ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1069 จากทั้งหมด 6236 หน้า แสดงรายการที่ 21361 - 21380 จากข้อมูลทั้งหมด 124707 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 21361 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณที่ดินป่าฝั่งขวาแม่น้ำน่านตอนใต้ ในท้องที่ตำบลน้ำตก ตำบลบัวใหญ่ ตำบลสันทะ อำเภอนาน้อย และตำบลเมืองลี ตำบลบ่อแก้ว ตำบลนาทะนุง ตำบลปิงหลวง อำเภอนาหมื่น จังหวัดน่าน ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. .... (อุทยานแห่งชาติขุนสถาน) | ทส | 03/05/2559 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณที่ดินป่าฝั่งขวาแม่น้ำน่านตอนใต้ ในท้องที่ตำบลน้ำตก ตำบลบัวใหญ่ ตำบลสันทะ อำเภอนาน้อย และตำบลเมืองลี ตำบลบ่อแก้ว ตำบลนาทะนุง ตำบลปิงหลวง อำเภอนาหมื่น จังหวัดน่าน ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. .... (อุทยานแห่งชาติขุนสถาน) ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ควรมีแนวทางที่จะทำให้ประชาชนในพื้นที่มีทัศนคติที่ดีในการร่วมมือกับภาครัฐในการอนุรักษ์พื้นที่ป่า โดยเฉพาะชุมชนที่มีภูมิปัญญาท้องถิ่นในการดูแลรักษาพื้นที่ป่าอย่างยั่งยืน ควรส่งเสริมให้เข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดแนวทางการดูแลพื้นที่ป่าด้วย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป และดำเนินการออกกฎกระทรวงเพิกถอนป่าสงวนแห่งชาติในส่วนที่ทับซ้อนกับพื้นที่อุทยานแห่งชาติตามร่างพระราชกฤษฎีกานี้ ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เมื่อร่างพระราชกฤษฎีกาฯ มีผลใช้บังคับแล้วต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
| 21362 | การขับเคลื่อนโครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง | พม | 03/05/2559 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รายงานความคืบหน้าการขับเคลื่อนโครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง โดยคณะกรรมการการเคหะแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๙ เห็นชอบกรอบแผนแม่บทโครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๗) และการก่อสร้างโครงการระยะที่ ๑ โครงการอาคารพักอาศัยแปลง G ตามที่การเคหะแห่งชาติเสนอ และขณะนี้เรื่องอยู่ระหว่างการพิจารณาวิเคราะห์ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเพื่อให้ความเห็นประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี สำหรับการก่อสร้างโครงการระยะที่ ๑ จะเป็นการพัฒนาโครงการอาคารพักอาศัยแปลง G รวม ๓๓๔ หน่วย เป็นอาคารพักอาศัยสูง ๒๘ ชั้น ๑ อาคาร ขนาดห้องพักอาศัยประมาณ ๓๓ ตารางเมตร ที่จอดรถ ๑๕๕ คัน และส่วนบริการชุมชน โดยก่อสร้างอาคารบนที่ดินว่างของสำนักงานเคหะชุมชนดินแดน ๑ วงเงินลงทุนรวม ๔๖๐.๕๓ ล้านบาท ทั้งนี้ ได้จัดทำแบบก่อสร้างอาคารแปลง G เสร็จเรียบร้อยแล้ว อยู่ระหว่างประมาณราคากลางและกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างตามระเบียบพัสดุ ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณที่เห็นควรศึกษาแนวทางการลงทุนในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ ซึ่งจะช่วยลดภาระทางการเงินของประเทศและสร้างความแข็งแกร่งทางการเงินให้กับการเคหะแห่งชาติ รวมทั้งดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน และคำนึงถึงความประหยัด ความต้องการและความเป็นอยู่ของประชาชนที่ดีขึ้น และประโยชน์สูงสุดที่ทางราชการและประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการแก้ไขปัญหาและพัฒนาที่อยู่อาศัยของชุมชนในพื้นที่อื่น ๆ ที่มีสภาพทรุดโทรมและไม่เหมาะสม เช่น ชุมชนป้อมมหากาฬ เพื่อจัดระเบียบให้ประชาชนผู้อยู่อาศัยมีสภาพความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
| 21363 | แผนการเจรจาจัดทำอนุสัญญาหรือความตกลงเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนระหว่างประเทศไทยกับต่างประเทศ | กค | 03/05/2559 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแผนการเจรจาจัดทำอนุสัญญาหรือความตกลงเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนระหว่างประเทศไทยกับต่างประเทศ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดประเทศคู่เจรจาของประเทศไทย โดยพิจารณาจากข้อกฎหมาย สภาวะทางเศรษฐกิจ ความจำเป็นเร่งด่วนในการจัดทำหรือแก้ไขอนุสัญญาหรือความตกลงเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อน ซึ่งปัจจุบันกระทรวงการคลังได้รับการทาบทามให้มีการเปิดการเจรจาจัดทำหรือแก้ไขอนุสัญญาหรือความตกลงเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อน จำนวน ๑๑ ประเทศ ประกอบด้วยกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน และกลุ่มประเทศในภูมิภาคที่มีศักยภาพและเป็นคู่ค้าที่สำคัญของประเทศไทย โดยเป็นการเริ่มเจรจาตั้งแต่ปีงบประมาณ ๒๕๕๙ เป็นต้นไป และให้ดำเนินการจนกระทั่งเจรจาแล้วเสร็จ โดยแบ่งเป็น (๑) ประเทศที่อยู่ในระหว่างการเจรจาฯ และยังดำเนินการไม่แล้วเสร็จ ๓ ประเทศ ได้แก่ ราชอาณาจักรกัมพูชา สาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน และญี่ปุ่น และ (๒) ประเทศที่จะเปิดเจรจาแก้ไขอนุสัญญาฯ ฉบับเดิม ๘ ประเทศ ได้แก่ สาธารณรัฐโปแลนด์ ราชอาณาจักรนอร์เวย์ สมาพันธรัฐสวิส ราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ ราชรัฐลักเซมเบิร์ก สาธารณรัฐไอร์แลนด์ ราชอาณาจักรเดนมาร์ก และรัฐบรูไนดารุสซาลาม ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า ในระยะต่อไปกระทรวงการคลังควรให้ความสำคัญกับการเจรจาและจัดทำอนุสัญญาหรือความตกลงเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนกับกลุ่มประเทศที่นักลงทุนไทยให้ความสนใจ และมีศักยภาพในการเข้าไปลงทุนเป็นลำดับแรก ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
| 21364 | ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ และเข็มวิทยฐานะของสถาบันการศึกษาวิชาการทหาร พ.ศ. .... | กห | 03/05/2559 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ และเข็มวิทยฐานะของสถาบันการศึกษาวิชาการทหาร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะและเข็มวิทยฐานะของสถาบันการศึกษาวิชาการทหาร ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 21365 | แนวทางการดำเนินการประชาสัมพันธ์งานของรัฐบาลโดยโฆษกกระทรวง ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี (6 ตุลาคม 2558) ประจำเดือนมีนาคม 2559 | นร02 | 03/05/2559 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแนวทางการดำเนินการประชาสัมพันธ์งานของรัฐบาลโดยโฆษกกระทรวง ทั้ง ๒๐ กระทรวง ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี (๖ ตุลาคม ๒๕๕๘) ประจำเดือนมีนาคม ๒๕๕๙ ตามที่คณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. การประชาสัมพันธ์ในเดือนที่ผ่านมา (มีนาคม ๒๕๕๙) ได้แก่ โครงการบ้านประชารัฐ การแข่งขันกีฬานักเรียนคนพิการแห่งชาติ ครั้งที่ ๑๗ “นครศรีธรรมราชเกมส์” การแก้ไขปัญหายางพาราราคาตกต่ำ สถานการณ์ภัยแล้งและหมอกควันและมาตรการบรรเทาผลกระทบจากภัยแล้งและหมอกควัน เผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับกลไกสิทธิมนุษยชนอาเซียน นโยบายการปฏิรูปการศึกษา เพื่อพัฒนาคนทุกช่วงวัย มาตรการยกเว้นภาษี ๓๐๐% สำหรับการวิจัย พัฒนา และนวัตกรรม มาตรการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย (IUU) มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โครงการยกระดับศักยภาพหมู่บ้าน สืบสานประเพณีสงกรานต์ “สงกรานต์แบบไทย” ใช้น้ำอย่างรู้คุณค่า และการขับเคลื่อนวาระประเทศไทยปลอดภัย ๒. การประชาสัมพันธ์ในเดือนต่อไป (พฤษภาคม ๒๕๕๙) ได้แก่ การจัดการพื้นที่เกษตรกรรม (Zoning) ตามนโยบาย Smart Farmer สถานการณ์ภัยแล้ง หมอกควัน และมาตรการช่วยเหลือประชาชน แผนการส่งเสริมตลาดข้าวและตลาดยางพาราในต่างประเทศ การขับเคลื่อนนโยบายเร่งด่วน ๖ ด้านตามแผนแม่บทการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ การบริหารจัดการน้ำตามแผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการน้ำของประเทศ การขับเคลื่อนวาระประเทศไทยปลอดภัย การดำเนินการตาม Road Map ๓ ระยะของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ การจัดกิจกรรมเนื่องในวันสำคัญ เช่น วันวิสาขบูชา และการจัดงานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ สาธารณรัฐฝรั่งเศส
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 21366 | ผลการประชุมคณะกรรมการเศรษฐกิจเอเปค (Economic Committee : EC) ครั้งที่ 1/2559 | นร11 | 03/05/2559 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการเศรษฐกิจเอเปค (Economic Committee : EC) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๙ ระหว่างวันที่ ๒๙ กุมภาพันธ์-๑ มีนาคม ๒๕๕๙ ณ กรุงลิมา สาธารณรัฐเปรู ซึ่งผลการประชุมมีประเด็นสำคัญ ได้แก่ การรายงานภาพรวมการดำเนินงานของคณะทำงานอื่น ๆ ภายใต้ความร่วมมือเอเปค การรายงานเรื่องการดำเนินงานด้านการปฏิรูปโครงสร้าง การหารือระดับนโยบาย และการพิจารณาข้อเสนอโครงการใหม่ภายใต้ EC ๑.๒ เห็นชอบสาขาและประเด็นปฏิรูปโครงสร้างที่เห็นควรให้ดำเนินการขับเคลื่อนต่อไปภายใต้วาระใหม่สำหรับการปฏิรูปโครงสร้างเอเปค (Renewed APEC Agenda for Structural Reform : RAASR) สำหรับปี ๒๕๕๙-๒๕๖๓ และมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักในการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดทำแผนปฏิบัติการของแต่ละเศรษฐกิจ (Individual Action Plans : IAPs) ต่อไป ๑.๓ เห็นชอบกลุ่มสาขาบริการเพื่อการจัดทำรายงานนโยบายเศรษฐกิจเอเปค ปี ๒๕๕๙ และมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักในการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดทำรายงานดังกล่าวต่อไป ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงอุตสาหกรรมเกี่ยวกับการจัดทำความร่วมมือด้านการค้าภาคบริการเอเปค การพัฒนาฝีมือแรงงานตามมาตรฐานเอเปค การคัดเลือกบริการสาขาที่จะนำมากำหนดเป็นกลุ่มเป้าหมายเพื่อการพัฒนาและปฏิรูป และการให้ความสำคัญกับภาคบริการที่เกี่ยวข้องกับการผลิต อาทิ การบริการด้านวิศวกรรม การบริการด้านการวิจัยและพัฒนา การบริการทดสอบและตรวจสอบสินค้าและวัตถุดิบ การบริการซ่อมบำรุงเครื่องจักรและอุปกรณ์ การบริการจัดจำหน่ายปลีกและส่ง การบริการขนส่งสินค้าและวัตถุดิบ การบริการจัดการคลังสินค้า เป็นต้น เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันและเพิ่มผลิตภาพให้ภาคอุตสาหกรรมของประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย รวมทั้งให้ประสานกับหน่วยงานผู้รับผิดชอบหลักและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับ “สาขาและประเด็นปฏิรูปโครงสร้างที่เห็นควรให้ดำเนินการขับเคลื่อนต่อไปภายใต้วาระใหม่สำหรับการปฏิรูปโครงสร้างเอเปค (Renewed APEC Agenda for Structural Reform : RAASR) สำหรับปี ๒๕๕๙-๒๕๖๓” เพื่อให้การขับเคลื่อนสอดคล้องกับการดำเนินงานของรัฐบาล ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงการคลังจัดทำยุทธศาสตร์ไทย-เอเปค แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||
| 21367 | การขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลในเรื่อง มาตรการบัญชีเล่มเดียวและการยกเว้นและลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับ SMEs | นร | 03/05/2559 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลในเรื่อง มาตรการบัญชีเล่มเดียวและการยกเว้นและลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับ SMEs มีประเด็นสำคัญเกี่ยวกับพระราชกำหนดการยกเว้นและสนับสนุนการปฏิบัติการเกี่ยวกับภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร พ.ศ. ๒๕๕๘ และพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ๕๙๕) พ.ศ. ๒๕๕๘ การดำเนินการเพื่อขับเคลื่อนมาตรการดังกล่าว ผลการลงทะเบียนบัญชีชุดเดียว และแผนการดำเนินงานในระยะต่อไป ตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังดำเนินการตามความเห็นของคณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ที่ให้มีการติดตามประเมินการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าว โดยให้รายงานข้อมูลจำนวนผู้ประกอบการทั้งหมด จำนวนผู้ประกอบการที่ขึ้นทะเบียนก่อนการดำเนินมาตรการ จำนวนผู้ประกอบการที่เข้ามาจดแจ้งเพื่อร่วมมาตรการ จำนวนผู้ประกอบการที่ยังไม่ได้เข้าร่วมมาตรการ ข้อเสนอแนะต่อการดำเนินการมาตรการ และความคืบหน้าในการดำเนินการตามมาตรการให้ทราบต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||
| 21368 | แนวทางและมาตรการในการดำเนินการให้กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างมีสินทรัพย์เพิ่มขึ้น | กค | 03/05/2559 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบแนวทางและมาตรการในการดำเนินการให้กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างมีสินทรัพย์เพิ่มขึ้น และมอบหมายให้กระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อติดตามและรายงานความคืบหน้าต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยแนวทางดังกล่าวมีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ ให้กระทรวงแรงงานและคณะกรรมการกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างทบทวนระเบียบคณะกรรมการกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง ว่าด้วยการจ่ายเงินสงเคราะห์ อัตราเงินที่จะจ่ายและระยะเวลาการจ่าย พ.ศ. ๒๕๔๖ และที่แก้ไขเพิ่มเติม เพื่อให้มีความเหมาะสม โดยควรให้การสงเคราะห์เฉพาะกรณีที่ได้รับความเดือดร้อนตามความจำเป็น และทบทวนแผนบริหารจัดการลูกหนี้กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง และกำหนดมาตรการและแนวทางในการเร่งรัดติดตามหนี้คงค้างชำระจากผู้ซึ่งมีหน้าที่ตามกฎหมายต้องชดใช้เงินคืนกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง ตลอดจนกำหนดการควบคุมและการตรวจสอบติดตามการดำเนินงานตามมาตรการและแนวทางดังกล่าวอย่างเป็นรูปธรรม ๑.๒ ให้กระทรวงแรงงานศึกษาและพิจารณาแนวทางเพื่อรวมกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างเข้าเป็นส่วนหนึ่งของกองทุนประกันสังคม เพื่อเป็นทุนใช้จ่ายในการสงเคราะห์แก่ลูกจ้างในแต่ละกรณีที่เป็นไปในแนวทางเดียวกัน ประกอบกับเพื่อให้เกิดการบูรณาการกระบวนงานด้านการสงเคราะห์แก่ลูกจ้างทั้งระบบให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น หรือพิจารณาทบทวนพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ และที่แก้ไขเพิ่มเติม เพื่อให้สามารถเก็บเงินจากนายจ้างเข้าสู่กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างเป็นเงินสงเคราะห์แก่ลูกจ้างตามวัตถุประสงค์ของกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง ทั้งนี้ ให้พิจารณาเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้เป็นกรณีพิเศษสำหรับเงินได้ของนายจ้าง ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงแรงงานเกี่ยวกับการทบทวนระเบียบคณะกรรมการกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง และแผนบริหารจัดการลูกหนี้กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง ที่ประชุมคณะกรรมการกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างได้มีมติให้คงไว้ตามระเบียบเดิม เนื่องจากมีความเหมาะสมแล้ว ส่วนการศึกษาและพิจารณาแนวทางการรวมกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างให้เป็นส่วนหนึ่งของกองทุนประกันสังคม หรือการพิจารณาทบทวนพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ และที่แก้ไขเพิ่มเติม เพื่อให้สามารถเก็บเงินจากนายจ้างเข้าสู่กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง เนื่องจากเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับข้อกฎหมายและมีผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจำนวนมาก จึงต้องพิจารณาอย่างรอบด้าน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
| 21369 | การปรับปรุงปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 | นร07 | 03/05/2559 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการปรับปรุงปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ และให้มีแผนงานยุทธศาสตร์สนับสนุนการพัฒนาโครงการหลวง ในโครงสร้างแผนงานตามยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ และให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ๒. ให้สำนักงบประมาณจัดทำรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาในวันจันทร์ที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๕๙
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 21370 | ขอความอนุเคราะห์ให้หน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐช่วยเผยแพร่และประชาสัมพันธ์สาระสำคัญของร่างรัฐธรรมนูญ | นร04 | 03/05/2559 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญเสนอว่า บัดนี้ ได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๕๙ แล้ว กำหนดให้คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญสามารถขอความร่วมมือจากหน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐทุกหน่วยงาน ในการสนับสนุน ให้ความร่วมมือ และช่วยเหลือแก่คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ในการดำเนินการเผยแพร่และประชาสัมพันธ์เพื่อทำความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับบทบัญญัติและสาระสำคัญของร่างรัฐธรรมนูญให้แก่ประชาชนทราบเป็นการทั่วไปได้ จึงใคร่ขอความร่วมมือกับกองทัพ กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รวมทั้งหน่วยงานอื่นของรัฐที่จะได้ร้องขอ เพื่อช่วยเผยแพร่ตามที่จะได้ประสานโดยตรงต่อไป ๒. ให้หน่วยงานของรัฐให้การสนับสนุน ให้ความร่วมมือและช่วยเหลือแก่คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญในการดำเนินการเผยแพร่และประชาสัมพันธ์เพื่อทำความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับบทบัญญัติและสาระสำคัญของร่างรัฐธรรมนูญให้แก่ประชาชนทราบเป็นการทั่วไปตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๕๙ ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 21371 | นโยบายการปฏิรูปกฎหมายในส่วนที่เกี่ยวกับฝ่ายบริหาร | นร | 03/05/2559 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบแผนการเสนอกฎหมายของหน่วยงานตามกรอบระยะเวลาการบริหารราชการแผ่นดิน และการปฏิรูปประเทศของคณะรัฐมนตรี (ตุลาคม ๒๕๕๘-กรกฎาคม ๒๕๖๐) และเห็นชอบแผนการเสนอร่างกฎหมายในระยะ ๑ ปี (พฤศจิกายน ๒๕๕๘-ตุลาคม ๒๕๕๙) ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ในฐานะรองประธานกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ ๓ (คณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปด้านระบบราชการ กฎหมาย กระบวนการยุติธรรม และสร้างความปรองดองสมานฉันท์) เสนอ และให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องปฏิบัติให้เป็นไปตามแผนดังกล่าวต่อไป ทั้งนี้ ให้ส่งแผนดังกล่าวให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบเพื่อเป็นข้อมูลด้วย ๒. เห็นชอบนโยบายการปฏิรูปกฎหมายในส่วนที่เกี่ยวกับฝ่ายบริหาร ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เสนอ และให้ส่วนราชการถือปฏิบัติต่อไป ทั้งนี้ ในการเสนอร่างกฎหมายต่อคณะรัฐมนตรีต้องมีการตรวจสอบ “ความจำเป็นในการตราพระราชบัญญัติ” (Checklist) รวม ๑๐ ประการ อย่างเคร่งครัดด้วย รวมทั้งต้องเสนอแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรองและกรอบระยะเวลา และบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในรายละเอียดของเนื้อหาให้ได้ความชัดเจนและให้ได้ข้อยุติในหลักการก่อนนำเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี และกรณีที่ต้องมีการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลจะต้องเป็นกรณีที่มีความจำเป็นและเพื่อประโยชน์ของประชาชนและของประเทศเป็นสำคัญเท่านั้น ตลอดจนต้องพิจารณาความเร่งด่วนตาม Function (ภารกิจพื้นฐาน) Agenda (ภารกิจยุทธศาสตร์ นโยบายเร่งด่วน แนวทางปฏิรูปภาครัฐ งบประมาณบูรณาการ) ที่มีผลต่อการปฏิรูปประเทศ และมีความทันสมัยและเป็นสากล รวมทั้งพิจารณาความจำเป็นในการคงอยู่ของคณะกรรมการต่าง ๆ เพื่อให้การขับเคลื่อนนโยบายปฏิรูปที่สำคัญมีความต่อเนื่อง และการสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศด้วย ทั้งนี้ ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจัดทำแนวปฏิบัติในเรื่องนี้เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ส่วนราชการถือปฏิบัติตามนโยบายการปฏิรูปกฎหมายในส่วนที่เกี่ยวกับฝ่ายบริหารอย่างเคร่งครัดต่อไป กรณีร่างกฎหมายที่อยู่ระหว่างสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีพิจารณาดำเนินการเสนอคณะรัฐมนตรี ที่ไม่ได้เป็นไปตามแนวปฏิบัตินี้ ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งเรื่องให้ส่วนราชการไปพิจารณาดำเนินการให้สอดคล้องกับแนวปฏิบัติในเรื่องนี้ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๓. ให้ส่วนราชการเร่งรัดดำเนินการตรากฎหมายลำดับรองทั้งในส่วนที่ต้องออกตามพระราชบัญญัติที่มีผลใช้บังคับเป็นกฎหมายแล้ว และเร่งรัดดำเนินการเพื่อให้กฎหมายลำดับรองที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาหรือคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเสร็จแล้วและอยู่ระหว่างส่วนราชการพิจารณายืนยันให้ความเห็นชอบ มีผลใช้บังคับโดยเร็ว ๔. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเร่งดำเนินการตรวจพิจารณาร่างกฎหมาย รวม ๓ ฉบับ ได้แก่ ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ร่างกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ (การใช้ประโยชน์ที่ดินที่เหลือจากการใช้ตามวัตถุประสงค์ของการเวนคืน เช่น พื้นที่สองข้างรถไฟฟ้า) และร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการใช้ประโยชน์พื้นที่แนวเขตทางด่วน เพื่อเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติโดยด่วนต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 21372 | ผลการเยือนสาธารณรัฐเกาหลีของรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) | นร04 | 03/05/2559 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการเยือนสาธารณรัฐเกาหลีของรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ในฐานะผู้แทนพิเศษ (Special Envoy) ในระหว่างวันที่ ๒๑-๒๔ มีนาคม ๒๕๕๙ โดยรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ได้เข้าเยี่ยมคารวะประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐเกาหลี และเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างสาธารณรัฐเกาหลี-ไทยระดับรองนายกรัฐมนตรี รวมทั้งพบหารือกับภาคเอกชนรายใหญ่ของสาธารณรัฐเกาหลี ซึ่งผลการเยือนสาธารณรัฐเกาหลีครั้งนี้ได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า ประเทศไทยสามารถเปิดพื้นที่ทางเศรษฐกิจให้กับสาธารณรัฐเกาหลีโดยเฉพาะในเรื่องโครงสร้างพื้นฐานซึ่งจะเป็นแรงกระตุ้นให้เกิดการเคลื่อนย้ายทุนของสาธารณรัฐเกาหลีมาในประเทศไทย และจะส่งผลต่อการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย นอกจากนี้ ยังเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ โดยทั้งสองฝ่ายจะเน้นการขับเคลื่อนใน ๓ ด้านคือ โครงสร้างพื้นฐาน นวัตกรรมและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และการท่องเที่ยว โดยภารกิจจากนี้ไปคือ การจับคู่ส่วนราชการและภาคเอกชนให้ขับเคลื่อนไปพร้อมกัน ในขณะที่กระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงยุทธศาสตร์และการคลังสาธารณรัฐเกาหลีจะได้ร่วมกันประสานงานจัดทำพิมพ์เขียวข้อริเริ่มความร่วมมือใหม่ทางเศรษฐกิจไทย-เกาหลี ซึ่งเป็นเสมือนแผนปฏิบัติการความร่วมมือ ๓ ด้านดังกล่าวโดยเร็ว ๑.๒ มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงคมนาคม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนดำเนินการติดตามผลการเยือนในประเด็นที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินกิจกรรมความร่วมมือระยะแรกในกิจกรรมที่ประเทศไทยและสาธารณรัฐเกาหลีมีศักยภาพตรงกันโดยเร็วที่สุด |
||||||||||||||||||||||||||||||
| 21373 | แนวทางในการแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมาย กรณีการนำเรือออกนอกระบบ | นร | 03/05/2559 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบแนวทางในการแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมาย กรณีการนำเรือออกนอกระบบ การจ่ายค่าชดเชยช่วยเหลือเจ้าของเรือประมง และการนำเรือไปจมทำปะการัง ตามที่ศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมาย (ศปมผ.) เสนอ โดยกำหนดกรอบแนวทางฯ ดังนี้ ๑.๑ การนำเรือออกนอกระบบ กรณีนำไปจมทำปะการังเป็นการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมายเกี่ยวกับการนำเรือประมงออกนอกระบบ เป็นการดำเนินการตามนโยบายในการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมายด้วยการจ่ายค่าชดเชยให้เจ้าของเรือประมงที่ผ่านการตรวจสอบความถูกต้องจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประกอบด้วยกรมประมง กรมเจ้าท่า และกองทัพเรือ เรียบร้อยแล้ว และการจ่ายเงินก็เป็นไปตามกรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีได้รับทราบตามความเห็นของสำนักงบประมาณ จึงไม่ได้เป็นการจัดซื้อตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ไม่เข้าข่ายที่จะต้องขออนุมัติจากคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ กระทรวงการคลังซึ่งจะดำเนินการให้เจ้าของเรือ ๕๑ ลำ ตามบัญชีที่จะนำไปจมทำปะการังเทียม เป็นเงิน ๑๐๕,๗๗๙,๒๒๐.๔๐ บาท ในวันถัดจากวันที่คณะรัฐมนตรีรับทราบ ๑.๒ การนำเรือออกนอกระบบ กรณีเรือประมง ๓ ลำ ที่กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งมีความประสงค์จะนำไปใช้ในราชการนั้น จะต้องเสนอคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ กระทรวงการคลัง พิจารณายกเว้นการปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ ซึ่งจะได้เร่งรัดกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งให้ดำเนินการต่อไป ๑.๓ การนำเรือไปจมทำปะการังเทียม จะใช้งบประมาณของกรมประมงในวงเงินที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบแล้ว โดยให้กรมประมงทำความตกลงกับสำนักงบประมาณ และเสนอคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ กระทรวงการคลัง เพื่อขอยกเว้นการปฏิบัติในการจ้าง ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และเมื่อได้รับความเห็นชอบแล้วจะเร่งรัดกรมประมงให้ดำเนินการต่อไป ๑.๔ นำผลการนำเรือประมงออกนอกระบบไปประกอบการรายงานความคืบหน้าในการดำเนินการให้ผู้รับผิดชอบของสหภาพยุโรปทราบระหว่างการหารือในวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๙ ณ ราชอาณาจักรเบลเยียม ๑.๕ ศปมผ. จะเร่งรัดกรมประมงและกรมเจ้าท่าสำรวจและจัดทำบัญชีเรือประมงที่จะต้องนำออกนอกระบบในส่วนที่เหลือ และประมาณการความต้องการงบประมาณในการนำเรือออกนอกระบบเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบต่อไป ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และ ศปมผ. รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการนำเรือออกนอกระบบ จำนวน ๕๑ ลำ ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง จำนวน ๑๐๕,๗๗๙,๒๒๐.๔๐ บาท สำหรับค่าใช้จ่ายในการนำเรือไปจมทำปะการังเทียม ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีของกรมประมง โดยขอทำความตกลงรายละเอียดกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน ก่อนขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณ โดยคำนึงถึงความเหมาะสม ความประหยัด และความคุ้มค่า รวมถึงประโยชน์สูงสุดที่ทางราชการและผู้ประกอบการประมงจะได้รับ นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญกับการควบคุมเครื่องมือทำการประมงที่ผิดกฎหมายด้วย เพื่อให้การแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมายสามารถเกิดผลได้อย่างเป็นรูปธรรม ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมประมง) เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ศปมผ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบและกำกับดูแลการนำเรือไปจมทำปะการังเทียม โดยให้พิจารณาดำเนินการตามแนวปะการังเดิมเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบต่อระบบนิเวศน์และสิ่งแวดล้อม เส้นทางการเดินเรือ และการทำประมงน้ำตื้น ทั้งนี้ ให้มีการจัดทำบทความหรือสรุปข่าวเพื่อประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการนำเรือไปจมทำปะการังเทียมผ่านสื่อต่าง ๆ ให้เป็นที่เข้าใจถูกต้องตรงกันด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
| 21374 | ผลการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมสหพันธรัฐรัสเซียอย่างไม่เป็นทางการ | กห | 03/05/2559 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงกลาโหมรายงานผลการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมสหพันธรัฐรัสเซียอย่างไม่เป็นทางการ ระหว่างวันที่ ๒๕-๒๘ เมษายน ๒๕๕๙ ณ กรุงมอสโก สหพันธรัฐรัสเซีย สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
๑. รัฐมนตรีกลาโหมสหพันธรัฐรัสเซียได้กล่าวถึงความสำคัญของการประชุมฯ เป็นกิจกรรมสำคัญในการเฉลิมฉลองครบรอบ ๒๐ ปี ความสัมพันธ์อาเซียน-รัสเซีย ซึ่งเป็นการสนับสนุนประเด็นความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงของการประชุมสุดยอดอาเซียน-รัสเซีย ในเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๙ ณ เมืองโซชิ สหพันธรัฐรัสเซีย รวมทั้งได้ให้ความสำคัญต่อความร่วมมือภายใต้กลไกการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมประเทศคู่เจรจา (ASEAN Defence Ministers’ Meeting-Plus : ADMM-Plus) โดยเฉพาะการจัดตั้งศูนย์แพทย์ทหารอาเซียนที่กรุงเทพฯ สำหรับประเด็นด้านความมั่นคงที่สหพันธรัฐรัสเซียให้ความสำคัญ ได้แก่ การก่อการร้ายและการเผยแพร่แนวคิดแบบสุดโต่ง ความมั่นคงทางทะเล และการสู้รบในซีเรีย ๒. รัฐมนตรีกลาโหมประเทศสมาชิกอาเซียนได้ร่วมกันแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ (๑) การสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ และความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับประเทศคู่เจรจาโดยมีอาเซียนเป็นศูนย์กลาง (๒) ความสัมพันธ์ระหว่างอาเซียนกับสหพันธรัฐรัสเซียมีความสำคัญต่อเสถียรภาพ ความมั่นคง และสันติภาพของภูมิภาคและการขับเคลื่อนประชาคมอาเซียน (๓) ความร่วมมือระหว่างกลาโหมอาเซียนกับกระทรวงกลาโหมสหพันธรัฐรัสเซีย ภายใต้กรอบ ADMM-Plus (๔) อาเซียนและสหพันธรัฐรัสเซียสามารถร่วมมือกันในการลดการแพร่ขยายแนวคิดแบบสุดโต่ง (๕) ภัยพิบัติเป็นความท้าทายที่กองทัพของประเทศสมาชิกอาเซียนและประเทศคู่เจรจาควรมีการเตรียมความพร้อมร่วมกัน และ (๖) อาเซียนและสหพันธรัฐรัสเซียควรมีการพัฒนาค่านิยม กลไก และกฎระเบียบด้านความมั่นคงทางทะเลเพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติร่วมกัน ๓. รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้กล่าวถึงสภาวะแวดล้อมด้านความมั่นคงในภูมิภาค โดยอาเซียนและสหพันธรัฐรัสเซียต้องร่วมมือกันสร้างกลไกการดำเนินการสอดคล้องกับวิสัยทัศน์และแผนงาน ๑๐ ปีของประชาคมอาเซียน เพื่อขับเคลื่อนประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน รวมถึงสนับสนุนความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับประเทศคู่เจรจาภายใต้กลไก ADMM-Plus ให้ก้าวหน้าอย่างเป็นรูปธรรม ๔. รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ได้หารือทวิภาคีกับมิตรประเทศ ประกอบด้วย (๑) สหพันธรัฐรัสเซีย ได้แก่ การขยายความร่วมมือด้านข่าวกรอง การฝึกศึกษา การพัฒนาเทคโนโลยี การจัดตั้งศูนย์ซ่อมอากาศยานในไทย (๒) สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ได้แก่ การขยายความร่วมมือด้านการฝึกศึกษา การแลกเปลี่ยนการเยือนของกำลังพลและครอบครัวในทุกระดับ และการจัดตั้งคณะกรรมการคามร่วมมือด้านความมั่นคงระหว่างกระทรวงกลาโหมของทั้งสองประเทศ (๓) สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ได้แก่ การจัดตั้งคณะทำงานร่วมกันเพื่อขยายความร่วมมือในการแก้ไขปัญหายาเสพติด การบริหารจัดการและการพัฒนาเศรษฐกิจตามแนวชายแดน การฝึกศึกษา การแลกเปลี่ยนการเยือนของผู้บริหารในทุกระดับ การแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำของไทย และการแก้ไขปัญหาผู้อพยพเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายชาวโรฮีนจา (๔) สาธารณรัฐสิงคโปร์ ได้แก่ การขยายความร่วมมือด้านการฝึกศึกษา และการต่อต้านการก่อการร้าย และ (๕) สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ได้แก่ การขยายความร่วมมือด้านการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารเพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติดและการค้าผิดกฎหมายตามแนวชายแดน การแลกเปลี่ยนการเยือน การฝึกศึกษาและดูงาน
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 21375 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรองรับงานปรับปรุงและจัดหาสิ่งอำนวยความสะดวกภายในท่าอากาศยานอู่ตะเภา | กห | 03/05/2559 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเสริมสร้างความเข้มแข็งและก้าวหน้าของประเทศตามแนวทางปฏิรูป จำนวน ๕๙๗,๙๖๖,๓๐๐ บาท ให้กองทัพเรือเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงและจัดหาสิ่งอำนวยความสะดวกภายในท่าอากาศยานอู่ตะเภา จำนวน ๑๙ รายการ ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงกลาโหมและกระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำกับการพัฒนาท่าอากาศยานอู่ตะเภาให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล โดยเฉพาะในส่วนอาคารที่พักผู้โดยสารและพื้นที่ให้บริการเชิงพาณิชย์ เพื่อให้สามารถรองรับการให้บริการแก่ผู้โดยสาร สายการบิน และพร้อมสำหรับการตรวจสอบด้านการรักษาความปลอดภัยสากลจากองค์การการบินระหว่างประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) |
||||||||||||||||||||||||||||||
| 21376 | การดำเนินการให้เอกชนเข้าร่วมงานตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน - บางซื่อ (งานสัญญาที่ 5) | คค | 03/05/2559 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมรายงานผลการดำเนินการให้เอกชนเข้าร่วมงานตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-บางซื่อ (งานสัญญาที่ ๕) ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๕๙ [เรื่อง ขออนุมัติผลการเจรจาต่อรองกับ BEM สำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-บางซื่อ (งานสัญญาที่ ๕)] เกี่ยวกับผลการเจรจาระหว่างคณะกรรมการคัดเลือกเอกชนลงทุนงานระบบไฟฟ้าและรับจ้างดำเนินกิจการโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-บางซื่อ (งานสัญญาที่ ๕) กับบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BEM) และข้อเสนอแนะของที่ปรึกษา BBML รวมทั้งการปรับปรุงและยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนฯ โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-บางซื่อ ๒. รับทราบผลการเจรจาของคณะกรรมการคัดเลือกเอกชนลงทุนฯ ครั้งที่ ๓/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๕๙ ได้ข้อสรุปได้ว่า BEM ไม่สามารถลงทุนดำเนินงานช่วงเตาปูน-บางซื่อ (๑ สถานี) จนถึง พ.ศ. ๒๕๗๒ ได้ เพราะการลงทุนดำเนินงานเพียงช่วง ๑ สถานีมีรายได้ไม่เพียงพอกับต้นทุนการดำเนินงาน ทำให้เกิดการขาดทุนในการดำเนินงานเป็นอย่างมาก และหากรัฐเป็นผู้ลงทุนจ้าง BEM ดำเนินงานในรูปแบบ PPP-Gross Cost ก็จะเป็นภาระทางการเงินต่อรัฐอย่างมาก ๓. เห็นชอบให้ยุติการดำเนินการคัดเลือกเอกชนลงทุนงานระบบรถไฟฟ้าและรับจ้างดำเนินการกิจการโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-บางซื่อ ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ และให้ดำเนินการเดินรถช่วงเตาปูน-บางซื่อ รวมอยู่ในโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย ช่วงหัวลำโพง-บางแค และช่วงบางซื่อ-ท่าพระ ตามมติคณะกรรมการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (คณะกรรมการ รฟม.) เมื่อวันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๕๙ โดยให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เร่งรัดดำเนินการช่วงบางซื่อ-เตาปูน เพื่อให้เชื่อมต่อกับโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-เตาปูน เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนผู้โดยสารเป็นลำดับแรกก่อน ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคม และ รฟม. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งรัดการดำเนินการช่วงบางซื่อ-เตาปูน เพื่อให้เชื่อมต่อได้กับโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-เตาปูนให้แล้วเสร็จโดยเร็ว รวมทั้งเร่งรัดทำบัตรโดยสารร่วม (Common Ticket) และอัตราค่าโดยสารร่วม (Common Fare) ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และกำหนดเป็นเงื่อนไขให้เอกชนที่จะเป็นผู้ให้บริการเดินรถไฟฟ้าของโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยายและโครงการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนเส้นทางอื่น ๆ ในอนาคตจะต้องใช้บัตรโดยสารร่วมและอัตราค่าโดยสารร่วมดังกล่าวในการให้บริการประชาชน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. เห็นชอบให้ปรับปรุงและยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีในส่วนที่เกี่ยวกับการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนฯ สำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-บางซื่อ เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการดำเนินงานตามมติคณะกรรมการ รฟม. ได้แก่ ปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ และวันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๕๖ และยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๗ วันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๕๙ และวันที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๕๙ ตามข้อเสนอของกระทรวงคมนาคมและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเสนอเพิ่มเติม ๕. ให้คณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐและคณะกรรมการตามมาตรา ๓๕ แห่งพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย ช่วงหัวลำโพง-บางแค และช่วงบางซื่อ-ท่าพระ เร่งรัดดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย เพื่อให้สามารถคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนฯ เพื่อดำเนินงานเดินรถให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ทั้งนี้ ในขั้นตอนการดำเนินการให้ระมัดระวังเรื่องการเอื้อประโยชน์ต่อเอกชนรายใดรายหนึ่ง รวมทั้งคำนึงถึงประโยชน์ของประเทศเป็นหลักในการพิจารณา ๖. ให้กระทรวงคมนาคม และ รฟม. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการพิจารณาหาข้อยุติเกี่ยวกับแผนการอำนวยความสะดวกในช่วงระยะเวลาที่ยังไม่สามารถให้บริการเดินรถไฟฟ้าได้ให้แล้วเสร็จภายใน ๓ เดือน และต้องสามารถเปิดให้บริการตามแผนการอำนวยความสะดวกได้ก่อนที่โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-เตาปูน จะเปิดให้บริการ (มีกำหนดเปิดให้บริการในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๙) |
||||||||||||||||||||||||||||||
| 21377 | การแต่งตั้งบุคคลเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (จำนวน 6 คน 1. นายสุวัฒน์ เทพอารักษ์ ฯลฯ) | สว | 03/05/2559 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน จำนวน ๖ คน ตามที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินเสนอ ซึ่งได้รับความเห็นชอบของสภานิติบัญญัติแห่งชาติแล้ว โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๓ พฤษภาคม ๒๕๕๙) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. นายสุวัฒน์ เทพอารักษ์ ๒. รองศาสตราจารย์สังศิต พิริยะรังสรรค์ ๓. ศาสตราจารย์อุดม รัฐอมฤต ๔. ศาสตราจารย์ พลตำรวจตรี จักรพงษ์ วิวัฒน์วานิช ๕. นายเฉลิมศักดิ์ จันทรทิม ๖. นายสุทธิพล ทวีชัยการ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 21378 | สารคดีเฉลิมพระเกียรติ "นพรัชบรมราชจักรีวงศ์" (กระทรวงวัฒนธรรม) | วธ | 03/05/2559 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมรายงานการจัดทำสารคดีเฉลิมพระเกียรติ “นพรัชบรมราชจักรีวงศ์” เพื่อเผยแพร่พระราชประวัติและพระราชกรณียกิจของพระมหากษัตริย์ ๙ รัชกาล สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ ๑.๑ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการเพื่อสร้างบ้านสร้างเมืองแห่งใหม่ สมดังที่ทรงตั้งพระราชปณิธานไว้ว่า “ตั้งใจจะอุปถัมภก ยอยกพระพุทธศาสนา จะป้องกันขอบขัณฑสีมา รักษาประชาชนแลมนตรี” ๑.๒ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงอุปถัมภ์งานศิลปวัฒนธรรมของชาตินานัปการ จนได้รับการขนานนามว่าเป็น “ยุคทองของวรรณคดีและศิลปวัฒนธรรม” แห่งยุครัตนโกสินทร์ ๑.๓ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระปรีชาด้านการค้า และมีพระราชศรัทธาในการศาสนา รวมทั้งได้พระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์มาทำนุบำรุงบ้านเมืองและแก้วิกฤติชาติ ๑.๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเปิดรับวิทยาการใหม่ ๆ และขยายพระนครออกไปทางทิศตะวันออก รวมทั้งปรับปรุงเส้นทางคมนาคมให้ทันสมัย ชาวต่างชาติจึงเรียกช่วงรัชกาลนี้ว่า “ยุคสยามใหม่” ๑.๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงดำเนินพระบรมวิเทโศบายทำให้ชาติผ่านพ้นวิกฤต ด้วยพระอัจฉริยภาพ เช่น ทรงปฏิรูประบบบริหารราชการแผ่นดิน ทรงวางรากฐานการพัฒนาประเทศให้ทันสมัยทุกด้านไปพร้อมกัน ๑.๖ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงปลูกฝังให้คนไทยรักชาติ และทรงส่งเสริมให้ประชาชนได้รับการศึกษาในทุกระดับ ๑.๗ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจอันเป็นการเตรียมความพร้อมเข้าสู่การปกครองระบอบประชาธิปไตย และได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองในรัชสมัยของพระองค์ ๑.๘ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจน้อยใหญ่ตามราชประเพณี ยังความปลาบปลื้มแก่พสกนิกรไม่รู้ลืม ๑.๙ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงตั้งมั่นปฏิบัติพระราชกรณียกิจอย่างเต็มกำลัง ทรงดำรงพระชนม์ชีพด้วยความเรียบง่าย ยึดมั่นในทศพิธราชธรรม พระราชทานหลักในการดำเนินชีวิต “เศรษฐกิจพอเพียง” เพื่อให้พสกนิกร มีความสุขสมบูรณ์ทุกหมู่เหล่า สมดังพระปฐมบรมราชโองการว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงวัฒนธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำข้อมูลเกี่ยวกับพระราชประวัติและพระราชกรณียกิจของพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีทุกพระองค์ ให้มีเนื้อหาที่กระชับ เข้าใจง่าย และสอดคล้องกัน เพื่อให้ง่ายต่อการจดจำและสร้างการรับรู้ต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการพิจารณาส่งเสริมให้มีการพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้เข้าใจง่ายและน่าสนใจมากยิ่งขึ้นด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
| 21379 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ | 03/05/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๕๙ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติการให้บริการด้านนิติวิทยาศาสตร์ พ.ศ. .... ความตกลงองค์กรสำรองข้าวฉุกเฉินของอาเซียนบวกสาม และข้อเสนอของประเทศไทยในการขอจัดตั้งสำนักเลขานุการองค์กรสำรองข้าวฉุกเฉินของอาเซียนบวกสามในประเทศไทย ประกอบกับมติที่ประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านเกษตรและป่าไม้ กับรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน ญี่ปุ่น และสาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ ๑๒ และร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานของสำนักเลขานุการองค์กรสำรองข้าวฉุกเฉินของอาเซียนบวกสาม พ.ศ. .... ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน ๒. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยมอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) รับข้อสังเกตดังกล่าวประสานกับคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 21380 | ความตกลงการสำรองข้าวฉุกเฉินของอาเซียนบวกสาม และข้อเสนอของประเทศไทยในการขอจัดตั้งสำนักเลขานุการองค์กรสำรองข้าวฉุกเฉินของอาเซียนบวกสามในประเทศไทย ประกอบกับมติที่ประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านเกษตรและป่าไม้กับรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน ญี่ปุ่น และสาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ 12 และร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานของสำนักเลขานุการองค์กรสำรองข้าวฉุกเฉินของอาเซียนบวกสาม พ.ศ. .... | กษ | 03/05/2559 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๕๙ ซึ่งให้เสนอความตกลงการสำรองข้าวฉุกเฉินของอาเซียนบวกสาม และข้อเสนอของประเทศไทยในการขอจัดตั้งสำนักเลขานุการองค์กรสำรองข้าวฉุกเฉินของอาเซียนบวกสามในประเทศไทย ประกอบกับมติที่ประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านเกษตรและป่าไม้กับรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน ญี่ปุ่น และสาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ ๑๒ และร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานของสำนักเลขานุการองค์กรสำรองข้าวฉุกเฉินของอาเซียนบวกสาม พ.ศ. .... ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน
|
||||||||||||||||||||||||||||||
.....
