ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 61 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 1201 - 1220 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 1201 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการจ่ายเงินค่าตอบแทนผู้แจ้งความนำจับและเงินค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติงานยาเสพติด พ.ศ. .... | ยธ | 03/04/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการจ่ายเงินค่าตอบแทนผู้แจ้งความนำจับและเงินค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติงานยาเสพติด พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการจ่ายเงินสินบนและเงินรางวัลคดียาเสพติด พ.ศ. ๒๕๓๗ และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการจ่ายค่าตอบแทนผู้แจ้งความนำจับและเงินค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่ให้มีความสอดคล้องและเหมาะสมกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในการปฏิบัติงานด้านยาเสพติด ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงยุติธรรมรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานควรให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดได้รับการจัดสรรงบประมาณเพื่อการนี้ไว้แล้ว ส่วนค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ควรให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1202 | ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint Trade Committee: JTC) ไทย-กัมพูชา ครั้งที่ 6 และกิจกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง | พณ | 03/04/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint Trade Committee : JTC) ไทย-กัมพูชา ครั้งที่ ๖ เมื่อวันที่ ๒๑-๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ณ ราชอาณาจักรกัมพูชา โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กัมพูชา เป็นประธานร่วมการประชุมฯ และมอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุมฯ ต่อไป ซึ่งผลการประชุมฯ ทั้งสองฝ่ายได้มีประเด็นเห็นพ้องร่วมกัน เช่น เป้าหมายการค้า โดยจะร่วมมือกันเพื่อบรรลุเป้าหมายการค้า ๑๕,๐๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี ๒๕๖๓ การส่งเสริมการค้าชายแดนผ่านยุทธศาสตร์การสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของเมืองด่านชายแดนไทย-กัมพูชา การจัดตั้งคณะทำงานร่วมด้านการค้าสินค้าเกษตร เพื่อแก้ไขปัญหาการค้าสินค้าเกษตร ประมง และปศุสัตว์ระหว่างกัน การยกระดับ/เปิดจุดผ่านแดน การแลกเปลี่ยนสิทธิการจราจร และการลงนามความตกลงเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงรัษฎากรในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้ระหว่างไทย-กัมพูชา เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีประเด็นที่ทั้งสองฝ่ายมีข้อหารือและข้อกังวล เช่น การนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากกัมพูชามายังไทย การส่งออกสุกรมีชีวิตจากไทยไปยังกัมพูชา ความร่วมมือเรื่องการอำนวยความสะดวกทางการค้า การส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปจากไทยไปยังกัมพูชาทางถนน การจำกัดจำนวนภาพยนตร์ไทยที่ฉายในกัมพูชา และการใช้บังคับพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๕๖๐ เป็นต้น ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการส่งเสริมความร่วมมือการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ ไทย-กัมพูชา ควรพิจารณากำหนดแนวทางการพัฒนาพื้นที่ตามศักยภาพและความพร้อม และควรเตรียมความพร้อมในพื้นที่ อาทิ การประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับเขตเศรษฐกิจพิเศษ การพัฒนาศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้าและคลังสินค้า การเชื่อมโยงการขนส่งระบบราง และการปรับปรุงพื้นที่ด่านศุลกากรเพื่อรองรับการเติบโตของการค้าชายแดน รวมทั้งควรติดตามประเมินผลการดำเนินงานตามผลการประชุมฯ ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นระยะอย่างต่อเนื่อง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1203 | ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. .... | กค | 03/04/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. .... ไปตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เกี่ยวกับ (๑) กรณีมีปัญหาเกี่ยวกับการดำเนินการตามร่างพระราชบัญญัตินี้ควรกำหนดให้คณะกรรมการนโยบายส่งเสริมการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนเป็นผู้มีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดและให้คำวินิจฉัยของคณะกรรมการนโยบายฯ เป็นที่สุด (๒) บทบัญญัติของร่างพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. .... มีหลักการในการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ อยู่ด้วย จึงควรพิจารณาเชื่อมโยงกับร่างพระราชบัญญัตินี้ให้มีความครบถ้วนสมบูรณ์ รวมทั้งความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ความชัดเจนของบทบัญญัติต่าง ๆ ในร่างพระราชบัญญัตินี้ การละเว้นการปฏิบัติตามกฎหมาย องค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการนโยบายฯ ภาระงบประมาณที่เกิดขึ้น การใช้จ่ายเงินกองทุนส่งเสริมการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน กระบวนการระงับข้อพิพาท และกรณีที่ต้องนำเรื่องการจัดตั้งกองทุนเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายฯ เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง ๒. ให้กระทรวงการคลังรับประเด็นดังต่อไปนี้ไปพิจารณาแล้วส่งผลการพิจารณาไปเพื่อประกอบการตรวจพิจารณาชองสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาต่อไป ๒.๑ บทนิยามคำว่า “กิจการส่งเสริม” ในร่างมาตรา ๔ ซึ่งกำหนดประเภทกิจการรวม ๑๒ ประเภท ส่วนกิจการอื่นให้เป็นตามที่พระราชกฤษฎีกากำหนด นั้น เป็นการกำหนดประเภทกิจการที่ไม่มีความยืดหยุ่นในการปรับปรุงแก้ไขและอาจไม่ทันต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป จึงควรกำหนดไว้ในกฎหมายลำดับรอง เช่น ประกาศหรือคำสั่งของคณะกรรมการนโยบายฯ ๒.๒ ร่างมาตรา ๒๑ กรณีกฎหมายใดก่อให้เกิดปัญหาหรืออุปสรรคหรือเกิดความล่าช้าในการจัดทำและดำเนินโครงการร่วมลงทุน ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการหารือกับหน่วยงานที่รับผิดชอบกฎหมายดังกล่าว เพื่อเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาหรืออุปสรรคต่อคณะกรรมการนโยบายฯ เพื่อนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อสั่งการหรือเสนอให้คณะกรรมการนโยบายฯ กำหนดกรอบระยะเวลาเร่งรัดการจัดทำและดำเนินโครงการร่วมลงทุนในส่วนที่ต้องดำเนินการตามกฎหมายและให้หน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบดำเนินการตามที่คณะกรรมการนโยบายฯ กำหนด นั้น อาจเป็นการกำหนดให้คณะรัฐมนตรีและคณะกรรมการนโยบายฯ มีอำนาจในการละเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามที่กฎหมายกำหนดไว้ โดยเฉพาะกฎหมายในระดับพระราชบัญญัติ อันเป็นการก้าวล่วงเข้าไปทำหน้าที่แทนฝ่ายนิติบัญญัติ ๒.๓ ร่างมาตรา ๒๒ กรณีหน่วยงานเจ้าของโครงการอาจเสนอให้คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้เอกชนที่จะดำเนินโครงการร่วมลงทุนได้รับสิทธิและประโยชน์ เช่น ให้ได้รับสิทธิและประโยชน์ตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุนหรือให้ใช้ทรัพย์สินของรัฐในเชิงพาณิชย์นั้น การบัญญัติในลักษณะดังกล่าวทำให้คณะรัฐมนตรีมีอำนาจยกเว้นกฎหมาย โดยที่กฎหมายนั้นมีบทบัญญัติที่กำหนดผู้มีอำนาจในการพิจารณาให้สิทธิและประโยชน์ไว้อยู่แล้ว สมควรที่กระทรวงการคลังจะพิจารณาความเหมาะสมของผู้มีอำนาจอนุมัติในลักษณะเช่นนี้ โดยเทียบเคียงกับแนวทางของพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ๒๕๕๐ หรือร่างพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. .... ๓. ให้กระทรวงการคลังเสนอเรื่อง กองทุนส่งเสริมการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนต่อคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนตามนัยมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามความเห็นของคณะกรรมนโยบายฯ แล้วแจ้งผลการพิจารณาดังกล่าวไปเพื่อประกอบการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาต่อไป ๔. ให้กระทรวงการคลังรับข้อสังเกตและข้อเสนอแนะเพิ่มเติมของกระทรวงคมนาคมและสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1204 | ผลการประชุมสุดยอดผู้นำแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง 6 ประเทศ ครั้งที่ 6 (6th GMS Summit) ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม | นร11 | 03/04/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมสุดยอดผู้นำแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ๖ ประเทศ ครั้งที่ ๖ (6th GMS Summit) ระหว่างวันที่ ๓๐-๓๑ มีนาคม ๒๕๖๑ ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม โดยมีนายกรัฐมนตรี (พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา) และผู้นำประเทศลุ่มแม่น้ำโขงเข้าร่วมการประชุมฯ ซึ่งสาระสำคัญของการประชุมฯ ผู้นำ ๖ ประเทศลุ่มแม่น้ำโขงให้ความเห็นชอบ (๑) แถลงการณ์ร่วมระดับผู้นำ (Joint Summit Declaration : JSD) (๒) ร่างแผนปฏิบัติการฮานอยปี ๒๕๖๑-๒๕๖๕ (Hanoi Action Plan) และ (๓) ร่างกรอบการลงทุนในภูมิภาคปี ๒๕๖๕ (Regional Investment Plan : RIF2022) ซึ่งประกอบด้วยโครงการความร่วมมือ จำนวน ๒๒๗ โครงการ ในสาขาความร่วมมือ ๑๐ สาขา มูลค่ารวมประมาณ ๖๖.๕๙๒ พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ ๒.๐๘๘ ล้านล้านบาท โดยในส่วนของประเทศไทยมีโครงการลงทุนและโครงการความช่วยเหลือทางวิชาการ ทั้งสิ้น ๗๙ โครงการ มูลค่ารวม ๑๐.๐๙ พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในการนี้ นายกรัฐมนตรี (พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา) มีข้อเสนอในการประชุมฯ ได้แก่ การเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมขนส่งเพื่อการเชื่อมโยงอย่างไร้รอยต่อ (Connectivity) การเร่งพัฒนาอย่างรอบด้านเพื่อมุ่งสู่อนุภูมิภาคที่มีขีดความสามารถในการแข่งขันสูง (Competitiveness) และการผลักดันให้ GMS เป็นประชาคมที่มีอนาคตร่วมกัน มีความมั่งคั่ง และยั่งยืน (Community) รวมทั้งได้เสนอแผนการทำงานในช่วง ๕ ปีข้างหน้าและในระยะยาวเพื่อรับมือกับความท้าทายและสภาพแวดล้อมที่ต้องเผชิญในอนาคตในประเด็นสำคัญ ๆ เช่น ร่วมมือกันพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อรับมือกับวิวัฒนาการของโลกที่เปลี่ยนแปลงไป พัฒนาโครงข่ายคมนาคมขนส่งให้มีคุณภาพ และใช้ประโยชน์ให้เต็มที่ และร่วมมือกันดำเนินการตามความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (CBTA) ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม เป็นต้น ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการตามแผนการดำเนินงานในระยะเร่งด่วนเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานตามแผนงานการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ๖ ประเทศ ให้บรรลุตามเจตนารมณ์ของผู้นำ ๖ ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ที่ต้องการให้เกิดการเชื่อมโยงแบบไร้รอยต่อ (Connectivity) ทั้งในด้านการจัดทำโครงสร้างพื้นฐานและการปรับปรุงกฎระเบียบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อส่งเสริมให้มูลค่าทางเศรษฐกิจในภาพรวมของอนุภูมิภาคเพิ่มมากยิ่งขึ้นต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1205 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลทับใต้ อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พ.ศ. .... | คค | 27/03/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลทับใต้ อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างสะพานข้ามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๗ บริเวณทางหลวงชนบท ปข.๒๐๕๒ และทางหลวงชนบท ปข.๒๐๕๗ เพื่ออำนวยความสะดวกและความรวดเร็วแก่การจราจรและการขนส่งอันเป็นกิจการสาธารณูปโภค และเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจ และเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ขอให้กระทรวงคมนาคมให้ความสำคัญกับการพิจารณาผลกระทบด้านการระบายน้ำภายหลังจากการก่อสร้าง เพื่อมิให้เกิดปัญหาเรื่องการระบายน้ำในพื้นที่บริเวณดังกล่าวในอนาคต และในการเสนอร่างพระราชกฤษฎีกาเวนคืนที่ดินในระยะต่อไป กรมทางหลวงชนบทควรพิจารณาจัดลำดับความสำคัญในการปรับปรุง/พัฒนาโครงข่ายถนนในความรับผิดชอบตามความจำเป็นเร่งด่วนและความพร้อมในการดำเนินการ เพื่อให้การลงทุนของภาครัฐเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1206 | ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์การวินิจฉัยปัญหาโดยที่ประชุมใหญ่หรือที่ประชุมแผนกคดีของศาลชั้นอุทธรณ์และศาลฎีกา และให้ผู้ซึ่งมีหน้าที่เข้าร่วมในการประชุมได้รับเบี้ยประชุมตามระเบียบที่คณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรมกำหนด) | ศย | 27/03/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์การวินิจฉัยปัญหาโดยที่ประชุมใหญ่หรือที่ประชุมแผนกคดีของศาลชั้นอุทธรณ์และศาลฎีกา และให้ผู้ซึ่งมีหน้าที่เข้าร่วมในการประชุมได้รับเบี้ยประชุมตามระเบียบคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรมกำหนด) มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการในการประชุมใหญ่และการประชุมแผนกคดีของศาลชั้นอุทธรณ์และศาลฎีกา รวมทั้งองค์ประชุม และกำหนดให้ผู้ซึ่งมีหน้าที่เข้าร่วมประชุมดังกล่าวได้รับเบี้ยประชุม ตามที่สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังในประเด็นการกำหนดให้การประชุมใหญ่และการประชุมแผนกคดีของศาลชั้นอุทธรณ์และศาลฎีกาได้รับเบี้ยประชุมอาจมีความซ้ำซ้อนกับระเบียบคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรมว่าด้วยเบี้ยประชุมในการประชุมใหญ่และการประชุมแผนกคดีในศาลฎีกาและศาลชั้นอุทธรณ์ พ.ศ. ๒๕๖๐ ที่มีอยู่แล้ว ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. ให้สำนักงานศาลยุติธรรมรับข้อสังเกตของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการกำหนดให้ผู้มีหน้าที่เข้าร่วมประชุมที่ไม่ใช่ผู้พิพากษาได้รับเบี้ยประชุม ควรคำนึงถึงความเหมาะสมของภาระงานในการอำนวยความยุติธรรมที่จะต้องเป็นไปโดยรวดเร็ว เป็นธรรม ไม่เลือกปฏิบัติ และไม่มีลักษณะการขัดกันแห่งผลประโยชน์และความซ้ำซ้อนของการได้รับค่าตอบแทนในการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว ตลอดจนความเหลื่อมล้ำในภาพรวมของระบบค่าตอบแทนบุคลากรภาครัฐอันหมิ่นเหม่ที่อาจขัดต่อหลักความเป็นธรรมทางสังคม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1207 | การปรับปรุงกลไกการทบทวนนโยบายการค้าขององค์การการค้าโลก | พณ | 27/03/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการขยายกำหนดระยะเวลาการทบทวนนโยบายการค้าของประเทศสมาชิกองค์การการค้าโลก (World Trade Organization : WTO) ทุกประเทศ รวมทั้งประเทศไทยออกไปรอบละ ๑ ปี (จากเดิมทุกระยะ ๔ ปี เป็นทุกระยะ ๕ ปี) และจะมีผลใช้บังคับในวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๒ ตามมติที่ประชุมคณะมนตรีใหญ่ (General Council) เนื่องจากจำนวนสมาชิก WTO เพิ่มขึ้นจากเดิม ฝ่ายเลขาธิการ WTO ซึ่งเป็นผู้จัดทำรายงานการทบทวนนโยบายทางการค้า มีทรัพยากรและบุคลากรจำกัดไม่สามารถจัดทำรายงานฯ ได้ตามกรอบเวลาเดิม ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรแจ้งการขยายกำหนดระยะเวลาการทบทวนนโยบายการค้าดังกล่าวให้หน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องรับทราบอย่างทั่วถึง เพื่อประโยชน์ในการศึกษานโยบายการค้าของแต่ละประเทศ และควรประสานการทำงานอย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การจัดทำรายงานการทบทวนนโยบายทางการค้าของไทยเป็นไปอย่างถูกต้อง รัดกุม และครอบคลุมมิติต่าง ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับประเด็นด้านการค้ามากยิ่งขึ้น ไปดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1208 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ 1/2561 | กค | 27/03/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ครั้งที่ ๑/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๖๑ และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติ คนร. อย่างเคร่งครัด ตามที่สำนักงานคนร. ในฐานะฝ่ายเลขานุการ คนร. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รายงานความคืบหน้าร่างพระราชบัญญัติการพัฒนาการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. .... ซึ่งอยู่ในระหว่างการตรวจพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการพัฒนาการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. .... ฯ โดยคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ได้มีมติแต่งตั้งคณะอนุกรรมาธิการศึกษาแนวทางการปรับปรุงร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว รวมทั้งจัดสัมมนาสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง และนำเสนอต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ อีกครั้งหนึ่ง ๑.๒ การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการกำกับดูแลกิจการที่ดีและพัฒนาระบบธรรมาภิบาลในรัฐวิสาหกิจ โดย คนร. ได้มีมติแต่งตั้งคณะอนุกรรมการดังกล่าวเพื่อยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจให้เหมาะสมกับบริบททางเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปและสอดคล้องกับมาตรฐานในการกำกับดูแลกิจการที่ดีในระดับสากล โดยมีอำนาจหน้าที่ในการศึกษาและวิเคราะห์ระบบการกำกับดูแลและระบบธรรมาภิบาลของรัฐวิสาหกิจ รวมถึงสภาพปัญหาและอุปสรรคในการกำกับดูแลติดตามผลการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจในปัจจุบัน รวมทั้งเสนอแนะแนวทางการพัฒนาระบบการกำกับดูแลและธรรมาภิบาลของรัฐวิสาหกิจให้เหมาะสม เพื่อให้การบริหารงานของรัฐวิสาหกิจเป็นไปอย่างโปร่งใส มีธรรมาภิบาลที่ดี และมีประสิทธิภาพสูงสุด ๑.๓ การแก้ไขปัญหารัฐวิสาหกิจ ๗ แห่ง พบว่าธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทยที่มีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เข้าสู่กระบวนการแก้ไขปัญหาองค์กรจนถึงปัจจุบัน คนร. จึงมีมติให้ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทยออกจากแผนการแก้ไขปัญหาองค์กร และมอบหมายให้กระทรวงการคลังกำกับติดตามการดำเนินงานต่อไป สำหรับรัฐวิสาหกิจอีก ๖ แห่ง ได้แก่ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ การรถไฟแห่งประเทศไทย และบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) มอบหมายให้รัฐวิสาหกิจเร่งดำเนินการตามแผนฟื้นฟูองค์กร และให้กระทรวงเจ้าสังกัดกำกับและติดตามการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่ง ๒. ให้กระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรดำเนินการให้เป็นไปตามแนวทางและกรอบเวลาที่ คนร. มอบหมาย เพื่อให้กระบวนการกำกับดูแลและการแก้ไขปัญหาของรัฐวิสาหกิจ โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาภาระหนี้สิน ตลอดจนการจัดตั้งและบริหารจัดการบริษัทลูกเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1209 | ขออนุมัติโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน และการกำหนด "พื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก" เพิ่มเติม | อก | 27/03/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม ๓ สนามบิน (ท่าอากาศยานดอนเมือง ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และท่าอากาศยานอู่ตะเภา) ในรูปแบบ PPP Net Cost โดยภาครัฐลงทุนค่างานจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน และภาคเอกชนลงทุนค่างานโยธา ค่างานระบบรถไฟฟ้าและขบวนรถไฟฟ้า ค่าพัฒนาพื้นที่เพื่อสนับสนุนบริการรถไฟและบริการผู้โดยสาร และค่าจ้างที่ปรึกษาโครงการ รวมทั้งดำเนินงานบริหารและซ่อมบำรุงโครงการ โดยให้เอกชนร่วมลงทุนรวมเป็นเวลา ๕๐ ปี และเอกชนเป็นผู้จัดเก็บค่าโดยสารและความเสี่ยงด้านจำนวนผู้โดยสารของโครงการ (Ridership Risk) จัดเก็บรายได้จากการพัฒนาพื้นที่โครงการ ซึ่งคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (กนศ.) ทั้งนี้ ให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามขั้นตอนของประกาศ กนศ. โดยเคร่งครัดต่อไป ๑.๒ อนุมัติให้ รฟท. มีอำนาจร่วมลงทุนกับเอกชนที่ได้รับคัดเลือก โดยรายละเอียดของการร่วมลงทุนอยู่ภายใต้หลักการของโครงการรถไฟความเร็วสูงฯ ที่ได้อนุมัติไว้ ๑.๓ อนุมัติค่างานที่เกี่ยวข้องกับการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินและค่าสำรวจอสังหาริมทรัพย์โครงการรถไฟความเร็วสูงฯ ในกรอบวงเงินจำนวน ๓,๕๗๐.๒๙ ล้านบาท โดยให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณให้ รฟท. ตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อการใช้จ่ายเงินจริงต่อไป ๑.๔ อนุมัติกรอบวงเงินที่รัฐร่วมลงทุนกับเอกชน ในวงเงินไม่เกิน ๑๑๙,๔๒๕.๗๕ ล้านบาท ที่เป็นมูลค่าปัจจุบันตามที่ตกลงในสัญญาร่วมลงทุน โดยทยอยจ่ายให้เอกชนหลังจากเริ่มเปิดเดินรถไฟความเร็วสูงฯ ทั้งระบบแล้ว และแบ่งจ่ายเป็นรายปี โดยกำหนดระยะเวลาแบ่งจ่ายไม่ต่ำกว่า ๑๐ ปี โดยให้กำหนดเงื่อนไขการชำระเงินที่รัฐร่วมลงทุนกับเอกชนตามผลการดำเนินงาน เกณฑ์ประเมินผลผลิตที่เอกชนต้องส่งมอบ (Output Specification) ระดับในการบริการ (Level of Service) และระยะทางของการเดินรถไฟความเร็วสูงฯ ทั้งนี้ กรณีมีเหตุจำเป็น อาจให้ทยอยจ่ายเงินดังกล่าวให้เอกชนหลังจากเริ่มเปิดเดินรถไฟความเร็วสูงฯ บางส่วน โดยแบ่งจ่ายเงินที่รัฐร่วมลงทุนกับเอกชนตามระยะทางของการเดินรถไฟความเร็วสูงฯ โดยในกรณีดังกล่าว กนศ.จะเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบ ๑.๕ เห็นชอบให้รัฐบาลรับภาระหนี้โครงสร้างพื้นฐานของโครงการแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ ของ รฟท. เป็นจำนวนเงิน ๒๒,๕๕๘.๐๖ ล้านบาท ๑.๖ เห็นชอบให้พื้นที่โครงการรถไฟความเร็วสูงฯ ตั้งแต่สนามบินดอนเมืองถึงสุดเขตกรุงเทพฯ และรวมถึงสถานีสุวรรณภูมิ ซึ่งเป็นพื้นที่ภายนอกระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก เป็นพื้นที่ “ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก” เพิ่มเติม ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๒/๒๕๖๐ เรื่อง การพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ๑.๗ มอบหมายให้กระทรวงคมนาคม กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ รฟท. สำนักงานเพื่อการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (สกรศ.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรม โดย สกรศ. รฟท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน ๔ ประเด็น ได้แก่ (๑) แนวทางการร่วมลงทุนกับภาคเอกชน (๒) การคำนึงถึงผลกระทบต่อโครงการลงทุนอื่นที่อยู่ภายในพื้นที่ตามแนวเส้นทางโครงการรถไฟความเร็วสูงฯ (๓) การกำหนดให้พื้นที่ของโครงการรถไฟความเร็วสูงฯ บางส่วน เป็นพื้นที่ “ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก” เพิ่มเติม และ (๔) การกำกับดูแลและติดตามภาระผูกพันงบประมาณของภาครัฐจากการร่วมลงทุน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้อง เหมาะสม เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ มติคณะรัฐมนตรี และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ เมื่อร่างพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. .... มีผลใช้บังคับ ให้กระทรวงอุตสาหกรรม โดย สกรศ. พิจารณาดำเนินการให้ถูกต้องและสอดคล้องกับบทบัญญัติของร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวอย่างเคร่งครัดต่อไปด้วย ๓. ให้ รฟท. ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ (เรื่อง การปรับปรุงแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณและมาตรการอื่นที่เกี่ยวข้อง) ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และอนุมัติให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๕๐ (เรื่อง การขออนุมัติกู้เงินเพื่อใช้ในโครงการระบบขนส่งทางรถไฟเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและสถานีรับส่งผู้โดยสารอากาศยานในเมืองและการขอให้รัฐบาลรับภาระโครงสร้างพื้นฐานของการรถไฟแห่งประเทศไทย) ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ๔. ให้กระทรวงอุตสาหกรรม โดย สกรศ. ร่วมกับ รฟท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้และความเข้าใจแก่ประชาชนเกี่ยวกับการดำเนินโครงการรถไฟความเร็วสูงฯ ในด้านต่าง ๆ ให้ถูกต้องและทั่วถึงด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1210 | การประชุมสุดยอดผู้นำแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง 6 ประเทศ ครั้งที่ 6 (6th GMS Summit) ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม | นร11 | 27/03/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบประเด็นหารือของไทยและเอกสารที่จะมีการรับรองในการประชุมสุดยอดผู้นำแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ๖ ประเทศ (The Greater Mekong Subregion Economic Coordination : GMS) ครั้งที่ ๖ ระหว่างวันที่ ๒๙-๓๑ มีนาคม ๒๕๖๑ ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม โดยประเด็นหารือของไทยในการประชุม GMS ได้แก่ (๑) กรอบการลงทุนของภูมิภาค ปี ๒๕๖๕ (Regional Investment Framework : RIF2022) (๒) โครงสร้างพื้นฐานคมนาคมขนส่ง (๓) นโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (East Economic Corridor : EEC) (๔) การซื้อขายไฟฟ้าในอนุภูมิภาค GMS (๕) การส่งเสริมการลงทุนให้กับภาคเอกชนในภูมิภาค และ (๖) การดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมและการบริหารจัดการภัยพิบัติ สำหรับเอกสารที่จะมีการรับรองโดยไม่มีการลงนามในการประชุม GMS ได้แก่ ๑.๑.๑ ร่างแถลงการณ์ระดับผู้นำ ๖ ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ครั้งที่ ๖ (Joint Summit Declaration : JSD) มีสาระสำคัญเป็นการแสดงความชื่นชมยินดีต่อการดำเนินงานตามแผนงาน GMS ในช่วงระยะเวลา ๒๕ ปีที่ผ่านมา และเน้นย้ำถึงแนวทางการดำเนินงานของแผนงาน GMS ในอนาคตว่าจะดำเนินการตามยุทธศาสตร์ 3Cs [ความเชื่อมโยง (Connectivity) ความสามารถในการแข่งขัน (Competitiveness) และประชาสังคม (Community)] เพื่อขับเคลื่อนให้อนุภูมิภาค GMS เป็นภูมิภาคที่มั่งคั่งและยั่งยืน ๑.๑.๒ ร่างแผนปฏิบัติการฮานอยปี ๒๕๖๑-๒๕๖๕ (Hanoi Action Plan 2018-2022) มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน GMS เช่น การเตรียมแผนแม่บทเชิงพื้นที่ การจัดลำดับความสำคัญของการดำเนินกิจกรรมของแต่ละสาขาความร่วมมือ และการปรับปรุงระบบการติดตามและประเมินผลเพื่อให้ GMS สามารถตอบสนองต่อความต้องการของประเทศสมาชิกในบริบทที่เปลี่ยนแปลงไปได้ ๑.๑.๓ กรอบการลงทุนในภูมิภาค ปี ๒๕๖๕ (Regional Investment Framework 2022 : RIF2022) มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดกรอบการลงทุนในภูมิภาค GMS ทั้ง ๑๐ สาขา ให้มีความสอดคล้องกับร่างแผนปฏิบัติการฮานอย โดยกรอบการลงทุนดังกล่าวประกอบด้วย โครงการความร่วมมือ จำนวน ๒๒๗ โครงการ ในสาขาความร่วมมือ ๑๐ สาขา มูลค่ารวมประมาณ ๖.๖ หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ ๒.๐๘๘ ล้านล้านบาท ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1211 | ร่างพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร | 20/03/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับร่างพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรม (ตำรวจ) เสนอ ไปตรวจพิจารณา โดยให้รับข้อสังเกตของนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยตำรวจแห่งชาติควรพิจารณาในประเด็น (๑) โครงสร้างขององค์กร ควรพิจารณาจัดกลุ่มงานตามภารกิจเพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชน (๒) ระบบการทำงาน ควรมีการจำกัดการใช้ดุลพินิจเพื่อป้องกันการเรียกรับสินบน และควรมีบทเพิ่มโทษสำหรับเจ้าพนักงานตำรวจที่กระทำผิด ปรับปรุงระบบการสอบสวนคดีอาญาให้มีการตรวจสอบ และถ่วงดุลระหว่างพนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการอย่างเหมาะสม (๓) การบริหารงานบุคคล ควรพิจารณาให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณาแต่งตั้งตามชั้นยศ โดยเทียบเคียงกับการพิจารณาแต่งตั้งข้าราชการทหาร โดยการแต่งตั้งและโยกย้ายต้องคำนึงถึงความเป็นธรรม และให้มีการร้องเรียนได้ และความเห็นของที่ประชุมร่วมระหว่างรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการปฏิรูปประเด็นด้านกระบวนการยุติธรรม (ตำรวจ) และผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่เห็นควรให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ตรวจพิจารณาไปพลางก่อน ทั้งนี้ เพื่อรอร่างกฎหมายที่เกี่ยวกับภารกิจ อำนาจหน้าที่ การบังคับใช้กฎหมายที่มีโทษทางอาญาและระบบการสอบสวนคดีอาญาของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรม (ตำรวจ) รวมทั้งความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงบประมาณเกี่ยวกับการพิจารณาปรับปรุงการเพิ่มอัตราเงินเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราว เงินเพิ่มพิเศษรายเดือน เงินเพิ่มสำหรับตำแหน่งที่ประจำอยู่ในต่างประเทศหรือตำแหน่งที่มีเหตุพิเศษ และเงินเพิ่มอื่นหรือเงินช่วยเหลือ เป็นประจำทุกห้าปี จะต้องคำนึงถึงความสอดคล้องและเหมาะสมกับสภาวะทางเศรษฐกิจ การดำรงชีพที่เปลี่ยนแปลงไป และเทียบเคียงได้กับเจ้าหน้าที่ของรัฐประเภทอื่น ๆ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนี่ง พร้อมกับความเห็นของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติซึ่งจะได้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ในส่วนของการบริหารงานบุคคล และร่างพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่เกี่ยวกับภารกิจ อำนาจหน้าที่ การบังคับใช้กฎหมายที่มีโทษทางอาญาและระบบการสอบสวนคดีอาญาของเจ้าหน้าที่ตำรวจ มาประกอบการพิจารณาในคราวเดียวกัน ๒. ให้คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรม (ตำรวจ) เร่งรัดการจัดทำแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว แล้วส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาโดยด่วนต่อไป ๓. ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรกำหนดให้คณะกรรมการข้าราชการตำรวจที่กำหนดไว้ในร่างพระราชบัญญัติฯ พิจารณาการปรับปรุงอัตราค่าครองชีพและเงินเพิ่มต่าง ๆ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1212 | การปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2561 ครั้งที่ 1 | กค | 20/03/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติและรับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ (แผนฯ) ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๑ ครั้งที่ ๑ ที่มีวงเงินปรับเพิ่มขึ้นสุทธิ ๘๕,๙๐๖.๔๒ ล้านบาท จากเดิม ๑,๕๐๒,๙๗๗.๐๖ ล้านบาท เป็น ๑,๕๘๘,๘๘๓.๔๘ ล้านบาท ๑.๒ รับทราบการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่ต้องขออนุมัติคณะรัฐมนตรีภายใต้กรอบแผนฯ ที่มีวงเงินปรับเพิ่มขึ้น ๙,๘๓๐.๑๑ ล้านบาท จากเดิม ๑๖๑,๔๓๓.๔๕ ล้านบาท เป็น ๑๗๑,๒๖๓.๕๖ ล้านบาท ๑.๓ อนุมัติการกู้เงินของรัฐบาลเพื่อการก่อหนี้ใหม่ การกู้มาและการนำไปให้กู้ต่อ และการค้ำประกันเงินกู้ให้กับรัฐวิสาหกิจ ตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมทั้งอนุมัติการกู้เงินของรัฐวิสาหกิจเพื่อดำเนินโครงการลงทุนและการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ ตามนัยข้อ ๓.๔ ภายใต้กรอบวงเงินของแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๑ ปรับปรุงครั้งที่ ๑ ๑.๔ อนุมัติให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไขและรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงิน การค้ำประกันและการบริหารความเสี่ยงในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น ภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๑ ปรับปรุงครั้งที่ ๑ ทั้งนี้ หากรัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการกู้เงินได้เอง ก็ให้สามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ ๑.๕ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมอบหมาย เป็นผู้ลงนามผูกพันการกู้เงินและหรือการค้ำประกันเงินกู้และเอกสารที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะรายงานผลการดำเนินการตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะดังกล่าวตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๙ ๑.๖ รับทราบผลการติดตามการบริหารจัดการระบายยางพาราคงค้างของการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) พร้อมทั้งมอบหมายให้ กยท. ดำเนินการตรวจสอบปริมาณและคุณภาพยางพาราคงเหลือ และดำเนินการจำหน่ายยางพาราในระดับราคาที่เหมาะสม โดยไม่ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรผู้ปลูกยางพารา และให้ กยท. รายงานผลการดำเนินงานให้คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะและคณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะต่อไป ๒. ให้ กยท. เร่งดำเนินการตามความเห็นของคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะที่เห็นควรให้ กยท. ดำเนินการตรวจสอบปริมาณและคุณภาพยาง และดำเนินการจำหน่ายยางพาราคงค้างของโครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนรักษาเสถียรภาพราคายาง และโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายางออกสู่ตลาด โดยเร็วต่อไป โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำกับและติดตามการดำเนินงานของ กยท. อย่างใกล้ชิด ๓. ให้กระทรวงเจ้าสังกัดและหน่วยงานเจ้าของวงเงินกู้ ทั้งในส่วนของการดำเนินการตามแผนงานปกติและการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการที่ใช้จ่ายจากงบประมาณตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ กำกับและติดตามการดำเนินแผนงาน/โครงการให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดอย่างเคร่งครัด โปร่งใส และตรวจสอบได้ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นควรมีการกำกับ ติดตาม และเร่งรัดหน่วยงานดำเนินโครงการตามแผนและใช้จ่ายเงินตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ เพื่อให้การใช้จ่ายเงินกู้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวม ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๔. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาความเหมาะสมของระดับหนี้สาธารณะที่สอดคล้องกับบริบทของประเทศที่อยู่ระหว่างการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางเศรษฐกิจซึ่งมีความจำเป็นที่จะต้องมีการลงทุนในแผนงาน/โครงการขนาดใหญ่อย่างต่อเนื่องตามเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ ๕. ให้กระทรวงการคลังร่วมกับสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำประมาณการการคลัง ซึ่งรวมถึงหนี้สาธารณะและงบประมาณในระยะปานกลางและระยะยาวที่สะท้อนกรอบการลงทุนในภาพรวมของประเทศ รวมถึงพื้นที่การคลังที่เหลือ (fiscal space) และให้รายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบ เพื่อใช้ในการกำหนดกรอบแนวทางการพิจารณาจัดสรรแหล่งเงินทุนที่เหมาะสมในการดำเนินโครงการขนาดใหญ่ของรัฐบาล และเพื่อให้ภาพรวมของการบริหารงบประมาณและระดับหนี้สาธารณะเป็นไปด้วยความเหมาะสม ทั้งนี้ ให้ทุกหน่วยงานจัดทำภาพรวมการใช้จ่ายที่เป็นภาระผูกพันในระยะยาวโดยเฉพาะโครงการลงทุนภาครัฐ โดยให้ครอบคลุมทุกแหล่งเงินในมิติต่าง ๆ เช่น โครงสร้างพื้นฐาน/การบริหารจัดการน้ำ โดยคำนึงถึงการดำเนินงานให้บรรลุตามเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศที่กำหนดไว้ และนำเสนอภาพรวมการใช้จ่ายดังกล่าวต่อกระทรวงการคลังเพื่อรวบรวมข้อมูลโดยเร็วต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1213 | โครงการสินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉิน ระยะที่ 2 ของธนาคารออมสิน | กค | 20/03/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบหลักเกณฑ์และเงื่อนไขโครงการสินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉิน ระยะที่ ๒ ของธนาคารออมสิน โดยให้สินเชื่อแก่ประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่มีความจำเป็นต้องใช้จ่ายเงินฉุกเฉินเพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนภายในครอบครัว วงเงินสินเชื่อรวมไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท วงเงินสินเชื่อต่อรายไม่เกิน ๕๐,๐๐๐ บาท ระยะเวลาการให้กู้ยืมไม่เกิน ๕ ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ไม่เกินร้อยละ ๐.๘๕ ต่อเดือน และอนุมัติวงเงินงบประมาณที่ใช้ในโครงการฯ เป็นวงเงินงบประมาณสูงสุดไม่เกิน ๔,๐๐๐ ล้านบาท โดยให้ธนาคารออมสินทำความตกลงกับสำนักงบประมาณเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณเป็นรายปีตามความเหมาะสมและความจำเป็นต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลัง (ธนาคารออมสิน) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นควรให้กระทรวงการคลังกำกับดูแลธนาคารออมสินพิจารณาอนุมัติสินเชื่อด้วยความรอบคอบและระมัดระวังเพื่อมิให้เกิดภาระหนี้เสีย หรือหนี้สงสัยจะสูญ รวมทั้งให้ธนาคารออมสินมีส่วนร่วมรับผิดชอบในการดำเนินโครงการฯ และควรมีมาตรการดำเนินการบริหารสินเชื่อให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ควรกำหนดแนวทางการบริหารความเสี่ยงและการประเมินความเสี่ยงที่ชัดเจน รวมถึงติดตามผลกระทบของโครงการฯ อย่างใกล้ชิดเพื่อดูแลรักษาคุณภาพของลูกหนี้ในภาพรวม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ในการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อให้แก่ผู้มีรายได้น้อยที่เข้าร่วมโครงการฯ ของธนาคารออมสิน ให้กระทรวงการคลัง (ธนาคารออมสิน) พิจารณาดำเนินการด้วยความรอบคอบและระมัดระวังเพื่อป้องกันการเกิดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing loan : NPL) และปัญหาการปล่อยสินเชื่อไม่เหมาะสม (moral hazard) ซึ่งจะเป็นภาระต่องบประมาณของภาครัฐเกินความจำเป็น ทั้งนี้ ในการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ กระทรวงการคลัง (ธนาคารออมสิน) จะต้องระมัดระวังไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนกับการอนุมัติสินเชื่อในโครงการสินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉิน ระยะที่ ๒ ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และให้พิจารณาอนุมัติสินเชื่อให้แก่ผู้มีรายได้น้อยที่ยังไม่เคยเข้าร่วมโครงการฯ ในระยะที่ ๑ เป็นลำดับแรกก่อนเพื่อความเป็นธรรม ๔. ให้กระทรวงการคลังติดตามการดำเนินโครงการฯ ทั้งในส่วนของ ธ.ก.ส. และธนาคารออมสินอย่างใกล้ชิด รวมทั้งให้มีระบบตรวจสอบที่รัดกุมและโปร่งใส และให้พิจารณานำข้อมูลผู้เข้าร่วมโครงการฯ มาเปรียบเทียบกับฐานข้อมูลผู้มีรายได้น้อยของกระทรวงการคลังเพื่อประโยชน์ในการปรับปรุงฐานข้อมูลดังกล่าวให้ถูกต้องครบถ้วนและสอดคล้องกัน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1214 | สรุปผลการดำเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2561 และข้อเสนอเพื่อขับเคลื่อนงานด้านความปลอดภัยทางถนน | มท | 13/03/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนรายงานสรุปผลการดำเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๖๑ ในช่วงการรณรงค์เทศกาลปีใหม่ ๒๕๖๑ ระหว่างวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๖๐-๓ มกราคม ๒๕๖๑ (รวม ๗ วัน) เปรียบเทียบกับปี ๒๕๖๐ พบว่า จำนวนครั้งการเกิดอุบัติเหตุลดลงร้อยละ ๑.๔๙ ผู้บาดเจ็บลดลงร้อยละ ๑.๕๕ ผู้เสียชีวิตลดลงร้อยละ ๑๑.๕๑ จังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด คือ จังหวัดอุดรธานี เชียงใหม่ เชียงราย จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสูงสุด คือ จังหวัดนครราชสีมา ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี และรถที่เกิดเหตุสูงสุด คือ รถจักรยานยนต์ รองลงมา คือ รถปิคอัพ ในการนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน ได้มีข้อเสนอเพื่อขับเคลื่อนงานด้านความปลอดภัยทางถนน เช่น (๑) ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องบังคับใช้กฎหมายอย่างต่อเนื่อง โดยให้ความสำคัญกับการส่งเสริมวินัยจราจร การสร้างการรับรู้ของประชาชนในประเด็น “ดื่มไม่ขับ ไม่ขับรถเร็วเกินกว่ากฎหมายกำหนด และการใช้อุปกรณ์นิรภัยในระหว่างการเดินทาง” ควบคู่กับการรณรงค์ประชาสัมพันธ์ในทุกช่องทาง อย่างจริงจังและต่อเนื่อง (๒) การสนับสนุนงบประมาณ บุคลากร เครื่องมือ อุปกรณ์ต่าง ๆ ให้เพียงพอ รวมถึงส่งเสริมให้มีการนำเทคโนโลยีนวัตกรรมใหม่ ๆ มาใช้ประกอบการบังคับใช้กฎหมาย เช่น เครื่องตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ เครื่องตรวจจับความเร็ว (๓) ให้ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนจังหวัด ผลักดันให้มีการจัดตั้งศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ครบทุกพื้นที่เพื่อขับเคลื่อนนโยบายไปสู่การปฏิบัติให้เกิดผลเป็นรูปธรรม เป็นต้น ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงคมนาคม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อเสนอเพื่อขับเคลื่อนงานด้านความปลอดภัยทางถนนตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนเสนอ และความเห็นของกระทรวงสาธารณสุขที่เห็นควรให้มีกฎหมายคุ้มครองเจ้าหน้าที่ของโรงพบาบาลให้สามารถเก็บตัวอย่างเลือดผู้ขับขี่ทุกรายที่เข้ามาทำการรักษาในโรงพยาบาลได้โดยเร็ว รวมทั้งกำหนดระเบียบ ขั้นตอนการปฏิบัติ และผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการตรวจวัดที่ชัดเจน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ในครั้งต่อ ๆ ไป ให้ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนรายงานผลการดำเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนเป็นรายไตรมาส เพื่อให้สามารถนำข้อมูลมาเปรียบเทียบกับผลการดำเนินการในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา เพื่อสร้างการรับรู้และความเข้าใจกับประชาชนได้อย่างถูกต้องและต่อเนื่องต่อไป ๔. ให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับกระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบข้อมูลที่เกี่ยวข้องและพิจารณาความจำเป็นและเหมาะสมในการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดอัตราความเร็วของยานพาหนะในสายทางต่าง ๆ เช่น ทางด่วน ทางหลวงแผ่นดิน ทางหลวงชนบท ถนนในเขตชุมชน เป็นต้น ให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงของการสัญจรในแต่ละกรณีต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการติดตั้งป้ายกำหนดความเร็วของยานพาหนะในสายทางต่าง ๆ ดังกล่าวให้ชัดเจนและทั่วถึงด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1215 | ร่างกฎกระทรวงการขอและการออกใบอนุญาตจัดตั้งสนามบิน พ.ศ. .... | คค | 13/03/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างกฎกระทรวงการขอและการออกใบอนุญาตจัดตั้งสนามบิน พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการขอและการออกใบอนุญาตจัดตั้งสนามบินเสียใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติการเดินอากาศ พ.ศ. ๒๔๙๗ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการเดินอากาศ (ฉบับที่ ๑๑) พ.ศ. ๒๕๕๑ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำหนดแนวทางและหลักเกณฑ์ประกอบการพิจารณาประกาศกำหนดสนามบินอนุญาตเพื่อเปิดให้บริการแก่สาธารณะ เพื่อรองรับกรณีส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐจะขออนุญาตจัดตั้งสนามบินเพื่อเปิดให้บริการแก่สาธารณะ รวมทั้งเร่งรัดจัดทำแผนแม่บทการจัดตั้งสนามบินพาณิชย์ให้แล้วเสร็จโดยเร็วเพื่อนำมาเป็นแนวทางหรือหลักเกณฑ์ประกอบการพิจารณากำหนดหรืออนุญาตจัดตั้งสนามบินแห่งใหม่ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1216 | ข้อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย กรณีการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. .... ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน | อก | 13/03/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับข้อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย กรณีการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. .... ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ โดยผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการดังกล่าวกระทรวงอุตสาหกรรมได้หารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว รวมทั้งกระทรวงคมนาคมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้เห็นชอบด้วยแล้ว โดยสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติมีความเห็นเพิ่มเติมว่า เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติที่อาจทำให้เกิดผลกระทบต่อสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนในระดับพื้นที่ กระทรวงอุตสาหกรรมควรให้ความสำคัญกับการสร้างความรู้ความเข้าใจกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะประชาชนในพื้นที่อย่างทั่วถึงและต่อเนื่อง ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ โดยให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย และให้แจ้งคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1217 | ร่างพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การปรับปรุงการจัดเก็บภาษีเงินได้ปิโตรเลียม) | นร | 13/03/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๖๑ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1218 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการพัฒนาผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ) | กค | 06/03/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการพัฒนาผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ) มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้นายจ้างที่เป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสามารถนำรายจ่ายค่าจ้างที่จ่ายให้แก่ลูกจ้างผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยการจ่ายค่าจ้างผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ มาหักเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลได้เป็นจำนวน ๑.๕ เท่าของค่าจ้างที่จ่ายให้แก่ลูกจ้างผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เฉพาะในส่วนที่ไม่เกินร้อยละ ๑๐ ของจำนวนลูกจ้างในบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้น สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๑ จนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๒ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีดังกล่าวให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก รวมทั้งจัดให้มีการติดตามและประเมินผลการดำเนินการตามมาตรการภาษีดังกล่าว เพื่อเป็นแนวทางในการปรับปรุงให้มีความเหมาะสมกับสถานการณ์ และรายงานผลการดำเนินการตามมาตรการให้คณะรัฐมนตรีทราบต่อไปด้วย นอกจากนี้ ควรมุ่งเน้นให้มีการจ้างงานผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐในลักษณะการจ้างงานระยะยาวหรือเป็นพนักงานประจำเพื่อสนับสนุนให้คุณภาพชีวิตของผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐได้รับการพัฒนาอย่างยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1219 | ผลการประชุมแนวทางปรับปรุงคูน้ำริมถนนวิภาวดี คลองเปรมประชากร บึงมักกะสัน เพื่อพัฒนาระบบระบายน้ำ พัฒนาชุมชนคลองเปรมประชากร และบึงมักกะสัน | นร04 | 06/03/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) รายงานผลการประชุมร่วมกับผู้ที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับแนวทางการปรับปรุงคูน้ำริมถนนวิภาวดี คลองเปรมประชากร บึงมักกะสัน เพื่อพัฒนาระบบระบายน้ำ พัฒนาชุมชนคลองเปรมประชากร และบึงมักกะสัน เมื่อวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๖๑
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1220 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดวิธีการและอัตราที่ผู้รับอนุญาตปลูกสร้างอาคารหรือสิ่งอื่นใดล่วงล้ำลำแม่น้ำต้องเสียค่าตอบแทนเป็นรายปี พ.ศ. .... | คค | 27/02/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดวิธีการและอัตราที่ผู้รับอนุญาตปลูกสร้างอาคารหรือสิ่งอื่นใดล่วงล้ำลำแม่น้ำต้องเสียค่าตอบแทนเป็นรายปี พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงการกำหนดวิธีการและอัตราค่าตอบแทนที่ผู้รับอนุญาตปลูกสร้างอาคารหรือสิ่งอื่นใดล่วงล้ำเข้าไปเหนือน้ำ ในน้ำ และใต้น้ำ ของแม่น้ำ ลำคลอง บึง อ่างเก็บน้ำ ทะเลสาบ อันเป็นทางสัญจรของประชาชนหรือที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน หรือทะเลภายในน่านน้ำไทยหรือบนชายหาดของทะเลดังกล่าว ต้องเสียค่าตอบแทนเป็นรายปี ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑ กำหนดมาตรการควบคุมกำกับดูแลการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการเดินเรือในน่านน้ำไทย ในกรณีการปลูกสร้างอาคารหรือสิ่งอื่นใดล่วงล้ำลำน้ำมิให้เกิดผลกระทบต่อวิถีในการดำรงชีวิต โดยปกติของประชาชนหรืออาจก่อให้เกิดภาระต่อประชาชนจนเกินควร ๒.๒ รับความเห็นของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาดำเนินการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมสำหรับทุ่นหรือหลักผูกเรือสำราญและกีฬาตามมาตรา ๑๑๓ แห่งพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พระพุทธศักราช ๒๔๕๖ และความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับผู้ที่ได้รับยกเว้นหรือลดหย่อนการเสียค่าตอบแทนเป็นรายปีจะต้องมีการดำเนินการตามมาตรการป้องกันแก้ไขปัญหามลพิษที่จะเกิดจากการปลูกสร้างอาคารหรือสิ่งล่วงล้ำลำแม่น้ำอย่างรัดกุม โดยเฉพาะปัญหาน้ำเสียและขยะมูลฝอย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
.....
