ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1069 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 21361 - 21380 จากข้อมูลทั้งหมด 123994 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
21361 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ | นร | 09/02/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ และรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยมอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) รับข้อสังเกตดังกล่าวประสานกับคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป และให้เสนอร่างพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. .... ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน
|
||||||||||||||||||
21362 | แนวทางการปฏิรูปการจัดทำงบประมาณ | นร | 09/02/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณเสนอแนวทางการปฏิรูปการจัดทำงบประมาณ โดยจะดำเนินการใน ๒ ส่วนหลัก ดังนี้ ๑.๑ ปรับปรุงแก้ไขกฎหมายวิธีการงบประมาณ โดยเพิ่มเติม/ปรับปรุงในประเด็นสำคัญ ได้แก่ การให้จังหวัด กลุ่มจังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นหน่วยรับงบประมาณ หลักการความรับผิดชอบทางการคลัง การจัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการ การรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่สำหรับการจัดทำแผนในระดับพื้นที่ของจังหวัด กลุ่มจังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การโอนงบประมาณระหว่างหน่วยงานภายใต้แผนบูรณาการและแผนงานบุคลากรภาครัฐเดียวกัน การเพิ่มความคล่องตัวในการบริหารงบประมาณ การปรับปรุงระบบการติดตามและประเมินผล เป็นต้น ๑.๒ ปรับปรุงแนวทางการจัดทำงบประมาณ ๑.๒.๑ ในการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีจะยึดยุทธศาสตร์ชาติ ๖ ด้าน ระยะ ๒๐ ปี แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นโยบายรัฐบาล แผนปฏิรูปภาครัฐ นโยบายความมั่นคงแห่งชาติ และแผนหลักอื่น ๆ โดยจัดทำกรอบงบประมาณรายรับและรายจ่ายล่วงหน้าระยะ ๒๐ ปี และยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี ให้หน่วยงานใช้ในการจัดทำคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี ๑.๒.๒ งบประมาณรายจ่ายประจำปี ประกอบด้วย ๕ กลุ่ม คือ (๑) Function (ภารกิจพื้นฐาน) (๒) Agenda (ภารกิจยุทธศาสตร์ นโยบายเร่งด่วน แนวทางปฏิรูปภาครัฐ งบประมาณบูรณาการ) (๓) Area (ภารกิจพื้นที่ ท้องถิ่น ภูมิภาค จังหวัด กลุ่มจังหวัด) (๔) งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น หรืองบภัยพิบัติ หรือเร่งด่วน และ (๕) รายจ่ายชดใช้เงินกู้และดอกเบี้ย ๒. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) กระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ ร่วมกับส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐดำเนินการจัดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ออกเป็น ๕ กลุ่ม ตามที่ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณเสนอ ให้แล้วเสร็จภายใน ๑ เดือน สำหรับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ให้ส่วนราชการดำเนินการตามแนวทางดังกล่าวต่อไป ๓. ในการจัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการ โดยเฉพาะภารกิจยุทธศาสตร์ Agenda ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องพิจารณาหารือร่วมกัน โดยผ่านกลไกของคณะกรรมการพิจารณาการจัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ จำนวน ๖ คณะ ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการ เพื่อกำกับการจัดทำงบประมาณในลักษณะเดียวกัน ๔. ในการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ให้ส่วนราชการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีในมิติรายจ่ายภารกิจพื้นฐาน (Function) มิติรายจ่ายภารกิจยุทธศาสตร์ (Agenda) และมิติรายจ่ายภารกิจพื้นที่ (Area) ให้เกิดความเชื่อมโยงและสอดรับกัน ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณาหากลไกในการเชื่อมโยงงบจังหวัดและกลุ่มจังหวัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กับยุทธศาสตร์ชาติ ๖ ด้าน ระยะ ๒๐ ปี และงบประมาณของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ๕. ให้สำนักงบประมาณชี้แจงทำความเข้าใจกับส่วนราชการเกี่ยวกับแนวทางการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีในรูปแบบใหม่ ๖. ให้กระทรวงการคลังจัดทำยุทธศาสตร์ด้านรายรับให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ ๖ ด้าน ระยะ ๒๐ ปี กรอบงบประมาณรายรับและรายจ่ายล่วงหน้าระยะ ๒๐ ปี และการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีด้วย
|
||||||||||||||||||
21363 | รายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ที่ครบกำหนดภายใต้พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 ที่ดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 | กค | 09/02/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ที่ครบกำหนดภายใต้พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ ที่ดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะได้ดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้พันธบัตรรัฐบาลและตราสารหนี้อื่น ๆ ที่เป็นหนี้เงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ/เมื่อรายจ่ายสูงกว่ารายได้ วงเงิน ๓๖๖,๐๒๒ ล้านบาท ได้ครบตามแผน รวมทั้งได้ดำเนินการออกประกาศกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ภายใต้พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะฯ จำนวน ๒๕ ฉบับ และลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว
|
||||||||||||||||||
21364 | ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจร้านเกมและอินเทอร์เน็ต | วธ | 09/02/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเรื่อง ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจร้านเกมและอินเทอร์เน็ตของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมาย การมีส่วนร่วมจากภาคส่วนต่าง ๆ พนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ. ๒๕๕๑ การดำเนินการตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. ๒๕๔๖ การปรับปรุง ระเบียบที่เกี่ยวข้องให้ทันต่อสถานการณ์ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ
|
||||||||||||||||||
21365 | ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเดือนพฤศจิกายน 2558 และสรุปภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ปี 2558 และแนวโน้มปี 2559 | อก | 09/02/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๘ และสรุปภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ปี ๒๕๕๘ และแนวโน้มปี ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๘ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม ขยายตัวร้อยละ ๐.๑ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน อุตสาหกรรมสำคัญที่ขยายตัว อาทิ เครื่องประดับ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ การกลั่นน้ำมัน และเครื่องปรับอากาศ ด้านการนำเข้าของภาคอุตสาหกรรมไทย การนำเข้าเครื่องจักรอุตสาหกรรมและเครื่องมือกล มีมูลค่า ๙๔๗.๕ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ ๐.๒ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน การนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป (ไม่รวมทองคำ) มีมูลค่า ๕,๓๗๗.๙ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวร้อยละ ๑๕.๑ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ด้านการใช้ไฟฟ้าของภาคอุตสาหกรรมการผลิต มีปริมาณทั้งหมด ๑๐,๐๖๗.๙ ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมง เพิ่มขึ้นร้อยละ ๒.๕ จากช่วงเดียวกันของปี ๒๕๕๗ ด้านภาวะการประกอบกิจการของโรงงาน เปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน มีโรงงานเริ่มประกอบกิจการลดลงคิดเป็นร้อยละ ๑๓.๔๒ มียอดเงินลงทุนรวมลดลงร้อยละ ๓๔.๓๓ แต่มีการจ้างงานรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ ๗.๓๙ ภาวะการเลิกกิจการของโรงงาน เปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน มีโรงงานที่ปิดดำเนินกิจการเพิ่มขึ้นร้อยละ ๕๗.๖ ส่วนภาวะการลงทุนสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (สกท.) มีจำนวนโครงการที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุนจาก สกท. ทั้งสิ้น ๙๕๙ โครงการ น้อยกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ ๒๘.๙ มีเงินลงทุน ๑๙๕,๖๓๐ ล้านบาท น้อยกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ ๗๔.๑ ๒. สรุปภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมปี ๒๕๕๘ และแนวโน้มปี ๒๕๕๙ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ในไตรมาสที่ ๓ ของปี ๒๕๕๘ ขยายตัวร้อยละ ๒.๙ จากปัจจัยด้านการใช้จ่าย การส่งออกบริการและการลงทุนภาครัฐขยายตัวสูง การใช้จ่ายภาคครัวเรือนและภาครัฐขยายตัวต่อเนื่อง ในขณะที่การส่งออกสินค้ายังได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวและการลงทุนภาคเอกชนลดลง ในด้านการผลิต สาขาโรงแรมและภัตตาคาร และสาขาก่อสร้างขยายตัวในเกณฑ์ดี สาขาบริการอื่น ๆ ขยายตัวต่อเนื่อง สาขาอุตสาหกรรมกลับมาขยายตัวและสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจได้มากขึ้น ในขณะที่สาขาเกษตรกรรมได้รับผลกระทบจากภัยแล้งและเป็นข้อจำกัดต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ สำหรับแนวโน้มภาคอุตสาหกรรมไทยปี ๒๕๕๙ คาดว่าดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมจะขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปี ๒๕๕๘ เนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่คาดว่าจะเริ่มส่งสัญญาณที่ดีขึ้นอย่างช้า ๆ ส่งผลต่อการส่งออกที่คาดว่าจะดีขึ้น การเร่งขึ้นของการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐจะสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจได้มากขึ้น
|
||||||||||||||||||
21366 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการการต่างประเทศพิจารณาร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานของสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กต | 09/02/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการการต่างประเทศพิจารณาร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานของสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศพิจารณาแล้วเห็นว่า นอกเหนือจากศัพท์นิติศาสตร์ ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ที่ระบุให้ใช้คำว่า “ยอมรับนับถือ” แล้ว คำแปลภาษาไทยของอนุสัญญากรุงเวียนนา ว่าด้วยความสัมพันธ์ทางทูต พ.ศ. ๒๕๐๔ (Vienna Convention on Diplomatic Relations 1961) ที่ปรากฏถ้อยคำ “recognized” ในวรรคอารัมภบท วรรคแรก ก็ใช้คำว่า “ยอมรับนับถือ” อีกทั้งคำแปลชื่ออนุสัญญาภาษาไทยของ “Convention on the Recognition and Enforcement of Foreign Arbitral Awards” ก็ใช้คำว่า “อนุสัญญาว่าด้วยการยอมรับนับถือและการใช้บังคับคำชี้ขาดอนุญาโตตุลาการต่างประเทศ” และในพระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานขององค์การระหว่างประเทศในประเทศไทยส่วนใหญ่ อาทิ พระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานของสหประชาชาติและทบวงการชำนัญพิเศษในประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๐๔ พระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานของสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย พ.ศ. ๒๕๑๐ และพระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานของประชาคมยุโรปและสำนักงานคณะกรรมาธิการประชาคมยุโรปในประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ก็ใช้คำว่า “ยอมรับนับถือ” เช่นกัน ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||
21367 | ผลการประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนด้านการจัดการภัยพิบัติ ครั้งที่ 3 | มท | 09/02/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนด้านการจัดการภัยพิบัติ ครั้งที่ ๓ (The 3rd ASEAN Ministerial Meeting on Disaster Management : AMMDM) เมื่อวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๘ ณ กรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยที่ประชุมฯ ได้มีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการดำเนินงานของคณะกรรมการอาเซียนด้านการจัดภัยพิบัติ (ASEAN Committee on Disaster Management : ACDM) และศูนย์ประสานงานอาเซียนในการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม (the ASEAN Coordinating Centre for Humanitarian Assistance on disaster management : AHA Centre) ๒. เห็นชอบในหลักการปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยความเป็นหนึ่งเดียวในการตอบโต้ภัยพิบัติทั้งภายในและภายนอกภูมิภาค (Declaration on One ASEAN, One Response : ASEAN Responding to Disaster as One in the Region and Outside Region) ซึ่งสำนักเลขาธิการอาเซียนจะนำเสนอต่อที่ประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ครั้งที่ ๒๘ เพื่อให้ผู้นำอาเซียนรับรอง ณ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ในปี พ.ศ. ๒๕๕๙ ซึ่งปฏิญญาดังกล่าวร่างขึ้นเพื่อผนึกกำลังระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ และผู้มีส่วนได้เสียในอาเซียนในการตอบโต้กับภัยพิบัติอย่างมีประสิทธิผลทั้งในและนอกภูมิภาค ๓. เห็นด้วยในหลักการให้แต่ละประเทศสมาชิกเพิ่มการบริจาคให้กองทุนอาเซียนเพื่อการจัดการภัยพิบัติและบรรเทาเหตุฉุกเฉิน (The ASEAN Disaster Management and Emergency Relief : ADMER Fund) โดยความสมัครใจ และการเพิ่มอัตราค่าสมาชิก AHA Centre ๔. รับรองคู่มือการใช้ปลอกแขนอาเซียน (ASEAN Armbands) และให้ใช้ปลอกแขนอาเซียนในการปฏิบัติงานรวมถึงการฝึกด้านการตอบโต้ภัยพิบัติและการให้ความช่วยเหลือเพื่อมนุษยธรรมทั้งภายในและภายนอกภูมิภาค
|
||||||||||||||||||
21368 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติกำลังพลสำรอง พ.ศ. .... | กห | 09/02/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติกำลังพลสำรอง พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป โดยผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. เมื่อลูกจ้างของสถานประกอบการ โรงงานอุตสาหกรรม ห้างร้าน หรือบริษัทได้รับการคัดเลือกบรรจุเข้าเป็นกำลังพลสำรวจในหน่วยทหารแล้ว จะมีการแจ้งให้ลูกจ้างที่มีสถานะเป็นกำลังพลสำรองทราบถึงหน่วยที่กำลังพลสำรองมีรายชื่อบรรจุอยู่โดยเร็วที่สุด และให้มีการแจ้งให้นายจ้างของลูกจ้างนั้น ๆ ทราบด้วย รวมทั้งจะมีการแจ้งคำสั่งเรียกให้กำลังพลสำรองทราบก่อนวันกำหนดให้ไปรายงานตัวเข้ารับราชการทหารไม่น้อยกว่า ๓๐ วัน รายละเอียดของแนวทางปฏิบัติ กระทรวงกลาโหมจะจัดทำเป็นข้อบังคับกระทรวงกลาโหมว่าด้วยกำลังพลสำรอง พ.ศ. .... ต่อไป ๒. กรอบระยะเวลาการแจ้งคำสั่งเรียกกำลังพลสำรองเข้ารับราชการทหาร กระทรวงกลาโหมจะได้กำหนดแนวทางการปฏิบัติไว้ในข้อบังคับกระทรวงกลาโหมว่าด้วยกำลังพลสำรอง พ.ศ. .... ๓. ในกรณีที่กำลังพลสำรองเป็นเจ้าของกิจการหรือประกอบอาชีพอิสระ กระทรวงกลาโหมจะมีการนำเสนอแนวทางให้คณะกรรมการกำลังพลสำรอง (คกส.) ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายเป็นประธานกรรมการ ได้พิจารณาสิทธิประโยชน์ให้แก่บุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่มีสถานะดังกล่าวอย่างเหมาะสมต่อไป ๓. กระทรวงกลาโหมได้พิจารณาแนวทางเพื่อให้เกิดความชัดเจน เหมาะสมการนำโทษทางวินัยตามกฎหมายว่าด้วยวินัยทหาร มาใช้บังคับแก่กำลังพลสำรองที่ไม่เข้ารับราชการทหารจนครบกำหนดตามคำสั่งเรียกของกฎหมายฉบับนี้ โดยกำหนดแนวทางเป็น ๒ ลักษณะ คือ ปรับปรุงแก้ไขข้อบังคับกระทรวงกลาโหมว่าด้วยการลงทัณฑ์ทหารขาดหนีราชการ พ.ศ. ๒๕๒๘ โดยเพิ่มกำลังพลสำรองให้เป็นผู้ที่อยู่ภายใต้ข้อบังคับฉบับนี้ด้วย หรือจัดทำเป็นข้อบังคับกระทรวงกลาโหมว่าด้วยการลงทัณฑ์กำลังพลสำรองขาดหนีราชการ พ.ศ. .... ซึ่งขณะนี้การจัดทำกฎกระทรวง ข้อบังคับ ระเบียบ คำสั่งต่าง ๆ ดำเนินการโยคณะกรรมการที่กระทรวงกลาโหมแต่งตั้งขึ้น และจะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน ๒๔๐ วัน ตามที่กฎหมายฉบับนี้กำหนด
|
||||||||||||||||||
21369 | รายงานการพิจารณาศึกษามาตรการหรือแนวทางในการจัดเก็บภาษีจากการส่งเงินค่าโฆษณาไปให้ผู้ประกอบการที่อยู่ในต่างประเทศ โดยไม่มีการเสียภาษีให้แก่ประเทศไทยและจากการดำเนินธุรกิจโดยใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ (e-Commerce) ของคณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจ การเงินและการคลัง สภานิติบัญญัติแห่งชาติ | สว | 09/02/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานพร้อมทั้งข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจ การเงินและการคลัง สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ซึ่งมีประเด็นข้อสังเกตและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับ (๑) การส่งเงินค่าโฆษณาไปให้ผู้ประกอบการที่อยู่ในต่างประเทศ โดยไม่มีการเสียภาษีให้แก่ประเทศไทย (๒) การดำเนินธุรกิจโดยใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ (e-Commerce) มาใช้ และ (๓) การนำระบบการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Commerce) ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอ ๒. มอบหมายให้กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานหลักรับข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค เพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อสังเกตและข้อเสนอแนะดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||
21370 | ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องแบบและบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่กรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2530 | มท | 09/02/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องแบบและบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่กรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๓๐ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเครื่องแบบเจ้าหน้าที่กรุงเทพมหานครในส่วนของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เลขานุการประธานสภากรุงเทพมหานคร เลขานุการรองประธานสภากรุงเทพมหานคร เลขานุการผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ผู้ช่วยเลขานุการผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ประธานที่ปรึกษาและที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครให้มีความสอดคล้องกับเครื่องแบบของข้าราชการการเมืองตามกฎสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยเครื่องแบบข้าราชการการเมือง พ.ศ. ๒๕๕๒ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||
21371 | รายงานการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือนพฤศจิกายน ปี 2558 | พณ | 09/02/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือนพฤศจิกายน ปี ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาพรวมเศรษฐกิจโลกและตลาดคู่ค้าหลักในปัจจุบันอยู่ในภาวะชะลอตัว โดยเฉพาะสหรัฐฯ สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และจีน โดยในเดือนตุลาคม ๒๕๕๘ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ประกาศปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปี ๒๕๕๘ อยู่ที่ร้อยละ ๓.๑ เป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤตการเงินในปี ๒๕๕๒ และเป็นระดับที่ต่ำกว่าการขยายตัวในปี ๒๕๕๗ ที่ขยายตัวร้อยละ ๓.๔ รวมไปถึงสถานการณ์ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกหดตัวสูง โดยเฉพาะน้ำมัน ส่งผลให้ราคาสินค้าส่งออกโลกจะลดลงกว่าร้อยละ ๑๖.๙ จากปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้สถานการณ์การค้าโลก รวมทั้งประเทศไทยอยู่ในภาวะชะลอตัว แต่เมื่อเปรียบเทียบสถานการณ์ส่งออกกับประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก พบว่าการส่งออกของไทยยังมีสถานการณ์ที่ดีกว่าประเทศอื่น ๆ มาก ๒. มูลค่าการค้าระหว่างประเทศในรูปของเงินดอลลาร์สหรัฐ การส่งออกเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๘ มีมูลค่า ๑๗,๑๖๗ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ ๗.๔๒ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อน (YoY) และระยะ ๑๑ เดือน (มกราคม-พฤศจิกายน ๒๕๕๘) มีมูลค่า ๑๙๗,๒๗๕ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ ๕.๕๑ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY) สำหรับมูลค่าการนำเข้าเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๘ มีมูลค่า ๑๖,๘๖๘ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ ๙.๕๓ (YoY) และระยะ ๑๑ เดือน (มกราคม-พฤศจิกายน ๒๕๕๘) มีมูลค่า ๑๘๗,๐๔๑ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ ๑๑.๑๖ (YoY) ส่งผลให้ดุลการค้าระหว่างประเทศเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๘ เกินดุล ๒๙๙ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ระยะ ๑๑ เดือน (มกราคม-พฤศจิกายน ๒๕๕๘) เกินดุล ๑๐,๒๓๔ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ๓. การส่งออกบริการของไทย ในระยะ ๙ เดือน (มกราคม-กันยายน ๒๕๕๘) มีมูลค่ากว่า ๔๔,๔๒๓ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ ๑๔.๘ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา (YoY) โดยเฉพาะรายได้จากการท่องเที่ยว มีมูลค่าการส่งออก ๓๒,๓๐๙ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ ๒๑.๙ (YoY)
|
||||||||||||||||||
21372 | ผลการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ (Mega Dive) ระดมความคิดเห็นการพัฒนาความสามารถในการแข่งขันของไทย | พณ | 09/02/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานผลการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ (Mega Dive) ระดมความคิดเห็นการพัฒนาความสามารถในการแข่งขันของไทย เมื่อวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๕๙ โดยได้มีการระดมความคิดเห็นเชิงลึกเกี่ยวกับปัญหาและแนวทางเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยจากผู้แทนทั้งภาครัฐและเอกชนที่สามารถให้ความเห็นเชิงนโยบายใน ๕ หัวข้อสำคัญ สรุปได้ ดังนี้
๑. ประสิทธิภาพภาครัฐ บทบาทภาคการเงินการธนาคารต่อนโยบายการค้า ปัญหาสำคัญเกิดจากภาครัฐมีข้อกำหนด/กฎระเบียบมากมายและซ้ำซ้อน โดยเสนอให้มีการจัดทำแผนการดำเนินงาน (Roadmap) หรือยุทธศาสตร์เชิงรุก และแบ่งแผนการดำเนินงานเป็นระยะสั้น กลาง ยาว ตามความเหมาะสม และส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการดำเนินการแก้ไขปัญหา ๒. ประสิทธิภาพการผลิตและการบริหารจัดการ ปัญหาสำคัญคือ แรงงานที่ยังไม่มีทักษะเพียงพอ โดยเสนอให้มีหลักสูตรการพัฒนาบุคลากร พัฒนาฝีมือแรงงานที่เข้มข้น ๓. การลงทุนจากต่างชาติ ปัญหาสำคัญคือ ข้อกำหนด/กฎระเบียบมากมายและซับซ้อน และการเลือกปฏิบัติในการบังคับใช้กฎระเบียบ ทั้งนี้เสนอให้แก้ไขปัญหาโดยเปิดเสรีภาคบริการให้มากขึ้น ทบทวนกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรค ปรับปรุงการอำนวยความสะดวกของภาครัฐ และปรับปรุงกฎระเบียบการจ้างงานคนต่างชาติ ๔. นวัตกรรมและเทคโนโลยีชั้นสูง ไทยขาดการพัฒนาวิจัย การสร้าง/ใช้นวัตกรรมใหม่ ๆ และการใช้เทคโนโลยีชั้นสูง โดยเสนอแนวทางแก้ไขให้มีการส่งเสริมการใช้นวัตกรรมใหม่ ๆ จัดทำแผนการดำเนินงานและยุทธศาสตร์นวัตกรรมระดับชาติ ๕. ภาคเกษตรกรรม ปัญหาสำคัญคือ การขาดแคลนเทคโนโลยีในการทำการเกษตร เสนอให้เน้นพัฒนาภาคเกษตรกรรมไปสู่การเกษตรสมัยใหม่ สร้างเกษตรกรปราดเปรื่อง (Smart farmer) ใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการเกษตร และส่งเสริมคนรุ่นใหม่ที่มีความรู้ให้เข้าสู่ภาคเกษตรกรรม
|
||||||||||||||||||
21373 | รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนพฤศจิกายน 2558 | นร11 | 09/02/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๘ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ทั้งนี้ มีข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเพิ่มเติมด้วยว่า ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาตินำเรื่องนี้ไปชี้แจงในรายการเดินหน้าประเทศไทยเพื่อให้ประชาชนเข้าใจภาวะเศรษฐกิจไทยและภาวะเศรษฐกิจโลก สรุปได้ ดังนี้
๑. เศรษฐกิจไทยเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๘ การใช้จ่ายภายในประเทศทั้งภาคเอกชนและภาครัฐปรับตัวดีขึ้น ในขณะที่การฟื้นตัวของภาคการผลิตยังมีแนวโน้มล่าช้ากว่าด้านการใช้จ่าย และภาคการส่งออกยังได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวดีขึ้น สะท้อนจากเครื่องชี้ทางเศรษฐกิจที่สำคัญต่าง ๆ ที่ขยายตัว ประกอบด้วย ดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน ดัชนีการลงทุนภาคเอกชน และดัชนีปริมาณการนำเข้า ในขณะที่ดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตร ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม ดัชนีปริมาณการส่งออก และจำนวนนักท่องเที่ยวปรับตัวลดลง ๒. สถานการณ์เศรษฐกิจโลก ในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๘ เศรษฐกิจประเทศพัฒนาแล้วฟื้นตัวดีขึ้น นำโดยการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ตามการปรับตัวดีขึ้นของภาคอสังหาริมทรัพย์ รายได้ครัวเรือน และตลาดแรงงาน เช่นเดียวกับเศรษฐกิจสหภาพยุโรปและเศรษฐกิจญี่ปุ่นยังคงฟื้นตัวอย่างช้า ๆ ในขณะที่เศรษฐกิจจีนชะลอตัวตามการส่งออกและการลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์ เช่นเดียวกับเศรษฐกิจประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชียที่ชะลอตัวตามการส่งออกและการผลิตในภาคอุตสาหกรรม ขณะที่การดำเนินนโยบายการเงินเริ่มมีทิศทางที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน โดยสหรัฐฯ ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกในรอบ ๙ ปี ในขณะที่ประเทศสำคัญอื่น ๆ ส่วนใหญ่ยังคงผ่อนคลายนโยบายการเงินอย่างต่อเนื่อง
|
||||||||||||||||||
21374 | ผลการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 27 และการประชุมสุดยอดอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง | กต | 09/02/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๒๗ และการประชุมสุดยอดอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๒๐-๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำผลการประชุมไปปฏิบัติและติดตามความก้าวหน้าต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ ๑.๑ ผู้นำประเทศสมาชิกอาเซียนได้มีการลงนามในปฏิญญากรุงกัวลาลัมเปอร์ ค.ศ. ๒๐๑๕ ว่าด้วยการจัดตั้งประชาคมอาเซียน ปฏิญญากรุงกัวลาลัมเปอร์ว่าด้วยอาเซียน ค.ศ. ๒๐๒๕ : มุ่งหน้าไปด้วยกัน และอนุสัญญาอาเซียนว่าด้วยการต่อต้านการค้ามนุษย์ โดยเฉพาะสตรีและเด็ก รวมทั้งรับรองเอกสารอื่น ๆ อีก ๑๗ ฉบับ นอกจากนี้ ผู้นำประเทศสมาชิกอาเซียนและคู่เจรจายินดีกับการจัดตั้งประชาคมอาเซียน การประกาศวิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียน ค.ศ. ๒๐๒๕ และแผนงานประชาคมอาเซียนทั้งสามเสา ซึ่งกำหนดทิศทางของประชาคมอาเซียนในอีก ๑๐ ปีข้างหน้า (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๘) และได้มีการหารือเกี่ยวกับปัญหาทะเลจีนใต้ การก่อการร้าย ความสัมพันธ์กับคู่เจรจาในการเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ และการเจรจาจัดทำความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค ๑.๒ นายกรัฐมนตรีได้มีข้อเสนอให้อาเซียนเสริมสร้างความเข้มแข็งจากภายในเพื่อความเป็นเอกภาพและความสามารถรับมือกับความท้าทายต่าง ๆ เช่น การส่งเสริมการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษบริเวณชายแดนและการลงทุน การส่งเสริมศักยภาพของวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย การเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่ภาคการเกษตร การส่งเสริมความร่วมมือทางทะเล การแก้ปัญหาหมอกควันข้ามแดนเพื่อให้อาเซียนปลอดจากหมอกควันภายในปี ๒๕๖๓ และการจัดตั้งศูนย์ไซเบอร์อาเซียน ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่มีความเห็นเพิ่มเติมต่อประเด็นการมอบหมายกระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นหน่วยงานหลักรับผิดชอบในเรื่องสังคมและวัฒนธรรม ประเด็นการเสริมสร้างความตระหนักรู้และความเข้มแข็งให้แก่ชุนชนเพื่อให้มีส่วนร่วมในการป้องกันภัยพิบัติ และประเด็นการมีส่วนร่วมของสหประชาชาติในการลดความเสี่ยงและการบริหารจัดการภัยพิบัติ และเพิ่มเติมหน่วยงานที่รับผิดชอบในเรื่องการส่งเสริมการแลกเปลี่ยนแนวปฏิบัติที่ดีในการส่งสินค้าข้ามแดน ซึ่งเป็นประเด็นคาบเกี่ยวระหว่างกระทรวงคมนาคม กระทรวงการคลัง และกระทรวงพาณิชย์ ในส่วนของประเด็นไซเบอร์จำเป็นที่ไทยต้องเสริมสร้างขีดความสามารถภายในประเทศและแสวงหาความร่วมมือกับประเทศสมาชิกอาเซียนและนานาประเทศในการรับมือกับปัญหาภัยทางไซเบอร์ สำหรับประเด็นการร่วมมือเพื่อต่อต้านความรุนแรงและแนวคิดสุดโต่งที่ต้นตอผ่านการแลกเปลี่ยนข้อมูลเชิงลึกระหว่างกันอย่างทันการณ์ ไทยควรสนับสนุนให้ประเทศอาเซียนร่วมมือกันป้องกันและแก้ไขปัญหานี้อย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ ประเด็นการส่งเสริมความร่วมมือในอาเซียนเรื่องการบริหารจัดการชายแดนโดยมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลและข่าวกรองระหว่างกันเป็นความท้าทายทางความมั่นคงเฉพาะหน้าของไทย และเป็นประเด็นเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ตลอดจนควรมีการติดตาม ประเมินผล และวิเคราะห์ผลลัพธ์อันเนื่องมาจากการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๒๗ และการประชุมสุดยอดอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง อย่างรอบคอบ ส่งผลให้เกิดความชัดเจนและประสิทธิภาพในการดำเนินงานของหน่วยงานในระดับปฏิบัติ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
21375 | ผลการเยือนไทยอย่างเป็นทางการของประธานาธิบดีศรีลังกา | กต | 09/02/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่กระทรวงการต่างประเทศรายงานผลการเยือนไทยอย่างเป็นทางการของนายไมตรีปาละ สิริเสนา ประธานาธิบดีศรีลังกาในฐานะแขกของรัฐบาลตามคำเชิญของนายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ ๑-๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ซึ่งการเยือนครั้งนี้ตรงกับโอกาสการฉลองครบรอบ ๖๐ ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับศรีลังกา ที่ครบรอบในวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ โดยสาระสำคัญของการเยือนได้มีการหารือข้อราชการกลุ่มเล็กและการหารือข้อราชการเต็มคณะเกี่ยวกับประเด็นความสัมพันธ์ในภาพรวม ความร่วมมือด้านความมั่นคง ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ความร่วมมือทางศาสนาและวัฒนธรรม ความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว ความร่วมมือด้านการเกษตรและการประมง ความร่วมมือทางวิชาการ และความร่วมมือในกรอบพหุภาคี นอกจากนี้ ประธานาธิบดีศรีลังกาและรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ได้ร่วมกล่าวสุนทรพจน์ในงานสัมมนาทางธุรกิจ ไทย-ศรีลังกา (Thailand-Sri Lanka Business Forum) ที่กระทรวงการต่างประเทศร่วมกับคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน จัดงานสัมมนาดังกล่าวขึ้นเมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ณ โรงแรมอนันตรา สยาม ในงานมีคณะนักธุรกิจไทยและศรีลังกาเข้าร่วมประมาณ ๑๐๐ คน มีกิจกรรมการจับคู่ทางธุรกิจ (business matching) ระหว่างภาคเอกชนไทยกับศรีลังกาในสาขาอุตสาหกรรมต่าง ๆ และมอบหมายให้หน่วยงานต่าง ๆ ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับแนวทางการให้ความช่วยเหลือทางวิชาการเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ (Feasibility Study) ก่อนที่จะดำเนินการให้ความช่วยเหลือทางการเงินในภายหลัง โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประสานรัฐบาลศรีลังกาให้มีหนังสือขอรับความช่วยเหลืออย่างเป็นทางการ (Formal Request) ถึงสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) เพื่อพิจารณาความเหมาะสมในการให้ความช่วยเหลือ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
21376 | มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทย [ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้น ภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยภาษีเงินได้] | กค | 09/02/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทย เพื่อกำหนดสิทธิประโยชน์ภาษีเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทยให้กับผู้นำเข้า/ผู้ขายที่เป็นบุคคลธรรมดา ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาและร่างกฎกระทรวง รวม ๓ ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ดังนี้ ๒.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการนำเข้ามาเพื่อขายหรือการขายเพชร พลอย ทับทิม มรกต บุษราคัม โกเมน โอปอล นิล เพทาย ไพฑูรย์ หยก ไข่มุก และอัญมณีที่มีลักษณะทำนองเดียวกันเฉพาะที่ยังมิได้เจียระไน แต่ไม่รวมถึงสิ่งทำเทียมวัตถุดังกล่าวหรือที่ทำขึ้นใหม่ ให้แก่ผู้นำเข้าหรือผู้ขายซึ่งเป็นบุคคลธรรมดา ๒.๒ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้แก่ผู้มีเงินได้จากการขายเพชร พลอย ทับทิม มรกต บุษราคัม โกเมน โอปอล นิล เพทาย ไพฑูรย์ หยก ไข่มุก และอัญมณีที่มีลักษณะทำนองเดียวกัน เฉพาะที่ยังมิได้เจียระไน แต่ไม่รวมถึงสิ่งทำเทียมวัตถุดังกล่าวหรือที่ทำขึ้นใหม่และได้ถูกหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายแล้ว ๒.๓ ร่างกฎกระทรวง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยภาษีเงินได้ โดยแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๔๔ (พ.ศ. ๒๕๒๒) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยภาษีเงินได้ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีการหักภาษี ณ ที่จ่าย สำหรับการจ่ายเงินได้พึงประเมินเฉพาะที่เป็นการจ่ายเงินได้จากการซื้ออัญมณี บางกรณี ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ที่เห็นควรพิจารณามาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทย ได้แก่ การยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการนำเข้าและการขายพลอยก้อนที่ยังไม่ได้เจียระไนในแบบถาวร การยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการนำเข้าเพชรและการขายพลอยก้อนที่เจียระไนแล้วเพื่อใช้ในการผลิตแบบถาวร และการยกเว้นอากรขาเข้าสร้อยขดม้วนเพื่อใช้ในการผลิตและอากรขาเข้าเครื่องจักรและอุปกรณ์ โดยพิจารณาดำเนินการยกร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๔. ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งดำเนินการปรับปรุงหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการนำเข้าหรือการขายอัญมณีที่ยังไม่ได้ประกอบเป็นตัวเรือนสำหรับผู้ประกอบการ SMEs การเร่งรัดการปรับปรุงโครงสร้างภาษีศุลกากรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ระยะที่ ๒ โดยเร็ว และจัดทำแนวทางเพื่อพัฒนาและยกระดับศักยภาพผู้ประกอบการ SMEs ไทยในอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทยทั้งระบบ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๕. ให้กระทรวงการคลังประเมินผลการดำเนินการตามมาตรการภาษีเพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการค้าและการผลิตอัญมณีและเครื่องประดับโลก ซึ่งได้สิ้นสุดเมื่อวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ และกำหนดมาตรการเพื่อป้องกันการลักลอบการนำเข้าอัญมณีที่ผิดกฎหมายอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป |
||||||||||||||||||
21377 | มาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริตในอุตสาหกรรมแร่ (ของคณะกรรมการ ป.ป.ช.) | อก | 09/02/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการและความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริตในอุตสาหกรรมแร่ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. การกำหนดนโยบายบริหารจัดการทรัพยากรแร่ โดยกำหนดให้การคุ้มครองป้องกันทรัพยากรแร่เป็นวาระแห่งชาติ และกำหนดยุทธศาสตร์ชาติเกี่ยวกับการบริหารจัดการทรัพยากรแร่เป็นนโยบายหลักของรัฐบาล รวมทั้งการเข้มงวด กวดขัน กำกับ ติดตามการประกอบการอย่างใกล้ชิดและดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริตในอุตสาหกรรมแร่อย่างจริงจัง ตลอดจนเร่งกำหนดนโยบายการบริหารจัดการแร่ของกลางให้ชัดเจน โดยต้องไม่ให้เกิดวงจรของการลักลอบทำแร่อีกต่อไป ๒. การปรับปรุงแก้ไขกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมแร่ โดยเร่งแก้ไขปรับปรุงพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ๒๕๑๐ และระเบียบที่เกี่ยวข้องให้ทันสมัย สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งอาจเป็นช่องว่างให้เกิดการทุจริต ตลอดจนเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบและดำเนินคดีในความผิดเกี่ยวกับแร่ ๓. การกำกับติดตาม และการบังคับใช้กฎหมายของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยปรับปรุงโครงสร้างส่วนราชการที่มีอำนาจหน้าที่บริหารจัดการระบบสัมปทาน ให้มีการบูรณาการร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ ให้ถูกต้อง รวดเร็ว มีระยะเวลากำหนดที่ชัดเจน และควรพิจารณาแนวทางการให้บริการแบบจุดเดียวเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) หรือเสร็จสิ้นในหน่วยงานรับผิดชอบหลักหน่วยงานเดียว เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการออกใบอนุญาต การเพิ่มมาตรการป้องกันและปราบปราม การลักลอบทำแร่ที่ชัดเจนและมีประสิทธิภาพ ครอบคลุมทุกกระบวนการในการทำเหมือง รวมทั้งให้มีระบบการติดตามประเมินผลของมาตรการเกี่ยวกับการให้กรมสอบสวนคดีพิเศษรับคดีการลักลอบทำแร่ที่ผู้กระทำผิด มีอิทธิพล เครือข่ายซับซ้อน และของกลางที่ยึดไว้มีมูลค่าสูงเป็นคดีพิเศษ การให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินกับเจ้าหน้าที่รัฐและบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำลายทรัพยากรแร่อย่างจริงจัง เคร่งครัด ตลอดจนการประสานและบูรณาการร่วมกันระหว่างหน่วยงานเพื่อรณรงค์สร้างแนวร่วมเครือข่ายในการพิทักษ์รักษาทรัพยากรธรรมชาติ ฯลฯ เป็นต้น
|
||||||||||||||||||
21378 | สรุปผลการประชุมเต็มคณะของการประชุมสมัยสามัญของยูเนสโก ครั้งที่ 38 และการประชุมที่เกี่ยวเนื่อง | ศธ | 09/02/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมเต็มคณะของการประชุมสมัยสามัญของยูเนสโก ครั้งที่ ๓๘ และการประชุมที่เกี่ยวเนื่อง ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๓-๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ณ สำนักงานใหญ่องค์การยูเนสโก กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุมเต็มคณะของการประชุมสมัยสามัญของยูเนสโก ครั้งที่ ๓๘ หัวหน้าคณะผู้แทนประเทศต่าง ๆ ได้กล่าวสุนทรพจน์ต่อที่ประชุมซึ่งส่วนใหญ่จะกล่าวถึงเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน ส่วนการประชุมที่เกี่ยวเนื่อง ได้แก่ (๑) การประชุมระดับสูงว่าด้วยวาระการศึกษา สำหรับปี ค.ศ. ๒๐๓๐ ที่ประชุมได้มีการรับรองกรอบการดำเนินงานด้านการศึกษาสำหรับปี ค.ศ. ๒๐๓๐ และการเรียกร้องให้รัฐบาลประเทศต่าง ๆ สนับสนุนงบประมาณให้กับงานด้านการศึกษามากขึ้น โดยกำหนดสัดส่วนไว้ร้อยละ ๒๐-๒๕ ของงบประมาณทั้งหมด (๒) การประชุมคณะกรรมาธิการชุดต่าง ๆ ทั้ง ๕ สาขา ที่ประชุมเห็นชอบอนุมัติงบประมาณและแผนงานของทั้ง ๕ สาขา ได้แก่ สาขาการศึกษา สาขาวิทยาศาสตร์ สาขาสังคมศาสตร์ สาขาวัฒนธรรม และสาขาสื่อสารมวลชนและสารสนเทศ (๓) การประชุมเวทีผู้นำ (Leaders’ Forum) ผู้นำประเทศได้มีการปราศรัยในหัวข้อ “บทบาทเฉลิมฉลองครบรอบ ๗๐ ปี ขององค์การยูเนสโกในการดำเนินการด้านพหุภาคี และการดำเนินการภายหลังปี ๒๕๕๘ ในวาระการพัฒนาอย่างยั่งยืน” รวมทั้งการอภิปรายประเด็นต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับภารกิจขององค์การ รวมถึงการฉลองครบรอบ ๗๐ ปี การก่อตั้งองค์การยูเนสโก และการมีส่วนร่วมในการพัฒนาอย่างยั่งยืนภายหลังปี ๒๐๑๕ ๒. มติที่ประชุมที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทย ๒.๑ ยูเนสโกได้มีมติร่วมเฉลิมฉลองบุคคลสำคัญ/เหตุการณ์ที่สำคัญ ในปี ค.ศ. ๒๐๑๖-๒๐๑๗ จำนวน ๒ รายคือ (๑) ศาสตราจารย์ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ซึ่งมีผลงานดีเด่นทางด้านการศึกษาและสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ในโอกาสฉลองครบรอบ ๑๐๐ ปี ชาตกาล ในวันที่ ๙ มีนาคม ๒๕๕๙ และ (๒) เจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี (ม.ร.ว. เปีย มาลากุล) ซึ่งมีผลงานดีเด่นทางด้านการศึกษาและสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ อายุครบรอบ ๑๕๐ ปี ชาตกาล ในปี พ.ศ. ๒๕๖๐ ๒.๒ ยูเนสโกได้มีมติรับรองให้มีการจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมดาราศาสตร์นานาชาติภายใต้ยูเนสโก (International Training Centre on Astronomy under the Auspices of UNESCO) ที่เชียงใหม่ ซึ่งจะถือเป็นศูนย์อบรมที่จะดำเนินการภายใต้กรอบงานยูเนสโก ที่เน้นเรื่องดาราศาสตร์ที่ตั้งอยู่ในประเทศไทยเป็นศูนย์แรก ซึ่งจะได้มีการลงนามร่วมกันระหว่างองค์การยูเนสโกและรัฐบาลไทยต่อไป ๒.๓ ประเทศไทยได้รับการเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลของยูเนสโก จำนวน ๓ คณะ คือ (๑) สภาระหว่างรัฐบาลของสำนักงานระหว่างประเทศด้านการศึกษา (International Bureau of Education : IBE) (๒) คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยโครงการสารสนเทศเพื่อปวงชน (Information for All Programme : IFAP) และ (๓) คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยโครงการการเปลี่ยนแปลงทางสังคม (Management of Social Transformations : MOST) |
||||||||||||||||||
21379 | ขออนุมัติผ่อนผันการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดการก่อสร้าง และเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการก่อสร้างอาคารเรียนรวมและอำนวยการ มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร | ศธ | 09/02/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติผ่อนผันการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดการก่อสร้าง และเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการก่อสร้างอาคารเรียนรวมและอำนวยการของมหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร จากเดิม ๑๒๓,๙๐๐,๐๐๐ บาท เป็น ๑๓๒,๒๑๔,๒๕๖ บาท (เพิ่มขึ้น ๘,๓๑๔,๒๕๖ บาท) ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ส่วนงบประมาณในการดำเนินการให้ใช้เงินรายได้มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชรสมทบสำหรับวงเงินค่าก่อสร้างที่เพิ่มขึ้น จำนวน ๘,๓๑๔,๒๕๖ บาท เป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย และในโอกาสต่อไปการดำเนินการใช้จ่ายและเบิกจ่ายรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ ขอให้มหาวิทยาลัยราชภัฎกำแพงเพชรดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการตรวจสอบกรณีที่ไม่ได้ดำเนินการตามระเบียบการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณและที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๙ ข้อ ๗ (๓) แล้วรายงานคณะรัฐมนตรีทราบต่อไป และในครั้งต่อไปให้ถือปฏิบัติตามระเบียบการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๓๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติมอย่างเคร่งครัดในกรณีที่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงรายการหรือการเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันเกินกว่าวงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติไว้ |
||||||||||||||||||
21380 | ผลการดำเนินงานที่ผ่านมาและกรอบการดำเนินงานระยะต่อไปของคณะกรรมการส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน | นร | 09/02/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบในหลักการตามที่คณะกรรมการส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชนเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการดำเนินงานที่ผ่านมาของสำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) โดยมีผลการดำเนินงานเกี่ยวกับการระดมพลังประชารัฐเพื่อปฏิรูปการศึกษาและเรียนรู้ในพื้นที่ การสร้างและจัดการความรู้เชิงระบบ การสนับสนุนนวัตกรรมการเรียนรู้ และการส่งเสริมคุณค่าและสนับสนุนครูดี ๑.๒ เห็นชอบในหลักการกรอบแผนการดำเนินงานระยะต่อไปและความต้องการงบประมาณของ สสค. ได้แก่ แผนงานพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้เพื่อลดความเหลื่อมล้ำและเพื่อรองรับการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ๔ จังหวัด (จังหวัดตราด ตาก สระแก้ว และหนองคาย) ดำเนินการใน ๒ ระดับ คือ ระดับจังหวัด สนับสนุนผู้ว่าราชการจังหวัดและกลไกจังหวัดให้เกิดการบูรณาการยุทธศาสตร์พัฒนาทรัพยากรมนุษย์รองรับเศรษฐกิจฐานรากเพื่อเป้าหมายเขตเศรษฐกิจพิเศษ และระดับท้องถิ่น (ตำบล) เจาะจงกลุ่มประชากรที่ด้อยฐานะทางเศรษฐกิจ เพื่อเตรียมความพร้อมของเด็กและเยาวชนและพัฒนาแรงงานรุ่นใหม่ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของชุมชนท้องถิ่น ระยะเวลาดำเนินการ ๓ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๑) งบประมาณดำเนินการ ๓๘๕ ล้านบาท ทั้งนี้ ให้ สสค. จัดทำรายละเอียดแผนงาน/กิจกรรมในการใช้งบประมาณให้สำนักงบประมาณพิจารณาความเหมาะสมก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติอีกครั้งหนึ่ง โดยให้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๘ ในการขออนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ๒. ในส่วนของงบประมาณให้ สสค. ขอรับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลผ่านส่วนราชการที่เกี่ยวข้องตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ สสค. กำกับ ติดตาม และประเมินผลการดำเนินการภายใต้กรอบแผนการดำเนินงานที่เสนอให้บรรลุผลตามที่กำหนดไว้ สำหรับกรอบการดำเนินงานในระยะต่อไป สสค. ควรขยายพื้นที่ดำเนินการเพิ่มเติม ๖ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดมุกดาหาร สงขลา เชียงราย นครพนม นราธิวาส และกาญจนบุรี เพื่อให้ครอบคลุมพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนทั้งหมด ๑๐ จังหวัด รวมทั้งให้ สสค. จัดทำรายละเอียดแผนงานและงบประมาณในการดำเนินกิจกรรมและโครงการตามความจำเป็นและเหมาะสมที่สามารถสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจที่อยู่ในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษได้อย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการบูรณาการจัดทำแผนปฏิบัติงานในภารกิจด้านการพัฒนาการศึกษา รวมทั้งการพัฒนาเด็กและเยาวชนในภาพรวมของประเทศ แล้วเสนอแผนดังกล่าวให้คณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษาพิจารณา เพื่อใช้ประโยชน์ในการจัดสรรงบประมาณในภารกิจดังกล่าวให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ คุ้มค่า และไม่เกิดความซ้ำซ้อนต่อไป |
.....