ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1061 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 21201 - 21220 จากข้อมูลทั้งหมด 123994 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
21201 | ร่างพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (เพิ่มช่องทางชำระค่าปรับ) | ตช | 01/03/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (เพิ่มช่องทางชำระค่าปรับ) ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการเพิ่มวิธีการและสถานที่ชำระค่าปรับตามใบสั่งสำหรับผู้ขับขี่หรือเจ้าของรถ ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติร่วมกับกระทรวงคมนาคม กระทรวงยุติธรรม และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับข้อสังเกตของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๔) ไปพิจารณาดำเนินการโดยศึกษาเปรียบเทียบอัตราโทษปรับให้มีความเหมาะสม รวมทั้งศึกษากฎหมายต่างประเทศเพื่อนำมาเป็นแนวทางในการพิจารณาแก้ไขกฎหมายจราจรทางบก เช่น ประเด็นเกี่ยวกับอัตราโทษ การเพิ่มโทษปรับในกรณีที่มีการชำระค่าปรับล่าช้า หรือประเด็นเกี่ยวกับอายุความของคดีจราจร เป็นต้น ทั้งนี้ ให้พิจารณาความเหมาะสมที่จะทำให้ผู้กระทำความผิดเกิดความเกรงกลัว ไม่กระทำความผิดซ้ำ และเป็นการสร้างวินัยจราจรให้แก่ผู้ขับขี่ด้วย
|
||||||||||||||||||
21202 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาระบบเกษตรพันธสัญญาที่เป็นธรรม พ.ศ. .... | นร09 | 01/03/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาระบบเกษตรพันธสัญญาที่เป็นธรรม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีคณะกรรมการเพื่อรวบรวมข้อมูลและสภาพปัญหาและกำหนดแนวทางในการดำเนินการของหน่วยงานของรัฐในการส่งเสริมและพัฒนาระบบเกษตรพันธสัญญา ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการตามร่างระเบียบฯ ที่เกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ให้ใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ของสำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ งบดำเนินงาน ซึ่งได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายไว้แล้ว ส่วนค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ เป็นต้นไป ให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. มอบให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการดำเนินการระบบเกษตรพันธสัญญาที่เป็นธรรมควรให้ครอบคลุมผู้ผลิต ผู้ประกอบการรายเล็ก ในแต่ละประเภท ประชาชนและเกษตรกรที่มีรายได้น้อย และให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ให้คณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาระบบเกษตรพันธสัญญาที่เป็นธรรมควรรับฟังความคิดเห็น สร้างความรู้ความเข้าใจและสร้างกระบวนการเรียนรู้ร่วมกันในสาระสำคัญของร่างระเบียบฯ กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับระบบเกษตรพันธสัญญาให้ครบถ้วน และในขั้นตอนของกระบวนการยกร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาระบบเกษตรพันธสัญญาที่เป็นธรรม พ.ศ. .... ควรนำร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการคุ้มครองระบบเกษตรพันธสัญญา พ.ศ. .... ที่ได้นำเสนอคณะกรรมการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติที่เสนอโดยสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติหรือสภาปฏิรูปแห่งชาติมาพิจารณาร่วมด้วย ซึ่งจะทำให้การยกร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาระบบเกษตรพันธสัญญาที่เป็นที่ธรรม พ.ศ. .... มีความครอบคลุมและสมบูรณ์มากขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||
21203 | ร่างพระราชบัญญัติมาตรการแทนการฟ้องคดีอาญา พ.ศ. .... | นร09 | 01/03/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติมาตรการแทนการฟ้องคดีอาญา พ.ศ. .... ของกระทรวงยุติธรรม ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว โดยให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปพิจารณาความสอดคล้องของตำแหน่งพนักงานสอบสวนตามร่างพระราชบัญญัตินี้กับคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๗/๒๕๕๙ เรื่อง การกำหนดตำแหน่งของข้าราชการตำรวจซึ่งมีอำนาจหน้าที่ในการสอบสวน สั่ง ณ วันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ อีกครั้งหนึ่ง และให้รายงานรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ทราบ แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
|
||||||||||||||||||
21204 | ร่างพระราชบัญญัติกองทุนเพื่อการศึกษา พ.ศ. .... | กค | 01/03/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติกองทุนเพื่อการศึกษา พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการจัดตั้งกองทุนเพื่อการศึกษา มีฐานะเป็นนิติบุคคล อยู่ในกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมการศึกษาด้วยการให้เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาแก่นักเรียนหรือนักศึกษาที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ หรือนักเรียนหรือนักศึกษาในสาขาวิชาที่เป็นความต้องการหลัก โดยนักเรียนหรือนักศึกษาผู้ได้รับเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษามีหน้าที่ต้องคืนเงินให้กองทุน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับข้อสังเกตของรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ในการกำหนดบทเฉพาะกาลเพื่อใช้กับการติดตามหนี้สำหรับการกู้ยืมเงินจากกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาหรือกองทุนเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาที่ผูกพันกับรายได้ในอนาคตก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้มีผลใช้บังคับ และให้รับความเห็นของสำนักงานศาลปกครอง และฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม คณะรักษาความสงบแห่งชาติ เกี่ยวกับการกำหนดเวลาคืนเงินให้กองทุนภายใน ๓๐ วันนับถัดจากวันที่มีหนังสือแจ้งการบอกเลิกการกู้ยืมเงิน เป็นการกำหนดระยะเวลาที่สั้นเกินไป และควรกำหนดให้กองทุนเป็นผู้แจ้งรายชื่อผู้กู้ยืมเงินให้แก่ผู้จ่ายเงินได้เป็นผู้ตรวจสอบ รวมทั้งควรกำหนดให้หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการจ้างสถาบันการเงิน หรือนิติบุคคลให้ทำหน้าที่บริหารจัดการ มีความชัดเจน รัดกุม โดยคำนึงถึงความสามารถในการชำระคืนของนักเรียนหรือนักศึกษาผู้กู้ยืมเป็นสำคัญ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษาที่เห็นควรให้มีการเตรียมการอย่างเป็นระบบในการบริหารจัดการหนี้ การบริหารจัดการกองทุน รวมทั้งออกแบบให้ผู้กู้ยืมเงินแสดงตนหรือยืนยันสถานภาพการกู้ยืมเงินอย่างน้อยปีละครั้ง พร้อมทั้งจัดระบบฐานข้อมูลผู้กู้ยืมเงินอย่างเป็นระบบ และควรกำหนดแนวปฏิบัติหรือข้อตกลงที่ชัดเจนอย่างเคร่งครัดเกี่ยวกับการกำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบของสถานศึกษาและผู้กู้ยืมเงินที่มีต่อกองทุน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ทั้งนี้ ให้กำหนดมาตรการในการติดตามการชำระหนี้ที่เหมาะสม เคร่งครัด และเป็นธรรมตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
21205 | ร่างพระราชบัญญัติการปฏิบัติเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศในการแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อประโยชน์ในการจัดเก็บภาษีอากร พ.ศ. .... | กค | 01/03/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการปฏิบัติเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศในการแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อประโยชน์ในการจัดเก็บภาษีอากร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีกฎหมายกลางที่ให้อำนาจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในการเสนอให้มีการตราพระราชกฤษฎีกาเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและขั้นตอนในการปฏิบัติตามความตกลงในการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางภาษีแต่ละฉบับ รวมทั้งกำหนดอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายให้เป็นเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจ (Competent Authority) และให้อำนาจผู้มีหน้าที่รายงานในการเปิดเผยข้อมูลเพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติตามความตกลงในการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางภาษีได้ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณาว่าในการดำเนินการตามความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งประเทศสหรัฐอเมริกาเพื่อความร่วมมือในการปรับปรุงการปฏิบัติตามการภาษีอากรระหว่างประเทศและการดำเนินการตาม Foreign Account Tax Compliance Act (FATCA) กรมสรรพากรของไทยจะสามารถเข้าถึงข้อมูลของบุคคลและนิติบุคคลไทยที่ประกอบธุรกิจในประเทศสหรัฐอเมริกา และใช้ข้อมูลเหล่านั้นได้อย่างไรเพื่อประโยชน์ในการเก็บภาษีในประเทศไทยต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
21206 | ร่างข้อบังคับการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการกำหนดอัตราค่าโดยสาร วิธีการจัดเก็บค่าโดยสาร และการกำหนดประเภทบุคคลที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องชำระค่าโดยสารรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล พ.ศ. .... | คค | 01/03/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างข้อบังคับการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการกำหนดอัตราค่าโดยสาร วิธีการจัดเก็บค่าโดยสาร และการกำหนดประเภทบุคคลที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องชำระค่าโดยสารรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสำหรับโครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล ราคาเริ่มต้น ๑๖ บาท ราคาสูงสุด ๔๒ บาท ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับไปพิจารณาถึงความเหมาะสมของพระราชบัญญัติการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน และแก้ไขให้เหมาะสมกับสถานการณ์ เช่น การออกข้อบังคับเพื่อกำหนดอัตราค่าโดยสาร ซึ่งมีคณะกรรมการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย และคณะกรรมการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ กำกับดูแลอยู่แล้ว |
||||||||||||||||||
21207 | บันทึกแสดงเจตจำนงว่าด้วยการส่งเสริมความร่วมมือในสาขาเกษตรและสาขาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลญี่ปุ่น | กต | 01/03/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ร่างบันทึกแสดงเจตจำนง (Memorandum of Intent : MOI) ระหว่างรัฐบาลญี่ปุ่นกับรัฐบาลไทยว่าด้วยการกระชับความร่วมมือด้านการเกษตรและสาขาที่เกี่ยวข้อง โดยร่าง MOI มีวัตถุประสงค์เพื่อเน้นย้ำเจตนารมณ์ของทั้งสองฝ่ายที่จะผลักดันให้เกิดความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรมในประเด็นความร่วมมือที่นายกรัฐมนตรีทั้งสองฝ่ายได้ตกลงกันไว้ โดยกำหนดให้มีการจัดตั้งกลไกการหารือระดับสูงเพื่อเร่งรัดและผลักดันการดำเนินความร่วมมือให้มีผลเป็นรูปธรรม รวมทั้งการส่งเสริมความร่วมมือที่เกี่ยวข้องด้านต่าง ๆ อาทิ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การเจรจาการค้าสินค้าภายใต้ความตกลง JTEPA มาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช การพัฒนาอุตสาหกรรมยางพาราไทย การนำเทคโนโลยีสารสนเทศและสื่อสารมาใช้ในการเกษตร และการบริหารจัดการน้ำและชลประทาน ๑.๒ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ลงนามในร่าง MOI ดังกล่าว ๒. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่าง MOI ดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ และไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย |
||||||||||||||||||
21208 | ผลการประชุมรัฐมนตรีขององค์การการค้าโลก สมัยสามัญ ครั้งที่ 10 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง | พณ | 23/02/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีขององค์การการค้าโลก สมัยสามัญ ครั้งที่ ๑๐ (The Tenth WTO Ministerial Conference : MC10) และการประชุมที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ ๑๔-๑๙ ธันวาคม ๒๕๕๘ ณ กรุงไนโรบี สาธารณรัฐเคนยา โดยมีผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพาณิชย์ (นายวินิจฉัย แจ่มแจ้ง) เป็นผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุม MC10 ที่ประชุมสามารถสรุปผลลัพธ์การเจรจาในรูปแบบของปฏิญญาของรัฐมนตรี (Ministerial Declaration) และมติของรัฐมนตรี (Ministerial Decision) ซึ่งครอบคลุม ๓ ประเด็นสำคัญ ได้แก่ เกษตร สินค้าฝ้าย และประเด็นเกี่ยวกับประเทศพัฒนาน้อยที่สุด (LDCs) รวมถึงเรื่องต่อเนื่องจากการประชุม MC9 ได้แก่ การขยายเวลาการยกเว้นการเก็บอากรศุลกากรชั่วคราวสำหรับการค้าผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (Customs Duties Moratorium on Electronic Transmissions) ภายใต้แผนงานด้าน Electronic Commerce และขยายเวลาการยกเว้นการฟ้องกรณีพิพาทเกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญา ๒. การประชุมกลุ่ม G-20 และกลุ่มเครนส์ (Cairns Group) สมาชิกส่วนใหญ่เห็นควรผลักดันให้มีข้อสรุปเรื่องการแข่งขันด้านส่งออก (Export Competition) ได้แก่ การอุดหนุนส่งออก สินเชื่อเพื่อการส่งออก วิสาหกิจภาครัฐเพื่อการส่งออก และการให้ความช่วยเหลือทางอาหาร สำหรับแนวทางการเจรจาเกษตรภายหลังการประชุม MC10 สมาชิกเห็นว่าจะต้องมีการเจรจาเกษตรต่อไป ทั้งในเรื่องการเปิดตลาดและการอุดหนุนภายในเพื่อให้เกิดการปฏิรูปการค้าสินค้าเกษตร โดยให้คงหลักการการให้ความยืดหยุ่นสำหรับประเทศกำลังพัฒนาเป็นสำคัญ ๓. การประชุมอย่างไม่เป็นทางการของรัฐมนตรีกลุ่มอาเซียนภายใต้ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership : RCEP) ที่ประชุมได้หารือเกี่ยวกับข้อกังวลที่อาจส่งผลให้การเจรจาไม่สามารถสรุปผลได้ภายในปี ๒๕๕๙ และเห็นพ้องว่าจำเป็นต้องมีเจตนารมณ์ทางการเมือง (Political will) โดยให้ประธานคณะเจรจาประสานกับรัฐมนตรีอาเซียนได้โดยตรง ในกรณีที่มีปัญหาอุปสรรคที่ไม่สามารถหาทางออกในระดับเจ้าหน้าที่ได้ โดยสามารถเดินทางไปโน้มน้าวรัฐมนตรี (Regional Comprehensive Economic Partnership : RCEP) เพื่อสร้างเจตนารมณ์ทางการเมือง
|
||||||||||||||||||
21209 | รายงานความก้าวหน้าโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ณ พื้นที่ราชพัสดุ ถนนทหาร (เกียกกาย) ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2558 (ครั้งที่ 11) | มท | 23/02/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑.รับทราบรายงานความก้าวหน้าโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ณ พื้นที่ราชพัสดุ ถนนทหาร (เกียกกาย) ถึงวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๘ (ครั้งที่ ๑๑) ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ผลงานสะสมที่ทำได้ คิดเป็นร้อยละ ๑๖.๑๓ ๑.๒ การส่งมอบพื้นที่ก่อสร้าง ปัจจุบันยังไม่มีการส่งมอบพื้นที่เพิ่มเติม โดยส่งมอบพื้นที่ก่อสร้างอาคารหลักทั้งหมดตั้งแต่วันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๕๗ เหลือพื้นที่ยังไม่ได้ส่งมอบ ๒๐-๐-๘๐ ไร่ ๑.๓ การขนย้ายดินออกจากพื้นที่ก่อสร้าง ปริมาณดินทั้งหมด ๑,๐๓๒,๘๑๘ ลูกบาศก์เมตร โดยผู้รับจ้างขอใช้ดินในพื้นที่ก่อสร้าง ๓๕,๐๐๐ ลูกบาศก์เมตร เหลือดินที่ต้องขนย้ายออก ๙๙๗,๘๑๘ ลูกบาศก์เมตร ซึ่งได้ทำการขนย้ายแล้วเสร็จ และพบว่ายังมีดินตามแนวผนังป้องกันดินพัง จำนวน ๖,๐๐๐ ลูกบาศก์เมตร ซึ่งผู้รับซื้อดินคาดว่าจะขนย้ายดินแล้วเสร็จภายในเดือนมกราคม ๒๕๕๙ ๑.๔ ปัญหา/อุปสรรค ได้แก่ การส่งมอบพื้นที่ที่เหลือยังส่งมอบไม่ได้ตามสัญญาก่อสร้างกระทบกับแผนงานก่อสร้างตามที่ได้รับอนุมัติ และปัญหากรณีชาวบ้านปลูกบ้านรุกล้ำเข้ามาในพื้นที่การก่อสร้างอาคารรัฐสภา บริเวณท่าเรือเกียกกาย จำนวน ๕ ครอบครัว ทำให้เป็นอุปสรรคต่องานก่อสร้างเขื่อนริมแม่น้ำ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยกำกับกรุงเทพมหานครเพื่อเร่งรัดการดำเนินการส่งมอบพื้นที่ที่เหลือให้รัฐสภาตามกำหนดโดยเร็ว
|
||||||||||||||||||
21210 | ผลการศึกษาโครงการศึกษาความเป็นไปได้ในการก่อสร้างกระเช้าไฟฟ้าขึ้นภูกระดึง จังหวัดเลย | นร | 23/02/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการศึกษาโครงการศึกษาความเป็นไปได้ในการก่อสร้างกระเช้าไฟฟ้าขึ้นภูกระดึง จังหวัดเลย โดยผลการศึกษาโครงการฯ ประกอบด้วยประเด็นสำคัญ ได้แก่ การศึกษากำหนดทางเลือกของแนวเส้นทางและตำแหน่งที่ตั้งของสถานีกระเช้าไฟฟ้า การศึกษาความเหมาะสม (Feasibility Study) การศึกษารูปแบบการลงทุนของโครงการและทางเลือกที่เหมาะสม การศึกษาและวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม การดำเนินงานแบบมีส่วนร่วมของประชาชน ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ การศึกษารูปแบบการบริหารจัดการอุทยานแห่งชาติ รูปแบบการจัดการแหล่งท่องเที่ยวทั้งภายในและภายนอกพื้นที่อุทยานแห่งชาติ ภายใต้ขีดความสามารถที่รองรับนักท่องเที่ยวบนยอดภูกระดึงโดยไม่กระทบต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการศึกษาและจัดทำแผนการบริหารจัดการโครงการ ตามที่องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) เสนอ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการปฏิบัติตามข้อกฎหมาย กฎ ระเบียบที่เกี่ยวข้อง การกำกับดูแล ตรวจสอบ และติดตามการขับเคลื่อนแผนอย่างต่อเนื่อง การบูรณาการแบบมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนอย่างใกล้ชิด การดำเนินการตามมาตรการป้องกัน แก้ไข และลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่อาจเกิดขึ้นอย่างเคร่งครัด การให้ความสำคัญกับแผนการบริหารจัดการพื้นที่และการท่องเที่ยวในทุกมิติเพื่อให้เกิดความสมดุลทางธรรมชาติและมุ่งเน้นการอนุรักษ์และพัฒนาที่ยั่งยืนโดยเฉพาะมาตรการการควบคุมจำนวนนักท่องเที่ยว การติดตามประเมินผลโครงการหลังการดำเนินโครงการแล้วเสร็จ การบูรณาการการดำเนินโครงการศึกษาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะภาคประชาคมเพื่อนำไปสู่การจัดทำแผนงาน/โครงการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นระบบและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน การวิเคราะห์เพื่อประเมินจุดเด่นและข้อจำกัดของแหล่งท่องเที่ยวบนภูกระดึง รวมทั้งการตรวจสอบข้อมูลการศึกษาให้มีความถูกต้องตามข้อเท็จจริง อาทิ สถิติจำนวนนักท่องเที่ยวของอุทยานแห่งชาติภูกระดึง ไปพิจารณาดำเนินการ โดยให้พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบและคำนึงผลประโยชน์โดยรวมของประเทศเป็นสำคัญ เพื่อให้ได้ข้อสรุปแนวทางการดำเนินการก่อสร้างกระเช้าไฟฟ้าขึ้นภูกระดึง จังหวัดเลยที่ชัดเจนและเกิดผลกระทบต่อระบบนิเวศและธรรมชาติน้อยที่สุด |
||||||||||||||||||
21211 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณงานก่อสร้างอาคารรังสีรักษา เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก 6 ชั้น พื้นที่ใช้สอยประมาณ 6,509 ตารางเมตร ก่อสร้างที่อำเภอนาหม่อม (โครงสร้างต้านแผ่นดินไหว) โรงพยาบาลหาดใหญ่ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา1 หลัง | สธ | 23/02/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติให้กระทรวงสาธารณสุข โดยสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขเพิ่มวงเงินและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณค่าก่อสร้างอาคารรังสีรักษา เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก (คสล.) ๖ ชั้น (โครงสร้างต้านแผ่นดินไหว) พื้นที่ใช้สอยประมาณ ๖,๕๐๙ ตารางเมตร ของโรงพยาบาลหาดใหญ่ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา โดยก่อสร้างที่อำเภอนาหม่อม จังหวัดสงขลา จำนวน ๑ หลัง จาก ๑๔๒,๑๐๐,๐๐๐ บาท ระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๕๙ เป็น ๑๕๘,๗๙๒,๘๐๐ บาท ระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ๒. สำหรับงบปรมาณในการดำเนินการในส่วนของวงเงินที่เพิ่มขึ้น จำนวน ๑๖,๖๙๒,๘๐๐ บาท ให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ สมทบเพิ่มเติมตามสัญญาที่จะแก้ไขเพิ่มเติมต่อไป รวมทั้งให้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการ และเสนอขอขยายระยะเวลาการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณงานก่อสร้างอาคารดังกล่าวต่อรัฐมนตรีเจ้าสังกัด ตามนัยข้อ ๗ (๓) ของระเบียบการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๓๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
||||||||||||||||||
21212 | รายงานการเดินทางไปราชการ ณ ประเทศญี่ปุ่น ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน | รง | 23/02/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการเดินทางไปราชการ ณ ประเทศญี่ปุ่น ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ระหว่างวันที่ ๑๓-๑๖ มกราคม ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การพบและหารือข้อราชการกับ H.E. Mr. Yasuhisa Shiozaki รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการ ประเทศญี่ปุ่น ทั้งสองฝ่ายได้บรรลุข้อตกลงความร่วมมือในการดำเนินงานที่ครอบคลุมภารกิจด้านการจ้างงาน การพัฒนาฝีมือแรงงาน การคุ้มครองแรงงาน และการสร้างการรับรู้ให้กับนายจ้างของทั้งสองประเทศ รวมทั้งการแลกเปลี่ยนประสบการณ์เกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของประเทศ และการส่งเสริมการประกอบอาชีพให้ผู้สูงอายุด้วยการปรับปรุงกลไกการจ้างงานในตลาดแรงงานผ่านความร่วมมือกับสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย หอการค้าญี่ปุ่น-กรุงเทพฯ และสำนักงานแรงงานในประเทศญี่ปุ่น ๒. การพบหารือกับ Mr. Kyoei Yanakisawa ประธานองค์กร IM Japan และคณะผู้บริหาร เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและหารือเรื่องการฝึกปฏิบัติงานเทคนิคของผู้ฝึกงานคนไทยในประเทศญี่ปุ่น และการเตรียมความพร้อมด้านแรงงานเพื่อรองรับการแก้ไขกฎหมายของรัฐบาลญี่ปุ่น รวมถึงการส่งเสริมให้ผู้ฝึกปฏิบัติงานได้นำความรู้มาใช้ประโยชน์ในการทำงานให้มากขึ้น ๓. การพบหารือกับ Mr. Sadaki Tanaka ประธานบริษัท Bestex Kyoei Co.,Ltd. โดยได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นด้านแรงงานเพื่อให้นายจ้างมั่นใจว่าประเทศไทยมีความพร้อมในการปรับปรุงระเบียบกฎหมายเพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในประเทศ และพร้อมเดินหน้าเป็นศูนย์กลางด้านแรงงานในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงหรือกลุ่มประเทศ CLMV
|
||||||||||||||||||
21213 | รายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประจำครึ่งแรกของปี พ.ศ. 2558 | กค | 23/02/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประจำครึ่งแรกของปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การดำเนินนโยบายการเงิน ในช่วงครึ่งแรกของปี ๒๕๕๘ กนง. ได้มีการประชุมรวมทั้งสิ้น ๔ ครั้ง โดยในการประชุมครั้งแรกของปีเมื่อวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๕๘ กนง. มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ ๒.๐๐ และในการประชุมเมื่อวันที่ ๑๑ มีนาคม และ ๒๙ เมษายน ๒๕๕๘ กนง. มีมติให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งละร้อยละ ๐.๒๕ มาอยู่ที่ร้อยละ ๑.๗๕ และ ๑.๕๐ ตามลำดับ ๒. การดำเนินโยบายด้านอัตราแลกเปลี่ยน อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน ๒๕๕๘ อยู่ที่ ๓๓.๗๗ บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าลงร้อยละ ๒.๖ จากสิ้นปี ๒๕๕๗ และดัชนีค่าเงินบาท (NEER) ณ สิ้นเดือนมิถุนายน ๒๕๕๘ อยู่ที่ ๑๐๘.๘๔ อ่อนค่าลงร้อยละ ๐.๒ เมื่อเทียบกับสิ้นปี ๒๕๕๗ ส่วนดัชนีค่าเงินบาทที่แท้จริง (REER) ณ สิ้นเดือนมิถุนายน ๒๕๕๘ อยู่ที่ ๑๐๔.๘๓ อ่อนค่าลงร้อยละ ๑.๖ ตามการอ่อนค่าของดัชนีค่าเงินบาทและอัตราเงินเฟ้อของไทยที่อยู่ในระดับต่ำกว่าประเทศคู่ค้าคู่แข่งโดยรวม ๓. แนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อปี ๒๕๕๘ กนง. ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยปี ๒๕๕๘ จะยังฟื้นตัวอย่างช้า ๆ จากปีก่อน และคาดว่าจะขยายตัวใกล้เคียงร้อยละ ๓.๐ จากแรงสนับสนุนของการใช้จ่ายภาครัฐและภาคการท่องเที่ยวเป็นหลัก สำหรับอัตราเงินเฟ้อและอัตราเงินเฟ้อทั่วไปพื้นฐานในปี ๒๕๕๘ มีแนวโน้มลดลงจากปีก่อนเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ประมาณร้อยละ ๐.๕ และ ๑.๐ ตามลำดับ โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปลดลงจากราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศที่ปรับลดตามทิศทางราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานลดลงจากแรงกดดันด้านอุปสงค์ที่ต่ำลงเป็นหลัก
|
||||||||||||||||||
21214 | ผลการประชุมรัฐมนตรีองค์การการค้าโลกอย่างไม่เป็นทางการ ณ เมืองดาวอส สมาพันธรัฐสวิส | พณ | 23/02/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีองค์การการค้าโลกอย่างไม่เป็นทางการ (Informal WTO Ministerial Gathering : IMG) เมื่อวันที่ ๒๓ มกราคม ๒๕๕๙ ณ เมืองดาวอส สมาพันธรัฐสวิส โดยมีผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพาณิชย์ (นายวินิจฉัย แจ่มแจ้ง) เป็นผู้แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เข้าร่วมการประชุมดังกล่าว ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการประชุม IMG ที่ประชุมเน้นย้ำความสำคัญของการปฏิบัติตามข้อมติการประชุมรัฐมนตรีองค์การการค้าโลกสมัยสามัญ (Ministerial Conference : MC) ครั้งที่ ๙ (MC9) และครั้งที่ ๑๐ (MC10) เช่น การให้สัตยาบันความตกลงว่าด้วยการอำนวยความสะดวกทางการค้า (Agreement on Trade Facilitation : TFA) การแข่งขันการส่งออก (Export Competition) ภายใต้การเจรจาเกษตร และสนับสนุนให้สมาชิกแสดงความยืดหยุ่นและเข้าร่วมหารือทั้งในประเด็นคงค้างภายใต้การเจรจารอบโดฮา (Doha Development Agenda : DDA) เช่น สินค้าเกษตร สินค้าอุตสาหกรรม และบริการในรูปแบบใหม่ และประเด็นใหม่อื่น ๆ (New Issues) เช่น การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Commerce) การลงทุน (Investment) นโยบายการแข่งขันทางการค้า (Competition Policy) เศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Trade) เพื่อรองรับสถานการณ์การค้าของศตวรรษที่ ๒๑ รวมทั้งสนับสนุนให้สมาชิกเปิดกว้างให้ภาคธุรกิจ (ทั้งบริษัทข้ามชาติและวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม) และภาคประชาสังคมเข้ามามีส่วนร่วมในการหารือของ WTO เพื่อความโปร่งใส ครอบคลุมและทั่วถึง ทั้งนี้ เม็กซิโก อินโดนีเซีย ฮ่องกง เลโซโท จีน และคอสตาริกา ต้องการผลักดันให้ระดับผู้นำประเทศ/ระดับการเมืองเข้ามามีส่วนร่วมต่อการดำเนินงาน/ข้อตัดสินของ WTO อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น เช่น เสนอจัดการประชุมระดับสูงเพื่อหารือประเด็นขัดแย้งสูงเพื่อหาข้อสรุปก่อนการประชุม MC ๒. ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพาณิชย์กล่าวสนับสนุนให้สมาชิกปฏิบัติตามข้อมติการประชุม MC9 และ MC10 และให้มีการหารือประเด็นคงค้างภายใต้ DDA โดยเฉพาะสินค้าเกษตรและสินค้าอุตสาหกรรม เพื่อบรรลุผลการเจรจาที่เป็นรูปธรรมและมีความสมดุล รวมทั้งให้ความสำคัญต่อการหารือประเด็นใหม่อื่น ๆ ภายใต้ WTO ในฐานะที่เป็นองค์กรระดับพหุภาคีที่มีหน้าที่จัดทำกฎเกณฑ์การค้าโลก เพื่อรองรับระดับการพัฒนาที่แตกต่างกันของสมาชิก
|
||||||||||||||||||
21215 | สรุปผลการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ครั้งที่ 22 (The 22nd Meeting of Mekong River Commission Council) | ทส | 23/02/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ครั้งที่ ๒๒ (The 22nd Meeting of Mekong River Commission Council) ระหว่างวันที่ ๑๒-๑๔ มกราคม ๒๕๕๙ ณ กรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. รับทราบข้อเสนอเพิ่มเติมของไทยที่จะให้คณะทำงานประกอบด้วยผู้แทนจากประเทศสมาชิกทำหน้าที่ศึกษาติดตามประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดนจากการพัฒนาโครงการไฟฟ้าพลังน้ำดอนสะโฮง ของลาว โดยใช้ข้อมูลและทรัพยากรที่มีอยู่ รวมทั้งให้มีการเพิ่มพูนความร่วมมือในการศึกษาด้านการจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนร่วมกัน ๒. อนุมัติสัดส่วนการจ่ายเงินสนับสนุนคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ระหว่างปี ค.ศ. ๒๐๑๖-๒๐๑๘ ตามที่ไทยเสนอคือ ไทย ร้อยละ ๓๐ กัมพูชา ร้อยละ ๒๐ ลาว ร้อยละ ๒๐ และเวียดนาม ร้อยละ ๓๐ พร้อมทั้งกำหนดให้งบประมาณสนับสนุนรวมจากประเทศสมาชิกเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๐ ต่อปี ๓. รับทราบความก้าวหน้าการดำเนินงานการศึกษาการจัดการและพัฒนาแม่น้ำโขงอย่างยั่งยืน รวมทั้งผลกระทบจากโครงการไฟฟ้าพลังน้ำในแม่น้ำโขงสายประธาน (Council Study) และให้มีการจัดทำรายละเอียดแผนการดำเนินงานที่ชัดเจนเพื่อประกอบการพิจารณาขยายระยะเวลาการศึกษาต่อไป ๔. อนุมัติการปรับปรุงกฎระเบียบวิธีปฏิบัติของคณะมนตรีและคณะกรรมการร่วมเพื่อใช้เป็นกรอบการดำเนินงานและความร่วมมือ ได้แก่ โครงสร้างการบริหารงาน สมัยประชุมต่าง ๆ การตัดสินใจ การสนับสนุนของหุ้นส่วนพัฒนา และบททั่วไป ๕. อนุมัติโครงสร้างองค์กรใหม่ของสำนักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง แบ่งออกเป็น ๔ กอง คือ กองวางแผน กองจัดการสิ่งแวดล้อม กองสนับสนุนทางเทคนิควิชาการ และกองบริหารองค์กร เพื่อให้เป็นไปตามหลักการความร่วมมือของปฏิญญาหัวหิน พ.ศ. ๒๕๕๓ และประเทศสมาชิกให้คำมั่นที่จะมีการถ่ายโอนภารกิจหลักด้านการบริหารจัดการลุ่มแม่น้ำโขง จากคณะกรรมาธิการฯ ให้แก่ประเทศสมาชิก ๖. อนุมัติยุทธศาสตร์การพัฒนาลุ่มน้ำ (BDS) บนฐานการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแบบบูรณาการ ค.ศ. ๒๐๑๖-๒๐๒๐ ซึ่งระบุกรอบแนวทางในการใช้ การแบ่งปัน และการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำและทรัพยากรที่เกี่ยวข้องในลุ่มแม่น้ำโขงตอนล่าง ๗. อนุมัติแผนกลยุทธ์คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ค.ศ. ๒๐๑๖-๒๐๒๐ มีสาระสำคัญเป็นการสนับสนุนส่งเสริมให้การจัดทำแผนระดับชาติ โครงการ และการจัดการทรัพยากรบนพื้นฐานมุมมองระดับลุ่มน้ำ การเสริมสร้างความเข้มแข็งของความร่วมมือระดับภูมิภาค การตรวจติดตามด้านทรัพยากรน้ำและทรัพยากรที่เกี่ยวข้อง และการมุ่งสู่องค์กรที่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งอนุมัติในหลักการต่อแผนการดำเนินงานประจำปี ค.ศ. ๒๐๑๖ ๘. รับทราบความก้าวหน้าของการดำเนินงานตามแผนแม่บทระดับภูมิภาค เรื่อง การถ่ายโอนภารกิจหลักด้านการบริหารจัดการลุ่มแม่น้ำโขงสู่ประเทศสมาชิก ซึ่งคณะมนตรีได้ให้ความเห็นชอบในการประชุมครั้งที่ ๒๐ เมื่อเดือนมิถุนายน ๒๕๕๗ ๙. รับทราบความก้าวหน้าของการดำเนินความร่วมมือกับประเทศคู่เจรจาและประชาคมโลก ได้แก่ ความร่วมมือด้านการบรรเทาภัยแล้งและน้ำท่วมกับอาเซียน ความร่วมมือด้านการจัดการทรัพยากรน้ำกับออสเตรเลียและรัสเซีย รวมถึงความร่วมมือด้านการประมง การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การเดินเรือ และไฟฟ้าพลังน้ำกับองค์กรระดับนานาชาติที่เกี่ยวข้อง
|
||||||||||||||||||
21216 | สถานการณ์น้ำและการบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูแล้งปี 2558/59 ครั้งที่ 12 | กษ | 23/02/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสถานการณ์น้ำและการบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูแล้งปี ๒๕๕๘/๕๙ ครั้งที่ ๑๒ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. สถานการณ์น้ำ ณ วันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ เช่น อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ทั้งประเทศ จำนวน ๓๓ แห่ง มีปริมาตรน้ำรวม ๓๗,๙๔๔ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๕๔ ของปริมาตรน้ำกักเก็บทั้งหมด เป็นน้ำใช้การได้ ๑๔,๔๔๑ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๓๑ ของปริมาตรน้ำใช้การทั้งหมด ๒. การจัดสรรน้ำ ช่วงวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๘-๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และอ่างเก็บน้ำขนาดกลางทั้งประเทศ ใช้น้ำไปแล้ว ๔,๑๖๐ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๓๗ ของแผนการจัดสรรน้ำ ส่วนในลุ่มน้ำเจ้าพระยา (เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ และผันน้ำจากแม่กลอง) ใช้น้ำไปแล้ว ๑,๕๒๘ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๕๓ ของแผนการจัดสรรน้ำ คิดเป็นระบายน้ำเฉลี่ยวันละ ๑๖.๐๘ ล้านลูกบาศก์เมตร ๓. การบริหารจัดการน้ำและอาคารชลประทานในลุ่มน้ำเจ้าพระยาช่วงฤดูแล้งปี ๒๕๕๘/๕๙ ช่วงวันที่ ๑-๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ กำหนดแผนการระบายน้ำจากเขื่อนจำนวน ๔ เขื่อน ได้แก่ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เฉลี่ยวันละ ๑๗.๗๗ ล้านลูกบาศก์เมตร ๔. สถานการณ์การเพาะปลูกข้าวในเขตชลประทานลุ่มน้ำเจ้าพระยา ณ วันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ พื้นที่ปลูกข้าวนาปี ปี ๒๕๕๘ แผนเพาะปลูก ๗.๔๕ ล้านไร่ ปลูก ๖.๔๐ ล้านไร่ ไม่ปลูก ๑.๐๕ ล้านไร่ โดยในพื้นที่ที่ปลูก ๖.๔๐ ล้านไร่ แบ่งเป็น เก็บเกี่ยวแล้ว ๖.๓๖ ล้านไร่ เสียหาย ๐.๐๒ ล้านไร่ รอเก็บเกี่ยว ๐.๐๒ ล้านไร่ คาดว่าจะเก็บเกี่ยวเสร็จสิ้นประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ พื้นที่ปลูกข้าวนาปีต่อเนื่อง ปี ๒๕๕๘ จำนวน ๑.๗๖ ล้านไร่ เก็บเกี่ยวแล้ว ๑.๖๒ ล้านไร่ รอเก็บเกี่ยว ๐.๑๔ ล้านไร่ คาดว่าจะเก็บเกี่ยวเสร็จสิ้นประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ และพื้นที่ปลูกข้าวนาปรัง ปี ๒๕๕๘/๕๙ ผลการเพาะปลูกข้าวนาปรัง จำนวน ๑.๙๒ ล้านไร่
|
||||||||||||||||||
21217 | ขอถอนร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลบางกะพี้ อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... | กษ | 23/02/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ถอนร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลบางกะพี้ อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... ซึ่งอยู่ระหว่างการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||
21218 | ร่างกฎสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยเครื่องแบบพิเศษสำหรับข้าราชการสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. .... | นร | 23/02/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยเครื่องแบบพิเศษสำหรับข้าราชการสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเครื่องแบบพิเศษสำหรับข้าราชการสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคซึ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้บริโภคหรือได้รับการแต่งตั้งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยขายตรงและตลาดแบบตรง เพื่อให้เหมาะสมกับภารกิจและพื้นที่ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||
21219 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลบางบริบูรณ์ ตำบลท่างาม ตำบลบางเดชะ อำเภอเมืองปราจีนบุรี และตำบล บางพลวง ตำบลบ้านสร้าง อำเภอบ้านสร้าง จังหวัดปราจีนบุรี พ.ศ. .... | คค | 23/02/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลบางบริบูรณ์ ตำบลท่างาม ตำบลบางเดชะ อำเภอเมืองปราจีนบุรี และตำบลบางพลวง ตำบลบ้านสร้าง อำเภอบ้านสร้าง จังหวัดปราจีนบุรี พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลบางบริบูรณ์ ตำบลท่างาม ตำบลบางเดชะ อำเภอเมืองปราจีนบุรี และตำบลบางพลวง ตำบลบ้านสร้าง อำเภอบ้านสร้าง จังหวัดปราจีนบุรี เพื่อสร้างและขยายทางหลวงชนบท สายเชื่อมระหว่างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๔๕๒ กับทางหลวงท้องถิ่นหมายเลข ๗๔๐๐๓ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||
21220 | รายงานการประชุมพิจารณาร่างพระราชบัญญัติพลังงานทดแทน พ.ศ. .... | พน | 23/02/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่กระทรวงพลังงานรายงานผลการประชุมพิจารณาร่างพระราชบัญญัติพลังงานทดแทน พ.ศ. .... สรุปได้ว่า ร่างพระราชบัญญัติพลังงานทดแทน พ.ศ. .... มีความทับซ้อนกับกฎหมายที่มีอยู่แล้ว เช่น พระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ๒๕๕๐ พระราชบัญญัติสุรา พ.ศ. ๒๔๙๓ และพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓ ส่วนการจัดตั้งกองทุนพลังงานทดแทน เนื่องจากกระทรวงพลังงานมีกองทุนที่สามารถสนับสนุนการดำเนินการในเรื่องพลังงานทดแทนอยู่แล้ว จึงเห็นควรให้มีการพิจารณาอย่างรอบคอบ และต้องส่งให้กระทรวงการคลังพิจารณาก่อนตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการขอจัดตั้ง การดำเนินงาน และการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน พ.ศ. ๒๕๕๗ นอกจากนี้ การกำหนดให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอากรแก่ผู้ประกอบกิจการพลังงานทดแทนตามร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ ไม่เป็นไปตามแนวทางปฏิบัติในการเสนอร่างกฎหมายตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๔๙ ซึ่งระบุว่าการเสนอร่างกฎหมายที่ไม่ใช่กฎหมายเกี่ยวกับภาษีอากร ไม่ให้มีบทบัญญัติกำหนดให้ยกเว้นหรือลดหย่อนภาษีอากรตามกฎหมายว่าด้วยภาษีอากร จึงไม่ควรกำหนดบทบัญญัติดังกล่าวไว้ในร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ ๒. ให้แจ้งรายงานฯ พร้อมข้อสังเกตของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป ๒.๑ การกำหนดให้คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติมีอำนาจออกกฎกระทรวงกำหนดให้การดำเนินการเพื่อผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนบางประเภทที่ต้องดำเนินการก่อสร้าง ดัดแปลง รื้อถอน เคลื่อนย้ายอาคาร ฯลฯ ดำเนินการได้โดยได้รับยกเว้นไม่ต้องขอรับใบอนุญาตตามกฎหมายควบคุมอาคาร จะทำให้พนักงานท้องถิ่นไม่สามารถตรวจสอบตามกฎหมายดังกล่าว ซึ่งอาจส่งผลต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของผู้ครอบครองและผู้ใช้อาคารได้ ๒.๒ การกำหนดประเภทโรงผลิตไฟฟ้าที่ได้รับการยกเว้นตามกฎหมายว่าด้วยการผังเมืองในขั้นตอนการออกกฎกระทรวงต้องมีกระบวนการในการวิเคราะห์ข้อมูลและผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการในระดับจังหวัดและคณะกรรมการผังเมืองในส่วนกลางอยู่แล้ว รวมทั้งได้มีคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๔/๒๕๕๙ ลงวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๕๙ เรื่อง การยกเว้นการใช้บังคับกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมสำหรับการประกอบกิจการบางประเภท เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาในเรื่องพลังงานทดแทนไว้แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องกำหนดประเภทโรงงานผลิตไฟฟ้าพลังงานทดแทนที่ได้รับยกเว้นตามกฎหมายว่าด้วยการผังเมืองดังกล่าวไว้ในร่างพระราชบัญญัติพลังงานทดแทนอีก |
.....