ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 70 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 1381 - 1400 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 1381 | สรุปสาระสำคัญการประชุมคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์ ครั้งที่ 8/2560 (เรื่อง รายงานความก้าวหน้าการปรับโครงสร้างสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และการขับเคลื่อนด้านพลังงาน) | อื่นๆ | 27/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบสรุปสาระสำคัญการประชุมคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์ ครั้งที่ ๘/๒๕๖๐ (เรื่อง รายงานความก้าวหน้าการปรับโครงสร้างสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และการขับเคลื่อนด้านพลังงาน) เมื่อวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๖๐ ตามที่ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์เสนอ ๒. เห็นชอบให้หน่วยงานและผู้ที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติที่ประชุมคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์ ครั้งที่ ๘/๒๕๖๐ และข้อสังเกตเพิ่มเติมของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ดังนี้ ๒.๑ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณาแนวทางแก้ไขปัญหาจากการเพิกถอนระเบียบเรื่อง การให้ความยินยอมในการนำทรัพยากรธรรมชาติในเขตปฏิรูปที่ดินไปใช้ประโยชน์ตามกฎหมายอื่น พ.ศ. ๒๕๔๑ โดยพิจารณาแนวทางแก้ไขปัญหา ๒.๑.๑ ระยะเร่งด่วน พิจารณาแนวทางแก้ไขปัญหาในกิจการปิโตรเลียม และเหมืองแร่ที่ผู้ประกอบการได้รับการอนุญาตให้ดำเนินการอย่างถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมายก่อนการประกาศเป็นพื้นที่ ส.ป.ก. เพื่อเสนอหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติพิจารณาออกคำสั่งโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๔๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ต่อไป ๒.๑.๒ พิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหาในกิจการพลังงานทดแทนที่ได้รับอนุญาตไปอย่างถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมายก่อนการเพิกถอนระเบียบเรื่อง การให้ความยินยอมในการนำทรัพยากรธรรมชาติในเขตปฏิรูปที่ดินไปใช้ประโยชน์ตามกฎหมายอื่น พ.ศ. ๒๕๔๑ โดยในการพิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหาดังกล่าวจะต้องยึดประโยชน์ของเกษตรกรเป็นหลัก และอาจพิจารณาหลักเกณฑ์เพิ่มเติม เช่น ขนาดพื้นที่ที่จำเป็น ความเหมาะสมของพื้นที่เปรียบเทียบระหว่างการทำเกษตรกรรมกับกิจการอื่น และผลประโยชน์ต่อท้องถิ่น เป็นต้น เพื่อใช้เป็นหลักเกณฑ์ในกรณีที่อาจจำเป็นต้องใช้พื้นที่ ส.ป.ก. สำหรับการดำเนินการด้านพลังงานทดแทนและการพัฒนาอื่น ๆ ตามนโยบายของภาครัฐในอนาคต ๒.๒ มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพลังงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาขั้นตอนและแนวทางการอนุญาตการใช้ประโยชน์ในที่ดินของรัฐ พื้นที่สาธารณประโยชน์ พื้นที่อนุรักษ์ การสร้างสิ่งล่วงล้ำลำน้ำ และกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการตั้งและขยายโรงงานใกล้แหล่งน้ำ ให้เป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ โดยให้ประชาชนในพื้นที่มีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นและได้รับประโยชน์จากการดำเนินงานดังกล่าวด้วย ๒.๓ มอบหมายกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงพลังงานพิจารณาจัดตั้งคณะกรรมการร่วมการใช้ประโยชน์ด้านพลังงานในพื้นที่ทางทะเลระหว่างไทย-กัมพูชา เพื่อกำหนดแนวทางการพัฒนาและใช้ประโยชน์ในพื้นที่อ้างสิทธิ และจัดทำบันทึกความเข้าใจระหว่างไทย-กัมพูชาเกี่ยวกับการจัดตั้งองค์กรร่วมเพื่อแสวงประโยชน์จากทรัพยากรในพื้นดินใต้ทะเลในบริเวณที่กำหนดของไหล่ทวีปของประเทศทั้งสองในอ่าวไทย โดยยึดแนวทางการดำเนินการในลักษณะเดียวกับพื้นที่ JDA ไทย-มาเลเซีย ๒.๔ มอบหมายกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงการคลังร่วมกันพิจารณาแนวทางการใช้น้ำมันปาล์มสำหรับเป็นเชื้อเพลิงพลังงานทดแทนที่เหมาะสม โดยเน้นการลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงราคาน้ำมันปาล์มในส่วนที่เป็นวัตถุดิบในการผลิตพลังงานทดแทน ๒.๕ มอบหมายกระทรวงพลังงานร่วมกับกระทรวงการคลังพิจารณาการขอยกเว้นภาษีศุลกากรและภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) สำหรับโครงการ LTM-PIP ๒.๖ มอบหมายปลัดกระทรวงพลังงาน ปลัดกระทรวงการคลัง และปลัดกระทรวงยุติธรรมร่วมกันหาข้อยุติ และพิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหากรณีการชำระอากรจากการดำเนินกิจการในพื้นที่องค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย และรายงานคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์โดยเร็ว ๒.๗ มอบหมายสำนักงาน ก.พ. และสำนักงาน ก.พ.ร. พิจารณาความเหมาะสมในการปรับปรุงอัตรากำลังของกระทรวงพลังงาน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1382 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 27/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านสังคม ให้กระทรวงแรงงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางการช่วยเหลือผู้ประกอบการกลุ่มต่าง ๆ โดยเฉพาะวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่ประกอบกิจการที่ต้องใช้แรงงานในสาขาที่ขาดแคลน ให้สามารถจ้างแรงงานได้อย่างเหมาะสมและคล่องตัวมากยิ่งขึ้น ๒. ด้านเศรษฐกิจ ๒.๑ ให้กระทรวงคมนาคมเร่งรัดการดำเนินโครงการต่าง ๆ ในความรับผิดชอบตามนโยบายของรัฐบาลให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ โดยให้กำกับดูแลการดำเนินงานให้เป็นไปอย่างถูกต้อง รอบคอบ โปร่งใส เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน และให้สร้างการรับรู้ให้ถูกต้องและทั่วถึงด้วย ๒.๒ ให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการพิจารณากำหนดแนวทางการใช้ประโยชน์จากพื้นที่ตามแนวเส้นทางโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งต่าง ๆ เช่น รถไฟ รถไฟฟ้า รถไฟความเร็วสูง รวมทั้งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเร่งรัดการพิจารณายกร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๕๙ (เรื่อง แนวทางการนำที่ดินที่ได้จากการเวนคืนไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด) ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้การนำพื้นที่ตามแนวเส้นทางดังกล่าวไปใช้ประโยชน์เป็นไปอย่างถูกต้อง เหมาะสม และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อไป ๒.๓ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้ทุกส่วนราชการที่มีความต้องการใช้ยางพาราสำรวจปริมาณความต้องการใช้ยางพาราภายในหน่วยงานให้ชัดเจน เพื่อจัดทำแผนสำหรับการเสนอขอรับจัดสรรงบประมาณในการจัดซื้อยางพารา โดยให้เร่งดำเนินการเพื่อส่งเสริมให้เกิดการใช้ยางพาราภายในประเทศให้มากยิ่งขึ้น นั้น ให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณาความเหมาะสมในการดำเนินโครงการขนาดเล็กในพื้นที่ต่าง ๆ โดยให้นำยางพารามาใช้ในการสร้าง/ซ่อมถนนในชุมชน และให้ประสานงานกับกระทรวงกลาโหม (กรมการทหารช่าง) เพื่อให้เป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินการดังกล่าว เพื่ออำนวยประโยชน์ในการสัญจรของประชาชนในพื้นที่ที่มีปัญหาเกี่ยวกับเส้นทางคมนาคมได้โดยเร็ว ทั้งนี้ ให้เร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน ๓ เดือน ๒.๔ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งรัดติดตามการดำเนินการขับเคลื่อนนโยบายที่สำคัญของรัฐบาล เช่น การส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ ศูนย์เรียนรู้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร แผนที่เกษตรเพื่อการบริหารจัดการเชิงรุก (Agri-Map) การยกระดับมาตรฐานสินค้าเกษตร การพัฒนาความเข้มแข็งของสถาบันเกษตรกร การพัฒนาระบบส่งน้ำและกระจายน้ำ ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็วและสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนด้วย ๓. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๓.๑ ในการขับเคลื่อนและติดตามการดำเนินงานเรื่องต่าง ๆ ตามนโยบายรัฐบาล ขอให้ส่วนราชการถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดให้เป็นไปตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๓/๒๕๖๐ เรื่อง การขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง ลงวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๖๐ ที่กำหนดให้มีคณะกรรมการ ป.ย.ป. โดยมีคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์ (บ.ย.ศ.) อยู่ภายใต้คณะกรรมการ ป.ย.ป. มีการจัดระดับความรับผิดชอบในการดำเนินการเพื่อการทำงานที่ประสานเชื่อมโยงกันเป็น ๓ ระดับ คือ ระดับหน่วยงานหรือกลุ่มงานที่เกี่ยวข้อง (กระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง) ระดับกำกับการบริหารราชการ (รองนายกรัฐมนตรี) และระดับบัญชาการ (คณะกรรมการ บ.ย.ศ.) และให้ปฏิบัติตามกรอบการทำงานของ บ.ย.ศ. ที่ให้ส่วนราชการเจ้าของเรื่องนำเรื่องที่มีปัญหาในทางปฏิบัติเสนอรองนายกรัฐมนตรีที่รับผิดชอบในเรื่องดังกล่าวพิจารณา โดยอาจใช้กลไกคณะกรรมการและอนุกรรมการที่มีอยู่พิจารณาให้เป็นที่ยุติ เช่น คณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน (กขป.) แต่หากยังมีเรื่องใดติดขัด ไม่สามารถแก้ไขปัญหาในระดับหน่วยงานหรือระดับกำกับการบริหารราชการดังกล่าวได้ จึงให้นำเรื่องเสนอคณะกรรมการ บ.ย.ศ. พิจารณาต่อไป ๓.๒ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาจัดทำแผนการดำเนินการด้านการปฏิรูปกิจการตำรวจ โดยให้ครอบคลุม ๖ ประเด็น ได้แก่ (๑) การปฏิรูปเชิงโครงสร้าง เช่น การถ่ายโอนภารกิจ (๒) การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เช่น การสรรหาและระบบการฝึกอบรม ค่าตอบแทน และสวัสดิการเพื่อดำรงชีพอย่างมีศักดิ์ศรี การปรับปรุงการบริหารงานบุคคลและเส้นทางการเจริญเติบโต (๓) การปฏิรูประบบงานสอบสวนและการบังคับใช้กฎหมาย (๔) การนำระบบเทคโนโลยีดิจิทัลมาสนับสนุนงานด้านการรักษาความปลอดภัย (๕) การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน เช่น การร่วมเป็นอาสาสมัคร และ (๖) การป้องกันและปราบปรามการทุจริตภายในองค์กร ทั้งนี้ ให้นำเสนอแผนดังกล่าวต่อรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) พิจารณาก่อนนำเสนอนายกรัฐมนตรีต่อไป นั้น ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการปฏิรูปกิจการตำรวจใน ๓ ด้านหลัก ดังนี้ (๑) ด้านองค์กร เช่น โครงสร้างองค์กร ระบบงาน ระบบงบประมาณ อำนาจหน้าที่ (๒) ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม เช่น กฎระเบียบการปฏิบัติหน้าที่ การป้องกันการทุจริตคอร์รัปชัน ระบบงานสอบสวน การบังคับใช้กฎหมาย (๓) ด้านบุคลากร เช่น ระบบการแต่งตั้ง/โยกย้าย ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในกรอบระยะเวลา ๙ เดือน โดยให้ศึกษาประเด็นปัญหาของทุกระบบภายใน ๒ เดือนแรก และปรับปรุงแก้ไขกฎหมายในอีก ๔ เดือนถัดมา ในส่วน ๓ เดือนที่เหลือจะเป็นการสื่อสารและสร้างการรับรู้ให้แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด และให้รายงานความคืบหน้าการดำเนินการดังกล่าวต่อนายกรัฐมนตรีเป็นระยะด้วย ๓.๓ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริง กรณีที่มีการกล่าวหาว่ามีการหาผลประโยชน์และการทุจริตในการดำเนินโครงการของศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยให้มีผลการสอบสวนที่ชัดเจนภายใน ๑ เดือน ๓.๔ ให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดประสานความร่วมมือกับหน่วยงานด้านความมั่นคงในการจัดหลักสูตรฝึกอบรมสำหรับเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการป้องกัน แก้ไขปัญหายาเสพติดให้มีความพร้อมในการเผชิญเหตุที่อาจมีการขัดขืน ต่อสู้ และใช้อาวุธทำร้ายเจ้าหน้าที่ เช่น การให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้กลยุทธ์ในการปิดล้อมและตรวจค้นที่เหมาะสมกับสถานการณ์ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยต่อเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานและประชาชนในบริเวณใกล้เคียง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1383 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลสระยายโสม อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี ให้เป็นเขตสำรวจการจัดรูปที่ดิน พ.ศ. .... | กษ | 20/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลสระยายโสม อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี ให้เป็นเขตสำรวจการจัดรูปที่ดิน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตสำรวจการจัดรูปที่ดิน เพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่เข้าทำการสำรวจพื้นที่ที่จะจัดทำเป็นโครงการจัดรูปที่ดินต่อไป ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรประเมินผลการดำเนินโครงการจัดรูปที่ดินและการนำที่สาธารณะไปจัดรูปที่ดินที่ผ่านมา โดยเฉพาะปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ เพื่อนำมาใช้ในการปรับปรุงและวางแผนการดำเนินงานในระยะต่อไปให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1384 | สรุปผลการพิจารณาดำเนินการตามรายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง สิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย และสิทธิแรงงาน กรณีกล่าวอ้างว่ามีการใช้แรงงานทาสหรือแรงงานบังคับในอุตสาหกรรมประมงไทย | รง | 20/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการพิจารณาดำเนินการตามรายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง สิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย และสิทธิแรงงาน กรณีกล่าวอ้างว่ามีการใช้แรงงานทาสหรือแรงงานบังคับในอุตสาหกรรมประมงไทย ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ โดยกระทรวงแรงงานได้ดำเนินการเกี่ยวกับการปราบปรามดำเนินคดีกับนายจ้างจัดหาแรงงานต่างด้าวอย่างเฉียบขาด โดยได้ออกพระราชกำหนดการนำคนต่างด้าวมาทำงานกับนายจ้างในประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๙ เพื่อควบคุมการประกอบธุรกิจนำคนต่างด้าวมาทำงานกับนายจ้างในประเทศ และแก้ไขปัญหาการลักลอบนำคนต่างด้าว หรือหลอกลวงคนต่างด้าวมาทำงานกับนายจ้างในประเทศโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย มีนโยบายห้ามมิให้ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ทุกระดับเกี่ยวข้องกับขบวนการค้ามนุษย์ และได้เปิดโอกาสให้องค์กรภาคเอกชนและองค์กรพัฒนาเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาโดยเฉพาะการเอารัดเอาเปรียบแรงงาน รวมทั้งได้ดำเนินโครงการส่งเสริมการเข้าถึงสิทธิของแรงงานต่างด้าวรองรับประชาคมอาเซียน โดยการจัดทำสื่อวิดีโอช่วยสอนหรือสื่อมัลติมีเดียเกี่ยวกับสิทธิหน้าที่ตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานในหลาย ๆ ภาษา ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1385 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการภูมิสารสนเทศแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2560 | วท | 20/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการภูมิสารสนเทศแห่งชาติ (กภช.) ครั้งที่ ๑/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๖๐ ๒. เห็นชอบในหลักการ (ร่าง) แผนแม่บทภูมิสารสนเทศแห่งชาติและมาตรฐานภูมิสารสนเทศของประเทศ จำนวน ๑๐ เรื่อง โดยการกำหนดให้มีแผนแม่บทภูมิสารสนเทศแห่งชาติเพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปใช้เป็นแนวทางปฏิบัติจะทำให้การบริหารจัดการข้อมูลภูมิสารสนเทศเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมทั้งการกำหนดมาตรฐานที่เกี่ยวกับการดำเนินการด้านภูมิสารสนเทศทั้งในส่วนของการผลิตข้อมูล การจัดเก็บ การบริการข้อมูล และมาตรฐานด้านบุคลากร จะทำให้แต่ละหน่วยงานสามารถปฏิบัติงานและแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน มีความชัดเจนในการให้บริการข้อมูล รวมถึงมีความเชื่อมั่นในการนำข้อมูลไปประยุกต์ใช้งานในด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง และให้ กภช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติงานตามอำนาจหน้าที่ต่อไป โดยให้ความสำคัญกับการบูรณาการและเชื่อมโยงข้อมูลของหน่วยงานกับการดำเนินการเรื่องอื่นที่เกี่ยวข้องด้วย เช่น Big Data การปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ (One Map) การจัดทำผังเมือง และการดำเนินการด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องตามที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยได้บัญญัติไว้ ๓. ให้ กภช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ ที่จำเป็นต้องใช้ผู้ปฏิบัติงานด้านภูมิสารสนเทศร่วมกันพิจารณากำหนดให้มีตำแหน่งในสายงานดังกล่าวให้เหมาะสมและสอดคล้องกับภารกิจและความจำเป็นของงานในแต่ละส่วนราชการ และควรให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นหน่วยงานเจ้าภาพบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดทำแผนงานบูรณาการงบประมาณภูมิสารสนเทศของประเทศ รวมทั้งกำหนดแนวทางบูรณาการด้านภูมิสารสนเทศของประเทศให้ชัดเจน มีความเชื่อมโยงในทุกมิติตามยุทธศาสตร์ระยะ ๒๐ ปี โดยมีหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบชัดเจน และมีการจัดลำดับความสำคัญของโครงการ สำหรับในระยะต่อไปควรให้ความสำคัญกับการจัดทำคู่มือประกอบการทำงานในการพัฒนาระบบฐานข้อมูลภูมิสารสนเทศและแผนปฏิบัติงานด้านความปลอดภัยของระบบและบริการภูมิสารสนเทศกลางของประเทศ และควรสร้างความร่วมมือทั้งภาครัฐและเอกชนเพื่อใช้ประโยชน์จากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและบุคลากรที่เชี่ยวชาญของภาคเอกชน พร้อมทั้งควรเร่งผลักดันการให้บริการรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (E-Government) อย่างเต็มรูปแบบ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ ให้ กภช. ติดตามและประเมินผลการดำเนินการตาม (ร่าง) แผนแม่บทฯ และมาตรฐานฯ ดังกล่าวข้างต้นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดในภาพรวมและให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1386 | สรุปการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ 30 (ระหว่างวันที่ 12 กันยายน 2559 - 31 มีนาคม 2560) | นร04 | 20/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ ๓๐ (ระหว่างวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๙-๓๑ มีนาคม ๒๕๖๐) ตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลเสนอ มีผลงานสำคัญโดยสรุป ดังนี้
๑. การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ เช่น โครงการส่งเสริมการจัดกิจกรรมเพื่อความปรองดองสมานฉันท์โดยผ่านกลไกระดับจังหวัด อำเภอ ท้องถิ่น การจัดงานประเพณี กิจกรรมทางศาสนา และกิจกรรมพัฒนา และการแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียนร้องทุกข์ ๒. การปฏิรูปประเทศ ได้แก่ การปฏิรูปกฎหมายแข่งขันทางการค้าและร่างพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. .... การปรับปรุงระบบกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อเสริมสร้างธรรมาภิบาล ประสิทธิภาพ และการพัฒนาบุคลากรภาครัฐและร่างพระราชบัญญัติการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการนโยบายสาธารณะ พ.ศ. .... การปฏิรูปแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การบริหารงานภาครัฐที่เปิดเผยข้อมูลและร่างพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารสาธารณะ พ.ศ. ..... การปฏิรูปความรับผิดต่อความชำรุดบกพร่องของสินค้าและร่างพระราชบัญญัติความรับผิดต่อความชำรุดบกพร่องของสินค้า พ.ศ. .... การจัดการสินค้าที่ไม่ปลอดภัยและร่างพระราชบัญญัติการแจ้งเตือนภัยและจัดการสินค้าที่ไม่ปลอดภัยต่อผู้บริโภค พ.ศ..... การปฏิรูปประสิทธิภาพกระบวนการยุติธรรมทางอาญา และการปฏิรูปทนายความอาสา ทนายความขอแรง และที่ปรึกษากฎหมายของเด็กหรือเยาวชน ในประเด็นการปฏิรูปค่าตอบแทนและสิ่งจูงใจพิเศษเรื่องสิทธิประโยชน์ทางภาษี ๓. การบริหารราชการแผ่นดิน ๓.๑ ด้านความมั่นคง เช่น การเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ไว้ด้วยความจงรักภักดีและปกป้องรักษาพระบรมเดชานุภาพ การน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณและร่วมแสดงความอาลัยแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช การรักษาความมั่นคงของรัฐและต่างประเทศ ๓.๒ ด้านสังคมจิตวิทยา เช่น การลดความเหลื่อมล้ำของสังคม การสร้างโอกาสการเข้าถึงบริการของภาครัฐ การบูรณาการระบบการส่งเสริมอาชีพและการมีงานทำของคนพิการ การศึกษาและเรียนรู้ การทะนุบำรุงศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม การยกระดับคุณภาพบริการด้านสาธารณสุข และสุขภาพของประชาชน ๓.๓ ด้านเศรษฐกิจ เช่น การเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ การแก้ไขหนี้นอกระบบอย่างบูรณาการและยั่งยืน การดำเนินโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี ๒๕๖๐ การจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยว การจัดงานส่งเสริมด้านดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม การขับเคลื่อนระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) การขับเคลื่อนพัฒนาและส่งเสริม SMEs การส่งเสริมสมุนไพรไทย การขับเคลื่อนแผนส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และการจัดงานส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การวิจัยและพัฒนา และนวัตกรรม ๓.๔ ด้านการต่างประเทศ เช่น การเสริมสร้างภาพลักษณ์ ความเชื่อมั่น และทัศนคติที่ดีต่อไทย การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-ญี่ปุ่น และการเปิดตัวแอปพลิเคชัน "Street Food Phuket" "Street Food Chiang Mai-Chiang Rai" และ "Street Food Bangkok" ในรูปแบบภาษาจีน ๓.๕ ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม เช่น การอบรมอาสาสมัครคุมประพฤติเพื่อนำไปสู่ความสำเร็จในการแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทำผิดในชุมชน การดำเนินโครงการพัฒนาระบบศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนที่มีอายุ ๒๐ ปีบริบูรณ์ขึ้นไป การส่งเสริมการบริหารราชการแผ่นดินที่มีธรรมาภิบาล การจัดกิจกรรมในการพัฒนาเครือข่ายการปฏิบัติงานรับเรื่องร้องทุกข์ของส่วนราชการระดับกระทรวง กรม รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอิสระ และการจัดตั้งศูนย์รับเรื่องร้องเรียนสำหรับนักลงทุนชาวต่างชาติ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1387 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 13/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการเกี่ยวกับการส่งเสริมการทำเกษตรแปลงใหญ่ ดังต่อไปนี้ ๑.๑ จัดหาแหล่งน้ำสำหรับการทำการเกษตร รวมทั้งสนับสนุนการจัดหาพื้นที่ทำกินให้เพียงพอต่อการทำการเกษตรของเกษตรกร ๑.๒ ให้ศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าการเกษตร (ศพก.) และศูนย์เรียนรู้เครือข่ายเร่งดำเนินการให้ความรู้และคำแนะนำแก่เกษตรกรในการปรับปรุงและพัฒนาคุณภาพหรือเพิ่มมูลค่าสินค้าของเกษตรกรตั้งแต่ต้นทางไปจนถึงปลายทาง เช่น ความรู้ด้านการผลิตและการตลาด ความรู้พื้นฐานเบื้องต้นเกี่ยวกับการทำบัญชี ความรู้เรื่องอุปสงค์และอุปทานของตลาด เพื่อให้เกษตรกรสามารถบริหารจัดการผลิตผลทางการเกษตรได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ เพื่อยกระดับและพัฒนาคุณภาพเกษตรกรให้เป็น Smart Farmer ต่อไป ๑.๓ กำหนดแนวทางหรือมาตรการในการช่วยเหลือ/สนับสนุนให้เกษตรกรรายย่อยที่ยังมีรายได้ในเกณฑ์ต่ำให้มีรายได้เพิ่มมากขึ้น เพื่อให้มีความเข้มแข็งและมีความพร้อมที่จะรวมตัวกันทำการเกษตรแปลงใหญ่ได้ต่อไป โดยอาจพิจารณาจัดให้มีตลาดกลางสินค้าต่าง ๆ หรือตลาดชุมชน เพื่อให้เกษตรกรมีช่องทางในการจำหน่ายผลิตผลและสามารถกำหนดราคาจำหน่ายที่เหมาะสมได้มากยิ่งขึ้น ๒. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางจัดหาพื้นที่กักเก็บน้ำ ทำทางระบายน้ำ หรือพัฒนาแหล่งน้ำสำหรับใช้ประโยชน์ร่วมกันในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ โดยให้ประสานความร่วมมือในการดำเนินการดังกล่าวกับทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐบาล ภาคเอกชน และภาคประชาชน เช่น การขอรับการสนับสนุนเครื่องมือเครื่องจักรจากภาคเอกชนเพื่อใช้ในการจัดสร้างหรือฟื้นฟูแหล่งน้ำ การรณรงค์ให้ประชาชนช่วยกันเก็บขยะและสิ่งปฏิกูลต่าง ๆ บริเวณแหล่งน้ำในพื้นที่ของตน ทั้งนี้ ให้เตรียมการเพื่อให้เริ่มดำเนินการได้ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ๒๕๖๐ นี้เป็นต้นไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1388 | การปรับปรุงแก้ไขกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับการจัดตั้งและเปลี่ยนประเภทสถาบันอุดมศึกษาเอกชน จำนวน 2 ฉบับ | ศธ | 13/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง จำนวน ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้พิจารณาความสอดคล้องกับการจัดการศึกษา โดยสถาบันอุดมศึกษาที่มีศักยภาพสูงจากต่างประเทศในเขตพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (จังหวัดชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา) ซึ่งได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยสถาบันอุดมศึกษาเอกชน ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๒๙/๒๕๖๐ ลงวันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๖๐ เรื่อง การส่งเสริมการจัดการศึกษาโดยสถาบันอุดมศึกษาที่มีศักยภาพสูงจากต่างประเทศด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขอรับใบอนุญาตและการออกใบอนุญาตจัดตั้งสถาบันอุดมศึกษาเอกชน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงแก้ไขหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขอรับใบอนุญาตและการออกใบอนุญาตให้จัดตั้งสถาบันอุดมศึกษา เพื่อให้การจัดตั้งสถาบันอุดมศึกษาเอกชนมีความเหมาะสมกับเจตนารมณ์ในการจัดตั้งสถาบันอุดมศึกษาเอกชน ๑.๒ ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขออนุญาตและการอนุญาตให้เปลี่ยนชื่อหรือเปลี่ยนประเภทสถาบันอุดมศึกษาเอกชน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงแก้ไขหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขออนุญาตและการอนุญาตให้เปลี่ยนชื่อหรือเปลี่ยนประเภทสถาบันอุดมศึกษาเอกชนเพื่อให้เหมาะสมและชัดเจนยิ่งขึ้น ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำกับ ดูแล ตรวจสอบการดำเนินงานอย่างเคร่งครัด และต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในคุณภาพและมาตรฐานการจัดการศึกษาของสถาบันอุดมศึกษาเอกชน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1389 | การรายงานผลความคืบหน้าการจัดทำแผนการผลิต เพาะปลูกเมล็ดถั่วเหลืองเพิ่มเติม | กษ | 13/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบการรายงานผลความคืบหน้าการจัดทำแผนการผลิต เพาะปลูกเมล็ดถั่วเหลืองเพิ่มเติม ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การดำเนินงานภายใต้คณะอนุกรรมการพัฒนาการผลิตถั่วเหลือง ได้มีการกำหนดกรอบยุทธศาสตร์ถั่วเหลืองเพื่อความมั่นคงด้านอาหาร ระยะเวลา ๒๐ ปี (ปี ๒๕๖๑-๒๕๗๙) แบ่งการดำเนินงานเป็นช่วงละ ๕ ปี มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างแหล่งผลิตถั่วเหลืองสำหรับแปรรูปอาหาร พัฒนาประสิทธิภาพการผลิตและคุณภาพถั่วเหลืองให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด รวมทั้งพัฒนาและส่งเสริมอุตสาหกรรมแปรรูปถั่วเหลืองเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ๑.๒ การดำเนินงานของคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อพัฒนาการผลิตถั่วเหลือง ได้มอบหมายให้สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรเป็นหน่วยงานหลักในการบูรณาการร่วมกับกรมวิชาการเกษตรและกรมส่งเสริมการเกษตรจัดทำโครงการส่งเสริมการปลูกถั่วเหลืองหลังนาเพื่อเป็นการปรับปรุงบำรุงดินให้มีคุณภาพเพิ่มขึ้นและเพิ่มผลผลิตถั่วเหลือง โดยให้คัดเลือกพื้นที่ดำเนินการในลักษณะเกษตรแปลงใหญ่ประชารัฐ และให้เริ่มดำเนินการโครงการได้ภายในฤดูแล้ง ปี ๒๕๖๐/๒๕๖๑ ๑.๓ การดำเนินโครงการปลูกถั่วหลังนาประชารัฐ ปี ๒๕๕๙ ได้กำหนดพื้นที่ในการส่งเสริมการปลูกถั่วเหลืองหลังนาเพื่อเพิ่มผลผลิต เป้าหมาย ๕,๐๐๐ ไร่ มีพื้นที่เข้าร่วมโครงการจริง ๑,๗๑๙ ไร่ ใน ๔ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดศรีสะเกษ อุดรธานี เชียงใหม่ และพะเยา โดยจัดทำแปลงต้นแบบถั่วเหลือง จำนวน ๙ แปลง ซึ่งได้มีการเก็บเกี่ยวผลผลิตเสร็จสิ้นแล้วในจังหวัดศรีสะเกษ อุดรธานี และอำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ส่วนอำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ อยู่ระหว่างการเก็บเกี่ยวผลผลิต สำหรับผลผลิตในจังหวัดพะเยาไม่ได้เก็บเกี่ยวเนื่องจากต้นกล้าได้รับผลกระทบจากอากาศหนาวเย็น ส่วนสาเหตุที่มีพื้นที่เข้าร่วมโครงการน้อย เพราะบางพื้นที่ประสบปัญหาภัยแล้งและยังไม่มีความพร้อมในเรื่องของแหล่งน้ำ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ศึกษาหรือตรวจสอบข้อมูลความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการต่าง ๆ อย่างละเอียดในทุกมิติก่อนดำเนินการ เพื่อให้แผนงาน/โครงการต่าง ๆ เป็นไปตามกรอบเวลา บรรลุผลตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่กำหนด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1390 | ปรับปรุงอัตราการจัดเก็บค่าธรรมเนียมการส่งยางออกนอกราชอาณาจักรเป็นอัตราคงที่ 2 บาทต่อกิโลกรัม | กษ | 13/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการกำหนดอัตราจัดเก็บค่าธรรมเนียมส่งยางออกนอกราชอาณาจักร ในอัตราคงที่ ๒ บาทต่อกิโลกรัม โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ติดตาม กำกับดูแล และประเมินผลการปรับปรุงอัตราการจัดเก็บค่าธรรมเนียมดังกล่าวอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง เพื่อมิให้เกิดปัญหาหรือผลกระทบต่อราคาจำหน่ายยางของเกษตรกร ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่เกษตรกรจะได้รับจากค่าธรรมเนียมฯ ตามที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัดด้วย และโดยที่การกำหนดค่าธรรมเนียมฯ ดังกล่าว อาจส่งผลกระทบต่อเกษตรกรชาวสวนยาง ผู้ประกอบกิจการยางและผู้ส่งออกยาง ตลอดจนอุตสาหกรรมยางในภาพรวม ทั้งในเชิงบวกและลบ โดยเฉพาะหากราคายางมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง จึงควรพิจารณาผลกระทบในกรณีต่าง ๆ เพื่อหามาตรการรองรับที่เหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1391 | ข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมายและข้อเสนอแนะนโยบายการแก้ไขปัญหาการบริหารจัดการทรัพยากรพลังงานของไทย | สม | 06/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณาและผลการดำเนินการตามข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมายและข้อเสนอแนะนโยบายการแก้ไขปัญหาการบริหารจัดการทรัพยากรพลังงานของไทยของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ โดยผลการพิจารณาให้ความเห็นและข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในเรื่องกระบวนการจัดทำโครงการด้านปิโตรเลียมของประเทศไทยพบว่า กฎหมายปิโตรเลียมในปัจจุบันมีการดำเนินการที่ส่งเสริมการมีส่วนร่วมด้านการจัดการสิ่งแวดล้อม รวมทั้งตระหนักถึงสิทธิในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารโดยมีการเร่งสร้างความเข้าใจที่ตรงกันให้แก่ประชาชนทุกภาคส่วนอย่างทั่วถึงแล้ว ทั้งนี้ ร่างพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. .... ได้ผ่านความเห็นชอบของสภานิติบัญญัติแห่งชาติแล้ว ซึ่งกระทรวงพลังงานจะนำข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติไปประกอบการพิจารณาในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป สำหรับข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่เสนอให้นำหลักปฏิบัติที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ อาทิ หลักปฏิบัติของโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน มาปรับใช้ในการกำกับดูแลภาคธุรกิจที่ได้รับสัมปทานปิโตรเลียมนั้น ในกระบวนการของกฎหมายปิโตรเลียมได้คำนึงถึงประเด็นต่าง ๆ ที่สอดคล้องกับหลักปฏิบัติระดับนานาชาติดังกล่าวอยู่แล้ว และสามารถนำหลักปฏิบัติดังกล่าวไปประยุกต์ใช้ในทางปฏิบัติที่เกี่ยวข้องต่อไป เพื่อสร้างความมั่นใจได้ว่ากระบวนการกำกับดูแลกิจการปิโตรเลียมจะส่งผลให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติสูงสุดอย่างแท้จริง ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1392 | ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงคมนาคม พ.ศ. .... | นร09 | 06/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงคมนาคม พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงคมนาคม พ.ศ. ๒๕๕๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยปรับปรุงการแบ่งส่วนราชการและอำนาจหน้าที่ของสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงคมนาคม เพื่อให้สอดคล้องกับภารกิจที่เพิ่มขึ้นและเหมาะสมกับสภาพของงานที่เปลี่ยนแปลงไป อันจะทำให้การปฏิบัติภารกิจตามอำนาจหน้าที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลยิ่งขึ้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1393 | แผนการดำเนินงาน (Roadmap) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 - 2563 [สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน)] | นร04 | 06/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบแผนการดำเนินงาน (Roadmap) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๓ ของสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) (สมศ.) มีเป้าหมาย คือ สถานศึกษาได้รับการประเมินคุณภาพภายนอกรอบสี่ครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนด ภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ แบ่งเป็น (๑) แผนเร่งด่วนภายในระยะเวลา ๑ ปี (เดือนมกราคม-ธันวาคม ๒๕๖๐) และ (๒) แผนประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๓ ทั้งนี้ จะเริ่มดำเนินการประเมินระยะที่ ๑ ในไตรมาสที่ ๔/๒๕๖๐ (เดือนกรกฎาคม-กันยายน ๒๕๖๐) โดยมีเป้าหมาย คือ สถานศึกษาระดับปฐมวัยขั้นพื้นฐาน อาชีวศึกษา และอุดมศึกษา ทั่วประเทศ ๓๕๓ แห่ง ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) เสนอ และให้ สมศ. เร่งรัดการดำเนินการให้เป็นไปตามแผนการดำเนินงานฯ ต่อไป ๒. ให้รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) กำกับให้ สมศ. ดำเนินการประเมินผลสัมฤทธิ์ของระบบการศึกษาในปัจจุบันตามแนวทางการปฏิรูปการศึกษา โดยเน้นผลที่เกิดกับนักเรียน ครู และผลการเรียน เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการปรับปรุงพัฒนาระบบการศึกษาและการจัดการเรียนการสอนของสถานศึกษาให้เหมาะสมต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1394 | รายงานผลการปรับปรุงงบลงทุนระหว่างปีของรัฐวิสาหกิจ ประจำปี 2560 ไตรมาส 2 (มกราคม - มีนาคม 2560) | นร11 | 06/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการปรับปรุงงบลงทุนระหว่างปีของรัฐวิสาหกิจ ประจำปี ๒๕๖๐ ไตรมาส ๒ (มกราคม-มีนาคม ๒๕๖๐) ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการพิจารณาปรับปรุงงบลงทุน ประจำปี ๒๕๖๐ ไตรมาส ๒ มีการปรับปรุงงบลงทุนระหว่างปีของรัฐวิสาหกิจ โดยมีกรอบการเบิกจ่ายลงทุนประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๐ เปลี่ยนแปลงไปจากที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติไว้ จาก ๕๒๐,๙๘๐ ล้านบาท เป็น ๕๐๗,๐๘๑ ล้านบาท ๒. เป้าหมายการเบิกจ่ายลงทุนประจำปี ๒๕๖๐ รัฐวิสาหกิจได้จัดทำเป้าหมายการดำเนินงานตามกรอบการเบิกจ่ายลงทุนที่ได้รับอนุมัติให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเพื่อใช้ในการติดตามผลการเบิกจ่ายลงทุน และจัดส่งให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กระทรวงการคลังเพื่อใช้ประกอบในการจัดทำเป้าหมายและตัวชี้วัดในการประเมินผลการดำเนินงานในภาพรวมขององค์กร ๓. ผลการเบิกจ่ายลงทุนประจำปี ๒๕๖๐ ไตรมาส ๒ รัฐวิสาหกิจสามารถเบิกจ่ายลงทุนสะสมถึงเดือนมีนาคม ๒๕๖๐ ได้จำนวน ๗๒,๒๙๔ ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๘๒.๒ ของเป้าหมายไตรมาส ๒ (จำนวน ๘๗,๙๗๒ ล้านบาท) สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่เบิกจ่ายลงทุนได้ร้อยละ ๗๒.๑ และทั้งปีคาดว่าจะเบิกจ่ายลงทุนได้ทั้งสิ้น ๔๙๔,๑๓๑ ล้านบาท หรือประมาณร้อยละ ๙๗.๔ ของเป้าหมายรวม ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายที่กำหนดให้รัฐวิสาหกิจเบิกจ่ายไม่น้อยกว่าร้อยละ ๙๕.๐ ของกรอบวงเงินเบิกจ่ายลงทุนที่ได้รับอนุมัติ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1395 | การปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2555 เรื่อง การให้หน่วยงานรัฐวิสาหกิจเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นในสัดส่วนของรัฐบาลไทยในโครงการอาเซียนโปแตช (ประเทศไทย) | กค | 06/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้กระทรวงการคลังดำเนินการตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับการให้หน่วยงานรัฐวิสาหกิจเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นในสัดส่วนของรัฐบาลไทยในโครงการอาเซียนโปแตช (ประเทศไทย) ให้ได้ข้อยุติ โดยหากรัฐภาคีเห็นว่าข้อเสนอของกระทรวงการคลังเป็นเรื่องที่สามารถดำเนินการได้โดยไม่ขัดกับหลักเกณฑ์ของข้อตกลงพื้นฐานว่าด้วยโครงการอุตสาหกรรมอาเซียน (Basic Agreement on ASEAN Industrial Projects) ก็ให้กระทรวงการคลังดำเนินการตามที่เสนอได้ โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบอีก และให้รายงานคณะรัฐมนตรีทราบต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์และคุณสมบัติของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลให้รอบคอบและรัดกุม เพื่อไม่ให้เป็นภาระที่รัฐต้องใช้งบประมาณในการแก้ปัญหาในภายหลัง โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์และคุณสมบัติที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งควรมีมาตรการรองรับในกรณีที่ไม่มีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ส่วนราชการและ/หรือรัฐวิสาหกิจถือหุ้นในสัดส่วนที่มีอำนาจในการควบคุมจัดการสนใจเข้าร่วมโครงการฯ เพื่อให้สามารถดำเนินการตามแผนการลงทุนได้อย่างต่อเนื่องและเป็นไปตามเจตนารมณ์ของโครงการฯ และพิจารณาหาสาเหตุที่ไม่มีหน่วยงานรัฐสาหกิจสนใจลงทุนในโครงการฯ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงการคลังพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินการในรูปแบบอื่น เพื่อรองรับกรณีที่ผลการหารือกับรัฐภาคีระบุว่าข้อเสนอของกระทรวงการคลังไม่สอดคล้องกับ Basic Agreement ต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประเมินความคุ้มค่าในการดำเนินโครงการอาเซียนโปแตช (ประเทศไทย) พร้อมทั้งกำหนดมาตรการรองรับในกรณีที่การดำเนินโครงการฯ ไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ รวมทั้งให้ชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการต่อต้านจากมวลชนในการดำเนินโครงการฯ ดังกล่าวด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1396 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนหนองขาหย่าง จังหวัดอุทัยธานี พ.ศ. .... | มท | 06/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนหนองขาหย่าง จังหวัดอุทัยธานี พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่ตำบลหนองขาหย่าง อำเภอหนองขาหย่าง จังหวัดอุทัยธานี เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา และการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมที่เห็นควรเพิ่มประเภทโรงงาน ได้แก่ โรงงานประเภท ๕๘ (๑) การทำผลิตภัณฑ์คอนกรีต ผลิตภัณฑ์คอนกรีตผสมผลิตภัณฑ์ยิปซั่ม หรือผลิตภัณฑ์ปูนปลาสเตอร์ ในร่างกฎกระทรวงฯ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่าผู้ที่เกี่ยวข้องควรให้ความสำคัญกับการควบคุมการวางผังเมืองให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของร่างกฎกระทรวงฯ และคำนึงถึงปริมาณน้ำต้นทุนและปริมาณการใช้น้ำ รวมทั้งการควบคุมการก่อสร้างต่าง ๆ เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคกับการระบายน้ำในพื้นที่ และในการกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทต่าง ๆ ให้พิจารณาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อสภาพแวดล้อม พื้นที่ชุ่มน้ำ แหล่งศิลปกรรม และพิจารณามิให้เป็นอุปสรรคต่อการจัดสร้างระบบรวบรวมหรือระบบบำบัด/กำจัดมลพิษ ตลอดจนการกำหนดพื้นที่การใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อกิจการอื่น ๆ ที่เป็นการใช้ประโยชน์ที่ดินรองของการใช้ประโยชน์ที่ดินหลักในแต่ละประเภท เมื่อมีการใช้ประโยชน์ที่ดินในแต่ละบริเวณแล้ว ควรมีการจัดทำฐานข้อมูลที่เป็นปัจจุบันและเผยแพร่ต่อสาธารณะให้ทราบว่ามีการใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อกิจการอื่นไปแล้วเท่าใด และใช้ฐานข้อมูลดังกล่าวเป็นฐานในการกำหนดผังเมืองรวมฉบับที่จะมีการปรับปรุงของแต่ละเมืองด้วย และกรมโยธาธิการและผังเมืองควรพิจารณาสนับสนุนให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นกำกับดูแลและควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างเข้มงวด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1397 | สรุปการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ 29 (ระหว่างวันที่ 12 กันยายน 2559 - 28 กุมภาพันธ์ 2560) | นร | 06/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ ๒๙ (ระหว่างวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๙-๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐) ตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลเสนอ มีผลงานสำคัญโดยสรุป ดังนี้
๑. การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ เช่น โครงการส่งเสริมการจัดกิจกรรมเพื่อความปรองดองสมานฉันท์โดยผ่านกลไกระดับจังหวัด อำเภอ ท้องถิ่น การจัดงานประเพณีกิจกรรมทางศาสนาและกิจกรรมพัฒนา และการแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียนร้องทุกข์ ๒. การปฏิรูปประเทศ ได้แก่ การปฏิรูปการเงินฐานรากและร่างพระราชบัญญัติสถาบันการเงินชุมชน การปฏิรูประบบการให้ความรู้พื้นฐานทางการเงินแก่ประชาชน การเสริมสร้างวัฒนธรรมทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย การปฏิรูปกฎหมายและระบบบริหารจัดการขยะมูลฝอยชุมชนของประเทศ ระบบการแพทย์ฉุกเฉินช่วงก่อนถึงโรงพยาบาล การปฏิรูปโครงสร้างองค์กรภาครัฐ การจัดความสัมพันธ์ระหว่างราชการส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น : การปฏิรูปการบริหารจัดการของหน่วยรับผิดชอบงานทาง ธนาคารที่ดินและร่างพระราชบัญญัติธนาคารที่ดิน พ.ศ. .... และการปฏิรูปการดำเนินการด้านการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของไทยและแนวทางการดำเนินงานไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ๓. การบริหารราชการแผ่นดิน ๓.๑ ด้านความมั่นคง เช่น การเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ไว้ด้วยความจงรักภักดีและปกป้องรักษาพระบรมเดชานุภาพ การน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณและร่วมแสดงความอาลัยแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และการรักษาความมั่นคงของรัฐและต่างประเทศ ๓.๒ ด้านสังคมจิตวิทยา เช่น การลดความเหลื่อมล้ำของสังคม การจัดทำโครงการผลิตครูเพื่อพัฒนาท้องถิ่น โครงการห้องเรียนกีฬา โครงการโรงเรียนที่ต้องการความช่วยเหลือและพัฒนาเป็นพิเศษอย่างเร่งด่วน (โรงเรียนไอซียู) การจัดงานสัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนาเนื่องในเทศกาลมาฆบูชา และการยกระดับคุณภาพบริการด้านสาธารณสุข และสุขภาพของประชาชน ๓.๓ ด้านเศรษฐกิจ เช่น การเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ การดำเนินโครงการสนับสนุนสินเชื่อสถาบันเกษตรแปรรูปยางพาราภายใต้แนวทางพัฒนายางพาราทั้งระบบ การดำเนินโครงการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังด้วยมาตรการสนับสนุนสินเชื่อ การดำเนินมาตรการด้านการเงินเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้และจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ปี ๒๕๖๐ เพิ่มเติม การดำเนินโครงการส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมด้านอาหารไทย ประจำปี ๒๕๖๐ การดูแลผู้บริโภคหลังการปรับราคาจำหน่ายปลีกก๊าซหุงต้ม และการดำเนินโครงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ๓.๔ ด้านการต่างประเทศ ได้พัฒนาฝีมือแรงงานนานาชาติในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงให้มีสมรรถนะและทักษะฝีมือตามมาตรฐานเทียบเท่าระดับสากลอันจะนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจในภูมิภาคให้เข้มแข็งและยั่งยืน รวมถึงเพื่อเป็นการส่งเสริมและผลักดันมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติของประเทศไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับภูมิภาคและระดับสากล ตลอดจนเพื่อส่งเสริมการสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้แก่ประชาชนอย่างทั่วถึง ๓.๕ ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม เช่น การส่งเสริมและการบริหารราชการแผ่นดินที่มีธรรมาภิบาลและการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐ การป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ และการปรับปรุงกฎหมายที่ล้าสมัยไม่เป็นธรรม
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1398 | ขออนุมัติกู้เงินเพื่อเสริมสภาพคล่องสำหรับการดำเนินโครงการตามมาตรการลดภาระค่าครองชีพประชาชน (รถเมล์ฟรี) และเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ (PSO) ปีงบประมาณ 2560 ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ | คค | 06/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กู้เงินเพื่อเสริมสภาพคล่องสำหรับการดำเนินโครงการตามมาตรการลดภาระค่าครองชีพประชาชน (รถเมล์ฟรี) และเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ (PSO) ปีงบประมาณ ๒๕๖๐ จำนวนรวม ๑,๗๗๗.๒๐๒ ล้านบาท และให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ รวมทั้งพิจารณาวิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ในการกู้เงิน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดย ขสมก. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการบริหารจัดการบริการสาธารณะของ ขสมก. และการบริหารหนี้สินของ ขสมก. ตลอดจนการปรับปรุงขั้นตอนการขอรับการจัดสรรเงินงบประมาณสำหรับการดำเนินการตามมาตรการรถเมล์ฟรี และ PSO ให้สอดคล้องกับระยะเวลาการชำระค่าใช้จ่ายภายในปีงบประมาณนั้น ๆ เพื่อลดปัญหาการชำระค่าใช้จ่ายล่าช้าที่ทำให้เกิดหนี้ค้างชำระและค่าเบี้ยปรับค้างชำระ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1399 | มาตรการแก้ไขปัญหาหนี้ค่าสาธารณูปโภคค้างชำระของส่วนราชการ | นร07 | 06/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแนวทางและมาตรการแก้ไขปัญหาหนี้ค่าสาธารณูปโภคค้างชำระ ซี่งมีสาระสำคัญเช่นเดียวกับแนวทางและมาตรการในการแก้ไขปัญหาหนี้ค่าสาธารณูปโภคค้างชำระที่คณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติไว้เมื่อวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๔๖ (เรื่อง การปรับปรุงแนวทางมาตรการเกี่ยวกับการชำระหนี้ค่าสาธารณูปโภคค้างชำระให้แก่รัฐวิสาหกิจ) โดยมีการเพิ่มขอบเขตของหน่วยปฏิบัติ จากเดิมที่ให้มีผลเฉพาะกับส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ เป็นให้ครอบคลุมถึงหน่วยงานอื่น ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ยกเว้นกรณีที่จะให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นที่ไม่สามารถชำระหนี้ค่าสาธารณูปโภคได้ทันภายในปีงบประมาณที่เกิดค่าใช้จ่าย สามารถกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีเป็นค่าสาธารณูปโภคได้อีก ๓ เดือน หลังจากสิ้นปีงบประมาณ ให้ดำเนินการตามความเห็นของกระทรวงการคลังที่ให้หน่วยงานสามารถเบิกค่าใช้จ่ายดังกล่าวได้ในลักษณะค่าใช้จ่ายค้างเบิกข้ามปี โดยถือปฏิบัติได้ตามหนังสือกระทรวงการคลัง ด่วนที่สุด ที่ กค ๐๔๐๙.๓/ว ๑๔ ลงวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๔๘ [เรื่อง การเบิกค่าใช้จ่ายค้างเบิกข้ามปีในระบบบริหารการเงินการคลังภาครัฐด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (GFMIS)] ต่อไป ๒. ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๔๖ (เรื่อง การปรับปรุงแนวทางและมาตรการเกี่ยวกับการชำระหนี้ค่าสาธารณูปโภคค้างชำระให้แก่รัฐวิสาหกิจ) ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ๓. ให้สำนักงบประมาณรายงานผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินการตามแนวทางและมาตรการฯ ดังกล่าวข้างต้นต่อคณะรัฐมนตรีภายในเดือนกันยายน ๒๕๖๐ รวมทั้งให้กระทรวงการคลังร่วมกับสำนักงบประมาณและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดมาตรการและแหล่งเงินที่เหมาะสมเพื่อนำมาใช้แก้ปัญหาหนี้ค่าสาธารณูปโภคค้างชำระเดิมที่ยังคงเหลืออยู่ของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1400 | ร่างพระราชกำหนดการประมง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กษ | 06/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชกำหนดการประมง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่ได้ปรับแก้ไขจากร่างที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีหลักการสำคัญในการป้องกันมิให้มีการทำการประมงโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น โดยได้แก้ไขเพิ่มเติมตามมติที่ประชุมร่วมกันระหว่างกระทรวงแรงงานและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่ให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมในมาตรา ๑๑ มาตรา ๑๑/๑ มาตรา ๑๒๔ ตามข้อสังเกตของกระทรวงแรงงาน และมีการปรับแก้ไขมาตรา ๘๑ ตามข้อเสนอของสหภาพยุโรป ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในเรื่องนี้ ๒. มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการชี้แจงให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียได้รับทราบและทำความเข้าใจถึงความจำเป็นและสาระสำคัญของการปรับปรุง โดยเฉพาะการปรับปรุงนิยาม หลักเกณฑ์ และบทลงโทษต่าง ๆ รวมทั้งแผนการตรากฎหมายลำดับรองตามร่างพระราชกำหนดฯ และแนวทางการปรับตัวของชาวประมงและผู้ประกอบการธุรกิจประมงที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องสามารถเตรียมความพร้อมสำหรับการปรับตัวก่อนมีการบังคับใช้พระราชกำหนดฯ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
.....
