ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 66 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 1301 - 1320 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 1301 | ความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐเอลซัลวาดอร์ว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและราชการ | กต | 31/10/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการปรับปรุงถ้อยคำในร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐเอลซัลวาดอร์ว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและราชการ ฉบับภาษาไทยและภาษาสเปนในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญเพื่อให้เกิดความหมายและหลักไวยากรณ์สอดคล้องกับความตกลงฉบับภาษาอังกฤษ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1302 | สรุปการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ 34 (ระหว่างวันที่ 12 กันยายน 2559 - 31 กรกฎาคม 2560) | นร | 24/10/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินการตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ ๓๔ (ระหว่างวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๙-๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๐) ตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลเสนอ มีผลงานสำคัญโดยสรุป ดังนี้
๑. การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ เช่น โครงการส่งเสริมการจัดกิจกรรมเพื่อความปรองดองสมานฉันท์โดยผ่านกลไกระดับจังหวัด อำเภอ ท้องถิ่น การจัดกิจกรรมส่งเสริมวิถีชีวิตแบบประชาธิปไตยเพื่อสร้างความปรองดอง และการแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียน ร้องทุกข์ ๒. การปฏิรูปประเทศ เช่น การติดตามการขับเคลื่อนความคืบหน้าการดำเนินการตามประเด็นปฏิรูป ๓. การบริหารราชการแผ่นดิน ๓.๑ ด้านความมั่นคง เช่น การเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ไว้ด้วยความจงรักภักดีและปกป้องพระบรมเดชานุภาพ การรักษาความมั่นคงของรัฐและต่างประเทศ ๓.๒ ด้านสังคมจิตวิทยา เช่น การร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการต่อต้านการค้ามนุษย์ (MOU) ไทย-ลาว การดำเนินโครงการประชารัฐสุขใจ การดำเนินการเพื่อลดผลกระทบจากการประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๖๐ การสร้างโอกาสการเข้าถึงบริการของภาครัฐ การจัดการศึกษาปฐมวัย ๓.๓ ด้านเศรษฐกิจ เช่น การเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ การดำเนินมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนในประเทศ การดำเนินโครงการแจกโชคจากการใช้บัตรเครดิตเพื่อส่งเสริมการใช้บัตรเดบิต การส่งเสริมการท่องเที่ยวไทย การส่งเสริมการค้าภายในประเทศ การเพิ่มประสิทธิภาพการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาสู่ประเทศไทย ๔.๐ การส่งเสริมด้านดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ๓.๔ ด้านการต่างประเทศ เช่น การสร้างประชาคมอาเซียนที่เข้มแข็งและส่งเสริมบทบาทไทยในประชาคมอาเซียน การสนับสนุนการเคลื่อนย้ายแรงงานเสรี การส่งเสริมบทบาทของไทยในเวทีระหว่างประเทศและประชาคมโลก การเสริมสร้างภาพลักษณ์ความเชื่อมั่นและทัศนคติที่ดีต่อไทย ๓.๕ ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม เช่น การส่งเสริมการบริหารราชการแผ่นดินที่มีธรรมาภิบาลและการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐ การพัฒนาคุณภาพการให้บริการประชาชน การปรับปรุงกฎหมายที่ล้าสมัย ไม่เป็นธรรม
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1303 | การปรับปรุงแผนยุทธศาสตร์การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ | กค | 24/10/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและรับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ประธานกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างแผนยุทธศาสตร์การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ โดยมีกิจการโครงสร้างพื้นฐานและบริการ จำนวน ๒๒ กิจการ ประกอบด้วย กลุ่มที่ ๑ กิจการที่สมควรให้เอกชนมีส่วนร่วมในการลงทุน (Opt-out) จำนวน ๔ กิจการ และกลุ่มที่ ๒ กิจการที่รัฐส่งเสริมให้เอกชนมีส่วนร่วมในการลงทุน (Opt-in) จำนวน ๑๘ กิจการ ๑.๒ รับทราบรายการโครงการในกิจการภายใต้ร่างแผนยุทธศาสตร์ฯ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ (Project Pipeline) จำนวน ๕๕ โครงการ โดยมีประมาณการมูลค่าการลงทุนรวม ๑.๖๒ ล้านล้านบาท ๒. ให้คณะกรรมการนโยบายฯ รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้คณะกรรมการนโยบายฯ กำกับดูแลให้หน่วยงานเจ้าของโครงการและกระทรวงเจ้าสังกัดติดตามการดำเนินโครงการในกิจการภายใต้ร่างแผนยุทธศาสตร์ฯ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ อย่างใกล้ชิด และควรกำหนดลำดับความสำคัญและความเร่งด่วน รวมทั้งจัดลำดับการดำเนินกิจการต่าง ๆ โดยพิจารณาขีดความสามารถในการดำเนินการของหน่วยงานของรัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้คณะกรรมการนโยบายฯ พิจารณาความเหมาะสมในการปรับเพิ่มกิจการที่เกี่ยวข้องกับด้านพลังงานไว้ในร่างแผนยุทธศาสตร์ฯ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระการลงทุนของภาครัฐและสนับสนุนการมีส่วนร่วมของเอกชนในการลงทุนด้านพลังงานของประเทศ ทั้งนี้ หากคณะกรรมการนโยบายฯ พิจารณาแล้วเห็นควรปรับเพิ่มกิจการดังกล่าว ก็ให้ดำเนินการปรับปรุงร่างแผนยุทธศาสตร์ฯ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ ก่อนประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ๔. ให้กระทรวงเจ้าสังกัดและหน่วยงานของโครงการเร่งศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการและรูปแบบการให้เอกชนร่วมลงทุน เพื่อเสนอโครงการภายใต้กิจการที่จะให้เอกชนร่วมลงทุนตามแผนยุทธศาสตร์ฯ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ รวมทั้งแจ้งความคืบหน้าของโครงการที่ยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องของเงินลงทุนให้คณะกรรมการนโยบายฯ ทราบต่อไป ๕. ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจในฐานะเลขานุการคณะกรรมการนโยบายฯ ดำเนินการให้มีการยกเลิกประกาศคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ เรื่อง แผนยุทธศาสตร์การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๒ ตามขั้นตอนของกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การใช้บังคับแผนยุทธศาสตร์ฯ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ มีความชัดเจนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1304 | ร่างพระราชบัญญัติการส่งเสริมและคุ้มครองประชาชนในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ. .... | ปช | 24/10/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการส่งเสริมและคุ้มครองประชาชนในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดแนวทาง วิธีการ และกลไกส่งเสริมสนับสนุน และรับรองการรวมตัวกันของประชาชน เพื่อมีส่วนร่วมในการรณรงค์ให้ความรู้ ต่อต้าน หรือชี้เบาะแสการทุจริตและประพฤติมิชอบ และมาตรการคุ้มครองและสิทธิประโยชน์แก่ผู้ชี้เบาะแสการทุจริตและประพฤติมิชอบ ซึ่งเป็นร่างพระราชบัญญัติที่จัดทำขึ้นตามมาตรา ๖๓ และมาตรา ๒๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และต้องเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติภายในสองร้อยยี่สิบวันนับแต่วันประกาศใช้รัฐธรรมนูญ (ครบกำหนดวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๖๐) ตามที่สำนักงาน ป.ป.ท. เสนอ โดยให้รับความเห็นของกระทรวงยุติธรรม สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณในประเด็นเกี่ยวกับการกำหนดให้มีคณะกรรมการส่งเสริมและคุ้มครองประชาชนในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ จัดตั้งศูนย์ประสานความร่วมมือต่อต้านการทุจริตขึ้นในสำนักงาน ป.ป.ท. และการจัดสรรเงินงบประมาณเพื่อสนับสนุนให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการรณรงค์ให้ความรู้ ต่อต้าน หรือชี้เบาะแสการทุจริตและประพฤติมิชอบ เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. มอบหมายให้สำนักงาน ป.ป.ท. เสนอเรื่อง การจัดตั้งศูนย์ประสานความร่วมมือต่อต้านการทุจริตขึ้นในสำนักงาน ป.ป.ท. ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๒ (เรื่อง การปรับปรุงหลักการจำแนกประเภทหน่วยงานของรัฐในกำกับของฝ่ายบริหาร) ตามความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. แล้วแจ้งผลการพิจารณาเพื่อประกอบการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาต่อไป และมอบหมายให้สำนักงาน ป.ป.ท. สร้างความรับรู้ความเข้าใจให้แก่ประชาชนเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้เพื่อให้การบังคับใช้ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้เกิดประสิทธิภาพต่อไป ๓. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวตามที่สำนักงาน ป.ป.ท. เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1305 | เอกสารขอบเขตอำนาจหน้าที่สำหรับคณะทำงานสาขาความร่วมมือเศรษฐกิจข้ามพรมแดนภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง - ล้านช้าง (Terms of Reference for the Joint Working Group on Cross Border Economic Cooperation under Mekong - Lancang Cooperation) | พณ | 24/10/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการปรับปรุงเอกสารขอบเขตอำนาจหน้าที่สำหรับคณะทำงานสาขาความร่วมมือเศรษฐกิจข้ามพรมแดน ภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง (Terms of Reference for the Joint Working Group on Cross Border Economic Cooperation under Mekong-Lancang Cooperation) ในการประชุมคณะทำงานสาขาความร่วมมือเศรษฐกิจข้ามพรมแดนฯ ครั้งที่ ๑ เมื่อวันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ณ นครคุนหมิง สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งการปรับปรุงเอกสารขอบเขตฯ ดังกล่าว ได้มีการเปลี่ยนชื่อคณะทำงานเป็น Joint Working Group on Cross Border Economic Cooperation (JWG-TEC) และเพิ่มหน้าที่ของคณะทำงานในการตรวจสอบและการดำเนินการตามผลลัพธ์และข้อตกลงความร่วมมือต่าง ๆ ที่ได้มีการรับรองในที่ประชุม และนำเสนอผลลัพธ์ต่อที่ประชุม รวมทั้งปรับปรุงหน้าที่ในการหารือข้อเสนอโครงการต่าง ๆ ให้ครอบคลุมสาขาวิชาต่าง ๆ มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ได้เพิ่มการกำหนดให้จีนเป็นประธานร่วมกับประเทศเจ้าภาพในการประชุมคณะทำงานทุกครั้ง ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1306 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยสำนักงานการวิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ พ.ศ. .... | นร04 | 24/10/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยสำนักงานการวิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการจัดตั้งสำนักงานการวิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติขึ้นเป็นหน่วยงานภายในของสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเป็นการชั่วคราว และอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของนายกรัฐมนตรี มีหน้าที่และอำนาจในการจัดทำนโยบายและยุทธศาสตร์ระบบวิจัยและนวัตกรรมของประเทศ ให้สอดคล้องกับแผนที่นำทาง (Roadmap) รวมทั้งการบูรณาการหน่วยงานในระบบวิจัยและนวัตกรรมในรูปแบบกลุ่ม (Cluster) ทั้งด้านแผนงานโครงการ และงบประมาณ เพื่อเร่งขับเคลื่อนวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ระบบวิจัยและนวัตกรรม ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร การกำหนดกรอบระยะเวลาที่ชัดเจนของการเป็นสำนักงานชั่วคราว และการกำหนดมาตรการ แรงจูงใจ สิทธิประโยชน์ และการปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย กฎระเบียบ และข้อบังคับที่เอื้อต่อการสร้างนวัตกรรมของประเทศเข้าไว้ด้วยกัน ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติเกี่ยวกับการดำเนินงานของสำนักงานการวิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ ควรมีความเชื่อมโยงกับหน่วยงานอื่น ๆ ในระบบวิจัยและนวัตกรรมของประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1307 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขายทอดตลาด พ.ศ. .... | ยธ | 17/10/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขายทอดตลาด พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขายทอดตลาด พ.ศ. ๒๕๕๙ เพื่อให้สอดคล้องกับบทบัญญัติเกี่ยวกับการขายทอดตลาดที่มีการแก้ไขในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งเพื่อให้การขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีมีความรวดเร็ว โปร่งใส เป็นธรรม และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงานศาลยุติธรรม และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค เช่น (๑) ข้อ ๕ การตัดข้อความเรื่องคำสั่งอนุญาตขายออก เป็นการลดขั้นตอนการขายทอดตลาด โดยเปิดโอกาสให้เจ้าพนักงานบังคับคดีสามารถทำการขายทอดตลาดทรัพย์ได้เองโดยไม่ต้องขออนุญาตจากศาล อาจทำให้ไม่มีการตรวจสอบหรือกลั่นกรองเรื่องสิทธิหรือตัวทรัพย์ เนื่องจากที่ผ่านมาจะมีศาลเป็นผู้กลั่นกรองอีกชั้นหนึ่ง (๒) ข้อ ๒๐ วรรคสอง แก้ไขให้ผู้เสนอราคาสูงสุดเดิมชำระเงินส่วนต่างที่ขาดโดยให้นำเงินมัดจำที่วางไว้มาหักออกจากส่วนที่ต่างด้วย และ (๓) องค์ประกอบของคณะกรรมการกำหนดหลักเกณฑ์ในการกำหนดราคาเริ่มต้นและราคาที่สมควรขายในการขายทอดตลาด ตามข้อ ๗ และองค์ประกอบของคณะกรรมการกำหนดราคาทรัพย์ในเขตกรุงเทพมหานคร ตามข้อ ๑๐ (๑) มาจากหน่วยงานหรือองค์กรเดียวกันเกือบทั้งหมด อาจเกิดปัญหาในเรื่องของการถ่วงดุลอำนาจตามหลักความได้สัดส่วน เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1308 | ผลการประชุมรัฐมนตรีเกษตรของอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ครั้งที่ 2 | กษ | 17/10/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีเกษตรของอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ครั้งที่ ๒ ณ เมืองเสียมราฐ ราชอาณาจักรกัมพูชา ระหว่างวันที่ ๗-๘ กันยายน ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุมรัฐมนตรีเกษตรของอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ครั้งที่ ๒ มีผลการประชุมที่สำคัญ เช่น รับทราบความก้าวหน้าในการดำเนินงานของคณะทำงานด้านการเกษตร (GMS Working Group on Agriculture) ซึ่งได้ดำเนินงานตามแผนงานสนับสนุนหลักด้านเกษตร ระยะที่ ๒ (Core Agriculture Support Program Phase 2) ปี ๒๕๕๔-๒๕๖๓ และเห็นชอบยุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติการส่งเสริมห่วงโซ่คุณค่าทางการเกษตรที่ปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง และแผนปฏิบัติการเสียมราฐ (GMS Strategy for Promoting Safe and Environment-Friendly Agro-based Value Chains 2018-2022, and Siem Reap Action Plan หรือ GMS SEAP Strategy and Action Plan) และมอบหมายให้คณะทำงานด้านการเกษตรขับเคลื่อนการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ดังกล่าว โดยประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้บรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ เป็นต้น ๒. การประชุมรัฐมนตรีเกษตรอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงอย่างไม่เป็นทางการ (GMS Agriculture Ministers’ Retreat) ครั้งที่ ๑ ที่ประชุมได้หารือแนวทางและมาตรการที่จะร่วมกันผลักดันการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ฯ และแผนปฏิบัติการเสียมราฐ ให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลอย่างเป็นรูปธรรม การเน้นการลงทุนของภาครัฐเพื่อดึงดูดการลงทุนจากภาคเอกชนในห่วงโซ่คุณค่าด้านเกษตร การปรับปรุงการประสานงาน การติดตามผลการดำเนินงาน และการรายงานผลการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1309 | รายงานการเดินทางไปราชการ ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน | รง | 17/10/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการเดินทางไปราชการเพื่อเข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีแรงงานอาเซียน (ASEAN Labour Ministers Meeting : ALMM) และร่วมพิธีเปิดงานประชุมวิชาการโลกด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัย ครั้งที่ ๒๑ [XXI World Congress on Safety and Health at Work 2017 (World Congress 2017)] ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ ระหว่างวันที่ ๒-๔ กันยายน ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ มีประเด็นสำคัญสรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุมรัฐมนตรีแรงงานอาเซียนทั้ง ๑๐ ประเทศ รัฐมนตรีแรงงานทุกประเทศมีความเห็นสอดคล้องกันที่จะสนับสนุนร่างแถลงการณ์ร่วมของรัฐมนตรีแรงงานอาเซียนในการปรับปรุงพัฒนางานด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัย โดยในส่วนของประเทศไทยได้ให้ความสำคัญและสนับสนุนแถลงการณ์ร่วมดังกล่าว พร้อมทั้งยืนยันจะให้ความร่วมมือในการขับเคลื่อนและพัฒนางานด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัยของแรงงานในอาเซียนอย่างเต็มที่ ทั้งนี้ รัฐมนตรีแรงงานอาเซียนทั้ง ๑๐ ประเทศได้มีการลงนามร่วมกันในแถลงการณ์ร่วมและมีความมุ่งมั่นที่จะดำเนินการ เช่น การยกระดับมาตรฐานด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัยโดยการพัฒนาและทบทวนกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างสม่ำเสมอ และส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีหรือวิธีการทำงานเพื่อลดอันตราย เป็นต้น ๒. การเข้าพิธีเปิดงานประชุมวิชาการโลกด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัย ครั้งที่ ๒๑ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานได้เข้าร่วมจัดนิทรรศการด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัย โดยมีนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐสิงคโปร์เป็นประธานในพิธีเปิดงานประชุมวิชาการดังกล่าว มีผู้เข้าร่วมในพิธีเปิดประมาณ ๓,๐๐๐ คน ประกอบด้วยผู้แทนจากภาครัฐ ภาคเอกชน ผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการจากประเทศชั้นนำทั่วโลกประมาณ ๑๐๐ ประเทศ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1310 | ร่างพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | มท | 17/10/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงการปฏิบัติเกี่ยวกับการทะเบียนราษฎรให้มีประสิทธิภาพเกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาบ้านเมือง รองรับการจัดการประชากรของประเทศไทยในประชาคมอาเซียนในการอำนวยความสะดวกเป็นธรรมและอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนยิ่งขึ้น แก้ไขปัญหาการจดทะเบียนการเกิดของเด็กที่ไร้รากเหง้าให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงและหลักสิทธิมนุษยชน รวมทั้งแก้ไขปัญหาการแจ้งย้ายที่อยู่ การกำหนดเลขประจำบ้าน การจัดทำทะเบียนบ้านและทะเบียนบ้านชั่วคราวให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาแก้ไขถ้อยคำในร่างพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร์ฯ ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับราชการบริหารของกระทรวงการต่างประเทศ เช่น การให้ผู้อำนวยการทะเบียนกลางมีหน้าที่กำหนดเลขประจำตัวแก่บุคคลที่ได้จดทะเบียนการเกิดที่สถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลไทย การเพิ่มเติมเรื่องการทะเบียนราษฎรในต่างประเทศ เป็นต้น รวมทั้งเพิ่มข้อความในร่างมาตรา ๓๔ จาก “ให้นายทะเบียนอำเภอและนายทะเบียนท้องถิ่น กำหนดเลขประจำบ้าน ให้กับบ้านทุกหลังที่ถูกต้องตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคารหรือกฎหมายอื่น...” เป็น “ให้นายทะเบียนอำเภอและนายทะเบียนท้องถิ่นกำหนดเลขประจำบ้าน ให้กับบ้านทุกหลังที่ปลูกสร้างในที่ดินที่ถูกต้องตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคารหรือกฎหมายอื่น...” และกำหนดหลักเกณฑ์การตรวจสอบคัดกรองกลุ่มเป้าหมายอย่างละเอียด รอบคอบ และรัดกุม ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองซึ่งต้องออกตามร่างพระราชบัญญัตินี้ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1311 | รายงานผลการดำเนินงานของรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ปีที่ 3 (12 กันยายน 2559 - 12 กันยายน 2560) | นร | 17/10/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลเสนอรายงานผลการดำเนินงานของรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ปีที่ ๓ (๑๒ กันยายน ๒๕๕๙-๑๒ กันยายน ๒๕๖๐) และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้
๑. ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดทุกกระทรวงรับไปพิจารณารายงานผลการดำเนินงานของรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ปีที่ ๓ (๑๒ กันยายน ๒๕๕๙-๑๒ กันยายน ๒๕๖๐) อีกครั้งหนึ่ง และส่งการปรับปรุงแก้ไขให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีพิจารณาดำเนินการภายในวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๖๐ ๒. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจัดพิมพ์รายงานผลการดำเนินงานของรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ปีที่ ๓ (๑๒ กันยายน ๒๕๕๙-๑๒ กันยายน ๒๕๖๐) เพื่อเผยแพร่และนำเสนอต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศแปลบทสรุปสำหรับผู้บริหารเป็นฉบับภาษาอังกฤษเพื่อเผยแพร่ในต่างประเทศ ๔. ให้สำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี จัดพิมพ์บทสรุปสำหรับผู้บริหารฉบับภาษาอังกฤษ เพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ และจัดทำรูปแบบการนำเสนอที่ง่ายต่อการสื่อสารและสร้างความเข้าใจ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1312 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดจำนวนกรรมการ คุณสมบัติ หลักเกณฑ์ และวิธีการสรรหาการเลือกประธานกรรมการและกรรมการ วาระการดำรงตำแหน่ง และการพ้นจากตำแหน่งของกรรมการในคณะกรรมการการอุดมศึกษา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ศธ | 10/10/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดจำนวนกรรมการ คุณสมบัติ หลักเกณฑ์ และวิธีการสรรหาการเลือกประธานกรรมการ วาระการดำรงตำแหน่ง และการพ้นจากตำแหน่งของกรรมการในคณะกรรมการการอุดมศึกษา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงองค์ประกอบของกรรมการในคณะกรรมการการอุดมศึกษา วิธีการสรรหาและการเลือกกรรมการ รวมทั้งแก้ไขระยะเวลาในการดำเนินการสรรหา การเลือก และการแต่งตั้งกรรมการชุดใหม่ให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้น ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน ๒. ให้รับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เช่น นิยามคำว่า “องค์กรเอกชน” ที่ให้หมายความรวมถึงคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งเป็นองค์การของรัฐที่เป็นอิสระ ไม่ใช่องค์กรเอกชน สมควรตัดคณะกรรมการดังกล่าวออก ควรเพิ่มเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นกรรมการโดยตำแหน่ง เนื่องจากคณะกรรมการการอุดมศึกษามีหน้าที่เสนอนโยบาย แผนพัฒนา และมาตรฐานการอุดมศึกษาที่สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ควรกำหนดวิธีการสรรหาและการเลือกผู้แทนองค์กรเอกชน โดยกำหนดให้แต่ละองค์กรคัดเลือก โดยเสนอชื่อองค์กรละสองคนเป็นอย่างน้อย เพื่อให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเลือกผู้แทนองค์กรดังกล่าวองค์กรละหนึ่งคนเป็นกรรมการการอุดมศึกษา ควรเพิ่มปลัดกระทรวงแรงงานเป็นกรรมการโดยตำแหน่ง เพื่อประโยชน์ในการวางนโยบายที่เชื่อมโยงการวางแผนการผลิตกำลังคนที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดงานและทิศทางการพัฒนาประเทศในอนาคต ทบทวนการเพิ่มประธานกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์เป็นกรรมการสรรหา เพื่อให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ในการปรับปรุงแก้ไขร่างกฎกระทรวงฯ คณะกรรมการการอุดมศึกษาควรมีบทบาทหน้าที่ในการสรรหากรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งรวมถึงการกำหนดลักษณะความรู้ ความสามารถ และความเชี่ยวชาญของผู้ทรงคุณวุฒิสำหรับการสรรหากรรมการผู้ทรงคุณวุฒิทุกครั้ง เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1313 | ขอความเห็นชอบร่างเอกสารที่จะมีการรับรองและลงนามระหว่างการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน ครั้งที่ 23 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง | คค | 10/10/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบร่างเอกสารที่จะมีการรับรองและลงนาม จำนวน ๖ ฉบับ ในการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน ครั้งที่ ๒๓ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๑๒-๑๓ ตุลาคม ๒๕๖๐ ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ ประกอบด้วย (๑) ร่างขอบเขตการประเมินความปลอดภัยของผู้ประกอบการสายการบินต่างชาติในอาเซียน (๒) ร่างแผนแม่บทว่าด้วยการบริหารจราจรทางอากาศในอาเซียน (๓) ร่างพิธีสารเพื่ออนุวัติข้อผูกพันชุดที่ ๑๐ ของบริการขนส่งทางอากาศ ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยบริการของอาเซียน (๔) ร่างพิธีสาร ๓ สิทธิการทำการบินโดยใช้ชื่อเที่ยวบินร่วมกันสำหรับเส้นทางบินภายในประเทศ (๕) ร่างข้อตกลงยอมรับร่วมใบอนุญาตผู้ปฏิบัติหน้าที่ประจำเที่ยวบิน และ (๖) ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างหน่วยงานด้านการสอบสวนอากาศยานของประเทศสมาชิกอาเซียนและหน่วยงานด้านการบินพลเรือนของจีน เกี่ยวกับความร่วมมือด้านการสอบสวนอุบัติเหตุและอุบัติการณ์อากาศยาน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยในส่วนของร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างหน่วยงานด้านการสอบสวนอากาศยานของประเทศสมาชิกอาเซียนและหน่วยงานด้านการบินพลเรือนของจีน เกี่ยวกับความร่วมมือด้านการสอบสวนอุบัติเหตุและอุบัติการณ์อากาศยาน ไม่ต้องใช้หนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ในการลงนาม ตามความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงถ้อยคำหรือสาระสำคัญของร่างเอกสารที่จะมีการรับรองและลงนามทั้ง ๖ ฉบับ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงคมนาคมสามารถดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๒. เพื่อให้ประเทศไทยได้รับสิทธิประโยชน์อย่างสูงสุดจากการรับรองและลงนามเอกสารทั้ง ๖ ฉบับ ให้กระทรวงคมนาคม สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ดังนี้ ๒.๑ เตรียมความพร้อมในส่วนของผู้ประเมินทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพเพื่อให้สามารถดำเนินการประเมินความปลอดภัยในลานจอดตามร่างขอบเขตการประเมินความปลอดภัยของผู้ประกอบการสายการบินต่างชาติในอาเซียน ๒.๒ สร้างการรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องให้แก่สายการบินต่างชาติที่ทำการบินในประเทศสมาชิกอาเซียนซึ่งเป็นผู้ที่จะต้องรับการประเมินตามคู่มือและมาตรฐานที่กำหนด เพื่อจะเป็นการสนับสนุนให้สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยสามารถจัดทำรายงานข้อมูลที่เกี่ยวข้องแก่คณะกรรมการประเมินความปลอดภัยของผู้ประกอบการสายการบินต่างชาติในอาเซียน (ASEAN Foreign Operator Safety Assessment : AFOSA) ได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป ๒.๓ ประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์และแนวทางการดำเนินธุรกิจการบริการเติมน้ำมันอากาศยานเฉพาะบริการเติมน้ำมันเข้าอากาศยานแก่นักลงทุนไทยที่มีศักยภาพในการประกอบธุรกิจดังกล่าว เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากพิธีสารได้อย่างเต็มที่ ๒.๔ เตรียมความพร้อมด้านการบริหารจัดการที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการการยอมรับ การอนุญาต การออกใบอนุญาต และใบรับรองความปลอดภัยการเดินอากาศร่วมกันตามมาตรฐานขั้นต่ำขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ อาทิ ข้อกฎหมาย ระเบียบปฏิบัติ และการฝึกอบรมบุคลากรให้พร้อมก่อนมีการบังคับใช้ร่างข้อตกลงยอมรับร่วมใบอนุญาตผู้ปฏิบัติหน้าที่ประจำเที่ยวบิน ๓. ให้กระทรวงคมนาคมและสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับร่างขอบเขตการประเมินความปลอดภัยของผู้ประกอบการสายการบินต่างชาติในอาเซียน ควรเร่งเตรียมการด้านต่าง ๆ เพื่อให้สามารถดำเนินการได้ตามที่ร่างขอบเขตการประเมินความปลอดภัยฯ กำหนดไว้ ส่วนร่างพิธีสาร ๓ สิทธิการทำการบินโดยใช้ชื่อเที่ยวบินร่วมกันสำหรับเส้นทางบินภายในประเทศ ควรพิจารณาหามาตรการรองรับเพื่อให้เกิดการแข่งขันอย่างเท่าเทียมและก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อธุรกิจการบินและเศรษฐกิจของประเทศไทย รวมทั้งร่างข้อตกลงยอมรับร่วมใบอนุญาตผู้ปฏิบัติหน้าที่ประจำเที่ยวบิน ควรเร่งดำเนินการปรับปรุงการกำกับดูแลด้านความปลอดภัยการบิน (EI) ให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลโดยเร็ว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1314 | ร่างพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. .... | นร09 | 10/10/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบร่างพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. .... ของสำนักงบประมาณ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม เพื่อรองรับการปฏิบัติระบบงบประมาณ โดยปรับปรุงหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการจัดทำงบประมาณ การบริหารงบประมาณ การควบคุมงบประมาณ และการประเมินผลและการรายงานการใช้จ่ายงบประมาณ โดยกำหนดหลักการสำคัญของการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณที่จะก่อให้เกิดความยั่งยืนของการคลังของประเทศในระยะยาว กำหนดให้มีการจัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการร่วมกันระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งในมิติด้านภารกิจของหน่วยงาน (Function) มิติด้านยุทธศาสตร์และนโยบายของรัฐบาล (Agenda) และมิติงบประมาณในเชิงพื้นที่ (Area) รวมทั้งให้มีกลไกการติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงานและการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณเกิดผลสัมฤทธิ์ มีความคุ้มค่า และเกิดประโยชน์สูงสุด และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. มอบหมายให้กระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับบทนิยามคำว่า “รัฐวิสาหกิจ” โดยเห็นว่าบทนิยามดังกล่าวสอดคล้องกับร่างพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. .... แล้ว สำหรับการแก้ไขปัญหาและผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นในทางปฏิบัติของหน่วยงานต่าง ๆ เห็นควรบัญญัติไว้ในมาตราใดมาตราหนึ่ง “ให้รัฐวิสาหกิจตามกฎหมายอื่นใดที่อ้างอิงนิยาม “รัฐวิสาหกิจ” ตามพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ยังคงมีผลใช้บังคับอยู่ในระหว่างที่มีการแก้ไขเพิ่มเติมให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัตินี้” และให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้พิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้มีความเหมาะสมและไม่เกิดปัญหาในทางปฏิบัติโดยเร็ว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1315 | รายงานผลการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ และรายงานผลการประเมินตนเองของคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการคณะต่าง ๆ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 (ครั้งที่ 1) | นร12 | 10/10/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบรายงานผลการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ และรายงานผลการประเมินตนเองของคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ (ค.ต.ป.) คณะต่าง ๆ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ (ครั้งที่ ๑) ประกอบด้วย (๑) รายงานผลการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ (ครั้งที่ ๑) (เป็นผลการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลสัมฤทธิ์ในกลุ่มแผนงาน/โครงการประเภทที่ ๓ : การประเมินผลสัมฤทธิ์โครงการในภาพรวม) และ (๒) รายงานผลการประเมินตนเองของ ค.ต.ป. และประเมินผลภาคราชการคณะต่าง ๆ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ (ครั้งที่ ๑) ตามมติที่ประชุม ค.ต.ป. ครั้งที่ ๒/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๐ ๑.๒ เห็นชอบข้อเสนอแนะตามบันทึกความเห็นของ ค.ต.ป. เกี่ยวกับการปรับปรุงคุณภาพของการบริหารงาน รวมทั้งการปรับปรุงขีดสมรรถนะและศักยภาพ เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของการกำกับดูแลและควบคุมตนเองที่ดีของส่วนราชการ อันจะนำไปสู่การบรรลุผลตามเจตนารมณ์ตามหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี และเห็นควรแจ้งให้รัฐมนตรี หัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวง กรม และจังหวัด ที่มีประเด็นสมควรปรับปรุงแก้ไขได้ดำเนินการตามข้อเสนอแนะของ ค.ต.ป. ดังกล่าว พร้อมทั้งรายงานผลความก้าวหน้าในการดำเนินการต่อ ค.ต.ป. คณะต่าง ๆ ต่อไป ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการกำหนดแนวทางการตรวจสอบและประเมินผลของ ค.ต.ป. ควรให้ความสำคัญกับแผนงาน/โครงการตามยุทธศาสตร์ของรัฐบาลที่มีความเสี่ยงสูงที่อาจส่งผลกระทบต่อการบรรลุผลตามเป้าหมายในยุทธศาสตร์ของรัฐบาล ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1316 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณสำหรับรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 | นร07 | 10/10/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติและเห็นชอบการขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณสำหรับรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการใหม่ สำหรับรายการก่อหนี้ผูกพันรายการใหม่ที่มีวงเงินรวมตั้งแต่ ๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไป จำนวน ๔๕ รายการ เห็นสมควรให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นเจ้าของเรื่องพิจารณา และนำเสนอนายกรัฐมนตรีทราบอีกครั้งหนึ่งก่อนดำเนินการต่อไป ๑.๒ อนุมัติให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นที่ไม่สามารถดำเนินการตามหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ ตามข้อ ๑.๓ และข้อ ๑.๖ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ (เรื่อง การปรับปรุงแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณและมาตรการอื่นที่เกี่ยวข้อง) สามารถดำเนินการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณตามที่เสนอได้ ๑.๓ รายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณที่จะต้องจ่ายในรูปของเงินตราต่างประเทศ เช่น รายการค่าเช่าบ้าน ค่าเช่าอาคารสำนักงาน และค่าเช่าทรัพย์สินในต่างประเทศ ฯลฯ ให้สำนักงบประมาณพิจารณาอนุมัติวงเงินผูกพันที่เปลี่ยนแปลงไปจากที่ได้รับอนุมัติเนื่องจากอัตราแลกเปลี่ยน ในกรณีที่ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น สามารถปรับแผนใช้จ่ายงบประมาณได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบอีกครั้ง ๑.๔ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นเร่งรัดดำเนินการให้เป็นไปตามแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ โดยเฉพาะรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการใหม่ ขอให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดกำกับดูแลและเร่งรัดการดำเนินงานให้เป็นไปตามแผนฯ และติดตามผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง ๒. ให้สำนักงบประมาณได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1317 | การปรับปรุงปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 | นร07 | 10/10/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการปรับปรุงปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ความเห็นชอบเมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๖๐ ในขั้นตอนและกิจกรรม ลำดับที่ ๖ และ ๑๐-๑๖ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ๒. ให้สำนักงบประมาณได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1318 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 10/10/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านการต่างประเทศ ให้ส่วนราชการต่าง ๆ ที่ได้จัดทำความร่วมมือ/ความตกลงในเรื่องต่าง ๆ กับหน่วยงานของประเทศบรูไนดารุสซาลามไว้แล้ว เร่งรัด ติดตาม และขับเคลื่อนการดำเนินการตามความร่วมมือ/ความตกลงดังกล่าวให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว รวมทั้งให้พิจารณาความเหมาะสมและเป็นไปได้ในการขยายความร่วมมือ/ความตกลงดังกล่าวให้ครอบคลุมด้านต่าง ๆ มากยิ่งขึ้น ๒. ด้านเศรษฐกิจ ๒.๑ ให้กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงพลังงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการประเมินผลการจัดประชารัฐสวัสดิการผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ การใช้จ่ายผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเพื่อชำระค่าสินค้าและบริการของประชาชนในช่วง ๓ เดือนแรก และนำข้อมูลสัดส่วนการใช้จ่ายของประชาชนในแต่ละประเภทสินค้าและบริการมาประกอบการปรับปรุงสัดส่วนการจัดสรรเงินช่วยเหลือในส่วนของค่าใช้จ่ายในครัวเรือนและค่าใช้จ่ายในการเดินทางให้แก่ประชาชนให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ให้รายงานผลการดำเนินการให้นายกรัฐมนตรีทราบโดยเร็วด้วย ๒.๒ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเร่งรัดการจัดการท่องเที่ยวทางเรือ โดยเฉพาะการส่งเสริมการท่องเที่ยวทางเรือระหว่างประเทศ รวมทั้งให้มีการสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนด้วย นั้น ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเร่งรัดการดำเนินการตามข้อสั่งการดังกล่าวให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการท่องเที่ยวเมืองชายฝั่งเชื่อมโยงกับเมืองต่าง ๆ ในกลุ่มประเทศ CLMV และให้พิจารณาส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยใช้เรือเฟอร์รี่ในเส้นทางพัทยา-หัวหิน ให้มากยิ่งขึ้นด้วย ๓. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๓.๑ ตามที่กรมอุตุนิยมวิทยารายงานว่า ในช่วงวันที่ ๙-๑๒ ตุลาคม ๒๕๖๐ บริเวณประเทศไทยจะมีฝนเพิ่มมากขึ้น และมีฝนตกหนักหลายพื้นที่ทั่วประเทศ เพื่อเป็นการเตรียมการป้องกันและแก้ไขเหตุอุทกภัยที่อาจจะเกิดขึ้น ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงมหาดไทยร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและประเมินสถานการณ์ล่วงหน้าเพื่อเตรียมการระบายน้ำเมื่อมีฝนตกหนักและเกิดน้ำท่วม โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานครและพื้นที่ลุ่มต่ำที่มักประสบปัญหาน้ำท่วมขัง และให้เตรียมการให้ความช่วยเหลือประชาชนที่อาจได้รับผลกระทบจากการเกิดน้ำท่วมให้ทันต่อสถานการณ์ ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรายงานสถานการณ์ให้ประชาชนรับทราบโดยเร็วและต่อเนื่องด้วย ๓.๒ ให้กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงการต่างประเทศเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อขับเคลื่อนการนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้เป็นแนวทางในการดำเนินการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ สมควรดำเนินการจัดกิจกรรมประกวดผลการดำเนินการเกี่ยวกับการนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ เพื่อเป็นตัวอย่างในการสร้างความรู้ความเข้าใจแก่สาธารณชนให้ถูกต้องและทั่วถึงเกี่ยวกับความหมายและประโยชน์ที่แท้จริงของหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง โดยการจัดการประกวดดังกล่าวอาจพิจารณาแบ่งประเภทการประกวดออกเป็นการดำเนินการของหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน หรือภาคประชาชนตามความเหมาะสมได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1319 | ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. .... | ทส | 03/10/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานอัยการสูงสุด และฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม คณะรักษาความสงบแห่งชาติที่เห็นว่า ร่างพระราชบัญญัติฯ ควรมีรายละเอียดที่สอดคล้องกับภารกิจถ่ายโอนตามแผนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ และแผนปฏิบัติการกำหนดขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ ๒) และในการจัดทำแผนจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดที่คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเห็นชอบแล้ว ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดของส่วนราชการมีหน้าที่เสนอคำของบประมาณประจำปีนั้น ให้ส่วนราชการนั้นรายงานผลการดำเนินงานให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมด้วย รวมทั้งควรแก้ไขประเด็นเกี่ยวกับที่มาของเงินและทรัพย์สินของกองทุนสิ่งแวดล้อมในร่างมาตรา ๒๓ ที่กำหนดให้ส่วนหนึ่งมาจาก “เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงตามอัตราที่คณะรัฐมนตรีกำหนด” และให้มีบทบัญญัติเพิ่มเติมในหมวด ๘ ความรับผิดทางแพ่ง สำหรับการดำเนินคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องคดีอาญาที่รัฐเป็นผู้เสียหาย นอกจากนี้ หากมีกรณีจะต้องมีการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ ควรจะนำปัจจัยผลทางเศรษฐกิจที่ประเทศและประชาชนจะได้รับมาร่วมในการวิเคราะห์ผลกระทบในภาพรวมอย่างรอบด้าน และจะต้องคำนึงถึงค่าเสียโอกาสโดยรวมของประเทศ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. มอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอเรื่อง กองทุนสิ่งแวดล้อมต่อคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนตามนัยมาตรา ๑๔ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง แล้วแจ้งผลการพิจารณาเพื่อประกอบการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาต่อไป ๓. มอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการบริหารจัดการเชิงโครงสร้างระยะยาว โดยในส่วนของกองทุนสิ่งแวดล้อมควรมีการบริหารงานที่เป็นอิสระ มีความคล่องตัว มีแหล่งที่มาของรายได้กองทุนที่มั่นคงและสม่ำเสมอ โดยในระยะยาวอาจพิจารณาจัดตั้งกองทุนเป็นรัฐวิสาหกิจหรือองค์การมหาชน หรืออาจพิจารณาจัดตั้งในลักษณะหน่วยงานอิสระ สำหรับโครงสร้างระบบการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมควรมีความเป็นอิสระในการบริหารจัดการ และกระบวนการพิจารณารายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมควรเป็นภารกิจของหน่วยงานอิสระ โดยอาจพิจารณาประเด็นเรื่องการปฏิรูประบบการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะในระยะยาว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1320 | ข้อมูลข่าวสารตามเกณฑ์มาตรฐานความโปร่งใสและตัวชี้วัดความโปร่งใสของหน่วยงานของรัฐเป็นข้อมูลข่าวสารที่ต้องจัดเตรียมไว้ให้ประชาชนตรวจดูได้ ตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง (8) แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 | นร01 | 03/10/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. ให้หน่วยงานภาครัฐถือปฏิบัติและดำเนินการตามประกาศคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการเรื่อง กำหนดให้ข้อมูลข่าวสารตามเกณฑ์มาตรฐานความโปร่งใสและตัวชี้วัดความโปร่งใสของหน่วยงานของรัฐเป็นข้อมูลข่าวสารที่ต้องจัดไว้ให้ประชาชนตรวจดูได้ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๘) แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ อย่างเคร่งครัด ๒. ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีพิจารณาดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑ รับความเห็นของกระทรวงพลังงาน สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาขอบเขตและความเหมาะสมของเอกสารรายงานการจัดซื้อจัดจ้างที่ต้องเผยแพร่ และพิจารณาความเหมาะสมในการเปิดเผยผลการประเมินผลการปฏิบัติงานประจำปีของบุคลากรในหน่วยงาน โดยเฉพาะในกรณีของผลการปฏิบัติงานรายบุคคล รวมทั้งเพิ่มเติมหลักเกณฑ์และเงื่อนไขให้หน่วยงานของรัฐต้องปรับปรุงข้อมูลข่าวสารให้มีความทันสมัยเป็นปัจจุบัน และควรมีการสอบถามหรือสำรวจความต้องการของข้อมูลที่ต้องการให้หน่วยงานของรัฐ เปิดเผยและมีการปรับปรุงข้อมูลข่าวสารที่สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน ตลอดจนให้คณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการสร้างความรู้ความเข้าใจให้หน่วยงานภาครัฐตระหนักในความสำคัญของการปฏิบัติภารกิจเรื่องข้อมูลข่าวสารตามเกณฑ์มาตรฐานความโปร่งใสและตัวชี้วัดของหน่วยงานของรัฐเป็นข้อมูลข่าวสารที่ต้องจัดเตรียมไว้ให้ประชาชนตรวจดูได้ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๘) แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ ๒๕๔๐ และควรมีการประเมินผลการดำเนินงานของหน่วยงานรัฐและนำมาใช้ประโยชน์ในการปรับปรุงการดำเนินงาน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒.๒ สร้างการรับรู้และความเข้าใจกับหน่วยงานของรัฐถึงความจำเป็นในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารของราชการ รวมทั้งกำหนดกลไกและช่องทางในการให้คำปรึกษา คำแนะนำสำหรับหน่วยงานภาครัฐในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารของราชการเพิ่มเติมด้วย ๒.๓ กำหนดกลไกในการติดตามการดำเนินการตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ และประกาศคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมจากแนวปฏิบัติที่ใช้ในปัจจุบัน โดยให้รวมถึงการกำหนดให้มีกลไกการตรวจสอบความถูกต้องและครบถ้วนของการเผยแพร่ข้อมูลของหน่วยงานของรัฐให้แล้วเสร็จโดยเร็ว แล้วนำเสนอคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการพิจารณาเพื่อใช้เป็นแนวทางในการกำกับ ติดตาม และตรวจสอบการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารของราชการของหน่วยงานของรัฐต่อไป ๒.๔ พิจารณาถึงความเป็นไปได้ในการเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการเสนอแนะ ติดตาม และตรวจสอบการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารของราชการเพิ่มขึ้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
.....
