ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 1 - 20 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 1 | มาตรการอัตราค่าโดยสารสูงสุด 20 บาท ตลอดสาย ตามนโยบายรัฐบาล สำหรับรถไฟชานเมืองสายสีแดง สายนครวิถี (กรุงเทพอภิวัฒน์ - ตลิ่งชัน) และสายธานีรัถยา (กรุงเทพอภิวัฒน์ - รังสิต) ของการรถไฟแห่งประเทศไทย และรถไฟฟ้ามหานคร สายฉลองรัชธรรม (สายสีม่วง) ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย | คค. | 30/09/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘
กรกฎาคม ๒๕๖๘ เฉพาะในส่วนของข้อ ๑.๑ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
เพื่อขยายกรอบเวลาของการดำเนินมาตรการอัตราค่าโดยสารสูงสุด ๒๐ บาท ตลอดสาย
ตามนโยบายรัฐบาล สำหรับรถไฟชานเมืองสายสีแดง สายนครวิถี (กรุงเทพอภิวัฒน์-ตลิ่งชัน)
และสายธานีรัถยา (กรุงเทพอภิวัฒน์-รังสิต) ของการรถไฟแห่งประเทศไทย
และรถไฟฟ้ามหานคร สายฉลองรัชธรรม (สายสีม่วง)
ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย เป็นสิ้นสุดในวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๘ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมเร่งแต่งตั้งคณะทำงานขึ้น
โดยให้มีผู้แทนของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นองค์ประกอบของคณะทำงานอย่างครบถ้วน
เพื่อศึกษา วิเคราะห์ และประเมินความเหมาะสมและคุ้มค่าของการดำเนินมาตรการอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสูงสุด
๒๐ บาท ตลอดสาย และพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินมาตรการในระยะต่อไปให้เหมาะสม
มีความยั่งยืน
เป็นประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนและไม่ก่อให้เกิดภาระต่องบประมาณหรือภาระทางการคลังเกินความจำเป็น
แล้วให้นำผลการพิจารณาเสนอต่อคณะรัฐมนตรีโดยด่วนภายในวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๘ ๓. ให้กระทรวงคมนาคม การรถไฟแห่งประเทศไทย
และการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น สำนักงบประมาณ เห็นควรให้กระทรวงคมนาคมประเมินผลและความคุ้มค่าของการดำเนินมาตรการดังกล่าว
โดยเปรียบเทียบปริมาณผู้โดยสารและรายได้ที่เพิ่มขึ้น กับภาระค่าใช้จ่ายที่ภาครัฐต้องชดเชยหรือสูญเสียรายได้
เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการดำเนินมาตรการ หรือนโยบายด้านคมนาคมขนส่งของประเทศในอนาคต
รวมทั้งเร่งดำเนินการปรับปรุงวิธีการเก็บค่าโดยสาร
และการใช้บัตรโดยสารร่วมสำหรับการเดินทางข้ามโครงข่าย
ให้สอดคล้องกับร่างพระราชบัญญัติตั๋วร่วม พ.ศ. ....
เพื่ออำนวยความสะดวกและลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางด้วยโครงข่ายระบบรถไฟฟ้าของประชาชนต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2 | ข้อเสนอการปรับปรุงโครงการพัฒนานักบริหารการเปลี่ยนแปลงรุ่นใหม่ | นร.12 | 02/09/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบข้อเสนอการปรับปรุงโครงการพัฒนานักบริหารการเปลี่ยนแปลงรุ่นใหม่
ประกอบด้วย (๑) หลักการพัฒนานักบริหารการเปลี่ยนแปลงรุ่นใหม่ (นปร.) (๒)
วัตถุประสงค์ในการพัฒนา นปร. (๓) สมรรถนะหลักของ นปร. (๔)
การคัดเลือกผู้เข้าร่วมโครงการพัฒนา นปร. (๕) สถานภาพผู้เข้าร่วมโครงการพัฒนา นปร.
(๖) แนวทางการพัฒนาผู้เข้าร่วมโครงการพัฒนา นปร. (๗) การประเมินผลและการจัดสรร และ
(๘) การออกจากโครงการพัฒนา นปร. การออกจากราชการ และการชดใช้ทุน ตามที่คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเสนอ ให้คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ สำนักงาน ก.พ.ร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงยุติธรรม
กระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงาน
ก.พ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ รวมทั้งข้อเสนอแนะของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และกระทรวงศึกษาธิการไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
เห็นควรพิจารณาการจัดตั้งศูนย์สนับสนุนการเปลี่ยนแปลงภาครัฐ (Gov Change Center) เพื่อทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงให้กับผู้ผ่านโครงการ
ให้คำปรึกษาเชิงเทคนิคและติดตามประเมินผลการดำเนินโครงการหลังสิ้นสุดหลักสูตร รวมทั้งพิจารณาจัดสรรนักบริหารการเปลี่ยนแปลงรุ่นใหม่
ไปยังหน่วยงานของรัฐในรูปแบบอื่น ๆ และในการจัดสรรนักบริหารการเปลี่ยนแปลงรุ่นใหม่ไปปฏิบัติราชการ
ณ ส่วนราชการต่าง ๆ นั้น
ควรให้มีการประสานการดำเนินการอย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานที่ประสงค์จะรับนักบริหารการเปลี่ยนแปลงรุ่นใหม่ไปปฏิบัติราชการ
เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการปฏิบัติงานในหน่วยงานผู้รับได้ทันที
เมื่อสำเร็จการฝึกอบรมจากโครงการ กระทรวงสาธารณสุข เห็นว่าประเด็นสถานภาพผู้เข้าร่วมโครงการฯ
กรณีข้าราชการที่กำหนดไว้เพียงว่า “ระหว่างการเข้าร่วมโครงการฯ ให้เป็นข้าราชการช่วยราชการสำนักงาน
ก.พ.ร.” ควรปรับเงื่อนไขให้มีทางเลือกเพิ่มมากขึ้น และควรมีสิ่งจูงใจด้านความก้าวหน้าในสายอาชีพข้าราชการภายหลังเข้าร่วมโครงการ
เพื่อเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนองค์การต่อไป รวมถึงการจัดสรร นปร.
ประเภทบุคคลทั่วไป และให้ส่วนราชการมีส่วนร่วมในการพิจารณาคัดเลือก นปร.
ที่จบตามระยะเวลาโครงการฯ เข้ามาปฏิบัติงานในส่วนราชการ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3 | ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ลำดับเกียรติเครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทย พ.ศ. .... | นร.05 | 26/08/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง
ลำดับเกียรติเครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทย พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงลำดับเกียรติเครื่องราชอิสริยาภรณ์และเหรียญราชอิสริยาภรณ์
ตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ลำดับเกียรติเครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทยลงวันที่
๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๖
และเพิ่มเติมเหรียญราชอิสริยาภรณ์ที่สถาปนาขึ้นใหม่ให้เป็นปัจจุบัน ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ
และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา
แล้วดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 4 | ร่างแนวทางปฏิบัติสำหรับการใช้คาร์บอนเครดิตเพื่อวัตถุประสงค์ระหว่างประเทศ | ทส. | 26/08/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างแนวทางปฏิบัติสำหรับการใช้คาร์บอนเครดิตเพื่อวัตถุประสงค์ระหว่างประเทศ
และมอบหมายให้กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมปฏิบัติหน้าที่ หน่วยประสานงาน
(National Designated Authority : NDA) และออกหนังสืออนุญาตการใช้คาร์บอนเครดิตเพื่อวัตถุประสงค์ระหว่างประเทศ
รวมทั้งดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามแนวทางปฏิบัติสำหรับการใช้คาร์บอนเครดิตเพื่อวัตถุประสงค์ระหว่างประเทศ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม สำนักงบประมาณ
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น สำนักงบประมาณ เห็นว่าค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ได้รับการจัดสรร
หรือพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
หรือโอนเงินจัดสรรหรือเปลี่ยนเงินจัดสรร ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม หรือใช้จ่ายจากเงินนอกงบประมาณในโอกาสแรกก่อน
หรือจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม
แล้วแต่กรณี โดยคำนึงถึงความครอบคลุมของทุกแหล่งเงิน ความประหยัด ความคุ้มค่า
ผลสัมฤทธิ์ หรือประโยชน์ที่จะได้รับเป็นสำคัญด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 5 | ร่างถ้อยแถลงร่วมระดับรัฐมนตรีสำหรับการประชุมรัฐมนตรีพลังงานเอเปค ครั้งที่ 15 ประจำปี พ.ศ. 2568 | พน. | 26/08/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างถ้อยแถลงร่วมระดับรัฐมนตรีสำหรับการประชุมรัฐมนตรีพลังงานเอเปค
ครั้งที่ ๑๕ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๘ และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเป็นผู้ให้การรับรองถ้อยแถลงร่วมระดับรัฐมนตรีสำหรับการประชุมรัฐมนตรีพลังงานเอเปค
ครั้งที่ ๑๕ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๘ ในช่วงการประชุมรัฐมนตรีพลังงานเอเปค ครั้งที่ ๑๕
ในระหว่างวันที่ ๒๗ - ๒๘ สิงหาคม ๒๕๖๘ ณ เมืองปูซาน สาธารณรัฐเกาหลี โดยร่างถ้อยแถลงร่วมฯ
มีเป้าหมายเพื่อเป็นแนวทางการดำเนินความร่วมมืออย่างเป็นรูปธรรมไปสู่การผลักดันการบรรลุเป้าหมายด้านพลังงานของเอเปคในการเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนภายในภูมิภาคเป็นสองเท่าภายในปี
พ.ศ. ๒๕๗๓ และการลดค่าความเข้มข้นการใช้พลังงานลงร้อยละ ๔๕ ภายในปี พ.ศ. ๒๕๗๘
โดยมีแนวทางความร่วมมือ เช่น (๑)
การขยายศักยภาพสายส่งไฟฟ้าและการปรับปรุงระบบสายส่งไฟฟ้าให้มีความทันสมัย (๒)
การเสริมสร้างเสถียรภาพของการจัดหาแหล่งพลังงานที่ยั่งยืน (๓)
สนับสนุนการพัฒนาระบบพลังงานที่ยั่งยืน (๔)
ส่งเสริมนวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์ในระบบพลังงาน และ (๕)
ส่งเสริมแนวทางการฟื้นตัวจากสภาวะวิกฤตอย่างครอบคลุมเพื่อบรรเทาความเสี่ยงในภาคพลังงาน
เป็นต้น ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ให้กระทรวงพลังงาน (สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน)
รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
ดังนี้ กระทรวงการต่างประเทศ เห็นว่าร่างถ้อยแถลงร่วมฯ
ไม่เป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศ และไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย สำนักงบประมาณ เห็นว่าค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นให้กระทรวงพลังงาน
โดยสำนักงานปลัดกระทรวงพลังงานใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ได้รับจัดสรร
หรือพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ โดยโอนงบประมาณรายจ่าย
โอนเงินจัดสรร หรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร แล้วแต่กรณี
ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม
ตามขั้นตอนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 6 | การเข้าเป็นภาคีความตกลงว่าด้วยการอำนวยความสะดวกทางการค้าข้ามพรมแดนแบบไร้กระดาษในเอเชียและแปซิฟิก | ดศ. | 26/08/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการเข้าเป็นภาคีความตกลงว่าด้วยการอำนวยความสะดวกทางการค้าข้ามพรมแดนแบบไร้กระดาษในเอเชียและแปซิฟิก
และมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำภาคยนุวัติสาร (Instrument of Accession) เพื่อส่งมอบต่อเลขาธิการสหประชาชาติ
ซึ่งความตกลง CPTA มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการแลกเปลี่ยนและการยอมรับร่วมกันของข้อมูลและเอกสารทางการค้าในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ระหว่างประเทศสมาชิกคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติสำหรับเอเชียและแปซิฟิก
เพื่อให้ระบบการค้าของประเทศสมาชิกสามารถเชื่อมโยงและทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น
ลดอุปสรรคทางเทคนิค และเพิ่มประสิทธิภาพ และความโปร่งใสในการทำธุรกรรมการค้าระหว่างประเทศซึ่งช่วยให้กระบวนการทางการค้ามีความชัดเจนและส่งเสริมการปฏิบัติตามมาตรฐานและกฎระเบียบสากล
เช่น ๑) ความเท่าเทียมกันในการปฏิบัติ โดยการยอมรับข้อมูลและเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ให้มีผลทางกฎหมายเช่นเดียวกับเอกสารกระดาษ
และ ๒) การอำนวยความสะดวกทางการค้าและการปฏิบัติตามกฎระเบียบที่ดีขึ้น โดยการปรับปรุงกระบวนการทางการค้าให้มีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง
ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ ทั้งนี้
ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรมอบหมายให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม บูรณาการการดำเนินงานร่วมกับกรมศุลกากร
บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้ให้บริการระบบ NSW ของประเทศไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เร่งผลักดันการอำนวยความสะดวกทางการค้าและการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ
โดยการใช้ประโยชน์จากดิจิทัลแพลตฟอร์มเพื่อส่งเสริมการทำธุรกรรมข้ามพรมแดนแบบไร้กระดาษให้สามารถรองรับการเชื่อมโยงข้อมูลที่มีความจำเป็น
รวมทั้งสามารถตอบสนองต่อสถานการณ์และบริบทที่เปลี่ยนแปลงไป
ซึ่งจะส่งผลต่อการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยได้มากยิ่งขึ้น ไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 7 | ผลการพิจารณา เรื่อง ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา | อว. | 19/08/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณา เรื่อง ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา โดยสรุปผลการพิจารณาได้ ดังนี้ ๑) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
จะดำเนินการปรับปรุงแนวปฏิบัติตามหลักธรรมาภิบาลในสถาบันอุดมศึกษาซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามความในพระราชบัญญัติการอุดมศึกษา
พ.ศ. ๒๕๖๒ มาตรา ๑๐ ประกอบมาตรา ๙ (๕)
ที่กำหนดให้การจัดการอุดมศึกษาต้องเป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล
โดยนำข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการในเรื่องมาตรการกำกับดูแลให้การปฏิบัติหน้าที่ของสภามหาวิทยาลัยในการออกข้อบังคับ
ระเบียบ หรือประกาศ ไปใช้ประกอบเป็นแนวทางในการพิจารณาดำเนินการ
และ ๒) สภามหาวิทยาลัยได้แต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนการตรากฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
พ.ศ. .... เพื่อดำเนินการออกระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ
ที่ต้องออกมาเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานตามร่างพระราชบัญญัติภายหลังจากที่ร่างพระราชบัญญัติใช้บังคับเป็นกฎหมาย ทั้งนี้
ได้กำหนดให้คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการตรากฎหมายลำดับรองในแต่ละด้าน
ออกข้อบังคับมหาวิทยาลัยอุบลราชธานีในเรื่องต่าง ๆ เพื่อให้เป็นไปตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการในแต่ละเรื่อง
ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ
และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 8 | ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวบางจำพวกเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การปรับรูปแบบการตรวจลงตราสำหรับคนต่างด้าวซึ่งเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักร เพื่อปฏิบัติหน้าที่ ณ สำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเปประจำประเทศไทย) | กต. | 19/08/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย
เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวบางจำพวกเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง
การอนุญาตให้คนต่างด้าวบางจำพวกเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ พ.ศ. ๒๕๔๓
โดยกำหนดให้คนต่างด้าวซึ่งเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อปฏิบัติหน้าที่ ณ
สำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเป พร้อมครอบครัวเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรได้เป็นกรณีพิเศษ
โดยการตรวจลงตราประเภทคนอยู่ชั่วคราวในระบบ e-Visa แทนการใช้ใบอนุญาตพิเศษเพื่อเข้าประเทศประเภท (ข) (Special Entry
Permit (B) หรือ SPB โดยไม่จำกัดจำนวนครั้งเป็นเวลา
๓ ปี ทั้งนี้ เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกในการเข้าออกประเทศสำหรับเจ้าหน้าที่และครอบครัวของสำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเปให้สามารถได้รับการตรวจลงตราในหนังสือเดินทางธรรมดาได้เช่นเดียวกับผู้ถือหนังสือเดินทางหรือเอกสารแทนหนังสือเดินทางไต้หวันที่สามารถขอรับ
e-Visa ได้อยู่แล้ว
และเป็นการแสดงไมตรีจิตให้แก่ฝ่ายไต้หวันในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว
อีกทั้งยังสามารถสร้างผลประโยชน์ของไทยจากความร่วมมือที่ราบรื่นยิ่งขึ้นในระยะยาวกับไต้หวันในมิติต่าง
ๆ ด้วย ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา
แล้วให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. มอบหมายให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองดำเนินการปรับปรุงกฎระเบียบภายในที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกับร่างประกาศตามข้อ
๑ และแจ้งแนวปฏิบัติให้แก่เจ้าหน้าที่ของด่านตรวจคนเข้าเมือง
เพื่อสร้างความเข้าใจต่อแนวปฏิบัติในช่วงเปลี่ยนผ่าน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 9 | ขออนุมัติขยายระยะเวลาและขยายกรอบวงเงินโครงการ โครงการปรับปรุงคลองยม-น่าน จังหวัดสุโขทัย | กษ. | 05/08/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ขยายระยะเวลาดำเนินโครงการปรับปรุงคลองยม-น่าน
จังหวัดสุโขทัย จากระยะเวลาดำเนินโครงการเดิม
๕ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ - พ.ศ. ๒๕๖๗) เป็น ๘ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๓ - พ.ศ.
๒๕๗๐) และขยายกรอบวงเงินโครงการปรับปรุงคลองยม-น่าน จังหวัดสุโขทัย จากกรอบวงเงินโครงการเดิม ๒,๘๗๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท เป็น ๓,๐๖๙,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน)
และกระทรวงมหาดไทย (กรมโยธาธิการและผังเมือง)
รับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ รวมทั้งความเห็นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป เช่น กระทรวงมหาดไทย เห็นควรเร่งรัดดำเนินการให้เป็นไปตามแผนปฏิบัติการที่กำหนดไว้
รวมทั้งดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบ กฎหมาย มติคณะรัฐมนตรี
และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นว่ากรมชลประทานควรเร่งรัดการจัดหาที่ดินเพื่อการก่อสร้างในส่วนที่เหลือให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
โดยการจ่ายค่าชดเชยที่ดินและทรัพย์สินให้ดำเนินการตามระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
รวมทั้งให้ความสำคัญกับการวางแผนบริหารจัดการน้ำในลุ่มน้ำยมให้มีประสิทธิภาพ
ทั้งในฤดูน้ำหลากและฤดูแล้ง เพื่อลดอุปสรรคต่อการก่อสร้างโครงการ
และการประชาสัมพันธ์แผนการดำเนินโครงการและแผนบริหารจัดการน้ำเพื่อสร้างความเข้าใจแก่ประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ
เพื่อให้การดำเนินการโครงการแล้วเสร็จตามแผนที่กำหนดไว้ โดยไม่ต้องขอขยายระยะเวลาและขยายกรอบวงเงินโครงการเพิ่มเติมอีก สำหรับภาระงบประมาณที่เพิ่มขึ้น
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ที่เห็นควรให้กรมชลประทานจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีรองรับตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 10 | ขอยกเลิกคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่อยู่ในความรับผิดชอบของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ | ปปท. | 05/08/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ยกเลิกคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
ที่อยู่ในความรับผิดชอบของศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ จำนวน ๙ ฉบับ
ตามที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
ดังนี้ ๑. คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่
๑๙/๒๕๕๘ เรื่อง แต่งตั้งและให้เจ้าหน้าที่ของรัฐดำรงตำแหน่งและปฏิบัติหน้าที่อื่น
ลงวันที่ ๒๕ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๘ ๒. คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ๑/๒๕๕๙ เรื่อง
ประกาศรายชื่อเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ระหว่างการถูกตรวจสอบเพิ่มเติม ครั้งที่ ๓
ลงวันที่ ๕ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๙ ๓. คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่
๓๓/๒๕๕๙ เรื่อง ให้ข้าราชการไปปฏิบัติราชการในหน่วยงานอื่น ลงวันที่ ๒๔ มิถุนายน
พุทธศักราช ๒๕๕๙ ๔. คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
ที่ ๔๓/๒๕๕๙ เรื่อง ประกาศรายชื่อเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ระหว่างการถูกตรวจสอบเพิ่มเติม
ครั้งที่ ๔ ลงวันที่ ๑๗ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙ ๕. คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่
๔๗/๒๕๕๙ เรื่อง การดำเนินการตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๓๓/๒๕๕๙
ลงวันที่ ๑๘ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙ ๖. คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่
๕๒/๒๕๕๙ เรื่อง
ประกาศรายชื่อเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ระหว่างการถูกตรวจสอบเพิ่มเติม ครั้งที่ ๗
ลงวันที่ ๒ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๕๙ ๗. คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
ที่ ๕๙/๒๕๕๙ เรื่อง ประกาศรายชื่อเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ระหว่างการถูกตรวจสอบเพิ่มเติม ครั้งที่ ๘
และการปรับปรุงการบริหารงานบุคคลในบางหน่วยงานของรัฐ ลงวันที่ ๒๗ กันยายน
พุทธศักราช ๒๕๕๙ ๘. คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
ที่ ๓๕/๒๕๖๐ เรื่อง ประกาศรายชื่อเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ระหว่างการถูกตรวจสอบเพิ่มเติม
ครั้งที่ ๙ ลงวันที่ ๒๕ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๐ ๙. คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
ที่ ๓๙/๒๕๖๐ เรื่อง ประกาศรายชื่อเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ระหว่างการถูกตรวจสอบเพิ่มเติม
ครั้งที่ ๑๐ ลงวันที่ ๘ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๐ ทั้งนี้
ให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เห็นว่าคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จำนวน ๙ ฉบับดังกล่าวเป็นคำสั่งที่มีลักษณะเป็นคำสั่งทางบริหารที่สามารถยกเลิกได้
โดยมติคณะรัฐมนตรี ซึ่งหากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐเห็นสมควรยกเลิกคำสั่งดังกล่าว
ก็สามารถดำเนินการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อยกเลิกคำสั่งดังกล่าวต่อไปได้
สำหรับกรณีที่นายกรัฐมนตรีจะมีคำสั่งให้บุคคลผู้มีรายชื่อตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่อยู่ระหว่างดำเนินการให้กลับไปปฏิบัติราชการในอัตราและตำแหน่งเดิมหรืออัตราและตำแหน่งที่หัวหน้าส่วนราชการนั้น
ๆ พิจารณาตามความเหมาะสม
โดยอาศัยอำนาจตามบัญชีห้าท้ายคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ ๙/๒๕๖๒ ตาม
๑. วรรคหก นั้น เห็นว่า นายกรัฐมนตรีสามารถอาศัยอำนาจดังกล่าวแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงหรือให้บุคคลดังกล่าวกลับไปปฏิบัติราชการในอัตราและตำแหน่งเดิม
หรืออัตราและตำแหน่งที่หัวหน้าส่วนราชการนั้น ๆ พิจารณาตามความเหมาะสม และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐดังกล่าวตามอำนาจหน้าที่และกระบวนการตามกฎหมาย
กฎ หรือระเบียบที่เกี่ยวข้องของหน่วยงานนั้น ๆ กำหนดไว้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 11 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดบัญชีต้นไม้ตามกฎหมายว่าด้วยสวนป่า พ.ศ. .... | ทส. | 29/07/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดบัญชีต้นไม้ตามกฎหมายว่าด้วยสวนป่า พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงแก้ไขบัญชีต้นไม้ท้ายพระราชบัญญัติสวนป่า
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๘ จากเดิมจำนวน ๕๘ รายการ เป็นจำนวน ๒๑๑ รายการ
เพื่อให้เหมาะสมกับบริบทและสถานการณ์ในปัจจุบัน ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 12 | ร่างระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. .... | กค. | 29/07/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบกระทรวงการคลัง
ว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงระเบียบกระทรวงการคลัง
ว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๖๒ โดยยังคงหลักการเดิม
และปรับปรุงแก้ไขบทบัญญัติเกี่ยวกับบทนิยาม
วงเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน
หน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติอำเภอและจังหวัด
และขยายระยะเวลาในการจัดส่งเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการจ่ายเงิน
และการกำหนดบทเฉพาะกาล ตลอดจนการปรับปรุงถ้อยคำ
เพื่อให้การดำเนินการและการใช้จ่ายเงินทดรองราชการฯ
เป็นไปอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ชัดเจน ถูกต้อง และเหมาะสม
รวมทั้งสอดคล้องกับสภาพการณ์ของภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุข สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เห็นควรให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณาดำเนินการปรับปรุงแก้ไขหลักเกณฑ์การใช้จ่ายเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือด้านที่พักอาศัยผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวด้วย สำนักงบประมาณ เห็นควรที่กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชาสัมพันธ์และสร้างการรับรู้และความเข้าใจให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก
เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปด้วยความเรียบร้อย มีประสิทธิภาพ และบรรลุตามวัตถุประสงค์ของกฎหมาย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 13 | รายงานผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity & Transparency Assessment: ITA) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 | ปช. | 22/07/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบรายงานผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ
(Integrity & Transparency Assessment : ITA) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ ๒. ให้สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ
สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กรมบัญชีกลาง ผู้ว่าราชการจังหวัด
และนายอำเภอ
ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายให้มีหน้าที่กำกับติดตามและผลักดันการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐตามมติคณะรัฐมนตรีในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๔ มกราคม ๒๕๖๕ ดำเนินการสนับสนุน ส่งเสริม
และให้ความช่วยเหลือแก่หน่วยงานภาครัฐที่ยังมีผลการประเมิน ITA ไม่ผ่านตามค่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ในแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ
ประเด็น (๒๑) การต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ (พ.ศ. ๒๕๖๖ - ๖๕๘๐)
(ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม) ให้สามารถยกระดับผลการดำเนินงานให้ผ่านค่าเป้าหมายตามที่กำหนดไว้ในปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ รวมทั้งให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติรับความเห็นและข้อสังเกตของสำนักงาน
ก.พ.ร. และข้อเสนอแนะของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย สำนักงาน ก.พ.ร. เห็นว่าสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
ควรนำข้อมูลของหน่วยงานที่มีผลการประเมินอยู่ในระดับผ่านดีเยี่ยมมาถอดบทเรียนปัจจัยความสำเร็จ
และจัดทำเป็นกรณีศึกษาของหน่วยงานที่มีแนวปฏิบัติที่ดีสำหรับหน่วยงานแต่ละประเภท
ทั้งในการดำเนินการภาพรวม
และการดำเนินการรายตัวชี้วัดเพื่อเป็นแนวทางการพัฒนาให้กับหน่วยงานที่ไม่ผ่านเกณฑ์การประเมิน
ให้สามารถนำแนวทางการดำเนินงานไปศึกษาและต่อยอดปรับใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของหน่วยงาน
รวมทั้งควรมีการวิเคราะห์สาเหตุหรือจุดอ่อนของตัวชี้วัดที่ไม่ผ่านเกณฑ์
(ตัวชี้วัดที่ ๘ การปรับปรุงระบบการทำงาน) เพื่อให้หน่วยงานสามารถเร่งพัฒนาการดำเนินการในตัวชี้วัดดังกล่าวนำไปสู่การบรรลุค่าเป้าหมายของแผนย่อยของแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ
ประเด็น (๒๑) การต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบได้ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ
เห็นว่าการกำหนดหลักเกณฑ์การประเมิน ITA ไม่ควรใช้หลักเกณฑ์เดียวกันในการประเมินกับทุกหน่วยงาน ควรพิจารณาหลักเกณฑ์การประเมินให้สอดคล้องกับลักษณะงานหรือภารกิจของแต่ละหน่วยงานเพื่อให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น
เช่น
หน่วยงานที่ให้บริการทางวิชาการไม่ควรใช้หลักเกณฑ์เดียวกันกับหน่วยงานที่มีหน้าที่พิจารณาอนุมัติ
อนุญาต เพื่อจะได้สะท้อนผลการปฏิบัติงานที่ตรงต่อภารกิจงานของหน่วยงานนั้น ๆ ๓. ให้ส่งความเห็นและข้อสังเกตของสำนักงาน ก.พ.ร.
และข้อเสนอแนะของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 14 | การปรับปรุงการสื่อสารของหน่วยงานภาครัฐ | นร. | 22/07/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม
เวชยชัย) รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรีเสนอว่า เนื่องจากในปัจจุบันสื่อสังคมออนไลน์ (social media) มีอิทธิพลต่อความรับรู้ของประชาชนในยุคดิจิทัลเป็นอย่างมาก
ทำให้สามารถรับทราบข้อมูล ข่าวสาร ปัญหา และเหตุด่วนเหตุร้ายต่าง ๆ
ได้อย่างรวดเร็วและทันการณ์ อย่างไรก็ตาม
ข้อมูลข่าวสารดังกล่าวที่เผยแพร่อย่างรวดเร็วในสื่อสังคมออนไลน์อาจขาดการตรวจสอบและกลั่นกรองอย่างถี่ถ้วนให้ถูกต้องและสอดคล้องกับความเป็นจริงก่อน
จึงขอมอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นางสาวจิราพร สินธุไพร) ร่วมกับโฆษกรัฐบาลรับไปประสานงานกับหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการและปรับปรุงการสื่อสารของหน่วยงานของรัฐในเรื่องต่าง
ๆ ดังนี้ ๑. การรับแจ้งเหตุด่วนเหตุร้าย
ให้พิจารณานำเทคโนโลยีที่เหมาะสม สามารถระบุสถานที่เกิดเหตุ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และผู้แจ้งเหตุได้อย่างชัดเจน
รวดเร็ว และตรวจสอบได้
มาใช้เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาได้ทันการณ์โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้แพลตฟอร์มทราฟฟี่
ฟองดูว์ (Traffy Fondue) ซึ่งกรุงเทพมหานครและหน่วยงานภาครัฐหลายแห่งได้นำมาใช้แล้วและเกิดผลเป็นรูปธรรมเป็นอย่างดี ๒. การรับแจ้งเบาะแสอาชญากรรม (เช่น
การกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด อาชญากรรมออนไลน์ การทุจริตคอร์รัปชัน)
ให้พิจารณากำหนดหลักประกันความปลอดภัยแก่ประชาชนและผู้แจ้งเบาะแสให้ดีที่สุด ๓. ข่าวเท็จและข่าวลือ
ให้ติดตามข่าวสารและสถานการณ์ในสื่อสังคมออนไลน์อย่างใกล้ชิด และดำเนินการแก้ไขข่าวเท็จและข่าวลือให้รวดเร็วและทันเวลาก่อนที่จะมีการเผยแพร่ออกไปในวงกว้างจนสร้างความสับสนให้เกิดขึ้นในสังคม
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 15 | ปรับปรุงการมอบหมายผู้มีอำนาจกำกับแผนงานบูรณาการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 | นร.07 | 15/07/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการปรับปรุงการมอบหมายรองนายกรัฐมนตรี
เป็นประธานคณะกรรมการจัดทำงบประมาณรายจ่ายบูรณาการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๙ และผู้มีอำนาจกำกับแผนงานบูรณาการ
ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ แผนบูรณาการ ประธานรรมการ ๑.
การขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ นายภูมิธรรม
เวชยชัย ๒. การป้องกัน ปราบปราม
และแก้ไขปัญหายาเสพติด นายภูมิธรรม
เวชยชัย ๓.
การสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว นายสุริยะ
จึงรุ่งเรืองกิจ ๔.
การต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ นายสุริยะ
จึงรุ่งเรืองกิจ ๕.
การเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับสังคมสูงวัย นายพีระพันธุ์
สาลีรัฐวิภาค ๖.
การพัฒนาอุตสาหกรรมและบริการแห่งอนาคต นายพีระพันธุ์
สาลีรัฐวิภาค ๗. เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก นายพิชัย
ชุณหวชิร ๘. การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ นายประเสริฐ
จันทรรวงทอง ๙. รัฐบาลดิจิทัล นายประเสริฐ
จันทรรวงทอง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 16 | รายงานผลการเจรจาการบินระหว่างไทย-จอร์แดน | คค. | 08/07/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบบันทึกการหารือระหว่างไทยและจอร์แดน
ฉบับลงนามเมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๖๖ และเห็นชอบร่างพิธีสารระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรฮัชไมต์จอร์แดน
และรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย
ว่าด้วยการปรับปรุงความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศระหว่างราชอาณาจักรฮัชไมต์จอร์แดนและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย
ลงนามเมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๑๘ และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามร่างพิธีสารระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรฮัชไมต์จอร์แดนและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย
ว่าด้วยการปรับปรุงความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศระหว่างราชอาณาจักรฮัชไมต์จอร์แดนและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรสำหรับบริการเดินอากาศระหว่างอาณาเขตของคู่ภาคีและพ้นไป
และให้กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ที่ได้รับมอบหมายดังกล่าวด้วย
โดยร่างพิธีสารฯ มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศระหว่างไทย
- จอร์แดน จึงเป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศ และเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา
๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และเห็นชอบร่างหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตของฝ่ายไทย
โดยมอบให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูตยืนยันการมีผลใช้บังคับของร่างพิธีสารฯ
ดังกล่าวต่อไป โดยให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถปรับถ้อยคำตามความเหมาะสมที่ไม่กระทบกับสาระสำคัญ
โดยร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขใบพิกัดเส้นทางบิน
ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศระหว่างไทย - อินเดีย และข้อ
๑๒ ของความตกลงดังกล่าวกำหนดให้การแก้ไขข้างต้นจะต้องได้รับการยืนยันโดยหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตระหว่างรัฐบาลของทั้งสองฝ่าย
ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ให้กระทรวงคมนาคม สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
ดังนี้ กระทรวงการต่างประเทศ เห็นว่าร่างพิธีสารระหว่างไทย
- จอร์แดนฯ กำหนดให้พิธีสารดังกล่าวมีผลใช้บังคับในวันที่ได้รับแจ้งหนังสือทางการทูตฉบับที่สอง
ซึ่งระบุว่าได้ดำเนินกระบวนการภายในที่จำเป็นทั้งหมดแล้ว ดังนั้น
เพื่อให้ร่างพิธีสารดังกล่าวมีผลใช้บังคับทั้งสองฝ่ายจะต้องมีหนังสือแจ้งอีกฝ่ายหนึ่งผ่านช่องทางการทูตว่า
ซึ่งได้ดำเนินกระบวนการภายในที่จำเป็นทั้งหมดแล้ว สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรมอบหมายให้กระทรวงคมนาคม
สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
กำหนดเป้าหมายการบริหารจัดการน่านฟ้าและท่าอากาศยานของประเทศไทยที่ชัดเจน
โดยคำนึงถึงความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการด้านการบินของไทยเป็นสำคัญ
รวมถึงกำหนดแผนการเจรจาการบินระหว่างประเทศที่มีความสอดคล้องกับเป้าหมายดังกล่าว
เพื่อนำไปใช้เป็นกรอบแนวทางในการเจรจาการบินระหว่างประเทศไทยและประเทศอื่น ๆ ต่อไป
ซึ่งจะช่วยให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศในภาพรวม ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างพิธีสารฯ และร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17 | การผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าวสัญชาติเมียนมาซึ่งได้รับการขยายระยะเวลาการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568 อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวและทำงานต่อไป | รง. | 08/07/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
รับทราบความเห็นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขมีความเห็นสอดคล้องกันว่า
เห็นชอบให้กระทรวงแรงงานดำเนินการตามที่เสนอในครั้งนี้ไปก่อน
เนื่องจากแรงงานต่างด้าวกลุ่มนี้เป็นแรงงานกลุ่มเดิมที่อยู่ในประเทศไทยอยู่แล้วแต่จำเป็นต้องขยายระยะเวลาการต่ออายุใบอนุญาตทำงานเพื่อให้แรงงานต่างด้าวมีเวลาเพียงพอในการดำเนินการต่าง
ๆ ให้แล้วเสร็จครบถ้วนทุกขั้นตอนภายในระยะเวลาที่กำหนด ทั้งนี้ ในระยะต่อไปกระทรวงแรงงานและกระทรวงสาธารณสุขจะร่วมกันแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินการตรวจสุขภาพ
และการประกันสุขภาพ รวมทั้งอัตราค่าประกันสุขภาพ สิทธิประโยชน์
และความคุ้มครองของแรงงานต่างด้าว ให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากยิ่งขึ้นต่อไป ๒. เห็นชอบการผ่อนผันให้คนต่างด้าวสัญชาติเมียนมาที่ได้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี
เมื่อวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๖๗ และวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘
ซึ่งระยะเวลาการผ่อนผันให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวและการอนุญาตทำงานจะสิ้นสุดในวันที่
๑๓ สิงหาคม ๒๕๖๘ อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวและอนุญาตทำงานถึงวันที่ ๑๓
กุมภาพันธ์ ๒๕๖๙ เพื่อดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘
อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวและทำงานต่อไป โดยเมื่อดำเนินการครบถ้วนตามขั้นตอนที่กำหนด
แรงงานต่างด้าวจะได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว และได้รับอนุญาตทำงานเป็นระยะเวลา
๒ ปี ถึงวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๗๐ และอนุมัติในหลักการร่างประกาศของกระทรวงมหาดไทย
จำนวน ๑ ฉบับ รวมถึงให้ความเห็นชอบในหลักการร่างประกาศของกระทรวงแรงงาน จำนวน ๑
ฉบับ รวม ๒ ฉบับ เพื่อบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว และประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้และความเข้าใจให้นายจ้าง/ผู้ประกอบการ
แรงงานต่างด้าว และผู้ที่เกี่ยวข้องรับทราบข้อมูลการดำเนินการดังกล่าวอย่างทั่วถึง
ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ โดยให้รับความเห็นของกระทรวงยุติธรรม กระทรวงสาธารณสุข
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงยุติธรรม เห็นว่าปัจจุบันกระทรวงแรงงานยังไม่สามารถดำเนินการในส่วนการต่ออายุใบอนุญาตทำงานให้แก่แรงงานสัญชาติเมียนมาได้อย่างเป็นรูปธรรม
ส่งผลให้เกิดปัญหาหลายประการต่อแรงงานและนายจ้าง อาทิ ๑)
ไม่สามารถใช้สิทธิประกันสังคมหรือประกันสุขภาพได้ ๒)
ไม่สามารถแจ้งย้ายนายจ้างได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ๓) ไม่สามารถเปิดบัญชีธนาคารได้
และ ๔) มีการร้องเรียนว่ามีกลุ่มอิทธิพลเรียกรับผลประโยชน์ เป็นต้น เนื่องจากจะครบระยะเวลาผ่อนผัน
กระทรวงยุติธรรมเห็นควรขยายระยะเวลาออกไป เพราะไม่สามารถปรับปรุงกระบวนการเพื่อแก้ปัญหาได้ทัน
และในช่วงระยะเวลาที่ขยายออกไป
ควรที่จะได้มีการปรับปรุงกระบวนการเพื่อให้มีประสิทธิภาพและเกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายต่อไป สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรมีการเชื่อมโยงข้อมูลผู้ติดตามของแรงงานต่างด้าวที่ได้รับการผ่อนผันให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
อาทิ กรมการปกครอง กรมการจัดหางาน และมีการนำเสนอข้อมูลดังกล่าวตามรอบระยะอย่างสม่ำเสมอ
เพื่อให้การบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวและกลุ่มผู้ติดตามสามารถดำเนินการได้อย่างเป็นระบบ
และเป็นประโยชน์ในการกำหนดมาตรการสำหรับการบริหารกำลังแรงงานข้ามชาติที่มีศักยภาพอย่างเหมาะสมในอนาคตต่อไป ๓. เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง
การอนุญาตให้คนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ
สำหรับคนต่างด้าวสัญชาติเมียนมาตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ...
และร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง
การอนุญาตให้คนต่างด้าวทำงานในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ
สำหรับคนต่างด้าวสัญชาติเมียนมาตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ .... รวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ
ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 18 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม (ค่าใช้จ่ายสำหรับการบริหารจัดการที่ดินของประเทศและการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ มาตราส่วน 1 : 4,000) | กห. | 08/07/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
วงเงินรวมทั้งสิ้น ๓๔๒,๙๓๐,๐๐๐ บาท ให้กับกองบัญชาการกองทัพไทย
เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการบริหารจัดการที่ดินของประเทศ และการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ
มาตราส่วน ๑ : ๔,๐๐๐ (One Map) จำนวน ๒
โครงการ ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ให้กระทรวงกลาโหม (กองบัญชาการกองทัพไทย)
รับความเห็นของสำนักงบประมาณ (หนังสือสำนักงบประมาณ ด่วนมาก ที่ นร ๐๗๐๕/๕๐๑๖
ลงวันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๖๘)
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ดังนี้ สำนักงบประมาณ เห็นควรให้กระทรวงกลาโหมดำเนินการนำเรื่องดังกล่าวเสนอขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรี
โดยเสนอผ่านรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีเจ้าสังกัดหรือรัฐมนตรีที่กำกับดูแลแล้วแต่กรณี
ตามนัยระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
พ.ศ. ๒๕๖๒ ข้อ ๙ (๓) และเมื่อได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีแล้ว
ให้กระทรวงกลาโหมจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป และให้กองบัญชาการกองทัพไทยนำเรื่องดังกล่าวเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติพิจารณาให้ความเห็นชอบตามขั้นตอนก่อนนำเสนอขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรี สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นว่ากระทรวงกลาโหม โดยกองบัญชาการกองทัพไทย ต้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี และประกาศที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 19 | รายงานผลการเจรจาการบินระหว่างไทย-อินเดีย | คค. | 08/07/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบบันทึกความเข้าใจระหว่างไทย-อินเดีย และเห็นชอบร่างหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตของไทย และมอบให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูตยืนยันการมีผลใช้บังคับของบันทึกความเข้าใจดังกล่าวต่อไป
โดยบันทึกความเข้าใจฯ เป็นเอกสารที่จัดทำขึ้นระหว่างสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยกับกระทรวงการบินพลเรือนอินเดีย
เพื่อบันทึกผลการเจรจาการบินระหว่างไทยกับอินเดีย
จึงไม่เป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศและไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ และร่างหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูต
มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขใบพิกัดเส้นทางบิน ซึ่งการแก้ไขดังกล่าวจะต้องได้รับการยืนยันโดยหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตระหว่างรัฐบาลของทั้งสองฝ่าย
ดังนั้น หนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตของรัฐบาลไทยและรัฐบาลอินเดียประกอบกันจึงเป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศ
และเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญฯ
ซึ่งจะต้องเสนอร่างหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนดำเนินการให้มีผลผูกพัน
และหากจำเป็นต้องออกพระราชบัญญัติเพื่อให้การเป็นไปตามหนังสือสัญญา
ร่างหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตจะเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘
วรรคสองของรัฐธรรมนูญฯ ที่ต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้กระทรวงคมนาคม
สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
รวมทั้งความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการต่างประเทศไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
เช่น สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ เห็นว่าหน่วยงานด้านความมั่นคงควรให้ความสำคัญต่อการดำเนินมาตรการการคัดกรองการเข้าประเทศอย่างเข้มงวดมากขึ้น
ตลอดจนติดตาม เฝ้าระวัง
รวมทั้งประเมินโอกาสและผลกระทบมาตรการการยกเว้นการตรวจลงตราผู้ถือหนังสือเดินทางสัญชาติอินเดียเป็นกรณีพิเศษ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรเร่งกำหนดแนวทางในการปรับปรุงใบพิกัดและบริหารจัดการการจัดสรรตารางเวลาการบินระหว่างไทยและอินเดียให้มีความเหมาะสมและสมดุลยิ่งขึ้น
ควรคำนึงถึงความพร้อมของผู้ประกอบการสายการบินสัญชาติไทยและขีดความสามารถของท่าอากาศยาน
และกระทรวงคมนาคมควรร่วมกับบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) และกรมท่าอากาศยานในการพัฒนา/ปรับปรุงระบบบริหารจัดการท่าอากาศยานโดยการนำระบบที่ทันสมัยมาใช้เพื่อบรรเทาปัญหาความแออัดของท่าอากาศยานจากการขยายเส้นทางการบินตามผลการเจรจาสิทธิการบินได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตของไทยในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 20 | มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้เพิ่มเติม "โครงการคุณสู้ เราช่วย ระยะที่ 2" และมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยเพิ่มเติมของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ | กค. | 01/07/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแนวทางการดำเนินโครงการคุณสู้
เราช่วย ระยะที่ ๒ ของธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย
ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย และธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย
โดยใช้กรอบวงเงินงบประมาณตามที่ได้รับการจัดสรรเพื่อดำเนินโครงการคุณสู้
เราช่วยตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๖๗
และได้มีการปรับปรุงกรอบวงเงินงบประมาณของแต่ละสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (Specialized Financial Institutions : SFIs) ให้สอดคล้องกับจำนวนผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการและภาระที่คาดว่าจะเกิดขึ้นแล้ว
ทั้งนี้ มอบหมายให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจ ทั้ง ๖ แห่ง ทำความตกลงกับสำนักงบประมาณ
เพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณเป็นรายปีตามความเหมาะสมโดยคำนึงถึงสภาพคล่องของสถาบันการเงินเฉพาะกิจแต่ละแห่งต่อไป
และเห็นชอบมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ตามมาตรการสินเชื่อสู้ภัย COVID-19
และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป และรับทราบมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้โครงการสินเชื่อตามนโยบายรัฐบาล
และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป รวมทั้งรับทราบเป้าหมายลูกหนี้ที่จะได้รับการช่วยเหลือลดภาระหนี้ผ่านมาตรการของกระทรวงการคลัง
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สำหรับภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น
ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและตามผลการดำเนินงานจริงตามขั้นตอนต่อไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้
ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทยไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงมหาดไทย เห็นว่ามาตรการดังกล่าวอาจก่อให้เกิดภาระทางการคลังของรัฐทั้งในปัจจุบันและในอนาคต
ขอให้หน่วยงานปฏิบัติตามระเบียบ กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
และปฏิบัติตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑
อย่างเคร่งครัดและรอบคอบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
