ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 27 จากทั้งหมด 48 หน้า แสดงรายการที่ 521 - 540 จากข้อมูลทั้งหมด 958 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
521 | ขออนุมัติดำเนินโครงการทางคู่ในเส้นทางรถไฟสายชายฝั่งทะเลตะวันออกตอนฉะเชิงเทรา - ศรีราชา - แหลมฉบัง | คค | 20/07/2547 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 2 ที่มีมติ
เห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอโครงการทางคู่ในเส้นทางรถไฟสายชายฝั่งทะเลตะวันออก ตอนฉะเชิงเทรา-ศรีราชา-แหลมฉบัง โดยให้กระทรวงคมนาคม (การรถไฟแห่งประเทศไทย) ดำเนินโครง การดังกล่าว ระยะทาง 78 กิโลเมตร วงเงินลงทุน 5,235 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ 4 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547-พ.ศ. 2550 โดยมอบให้กระทรวงการคลัง และสำนักงบประมาณ พิจารณาจัดหาแหล่งเงินทุนที่ เหมาะสม ทั้งนี้ ให้ดำเนินการได้ภายหลังจากที่รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของทั้งโครงการ ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ตามมาตรา 47 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและ รักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2535 แล้ว |
||||||||||||||||||||||||
522 | การเดินทางไปตรวจราชการต่างจังหวัดของนายกรัฐมนตรี (ภาคกลางและภาคเหนือ) ระหว่างวันที่ 17-22 กรกฎาคม 2547 | นร | 20/07/2547 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า จาการเดินทางไปตรวจราชการในภาค
กลางและภาคเหนือ ระหว่างวันที่ 17 - 22 กรกฎาคม 2547 ได้รับทราบปัญหาในเรื่องต่าง ๆ ของแต่ละ จังหวัด จึงขอมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการเพิ่มเติมจากที่ได้สั่งการในระดับ พื้นที่ไว้แล้ว ดังนี้ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มอบให้กระทรวงคมนาคม โดยการรถไฟแห่งประเทศไทย เร่ง รัดปรับปรุง ซ่อมแซม สถานีรถไฟ และภูมิทัศน์โดยรอบให้มีความสวยงาม และให้ชานชลาขึ้น-ลงมีมาตร ฐานและปลอดภัย จัดการเดินรถไฟสายชานเมืองให้มากขึ้น รวมทั้งบริการเดินรถไฟระหว่างอยุธยา-บาง ซื่อ-อยุธยา เพื่อให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวสามารถเดินทางเชื่อมต่อเข้ามาในกรุงเทพมหานคร โดยใช้ บริการรถไฟฟ้าใต้ดินของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว นอกจาก นี้ ให้สำรวจสภาพตู้โดยสารรถไฟที่ชำรุด โดยประเภทที่ชำรุดมากไม่สามารถซ่อมแซมให้ใช้งานได้อีกแล้ว ให้นำไปใช้ประโยชน์ในการทำปะการังเทียม ส่วนประเภทที่ยังสามารถซ่อมแซมเพื่อให้มีสภาพที่สามารถ นำไปใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ ได้ให้จ้างสถาบันอาชีวศึกษาในสังกัดของกระทรวงศึกษาธิการซ่อมแซม ปรับปรุงเพื่อใช้ประโยชน์ เช่น วางไว้ในสนามเด็กเล่น สวนสาธารณะ จัดทำเป็นห้องสมุดเล็ก ๆ ภายใน ชุมชน เป็นต้น ส่วนจังหวัดสุโขทัยและกำแพงเพชร ให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา) สั่งการให้กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการจัดทำ/ปรับปรุงผังเมือง ของจังหวัดให้เหมาะสม เป็นระบบ และมีความเชื่อมโยงกันในทุกมิติ โดยระดมความร่วมมือและการมีส่วน ร่วมจากหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษาในพื้นที่ และให้กระทรวงวัฒนธรรมดำเนินการ แก้ไขปัญหาการบุกรุกพื้นที่อันเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ โบราณสถาน โบราณวัตถุ และศิลป วัฒนธรรมของประเทศ โดยประสานกับหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง และให้ทบทวนแนวทางการดำเนิน การด้วยว่า กรณีสถานที่หรือสิ่งก่อสร้างที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่มีสภาพชำรุดทรุดโทรมมาก จนเหลือเป็นซากปรักหักพังควรจะมีการบูรณะปฏิสังขรณ์ให้คืนสภาพบางส่วนหรือทั้งหมด โดยให้หารือ รองนายกรัฐมนตรี (ศาสตราจารย์ ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์) ตามความจำเป็นด้วย สำหรับจังหวัดแพร่ ให้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมหารือร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการและผู้ที่เกี่ยวข้อง ในการสนับสนุนส่งเสริมและปรับปรุงคุณภาพการผลิตเสื้อม่อฮ่อม รวมถึงการตลาด และการออกแบบ ให้เป็นการผลิตในเชิงอุตสาหกรรมที่มีมาตรฐาน มีคุณภาพคงที่ มีการออกแบบที่สวยงาม และมีขีดความ สามารถในการผลิตที่สอดคล้องรองรับกับความต้องการของตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ แต่ให้ ประชาชนในท้องถิ่นมีส่วนในการผลิต กล่าวคือ เป็นการผลิตในเชิงหัตถกรรมเพื่อให้ประชาชนในท้องถิ่น ได้ประโยชน์อย่างเต็มที่ |
||||||||||||||||||||||||
523 | ผลการดำเนินงานของกระทรวงคมนาคมในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ไม่ยืนยันมติ) | กค | 06/07/2547 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (นายวิเชษฐ์ เกษมทองศรี)
เสนอผลการดำเนินงานของกระทรวงคมนาคมในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ปัตตานี ยะลา และนราธิ วาส) ประกอบด้วย การดำเนินโครงการต่าง ๆ ตามที่ได้รับงบประมาณประจำปี พ.ศ. 2547 จำนวน 22 โครงการ วงเงิน 1,509.73 ล้านบาท ดังนี้ กรมทางหลวง 4 โครงการ วงเงิน 829.09 ล้านบาท เกิดการจ้าง แรงงานท้องถิ่นประมาณ 176.56 ล้านบาท กรมทางหลวงชนบท 5 แผนงาน วงเงินงบประมาณ 508.83 ล้านบาท เกิดการจ้างแรงงานท้องถิ่นประมาณ 15.29 ล้านบาท กรมการขนส่งทางบก 1 โครงการ เกิดการ จ้างแรงงานท้องถิ่นประมาณ 3.17 ล้านบาท กรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี 5 โครงการ วงเงิน 125.71 ล้านบาท เกิดการจ้างแรงงานท้องถิ่นประมาณ 4.44 ล้านบาท สำนักงานนโยบายและแผนการขน ส่งและจราจร 1 โครงการ คือ โครงการฝึกอบรม ส่งเสริมการเรียนรู้เรื่องความปลอดภัยทางถนนที่จังหวัด นราธิวาส เดือนสิงหาคม 2547 วงเงิน 0.38 ล้านบาท ประมาณการมูลค่าสร้างงาน 0.26 ล้านบาท และ การรถไฟแห่งประเทศไทย 6 โครงการ วงเงิน 42.55 ล้านบาท เกิดการจ้างแรงงานท้องถิ่นประมาณ 13.82 ล้านบาท สำหรับโครงการตามยุทธศาสตร์การพัฒนา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จำนวน 13 โครงการ วงเงิน 1,961.41 ล้านบาท เกิดการจ้างแรงงานท้องถิ่นประมาณ 138 ล้านบาท นอกจากนี้ กระทรวง คมนาคม โดยส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ ในสังกัด ได้จัดกิจกรรมเพื่อสร้างงานอาชีพและให้เกิดการ จ้างแรงงานและรายได้ให้แก่ประชาชน อีกจำนวน 7 กิจกรรม เช่น การจัดฝึกอบรม เรื่อง การขนส่งและ จราจรอย่างยั่งยืนให้แก่เจ้าหน้าที่ระดับท้องถิ่นที่จังหวัดนราธิวาส รวมทั้งการก่อสร้างสนามฟุตบอลที่ตำบล บาเจาะ อำเภอบันนังสตา จังหวัดยะลา และการจัดพื้นที่บริเวณหน้าที่อาคารท่าอากาศยานหาดใหญ่ สำหรับให้ประชาชนจำหน่ายสินค้าหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย เป็นต้น |
||||||||||||||||||||||||
524 | ขออนุมัติดำเนินการก่อสร้างโครงการระบบขนส่งทางรถไฟเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและสถานีรับส่งผู้โดยสารอากาศยานในเมือง | คค | 01/06/2547 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอให้การรถไฟแห่งประเทศไทย
(รฟท.) ดำเนินการเกี่ยวกับโครงการก่อสร้างระบบขนส่งทางรถไฟ (รถไฟฟ้า) เชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณ ภูมิและสถานีรับส่งผู้โดยสาร โดยให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2537 เรื่อง พื้นที่ที่ควรกำหนดให้ระบบขนส่งมวลชน (รถไฟฟ้า) เป็นระบบใต้ดินเป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย และ ให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง ที่เห็นควรมีการจัดตั้งนิติบุคคลเฉพาะกิจขึ้นมาระดมทุนเป็นเอกเทศ ทางการเงินจาก รฟท. เพื่อลดภาระทางการคลังต่อรัฐบาลในการดำเนินโครงการก่อสร้างระบบขนส่งทาง รถไฟ (รถไฟฟ้า) ฯ ส่วนการอุดหนุนทางการเงินจากรัฐบาลหากจำเป็น สมควรให้มีสัญญาจ้างให้บริการ เชิงสังคม (Public Service Obligation : PSO) โดยผูกเงินอุดหนุนกับผลงานของบริการอย่างชัดเจน เช่น ผูก เงินอุดหนุนกับกิโลเมตรดำเนินการ นอกจากนี้ เงื่อนไขสัญญาให้ผู้ประกอบการเดินรถและการบำรุงรักษา ระบบเข้าร่วมดำเนินการจะต้องมี และควรชัดเจนในการบูรณาการกับการขนส่งรูปแบบอื่น เช่น รถไฟฟ้า ใต้ดิน และรถโดยสารประจำทาง ทั้งในด้านการเดินรถ การตลาด ข้อมูลสำหรับผู้โดยสาร และการจัดการ รายรับ เพื่อให้ผู้โดยสารสามารถเดินทางโดยอาศัยตั๋วร่วมได้อย่างสะดวก ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีมีความเห็นเพิ่มเติมว่า การก่อสร้างซึ่งใช้วิธีว่าจ้างเอกชนเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการ และรัฐจะ จ่ายค่าก่อสร้าง รวมทั้งค่าใช้จ่ายทางการเงินพร้อมดอกเบี้ยคืนทั้งหมดภายหลังการก่อสร้างแล้วเสร็จ หาก พิจารณารูปแบบการระดมแหล่งเงินลงทุนของโครงการในภาพรวมของระบบขนส่งมวลชนระบบราง ระยะ ทางรวม 291 กิโลเมตร ซึ่งรวมถึงโครงการก่อสร้างระบบขนส่งทางรถไฟ (รถไฟฟ้า) ฯ ของ รฟท. ได้แล้ว เสร็จโดยเร็ว การจ่ายเงินค่าก่อสร้างและค่าใช้จ่ายทางการเงินพร้อมดอกเบี้ยคืนแก่เอกชนก็อาจดำเนินการ ได้ก่อนการก่อสร้างแล้วเสร็จ ดังนั้น การดำเนินการโครงการในครั้งนี้จึงเป็นการว่าจ้างให้เอกชนเป็นผู้รับ ผิดชอบดำเนินการ และไม่เข้าข่ายที่จะต้องดำเนินการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงาน หรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 รวมทั้งการว่าจ้างให้เอกชนเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการโครง การไม่เข้าข่ายที่ถือว่า เป็นการดำเนินการในลักษณะ Lump Sum Turnkey ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2526 เรื่อง การทำสัญญาว่าจ้างในสัญญาจ้างเหมา สำรวจออกแบบและก่อสร้างโดยผู้รับจ้าง รายเดียวกัน และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2540 เรื่อง วิธีการจ้างเหมาประมูลแบบเหมา รวม (Turnkey) เพราะเอกชนที่จะเข้ามาดำเนินการก่อสร้างมิได้เกี่ยวข้องกับการออกแบบรายละเอียดของ โครงการแต่อย่างใด
|
||||||||||||||||||||||||
525 | การแก้ไขระบบบำเหน็จบำนาญของรัฐวิสาหกิจ | กค | 18/05/2547 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 1.2 (ฝ่าย
ความมั่นคงและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ) ที่มีมติเห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอการแก้ไข ระบบบำเหน็จบำนาญของรัฐวิสาหกิจ (การท่าเรือแห่งประเทศไทย การรถไฟแห่งประเทศไทย และธนาคาร ออมสิน) โดยให้รัฐวิสาหกิจดังกล่าวดำเนินการจัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพแทนระบบบำเหน็จบำนาญ โดย ให้สิทธิแก่พนักงานปัจจุบันที่อยู่ในระบบบำเหน็จบำนาญ สามารถเลือกเข้าเป็นสมาชิกระบบกองทุนสำรอง เลี้ยงชีพ ซึ่งมีหลักการให้ผลประโยชน์ที่ได้รับจากระบบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพไม่น้อยไปกว่าระบบบำนาญเดิม และองค์กรรัฐวิสาหกิจได้ตั้งสำรองภาระเงินบำเหน็จบำนาญ โดยใส่เงินสมทบให้พนักงานในรูปแบบของกอง ทุนสำรองเลี้ยงชีพ และแต่งตั้งให้ผู้บริหารกองทุนที่เป็นมืออาชีพมาบริหารเงินกองทุน เพื่อแสวงหาผลตอบ แทน สำหรับการคำนวณหามูลค่าปัจจุบันของเงินบำนาญและบำเหน็จตกทอด ให้ใช้วิธีการคำนวณตามสูตร การคำนวณปกติของแต่ละรัฐวิสาหกิจที่กำหนดไว้ในระเบียบ ส่วนการกำหนดเงินเดือนเดือนสุดท้ายของพนัก งานให้ใช้สมมติฐานที่กระทรวงการคลังกำหนด ทั้งนี้ ให้รับประเด็นอภิปรายของคณะกรรมการกลั่นกรอง ฯ ที่เห็นว่าผลประโยชน์ที่พนักงานรัฐวิสาหกิจจะได้รับจากการปรับไปใช้ระบบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพไม่แตกต่าง จากระบบกองทุนบำเหน็จบำนาญเดิม ดังนั้น จำนวนสมาชิกที่จะเข้าร่วมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพอาจมีจำนวน ไม่มาก อย่างไรก็ดี ภาระที่ตกกับรัฐวิสาหกิจในกรณีจัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพจะน้อยกว่า มีเพียงกรณีของ การรถไฟแห่งประเทศไทย ซึ่งรัฐบาลอาจจะต้องตั้งงบประมาณสนับสนุนสมทบ จึงขอให้กระทรวงการคลัง พิจารณาหาแนวทางจูงใจให้พนักงานรัฐวิสาหกิจทั้ง 3 แห่ง เข้าร่วมเป็นสมาชิก และประชาสัมพันธ์ให้พนัก งานได้รับทราบถึงประโยชน์ที่จะได้รับจากการปรับเปลี่ยนระบบบำนาญ เป็นระบบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพไป พิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
526 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก ครั้งที่ 1/2547 | คค | 23/03/2547 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงคมนาคมรายงานสรุปผลการประชุมคณะกรรมการจัดระบบ
การจราจรทางบก ครั้งที่ 1/2547 โดยที่ประชุมได้พิจารณาเกี่ยวกับแผนงานพัฒนาระบบขนส่งมวลชนระบบราง ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดยเห็นชอบโครงข่ายภาพรวมและกรอบแผนการดำเนินงาน และรับทราบ กรอบวงเงินลงทุน โดยให้แต่งตั้งคณะทำงานพิจารณาแผนการระดมเงินทุนที่เหมาะสมสำหรับการพัฒนาระบบ ขนส่งมวลชนระบบรางในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณ เพื่อดำเนินการในระยะแรก รวมทั้งให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมดำเนินการเจรจาซื้อคืนสัมปทานการเดิน รถของบริษัทระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BTS) และบริษัทรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (BMCL) ใน ราคาที่เหมาะสม กับเห็นชอบแผนงานพัฒนาระบบถนนและทางด่วน ประกอบด้วย โครงการระบบทางด่วน ของ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย จำนวน 4 โครงการ แผนงานโครงการของกรมทางหลวง (ทล) จำนวน 15 โครง การ แผนงานของกรมทางหลวงชนบท (ทช.) จำนวน 5 โครงการ และแผนงาน/โครงการของ กทม. จำนวน 7 แผนงาน/โครงการ ในส่วนของแผนงานพัฒนาระบบรถไฟ ที่ประชุมเห็นชอบโครงการก่อสร้างรถไฟเส้นทางคู่ใน เส้นทางชายฝั่งทะเลตะวันออก ตอนฉะเชิงเทรา-ศรีราชา-ท่าเรือแหลมฉบัง โดยให้กระทรวงการคลังและสำนัก งบประมาณจัดหาแหล่งเงินทุนที่เหมาะสม และให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) พิจารณาเรื่องการใช้ Truck Terminal แทนการขยาย ICD แห่งที่ 2 สำหรับการดำเนินโครงการก่อสร้างเส้นทางลัดสู่ภาคใต้ (สมุทรสาคร- แหลมผักเบี้ย-ชะอำ) ที่ประชุมเห็นชอบแผนฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมพื้นที่โดยรอบโครงการ ฯ โดยมอบหน่วยงานที่เกี่ยว ข้องรับไปดำเนินการตามแผนดังกล่าว และเห็นชอบแนวทางการออกแบบเพื่อจัดทำเอกสารประกวดราคาโครง การ ฯ และอนุมัติว่าจ้างกลุ่มมหาวิทยาลัย 4 สถาบันเดิม หรือกลุ่มมหาวิทยาลัยในประเทศ เพื่อทำการออกแบบ รายละเอียดโครงการ ฯ และให้กรมทางหลวงจัดจ้างที่ปรึกษาโครงการ ฯ เพื่อควบคุมผู้ออกแบบและช่วยในการ พิจารณาข้อเสนอของผู้เข้าประกวดราคา ทั้งนี้ในการออกแบบสำหรับถนนบนบกให้ทำแบบถึง Detailed Design ส่วนสะพานในทะเลให้ทำแบบถึง Definitive Design
|
||||||||||||||||||||||||
527 | ขออนุมัติต่อสัญญาเงินกู้วงเงิน 800 ล้านบาท ของการรถไฟแห่งประเทศไทย | คค | 23/03/2547 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ต่ออายุ
สัญญาเงินกู้วงเงิน 800 ล้านบาท จากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งจะครบกำหนดอายุสัญญาวันที่ 29 มีนาคม 2547 ออกไปอีก 1 ปี โดยมีกระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกัน |
||||||||||||||||||||||||
528 | การปรับปรุงความเป็นระเบียบเรียบร้อยในบริเวณที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย | นร | 23/03/2547 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยและสวยงาม
ของพื้นที่ในเขตที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) รฟท. ควรพิจารณาปรับปรุงสภาพภูมิทัศน์และจัด ระเบียบการใช้พื้นที่และสิ่งก่อสร้างบริเวณสถานีรถไฟต่าง ๆ ตลอดจนพื้นที่ที่เป็นบ้านพักอาศัยของพนักงาน รฟท. ที่อยู่ในแหล่งชุมชนต่าง ๆ ในเขตกรุงเทพมหานครและชานเมืองให้เรียบร้อยสวยงามตามความเหมาะสม เช่น บริเวณบ้านพักรถไฟ บริเวณนิคมรถไฟมักกะสัน และบริเวณราชตฤณามัยสมาคม เป็นต้น |
||||||||||||||||||||||||
529 | ขออนุมัติโครงการและงบประมาณลงทุนประจำปี 2547 เพิ่มเติม สำหรับโครงการจัดหารถโบกี้บรรทุกตู้สินค้า จำนวน 112 คัน และรถจักร 7 คัน | คค | 09/03/2547 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอโครงการจัดหารถโบกี้บรรทุกสินค้า
จำนวน 112 คัน และรถจักร 7 คัน วงเงิน 903.46 ล้านบาท ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) โดยให้ รฟท. รับผิดชอบภาระค่าใช้จ่ายของโครงการ ฯ โดยให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ รวมทั้งพิจารณาวิธี การกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ตามความเหมาะสม และให้ รฟท. เร่งปรับปรุงโครงสร้างหนี้และโครง สร้างทางการเงิน เพื่อลดต้นทุนทางด้านการเงิน รวมไปถึงปรับปรุงโครงสร้างองค์กรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการ ดำเนินงานเพิ่มรายได้ และลดรายจ่ายให้เป็นรูปธรรมโดยเร็ว ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง |
||||||||||||||||||||||||
530 | ขออนุมัติขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ โครงการจัดหาและติตตั้งระบบอาณัติสัญญาณและโทรคมนาคม ตามโครงการก่อสร้างทางคู่ | คค | 09/03/2547 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ขยายระยะ
เวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ โครงการจัดหาและติดตั้งระบบอาณัติสัญญาณและโทรคมนาคม ตามโครงการ ก่อสร้างทางคู่ จากปีงบประมาณ พ.ศ. 2537-พ.ศ. 2547 เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. 2537-พ.ศ. 2551
|
||||||||||||||||||||||||
531 | ขออนุมัติขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ โครงการจัดหาและติตตั้งระบบอาณัติสัญญาณและโทรคมนาคม ตามโครงการก่อสร้างทางคู่ | คค | 09/03/2547 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ขยายระยะ
เวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ โครงการจัดหาและติดตั้งระบบอาณัติสัญญาณและโทรคมนาคม ตามโครงการ ก่อสร้างทางคู่ จากปีงบประมาณ พ.ศ. 2537-พ.ศ. 2547 เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. 2537-พ.ศ. 2551
|
||||||||||||||||||||||||
532 | รายงานสรุปผลการกู้เงินในรูป Euro Commercial Paper (ECP) ประจำปีงบประมาณ 2546 | กค | 30/12/2546 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานสรุปผลการกู้เงินในรูป Euro Commercial
Paper (ECP) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2546 ซึ่งกระทรวงการคลัง โดยสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ได้ ดำเนินการกู้เงินภายใต้ ECP Programme รวม 21 ครั้ง คิดเป็น 4,548,400,000 เหรียญสหรัฐ ให้กับหน่วย งาน 11 แห่ง เพื่อเป็น Bridge Financing สำหรับการจัดหาเงินกู้ระยะยาวภายใต้โครงการจัดหาเครื่องบิน ของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) จำนวน 280,000,000 เหรียญสหรัฐ เพื่อเป็น Bridge Financing ใน การทำ Rollover เงินกู้ของบริษัท การบินไทย ฯ จำนวน 100,000,000 เหรียญสหรัฐ เพื่อ Refinance เงิน กู้ต่างประเทศที่มีระยะเงินกู้คงเหลือไม่เกิน 3 ปี ให้กับบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จำนวน 7,400,000 เหรียญสหรัฐ และการรถไฟแห่งประเทศไทย จำนวน 3,500,000 เหรียญสหรัฐ และเพื่อเป็น Bridge Financing ในการทำ Refinance ตามแผนที่กระทรวงการคลังได้อนุมัติสำหรับการทำ Refinance เงิน กู้ต่างประเทศภาครัฐ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2545 ให้กับกระทรวงการคลัง จำนวน 942,000,000 เหรียญ สหรัฐ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) จำนวน 35,000,000 เหรียญสหรัฐ การไฟฟ้านครหลวง จำนวน 171,100,000 เหรียญสหรัฐ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จำนวน 50,700,000 เหรียญสหรัฐ และการ ประปาส่วนภูมิภาค จำนวน 28,300,000 เหรียญสหรัฐ และในปีงบประมาณ พ.ศ. 2546 กระทรวงการคลัง และรัฐวิสาหกิจอีก 3 หน่วยงาน ที่กู้ต่อจากกระทรวงการคลัง ได้แก่ การท่าเรือแห่งประเทศไทย การประปา ส่วนภูมิภาค และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จำนวนรวม 38,077,343,070 เยน (โดยออกตรา สาร ECP สกุลเงินเหรียญสหรัฐ จำนวน 315,000,000 เหรียญสหรัฐ) และการทางพิเศษแห่งประเทศไทย จำนวน 29,757,009,000 เยน (โดยออกตราสาร ECP สกุลเงินเหรียญสหรัฐจำนวน 254,000,000 เหรียญ สหรัฐ) ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังรับไปจัดทำข้อมูลเกี่ยวกับหนี้เงินกู้ต่างประเทศของรัฐทั้งหมด (profile) โดย จัดลำดับหนี้เงินกู้และระยะเวลาการชำระหนี้ และให้แยกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ หนี้เงินกู้ของภาคราชการ และ หนี้เงินกู้ของรัฐวิสาหกิจ โดยในส่วนของหนี้เงินกู้ของรัฐวิสาหกิจให้แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มย่อย คือ เงินกู้ของรัฐ วิสาหกิจที่มีสถานะ และผลประกอบการไม่ค่อยดี ซึ่งรัฐจำเป็นต้องให้การสนับสนุน หรืออาจจะต้องยุบเลิกกิจ การในที่สุด และเงินกู้ของรัฐวิสาหกิจชั้นดีที่มีแนวโน้มที่จะนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ต่อไปได้ และให้นำเสนอนายกรัฐมนตรี เพื่อใช้ประโยชน์ในการบริหารจัดการหนี้เงินกู้ของภาครัฐให้เหมาะสมต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
533 | ขออนุมัติต่อสัญญาเงินกู้วงเงิน 800 ล้านบาท ของการรถไฟแห่งประเทศไทย | คค | 28/10/2546 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงคมนาคมรายงานความก้าวหน้าการปรับปรุงประสิทธิภาพ
การบริหารงานของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) โดย รฟท. ได้ดำเนินการปรับแผนการดำเนินงานเพื่อแก้ ไขปัญหาการขาดทุน และปรับปรุงประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ โดยได้กำหนดกลยุทธ์ในการพัฒนาองค์ กร กำหนดกลยุทธ์ในการเพิ่มรายได้ และกำหนดกลยุทธ์การลดรายจ่าย ซึ่งผลจากการปรับปรุงประสิทธิภาพ การบริหารงานรวมเม็ดเงินเพิ่มขึ้น จำนวน 1,791 ล้านบาท ทั้งนี้ รฟท. รายงานเกี่ยวกับเงินกู้วงเงิน 800 ล้าน บาท ว่า ได้ครบกำหนดอายุสัญญาเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2546 และ รฟท. จำเป็นต้องมีวงเงินกู้ 800 ล้านบาท ไว้ใช้ในกรณีที่ รฟท. อาจขาดเงินสดหมุนเวียนในช่วงใดช่วงหนึ่ง เพื่อมิให้การดำเนินงานต้องกระทบกระเทือน หรือหยุดชะงัก โดยในเรื่องนี้อนุมัติให้ดำเนินการตามความเห็นของกระทรวงการคลังที่ให้ รฟท. ต่ออายุสัญญา วงเงินกู้ดังกล่าวจากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ต่อไปอีก 1 ปี จนถึงวันที่ 29 มีนาคม 2547 โดยมี กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกัน และให้ รฟท. ดำเนินกลยุทธ์เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดทุนต่อไปอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งควรเร่งดำเนินการตามนโยบายที่ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีในคราวตรวจเยี่ยม รฟท. เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2546 ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนโดยเร็วอันจะทำให้ รฟท. สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน ในอนาคตต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
534 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีซึ่งล้าสมัยและไม่สอดคล้องกับสภาพการณ์ของประเทศในปัจจุบัน (เรื่อง ขอผ่อนผันใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ เพื่อก่อสร้างทางเพื่อความมั่นคง) | คค | 28/10/2546 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 3 ที่มีมติเกี่ยวกับ
การขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีซึ่งล้าสมัยและไม่สอดคล้องกับสภาพการณ์ของประเทศในปัจจุบัน (เรื่อง ขอผ่อนผัน ใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ เพื่อก่อสร้างทางเพื่อความมั่นคง) ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยให้คงมติคณะรัฐมนตรี (12 ธันวาคม 2532) เรื่อง ขอผ่อนผันใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ เพื่อก่อสร้างทางเพื่อความมั่นคง ซึ่งกำหนดว่า "ต่อ ไปจะไม่อนุมัติให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ อีก ไม่ว่ากรณีใด" ต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวง คมนาคม (การรถไฟแห่งประเทศไทย) จัดส่งข้อมูลที่สมบูรณ์ เกี่ยวกับโครงการก่อสร้างทางรถไฟสายสุราษฎร์ธานี - พังงา - ภูเก็ต สายเด่นชัย - เชียงราย และโครงการก่อสร้างทางรถไฟอื่น ๆ ที่ต้องขยายในอนาคต เสนอให้คณะ กรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติพิจารณาโดยเร็ว เพื่อจะได้พิจารณาความเหมาะสมของโครงการในด้านต่าง ๆ ได้ครบ ถ้วน และทำให้โครงการสามารถดำเนินการต่อไปได้รวดเร็วขึ้น และมอบให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวด ล้อมดำเนินการศึกษาผลกระทบของโครงการต่าง ๆ ที่คณะรัฐมนตรีได้เคยอนุมัติผ่อนผันให้ใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ และพื้นที่ป่าอนุรักษ์อื่น ๆ แล้วในภาพรวม พร้อมทั้งมาตรการในการป้องกันการขอใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ และป่า อนุรักษ์อื่น ๆ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
535 | การรายงานการแก้ไขสถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้ของกระทรวงคมนาคม | คค | 28/10/2546 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงคมนาคมรายงานการแก้ไขสถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้ของ
กระทรวงคมนาคม สรุปได้ว่า จากกรณีที่ได้มีฝนตกหนาแน่นและฝนตกหนักในภาคใต้ ในระหว่างวันที่ 21-25 ตุลาคม 2546 โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี ก่อให้เกิดสถานการณ์น้ำท่วมขัง ประชาชนที่ใช้เส้นทางการ จราจรทางถนนสายหลักและสายรอง และทางรถไฟ ไม่สามารถเดินทางได้โดยสะดวก กระทรวงคมนาคม ใน ฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบในการอำนวยความสะดวกและปลอดภัยในการเดินทาง ได้ดำเนินการแก้ไขสถาน การณ์ดังกล่าวอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด โดยในส่วนของผู้ใช้บริการระบบขนส่งสาธารณะ ได้มอบหมายให้ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) จัดรถไว้บริการประชาชนให้เพียงพอตลอดเวลาจนกว่า การรถไฟแห่งประเทศไทย จะให้บริการได้ตามปกติ โดยเฉพาะจังหวัดที่มีแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญที่จะเดินทางกลับเข้าสู่กรุงเทพมหานคร ตลอด 24 ชั่วโมง ให้ดูแลเป็นพิเศษ และให้ บขส. จัดรถร่วมบริการเสริมเพื่อไม่ให้มีผู้โดยสารตกค้าง สำหรับผู้ ใช้เส้นทางในถนนสายหลักและสายรอง กรมทางหลวงชนบท ได้จัดส่งเครื่องมือ เครื่องจักรที่จำเป็นเข้าดำเนิน การให้ความช่วยเหลือในเบื้องต้นโดยใช้วัสดุที่ได้จัดเตรียมไว้ล่วงหน้า เช่น ลูกรัง หินคลุก ท่อระบายน้ำ สะพาน เหล็กสำเร็จรูป เพื่อให้รถสามารถวิ่งผ่านได้ ในกรณีที่น้ำยังไม่ลดได้ติดตั้งป้ายเตือนบริเวณจุดที่น้ำท่วมขังสูง เพื่อป้องกันอุบัติเหตุ และป้ายแนะนำเส้นทางและระยะทาง พร้อมทั้งได้จัดเจ้าหน้าที่ไปประจำ ณ เต็นท์ศูนย์ อำนวยความปลอดภัยเพื่อแนะนำเส้นทาง ส่วนการบูรณะปรับปรุงถนน/สายทางภายหลังน้ำลด ซึ่งกระทรวง คมนาคม โดยกรมทางหลวง และกรมทางหลวงชนบท ได้ประมาณการความเสียหายของสายทางในความรับ ผิดชอบที่ต้องดำเนินการแก้ไขภายหลังน้ำลดโดยเร่งด่วน ในเบื้องต้น ณ วันที่ 27 ตุลาคม 2546 เป็นจำนวน ประมาณ 86.634 ล้านบาท ซึ่งกระทรวงคมนาคมได้ขอรับการสนับสนุนเงินงบประมาณ งบกลาง กรณีฉุก เฉินหรือจำเป็นเร่งด่วน จากศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย แล้ว |
||||||||||||||||||||||||
536 | ขอความเห็นชอบเกี่ยวกับข้อตกลงกรณีเพิ่มอัตราเบี้ยเลี้ยงทำการเดินรถ และค่ารอทำขบวนจากเดิมร้อยละ 15 | รง | 30/09/2546 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 2
เห็นชอบตามที่กระทรวงแรงงานเสนอเกี่ยวกับข้อตกลงกรณีเพิ่มอัตราเบี้ยเลี้ยงทำการเดินรถ และค่ารอทำ ขบวนจากเดิมร้อยละ 15 ของการรถไฟแห่งประเทศไทย |
||||||||||||||||||||||||
537 | การน้อมเกล้าฯ ถวายที่ดินบริเวณสวนจตุจักร | คค | 16/09/2546 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเสนอผลการประชุมของคณะกรรม
การเฉพาะกิจเพื่อการน้อมเกล้า ฯ ถวายที่ดินบริเวณสวนจตุจักร โดยรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ได้จัดประชุมคณะกรรมการเฉพาะกิจจำนวน 2 ครั้ง ซึ่งมีผู้แทนหน่วยงานต่าง ๆ มาร่วมประชุม ผลการประชุม ฯ ครั้งที่ 1/2546 เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2546 ที่ประชุมมีมติมอบหมายให้การรถไฟแห่งประเทศไทยกรุงเทพ มหานคร สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร และกรมที่ดิน ไปดำเนินการตรวจสอบพื้นที่และรังวัด ที่ดินในสวนจตุจักร สวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ และสวนวชิรเบญจทัศน์ และมอบหมายให้กรุงเทพมหานครจัด ทำแบบจำลองอุทยานจตุจักร ซึ่งหน่วยงานดังกล่าวได้ดำเนินการตรวจสอบพื้นที่และรังวัดที่ดินทั้ง 3 สวน และ ได้จัดทำเป็นแบบจำลองอุทยานจตุจักรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับการประชุม ฯ ครั้งที่ 2/2546 เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2546 ที่ประชุม ฯ ได้มีมติให้การรถไฟ ฯ ดำเนินการรื้อย้ายผู้บุกรุกที่ดินตามที่ศาลได้มีคำพิพากษาขับ ไล่และให้การรถไฟ ฯ ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 15 กันยายน 2546 ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีเห็นว่า เพื่อ ให้เป็นการสมพระเกียรติ ก่อนการนำที่ดินในพื้นที่สวนสาธารณะทั้งสามแห่งขึ้นน้อมเกล้า ฯ ถวายพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ อีกครั้งหนึ่ง ควรปรับปรุงพัฒนาสภาพภูมิทัศน์ของพื้นที่ดังกล่าวให้เป็นสวนสาธารณะที่ มีความร่มรื่น เขียวชะอุ่ม สวยงาม โดยออกแบบให้เหมาะสม และอาจจัดทำเป็นสวนพฤกษศาสตร์ (botanic garden) ประกอบด้วยพรรณไม้ต่าง ๆ นานาพันธุ์ โดยการดูแลรักษาสวนดังกล่าวเมื่อได้น้อมเกล้า ฯ ถวายแล้ว ต้องพิจารณาให้มีผู้รับผิดชอบดูแล บำรุงรักษาตามความเหมาะสมต่อไป จึงมอบให้รองนายกรัฐมนตรี (นาย สุวิทย์ คุณกิตติ) รับเรื่องนี้ไปร่วมประชุมกับส่วนราชการ และหน่วยงาน/บุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนว ทางการดำเนินงาน แล้วดำเนินการโดยด่วนต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
538 | รายงานความก้าวหน้าของโครงการหรือเรื่องเร่งด่วนของรัฐบาล | คค | 26/08/2546 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงคมนาคมรายงานความก้าวหน้าโครงการหรือเรื่องเร่งด่วนของ
รัฐบาล ของหน่วยงานในสังกัด ระหว่างเดือนเมษายน-มิถุนายน 2546 จำนวน 13 โครงการ/เรื่อง ประกอบด้วย (1) โครงการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ของบริษัท ท่าอากาศยานสากลกรุงเทพแห่งใหม่ จำกัด (2) โครงการลง ทุน ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) (3) โครงการจัดหาอุปกรณ์บริการ จราจรทางอากาศ และหอบังคับการบิน พร้อมอาคารสำนักงาน ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ของบริษัท วิทยุ การบินแห่งประเทศไทย จำกัด (4) โครงการพัฒนาระบบการขนส่งทางรถไฟเพื่อรองรับท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (5) โครงการก่อสร้างทางเข้า-ออก ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ของกรมทางหลวง (6) โครงการก่อสร้างทางขึ้น-ลง ทางพิเศษบูรพาวิถี บริเวณทางเข้า-ออก ด้านใต้ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ของ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (7) โครงการจัดบริการรถสาธารณะให้บริการที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิของกรม การขนส่งทางบก (8) โครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 3 สายใต้ ตอน S1 ของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (9) โครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล (รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง-บางซื่อ) ของการรถไฟฟ้าขน ส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (10) โครงการก่อสร้างถนนวงแหวนอุตสาหกรรม ของกรมทางหลวงชนบท (11) การ แปรรูปการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย (12) การแปรรูปบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และ (13) การ แปรรูปการท่าเรือแห่งประเทศไทย |
||||||||||||||||||||||||
539 | รายงานข้อมูลศูนย์บริการประชาชน | คค | 01/07/2546 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงคมนาคมรายงานข้อมูลการดำเนินงานเกี่ยวกับศูนย์บริการ
ประชาชน ของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม ณ วันที่ 30 เมษายน 2546 จำแนกเป็น (1) หน่วยงานที่มี ศูนย์บริการประชาชน ได้แก่ กรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี การรถไฟแห่งประเทศไทย การท่าเรือแห่ง ประเทศไทย องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) (2) หน่วยงานที่กำลังดำเนิน การจัดตั้งศูนย์บริการประชาชน ได้แก่ กรมการขนส่งทางบก กรมการขนส่งทางอากาศ กรมทางหลวง กรมทาง หลวงชนบท การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย การทางพิเศษแห่งประเทศไทย และบริษัท ขนส่ง จำกัด และ (3) หน่วยงานที่ไม่มีศูนย์บริการประชาชน ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงคมนาคม สำนักงานนโยบายและ แผนการขนส่งและจราจร สถาบันการบินพลเรือน บริษัท ท่าอากาศยานสากลกรุงเทพแห่งใหม่ จำกัด บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) องค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ บริษัท ไทยเดินเรือทะเล จำกัด และ บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด |
||||||||||||||||||||||||
540 | กระทู้ถามของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพื่อตอบในราชกิจจานุเบกษา (กระทู้ถามที่ 1062 ร. เรื่อง รถไฟตกรางที่จังหวัดลพบุรี) | สผ | 01/07/2546 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 1062 ร. เรื่อง
รถไฟตกรางที่จังหวัดลพบุรี ของนายนิยม วรปัญญา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดลพบุรี และให้ประกาศในราช กิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า (1) กรณีรถไฟซึ่งเป็นรถโดยสารและรถขนส่งสินค้าชน กันที่ตำบลหนองรี อำเภอลำสนธิ จังหวัดลพบุรี มีผู้เสียชีวิต จำนวน 5 ราย ความเสียหายทั้งหมดที่เกิดขึ้น ได้แก่ ความเสียหายของการรถไฟแห่งประเทศไทย โดยประเมินค่าเสียหายขั้นต้น เป็นเงิน 37,439,045 บาท (ราคาขึ้น ทะเบียนทรัพย์สิน) สภาพทาง ค่าเสียหาย เป็นเงิน 382,758 บาท ความเสียหายเกี่ยวกับการเดินรถ 80,732 บาท ค่าใช้จ่ายในการยกรถที่ตกราง เป็นเงิน 439,036 บาท รวมค่าเสียหายทั้งสิ้น เป็นเงิน 38,341,571 บาท สำหรับความเสียหายของเอกชนนั้นมีบริษัทโรงงานน้ำตาลทรายขาวเริ่มอุดม จำกัด เรียกร้องค่าเสียหายจำนวน 414,238 บาท (2) เส้นทางรถไฟสายแก่งคอย-ลำนารายณ์-บัวใหญ่ ในปัจจุบันสามารถเดินรถด้วยความเร็วสูง สุดแตกต่างกันเป็นช่วง ๆ โดยในช่วงระหว่างแก่งเสือเต้น-สุระนารายณ์ ขบวนรถดีเซลรางสามารถใช้ความเร็วสูงสุด ได้ถึง 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และการรถไฟ ฯ มีโครงการที่จะปรับปรุงสภาพทางช่วงดังกล่าว โดยจะเปลี่ยนราง ให้มีขนาดใหญ่ขึ้น เปลี่ยนหมอนไม้เป็นหมอนคอนกรีตอัดแรงตลอดเส้นทาง เพื่อให้สามารถเพิ่มความเร็วสูงสุดได้ เป็น 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงสำหรับรถโดยสารทั่วไป และ 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมงสำหรับรถดีเซลราง เมื่อได้รับ การสนับสนุนงบประมาณตามแผนแล้วจะสามารถดำเนินการได้ในระหว่างปี พ.ศ. 2548-2553 ส่วนการจะปรับ ปรุงให้เพิ่มความเร็วได้ถึง 150 กิโลเมตรต่อชั่วโมงนั้น ต้องใช้เงินลงทุนสูงมาก ทำให้ผลตอบแทนของการลงทุน จะอยู่ในเกณฑ์ต่ำ และ (3) การพิจารณาลงทุนก่อสร้างทางรถไฟรางคู่ สำหรับทางช่วงแก่งคอย-บัวใหญ่-หนอง คาย มีความสำคัญอยู่ในลำดับท้าย ๆ โดยความสำคัญลำดับต้น ๆ ในอนาคตจะเน้นหนักไปทางสายฉะเชิงเทรา -ศรีราชา-แหลมฉบัง เพื่อรองรับการขนส่งสินค้าตู้คอนเทนเนอร์ที่คาดว่า จะมีปริมาณเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และในทางสายเหนือช่วงระหว่างลพบุรี-นครสวรรค์ กับในเส้นทางสายใต้ช่วงระหว่างประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร ซึ่ง มีปริมาณเดินรถโดยสารและสินค้าสูงกว่าในเส้นทางสายแก่งคอย-บัวใหญ่-หนองคายมาก |
.....