาหกรรม) เข้าร่วมสังเกตการณ์ ในการประชุมคณะกรรมการ ฯ ชุดนี้ด้วย 5. เห็นชอบในหลักการพัฒนาระบบขนส่งทางรถไฟและแนวทางการแก้ไขปัญหาการบริหารจัดการรถ ไฟแห่งประเทศไทย และให้กระทรวงคมนาคมจัดทำรายละเอียดแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ระยะเร่งด่วน ช่วงปี พ.ศ. 2553-2557 ที่ชัดเจน ทั้งนี้ ให้เร่งจัดส่งรายละเอียดแผนการลงทุนดังกล่าวให้สำนักงานคณะกรรม การพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ภายใน 7 วัน และให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติพิจารณาภายใน 45 วัน และนำเสนอคณะกรรมการ รศก. พิจารณาต่อไป 6. เห็นชอบในหลักการการปรับโครงสร้างองค์กรของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ที่จะดำเนิน การจัดตั้งหน่วยธุรกิจ ซึ่งได้แก่ หน่วยเดินรถ หน่วยทรัพย์สิน และหน่วยซ่อมบำรุง และการจัดตั้งบริษัทลูกเพื่อ ให้บริการโครงการ Airport Rail Link รวมทั้งมอบหมายให้กระทรวงคมนาคมหารือและทำความเข้าใจกับ รฟท. และผู้เกี่ยวข้องในเรื่องดังกล่าวต่อไป ทั้งนี้ กระทรวงคมนาคมควรให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาภาระค่าใช้ จ่ายบุคลากรของ รฟท. และภาระการเงินของ รฟท. ด้วย 7. มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมเร่งศึกษารายละเอียดความเหมาะสมของโครงการ และแผนการลง ทุนเส้นทางรถไฟเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน ในเส้นทางเหนือ-ใต้ และตะวันออก-ตะวันตก ที่สอดคล้องกับ กรอบความร่วมมือระหว่างประเทศ และส่งให้กระทรวงการคลังพิจารณาความเหมาะสมของแหล่งเงินทุน 8. มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมศึกษาความเหมาะสมของโครงการรถไฟความเร็วสูงในเส้นทางกรุง เทพ-ระยอง ให้แล้วเสร็จภายใน 45 วัน โดยพิจารณารูปแบบการลงทุนในลักษณะ Public Private Partnership (PPP) และส่งให้กระทรวงการคลังพิจารณาและดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป 9. มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมรับไปพิจารณาวางแผนพัฒนาโครงข่ายรถไฟของประเทศ ให้สอด คล้องและสนับสนุนกับการพัฒนาเมือง รวมทั้งคำนึงถึงการเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ และการสนับสนุน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพระบบโลจิสติกส์ของประเทศ
|
|||||||||||||||||||||||||||
418 | รายงานการหยุดเดินรถของพนักงานการรถไฟแห่งประเทศไทย | คค | 27/10/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้
1. รับทราบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอสถานการณ์การหยุดเดินรถ การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า การ ให้ความช่วยเหลือผู้โดยสาร และการแก้ไขปัญหาระยะยาว สรุปได้ดังนี้ จากกรณีที่พนักงานการรถไฟแห่งประเทศ ไทย (รฟท.) ในพื้นที่เส้นทางภาคใต้ได้ยื่นขอลาป่วยพร้อมกันเป็นจำนวนมาก ในวันที่ 19 ตุลาคม 2552 และต่อ มาได้อ้างว่าหัวรถจักรอยู่ในสภาพที่ไม่สมบูรณ์ไม่สามารถให้บริการได้ทำให้มีการหยุดเดินรถไฟในเส้นทางภาคใต้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรถขบวนท้องถิ่น และจากการหยุดเดินรถทำให้เกิดความเสียหายแก่ รฟท. ประมาณ 20.16 ล้าน บาท นั้น กระทรวงคมนาคมได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า โดยมอบหมายให้กรมการขนส่งทางบก บริษัท ขนส่ง จำกัด และบริษัทเอกชนร่วมบริการจัดรถโดยสารมาให้บริการขนถ่ายสัมภาระและรับผู้โดยสารที่ตกค้างเพื่อ ไปส่งยังจุดหมายปลายทาง และให้กรมการขนส่งทางบก กรมทางหลวง และกรมทางหลวงชนบทจัดส่งเจ้าหน้าที่ ในพื้นที่เข้าดูแลและช่วยเหลือประชาชนเพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทาง จัดหาอาหาร ที่พักชั่วคราว ขนถ่าย สัมภาระ เพื่อเปลี่ยนถ่ายผู้โดยสารไปยังจุดหมายปลางทาง รวมทั้งให้เจ้าหน้าที่ในพื้นที่ ได้แก่ ทหาร ตำรวจ และ ฝ่ายปกครองจัดกำลังเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกแก่ผู้โดยสาร ในส่วนของรถจักร จำนวน 4 คัน ที่ถูกยึดไว้ที่โรงรถ จักรหาดใหญ่ ซึ่งพนักงานอ้างว่ามีสภาพไม่สมบูรณ์ไม่อาจนำมาใช้เดินรถได้ ขณะที่วิศวกรใหญ่ฝ่ายช่างกลยืนยันว่า รถจักรดังกล่าวอยู่ในสภาพที่ใช้การได้ นั้น ทางผู้บริหาร รฟท. ได้จัดหาพนักงานขับรถและช่างเครื่องจำนวน 4 ชุด จากส่วนกลางไปสำรองในพื้นที่เพื่อเดินรถทันที เมื่อกู้รถจักรคืนได้ เป็นต้น สำหรับการแก้ไขปัญหาระยะยาว ได้ แต่งตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาการบริหารจัดการ รฟท. จำนวน 4 คณะ ประกอบด้วย คณะกรรมการ ฯ ด้าน โครงสร้างพื้นฐาน คณะกรรมการ ฯ ด้านทรัพย์สิน คณะกรรมการ ฯ ด้านกฎหมายและระเบียบข้อบังคับ และคณะ กรรมการ ฯ ด้านบุคลากรและอัตรากำลัง 2. เห็นชอบให้ รฟท. ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2541 โดยอนุมัติ ให้ รฟท. รับพนักงาน รฟท. จำนวน 171 อัตรา ประกอบด้วย ตำแหน่งช่างเครื่องฝึกหัด จำนวน 121 อัตรา และ ตำแหน่งพนักงานเดินรถและโยธา จำนวน 50 อัตรา |
|||||||||||||||||||||||||||
419 | การแก้ไขปัญหาการหยุดเดินรถไฟสายใต้ ของพนักงานการรถไฟแห่งประเทศไทย | นร | 20/10/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมรายงานการแก้ไขปัญหาการหยุด
เดินรถไฟสายใต้ของพนักงานการรถไฟแห่งประเทศไทย ช่วงตั้งแต่วันที่ 16-19 ตุลาคม 2552 โดยได้ดำเนินการ แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าด้วยการให้กรมการขนส่งทางบก บริษัท ขนส่ง จำกัด และบริษัทเอกชนร่วมบริการจัดรถ โดยสารมาให้บริการขนถ่ายสัมภาระ และรับผู้โดยสารที่ตกค้างที่สุราษฎร์ธานีไปส่งยังจุดหมายปลายทาง โดย การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด รวมทั้งให้กรมการขนส่งทางบก กรมทาง หลวง และกรมทางหลวงชนบท จัดส่งเจ้าหน้าที่ในพื้นที่เข้าดูแลและช่วยเหลือประชาชนเพื่ออำนวยความสะดวกใน การเดินทาง จัดหาอาหาร และที่พักชั่วคราว นอกจากนี้ รฟท. ได้เตรียมที่จะรับอดีตพนักงานขับรถไฟของ รฟท. ที่เพิ่งเกษียณอายุเมื่อเดือนกันยายน 2552 กลับเข้ามาช่วยงานในด้านการเดินรถไฟเพื่อบรรเทาปัญหาการขาด พนักงานขับรถไฟ โดยกระทรวงคมนาคมจะดำเนินการขอยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป รวมทั้งได้แต่งตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาการบริหารจัดการ รฟท. ขึ้น เพื่อพิจารณาแนวทางแก้ไขปัญหาของ รฟท. และจะนำเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจภายใน 2 สัปดาห์
|
|||||||||||||||||||||||||||
420 | ขออนุมัติกู้เงินเพื่ออุดหนุนบริการสาธารณะ (PSO) ของการรถไฟแห่งประเทศไทย | คค | 13/10/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กู้เงิน จำนวน 2,355 ล้านบาท เพื่ออุดหนุนบริการ สาธารณะ (PSO) โดยรัฐบาลเป็นผู้รับชำระคืนเงินต้น ดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายในการกู้เงิน และให้กระทรวงการคลัง ค้ำประกันเงินกู้ รวมทั้งเป็นผู้พิจารณาวิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงินตามความเหมาะ สมต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. เสนอขอกู้เงินจำนวนดังกล่าวต่อคณะกรรมการนโยบายและกำกับ การบริหารหนี้สาธารณะในการบรรจุเรื่องดังกล่าวไว้ในการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ปี 2553 เพื่อ ให้เป็นไปตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2549 และเร่งดำเนินการตามแผน ปฏิบัติการเพื่อปรับปรุงโครงสร้างการบริหารจัดการเพื่อฟื้นฟูฐานะทางการเงินของ รฟท. เพื่อเพิ่มความสามารถ ในการสร้างรายได้และลดค่าใช้จ่าย สร้างกลยุทธ์ในการดำเนินงานที่ชัดเจน รวมทั้งเพื่อลดเงินอุดหนุนที่จะได้รับ ชดเชยจากภาครัฐในอนาคต ตามความเห็นของกระทรวงการคลังและสำน้กงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ 2. ให้คณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะจัดทำบันทึกตกลง (MoU) กับ รฟท. และตรวจสอบ ระบบบัญชี ซึ่งแสดงถึงการแยกรายได้และค่าใช้จ่ายของการให้บริการเชิงพาณิชย์ และบริการสาธารณะและต้นทุน การให้บริการสาธารณะให้พร้อมก่อนที่ รฟท. จะกู้เงิน ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง นอกจากนี้ ให้ติดตาม ประเมินผลการดำเนินงานของ รฟท. อย่างใกล้ชิดเพื่อให้การกู้เงินดังกล่าวมีความสอดคล้องกับความจำเป็นในการ ใช้เงินในแต่ละช่วงเวลา และมิให้เกิดภาระค่าใช้จ่ายทางการเงินเกินความจำเป็นแก่ภาครัฐ ตามความเห็นของสำนัก งานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ |