ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1067 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 21321 - 21340 จากข้อมูลทั้งหมด 123994 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
21321 | การแต่งตั้งโฆษกหน่วยงาน (กองทัพบก) | สลธ.คสช. | 16/02/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบการแต่งตั้งโฆษกหน่วยงาน (เพิ่มเติมในส่วนที่เหลือ รวม ๔ หน่วยงาน) ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ดังนี้ ๑.๑ พลตรี ณตฐพล บุญงาม เป็นโฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย ๑.๒ พันเอก วินธัย สุวารี เป็นโฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และโฆษกกองทัพบก ๑.๓ พลเรือโท จุมพล ลุมพิกานนท์ รองเสนาธิการทหารเรือ เป็นโฆษกกองทัพเรือ ๑.๔ พลอากาศตรี พงษ์ศักดิ์ เสมาชัย ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผน กรมกิจการพลเรือนทหารอากาศ เป็นโฆษกกองทัพอากาศ ๒. ให้โฆษกกระทรวง/หน่วยงาน ดำเนินการประชาสัมพันธ์อย่างเป็นระบบ โดยเน้นถึงนโยบายการขับเคลื่อนการปฏิบัติ การบูรณาการโครงการหรือกิจกรรมในมิติต่าง ๆ ให้ชัดเจน รวมทั้งผลสัมฤทธิ์ที่เป็นรูปธรรม ทั้งนี้ โครงการหรือกิจกรรมใด ๆ ที่มีระยะเวลาดำเนินการยาวนานควรดำเนินการประชาสัมพันธ์ข่าวสารอย่างต่อเนื่องเป็นระยะ ๆ เพื่อให้ประชาชนเกิดความพึงพอใจที่ได้รับทราบข้อมูลข้อเท็จจริงและความคืบหน้าที่ถูกต้องครบถ้วน
|
|||||||||||||||||||||
21322 | การแต่งตั้งโฆษกหน่วยงาน (กองบัญชาการกองทัพไทย) | กห | 16/02/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบการแต่งตั้งโฆษกหน่วยงาน (เพิ่มเติมในส่วนที่เหลือ รวม ๔ หน่วยงาน) ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ดังนี้ ๑.๑ พลตรี ณตฐพล บุญงาม เป็นโฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย ๑.๒ พันเอก วินธัย สุวารี เป็นโฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และโฆษกกองทัพบก ๑.๓ พลเรือโท จุมพล ลุมพิกานนท์ รองเสนาธิการทหารเรือ เป็นโฆษกกองทัพเรือ ๑.๔ พลอากาศตรี พงษ์ศักดิ์ เสมาชัย ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผน กรมกิจการพลเรือนทหารอากาศ เป็นโฆษกกองทัพอากาศ ๒. ให้โฆษกกระทรวง/หน่วยงาน ดำเนินการประชาสัมพันธ์อย่างเป็นระบบ โดยเน้นถึงนโยบายการขับเคลื่อนการปฏิบัติ การบูรณาการโครงการหรือกิจกรรมในมิติต่าง ๆ ให้ชัดเจน รวมทั้งผลสัมฤทธิ์ที่เป็นรูปธรรม ทั้งนี้ โครงการหรือกิจกรรมใด ๆ ที่มีระยะเวลาดำเนินการยาวนานควรดำเนินการประชาสัมพันธ์ข่าวสารอย่างต่อเนื่องเป็นระยะ ๆ เพื่อให้ประชาชนเกิดความพึงพอใจที่ได้รับทราบข้อมูลข้อเท็จจริงและความคืบหน้าที่ถูกต้องครบถ้วน
|
|||||||||||||||||||||
21323 | การแต่งตั้งผู้ที่จะดำรงตำแหน่งกรรมการร่างกฎหมายประจำ (นักกฎหมาย กฤษฎีกาทรงคุณวุฒิ) (สำนักนายกรัฐมนตรี) (นางพงษ์สวาท กายอรุณสุทธิ์) | นร09 | 09/02/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางพงษ์สวาท กายอรุณสุทธิ์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งกรรมการร่างกฎหมายประจำ (นักกฎหมายกฤษฎีกาทรงคุณวุฒิ) สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๕๘ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
21324 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงคมนาคม) (นายสุพร เตไชยา และนางสาวกอบกุล โมทนา) | คค | 09/02/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงคมนาคม ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน ๒ ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้
๑. นายสุพร เตไชยา ดำรงตำแหน่งวิศวกรใหญ่ที่ปรึกษาวิชาชีพเฉพาะด้านวิศวกรรม (ด้านสำรวจและออกแบบ) (วิศวกรโยธาทรงคุณวุฒิ) กรมทางหลวงชนบท ตั้งแต่วันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๕๘ ๒. นางสาวกอบกุล โมทนา ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการขนส่งทางอากาศ (นักวิชาการขนส่งทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๘
|
|||||||||||||||||||||
21325 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข) (นายวันชัย อาจเขียน) | สธ | 09/02/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายวันชัย อาจเขียน ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งนักวิชาการสาธารณสุขทรงคุณวุฒิ (ผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิจัย) กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๘ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
21326 | การเสนอรายชื่อบุคคลที่สมควรให้รับการเสนอชื่อให้เป็นประธานกรรมการและกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (จำนวน 5 ราย 1. นายกิตติ ลิ้มชัยกิจ ฯลฯ) | ยธ | 09/02/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ โดยความเห็นชอบของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ จำนวน ๕ ราย ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. นายกิตติ ลิ้มชัยกิจ ประธานกรรมการ ๒. นายจีระรัตน์ นพวงศ์ ณ อยุธยา กรรมการ ๓. พลตำรวจเอก จรัมพร สุระมณี กรรมการ ๔. พลเอก ชัยรัตน์ ชีระพันธุ์ กรรมการ ๕. นายอนุสิษฐ คุณากร กรรมการ
|
|||||||||||||||||||||
21327 | กรอบเจรจาการประชุมคณะกรรมการร่วมระหว่างรัฐว่าด้วยทรัพย์สินทางปัญญา ทรัพยากรพันธุกรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น และการแสดงทางวัฒนธรรมดั้งเดิม (WIPO Intergovernmental Committee on Intellectual Property and Genetic Resources, Traditional Knowledge and Folklore : WIPO IGC) ของไทย ในปี 2559 - 2560 | พณ | 09/02/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบกรอบการเจรจาการประชุมคณะกรรมการร่วมระหว่างรัฐว่าด้วยทรัพย์สินทางปัญญา ทรัพยากรพันธุกรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น และการแสดงทางวัฒนธรรมดั้งเดิม (WIPO Intergovernmental Committee on Intellectual Property and Genetic Resources, Traditional Knowledge and Folklore : WIPO IGC) ของไทย ในปี ๒๕๕๙-๒๕๖๐ สำหรับคณะผู้เจรจาของไทยใช้เป็นพื้นฐานในการเจรจาต่อไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยให้กระทรวงพาณิชย์เจรจาบนพื้นฐานของนโยบายรัฐบาลในการห้ามทำการผลิตสิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรม (GMO) เชิงพาณิชย์ และเน้นการคุ้มครองในการปกป้องภูมิปัญญาท้องถิ่น และทรัพยากรความหลากหลายทางชีวภาพของชุมชน ทั้งในด้านการเข้าถึงและแบ่งปันผลประโยชน์ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงถ้อยคำหรือสาระสำคัญโดยไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยจะได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการติดตามตรวจสอบและเข้าไปมีส่วนร่วมในการประชุมอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้กติกาหรือกลไกระหว่างประเทศที่จะร่างขึ้นมาใหม่ให้พัฒนาและเป็นไปโดยสอดคล้องกับความต้องการของคนส่วนใหญ่ในประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งการรักษาผลประโยชน์ส่วนรวมของคนในชาติและคนที่เป็นเจ้าของทรัพยากร การใช้และแบ่งปันประโยชน์ที่ได้จากทรัพยากรพันธุกรรมอย่างเป็นธรรม รวมทั้งภูมิปัญญาท้องถิ่น และการแสดงออกทางวัฒนธรรมแบบดั้งเดิม และให้คณะผู้แทนใช้ดุลพินิจในการพิจารณาในมิติด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับภูมิปัญญาท้องถิ่นและทรัพยากรพันธุกรรมซึ่งเชื่อมโยงกับประเด็นทรัพย์สินทางปัญญา รวมถึงให้ความสำคัญกับการสร้างความสมดุลระหว่างการปกป้องสิทธิของผู้เป็นเจ้าของทรัพยากรพันธุกรรมและการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่นำมาซึ่งการพัฒนาทางด้านสาธารณสุขของภาคีสมาชิก และให้ความสำคัญกับการเชื่อมโยงของระบบการคุ้มครองภูมิปัญญาท้องถิ่นกับสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์เพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้าของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดสินค้าเฉพาะกลุ่ม (Niche Marketing) เช่น การทำไวน์กระชายดำ การทำมีดอรัญญิก การทอผ้าไหม เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์พิจารณามาตรการเพื่อจำแนกความแตกต่างของสินค้าที่ได้รับการขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) ของไทยกับอาเซียนให้ชัดเจน |
|||||||||||||||||||||
21328 | การปรับปรุงการจัดเก็บภาษีจากกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ [ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการกำหนดกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 3 ฉบับ] | กค | 09/02/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการปรับปรุงการจัดเก็บภาษีจากกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ เพื่อให้การจัดเก็บภาษีของประเทศไทยมีความเป็นกลางมากขึ้น รวมทั้งช่วยสนับสนุนและเร่งรัดการแปลงสภาพกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เป็นกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล (Real Estate Investment Trust : REIT) ตามแผนพัฒนาตลาดทุนไทย ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกา รวม ๓ ฉบับ เพื่อยกเลิกการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ สำหรับกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (กอง ๑) กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เพื่อแก้ไขปัญหาในระบบสถาบันการเงิน (กอง ๒) กองทุนรวมเพื่อแก้ไขปัญหาในระบบสถาบันการเงิน (กอง ๓) และกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิเรียกร้อง (กอง ๔) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๒.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๒.๒ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการกำหนดกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๒.๓ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเตรียมความพร้อมและสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับกองทุนรวมดังกล่าวโดยเร็ว และควรมีการประชาสัมพันธ์ให้ผู้ถือหน่วยลงทุนที่ยังไม่สิ้นสุดอายุโครงการและผู้ที่เกี่ยวข้องได้รับทราบถึงการเปลี่ยนแปลงนโยบายภาษี ซึ่งอาจกระทบต่อผลตอบแทนจากการลงทุน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
21329 | ขอขยายระยะเวลาโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Policy Loan) | กค | 09/02/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๕๘ ที่เห็นชอบเงื่อนไขโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Policy Loan) จากเดิม ที่กำหนดให้เริ่มรับคำขอตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบจนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๘ หรือจนกว่าจะเต็มวงเงิน แล้วแต่อย่างหนึ่งอย่างใดจะถึงก่อน เป็น เริ่มรับคำขอตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบจนถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๙ หรือจนกว่าจะเต็มวงเงินแล้วแต่อย่างหนึ่งอย่างใดจะถึงก่อน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) พิจารณาตรวจสอบและเร่งรัดการปล่อยสินเชื่อให้ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่ประสบปัญหาการขาดสภาพคล่องอย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ตามเป้าหมายด้วยความรอบคอบ เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อระดับสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing Loan : NPL) ในอนาคต และควรมีการติดตามและประเมินผลการดำเนินการโครงการที่ผ่านมาเพื่อนำมาปรับปรุงการดำเนินโครงการให้สามารถเสริมสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการ SMEs ได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว รวมทั้งควรเร่งรัดการประชาสัมพันธ์โครงการและการพิจารณาการให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการ SMEs กลุ่มเป้าหมายเพื่อให้เกิดสภาพคล่องในการดำเนินกิจการ สำหรับกิจการที่ไม่ผ่านการพิจารณาสินเชื่อตามหลักเกณฑ์ของโครงการ ธนาคารฯ ควรเร่งชี้แจงให้ผู้ประกอบการทราบถึงสาเหตุหรือข้อบกพร่องดังกล่าวเพื่อให้ผู้ประกอบการมีความเข้าใจและสามารถนำไปปรับปรุงการดำเนินการให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของโครงการได้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
21330 | ขออนุมัติปรับกรอบวงเงินลงทุนและจัดหาแหล่งเงินเพิ่มเติม สำหรับโครงการระบบขนส่งมวลชนทางรางในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ - รังสิต และช่วงบางซื่อ - ตลิ่งชัน | คค | 09/02/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติปรับกรอบวงเงินลงทุนรวมของโครงการระบบขนส่งมวลชนทางรางในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ-รังสิต และช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน โดยมีกรอบวงเงินโครงการรวมจำนวน ๙๓,๙๕๐,๕๘๐,๒๙๗ บาท โดยเป็นกรอบวงเงินที่ครอบคลุมงานปรับแบบรายละเอียดตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ ไว้แล้ว และมอบหมายให้กระทรวงการคลังดำเนินการขยายวงเงินกู้เพิ่มเติมให้ครอบคลุมการปรับกรอบวงเงินโครงการตามขั้นตอนต่อไป ๑.๒ อนุมัติปรับกรอบวงเงินสัญญาที่ ๓ (งานระบบไฟฟ้าและเครื่องกล รวมตู้รถไฟฟ้า) ของโครงการระบบขนส่งมวลชนทางรางในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ-รังสิต และช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน เพิ่มเติมจำนวน ๖,๗๔๓,๙๙๙,๖๙๙ บาท จากเดิมจำนวน ๒๕,๖๕๖,๐๐๐,๐๐๐ บาท เป็นจำนวน ๓๒,๓๙๙,๙๙๙,๖๙๙ บาท ประกอบด้วยงานระบบฯ ช่วงบางซื่อ-รังสิต จำนวน ๒๖,๕๔๒,๗๐๖,๗๑๓ บาท จากแหล่งเงินกู้องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (JICA) และงานระบบฯ ช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน จำนวน ๕,๘๕๗,๒๙๒,๙๘๖ บาท จากแหล่งเงินกู้ภายในประเทศ ๑.๓ อนุมัติแหล่งเงินโครงการฯ โดยให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ดำเนินการกู้เงินภายในประเทศสำหรับสัญญาที่ ๓ (งานระบบไฟฟ้าและเครื่องกล รวมตู้รถไฟฟ้า) ของโครงการระบบขนส่งมวลชนทางรางในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน ในกรอบวงเงิน จำนวน ๕,๘๕๗,๒๙๒,๙๘๖ บาท ตามความจำเป็นและเหมาะสมตามแผนการใช้จ่ายเงินจริง และให้กระทรวงการคลังขยายวงเงินกู้เพิ่มเติมและค้ำประกันเงินกู้สำหรับสัญญาที่ ๓ (งานระบบไฟฟ้าและเครื่องกล รวมตู้รถไฟฟ้า) ช่วงบางซื่อ-รังสิต และช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน ภายใต้กรอบวงเงินที่ได้รับอนุมัติ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และประธานกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ เกี่ยวกับการเร่งหาข้อยุติในหลักการของขอบเขตการรับภาระการลงทุนค่าใช้จ่ายงานระบบรถไฟฟ้าและเครื่องกล ตู้รถไฟฟ้า ค่าจ้างที่ปรึกษา งานระบบไฟฟ้าและเครื่องกลของโครงการ รวมทั้งเร่งศึกษาแนวทางการบริหารจัดการเดินรถของโครงการ การพิจารณาตรวจสอบความเหมาะสมของกรอบวงเงินที่เสนอโดยเฉพาะค่าใช้จ่ายเผื่อเหลือเผื่อขาด และค่าจ้างที่ปรึกษาโครงการให้อยู่บนหลักการของความประหยัดและความโปร่งใส การพิจารณาแนวทางบริหารจัดการความเสี่ยงทางการเงินที่อาจจะเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินตราต่างประเทศโดยเฉพาะในส่วนที่ รฟท. รับภาระการลงทุน และการเร่งศึกษาออกแบบรายละเอียดและความเหมาะสมของโครงการ ตลอดจนกำหนดรูปแบบการลงทุนและการให้บริการให้ได้ข้อยุติ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงคมนาคมกำกับดูแลการดำเนินงานของ รฟท. อย่างเคร่งครัด เพื่อให้เป็นไปตามแผนที่คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี ๒๕๖๒ และเร่งรัดการดำเนินงานของสัญญาที่ ๓ (งานระบบราง อาณัติสัญญาณ และขบวนรถไฟฟ้า) ให้ระยะเวลาดำเนินงานสอดรับกับสัญญาที่ ๑ และสัญญาที่ ๒ ๔. ให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณพิจารณาค่าใช้จ่ายเผื่อเหลือเผื่อขาด (Provisional Sums) ให้มีความเหมาะสมกับราคาค่าน้ำมันและวัสดุก่อสร้างที่ลดลงตามภาวการณ์ในปัจจุบันด้วย ๕. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. พิจารณาดำเนินการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งและข้อร้องเรียนของประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่บริเวณโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ-รังสิต ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว |
|||||||||||||||||||||
21331 | การกำหนดเบี้ยประชุมและประโยชน์ตอบแทนของคณะกรรมการกำกับสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยและอนุกรรมการ | คค | 09/02/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติกำหนดอัตราเบี้ยประชุมและประโยชน์ตอบแทนของคณะกรรมการกำกับสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยและอนุกรรมการ ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ดังนี้ ๑.๑ คณะกรรมการกำกับสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ให้ประธานกรรมการและกรรมการได้รับประโยชน์ตอบแทนรายเดือน อัตราเดือนละ ๑๐,๐๐๐ บาท และเบี้ยประชุมรายเดือน ในอัตราประธานกรรมการไม่เกินเดือนละ ๖,๒๕๐ บาท กรรมการไม่เกินเดือนละ ๕,๐๐๐ บาท ๑.๒ คณะอนุกรรมการให้ได้รับเบี้ยประชุมเป็นรายเดือน ในอัตราประธานอนุกรรมการไม่เกินเดือนละ ๓,๑๒๕ บาท อนุกรรมการไม่เกินเดือนละ ๒,๕๐๐ บาทต่อคน ๒. ให้กระทรวงคมนาคมกำกับดูแลให้คณะกรรมการกำกับสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยและคณะอนุกรรมการดำเนินการให้เสร็จสิ้นตามแผนงานและกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ รวมถึงให้ประเมินผลการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการและคณะอนุกรรมการทุก ๖ เดือน ต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงคมนาคมเร่งรัดการจัดหาบุคลากรของสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยในระยะแรก แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีภายใน ๑๕ วัน โดยเน้นการสรรหาบุคลากรที่มีคุณสมบัติตรงกับความต้องการและมีความขาดแคลน ทั้งนี้ ให้พิจารณาการจัดหาบุคลากรในลักษณะการจัดจ้างชั่วคราวด้วย |
|||||||||||||||||||||
21332 | ขออนุมัติจัดสรรเงินจากกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร | กษ | 09/02/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานว่า ตามที่เสนอขออนุมัติเงินจ่ายขาดจากกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร จำนวน ๑๐ ล้านบาท นั้น จะใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการติดตามตรวจสอบการดำเนินโครงการของกลุ่มเกษตรกรในระดับจังหวัด รวมถึงการเร่งรัดการชำระหนี้เงินกู้และแก้ไขปัญหาของกลุ่มเกษตรกรให้สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด ทั้งนี้ จะเบิกจ่ายงบประมาณตามที่ใช้จ่ายจริง ด้วยความโปร่งใส และตรวจสอบได้ ๒. อนุมัติการจัดสรรเงินจากกองทุนสงเคราะห์เกษตรกรให้กรมส่งเสริมสหกรณ์ยืมเงิน จำนวน ๑,๐๐๐ ล้านบาท โดยไม่มีดอกเบี้ย กำหนดชำระคืนภายใน ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๔) เพื่อดำเนินโครงการสร้างความเข้มแข็งให้กับกลุ่มเกษตรกรเพื่อเข้าถึงแหล่งเงินทุนในการผลิตและการตลาด รวมทั้งเงินจ่ายขาดสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการ จำนวน ๑๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาจัดสรรเงินให้แก่กลุ่มเกษตรกรโดยไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนกับโครงการอื่น ๆ ของรัฐบาลที่ได้ให้ความช่วยเหลือเกษตรกรไปแล้ว รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการติดตามประเมินผลการดำเนินโครงการและรายงานผลให้คณะกรรมการสงเคราะห์เกษตรกรทราบเป็นรายปีอย่างต่อเนื่อง การพิจารณาแผนงาน/โครงการที่กลุ่มเกษตรกรเสนอขอใช้เงินตามโครงการ ควรดำเนินการด้วยความรอบคอบและคำนึงถึงความเป็นไปได้ในการดำเนินการ การประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านการตลาดเพื่อให้มีการบริหารจัดการครบวงจรทั้งการผลิตและการตลาด การกำกับดูแลการจัดสรรเงินให้มีความทั่วถึง เป็นธรรมและโปร่งใส รวมถึงติดตามผลการชำระคืนเงินจากกลุ่มเกษตรกรอย่างเคร่งครัดเพื่อให้การชำระคืนเงินกองทุนฯ เป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ และให้ความสำคัญกับความสอดคล้องระหว่างกิจกรรมของกลุ่มเกษตรกรกับนโยบายของรัฐบาล โดยเฉพาะการกู้ยืมเงินไปเพื่อดำเนินกิจกรรมการเพาะปลูกในช่วงฤดูแล้งของกลุ่มเกษตรกรจะต้องสอดคล้องกับมาตรการส่งเสริมของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพื่อลดความเสี่ยงในการคืนเงินทุนให้กับกองทุนฯ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
21333 | ร่างกฎหมายตามมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนกองทุนการออมแห่งชาติ | กค | 09/02/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาและร่างกฎกระทรวงรวม ๓ ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการกำหนดกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้กิจการของกองทุนการออมแห่งชาติตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนการออมแห่งชาติ เป็นกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะ ๒. ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นอากรแสตมป์ให้แก่กองทุนการออมแห่งชาติตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนการออมแห่งชาติ ๓. ร่างกฎกระทรวง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ดังต่อไปนี้ ๓.๑ เงินได้เท่าที่ผู้มีเงินได้ซึ่งเป็นสมาชิกองทุนการออมแห่งชาติ จ่ายเป็นเงินสะสมเข้ากองทุนการออมแห่งชาติตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนการออมแห่งชาติ ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่เมื่อรวมกับเงินสะสมที่จ่ายเข้ากองทุนประเภทต่าง ๆ เงินที่จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ และเบี้ยประกันภัยสำหรับการประกันชีวิตแบบบำนาญซึ่งได้รับยกเว้นภาษีแล้ว ต้องไม่เกินห้าแสนบาทสำหรับปีภาษีนั้น ๓.๒ เงินหรือผลประโยชน์ใด ๆ ที่ได้รับจากกองทุนการออมแห่งชาติตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนการออมแห่งชาติ เนื่องจากสมาชิกของกองทุนการออมแห่งชาติทุพพลภาพ หรือสิ้นสมาชิกภาพเพราะอายุครบหกสิบปีบริบูรณ์ หรือถือว่าเป็นกรณีที่สมาชิกมีอายุครบหกสิบปีบริบูรณ์ตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนการออมแห่งชาติ หรือตาย |
|||||||||||||||||||||
21334 | ขอความเห็นชอบการปรับรูปแบบอาคารโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัย ชุดที่ 1 ปี 2557 | พม | 09/02/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติดำเนินการตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับการพิจารณาปรับรูปแบบอาคารโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัย ชุดที่ ๑ ปี ๒๕๕๗ เป็นเพียงการแก้ไขรายละเอียดของโครงการตามที่ได้รับงบลงทุน การเคหะแห่งชาติจึงสามารถดำเนินการโดยเสนอรัฐมนตรีกระทรวงต้นสังกัดให้ความเห็นชอบ ก่อนเสนอคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาให้ความเห็นชอบตามข้อ ๕ แห่งระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๕๐ โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาแต่อย่างใด ทั้งนี้ หากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาแล้วเห็นว่า มีความจำเป็นต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรี ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จัดทำข้อมูลเพิ่มเติมในเรื่องการประเมินผลการปรับเปลี่ยนรายละเอียดโครงการว่าส่งผลกระทบต่อผลตอบแทนการลงทุนโครงการหรือไม่อย่างไร และเกิดประโยชน์ต่อภาครัฐอย่างไร และต้องดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น การขอความเห็นชอบรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น (IEE) รวมทั้งได้รับความเห็นชอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินโครงการแล้ว ก่อนนำเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
21335 | สถานการณ์น้ำและการบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูแล้งปี 2558/59 ครั้งที่ 10 | กษ | 09/02/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบสถานการณ์น้ำและการบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูแล้งปี ๒๕๕๘/๕๙ ครั้งที่ ๑๐ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ ๑.๑ สถานการณ์น้ำ ณ วันที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๕๙ เช่น อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ทั้งประเทศ จำนวน ๓๓ แห่ง มีปริมาตรน้ำรวม ๓๘,๕๙๔ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๕๕ ของปริมาตรน้ำกักเก็บทั้งหมด เป็นน้ำใช้การได้ ๑๕,๐๙๑ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๓๒ ของปริมาตรน้ำใช้การทั้งหมด ๑.๒ การจัดสรรน้ำ ช่วงวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ - ๒๐ มกราคม ๒๕๕๙ อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และอ่างเก็บน้ำขนาดกลางทั้งประเทศ ใช้น้ำไปแล้ว ๓,๐๒๔ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๒๗ ของแผนการจัดสรรน้ำ ส่วนในลุ่มน้ำเจ้าพระยา (เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ และผันน้ำจากแม่กลอง) ใช้น้ำไปแล้ว ๑,๒๗๘ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๔๔ ของแผนการจัดสรรน้ำ คิดเป็นระบายน้ำเฉลี่ยวันละ ๑๕.๗๘ ล้านลูกบาศก์เมตร ๑.๓ การบริหารจัดการน้ำและอาคารชลประทานในลุ่มน้ำเจ้าพระยาช่วงฤดูแล้งปี ๒๕๕๘/๕๙ ช่วงวันที่ ๑๘-๒๔ มกราคม ๒๕๕๙ กำหนดแผนการระบายน้ำจากเขื่อนจำนวน ๔ เขื่อน ได้แก่ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เฉลี่ยวันละ ๑๗.๗๗ ล้านลูกบาศก์เมตร ๑.๔ สถานการณ์การเพาะปลูกข้าวในเขตชลประทานลุ่มน้ำเจ้าพระยา ณ วันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๕๙ พื้นที่ปลูกข้าวนาปี ปี ๒๕๕๘ แผนเพาะปลูก ๗.๔๕ ล้านไร่ ปลูก ๖.๔๐ ล้านไร่ ไม่ปลูก ๑.๐๕ ล้านไร่ โดยในพื้นที่ที่ปลูก ๖.๔๐ ล้านไร่ แบ่งเป็น เก็บเกี่ยวแล้ว ๖.๓๔ ล้านไร่ เสียหาย ๐.๐๒ ล้านไร่ รอเก็บเกี่ยว ๐.๐๔ ล้านไร่ คาดว่าจะเก็บเกี่ยวเสร็จสิ้นประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ พื้นที่ปลูกข้าวนาปีต่อเนื่อง ปี ๒๕๕๘ จำนวน ๑.๗๕ ล้านไร่ เก็บเกี่ยวแล้ว ๑.๓๘ ล้านไร่ รอเก็บเกี่ยว ๐.๓๗ ล้านไร่ คาดว่าจะเก็บเกี่ยวเสร็จสิ้นประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ และพื้นที่ปลูกข้าวนาปรัง ปี ๒๕๕๘/๕๙ ผลการเพาะปลูกข้าวนาปรัง จำนวน ๑.๗๗ ล้านไร่ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงกลาโหม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาจัดลำดับความสำคัญในการให้ความช่วยเหลือจัดหาน้ำเพื่อการบริโภคและอุปโภคให้แก่ประชาชนในพื้นที่ที่ประสบปัญหาความเดือดร้อนจากการขาดแคลนน้ำเร่งด่วนเป็นลำดับแรกก่อน เพื่อเป็นการบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในช่วงฤดูแล้งให้เป็นไปอย่างทันการณ์ รวมทั้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการขุดลอกคลองและแหล่งน้ำต่าง ๆ ให้เป็นไปตามแผนงาน/โครงการที่กำหนดไว้ แล้วแจ้งให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ทราบความคืบหน้าเพื่อรายงานในภาพรวมให้คณะรัฐมนตรีทราบทุก ๒ สัปดาห์
|
|||||||||||||||||||||
21336 | ขออนุมัติโครงการเสริมสร้างและยกระดับความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการยุติแหล่งผลิตและทำลายเครือข่ายการค้ายาเสพติดระหว่างประเทศ ปี 2559 (สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ราชอาณาจักรกัมพูชา และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม) | ยธ | 09/02/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ โครงการเสริมสร้างและยกระดับความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการยุติแหล่งผลิตและทำลายเครือข่ายการค้ายาเสพติดระหว่างประเทศปี ๒๕๕๙ โดยการจ่ายเงินงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ สนับสนุนให้แก่ประเทศเพื่อนบ้านตามโครงการฯ รวม ๑๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดได้กันเงินงบประมาณดังกล่าวไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว ประกอบด้วย สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา จำนวน ๖,๔๘๐,๐๐๐ บาท สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว จำนวน ๒,๐๐๘,๐๐๐ บาท ราชอาณาจักรกัมพูชา จำนวน ๒,๙๙๐,๐๐๐ บาท และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม จำนวน ๓,๕๒๒,๐๐๐ บาท ๑.๒ ให้เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดมีอำนาจอนุมัติโครงการ แผนงาน และกิจกรรมภายใต้กรอบงบประมาณ งบเงินอุดหนุน รายการโครงการเสริมสร้างและยกระดับความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการยุติแหล่งผลิตและทำลายเครือข่ายการค้ายาเสพติดระหว่างประเทศ ปี ๒๕๕๙ และสามารถจ่ายเงินงบประมาณสนับสนุนแต่ละประเทศเพื่อให้มีการดำเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการฯ ตามที่ได้รับการจัดสรร ๒. ในการเบิกจ่ายเงินงบประมาณดังกล่าวให้ขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณเพื่อเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณที่กันไว้เบิกเหลื่อมปีตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||
21337 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้มันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังเป็นสินค้าที่ต้องปฏิบัติตามมาตรการนำผ่านราชอาณาจักร พ.ศ. .... | พณ | 09/02/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้มันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังเป็นสินค้าที่ต้องปฏิบัติตามมาตรการนำผ่านราชอาณาจักร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดมาตรการนำผ่านราชอาณาจักรสำหรับมันสำปะหลัง และผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
21338 | มาตรการสนับสนุนวิสาหกิจเริ่มต้น (Start Up) | กค | 09/02/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบมาตรการสนับสนุนวิสาหกิจเริ่มต้น (Start Up) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ แต่งตั้งคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้นแห่งชาติ (National Start Up Committee) โดยมีปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธานกรรมการ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายการออมและการลงทุน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เป็นกรรมการและเลขานุการ และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอีก ๑๙ คน เป็นกรรมการ เพื่อร่วมกันกำหนดยุทธศาสตร์หลัก (Grand Strategy) ในการแก้ไขปัญหาวิสาหกิจของประเทศ ๑.๒ จัดตั้งกองทุนเพื่อร่วมลงทุนกับวิสาหกิจเริ่มต้น (Start Up) เพื่อสนับสนุนวิสาหกิจเริ่มต้นที่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้โดยง่ายและมีเป็นจำนวนมาก โดยให้ความช่วยเหลือในด้านแหล่งเงินทุนให้กับวิสาหกิจดังกล่าว โดยมีวงเงินลงทุนเริ่มแรกประมาณ ๓,๐๐๐ ล้านบาท และมีแหล่งเงินทุนจากกองทุนรวมวายุภักษ์ และธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ทั้งนี้ รูปแบบและวิธีการจัดตั้งกองทุนฯ จะพิจารณาในรายละเอียดต่อไปโดยเร็ว ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เกี่ยวกับการดำเนินการจัดตั้งกองทุนฯ ให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องโดยเร็ว โดยคำนึงถึงความพร้อมของกลุ่มเป้าหมาย SMEs ระยะเริ่มต้นอย่างแท้จริง การให้ความสำคัญกับการบูรณาการมาตรการด้านการคลังในการส่งเสริม SMEs อย่างรอบด้าน การเพิ่มองค์ประกอบคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้นแห่งชาติ เช่น สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา และบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม เป็นต้น รวมทั้งเร่งพิจารณารูปแบบและวิธีการจัดตั้งกองทุนฯ และกำหนดแนวทางในการบริหารจัดการให้เกิดการกระจายเงินทุน นอกจากนี้ เห็นควรประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการให้คำแนะนำ สร้างความเข้าใจแก่ผู้ประกอบการกลุ่มเป้าหมายโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ประกอบการรายใหม่ ให้ทราบถึงมาตรการของภาครัฐ และพิจารณาไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนกับมาตรการสนับสนุนแหล่งเงินทุนแก่กิจการ SMEs ต่าง ๆ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||
21339 | โครงการลดภาระหนี้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา | กค | 09/02/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบโครงการลดภาระหนี้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาของธนาคารออมสิน โดยการอนุมัติวงเงินสินเชื่อใหม่เพิ่มเติมให้กับผู้กู้ที่เป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่สมัครใจเข้าร่วมโครงการฯ โดยใช้เงินที่ทายาทจะได้รับในอนาคตเพื่อค้ำประกัน ได้แก่ เงินฌาปนกิจสงเคราะห์ครอบครัว (ช.พ.ค.) และ/หรือเงินบำเหน็จตกทอด เพื่อนำเงินสินเชื่อใหม่มาลดภาระหนี้หรือเปิดบัญชีหนี้ที่มีอยู่ในปัจจุบัน โดยกำหนดอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยปกติของธนาคารออมสิน และผู้กู้ไม่ต้องผ่อนชำระหนี้วงเงินสินเชื่อใหม่ตลอดอายุสัญญา ทั้งนี้ ผลที่คาดว่าจะได้รับ สามารถแก้ไขบรรเทาปัญหาหนี้สินครูและบุคลากรทางการศึกษาได้ประมาณ ๒๘๓,๐๐๐ ราย และสามารถลดภาระหนี้ของครูและบุคลากรทางการศึกษาได้เฉลี่ยรายละ ๓๐๐,๐๐๐-๖๐๐,๐๐๐ บาท รวมทั้งครูและบุคลากรทางการศึกษาจะได้รับประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงจากเดิมร้อยละ ๕.๘๕-๖.๗๐ ต่อปี เป็นอัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๔ ต่อปี อีกทั้งผู้กู้ไม่ต้องผ่อนชำระหนี้วงเงินสินเชื่อใหม่ตลอดอายุสัญญา ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังกำกับดูแลการพิจารณาวงเงินกู้ใหม่ของโครงการลดภาระหนี้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาให้เป็นการกู้เพื่อชดใช้หนี้เดิมโดยคำนึงถึงการตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินของผู้กู้ควบคู่ไปกับการทำบัญชีวางแผนการใช้จ่าย เพื่อให้สามารถช่วยเหลือข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่ประสบปัญหาด้านภาระหนี้สินได้อย่างแท้จริง
|
|||||||||||||||||||||
21340 | การขอความเห็นชอบต่อร่างเอกสารผลลัพธ์สำหรับการประชุมสุดยอดผู้นำสหรัฐฯ - อาเซียน | กต | 09/02/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมสุดยอดผู้นำสหรัฐอเมริกา-อาเซียน หลักการซันนีแลนด์ (Sunnylands Principles) ซึ่งเป็นเอกสารสรุปผลการประชุมสุดยอดระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนกับสหรัฐอเมริกา โดยมีสาระสำคัญเป็นการย้ำถึงเจตนารมณ์ของอาเซียนและสหรัฐอเมริกาในการสนับสนุนและเสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างกัน และอนุมัติให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองเอกสารดังกล่าว ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ และให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนถ้อยคำบางประการในร่างเอกสารผลลัพธ์ฯ ประเด็นที่ ๒ ๓ และ ๔ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างเอกสารฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ ไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย และไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ต่อไป ๒. ให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศประสานงานกับประเทศในกลุ่มอาเซียนเกี่ยวกับท่าทีและการขับเคลื่อนนโยบายต่าง ๆ สำหรับการประชุมสุดยอดผู้นำสหรัฐอเมริกา-อาเซียน เพื่อให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน และแจ้งผลไปยังสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีโดยด่วนภายในวันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ เพื่อนำเสนอนายกรัฐมนตรีทราบต่อไป |
.....