ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 64 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 1261 - 1280 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 1261 | สรุปการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ 36 (ระหว่างวันที่ 12 กันยายน 2559 - 30 กันยายน 2560) | นร | 03/01/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ ๓๖ (ระหว่างวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๙-๓๐ กันยายน ๒๕๖๐) ตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลเสนอ มีผลงานสำคัญสรุปได้ ดังนี้
๑. การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ ได้แก่ โครงการส่งเสริมการจัดกิจกรรมเพื่อความปรองดองสมานฉันท์ และการแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียนร้องทุกข์ ๒. การปฏิรูปประเทศ ได้แก่ การจัดพื้นที่มรดกทางวัฒนธรรมของชาติเพื่อเพิ่มคุณค่าและมูลค่าทางวัฒนธรรม การปฏิรูประบบบริการปฐมภูมิ การพัฒนากฎ ระเบียบ ข้อบังคับ ที่เอื้อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถดำเนินการพัฒนาคุณภาพชีวิตและดูแลผู้สูงอายุ การปฏิรูปเรื่องการสร้างสังคมผู้ประกอบการ การปฏิรูประบบสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน และการจัดทำร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ. .... ๓. การบริหารราชการแผ่นดิน ประกอบด้วย (๑) ด้านความมั่นคง ได้แก่ การปกป้องเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ การรักษาความมั่นคงของรัฐและต่างประเทศ (๒) ด้านสังคมจิตวิทยา ได้แก่ การลดความเหลื่อมล้ำของสังคม การสร้างโอกาสการเข้าถึงบริการของรัฐ (๓) ด้านเศรษฐกิจ ได้แก่ การเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจ การพัฒนาและส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การวิจัยและพัฒนา และนวัตกรรม (๔) ด้านการต่างประเทศ ได้แก่ การสร้างประชาคมอาเซียนที่เข้มแข็งและส่งเสริมบทบาทไทยในประชาคมอาเซียน การเดินทางเยือนราชอาณาจักรกัมพูชาของนายกรัฐมนตรี และ (๕) ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ได้แก่ การส่งเสริมและการบริหารราชการแผ่นดินที่มีธรรมาภิบาลและการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐ การปรับปรุงกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1262 | รายงานผลการจัดประชุม CIBJO CONGRESS 2017 และ WORLD RUBY FORUM 2017 | พณ | 03/01/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการจัดประชุม CIBJO CONGRESS 2017 และ WORLD RUBY FORUM 2017 ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ โดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (GIT) และกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศร่วมกับสมาพันธ์เครื่องประดับโลก (CIBJO) จัดการประชุมฯ ระหว่างวันที่ ๕-๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ ณ กรุงเทพมหานคร ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุม CIBJO CONGRESS 2017 มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยสนับสนุนไทยก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางการค้าอัญมณีและเครื่องประดับภายในอีก ๕ ปี อีกทั้งช่วยยกระดับมาตรฐานสินค้าและภาพลักษณ์ของอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทย สร้างความสัมพันธ์ระหว่างภาครัฐและเอกชนไทยกับผู้มีชื่อเสียงและนักลงทุนจากนานาชาติ ส่งเสริมการค้าและการลงทุน โดยมีประเด็นสำคัญจากการประชุมฯ เช่น อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับตลอดห่วงโซ่อุปทานต้องให้ความสำคัญต่อความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) และการผลิตการค้าที่ยั่งยืน (Sustainability) คุณภาพมาตรฐานสินค้าอัญมณี เครื่องประดับ และโลหะมีค่าจะต้องมีการสื่อสารที่เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก เป็นต้น ๒. การประชุม WORLD RUBY FORUM 2017 มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริม สร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับทับทิมที่ถูกต้องให้ผู้คนทั่วโลก รวมถึงสร้างความตระหนักรู้ถึงคุณค่าและความงามของทับทิม ซึ่งไทยเป็นผู้ส่งออกอันดับ ๔ ของโลก โดยมีประเด็นสำคัญจากการประชุมฯ เช่น ไทยได้รับการยอมรับในฝีมือการปรับปรุงคุณภาพทับทิมให้สวยงามและมีคุณค่าเพิ่มขึ้น ภาคอุตสาหกรรมอาจสื่อสารคุณค่านี้ไปยังผู้บริโภค รวมถึงนำความเชื่อ ค่านิยม และวัฒนธรรมของคนในแต่ละประเทศมาเชื่อมโยงเข้ากับทับทิมเพื่อกระตุ้นความต้องการในตลาด เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1263 | ภาพรวมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งภาคเหนือของกระทรวงคมนาคม | คค | 26/12/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบภาพรวมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งภาคเหนือของกระทรวงคมนาคม ประกอบด้วย (๑) การพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งทางบก (๒) การพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งทางราง (๓) การพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งทางน้ำ และ (๔) การพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งทางอากาศ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาดำเนินการเพิ่มเติมด้วย ดังนี้ ๒.๑ ในการจัดลำดับความสำคัญของโครงการต่าง ๆ ให้กระทรวงคมนาคมเน้นการเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งให้สอดคล้องกับการเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวในภูมิภาคต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนกิจกรรมการท่องเที่ยวในภูมิภาค และให้เป็นการจัดทำโครงการที่สามารถเริ่มดำเนินการได้ภายในปี ๒๕๖๑ เป็นลำดับแรก ๒.๒ ในการจัดทำโครงการโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งต่าง ๆ ให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาความจำเป็นเหมาะสมให้ครอบคลุมมิติด้านต่าง ๆ ให้ครบถ้วน รวมถึงความคุ้มค่าของการใช้จ่ายงบประมาณ เช่น กรณีการจะจัดทำโครงการพัฒนาท่าอากาศยานเชียงใหม่แห่งที่ ๒ ให้พิจารณาว่าการปรับปรุงท่าอากาศยานเดิมหรือการก่อสร้างท่าอากาศยานแห่งใหม่จะมีความเหมาะสม คุ้มค่ามากกว่ากัน ๒.๓ ในขั้นตอนการริเริ่มการดำเนินโครงการต่าง ๆ ให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสร้างการรับรู้และชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่เกี่ยวกับแนวทางการดำเนินโครงการและผลประโยชน์ที่จะได้รับจากการดำเนินโครงการดังกล่าวให้ถูกต้อง ทั่วถึง รวมทั้งให้ส่วนราชการพิจารณามาตรการในการเยียวยาประชาชนตามความจำเป็นเหมาะสมด้วย ๒.๔ ให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาทบทวนบทบาทหน้าที่ของกรมท่าอากาศยาน และบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ให้เกิดความชัดเจน เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนทางด้านพันธกิจ และเป็นประโยชน์ต่อการลดภาระงบลงทุนภาครัฐด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1264 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ในการขออนุญาตและการอนุญาตให้ส่งออก นำเข้า และนำผ่าน ราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. .... | พณ | 19/12/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ในการขออนุญาตและการอนุญาตให้ส่งออก นำเข้า และนำผ่าน ราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตให้ส่งออกไปนอกและนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ในการขออนุญาตและการอนุญาตให้ส่งออกไปนอกและนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า โดยให้สามารถรองรับการขออนุญาตและการอนุญาตนำผ่านซึ่งสินค้า ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้พิจารณาในประเด็นปัญหาข้อกฎหมายและความสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และให้รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศที่เห็นควรปรับถ้อยคำในร่างข้อ ๕ และร่างข้อ ๑๐ ของร่างกฎกระทรวงฯ เพื่อให้สอดคล้องกับร่างข้อ ๑๑ และร่างข้อ ๑๒ โดยใช้ถ้อยคำว่า “...เพื่อปฏิบัติให้เป็นไปตามความตกลงหรือพันธกรณีระหว่างประเทศ...” ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรประชาสัมพันธ์แนวทางปฏิบัติตามกฎกระทรวงฯ อย่างทั่วถึงหลังมีผลใช้บังคับ เพื่อให้ผู้ประกอบการเข้าใจและปฏิบัติตามกฎหมายได้อย่างถูกต้อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1265 | ผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ 7 | กต | 19/12/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ ๗ (7th Mekong-ROK Foreign Ministers’ Meeting) ระหว่างวันที่ ๓๑ สิงหาคม-๑ กันยายน ๒๕๖๐ ณ นครปูซาน สาธารณรัฐเกาหลี โดยมีนายวีระศักดิ์ ฟูตระกูล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมฯ และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุมฯ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมฯ ได้รับรองแผนปฏิบัติการความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี ปี ๒๕๖๐-๒๕๖๓ ซึ่งระบุรายการกิจกรรมและโครงการที่จะมีการดำเนินการต่อไปในช่วง ๓ ปีข้างหน้า โดยครอบคลุมความร่วมมือ ๖ สาขา ได้แก่ (๑) โครงสร้างพื้นฐาน (๒) เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (๓) การพัฒนาที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (๔) การพัฒนาทรัพยากรน้ำ (๕) การเกษตรและพัฒนาชนบท และ (๖) การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ รวมทั้งระบุข้อเสนอแนะแนวทางการปรับปรุงประสิทธิภาพของกองทุนและโครงการความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี (Mekong-ROK Cooperation Fund : MRCF) และการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคเอกชน ๒. ที่ประชุมฯ ได้รับรองถ้อยแถลงประธานร่วมการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ ๗ ซึ่งกล่าวถึงความคืบหน้าของความร่วมมือระหว่างประเทศลุ่มน้ำโขงและสาธารณรัฐเกาหลี และรับรองโครงการที่ประเทศสมาชิกเสนอเพื่อรับการสนับสนุนทางการเงินจากกองทุนความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี เช่น แนวทางและการรับรองอาคารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Buidings) ในกัมพูชา เสนอโดยกัมพูชา และการส่งเสริมการโยกย้ายถิ่นฐานอย่างปลอดภัยสำหรับแรงงานข้ามชาติที่ย้ายถิ่นชั่วคราวมายังประเทศไทย เสนอโดยไทย เป็นต้น ๓. รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้กล่าวถ้อยแถลงในที่ประชุมฯ โดยเน้นย้ำความต่อเนื่องของไทยในฐานะประเทศผู้นำในสาขาการเกษตรและการพัฒนาชนบทที่ได้สนับสนุนการดำเนินโครงการ “Comprehensive Training to Increase Efficiency of Rice Production in the Mekong Sub-region” และการแสดงความพร้อมของไทยที่จะส่งเสริมบทบาทอนุภูมิภาคในเวทีโลกในฐานะประธานการประชุมสุดยอดกรอบความร่วมมือต่าง ๆ ในอนาคตอันใกล้ ได้แก่ ACMECS ASEAN และ APEC
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1266 | การรายงานสถานะหนี้สาธารณะของประเทศ และผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2560 ณ วันที่ 30 กันยายน 2560 | กค | 19/12/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานะหนี้สาธารณะของประเทศ และผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๐ ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สถานะหนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๐ มียอดหนี้สาธารณะคงค้าง จำนวนทั้งสิ้น ๖,๓๖๙,๓๓๑.๓๑ ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๔๒.๓๙ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (Gross Domestic Product : GDP) โดยเป็นหนี้รัฐบาล จำนวน ๔,๙๕๙,๑๖๔.๔๑ ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจ จำนวน ๙๗๐,๒๑๖.๓๑ ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินซึ่งรัฐบาลเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ จำนวน ๔๒๖,๓๒๑.๐๔ ล้านบาท และหนี้หน่วยงานอื่นของรัฐ จำนวน ๑๓,๖๒๙.๕๕ ล้านบาท ๒. ผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๐ คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะได้จัดทำแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๐ เพื่อใช้เป็นกรอบในการบริหารจัดการหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ โดยได้มีการปรับปรุงแผนฯ แล้ว ๒ ครั้ง มีวงเงินรวมในแผนฯ ๑,๗๓๙,๐๐๗.๔๔ ล้านบาท โดย ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๐ กระทรวงการคลังและหน่วยงานต่าง ๆ ได้ดำเนินการกู้เงินและบริหารหนี้เป็นวงเงินทั้งสิ้น ๑,๖๙๕,๘๖๕.๔๙ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๙๗.๕๒ ของแผนฯ ๓. ปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินโครงการลงทุนตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๐ ของรัฐวิสาหกิจ จำนวน ๕ แห่ง ได้แก่ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย การรถไฟแห่งประเทศไทย องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ การเคหะแห่งชาติ และการประปาส่วนภูมิภาค พบว่ามีโครงการที่มีการดำเนินการล่าช้ากว่าแผน จำนวน ๘ โครงการ เช่น โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ๕ สายทาง โครงการความร่วมมือด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟระหว่างไทย-จีน ช่วงกรุงเทพ-นครราชสีมา และโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัย ชุดที่ ๑ ปี ๒๕๕๗ เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1267 | ขออนุมัติกู้เงินเพื่อใช้ในการดำเนินงานของการรถไฟแห่งประเทศไทย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 | คค | 19/12/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการกู้เงินของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ตามพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ มาตรา ๓๙ (๔) โดยให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกัน รวมทั้งพิจารณาวิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดตามความเหมาะสม สำหรับการกู้เงินเพื่อบรรเทาการขาดสภาพคล่องในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ วงเงิน ๑๑,๒๘๔ ล้านบาท โดยในส่วนของการขอยกเว้นค่าธรรมเนียมการค้ำประกัน ให้ รฟท. ดำเนินการขอความเห็นชอบต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น การดำเนินการตามแผนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของ รฟท. ให้เป็นไปตามแผนที่กำหนด การพัฒนาคุณภาพและยกระดับมาตรฐานการให้บริการ รวมทั้งขยายตลาดของกลุ่มผู้ใช้บริการระบบรางให้เพิ่มมากขึ้น การใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินของ รฟท. ให้เกิดประโยชน์สูงสุดเพื่อเป็นการเพิ่มรายได้ในระยะยาวของ รฟท. การปรับปรุงระบบข้อมูลด้านการเงินและบัญชีให้ถูกต้องตามหลักการบัญชีที่รับรองทั่วไป การดำเนินการตามประกาศหรือคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่เกี่ยวข้อง และปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี หนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนมาตรฐานของทางราชการ โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงคมนาคมกำกับดูแลให้ รฟท. ดำเนินการตามแผนการแก้ไขปัญหาองค์กรซึ่งได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจแล้วอย่างเคร่งครัด และรายงานผลการดำเนินการตามแผนการแก้ไขปัญหาองค์กร รวมทั้งผลประกอบการและการจัดสรรรายได้เพื่อการชำระหนี้เงินกู้ต่อคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจทราบอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณากำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาและฟื้นฟูกิจการของ รฟท. โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของปัญหาการขาดสภาพคล่องในอนาคตให้มีประสิทธิภาพ และเกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1268 | ผลการประชุมคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2560 | ดศ | 12/12/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๖๐ ซึ่งผ่านการรับรองจากคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเรียบร้อยแล้ว โดยที่ประชุมฯ ได้มีมติรับทราบและเห็นชอบเรื่องที่ส่งผลต่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลและการดำเนินงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งส่งผลกระทบต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศหลายเรื่อง เช่น การบริการด้านสุขภาพด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล (e-Health) ซึ่งสามารถเพิ่มโอกาสและความสะดวกในการเข้าถึงบริการสาธารณสุขของประชาชน การกำหนดพื้นที่เป้าหมายของโครงการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ (Smart City) ระยะ ๕ ปี ซึ่งเป็นเมืองต้นแบบในการนำสายสื่อสารลงดิน และแนวทางการบริหารจัดการหมายเลขโทรคมนาคมและแผนการปรับปรุงโครงข่ายโทรคมนาคมเพื่อรองรับการให้บริการภายใต้หมายเลขโทรคมนาคมระยะยาว (การปรับเปลี่ยนหมายเลขโทรศัพท์ประจำจากเดิม ๙ หลัก เป็น ๑๐ หลัก) เพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมโทรคมนาคมของประเทศในระยะยาว เป็นต้น ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ ๒. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับงบประมาณดำเนินการให้ส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมในแต่ละปีงบประมาณต่อไป ทั้งนี้ กรณีหน่วยงานที่มีรายได้ เห็นควรให้นำเงินรายได้มาใช้ดำเนินโครงการ หรือนำมาสมทบกับเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีในการดำเนินงานตามภารกิจของหน่วยงานเป็นลำดับแรก ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. มอบหมายให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) เตรียมการดำเนินการเพื่อให้โครงข่ายของบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) สามารถรองรับการให้บริการภายใต้แผนเลขหมายโทรคมนาคมระยะยาวของประเทศไทย ภายในวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๔ ทั้งนี้ ในขั้นตอนของการอนุมัติและดำเนินงานตามโครงการให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ดำเนินการตามขั้นตอนให้ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ๔. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเร่งหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาแนวทางการใช้ประโยชน์จากโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง (เน็ตประชารัฐ) ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจภายในประเทศตามแนวนโยบาย Thailand 4.0
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1269 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 12/12/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ให้กระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร) ร่วมกับกระทรวงยุติธรรม (กรมสอบสวนคดีพิเศษ) เร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาการตรวจปล่อยรถยนต์ที่นำเข้ามาในราชอาณาจักร ซึ่งอยู่ระหว่างตรวจสอบการสำแดงราคาต่ำกว่าความเป็นจริง หรือกรณีอื่น ๆ ทั้งนี้ ให้กำชับเจ้าหน้าที่เร่งดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๒. ด้านการต่างประเทศ ให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงวัฒนธรรมและกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาจัดเตรียมการแสดงสำหรับการประชุม ASEAN ซึ่งประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ เพื่อสร้างความประทับใจให้แก่ผู้เข้าร่วมประชุม โดยแบ่งการแสดงออกเป็น ๔ กลุ่ม คือ (๑) การแสดงพื้นเมืองที่สะท้อนประเพณีวัฒนธรรมของภูมิภาคต่าง ๆ ของไทย (๔ ภาค) (๒) การแสดงโขนและหุ่นกระบอก (๓) การแสดงดนตรีและการขับร้องบทเพลงในรูปแบบที่ทันสมัยโดยนักร้องที่ผ่านการประกวดจากเวทีคุณภาพต่าง ๆ และ (๔) การแสดงที่สื่อเห็นถึงความมีเอกภาพและเชื่อมโยงกันของประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาค เช่น ASEAN Connectivity ในรูปแบบที่ยิ่งใหญ่อลังการ ๓. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๓.๑ ให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล) กำกับให้กรมประชาสัมพันธ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดให้มีคณะปฏิบัติการข่าวสาร (Information Operation) ๖ คณะ ตามกลุ่มภารกิจ (ด้านความมั่นคง ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม ด้านการต่างประเทศ ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม และด้านการบริหารราชการแผ่นดิน) โดยให้คณะปฏิบัติการข่าวสารดังกล่าวมีหน้าที่สำคัญในการปฏิบัติการข่าวสารในเรื่องที่เป็นนโยบายหรือภารกิจสำคัญของรัฐบาลภายใต้กลุ่มภารกิจนั้น ๆ เพื่อสื่อสารและสร้างการรับรู้แก่ประชาชนให้ถูกต้อง ทั่วถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นที่มีผลกระทบโดยตรงต่อประชาชน ประเด็นที่ประชาชนให้ความสนใจเป็นอย่างมาก หรือประเด็นที่สื่อมวลชนอาจนำเสนอข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง ครบถ้วน ในรูปแบบและผ่านช่องทางการสื่อสารที่หลากหลาย มีความถี่ในการสื่อสารที่เหมาะสม โดยคำนึงถึงการเข้าถึงประชาชนทุกกลุ่มในสังคม ทั้งนี้ ให้กรมประชาสัมพันธ์นำเสนอรายชื่อคณะปฏิบัติการข่าวสารดังกล่าวให้นายกรัฐมนตรีโดยด่วน ๓.๒ ให้กระทรวงยุติธรรมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ มาตราส่วน ๑ : ๔๐๐๐ (One Map) โดยเฉพาะพื้นที่ที่แนวเขตที่ดินได้ข้อยุติแล้ว เพื่อให้สามารถนำมาใช้ประโยชน์ต่อไปได้ ๓.๓ ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดให้มีการลงทะเบียนผู้ประสบอุทกภัยที่ต้องการให้รัฐจัดหาที่อยู่อาศัยแทนที่อยู่อาศัยเดิม ซึ่งตั้งอยู่ในแนวกีดขวางทางน้ำหรืออยู่ในเขตที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดดินถล่ม และได้รับผลกระทบจากปัญหาอุทกภัยเป็นประจำทุกปี และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาจัดหาพื้นที่เพื่อสร้างที่อยู่อาศัยแห่งใหม่ให้เหมาะสมและเพียงพอ โดยให้พิจารณาจัดสร้างเป็นที่อยู่อาศัยในลักษณะของบ้านสำเร็จรูป (Knockdown) ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการก่อสร้างที่อยู่อาศัยหรือสิ่งก่อสร้างที่กีดขวางทางน้ำด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1270 | รายงานประจำครึ่งปี (มกราคม - มิถุนายน 2560) ของธนาคารแห่งประเทศไทย | กค | 04/12/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำครึ่งปี (มกราคม-มิถุนายน ๒๕๖๐) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. สรุปภาวะเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีแรกของปี ๒๕๖๐ มีทิศทางขยายตัวชัดเจนมากขึ้นที่ร้อยละ ๓.๕ โดยมีแรงขับเคลื่อนหลักมาจากการภาคการส่งออกสินค้าและบริการที่ขยายตัวดีตามเศรษฐกิจโลก ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปตามรายได้ในภาคเกษตรกรรมที่ปรับดีขึ้นเป็นสำคัญ สำหรับเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินในประเทศอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่น่ากังวล ส่วนเสถียรภาพด้านต่างประเทศของไทยยังคงอยู่ในเกณฑ์ดี ๒. สรุปการดำเนินงานของ ธปท. ๒.๑ ด้านนโยบายการเงิน คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เห็นว่า การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติมในเวลานี้อาจไม่สามารถช่วยให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเร่งขึ้นได้มากนัก อีกทั้งยังประเมินว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะมีทิศทางปรับสูงขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๖๐ กนง. จึงมีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ ๑.๕๐ ในช่วงครึ่งแรกของปี ๒๕๖๐ ๒.๒ ด้านนโยบายสถาบันการเงิน ธปท. อยู่ระหว่างการปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสถาบันการเงิน เช่น แนวทางการกำกับดูแลเกี่ยวกับการจัดชั้นและการกันเงินสำรองเพื่อรองรับมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ ๙ (IFRS 9) ส่วนด้านนโยบายการกำกับตรวจสอบ ธปท. ได้ให้ธนาคารพาณิชย์จัดทำ Supervisory Stress Test ภายใต้สถานการณ์จำลองที่กำหนด เพื่อประเมินผลกระทบของสถานการณ์จำลองต่อเสถียรภาพระบบการเงินในระยะ ๓ ปีข้างหน้า (ปี ๒๕๖๐-๒๕๖๒) สำหรับการตรวจสอบด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ได้ตรวจสอบด้านการเตรียมความพร้อมในการรับมือภัยไซเบอร์ และระบบรองรับ National e-Payment และการดำเนินการตามแผนการยกระดับความปลอดภัยของ ATM ๒.๓ ด้านนโยบายระบบการชำระเงิน ธปท. ได้ผลักดันการดำเนินงานภายใต้แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ (National e-Payment) และร่วมกับกระทรวงการคลังผลักดันร่างพระราชบัญญัติระบบการชำระเงิน พ.ศ. .... (ปัจจุบันได้ประกาศใช้แล้วเมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๖๐) รวมทั้งร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เพื่อยกระดับการกำกับดูแลบริการการชำระเงินผ่านโทรศัพท์มือถือ นอกจากนี้ ธปท. ได้ดำเนินการปรับปรุงการบริหารจัดการความเสี่ยงของระบบบาทเนต (Bank of Thailand Automated High-value Transfer Network : BAHTNET)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1271 | ร่างปฏิญญาระดับรัฐมนตรีของการประชุมสมัชชาสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ สมัยที่ 3 | ทส | 04/12/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบ เห็นชอบ และอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบองค์ประกอบคณะผู้แทนประเทศไทยในการเข้าร่วมการประชุมสมัชชาสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ สมัยที่ ๓ (The third session of the United Nations Environment Assembly : UNEA 3) ระหว่างวันที่ ๔-๖ ธันวาคม ๒๕๖๐ ณ กรุงไนโรบี สาธารณรัฐเคนยา ประกอบด้วย เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรแห่งประเทศไทยประจำสหประชาชาติ ณ กรุงไนโรบี สาธารณรัฐเคนยา เป็นหัวหน้าคณะ ผู้แทนกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ และผู้แทนกระทรวงสาธารณสุข ๑.๒ เห็นชอบร่างปฏิญญาระดับรัฐมนตรี (Ministerial Declaration) ของ UNEA 3 เป็นเอกสารที่แสดงถึงการตระหนักว่า มลพิษที่เกิดขึ้นในทุกรูปแบบ ทั้งทางอากาศ ดิน และน้ำ ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพ สังคม ระบบนิเวศ เศรษฐกิจ ความมั่นคง และความอยู่รอดของมนุษย์ และยังเชื่อมโยงกับปัญหาอื่นและเกี่ยวข้องกับการพัฒนาอย่างยั่งยืน อาทิ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ ความเสื่อมโทรมของระบบนิเวศ ซึ่งการแก้ไขปัญหามลพิษเป็นการส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืนของประเทศ ทั้งการต่อสู้ความยากจน การปรับปรุงให้มีสุขภาพที่ดีขึ้น การสร้างงานที่เหมาะสม การปรับปรุงให้สิ่งมีชีวิตทั้งบนบกและในน้ำให้ดีขึ้น และการลดภาวะโลกร้อน ๑.๓ เห็นชอบกรอบคำมั่นโดยสมัครใจที่ประเทศไทยจะประกาศเพื่อให้นานาชาติทราบว่า ประเทศไทยมีความตื่นตัวในการแก้ปัญหามลพิษ โดยมีกรอบคำมั่นโดยสมัครใจที่ยึดตามนโยบายของรัฐบาล ยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี และยุทธศาสตร์การจัดการมลพิษ ๒๐ ปี โดยจะนำเสนอผลการดำเนินงานของรัฐบาลที่เป็นรูปธรรมที่ชัดเจน ๑.๔ อนุมัติให้หัวหน้าคณะผู้แทนไทยหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายร่วมให้การรับรองในร่างปฏิญญาฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1272 | แนวทางการเสนอแผนเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี | นร11 | 04/12/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับแนวทางการเสนอแผนเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี
๑. เห็นชอบการจำแนกแผนออกเป็น ๓ ระดับ ประกอบด้วย ๑.๑ แผนระดับที่ ๑ ได้แก่ ยุทธศาสตร์ชาติ (ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ) ๑.๒ แผนระดับที่ ๒ ได้แก่ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ แผนปฏิรูปประเทศ และแผนความมั่นคง (ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ) ๑.๓ แผนระดับที่ ๓ หมายถึง แผนที่จัดทำขึ้นเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของแผนระดับที่ ๑ และแผนระดับที่ ๒ ให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ หรือจัดทำขึ้นตามที่กฎหมายกำหนด หรือจัดทำขึ้นตามพันธกรณีหรืออนุสัญญาระหว่างประเทศ เช่น แผนของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐต่าง ๆ แผนบูรณาการ รวมถึงแผนปฏิบัติการทุกระดับ ๒. เห็นชอบวิธีการเสนอแผนและการตั้งชื่อแผนของแผนในระดับที่ ๑ และแผนระดับที่ ๒ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ซึ่งวิธีการเสนอทั้ง ๒ ระดับดังกล่าวเป็นขั้นตอนตามกฎหมายกำหนด สำหรับการเสนอแผนระดับที่ ๓ ให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐเสนอแผนระดับที่ ๓ ไปยังสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเพื่อพิจารณากลั่นกรองตามขั้นตอนที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ โดยในการจัดทำแผนให้หน่วยงานเจ้าของแผนดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑ ระบุถึงความสอดคล้องของแผนที่เสนอกับยุทธศาสตร์ชาติ และแผนในระดับที่ ๒ ให้ชัดเจน และกำหนดองค์ประกอบของแผนที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงการสนับสนุนการขับเคลื่อนแผนระดับที่ ๑ และแผนระดับที่ ๒ ให้สามารถบรรลุเป้าหมายในการพัฒนาประเทศตามแนวทางของยุทธศาสตร์ชาติ ๒.๒ มีเป้าหมายและตัวชี้วัดที่ชัดเจนเป็นรูปธรรม รวมทั้งกลไกการติดตามประเมินผล และควรคำนึงถึงวงเงินของประเทศ ๒.๓ กรณีที่แผนส่งผลกระทบต่อประเทศอย่างกว้างขวาง ก่อนเสนอสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ให้รับฟังความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้องและวิเคราะห์ผลกระทบอย่างรอบด้าน รวมทั้งสร้างการรับรู้และความเข้าใจกับผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน ทั้งนี้ ในกรณีที่แผนกำหนดให้ต้องมีการทำงานร่วมกันกับหลายหน่วยงาน ให้หน่วยงานเจ้าของแผนหารือร่วมกับหน่วยงาน/ภาคีที่เกี่ยวข้อง เพื่อบูรณาการแนวทางการดำเนินการด้วย ๒.๔ กำหนดให้ใช้ชื่อแผนระดับที่ ๓ ว่า “แผนปฏิบัติการด้าน .... ระยะที่ .... (พ.ศ. ....-....)” เว้นแต่ในกรณีที่มีบทบัญญัติตามกฎหมายที่กำหนดชื่อแผนไว้แล้ว ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงการคลังและกระทรวงพาณิชย์ที่เห็นว่า ในกรณีการจัดทำแผนบูรณาการที่ต้องมีการดำเนินการร่วมกันหลายหน่วยงานโดยไม่ได้มีข้อกำหนดตามกฎหมายให้ต้องเสนอคณะรัฐมนตรี ควรพิจารณาถึงกรณีแผนที่มีการจัดทำขึ้นใหม่ให้สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจและสังคมในขณะนั้น ซึ่งอาจจำเป็นต้องมีมติคณะรัฐมนตรีรองรับเพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถนำไปปฏิบัติตามได้ และกรณีการจัดทำแผนปฏิบัติการของส่วนราชการควรคำนึงถึงระดับชั้นความลับของแผนด้วย เช่น กรณีการจัดทำแผนภายในที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงอัตราภาษี เป็นต้น นอกจากนี้ ควรกำหนดระยะเวลาของขั้นตอนการดำเนินงานเพื่อเป็นกรอบในการทำงานของหน่วยงานต่าง ๆ ให้ชัดเจน รวมทั้งควรพิจารณาทบทวน และกำหนดประเภทแผนต่าง ๆ ในระดับ ๓ ให้ชัดเจน เนื่องจากบางแผนมีคณะกรรมการระดับชาติทำหน้าที่พิจารณากลั่นกรองและให้ความเห็นชอบก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอยู่แล้ว ไปเพื่อประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไป ๔. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเร่งรัดการดำเนินการปรับปรุงแก้ไขร่างพระราชบัญญัติพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พ.ศ. .... ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง สรุปสาระสำคัญการประชุมคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์ ครั้งที่ ๖/๒๕๖๐) ให้แล้วเสร็จโดยด่วน ๕. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติชี้แจงและสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับแนวทางการเสนอแผนที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้ความเห็นชอบกับทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐให้ถูกต้องทั่วถึง ๖. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีดำเนินการส่งแผนของส่วนราชการต่าง ๆ ที่อยู่ระหว่างดำเนินการของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีพร้อมด้วยความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคืนหน่วยงานเจ้าของแผน เพื่อถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีในเรื่องนี้ต่อไป ๗. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาทบทวนกฎหมายที่บังคับใช้อยู่ในปัจจุบัน รวมทั้งการเสนอร่างกฎหมายต่าง ๆ ในอนาคต เพื่อมิให้มีบทบัญญัติให้หน่วยงาน/คณะกรรมการต้องเสนอแผนต่อคณะรัฐมนตรีโดยไม่จำเป็น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1273 | ภาพรวมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งภาคใต้ของกระทรวงคมนาคม | คค | 28/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบกรอบการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งภาคใต้ ๔ ด้านหลัก ซึ่งแต่ละด้านมีโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ และจะดำเนินการต่อไปในอนาคต ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้
๑. การพัฒนา/ปรับปรุง โครงสร้างพื้นฐานทางถนน อำนวยความสะดวกในการเดินทางของประชาชนให้เกิดความปลอดภัย มีประสิทธิภาพพร้อมรองรับการพัฒนาเศรษฐกิจ ๑.๑ โครงการสำคัญในพื้นที่ภาคใต้ ได้แก่ โครงการทางหลวงเชื่อมโยงประเทศมาเลเซีย (ช่วงจังหวัดสงขลา) และโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการคมนาคมถนนเพชรเกษมเชื่อมโยงจังหวัดภูเก็ต พังงา กระบี่ และตรัง ๑.๒ โครงการสำคัญในพื้นที่ภาคใต้ชายแดน ได้แก่ สะพานข้ามแม่น้ำโกลก ๒ แห่ง (ที่อำเภอตากใบ และอำเภอสุไหงโก-ลก) และโครงการถนนสายบือเล็งใต้-โกตาบารู (รวมสะพานข้ามแม่น้ำสายบุรี) ๒. การพัฒนาโครงข่ายคมนาคมสนับสนุนแหล่งท่องเที่ยวชั้นนำ ๒.๑ โครงการสำคัญในพื้นที่ภาคใต้ ได้แก่ โครงการถนนเพื่อการท่องเที่ยวเลียบชายฝั่งทะเลตะวันตกในพื้นที่จังหวัดระยองและจังหวัดชุมพร โครงการศึกษาความเหมาะสมและสำรวจออกแบบท่าเทียบเรือสำราญขนาดใหญ่ (Cruise) ที่จังหวัดกระบี่และเกาะสมุย และโครงการปรับปรุงและพัฒนาท่าอากาศยานหาดใหญ่ ภูเก็ต กระบี่ สุราษฎร์ธานี ตรัง และนครศรีธรรมราช ๒.๒ โครงการสำคัญในพื้นที่ภาคใต้ชายแดน ได้แก่ โครงการปรับปรุงและพัฒนาท่าอากาศยานนราธิวาส และเบตง ๓. การพัฒนาโครงข่ายการคมนาคมขนส่งทางน้ำเพื่อเป็นประตูการค้า การลงทุน ๓.๑ โครงการสำคัญในพื้นที่ภาคใต้ ได้แก่ โครงการก่อสร้างท่าเทียบเรือน้ำลึกสงขลา แห่งที่ ๒ ๓.๒ โครงการสำคัญในพื้นที่ภาคใต้ชายแดน ได้แก่ โครงการขุดลอกและบำรุงรักษาร่องน้ำชายฝั่งทะเลอ่าวปัตตานี โครงการปรับปรุงท่าเทียบเรือชายฝั่งปัตตานี และศึกษาความเหมาะสมเพื่อปรับปรุงขยายท่าเทียบเรือปัตตานีให้รองรับได้ขนาดมากกว่า ๕,๐๐๐ ตันกรอส ๔. การพัฒนาโครงข่ายคมนาคมขนส่งทางรถไฟ เพื่อความสะดวกในการเดินทางของประชาชนอย่างยั่งยืน ๔.๑ โครงการสำคัญในพื้นที่ภาคใต้ ได้แก่ โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ จำนวน ๖ เส้นทาง เช่น ช่วงชุมพร-สุราษฎร์ธานี ช่วงสุราษฎร์ธานี-หาดใหญ่-สงขลา และช่วงสุราษฎร์ธานี-พังงา-ภูเก็ต และโครงการระบบขนส่งมวลชนภูเก็ต ๔.๒ โครงการสำคัญในพื้นที่ภาคใต้ชายแดน ได้แก่ โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงหาดใหญ่-ปาดังเบซาร์
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1274 | สรุปผลการปฏิบัติราชการของคณะรัฐมนตรีในพื้นที่ภาคใต้และภาคใต้ชายแดน | นร11 | 28/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแนวทางและข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีในการปฏิบัติราชการในพื้นที่ภาคใต้และภาคใต้ชายแดน และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ และเห็นชอบตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอขอให้เพิ่มเติมโครงการภายใต้การพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพโครงข่ายถนน จำนวน ๑ โครงการ ได้แก่ โครงการปรับปรุงถนนสายบ้านศาลาด่าน-บ้านสังกาอู้ อำเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดลำดับความสำคัญของโครงการต่าง ๆ เพื่อนำไปสู่การพิจารณาปรับปรุงและจัดทำแผนปฏิบัติการของแต่ละโครงการต่อไป โดยให้กำหนดระยะเวลาการดำเนินงานและผลสัมฤทธิ์ของโครงการที่คาดว่าจะได้รับในแต่ละช่วงเวลาให้ชัดเจน เช่น แผนงาน/โครงการ ที่จะดำเนินการและผลสัมฤทธิ์ที่คาดว่าจะได้รับในระยะเวลา ๑ ปี และในระยะเวลา ๓ ปี เป็นต้น เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อการแก้ไขปัญหาตามความจำเป็นเร่งด่วน และสอดคล้องกับความต้องการของประชาชนได้อย่างแท้จริง ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1275 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการปฏิบัติการตามความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อความร่วมมือในการปรับปรุงการปฏิบัติตามการภาษีอากรระหว่างประเทศ พ.ศ. .... | สว | 21/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการปฏิบัติการตามความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อความร่วมมือในการปรับปรุงการปฏิบัติตามการภาษีอากรระหว่างประเทศ พ.ศ. .... โดยกระทรวงการคลังได้ประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และรายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการ ดังนี้ ได้จัดทำร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดผู้มีหน้าที่รายงานตามพระราชบัญญัติการปฏิบัติการตามความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อความร่วมมือในการปรับปรุงการปฏิบัติตามการภาษีอากรระหว่างประเทศ พ.ศ. .... เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของสถาบันการเงินที่มีหน้าที่รายงานข้อมูล ซึ่งได้มีการนำเสนอร่างพระราชกฤษฎีกาฉบับดังกล่าวต่อที่ประชุมคณะกรรมาธิการฯ พิจารณาด้วยแล้ว และกระทรวงการคลังจะได้นำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป นอกจากนี้ กระทรวงการคลังได้นำส่งข้อสังเกตเกี่ยวกับการออกกฎกระทรวงของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการรายงานข้อมูลซึ่งจำเป็นต้องกำหนดรูปแบบโดยใช้ภาษาไทยควบคู่กับภาษาอังกฤษด้วย และรัฐควรอำนวยความสะดวกโดยกำหนดให้สามารถรายงานได้ทั้งในรูปแบบเอกสารและรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ ให้กรมสรรพากรดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปแล้ว ส่วนการดำเนินการแก้ไขปัญหาความแตกต่างระหว่างความตกลง FATCA ฉบับภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการประสานกับเจ้าหน้าที่ของกระทรวงการคลังของประเทศสหรัฐอเมริกาเพื่อขอดำเนินการปรับปรุงในส่วนของคำแปลในฉบับภาษาไทยให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของความตกลง FATCA และในการจัดทำคู่มือแนวทางการปฏิบัติตามความตกลง FATCA นั้น กระทรวงการคลังได้แต่งตั้งคณะทำงานจัดทำคู่มือเพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติตามความตกลง FATCA แล้ว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1276 | ร่างระเบียบว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการสรรหาประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. .... | ดศ | 21/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการสรรหาประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงระเบียบว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการสรรหาประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๕๔ เพื่อให้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์การสรรหาประธานกรรมการและกรรมการในคณะกรรมการองค์การมหาชน ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและสำนักงาน ก.พ.ร. ที่เห็นควรแก้ไขเพิ่มเติมร่างระเบียบฯ บางประการ รวมทั้งแก้ไขหลักเกณฑ์การสรรหาประธานกรรมการและกรรมการในร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่อยู่ระหว่างการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อมิให้ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีอีก ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. เกี่ยวกับการแก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่อยู่ระหว่างการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปพิจารณาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1277 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดชื่อสถานพยาบาล และการแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับชื่อสถานพยาบาล ผู้ประกอบวิชาชีพในสถานพยาบาล อัตราค่ารักษาพยาบาล ค่ายาและเวชภัณฑ์ ค่าบริการทางการแพทย์ ค่าบริการอื่นและสิทธิของผู้ป่วย พ.ศ. .... | สธ | 21/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดชื่อสถานพยาบาล และการแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับชื่อสถานพยาบาล ผู้ประกอบวิชาชีพในสถานพยาบาล อัตราค่ารักษาพยาบาล ค่ายาและเวชภัณฑ์ ค่าบริการทางการแพทย์ ค่าบริการอื่นและสิทธิของผู้ป่วย พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงกฎกระทรวงกำหนดชื่อสถานพยาบาลและการแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับชื่อสถานพยาบาล ผู้ประกอบวิชาชีพในสถานพยาบาล อัตราค่ารักษาพยาบาล ค่าบริการและสิทธิของผู้ป่วย พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อให้การกำหนดชื่อสถานพยาบาลและการแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับชื่อสถานพยาบาล ผู้ประกอบวิชาชีพในสถานพยาบาล อัตราค่ารักษาพยาบาล ค่ายาและเวชภัณฑ์ ค่าบริการทางการแพทย์ ค่าบริการและสิทธิของผู้ป่วย เป็นไปอย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับพระราชบัญญัติสถานพยาบาล (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1278 | ร่างกฎ ก.ค.ศ. ว่าด้วยอำนาจการลงโทษภาคทัณฑ์ ตัดเงินเดือน หรือลดเงินเดือน พ.ศ. .... | ศธ | 21/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎ ก.ค.ศ. ว่าด้วยอำนาจการลงโทษภาคทัณฑ์ ตัดเงินเดือน หรือลดเงินเดือน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงกฎ ก.ค.ศ. ว่าด้วยอำนาจการลงโทษภาคทัณฑ์ ตัดเงินเดือน หรือลดเงินเดือน พ.ศ. ๒๕๔๙ เพื่อให้สอดคล้องกับการปฏิรูประบบการศึกษาที่กำหนดให้มีสำนักงานศึกษาธิการภาคและสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดเป็นหน่วยงานการศึกษา และสอดคล้องกับการปรับเปลี่ยนโครงสร้างบัญชีเงินเดือนข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา จากระบบขั้นเงินเดือนมาเป็นบัญชีขั้นต่ำขั้นสูงซึ่งจะต้องมีการเลื่อนเงินเดือนเป็นร้อยละ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1279 | ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ทส | 21/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงกระบวนการและขั้นตอน การจัดทำ การเสนอ และการพิจารณารายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมให้มีความโปร่งใส สามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว และสร้างการมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคม เพื่อให้มีมาตรฐานอันเป็นที่ยอมรับและได้รับความเชื่อมั่นจากทุกภาคส่วน และเพื่อให้เป็นไปตามมาตรา ๕๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และให้เสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1280 | การขอใช้และเชื่อมโยงฐานข้อมูลประชาชนในความครอบครองของหน่วยงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ | นร06 | 21/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการการเข้าใช้และเชื่อมโยงฐานข้อมูลประชาชนในความครอบครองของหน่วยงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ ตามที่สำนักข่าวกรองแห่งชาติเสนอ และให้สำนักข่าวกรองแห่งชาติ หน่วยงานเจ้าของข้อมูล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเกี่ยวกับการใช้และเชื่อมโยงฐานข้อมูลประชาชนให้ถูกต้องเป็นไปตามกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดต่อไป ทั้งนี้ ให้สำนักข่าวกรองแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นควรมีมาตรการ และ/หรือระบบที่ชัดเจน เพื่อตรวจสอบข้อมูลตามภารกิจและป้องกันการนำข้อมูลไปใช้นอกเหนือภารกิจหรือกระทำการใด ๆ และเมื่อสำนักข่าวกรองแห่งชาติได้เชื่อมโยงข้อมูลแล้ว การนำข้อมูลไปใช้ในการประมวลผล วิเคราะห์ เผยแพร่ และแลกเปลี่ยนข้อมูล โดยเฉพาะข้อมูลส่วนบุคคลควรระวังและกำหนดมาตรการบริหารจัดการที่ชัดเจนเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒. เมื่อมีการเชื่อมโยงฐานข้อมูลประชาชนดังกล่าวแล้ว ให้สำนักข่าวกรองแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันกำหนดมาตรการคุ้มครองและรักษาความปลอดภัยในการเข้าถึงข้อมูล รวมทั้งระบบการตรวจสอบหรือการป้องกันการนำข้อมูลไปใช้นอกเหนือภารกิจหรือการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลให้ชัดเจนด้วย ๓. ให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งพิจารณาดำเนินการปรับปรุงกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องให้สามารถรองรับการดำเนินการเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนข้อมูลในการบูรณาการฐานข้อมูลประชาชนและบริการภาครัฐตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๙ (เรื่อง แนวทางการดำเนินการบูรณาการฐานข้อมูลประชาชนและบริการภาครัฐ) ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว รวมทั้งพิจารณาวิธีการหรือแนวทางในการเข้าถึงและการใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูลต่าง ๆ เช่น ข้อมูลในการอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจแบบครบวงจร (Doing Business Portal) เพื่อเป็นการส่งเสริมประสิทธิภาพการดำเนินงานของภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
.....
