ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 62 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 1221 - 1240 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 1221 | ร่างกรอบความร่วมมือระหว่างไทยกับองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ ฉบับปี ค.ศ. 2018-2021 | กษ | 27/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างกรอบความร่วมมือระหว่างไทยกับองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ ฉบับปี ค.ศ. ๒๐๑๘-๒๐๒๑ [The Kingdom of Thailand, Food and Agriculture Organization of the United Nations (FAO) Country Programming Framework (CPF) 2018-2021] และกิจกรรมหรือโครงการต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นภายใต้กรอบความร่วมมือดังกล่าว มีสาระสำคัญเกี่ยวกับ (๑) การสนับสนุนของ FAO และผลลัพธ์ที่คาดหวังในประเทศไทยในประเด็นความปลอดภัยและมาตรฐานของอาหารได้รับการปรับปรุงเพื่อสุขภาพของผู้บริโภคและเพื่อส่งเสริมการค้า สนับสนุนและเพิ่มโอกาสของการจัดการห่วงโซ่คุณค่าการผลิตสินค้าเกษตรอย่างมีประสิทธิภาพและครอบคลุม ส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน (๒) การสนับสนุนความช่วยเหลือใต้-ใต้ หรือความร่วมมือระหว่างประเทศกำลังพัฒนา และ (๓) การดำเนินการ การตรวจสอบ และรายงานความคืบหน้าของกรอบความร่วมมือ CPF ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการที่ไทยอาจใช้เครือข่าย FAO มาพัฒนาองค์ความรู้ในการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมสมัยใหม่มาใช้ประโยชน์ในการทำเกษตร (Smart/Precision farming) สำหรับการกำหนดงบประมาณในแต่ละโครงการมีจำนวนไม่มาก ซึ่งการดำเนินงานโครงการส่วนใหญ่เป็นการดำเนินงานในเชิงลึก อาจทำให้การดำเนินงานไม่สามารถตอบสนองหรือบรรลุผลผลิตตามวัตถุประสงค์ได้ หากได้รับความช่วยเหลือจาก FAO ในการดำเนินการติดตามและตรวจสอบในรูปแบบของผู้เชี่ยวชาญ องค์ความรู้ หรือเทคโนโลยี หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจประสานกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพื่อขอรับความช่วยเหลือหรือแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในส่วนที่เกี่ยวข้อง และควรเผยแพร่ผลการดำเนินโครงการที่ได้รับความช่วยเหลือดังกล่าวด้วย นอกจากนี้การนำเสนอร่างกรอบความร่วมมือ CPF ในระยะต่อไป ควรนำเสนอผลการดำเนินงานที่เกิดขึ้นตามร่างกรอบความร่วมมือ CPF ฉบับปี ค.ศ. ๒๐๑๘-๒๐๒๑ ให้คณะรัฐมนตรีได้รับทราบ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างกรอบความร่วมมือ CPF ฉบับปี ค.ศ. ๒๐๑๘-๒๐๒๑ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1222 | ร่างพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติเรือไทย พุทธศักราช 2481 พ.ศ. .... | นร09 | 27/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติเรือไทย พุทธศักราช ๒๔๘๑ พ.ศ. .... ของกระทรวงคมนาคม ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว โดยคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะพิเศษ) ยกร่างขึ้นใหม่ เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาความจำเป็นเร่งด่วนเฉพาะหน้าที่เกิดขึ้นกับกรณีของเรือประมง โดยแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติเรือไทย พุทธศักราช ๒๔๘๑ เกี่ยวกับการปรับปรุงระบบการจดทะเบียนเรือประมง สิทธิ หน้าที่ และความรับผิดชอบของเจ้าของเรือหรือผู้ครอบครองเรือประมง ตลอดจนการกำหนดบทลงโทษให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นเพื่อเป็นการป้องปรามการกระทำความผิดอันจะทำให้การแก้ไขปัญหาการทำประมงสามารถดำเนินการได้อย่างยั่งยืนและเป็นระบบ อันจะเป็นการยกระดับมาตรฐานการประมงของประเทศไทยให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับสำนักงาน ก.พ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทบทวนและพิจารณาจัดสรรในส่วนของอัตรากำลังให้กับกรมเจ้าท่าให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับภารกิจ ตามความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะพิเศษ) ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1223 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการจดทะเบียน การขอตรวจเอกสาร การขอสำเนาเอกสารพร้อมคำรับรอง และค่าธรรมเนียมอื่นที่เกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนและบริษัทจำกัด พ.ศ. .... | พณ | 27/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการจดทะเบียน การขอตรวจเอกสาร การขอสำเนาเอกสารพร้อมคำรับรอง และค่าธรรมเนียมอื่นที่เกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนและบริษัทจำกัด พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงค่าธรรมเนียมการจดทะเบียน การขอตรวจเอกสาร การขอสำเนาเอกสารพร้อมคำรับรอง และค่าธรรมเนียมอื่นที่เกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนและบริษัทจำกัด ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมที่เห็นควรยกเว้นค่าธรรมเนียม กรณีหน่วยราชการขอเชื่อมโยงข้อมูล เพื่อไปปฏิบัติงานของหน่วยงาน เช่น การดำเนินคดี เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์พิจารณากำหนดมาตรการควบคุมตรวจสอบการจดทะเบียนผ่านระบบจดทะเบียนนิติบุคคลทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Registration) ให้มีความถูกต้องและโปร่งใส เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการทุจริต รวมทั้งรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาลดขั้นตอนและระยะเวลาในการจดทะเบียนให้กระชับมากยิ่งขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการให้ใกล้เคียงกับประเทศที่ได้รับการจัดอันดับในลำดับต้น ๆ เช่น ประเทศนิวซีแลนด์ และควรประชาสัมพันธ์มาตรการดังกล่าวให้ผู้ประกอบการโดยทั่วไปรับทราบอย่างทั่วถึง นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรบูรณาการความร่วมมือเพื่อลดขั้นตอนและเอกสารที่ซ้ำซ้อนในกระบวนการจัดตั้งและจดทะเบียนการประกอบธุรกิจ ตลอดจนเชื่อมโยงฐานข้อมูลร่วมกันระหว่างหน่วยงาน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1224 | แต่งตั้งข้าราชการประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์) (นางสาวอุษณี กังวารจิตต์) | พม | 27/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางสาวอุษณี กังวารจิตต์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ได้รับอนุมัติการปรับปรุงกำหนดตำแหน่งเพิ่มใหม่ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1225 | ขออนุมัติให้การรถไฟแห่งประเทศไทยต่ออายุสัญญาเงินกู้ วงเงิน 800 ล้านบาท ออกไปอีก 1 ปี | คค | 20/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ต่ออายุสัญญาเงินกู้ วงเงิน ๘๐๐ ล้านบาท กับธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ต่อไปอีก ๑ ปี ตามพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ มาตรา ๓๙ (๔) เพื่อให้ รฟท. สามารถดำเนินงานและให้บริการได้อย่างต่อเนื่อง โดยให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ รวมทั้งพิจารณาวิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดตามความเหมาะสม สำหรับการขอยกเว้นค่าธรรมเนียมการค้ำประกันเงินกู้ให้ รฟท. ขอความเห็นชอบต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ รฟท. เร่งดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานภายใต้ยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๕ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและคุณภาพของการให้บริการ เน้นการเพิ่มรายได้เชิงพาณิชย์จากทรัพย์สินให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น รวมทั้งควบคุมและลดรายจ่ายเพื่อบรรเทาสภาวะการขาดสภาพคล่องทางการเงินในระยะยาว นอกจากนี้ รฟท. ควรใช้จ่ายเงินกู้ดังกล่าวตามช่วงระยะเวลาที่เหมาะสมเพื่อเป็นการสร้างวินัยทางการเงินการคลังและลดภาระต้นทุนทางการเงิน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงคมนาคมกำกับดูแลให้ รฟท.ดำเนินการตามแผนการแก้ไขปัญหาองค์กรตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง ขออนุมัติกู้เงินเพื่อใช้ในการดำเนินงานของการรถไฟแห่งประเทศไทย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑) อย่างเคร่งครัดต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1226 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษาข้อเสนอแนะและแนวทางการปรับปรุงร่างพระราชบัญญัติผลิตภัณฑ์สมุนไพร พ.ศ. .... ของคณะกรรมาธิการการพาณิชย์ การอุตสาหกรรม และการแรงงาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ | สว | 20/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการพาณิชย์ การอุตสาหกรรม และการแรงงาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เกี่ยวกับแนวทางการปรับปรุงร่างพระราชบัญญัติผลิตภัณฑ์สมุนไพร พ.ศ. .... ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้จัดประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว โดยได้แก้ไขเพิ่มเติมตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ เช่น การแก้ไขบทนิยามของ “ผลิตภัณฑ์สมุนไพร” การเพิ่มองค์ประกอบของคณะกรรมการสมุนไพรแห่งชาติ โดยเพิ่มองค์กรภาคเอกชนเป็นกรรมการ เป็นต้น และในบางประเด็นได้ยืนยันตามร่างพระราชบัญญัติฯ ที่คณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว เช่น บทนิยามคำว่า “ผู้รับอนุญาต” การกำหนดหน่วยงานที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องขออนุญาตตามพระราชบัญญัตินี้ เป็นต้น ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1227 | รายงานมาตรการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย | นร07 | 20/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่สำนักงบประมาณรายงานมาตรการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น ไตรมาสที่ ๑ (ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๙ ถึงวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๖๐) จำนวนเงินทั้งสิ้น ๑,๖๙๖.๐๗ ล้านบาท สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ จำแนกตามพื้นที่ หรือจังหวัดที่ดำเนินการ มีการดำเนินการในพื้นที่ ๕๓ จังหวัด เป็นเงินทั้งสิ้น ๑,๖๙๖.๐๗ ล้านบาท ประกอบด้วย ภาคเหนือ รวม ๑๒ จังหวัด จำนวน ๓๘๓.๔๙ ล้านบาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวม ๑๔ จังหวัด จำนวน ๔๖๕.๕๕ ล้านบาท ภาคกลาง รวม ๑๒ จังหวัด จำนวน ๒๐๘.๗๘ ล้านบาท ภาคตะวันออก รวม ๔ จังหวัด จำนวน ๑๑๘.๘๐ ล้านบาท ภาคใต้ รวม ๘ จังหวัด จำนวน ๓๓๒.๑๖ ล้านบาท และภาคใต้ชายแดน รวม ๓ จังหวัด จำนวน ๔๓.๐๑ ล้านบาท และอื่น ๆ (ไม่สามารถจำแนกได้) จำนวน ๑๔๔.๒๘ ล้านบาท ๑.๒ จำแนกตามลักษณะการดำเนินการ โดยเป็นการช่วยเหลือ เยียวยา ฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัยและทรัพย์สินสาธารณประโยชน์ รวม ๕ หน่วยงาน จำนวน ๑,๔๗๐.๒๖ ล้านบาท รายการปรับปรุงซ่อมแซมสถานที่ราชการ จำนวน ๒ หน่วยงาน จำนวน ๘๑.๕๓ ล้านบาท และรายการเพื่อป้องกันเหตุอุทกภัยที่จะเกิดขึ้น จำนวน ๑ หน่วยงาน จำนวน ๑๔๔.๒๘ ล้านบาท ๒. มอบหมายให้สำนักงบประมาณร่วมกับส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเร่งสำรวจสถานการณ์ช่วยเหลือ เยียวยา ฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัยหรือปรับปรุงซ่อมแซมสถานที่ราชการอันเนื่องมาจากเหตุอุทกภัยที่เกิดขึ้นในปี ๒๕๖๐ ว่าได้ดำเนินการครบถ้วนแล้วหรือไม่ ทั้งนี้ หากหน่วยงานใดยังมีความจำเป็นต้องดำเนินการโครงการเพื่อช่วยเหลือ เยียวยา ฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัยหรือปรับปรุงซ่อมแซมสถานที่ราชการอันเนื่องมาจากเหตุอุทกภัยที่เกิดขึ้นในปี ๒๕๖๐ เพิ่มเติมจากที่ได้ขอก่อหนี้ผูกพันงบประมาณไว้ ให้หน่วยงานนั้นพิจารณาปรับแผนงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ และ/หรือโอนเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณรายจ่าย และเสนอสำนักงบประมาณเพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จโดยด่วน และให้สำนักงบประมาณรวบรวมข้อมูลและรายงานผลการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายในเดือนเมษายน ๒๕๖๑ ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1228 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขเฉพาะประเภท ลักษณะ และขนาด หรือที่มีการให้บริการหรือธุรกรรมของผู้มีหน้าที่รายงาน พ.ศ. .... | กค | 13/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขเฉพาะประเภท ลักษณะ และขนาด หรือที่มีการให้บริการหรือธุรกรรมของผู้มีหน้าที่รายงาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดผู้มีหน้าที่รายงานตามพระราชบัญญัติการปฏิบัติการตามความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งประเทศสหรัฐอเมริกาเพื่อความร่วมมือในการปรับปรุงการปฏิบัติตามการภาษีอากรระหว่างประเทศ พ.ศ ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์และสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยเกี่ยวกับการแก้ไขถ้อยคำในร่างมาตรา ๔ (๗) วรรคสอง (ก) ร่างมาตรา ๕ และร่างมาตรา ๗ (๑) โดยเห็นควรมีการปรับปรุงถ้อยคำเพื่อความชัดเจนยิ่งขึ้น รวมทั้งแก้ไขถ้อยคำในร่างมาตรา ๕ มาตรา ๖ และมาตรา ๗ เล็กน้อย เพื่อให้ถ้อยคำสอดคล้องกับหลักการและเจตนารมณ์ของความตกลงฯ ฉบับภาษาอังกฤษและฉบับภาษาไทย ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการตรวจสอบระบบการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลและระบบการแลกเปลี่ยนข้อมูลให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1229 | การปรับปรุงชื่อหน่วยงานขององค์ประกอบภายใต้คณะกรรมการที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี ตามกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการ สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงคมนาคม พ.ศ. 2560 | คค | 13/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการปรับปรุงชื่อหน่วยงานขององค์ประกอบภายใต้คณะกรรมการที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี ตามกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานปลัดกระทรวงคมนาคม พ.ศ. ๒๕๖๐ จำนวน ๓ คน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้
๑. คณะกรรมการผู้แทนรัฐบาลเพื่อพิจารณาทำความตกลงเกี่ยวกับการขนส่งทางบกกับรัฐบาลต่างประเทศเป็นประจำ ๑.๑ เดิม ผู้อำนวยการสำนักความร่วมมือระหว่างประเทศ กรรมการและเลขานุการ เป็น ผู้อำนวยการกองการต่างประเทศ กรรมการและเลขานุการ ๑.๒ เดิม เจ้าหน้าที่สำนักความร่วมมือระหว่างประเทศ กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ เป็น เจ้าหน้าที่กองการต่างประเทศ กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ ๒. คณะกรรมการอำนวยความสะดวกการขนส่งแห่งชาติ ๒.๑ เดิม ผู้อำนวยการสำนักความร่วมมือระหว่างประเทศ กรรมการและเลขานุการ เป็น ผู้อำนวยการกองการต่างประเทศ กรรมการและเลขานุการ ๒.๒ เดิม เจ้าหน้าที่สำนักความร่วมมือระหว่างประเทศ กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ เป็น เจ้าหน้าที่กองการต่างประเทศ กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ ๓. คณะกรรมการประสานการขนส่งผ่านแดนแห่งชาติ ๓.๑ เดิม ผู้อำนวยการสำนักความร่วมมือระหว่างประเทศ กรรมการและเลขานุการ เป็น ผู้อำนวยการกองการต่างประเทศ กรรมการและเลขานุการ ๓.๒ เดิม เจ้าหน้าที่สำนักความร่วมมือระหว่างประเทศ กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ เป็น เจ้าหน้าที่กองการต่างประเทศ กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1230 | การปรับปรุงคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน (กขป.) | นร04 | 13/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการปรับปรุงคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน (กขป.) ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. ยกเลิก กขป. คณะที่ ๖ ด้านท่องเที่ยว วัฒนธรรมและกีฬา โดยนำด้านท่องเที่ยวและกีฬา รวมไว้ใน กขป. คณะที่ ๒ และด้านวัฒนธรรม รวมไว้ใน กขป. คณะที่ ๓ ๒. มอบหมายรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ) เป็นรองประธาน กขป. คณะที่ ๔ แทน รัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่ง (พลเรือเอก ณรงค์ พิพัฒนาศัย) ๓. ให้รองนายกรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายเป็นรองประธานกรรมการ พิจารณาทบทวนปรับปรุงองค์ประกอบคณะกรรมการ และคณะอนุกรรมการ ให้สอดคล้องกับวาระการขับเคลื่อนและปฏิรูป แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีรวบรวมเสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๔. มอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) รับผิดชอบการเพิ่มขีดความสามารถของชุมชนและท้องถิ่นในการพัฒนาเพื่อให้สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน ๕. มอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล) รับผิดชอบการประสานและขับเคลื่อนการบูรณาการเพื่อแก้ปัญหาความยากจนลดความเหลื่อมล้ำ และพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1231 | การขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ของสำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า | พณ | 13/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ จำนวน ๕๐๙.๙๙ ล้านบาท ของสำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า และคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ เพื่อบรรจุไว้ในร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๒ ต่อไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ (สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า) จัดส่งคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ดังกล่าว ให้สำนักงบประมาณพิจารณาดำเนินการตามปฏิทินการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำหนดตัวชี้วัด เป้าประสงค์เชิงยุทธศาสตร์ ภายใต้แผนการปฏิบัติงานปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ในเชิงคุณภาพควบคู่กับตัวชี้วัดเชิงปริมาณ มีการถ่ายทอดตัวชี้วัดเชิงยุทธศาสตร์ลงสู่โครงการ/กิจกรรม และมีการวางระบบการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องทั้งในระหว่างดำเนินโครงการและหลังสิ้นสุดโครงการ รวมทั้งการปรับปรุงอัตราค่าตอบแทน ค่าใช้จ่ายอื่นในการปฏิบัติหน้าที่ และสิทธิประโยชน์อื่น สำหรับคณะกรรมการ คณะอนุกรรมการ และคณะกรรมการสรรหา ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1232 | รายงานผลการให้บริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ 2559 และรายงานผลการให้บริการสาธารณะประจำงวดครึ่งปีงบประมาณ 2560 ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ และรายงานผลการให้บริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ 2559 ของการรถไฟแห่งประเทศไทย | กค | 13/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รายงานผลการให้บริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๙ และรายงานผลการให้บริการสาธารณะประจำงวดครึ่งปีงบประมาณ ๒๕๖๐ ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ซึ่งมีผลการขาดทุนจากการให้บริการสาธารณะ จำนวน ๙๗๓.๙๐๗ ล้านบาท และจำนวน ๕๕๕.๗๐๐ ล้านบาท ตามลำดับ และเห็นสมควรให้ ขสมก. เบิกจ่ายเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ งวดที่ ๒ และเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งวดที่ ๒ จำนวน ๒๗๑.๕๕๓ ล้านบาท และ ๑๐๗.๕๒๓ ล้านบาท ตามลำดับ ๑.๒ รายงานผลการให้บริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๙ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ซึ่งมีผลขาดทุนจากการให้บริการสาธารณะ จำนวน ๑,๙๔๖.๔๔๙ ล้านบาท และเห็นสมควรให้ รฟท. เบิกจ่ายเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ งวดที่ ๒ จำนวน ๔๕๐.๗๑๕ ล้านบาท ๒. ให้ ขสมก.และ รฟท. รับความเห็นของคณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการควบคุมค่าใช้จ่ายเพื่อลดภาระต้นทุนขององค์กรและเงินงบประมาณอุดหนุนของภาครัฐ โดยไม่กระทบต่อคุณภาพการให้บริการ และให้เร่งรัดดำเนินการลงทุนโครงการต่าง ๆ ตามที่ได้รับอนุมัติไว้แล้ว เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการได้ตามเป้าหมาย โดยเฉพาะด้านความปลอดภัยและการตรงต่อเวลา รวมทั้งเร่งรัดจัดทำแผนขับเคลื่อนองค์กรในระยะยาวตามแนวทางที่คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจมอบหมาย เพื่อให้สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้อย่างมีเสถียรภาพและยั่งยืน ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงคมนาคมกำกับดูแลให้ ขสมก. และ รฟท. เร่งรัดพัฒนาคุณภาพการให้บริการ โดยอาจพิจารณาถึงความเป็นไปได้ในการให้เอกชนเข้ามาร่วมลงทุนในการบริหารจัดการการเดินรถโดยสารสาธารณะตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๕๘ (เรื่อง ข้อเสนอการขอรับเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๙ ของการรถไฟแห่งประเทศไทยและองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ) และนำเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจพิจารณาต่อไป ๔. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการจัดทำข้อตกลงการให้บริการสาธารณะและเบิกจ่ายเงินอุดหนุนบริการสาธารณะให้มีความรวดเร็วมากยิ่งขึ้น เพื่อลดปัญหาการขาดสภาพคล่องของรัฐวิสาหกิจและภาระดอกเบี้ยที่เกิดจากการกู้ยืมเงินมาให้บริการสาธารณะ และให้กระทรวงการคลังในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะรับความเห็นของกระทรวงคมนาคมและสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการกำหนดเป้าหมายของตัวชี้วัดการให้บริการสาธารณะและการปรับปรุงระบบการให้เงินอุดหนุนบริการสาธารณะ และการสร้างการรับรู้เพื่อให้ประชาชนได้ทราบถึงต้นทุนที่แท้จริงจากการให้บริการสาธารณะ ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1233 | การปรับปรุงค่าตอบแทนของผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูง | นร10 | 13/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติ และร่างพระราชกฤษฎีกา รวม ๖ ฉบับ ตามที่คณะกรรมการพิจารณาโครงสร้างหน่วยงานและระบบค่าตอบแทนบุคลากรภาครัฐเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ได้แก่ ๑.๑ ร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๒ ร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๓ ร่างพระราชบัญญัติเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง และประโยชน์ตอบแทนอื่นของประธานศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ประธานกรรมการและกรรมการการเลือกตั้ง ประธานผู้ตรวจการแผ่นดินและผู้ตรวจการแผ่นดิน ประธานกรรมการและกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และประธานกรรมการและกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๔ ร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๕ ร่างพระราชกฤษฎีกาเงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นของกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๖ ร่างพระราชกฤษฎีกาเงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นของกรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์ และกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๒. ให้สำนักงาน ก.พ. ดำเนินการโดยประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ ๒.๑ ให้แก้ไขกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรมและกฎหมายจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง โดยทบทวนบทบัญญัติที่เกี่ยวกับการกำหนดเงินเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราวตามภาวะเศรษฐกิจ เนื่องจากได้นำเงินเพิ่มค่าครองชีพมารวมกับเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งตามร่างพระราชบัญญัติตามข้อ ๑.๑ และ ๑.๒ แล้วแต่ละองค์กรจึงไม่ควรมีอำนาจกำหนดเงินเพิ่มค่าครองชีพดังกล่าวอีก ๒.๒ ให้แยกการกำหนดเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง และประโยชน์ตอบแทนอื่นของประธานศาลรัฐธรรมนูญและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญออกจากร่างพระราชบัญญัติตามข้อ ๑.๓ เป็นกฎหมายเฉพาะ เพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งได้แยกศาลรัฐธรรมนูญออกจากองค์กรอิสระเป็นองค์กรศาลแล้ว และให้กำหนดการมีสิทธิได้รับเงินเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราวตามภาวะเศรษฐกิจในลักษณะเดียวกันกับประธานศาลฎีกา รองประธานศาลฎีกา ประธานศาลปกครองสูงสุด และรองประธานศาลปกครองสูงสุด ในอัตรา ๑๒,๕๐๐ บาท/เดือน และ ๗,๓๐๐ บาท/เดือน ตามลำดับ โดยให้เงินเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราวดังกล่าวมีผลตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๙ จนถึงวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ และตั้งแต่วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ โดยให้นำเงินเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราวมารวมเป็นเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งตามหลักการเดียวกับกรณีของศาลยุติธรรมและศาลปกครอง ๒.๓ ให้นำการกำหนดเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง และประโยชน์ตอบแทนอื่นของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติมากำหนดเพิ่มเติมไว้ในร่างพระราชบัญญัติตามข้อ ๑.๓ เพื่อให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๐ และองค์กรอิสระอื่น ๒.๔ ให้รวมร่างพระราชบัญญัติตามข้อ ๑.๕ และ ๑.๖ เป็นฉบับเดียวกันเพื่อความสะดวกในการบังคับใช้กฎหมาย ทั้งนี้ ร่างพระราชบัญญัติตามข้อ ๑.๑-๑.๓ เมื่อส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติตามข้อ ๑.๑-๑.๔ แล้ว ให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป สำหรับร่างพระราชกฤษฎีกาตามข้อ ๑.๕ และ ๑.๖ เมื่อสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาแล้ว ให้ดำเนินการต่อไปได้ ๓. มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการการเมือง พ.ศ. ๒๕๓๕ โดยกำหนดให้ตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรีเป็นตำแหน่งข้าราชการการเมืองที่ได้รับเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งเท่ากับตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และมีจำนวนเท่ากับคณะรัฐมนตรี และให้พิจารณาการกำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้ช่วยรัฐมนตรีไว้ด้วย โดยคำนึงถึงระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวกับตำแหน่งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน และให้เสนอรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) พิจารณา ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๔. ให้ความเห็นชอบสำหรับค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงค่าตอบแทนของผู้ดำรงตำแหน่งในฝ่ายตุลาการและองค์กรอิสระและองค์กรอื่นตามรัฐธรรมนูญดังกล่าว โดยให้ใช้งบประมาณของแต่ละหน่วยงานก่อน ตามที่คณะกรรมการพิจารณาโครงสร้างหน่วยงานและระบบค่าตอบแทนบุคลากรภาครัฐเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1234 | รายงานผลสัมฤทธิ์การปฏิบัติงานและการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 | นร07 | 13/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลสัมฤทธิ์การปฏิบัติงานและการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ผลสัมฤทธิ์การปฏิบัติงานและการใช้จ่ายงบประมาณของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๙ ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๐ จำแนกตามลักษณะการดำเนินงาน ๔ ด้าน ได้แก่ (๑) ด้านเศรษฐกิจ งบประมาณ ๖๙๔,๒๓๓ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว ๖๓๖,๖๑๔ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๙๑.๗๐ ต่ำกว่าเป้าหมายร้อยละ ๔.๓๐ (๒) ด้านสังคม งบประมาณ ๘๕๙,๒๑๐ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว ๘๓๑,๔๐๓ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๙๖.๗๖ สูงกว่าเป้าหมายร้อยละ ๐.๗๖ (๓) ด้านความมั่นคงและกระบวนการยุติธรรม งบประมาณ ๗๐๓,๐๑๖ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว ๖๔๗,๕๐๘ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๙๒.๑๐ ต่ำกว่าเป้าหมายร้อยละ ๓.๙๐ และ (๔) ด้านบริหารและหน่วยงานอิสระของรัฐ งบประมาณ ๔๗๖,๕๔๐ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว ๔๗๑,๐๒๕ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๙๘.๘๔ สูงกว่าเป้าหมายร้อยละ ๒.๘๔ ๑.๒ การประเมินผลสัมฤทธิ์งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ พบว่า มีปัญหาและอุปสรรคที่สำคัญ ได้แก่ จำนวนตัวชี้วัดหลายระดับ ซึ่งอาจเกินความจำเป็นและส่วนใหญ่ไม่มีผลต่อการวัดผลสำเร็จอย่างแท้จริง รวมทั้งหน่วยงานไม่ให้ความสำคัญกับการบันทึกข้อมูลการติดตามประเมินผลในระบบของสำนักงบประมาณ ๑.๓ ข้อเสนอแนะเพื่อใช้เป็นแนวทางในการปรับปรุงการประเมินผลสัมฤทธิ์ในปีต่อ ๆ ไป ได้แก่ การทบทวนโครงสร้างตัวชี้วัดอย่างเป็นระบบและศึกษารูปแบบที่เหมาะสมกับบริบทของระบบงบประมาณของไทย และการนำผลการติดตามประเมินผลจากการบันทึกข้อมูลในระบบ BB EvMis (ระบบฐานข้อมูลแผน/ผลการปฏิบัติงานและการใช้จ่ายงบฯ) ของสำนักงบประมาณนำเสนอต่อรองนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีเจ้าสังกัด ๒. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่นนำข้อเสนอแนะของสำนักงบประมาณไปใช้เป็นแนวทางในการทบทวนการกำหนดตัวชี้วัดในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น และเน้นการกำหนดตัวชี้วัดที่สามารถวัดผลได้อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้สามารถวัดผลสัมฤทธิ์ได้อย่างแท้จริง และสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการบริหารงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ตัวชี้วัดด้านการตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนในพื้นที่ และตัวชี้วัดด้านการปราบปรามการทุจริต ๓. ให้สำนักงบประมาณได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1235 | มาตรการส่งเสริมการลงทุนสำหรับภาคการเกษตรในระดับท้องถิ่น | อื่นๆ | 06/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมาตรการส่งเสริมการลงทุนสำหรับภาคการเกษตรในระดับท้องถิ่น และมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนนำเสนอคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเสนอ โดยมาตรการดังกล่าว สรุปได้ ดังนี้
๑. กำหนดประเภทกิจการที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับภาคการเกษตรเป็นกิจการที่จะให้การส่งเสริมตามมาตรการพิเศษนี้ เช่น กิจการผลิตปุ๋ยชีวภาพ กิจการปรับปรุงพันธุ์พืชหรือสัตว์ กิจการผลิตผลิตภัณฑ์จากยางธรรมชาติ กิจการผลิตเชื้อเพลิงจากผลผลิตการเกษตร ศูนย์กลางการค้าสินค้าเกษตร เป็นต้น ๒. กรณีผู้ประกอบการที่ลงทุนในกิจการด้านการเกษตร ๒.๑ เงื่อนไข จะผ่อนปรนเงื่อนไขเงินลงทุนขั้นต่ำของโครงการ โดยลดจาก ๑ ล้านบาท เหลือเพียง ๔ แสนบาท (ไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียน) และผ่อนปรนให้นำเครื่องจักรใช้แล้วในประเทศมาใช้ในโครงการที่ขอรับการส่งเสริมได้บางส่วน ๒.๒ สิทธิและประโยชน์ ให้ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นระยะเวลา ๕-๘ ปี เป็นสัดส่วนไม่เกินร้อยละ ๒๐๐ ของเงินลงทุน (ไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียน) ๓. กรณีผู้ประกอบการที่สนับสนุนหรือร่วมดำเนินการกับท้องถิ่น เพื่อดำเนินการในกิจการด้านการเกษตร ๓.๑ เงื่อนไข เงินลงทุนขั้นต่ำของแต่ละโครงการไม่น้อยกว่า ๑ ล้านบาท (ไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียน) และต้องมีความร่วมมือกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือสหกรณ์ หรือวิสาหกิจชุมชนในท้องถิ่น ๓.๒ สิทธิและประโยชน์ ให้ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับรายได้จากกิจการที่ดำเนินการอยู่เดิมเป็นระยะเวลา ๓ ปี เป็นสัดส่วนไม่เกินร้อยละ ๑๐๐ ของเงินลงทุน (ไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียน) ที่จ่ายจริงในการสนับสนุนหรือร่วมดำเนินการกับองค์กรท้องถิ่นเพื่อตั้งโรงงานแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร เช่น ค่าก่อสร้างโรงงาน และค่าเครื่องจักร เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1236 | ข้อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมายเพื่อแก้ไขปัญหาการเยียวยาความเสียหาย กรณีการละเมิดสิทธิมนุษยชนและกรณีการเยียวยาตามหลักมนุษยธรรม | สม | 30/01/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับข้อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมายเพื่อแก้ไขปัญหาการเยียวยาความเสียหาย กรณีการละเมิดสิทธิมนุษยชน และกรณีการเยียวยาตามหลักมนุษยธรรม ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ และให้แจ้งคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบด้วย ซึ่งผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการ สรุปได้ ดังนี้
๑. สำนักกิจการยุติธรรมได้ศึกษาแนวคิดและกฎหมายจากต่างประเทศ เช่น เยอรมัน และชิลี พบว่ายังไม่มีประเทศใดที่กำหนดให้มีกฎหมายกลาง แต่จะมีเพียงบางประเทศมีการช่วยเหลือในรูปแบบของระเบียบ ๒. กรมบัญชีกลางจะมีการยกร่างระเบียบเกี่ยวกับเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมือง และเหตุพิเศษอื่น ๆ เพื่อให้ความช่วยเหลือกรณีชีวิตและร่างกาย โดยกำหนดกรอบอัตราการช่วยเหลือเทียบเคียงจากพระราชบัญญัติสงเคราะห์ผู้ประสบภัยเนื่องจากการช่วยเหลือราชการ การปฏิบัติงานของชาติ หรือการปฏิบัติตามหน้าที่มนุษยธรรม พ.ศ. ๒๕๔๓ และพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าตอบทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ. ๒๕๔๔
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1237 | รายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง สิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง และการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม กรณีการประกาศใช้พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 และพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 | กห | 30/01/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง สิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองและการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม กรณีการประกาศใช้พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๕๑ และพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ ประกอบด้วยข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย และข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย ซึ่งกระทรวงกลาโหมได้หารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ โดยให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรรับไปพิจารณาดำเนินการกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการชดเชยค่าเสียหายตามมาตรา ๒๐ แห่งพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๕๑ ให้มีความชัดเจนต่อไป และให้แจ้งต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1238 | มาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการเพื่อลดผลกระทบด้านแรงงาน | นร | 30/01/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการเพื่อลดผลกระทบด้านแรงงาน ตามที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ปรับปรุงมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตเพื่อปรับเปลี่ยนเครื่องจักรให้ครอบคลุมถึงการนำระบบด้านดิจิทัลมาใช้ในกิจการเพื่อยกระดับการบริหารจัดการ โดยจะให้สิทธิและประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลจากโครงการที่ดำเนินการอยู่เดิม เป็นระยะเวลา ๓ ปี โดยกำหนดวงเงินสูงสุดที่จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ร้อยละ ๕๐ ของมูลค่าเครื่องจักรที่นำมาปรับปรุง ๑.๒ ปรับปรุงมาตรการให้สิทธิและประโยชน์เพิ่มเติมเพื่อพัฒนาความสามารถในการแข่งขันให้ครอบคลุมถึงการอบรมบุคลากรให้มีทักษะเฉพาะทางที่สูงขึ้น โดยให้ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มเติมร้อยละ ๒๐๐ ของเงินลงทุน/ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำหนดขอบเขตการส่งเสริมการลงทุนในเรื่องการนำระบบด้านดิจิทัลมาใช้ในกิจการเพื่อยกระดับการบริหารจัดการ และการอบรมบุคลากรให้มีทักษะเฉพาะทางที่สูงขึ้น ให้ชัดเจน เพื่อให้การส่งเสริมการลงทุนเกิดความเป็นธรรมและได้มาตรฐานเดียวกัน รวมทั้งควรมีการประชาสัมพันธ์ให้สาธารณชนรับทราบอย่างทั่วถึง ตลอดจนติดตามและประเมินผลมาตรการส่งเสริมการลงทุนอย่างต่อเนื่องเป็นรายโครงการ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1239 | การปรับปรุงแนวทางการดำเนินงานและเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณ ภายใต้มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 | นร07 | 30/01/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการปรับปรุงแนวทางการดำเนินงานและเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณ ภายใต้มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รายจ่ายลงทุน รายการค่าครุภัณฑ์ ที่ดินและสิ่งก่อสร้าง สำหรับรายการปีเดียวที่มีวงเงินต่อรายการไม่เกิน ๑,๐๐๐ ล้านบาท ในทุกงบรายจ่าย ซึ่งเข้าสู่กระบวนการจัดซื้อจัดจ้างหรือได้ผลการประกวดราคาแล้ว แต่ไม่สามารถก่อหนี้ผูกพันหรืออยู่ระหว่างดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างได้ทันภายในไตรมาสที่ ๑ หากมีความพร้อมสามารถก่อหนี้ผูกพันได้ ก็เห็นควรให้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไปได้ โดยขอให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ และแผนการก่อหนี้ผูกพัน ส่งสำนักงบประมาณภายในวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ และให้รายงานรองนายกรัฐมนตรีที่กำกับหรือรัฐมนตรีเจ้าสังกัด หรือรองนายกรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายให้กำกับดูแลแผนงานบูรณาการทราบด้วย ๑.๒ สำหรับรายจ่ายประจำและรายจ่ายลงทุนที่ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นพิจารณาทบทวนแล้วเห็นว่าหมดความจำเป็น หรือมีลำดับความสำคัญลดลง หรือไม่สามารถดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลได้อย่างรวดเร็ว ให้พิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ และ/หรือโอนเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณรายจ่ายแล้วแต่กรณี โดยดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และให้พิจารณานำไปช่วยเหลือ เยียวยาฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัย หรือปรับปรุงซ่อมแซมสถานที่ราชการ หรือสิ่งอันเป็นสาธารณประโยชน์ของแผ่นดินที่ได้รับผลกระทบอันเนื่องมาจากเหตุของอุทกภัยให้กลับคืนสู่สภาพปกติ แต่หากหน่วยงานใดไม่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยทั้งทางตรงและทางอ้อม หรือได้ดำเนินการแก้ไขบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นจนเสร็จสิ้นแล้ว ก็ให้พิจารณาดำเนินการตามภารกิจและอำนาจหน้าที่โดยคำนึงถึงแผนการปฏิรูปประเทศ การแก้ไขบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน หรือมีความสอดคล้องกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่ หรือสนับสนุนนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ทั้งนี้ ไม่รวมถึงงบประมาณของแผนงานบุคลากรภาครัฐ แผนงานบริหารเพื่อรองรับกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น และแผนงานการบริหารจัดการหนี้ภาครัฐ ๑.๓ ให้หัวหน้าส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานอื่น และผู้ว่าราชการจังหวัด ติดตามและกำกับดูแลหน่วยงานในสังกัดให้ปฏิบัติตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ โดยเคร่งครัด รวมทั้งเร่งรัดการก่อหนี้ผูกพันและเบิกจ่ายเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปีโดยเร็ว ๒. ให้สำนักงบประมาณได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1240 | การปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ มาตราส่วน 1 : 4000 (One Map) | นร | 30/01/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีเห็นว่า เนื่องจากเรื่องการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ มาตราส่วน ๑ : ๔๐๐๐ (One Map) ถือเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลที่จะต้องเร่งดำเนินการเพื่อให้การกำหนดเขตที่ดินในพื้นที่ต่าง ๆ มีความชัดเจนและไม่เกิดปัญหาการบุกรุกที่ดิน จึงมีมติให้กระทรวงยุติธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการปรับปรุงแผนที่ฯ ให้แล้วเสร็จโดยเร็วภายใน ๖๐ วัน และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
.....
