ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 65 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 1281 - 1300 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 1281 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้มันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังเป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองและต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. .... | พณ | 21/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้มันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังเป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองและต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงมาตรการจัดระเบียบในการนำเข้ามันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังมาในราชอาณาจักร โดยเพิ่มเติมให้ผู้นำเข้ามันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังต้องแจ้งข้อมูลการนำเข้าต่อกรมการค้าต่างประเทศก่อนนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร และต้องพร้อมให้พนักงานเจ้าหน้าที่เข้าไปในสถานที่เก็บ หรือยานพาหนะที่บรรทุกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง เพื่อตรวจสอบคุณภาพมาตรฐานของสินค้า ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาโดยด่วน โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นควรให้ตัดร่างข้อ ๗ (๔) ออก เนื่องจากการกำหนดการใช้อำนาจของพนักงานเจ้าหน้าที่ในการเข้าไปในสถานที่ทำการ สถานที่ผลิต หรือสถานที่เก็บสินค้า หรือยานพาหนะเพื่อตรวจค้นสินค้าหรือตรวจสอบเป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยให้ความคุ้มครองไว้ให้จำกัดได้เฉพาะเมื่อมีเหตุตามที่กฎหมายบัญญัติเท่านั้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรคำนึงถึงผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศและการปฏิบัติตามพันธกรณีระหว่างประเทศที่ประเทศไทยมีอยู่ รวมทั้งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ การทำความเข้าใจกับผู้ประกอบการ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทราบถึงรายละเอียดของแนวทางการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในประกาศ ตลอดจนเตรียมความพร้อมด้านเครื่องมือสำหรับการตรวจสอบปริมาณมันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังที่นำเข้ามาในประเทศที่แจ้งให้กับกรมการค้าต่างประเทศ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1282 | สรุปรายงานผลการจัดอันดับความยาก - ง่ายในการประกอบธุรกิจของธนาคารโลก Doing Business 2018 | นร12 | 21/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปรายงานผลการจัดอันดับความยาก-ง่ายในการประกอบธุรกิจของธนาคารโลก Doing Business 2018 ได้จัดให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความสะดวกในการประกอบธุรกิจเป็นอันดับที่ ๒๖ จาก ๑๙๐ ประเทศทั่วโลก ปรับดีขึ้น ๒๐ อันดับเมื่อเทียบกับปีที่แล้วซึ่งอยู่ในอันดับที่ ๔๖ โดยประเทศไทยมีผลคะแนนรวมทุกด้าน ๗๗.๔๔ คะแนน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ได้ ๗๒.๕๓ คะแนน จัดเป็นอันดับที่ ๓ ของอาเซียน และเป็น ๑ ใน ๑๐ ประเทศที่มีการปรับปรุงมากที่สุด และมีคะแนนดีขึ้นใน ๖ ด้าน ได้แก่ ด้านการเริ่มต้นธุรกิจ ด้านการขอใช้ไฟฟ้า ด้านการได้รับสินเชื่อ ด้านการคุ้มครองผู้ลงทุนเสียงข้างน้อย ด้านการชำระภาษี และด้านการบังคับให้เป็นไปตามข้อตกลง ส่วนอีก ๔ ด้านมีคะแนนคงที่หรือลดลง ได้แก่ ด้านการขออนุญาตก่อสร้าง ด้านการจดทะเบียนทรัพย์สิน ด้านการค้าระหว่างประเทศ และด้านการแก้ปัญหาการล้มละลาย ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงพลังงานและกระทรวงยุติธรรม เช่น การขับเคลื่อนการอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ (Doing Business) ควรดำเนินการให้ตรงประเด็นที่เป็นอุปสรรคอย่างแท้จริง และยังคงให้ความสำคัญในการปรับปรุงการบริการซึ่งมีอันดับลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับรายงานปีที่ผ่านมา รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรคำนึงถึงการพัฒนาบุคลากรเพื่อรองรับระบบงานที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อให้การปฏิบัติงานเกิดผลสัมฤทธิ์สูงสุด เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1283 | รายงานการขับเคลื่อนการอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ (Doing Business) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 - 2561 | นร12 | 21/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการขับเคลื่อนการอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ (Doing Business) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๑ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามแผนการดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. ผลการขับเคลื่อนการดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ที่สำคัญ ได้แก่ โครงการศึกษาเพื่อขับเคลื่อนการอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ ประกอบด้วย ๒ โครงการย่อย คือ (๑) โครงการศึกษาเพื่อปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับหลักประกันทางธุรกิจและกฎหมายล้มละลาย และ (๒) โครงการศึกษาแนวทางการพัฒนาบริการของรัฐให้มีความง่ายต่อการประกอบธุรกิจ โดยเป็นการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายต่าง ๆ จนนำไปสู่การออกคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๒๑/๒๕๖๐ เรื่อง การแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายเพื่ออำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ ซึ่งช่วยปลดล็อคข้อจำกัดด้านกฎหมายที่เป็นพื้นฐานของการปรับระบบงานเพื่ออำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ ตลอดจนการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการบริการภาคธุรกิจจนเกิดเป็นระบบให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Services) ๒. สำนักงาน ก.พ.ร. ได้รวบรวมแผนการขับเคลื่อนการอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ โดยมีประเด็นที่ต้องเร่งดำเนินการทั้งหมด ๑๑ ด้าน และมีส่วนราชการที่รับผิดชอบในแต่ละด้านรวมทั้งหมด ๑๒ หน่วยงาน ทั้งนี้ แผนการดำเนินการในด้านที่สำคัญ ได้แก่ ระบบจดทะเบียนนิติบุคคลทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Registration) และการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนเป็นอัตราคงที่ (flat rate) ในด้านการเริ่มต้นธุรกิจ และการเปลี่ยนแปลงการแบ่งเขตการใช้ที่ดิน (Zone) และการดำเนินการเพื่อรองรับการจดทะเบียนที่ดิน Online ในด้านการจดทะเบียนทรัพย์สิน รวมถึงด้านการแก้ปัญหาการล้มละลาย ได้มีการปรับปรุงแก้ไขร่างพระราชบัญญัติล้มละลาย ตลอดจนการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการคดีและการบังคับใช้กฎหมายล้มละลาย โดยการใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์และการประสานงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1284 | รายงานผลการประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ปี 2560 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง | กค | 21/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ปี ๒๕๖๐ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๑๒-๑๔ ตุลาคม ๒๕๖๐ ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นหัวหน้าคณะเข้าร่วมการประชุมฯ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. การประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ปี ๒๕๖๐ โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund : IMF) คาดว่า การเติบโตของเศรษฐกิจโลกจะขยายตัวร้อยละ ๓.๖ ในปี ๒๕๖๐ และร้อยละ ๓.๗ ในปี ๒๕๖๑ ซึ่งได้รับผลดีจากการฟื้นตัวของการลงทุน การค้าระหว่างประเทศ และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ทั้งนี้ ธนาคารโลก และ IMF ยังคงเรียกร้องให้ประเทศสมาชิกเร่งดำเนินการอย่างต่อเนื่องในการปรับปรุงโครงสร้างเศรษฐกิจ สังคม และกฎระเบียบภายในประเทศที่เอื้ออำนวยต่อการเติบโตอย่างยั่งยืนและทั่วถึง (Inclusive Growth) ในระยะยาว โดยในส่วนของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้นำเสนอถ้อยแถลงถึงภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้นของไทย ซึ่งเป็นผลจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ ส่งผลให้ประมาณการเศรษฐกิจของไทยในปี ๒๕๖๐ เติบโตในอัตราร้อยละ ๓.๗ และในปีหน้าจากเดิมคาดว่าจะเติบโตร้อยละ ๓.๓ เพิ่มเป็นร้อยละ ๓.๕ ๒. การประชุมร่วมระหว่างประเทศสมาชิกกลุ่มออกเสียงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของธนาคารโลก และ IMF (Joint Meeting of the World Bank-IMF Southeast Asia Group : SEA Group) โดย IMF ได้แนะนำประเทศสมาชิกให้ใช้โอกาสที่สภาวะเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวขึ้นในขณะนี้ เร่งปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจในประเทศให้สมดุล นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญจากธนาคารโลก และ IMF ได้นำเสนอบทบาทที่เพิ่มขึ้นของนวัตกรรมทางการเงินในยุคเศรษฐกิจดิจิทัลในการช่วยลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการทางการเงินของผู้มีรายได้น้อย ๓. การประชุมคณะกรรมการพัฒนาการของธนาคารโลก ครั้งที่ ๙๖ (96th Development Committee Meeting) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้กล่าวถ้อยแถลงในที่ประชุมฯ ๔ ประเด็นหลัก ได้แก่ (๑) การพัฒนาระบบการศึกษาเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้และเสริมสร้างทักษะที่ตรงตามความต้องการของตลาดแรงงานในอนาคต ซึ่งจะสามารถบรรเทาปัญหาความเหลื่อมล้ำและนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน (๒) การส่งเสริมบทบาทและมีส่วนร่วมของภาคเอกชนในการลงทุนเพื่อการพัฒนา (๓) ให้ธนาคารโลกเป็นองค์กรอิสระที่มีความคล่องตัวและประสิทธิภาพในการสนับสนุนประเทศสมาชิกทั้งด้านโครงการเงินกู้และการช่วยเหลือทางวิชาการ และ (๔) เรียกร้องให้ประเทศสมาชิกเร่งหาข้อสรุปเกี่ยวกับแนวทางเพิ่มทุนของธนาคารโลกให้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม ๒๕๖๑ ๔. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ประชุมหารือทวิภาคีกับรองประธานธนาคารโลกประจำภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก คณะผู้จัดทำรายงาน Doing Business และ Logistics Performance Index และผู้บริหารระดับสูงของสถาบันการเงินต่างประเทศ โดยมีการหารือที่สำคัญ เช่น (๑) แนวทางความร่วมมือระหว่างไทยและธนาคารโลกภายใต้กรอบความเป็นหุ้นส่วนระหว่างประเทศที่อยู่ระหว่างการจัดทำ (๒) ผลงานของรัฐบาลไทยที่ได้ปฏิรูปกฎหมาย และลดกฎระเบียบที่ไม่จำเป็น และ (๓) สถาบันการเงินต่างประเทศเล็งเห็นถึงความสำคัญของไทยในฐานะศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของอนุภูมิภาคและอาเซียน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1285 | สรุปการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ 35 (ระหว่างวันที่ 12 กันยายน 2559 - 31 สิงหาคม 2560) | นร | 14/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ ๓๕ (ระหว่างวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๙-๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๐) ตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลเสนอ มีผลงานสำคัญโดยสรุป ดังนี้
๑. การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ เช่น โครงการส่งเสริมการจัดกิจกรรมเพื่อความปรองดองสมานฉันท์โดยผ่านกลไกระดับจังหวัด อำเภอ ท้องถิ่น การจัดงานประเพณีกิจกรรมทางศาสนาและกิจกรรมพัฒนา และการแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียนร้องทุกข์ ๒. การปฏิรูปประเทศ เช่น การติดตามการขับเคลื่อนความคืบหน้าการดำเนินการตามประเด็นปฏิรูป ๓. การบริหารราชการแผ่นดิน ๓.๑ ด้านความมั่นคง เช่น การเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ไว้ด้วยความจงรักภักดีและปกป้องพระบรมเดชานุภาพ การแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (IUU Fishing) การฝึกร่วมและผสม หน่วยปฏิบัติการพิเศษ ไทย-สหรัฐอเมริกา และการเตรียมความพร้อมในการเป็นเจ้าภาพจัดมหกรรมทางเรือนานาชาติ เนื่องในโอกาสครบรอบ ๕๐ ปี ๓.๒ ด้านสังคมจิตวิทยา เช่น การลดความเหลื่อมล้ำของสังคม การสร้างโอกาสการเข้าถึงบริการของภาครัฐ การศึกษาและเรียนรู้ การทำนุบำรุงศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม และการยกระดับคุณภาพบริการด้านสาธารณสุขและสุขภาพของประชาชน ๓.๓ ด้านเศรษฐกิจ เช่น การเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ การดำเนินมาตรการการเงินการคลังเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในปี ๒๕๖๐ การให้ความช่วยเหลือผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และการส่งเสริมการท่องเที่ยวการดำเนินการที่สำคัญเพื่อส่งเสริมด้านดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ๓.๔ ด้านการต่างประเทศ เช่น การสร้างประชาคมอาเซียนที่เข้มแข็งและส่งเสริมบทบาทไทยในประชาคมอาเซียน ๓.๕ ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม เช่น การส่งเสริมและการบริหารราชการแผ่นดินที่มีธรรมาภิบาลและการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐ การเสริมสร้างคุณธรรม จริยธรรมในภาคราชการ การปรับปรุงกฎหมายที่ล้าสมัย ไม่เป็นธรรม
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1286 | สรุปผลการพิจารณาดำเนินการตามรายงานผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนและรายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง สิทธิในกระบวนการยุติธรรม กรณีขอความช่วยเหลือเรื่องคดีความ และกรณีกล่าวอ้างว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจนครบาลทองหล่อ แถลงข่าวการจับกุมทำให้ได้รับความเสียหายต่อเกียรติยศและชื่อเสียง | สม | 14/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการพิจารณาดำเนินการตามรายงานผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน และรายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง สิทธิในกระบวนการยุติธรรม กรณีขอความช่วยเหลือเรื่องคดีความและกรณีกล่าวอ้างว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจ สถานีตำรวจนครบาลทองหล่อ แถลงข่าวการจับกุมทำให้ได้รับความเสียหายต่อเกียรติยศและชื่อเสียง ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติควรมีการเน้นย้ำและกำชับไปยังหน่วยงานในสังกัดเพื่อให้ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ และหนังสือสั่งการของหน่วยงานอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันมิให้เกิดปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนในการนำตัวผู้ต้องหาในคดีอาญาไปนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพ และการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน และควรกำหนดแนวทางในการหาวิธีการทดแทนในการนำตัวผู้ต้องหาในคดีอาญาไปนำชี้ที่เกิดเหตุ หรือการจัดทำแผนประทุษกรรม เพื่อเป็นประโยชน์ในการแสวงหาพยานหลักฐาน และการดำเนินคดี รวมทั้งเพื่อป้องกันมิให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชน ซึ่งทางผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้มีวิทยุในราชการศูนย์ปฏิบัติการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ลงวันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๖๐ กำชับการปฏิบัติกรณีการให้ข่าว แถลงข่าวหรือสัมภาษณ์ในลักษณะที่ไม่เหมาะสม โดยให้ทุกหน่วยปฏิบัติโดยเคร่งครัด ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ และแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1287 | ขอความเห็นชอบต่อร่างปฏิญญาโซล (Seoul Declaration) | ศธ | 14/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างปฏิญญาโซล (Seoul Declaration) มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ของไทยในการพัฒนาความร่วมมือด้านการศึกษาร่วมกับแต่ละประเทศสมาชิกอาเซม ซี่งการดำเนินการดังกล่าวจะเพิ่มโอกาสและคุณภาพทางการศึกษา รวมทั้งส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการพัฒนาศักยภาพของนักศึกษาด้านอาชีวศึกษา โดยผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการจะเป็นผู้ให้การรับรองร่างปฏิญญาฯ รวมทั้งจะนำเสนอเอกสารในหัวข้อ “Collaboration for the Next Decade-Improving Youth Employability” ต่อที่ประชุมรัฐมนตรีด้านการศึกษาของอาเซม ครั้งที่ ๖ ซึ่งจะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ ๒๑-๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ ณ กรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเกี่ยวกับด้านการส่งเสริมการเคลื่อนย้ายระหว่างเอเชียและยุโรป ในข้อ ๖ ของร่างปฏิญญาฯ ควรพิจารณาเพิ่มการวิจัยและพัฒนาให้เป็นกลไกหนึ่งของการส่งเสริมการแลกเปลี่ยนอาจารย์ นักศึกษา และนักวิจัย และในด้านการส่งเสริมสมรรถนะเพื่อการว่าจ้าง (Employability) ด้วยการปรับปรุงคุณภาพการศึกษา ในข้อ ๙ ของร่างปฏิญญาฯ ควรพิจารณาเรื่องสะเต็มศึกษา (STEM Education) ทั้งในสายสามัญ อุดมศึกษาและอาชีวศึกษาเป็นประเด็นหนึ่งที่ควรส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือด้วย รวมทั้งควรพิจารณาการเสนอเรื่อง การส่งเสริมเยาวชนให้เป็นนวัตกร (Innovator) และการสร้างระบบนวัตกรรมเปิด (Open Innovation) ให้เป็นกลไกหนึ่งที่สำคัญในการนำเสนอในหัวข้อ Collaboration for the Next Decade-Improving Youth Employability เพื่อให้ประเทศสมาชิกได้เห็นความสำคัญของการสร้างเยาวชนให้มีศักยภาพที่จะเป็นนวัตกร มีความคิดสร้างสรรค์ สร้างผลิตภัณฑ์ กระบวนการใหม่ ๆ ที่ก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจและสังคม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1288 | รายงานผลการดำเนินงานตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี เรื่อง มาตรการหรือแนวทางการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการขึ้นทะเบียนผลงานวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมทั้งระบบ | วท | 14/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ในการปรับปรุงกระบวนการตรวจสอบคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ที่ขอขึ้นทะเบียนบัญชีนวัตกรรมไทยให้มีความรวดเร็วมากขึ้น และข้อเสนอเพื่อการกำหนดมาตรการหรือแนวทางการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการขึ้นทะเบียนผลงานวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมทั้งระบบ ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ ดังนี้
๑. หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการวิเคราะห์ทดสอบ และการตรวจสอบรับรองห้องปฏิบัติการ ควรเร่งพัฒนา ส่งเสริม และลงทุนให้เกิดโครงสร้างพื้นฐานในการวิเคราะห์ทดสอบให้ครอบคลุมความต้องการของภาคเอกชน และอยู่ในระดับที่เชื่อถือได้ รวมทั้งเร่งรัดกระบวนการตรวจสอบรับรองห้องปฏิบัติการตาม ISO/IEC ๑๗๐๒๕ ให้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น ๒. ควรให้หน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ในการกำกับดูแลเกี่ยวกับข้อกำหนดและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์หรือบริการต่าง ๆ ปรับปรุงข้อกำหนดและกฎหมายให้ทันสมัย และเผยแพร่สื่อสารให้เกิดความรู้ความเข้าใจ รวมถึงกำหนดมาตรการเพื่อผ่อนปรนหรือยืดหยุ่นกฎระเบียบบางประการ ในลักษณะ Regulatory Sandbox เพื่อเอื้อให้ผู้ประกอบการสามารถจำหน่ายผลิตภัณฑ์หรือให้บริการนวัตกรรมในเชิงพาณิชย์ในช่วงระยะเริ่มต้นได้ เพื่อให้เกิดธุรกิจได้ก่อน ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด อาทิ กำหนดปริมาณการผลิต วงเงินรวมที่จำหน่าย หรือระยะเวลาการจำหน่าย เป็นต้น เพื่อให้สามารถนำผลจากการใช้งานจริงมาพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการให้เข้าสู่กฎระเบียบ ข้อบังคับและกฎหมายที่เกี่ยวข้องตามปกติต่อไป ๓. หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการจัดทำบัญชีนวัตกรรมไทย และการจัดซื้อจัดจ้างผลิตภัณฑ์หรือบริการในบัญชีนวัตกรรมไทย ประกอบด้วย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ควรสื่อสารและประชาสัมพันธ์มาตรการบัญชีนวัตกรรมไทยให้กับกลุ่มเป้าหมายต่าง ๆ เพื่อนำผลงานนวัตกรรมมาขอขึ้นทะเบียนให้เพิ่มมากขึ้น สำนักงบประมาณ กรมบัญชีกลาง และสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินซึ่งมีบทบาทในการกำหนดความต้องการภาครัฐ ตลอดจนการกำกับและตรวจสอบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ควรสร้างความรู้และความเข้าใจให้แก่ส่วนราชการ เพื่อสนับสนุนให้เกิดการจัดซื้อจัดจ้างผลิตภัณฑ์หรือบริการในบัญชีนวัตกรรมไทยให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลและข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ๔. ควรให้มีการบรรจุรายการผลิตภัณฑ์ที่ประกาศในบัญชีนวัตกรรมไทยไว้ในบัญชียาหลักแห่งชาติ หรือบัญชีรายการอุปกรณ์อวัยวะเทียมและข้อบ่งชี้ในการบำบัดรักษาโรค หรือบัญชีอื่น ๆ แล้วแต่ชนิดของรายการผลิตภัณฑ์ที่กองทุนสุขภาพต่าง ๆ เช่น กองทุนสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และกองทุนประกันสังคม เพื่ออนุมัติให้สามารถเบิกจ่ายได้ตามระยะเวลาและราคาที่ประกาศในบัญชีนวัตกรรมไทย โดยอาจมีการกำหนดรหัสพิเศษเพื่อง่ายต่อการจำแนก ทั้งนี้ ควรมีการเก็บข้อมูลปริมาณการใช้รายการผลิตภัณฑ์ในบัญชีนวัตกรรมไทยเพื่อประเมินความต้องการใช้งาน และเป็นข้อมูลอ้างอิงในการพิจารณาบรรจุรายการผลิตภัณฑ์นั้น ๆ ในรายการที่กองทุนสุขภาพต่าง ๆ อนุมัติให้สามารถเบิกจ่ายได้ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1289 | ผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน ครั้งที่ 35 และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง [35th ASEAN Ministers on Energy Meeting (35th AMEM) and its Associated Meetings] ณ กรุงมะนิลา สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ | พน | 14/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน ครั้งที่ ๓๕ และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง [35th ASEAN Ministers on Energy Meeting (35th AMEM) and its Associated Meetings] ระหว่างวันที่ ๒๕-๒๙ กันยายน ๒๕๖๐ ณ กรุงมะนิลา สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน ครั้งที่ ๓๕ (35th AMEM) ที่ประชุมฯ รับทราบความก้าวหน้าตามแผนปฏิบัติการเอเชียว่าด้วยความร่วมมือด้านพลังงาน ปี ๒๕๕๙-๒๕๖๘ ระยะที่ ๑ (ปี ๒๕๕๙-๒๕๖๓) เช่น อาเซียนได้บรรลุเป้าหมายส่วนแบ่งการใช้พลังงานหมุนเวียน ร้อยละ ๑๓.๖ ของการใช้พลังงานรวมอาเซียนในปี ๒๕๕๘ และประเทศสิงคโปร์ ไทย และมาเลเซียได้ดำเนินการจัดทำระบบสถานีก๊าซธรรมชาติเหลวแก่บุคคลที่ ๓ ได้สำเร็จ ตลอดจนได้มีการลงนามซื้อขายไฟฟ้า ระหว่างลาว ไทย และมาเลเซีย ซึ่งเป็นธุรกรรมไฟฟ้าอนุภูมิภาคเป็นครั้งแรกในอาเซียน ๒. การประชุมรัฐมนตรีอาเซียน+๓ ด้านพลังงาน ครั้งที่ ๑๔ (14th AMEM+3) ที่ประชุมฯ รับทราบความก้าวหน้าในด้านการทำงานของสายงานด้านประสิทธิภาพและการอนุรักษ์และพลังงาน (EE&C) ๓. การประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงานกับทบวงการพลังงานหมุนเวียนระหว่างประเทศ ที่ประชุมฯ เห็นด้วยที่จะมีการปรับปรุงความร่วมมือเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านพลังงานไปสู่การลดการใช้คาร์บอน พลังงานสะอาด พลังงานที่ปลอดภัย การมีพลังงาน และความยั่งยืนทางพลังงานของอาเซียนในอนาคต ผ่านปฏิบัติการเชิงกลยุทธ์ในการส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาแหล่งพลังงานหมุนเวียน ๔. การหารือทวิภาคี ไทยได้ทำการหารือทวิภาคีเพื่อความร่วมมือด้านพลังงานกับคู่ทวิภาคีจำนวน ๗ ฝ่าย ได้แก่ ทบวงการพลังงานหมุนเวียนระหว่างประเทศ (International Renewable Energy Agency : IRENA) สาธารณรัฐประชาชนจีน มาเลเซีย สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ญี่ปุ่น สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และราชอาณาจักรกัมพูชา โดยมีการหารือที่สำคัญ เช่น ฝ่ายจีนเสนอเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม ๓ ฝ่าย (จีน ลาว ไทย) เพื่อติดตามเรื่องแผนการซื้อขายไฟฟ้า ๓ ประเทศ มาเลเซียกำลังเตรียมจัดตั้งศูนย์พลังงานทดแทนในรัฐซาบาร์ ซึ่งเป็นการลงทุนโดยบริษัทของไทย เพื่อให้เกิดความสัมพันธ์ในระดับรัฐต่อรัฐ และบริษัท Mitsui ของญี่ปุ่นมีความสนใจที่จะลงทุนในโครงการสัมปทานในแหล่งเอราวัณของไทย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1290 | การแก้ไขระเบียบกระทรวงพาณิชย์ว่าด้วยการบริหารกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. 2541 (ร่างระเบียบกระทรวงพาณิชย์ว่าด้วยการบริหารกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. ....) | พณ | 14/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการร่างระเบียบกระทรวงพาณิชย์ว่าด้วยการบริหารกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงระเบียบกระทรวงพาณิชย์ว่าด้วยการบริหารกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๔๑ เพื่อให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับสภาวการณ์ปัจจุบัน ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงาน ก.พ.ร. ที่เห็นควรทบทวนข้อความในร่างข้อ ๙ ซึ่งมีความซ้ำซ้อนกับข้อความตามร่างข้อ ๖ และไม่มีความจำเป็นต้องนิยามคำว่า “สินค้า” ไว้ในร่างระเบียบนี้ รวมทั้งการจัดตั้งสำนักงานกองทุนขึ้นในกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศอาจมีความซ้ำซ้อนกับการกำหนดภารกิจของสำนักงานแผนพัฒนาการส่งออกเกี่ยวกับงานเลขานุการของคณะกรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ตลอดจนไม่มีความจำเป็นต้องนำเรื่องรายรับของกองทุนฯ มากำหนดไว้ในร่างระเบียบนี้ เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์และความคุ้มค่าของการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ นอกจากนี้ การจัดสรรงบประมาณในการดำเนินกิจกรรม แผนงาน โครงการ ตามแผนพัฒนาและส่งเสริมการค้าระหว่างประทศ (แผนปฏิบัติการประจำปี) ควรให้ความสำคัญกับการสร้างองค์ความรู้ใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มศักยภาพด้านการค้าระหว่างประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1291 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2560 (เพิ่มเติม) และครั้งที่ 3/2560 | ทส | 07/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๖๐ (เพิ่มเติม) และครั้งที่ ๓/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๐ ได้พิจารณาเรื่องเชิงนโยบายที่สำคัญและได้ข้อยุติแล้ว จำนวน ๑๔ เรื่อง ยังคงมีเรื่องที่มีความจำเป็นต้องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบเพิ่มเติมอีก จำนวน ๒ เรื่อง ได้แก่ (๑) โครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติบนบกจากสถานีควบคุมความดันก๊าซฯ ราชบุรี-วังน้อย ที่ ๖ (RA6) ไปยังจังหวัดราชบุรี ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และ (๒) ข้อเสนอเชิงนโยบายการอนุรักษ์และฟื้นฟูย่านชุมชนเก่า ๒. มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ ๓/๒๕๖๐ จำนวน ๑๒ เรื่อง ได้แก่ (๑) โครงการศูนย์วิทยาการเวชศาสตร์ผู้สูงอายุระดับชาติ ของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล (๒) เกณฑ์การรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแหล่งธรรมชาติอันควรอนุรักษ์ ประเภทน้ำ (๓) ร่างแผนส่งเสริมการจัดซื้อจัดจ้างสินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ระยะที่ ๓ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ (๔) การปรับปรุงมาตรฐานคุณภาพน้ำทะเลกลุ่มสารอาหาร (๕) โครงการก่อสร้างระบบท่อส่งน้ำประปาลอดใต้ทะเลไปยังเกาะสมุย (โครงการก่อสร้างปรับปรุงขยายการประปาส่วนภูมิภาคสาขาเกาะสมุย อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ระยะที่ ๑ ส่วนที่ ๒ ปีงบประมาณ ๒๕๕๘) และ (๖) โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงหัวหิน-ประจวบคีรีขันธ์ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1292 | ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยคุณสมบัติ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขของบุคคลที่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติการแทนเจ้าพนักงานบังคับคดี พ.ศ. .... | ยธ | 07/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงว่าด้วยคุณสมบัติ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขของบุคคลที่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติการแทนเจ้าพนักงานบังคับคดี พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงกฎกระทรวงว่าด้วยคุณสมบัติ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขของบุคคลที่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติการแทนเจ้าพนักงานบังคับคดี พ.ศ. ๒๕๕๑ ให้สอดคล้องกับบทบัญญัติเกี่ยวกับอำนาจทั่วไปของเจ้าพนักงานบังคับคดี เพื่อให้การมอบหมายให้บุคคลอื่นปฏิบัติการแทนเจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๓๐) พ.ศ. ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1293 | ขอขยายระยะเวลาการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรเฉพาะกิจ | กษ | 07/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการดำเนินงานแก้ไขปัญหาการดำเนินงานของกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรของคณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรเฉพาะกิจ ตั้งแต่วันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๖๐ ถึงวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ ซึ่งคณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรเฉพาะกิจได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาของกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร แบ่งเป็น ๔ ด้าน คือ (๑) การแก้ไขปัญหาหนี้สิน (๒) การปรับปรุงโครงสร้างและกฎหมายกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร (๓) การบริหารจัดการภายในกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร และ (๔) การฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างรอผลการเจรจากับสถาบันเจ้าหนี้เพื่อการจัดการหนี้ และรอรับการสำรวจข้อมูลหนี้สินเกษตรกร รวมถึงพิจารณาร่างข้อเสนอปรับปรุงโครงสร้างและกฎหมายกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ๑.๒ เห็นชอบการขยายระยะเวลาการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรเฉพาะกิจ เป็นระยะเวลา ๑๘๐ วัน (นับจากวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๐) ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการที่เกี่ยวข้อง คณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรเฉพาะกิจ ได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๖๐ อนุมัติแผนและการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ของกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร จำนวน ๒,๓๐๓,๒๖๗,๗๓๓.๖๘ บาท ซึ่งประกอบด้วยเงินเพื่อการจัดการหนี้ จำนวน ๑,๓๔๑,๗๒๗,๘๕๙.๒๑ บาท จึงเห็นควรให้ใช้จ่ายจากวงเงินดังกล่าว ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1294 | ขออนุมัติการลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างกรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทย และกรมปศุสัตว์และประมง กระทรวงกสิกรรมและป่าไม้ แห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ว่าด้วยความร่วมมือด้านประมง | กษ | 07/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการดำเนินงานแก้ไขปัญหาการดำเนินงานของกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรของคณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรเฉพาะกิจ ตั้งแต่วันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๖๐ ถึงวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ ซึ่งคณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรเฉพาะกิจได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาของกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร แบ่งเป็น ๔ ด้าน คือ (๑) การแก้ไขปัญหาหนี้สิน (๒) การปรับปรุงโครงสร้างและกฎหมายกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร (๓) การบริหารจัดการภายในกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร และ (๔) การฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างรอผลการเจรจากับสถาบันเจ้าหนี้เพื่อการจัดการหนี้ และรอรับการสำรวจข้อมูลหนี้สินเกษตรกร รวมถึงพิจารณาร่างข้อเสนอปรับปรุงโครงสร้างและกฎหมายกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ๑.๒ เห็นชอบการขยายระยะเวลาการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรเฉพาะกิจ เป็นระยะเวลา ๑๘๐ วัน (นับจากวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๐) ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการที่เกี่ยวข้อง คณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรเฉพาะกิจ ได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๖๐ อนุมัติแผนและการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ของกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร จำนวน ๒,๓๐๓,๒๖๗,๗๓๓.๖๘ บาท ซึ่งประกอบด้วยเงินเพื่อการจัดการหนี้ จำนวน ๑,๓๔๑,๗๒๗,๘๕๙.๒๑ บาท จึงเห็นควรให้ใช้จ่ายจากวงเงินดังกล่าว ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1295 | ปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยการป้องกันและต่อต้านอาชญากรรมไซเบอร์ (ASEAN Declaration to Prevent and Combat Cybercrime) ในการประชุมสุดยอด ผู้นำอาเซียน ครั้งที่ 31 (31st ASEAN Summit) | ตช | 07/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบนำปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยการป้องกันและต่อต้านอาชญากรรมไซเบอร์ (ASEAN Declaration to Prevent and Combat Cybercrime) ฉบับที่ที่ประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนด้านอาชญากรรมข้ามชาติและการประชุมที่เกี่ยวข้อง ครั้งที่ ๑๑ ให้การรับรองไว้แล้ว เข้ารับความเห็นชอบในวาระการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๓๑ (31st ASEAN Summit) ที่จะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ ๑๒-๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ ณ กรุงมะนิลา สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ โดยร่างปฏิญญาฯ มีสาระสำคัญ เช่น การให้ความสำคัญของการปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทางไซเบอร์และหลักฐานทางอิเล็กทรอนิกส์ สนับสนุนการร่างกรอบการทำงานระดับภูมิภาคเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิก และแผนปฏิบัติการระดับชาติในการป้องกันและต่อต้านอาชญากรรมทางไซเบอร์ เสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิก โดยพิจารณาจากผลประโยชน์ร่วมกัน รวมถึงการให้ความช่วยเหลือด้านผู้เชี่ยวชาญทางเทคนิคในการป้องกันและต่อต้านอาชญากรรมไซเบอร์ เป็นต้น ๑.๒ อนุมัติให้นายกรัฐมนตรี หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมให้การรับรองปฏิญญาฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนปฏิญญาฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๓. ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1296 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 07/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ให้กระทรวงมหาดไทยติดตามผลการดำเนินการเกี่ยวกับการส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก ทั้งที่เป็นการดำเนินการโดยหน่วยงานในสังกัดกระทรวงมหาดไทยและการดำเนินการของหน่วยงานหรือภาคส่วนอื่นที่เกี่ยวข้องทั้งหมด และให้นำเสนอต่อนายกรัฐมนตรีโดยเร็วภายใน ๑ เดือน ๒. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ตามที่ธนาคารโลกได้เปิดเผยผลสำรวจการจัดอันดับความยากง่ายในการประกอบธุรกิจ (Ease of Doing Business) ประจำปี ๒๕๖๑ โดยประเทศไทยได้อันดับที่ ๒๖ จาก ๑๙๐ ประเทศทั่วโลก (ปรับตัวดีขึ้น ๒๐ อันดับ จากอันดับที่ ๔๖ เมื่อปี ๒๕๖๐) นั้น ให้สำนักงาน ก.พ.ร. ติดตามผลการดำเนินการปรับปรุงการปฏิบัติงานและการเพิ่มประสิทธิภาพการอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจของหน่วยงานต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง และให้เร่งประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้เกี่ยวกับการจัดอันดับและการเพิ่มประสิทธิภาพการอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจให้แก่ทุกภาคส่วนได้ทราบอย่างถูกต้องและทั่วถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคเอกชนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายโดยตรงในเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1297 | การประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) | นร04 | 31/10/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่อง การประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) ของรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ซึ่งนายกรัฐมนตรีพิจารณาเห็นชอบแล้ว ตามข้อเสนอของรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) และให้อธิบดีกรมบัญชีกลางรับผิดชอบหลักร่วมกับกระทรวงการคลัง โดยรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ได้หารือร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีว่าการกระทรวง ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ผู้แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม อธิบดีกรมบัญชีกลาง และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติของกรมบัญชีกลาง ซึ่งที่ประชุมพิจารณาแล้ว สรุปได้ ดังนี้
๑. สถานที่ดำเนินการ ขณะนี้ใช้สถานที่กลางซึ่งอยู่ที่กระทรวงการคลังเป็นที่ดำเนินการ การเปลี่ยนแปลงสถานที่ไปยังที่อื่น เช่น สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ กระทรวงยุติธรรม ไม่ได้แก้ปัญหาแต่กลับจะเป็นภาระด้านการติดตั้งระบบใหม่และอาจต้องใช้เวลาพัฒนาระบบหลายปี โดยที่ความเสี่ยงยังคงมีอยู่เช่นเดิม หนทางที่ควรดำเนินการคือ การจัดระบบใหม่ ได้แก่ การจัดทำห้องควบคุมให้โปร่งใสใช้กระจกโปร่งใส ๒ ด้าน มองเห็นจากภายนอกได้ชัดเจน และแบ่งโซนภายในห้องควบคุมเป็น ๒ โซน แต่ละโซนติดตั้งอุปกรณ์ควบคุมการเข้าถึงพื้นที่ด้วยกุญแจและเครื่องสแกนลายนิ้วมือ ทั้งจัดทำระบบแจ้งเตือนการเข้าถึงข้อมูลส่วนที่สำคัญใน Database ของระบบ e-bidding โดยระบบจะส่งสัญญาณแจ้งเตือนไปยังหัวหน้างานด้านพัฒนาระบบและหัวหน้างานด้านเครือข่าย มีการติดตั้งสัญญาณไฟกระพริบสีแดงหน้าห้องควบคุม และจะส่งสัญญาณไฟกระพริบเมื่อมีการเข้าถึงข้อมูลที่สำคัญ มีการติดตั้งกล้อง CCTV ๒ ตัว ภายในห้องควบคุม ซึ่งในขณะนี้การปรับปรุงสถานที่เสร็จแล้ว ๒. บุคคลผู้เกี่ยวข้องกับการดำเนินการ ให้กรมบัญชีกลางจัดระบบคัดกรองบุคคลผู้เกี่ยวข้อง (clearance) ทุกคนว่าต้องเป็นผู้ที่ไว้ใจได้ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือเจ้าหน้าที่เอกชนของบริษัทภายนอกที่เข้ามาเกี่ยวข้องเพื่อมิให้เข้าถึงข้อมูลและล่วงรู้หรือลอบนำข้อมูลออกไปได้ อีกทั้งให้จัดทำคู่มือแนวทางปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ภายในศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศด้วย ซึ่งการดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้ว ๓. ขั้นตอนการดำเนินการ เปลี่ยนการโอนเงินค่าซื้อเอกสารประกวดราคาจากกรมบัญชีกลางไปให้หน่วยงานเจ้าของโครงการซึ่งจะทำในวันถัดจากวันที่ผู้ซื้อเอกสารชำระ เป็นให้โอนเมื่อผ่านพ้นไปแล้ว ๑ เดือน เพื่อให้พ้นกำหนดเวลาของวันเสนอราคาเสียก่อน ซึ่งขณะนี้ได้ดำเนินการดังกล่าวแล้ว ๔. การติดตามตรวจสอบซ้ำ จัดให้หน่วยงานต่าง ๆ ได้แก่ ศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ ผู้แทนกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) ผลัดเปลี่ยนกันเข้าสุ่มตรวจระบบอย่างสม่ำเสมอ ๕. การดำเนินการกับผู้กระทำผิด จะดำเนินการทางวินัยและกฎหมายที่เกี่ยวข้องเมื่อพบว่ามีบุคคลใดที่เกี่ยวข้องกับการล่วงรู้ข้อมูล เปิดเผยข้อมูล หรือซื้อขายข้อมูล โดยขอความร่วมมือจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ และศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ ส่วนรายที่รับเป็นคดีไว้แล้วก็จะขยายผลการสืบสวนสอบสวนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1298 | มาตรการการเงินการคลังเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในปี 2560 (เพิ่มเติม) | กค | 31/10/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบมาตรการการเงินการคลังเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในปี ๒๕๖๐ (เพิ่มเติม) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการบริจาคเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในการบริจาคเงินหรือทรัพย์สินเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย โดยขยายระยะเวลาให้ผู้บริจาคเงินหรือทรัพย์สินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยระหว่างวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ ไปจนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๐ ไปหักเป็นค่าลดหย่อน/รายจ่ายในการคำนวณภาษีเงินได้เพิ่มขึ้นจากสิทธิการหักรายจ่ายตามปกติอีกเป็นจำนวนร้อยละ ๕๐ และอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่บุคคลธรรมดาและบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สำหรับการบริจาคเงินหรือทรัพย์สินเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ที่ได้กระทำตั้งแต่วันที่ ๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๐ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๑.๒ มาตรการจ้างงานผู้ลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ในการปรับปรุง ซ่อมแซมที่เกี่ยวกับสาธารณประโยชน์ในพื้นที่ประสบภัยพิบัติ โดยให้หน่วยงานต่าง ๆ พิจารณาจ้างงานผู้ลงทะเบียนที่ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติแล้วในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ ตามความเหมาะสม ๒. รับทราบมาตรการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยที่มีการดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน ประกอบด้วยมาตรการทางการคลัง (เงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติในกรณีฉุกเฉิน มาตรการช่วยเหลือผู้เช่าที่ดินราชพัสดุที่ประสบอุทกภัยและภัยพิบัติทางธรรมชาติอื่น ๆ) มาตรการภาษีเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการบริจาคเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย มาตรการทางภาษีเพื่อช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย มาตรการทางภาษีเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยโดยตรง) และมาตรการทางการเงินผ่านกลไกของสถาบันการเงินเฉพาะของรัฐต่าง ๆ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๓. ให้กระทรวงการคลังเร่งสำรวจความเสียหายที่เกิดจากอุทกภัย และดำเนินการช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบอุทกภัยอย่างเหมาะสม เป็นธรรม และโปร่งใส โดยเร็วที่สุด ๔. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรเร่งดำเนินมาตรการการเงินการคลังเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยให้ทันต่อสถานการณ์ตามขั้นตอนที่กำหนด และสร้างความรับรู้ความเข้าใจให้กับประชาชนและผู้ประกอบการที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในการบริจาคเงินหรือทรัพย์สินอันจะเป็นการประหยัดงบประมาณ และจะได้รับการหักลดหย่อน และหักค่าใช้จ่ายในการเสียภาษีเงินได้ในโอกาสแรก ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1299 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 31/10/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านสังคม ๑.๑ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาความเหมาะสมและความเป็นไปได้ในการนำเงินจากแหล่งต่าง ๆ ในความรับผิดชอบ เช่น เงินงบประมาณ เงินกองทุน มาใช้ในการดำเนินการขับเคลื่อนการสร้างงานสร้างอาชีพให้แก่ผู้มีรายได้น้อยในท้องถิ่นต่าง ๆ ทั้งนี้ ให้พิจารณาดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องด้วย ๑.๒ ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงคมนาคม กระทรวงแรงงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการจัดหาเครื่องมือ/อุปกรณ์เก็บข้อมูลด้านอัตลักษณ์ (สแกนใบหน้า/ม่านตา) เพื่อใช้ประกอบการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวให้มีประสิทธิผลและประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยเริ่มเก็บข้อมูลแรงงานประมงก่อนขยายไปสู่แรงงานอื่น ๆ ให้ครบทุกประเภท ๒. ด้านเศรษฐกิจ ๒.๑ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งพิจารณาแนวทางการดำเนินการแก้ไขปัญหาการบุกรุกพื้นที่ป่าเพื่อเพาะปลูกพืชเศรษฐกิจชนิดต่าง ๆ ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว โดยเฉพาะในส่วนของพื้นที่ป่าที่ถูกบุกรุกจากกลุ่มนายทุนและให้รายงานผลการดำเนินการต่อคณะรัฐมนตรีภายในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๐ ๒.๒ ให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวิทย์ เมษินทรีย์) จัดตั้งคณะทำงานขับเคลื่อนและติดตามโครงการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยและการแก้ไขปัญหาความยากจน เพื่อให้การดำเนินการต่าง ๆ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว และให้กระทรวงการคลังพิจารณาแนวทางการดำเนินการให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาหนี้สินด้วย เช่น การจัดตั้งสถาบันการเงินหรือกองทุนเพื่อการแก้ไขปัญหาหนี้สินที่เปิดโอกาสให้ผู้มีรายได้น้อยมีส่วนร่วมในการนำส่งเงินแก่สถาบันการเงินหรือกองทุนดังกล่าวด้วย ๒.๓ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ไปพิจารณาร่วมกับรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวิทย์ เมษินทรีย์) กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการดำเนินการให้ความช่วยเหลือผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐในระยะต่อไป เช่น การปรับเพิ่มวงเงิน การปรับปรุงประเภทของสวัสดิการต่าง ๆ ให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการของประชาชนมากยิ่งขึ้น การเพิ่มร้านค้าที่ประชาชนสามารถใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐซื้อสินค้าและบริการได้ ทั้งนี้ ให้พิจารณากำหนดมาตรการกำกับดูแลและตรวจสอบที่รอบคอบ รัดกุม เพื่อป้องกันการทุจริตด้วย ๓. การบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๓.๑ ให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ และนายวิษณุ เครืองาม) ประสานงานกับคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรม (ตำรวจ) เพื่อให้พิจารณาทบทวนแนวทางการปฏิรูปตำรวจ โดยแยกภารกิจด้านงานสอบสวนออกมาให้ชัดเจน โดยอาจให้บุคคลจากภายนอกที่ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ตำรวจแต่มีความรู้ความสามารถทางนิติศาสตร์และการพิจารณาอรรถคดีมาปฏิบัติหน้าที่ในงานสอบสวนได้ ๓.๒ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากพื้นที่ที่มีน้ำท่วมขังเป็นเวลานาน ได้แก่ ๓.๒.๑ ให้กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงศึกษาธิการเร่งสำรวจพื้นที่ที่ยังมีน้ำท่วมขัง และให้ความช่วยเหลือเยียวยาประชาชนผู้ประสบภัยในพื้นที่ดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ให้พิจารณากำหนดมาตรการช่วยเหลือให้เหมาะสมต่อสภาพปัญหาและความต้องการของแต่ละพื้นที่ด้วย ๓.๒.๒ ให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเฝ้าระวังสถานการณ์ฝนตกหนักในพื้นที่ภาคใต้ โดยให้ดำเนินมาตรการเชิงป้องกันปัญหาต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น เช่น การจัดทำแผนการระบายน้ำ แผนการประชาสัมพันธ์ เพื่อชี้แจงทำความเข้าใจต่อประชาชนในพื้นที่ รวมทั้งเตรียมแผนอพยพประชาชนเพื่อรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินจำเป็นด้วย ๓.๒.๓ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาแนวทางการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรในพื้นที่เพาะปลูกที่ได้รับผลกระทบและเกิดความเสียหาย รวมทั้งส่งเสริมให้ประกอบอาชีพเสริมต่าง ๆ ในระยะต่อไป เช่น การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ๓.๓ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัย ได้แก่ ๓.๓.๑ ขยายหรือขุดลอกคูคลองที่เป็นทางระบายน้ำต่าง ๆ โดยเฉพาะในพื้นที่รับน้ำ เช่น บริเวณบึงสีไฟ บึงบอระเพ็ด ลุ่มน้ำห้วยหลวง ๓.๓.๒ นำโครงการเกี่ยวกับการจัดทำคลองระบายน้ำเพื่อแก้ไขปัญหาและบรรเทาอุกทกภัยในบริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยา เช่น โครงการระบายน้ำหลากบางบาล-บางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เสนอคณะรัฐมนตรีโดยเร็ว ๓.๓.๓ ศึกษาความเหมาะสมและพิจารณาจัดทำแนวทางการระบายน้ำจากแม่น้ำป่าสักลงสู่ทะเลอ่าวไทยเพิ่มเติมอีกเส้นทางหนึ่ง ทั้งนี้ ในส่วนของงบประมาณค่าใช้จ่ายในการดำเนินการที่เกี่ยวข้อง ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมประสานงานกับกระทรวงการคลังเพื่อดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1300 | ขอความเห็นชอบโครงการพักชำระหนี้ต้นเงินและลดดอกเบี้ยให้เกษตรกรผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ และจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ปี 2559/60 เพิ่มเติม | กค | 31/10/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้เพิ่มจำนวนเกษตรกรเป้าหมายของโครงการพักชำระหนี้ต้นเงินและลดดอกเบี้ยให้เกษตรกรผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ และจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ปี ๒๕๕๙/๖๐ เพิ่มเติม จากเดิม (มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐) จำนวน ๒๑๒,๘๕๐ ราย เป็น จำนวน ๒๖๐,๓๘๙ ราย และเพิ่มงบประมาณในการดำเนินโครงการ จำนวน ๘๕๙.๕๐ ล้านบาท (เพิ่มขึ้นจาก จำนวน ๑,๙๖๕.๕๐ ล้านบาทต่อปี รวมระยะเวลา ๒ ปี จำนวน ๓,๙๓๑ ล้านบาท เป็น จำนวน ๒,๓๙๕.๒๕ ล้านบาทต่อปี รวมระยะเวลา ๒ ปี จำนวน ๔,๗๙๐.๕๐ ล้านบาท) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สำหรับวงเงินงบประมาณในการดำเนินโครงการฯ ที่เพิ่มขึ้น ให้กระทรวงการคลัง โดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงการคลัง โดย ธ.ก.ส. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตรวจสอบคุณสมบัติของเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ ให้ถูกต้องเป็นไปตามเงื่อนไข หลักเกณฑ์ และเป้าหมายของโครงการฯ อย่างเคร่งครัด ตามความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งจะต้องไม่ซ้ำซ้อนกับโครงการต่าง ๆ ตามมาตรการให้ความช่วยเหลือจากภาครัฐในลักษณะเดียวกันด้วย ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดมาตรการในการปรับปรุงและฟื้นฟูประสิทธิภาพการผลิตของเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ เพื่อที่เกษตรกรจะได้นำวงเงินค่าใช้จ่ายในส่วนที่ยังไม่ต้องชำระเงินต้นและดอกเบี้ยไปดำเนินการปรับปรุงและฟื้นฟูประสิทธิภาพการผลิตต่อไป ๔. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รับข้อสังเกตของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการบูรณาการให้ความช่วยเหลือในภาพรวม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
.....
