ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 144 จากทั้งหมด 483 หน้า แสดงรายการที่ 2861 - 2880 จากข้อมูลทั้งหมด 9647 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2861 | ร่างกฎกระทรวงตามแผนพัฒนากฎหมายของกรมสรรพสามิต กระทรวงการคลัง รวม 3 ฉบับ | กค | 20/03/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงตามแผนพัฒนากฎหมายของกรมสรรพสามิต กระทรวงการคลัง รวม ๓ ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการยกเว้นภาษีสุราสำหรับสุราที่ส่งออกไปนอกราชอาณาจักร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๑.๑ ให้ยกเลิกกฎกระทรวง ฉบับที่ ๖๗ (พ.ศ. ๒๕๒๑) ออกตามความในพระราชบัญญัติสุรา พ.ศ. ๒๔๙๓ ๑.๒ ให้ผู้ได้รับใบอนุญาตทำสุราซึ่งประสงค์จะส่งสุราที่ตนทำในราชอาณาจักรออกไปนอกราชอาณาจักร ต้องเป็นผู้ได้รับอนุญาตให้ส่งสุราออกไปนอกราชอาณาจักร จากพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายที่ควบคุมการส่งออกไปนอกราชอาณาจักรซึ่งสุรานั้นด้วย จึงจะยื่นคำขอยกเว้นภาษีสุราสำหรับสุราดังกล่าวได้ และให้แนบใบอนุญาตนั้นไปพร้อมกับการยื่นคำขอ ๑.๓ กำหนดให้สุราที่จะส่งออกไปนอกราชอาณาจักรโดยได้รับยกเว้นภาษีสุรา เป็นสุราที่ได้รับการยกเว้นให้ทำการขนได้โดยไม่ต้องมีใบอนุญาตขนสุรา ๑.๔ กำหนดเงื่อนไขในการจัดส่งสุราออกไปนอกราชอาณาจักรสำหรับผู้ได้รับใบอนุญาตทำสุราซึ่งได้รับยกเว้นภาษีสุรา ๒. ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการคืนภาษีสุราสำหรับสุราที่ส่งออกไปนอกราชอาณาจักร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๒.๑ ให้ยกเลิกกฎกระทรวง ฉบับที่ ๓๑ (พ.ศ. ๒๕๐๒) ออกตามความในพระราชบัญญัติสุรา พ.ศ. ๒๔๙๓ ๒.๒ ให้ผู้ส่งสุราออกไปนอกราชอาณาจักรโดยขอคืนค่าภาษีสุรายื่นคำขอต่อเจ้าพนักงานสรรพสามิต พร้อมทั้งแสดงหลักฐานว่าสุราที่จะส่งออกไปนั้นได้เสียค่าภาษีสุราครบถ้วนแล้ว ๓. ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติสุรา พ.ศ. ๒๔๙๓ มีสาระสำคัญคือ ให้ยกเลิกกฎกระทรวง ฉบับที่ ๖๒ (พ.ศ. ๒๕๑๙) ออกตามความในพระราชบัญญัติสุรา พ.ศ. ๒๔๙๓ และกฎกระทรวง ฉบับที่ ๗๕ (พ.ศ. ๒๕๒๓) ออกตามความในพระราชบัญญัติสุรา พ.ศ. ๒๔๙๓
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2862 | มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนที่ถูกดำเนินคดี | กค | 20/03/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนที่ถูกดำเนินคดี โดยยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีเงินได้นิติบุคคลให้กับบุคคลธรรมดาและบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลโดยทั่วไป ให้สามารถนำรายจ่ายในการสนับสุนน การจัดโครงการฝึกอบรมอาชีพและการจัดกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการบำบัด แก้ไข ฟื้นฟู และสงเคราะห์เด็กและเยาวชนในสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน และศูนย์ฝึกอบรมเด็กและเยาวชนในสังกัดกระทรวงยุติธรรมมาหักเป็นรายจ่ายเพื่อคำนวณภาษีได้ และอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างพระราชกฤษฎีกาฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับเงินได้เป็นจำนวนสองเท่าของจำนวนเงินที่บุคคลธรรมดาได้จ่ายให้แก่โครงการฝึกอบรมอาชีพและการจัดกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการบำบัด แก้ไข ฟื้นฟู และสงเคราะห์เด็กและเยาวชนในสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน และศูนย์ฝึกอบรมเด็กและเยาวชนในสังกัดกระทรวงยุติธรรม โดยให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนด ๑.๒ ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล สำหรับเงินได้เป็นจำนวนสองเท่าของรายจ่ายที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลได้จ่ายให้แก่โครงการฝึกอบรมอาชีพและการจัดกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการบำบัด แก้ไข ฟื้นฟู และสงเคราะห์เด็กและเยาวชนในสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน และศูนย์ฝึกอบรมเด็กและเยาวชนในสังกัดกระทรวงยุติธรรม โดยให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนด ๒. ให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณาทบทวนมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนในการให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมและเป็นภาระหน้าที่ของรัฐ เช่น การประหยัดพลังงาน การส่งเสริมพลังงานทดแทน การบริหารจัดการน้ำ และการสาธารณูปโภค เป็นต้น ให้สามารถนำรายจ่ายในการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าวมาลดหย่อนหรือยกเว้นภาษีเงินได้ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2863 | ร่างพระราชกฤษฎีกาการจ่ายเงินเดือน เงินปี บำเหน็จ บำนาญ และเงินอื่นในลักษณะเดียวกัน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างระเบียบว่าด้วยการจ่ายค่าจ้างลูกจ้างของส่วนราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 20/03/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกา และเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบ รวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาการจ่ายเงินเดือน เงินปี บำเหน็จ บำนาญ และเงินอื่นในลักษณะเดียวกัน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดให้ข้าราชการซึ่งได้รับอนุญาตให้ลาไปช่วยเหลือภริยาที่คลอดบุตรจะมีสิทธิได้รับเงินเดือนในระหว่างลาได้ไม่เกิน ๑๕ วันทำการ โดยมีเงื่อนไขว่า หากเป็นการลาภายใน ๓๐ วันแรก นับแต่วันที่ภริยาคลอดบุตรจะมีสิทธิได้รับเงินเดือนในระหว่างลา แต่ถ้าเป็นการลาไปช่วยเหลือภริยาที่คลอดบุตร ภายหลังจากที่พ้น ๓๐ วันแรก นับแต่วันที่ภริยาได้คลอดบุตรจะมีสิทธิได้รับเงินเดือนในระหว่างลาหรือไม่ ให้เป็นไปตามที่ผู้บังคับบัญชาตั้งแต่ตำแหน่งอธิบดีหรือตำแหน่งเทียบเท่าขึ้นไปพิจารณาเห็นสมควร ๑.๒ กำหนดให้ข้าราชการที่ลากิจส่วนตัวเพื่อเลี้ยงดูบุตรต่อเนื่องจากการลาคลอดบุตรไม่ได้รับเงินเดือนระหว่างลา ๑.๓ กำหนดให้ข้าราชการผู้ใดซึ่งยังไม่เคยอุปสมบทในพระพุทธศาสนา เว้นแต่เป็นการอุปสมบทโดยไม่ถือเป็นวันลาตามมติคณะรัฐมนตรี หรือยังไม่เคยประกอบพิธีฮัจญ์ ณ เมืองเมกกะ แล้วแต่กรณี ให้ลาโดยได้รับเงินเดือนระหว่างลาได้ไม่เกินหนึ่งร้อยยี่สิบวัน ๑.๔ กำหนดให้ข้าราชการซึ่งได้รับอนุญาตให้ลาเพื่อไปฟื้นฟูสมรรถภาพทางอาชีพมีสิทธิได้รับเงินเดือนในระหว่างลาได้ไม่เกินสิบสองเดือน ๒. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบว่าด้วยการจ่ายค่าจ้างลูกจ้างของส่วนราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๒.๑ กำหนดให้ลูกจ้างประจำซึ่งได้รับอนุญาตให้ลาไปช่วยเหลือภริยาที่คลอดบุตรจะมีสิทธิได้รับเงินเดือนในระหว่างลาได้ไม่เกิน ๑๕ วันทำการ โดยมีเงื่อนไขว่า หากเป็นการลาภายใน ๓๐ วันแรก นับแต่วันที่ภริยาคลอดบุตรจะมีสิทธิได้รับเงินเดือนในระหว่างลา แต่ถ้าเป็นการลาไปช่วยเหลือภริยาที่คลอดบุตร ภายหลังจากที่พ้น ๓๐ วันแรก นับแต่วันที่ภริยาได้คลอดบุตรจะมีสิทธิได้รับค่าจ้างในระหว่างลาหรือไม่ ให้เป็นไปตามที่ผู้บังคับบัญชาตั้งแต่ตำแหน่งอธิบดีหรือตำแหน่งเทียบเท่าขึ้นไปพิจารณาเห็นสมควร ๒.๒ กำหนดให้ลูกจ้างประจำผู้ใดซึ่งยังไม่เคยอุปสมบทในพระพุทธศาสนา เว้นแต่เป็นการอุปสมบทโดยไม่ถือเป็นวันลาตามมติคณะรัฐมนตรี หรือยังไม่เคยประกอบพิธีฮัจญ์ ณ เมืองเมกกะ แล้วแต่กรณี ให้ลาโดยได้รับค่าจ้างระหว่างลาได้ไม่เกินหนึ่งร้อยยี่สิบวัน ๒.๓ กำหนดให้ลูกจ้างประจำซึ่งได้รับอนุญาตให้ลาเพื่อไปฟื้นฟูสมรรถภาพทางอาชีพมีสิทธิได้รับค่าจ้างในระหว่างลาได้ไม่เกินสิบสองเดือน |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2864 | รายงานการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ 1 ปีงบประมาณ 2555 | กค | 20/03/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ ๑ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ (ตุลาคม - ธันวาคม ๒๕๕๔) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สินค้าฟุ่มเฟือยทั้ง ๑๗ กลุ่มสินค้า มีมูลค่านำเข้ารวม ๖๒๙.๔๘ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ (ตุลาคม - ธันวาคม ๒๕๕๓) จำนวน ๕๔.๕๓ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ ๙.๔๘ ๒. มูลค่าการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยทั้ง ๑๗ กลุ่มสินค้า เปรียบเทียบกับมูลค่านำเข้ารวมของสินค้าทุกชนิดในไตรมาสที่ ๑ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ (๕๔,๒๒๒.๑๗ ล้านดอลลาร์สหรัฐ) มูลค่านำเข้ามีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ ๑.๑๖ ของมูลค่านำเข้ารวม ๓. มูลค่านำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยในช่วงไตรมาสที่ ๑ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ มีมูลค่านำเข้าเพิ่มขึ้น ๙ กลุ่มสินค้า ตั้งแต่ร้อยละ ๒.๘๒ ถึง ๕๑.๙๓ ๔. สินค้าฟุ่มเฟือยที่มีมูลค่านำเข้าสูงสุด ๓ อันดับแรก ได้แก่ ผลไม้ มูลค่านำเข้า ๑๕๗.๘๔ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ ๕๑.๙๓ น้ำหอมและเครื่องสำอาง มูลค่านำเข้า ๙๒.๗๔ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ ๒.๘๒ และกระเป๋าหนังและเข็มขัดหนัง มูลค่านำเข้า ๗๒.๕๓ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ ๔๒.๓๘ ๕. สินค้าฟุ่มเฟือยในไตรมาสที่ ๑ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ มีอัตราการนำเข้าเพิ่มขึ้น ๙ กลุ่มสินค้า เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ และ ๕ อันดับแรก ที่มีอัตราการนำเข้าเพิ่มขึ้น ได้แก่ ผลไม้ กระเป๋าหนังและเข็มขัดหนัง สูท เสื้อ กระโปรง กางเกงสำหรับบุรุษ สตรี เด็กชาย เด็กหญิง และเนคไท ดอกไม้ และไวน์ มีอัตราการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ ๕๑.๙๓, ๔๒.๓๘, ๓๑.๗๗, ๑๘.๓๗ และ ๑๓.๗๘ ตามลำดับ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2865 | ขออนุมัติลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจกับ Korea Development Institute | กค | 20/03/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงการคลัง โดยสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กับ Korea Development Institute (KDI) (Memorandum of Understanding between the Korea Development Institute of the Republic of Korea and the State Enterprise Policy Office of the Kingdom of Thailand) โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและประสบการณ์ในเรื่องความร่วมมือระหว่างรัฐกับเอกชน (Public and Private Partnerships) เพื่อการพัฒนาด้านนโยบาย (Policies) และหน่วยงาน (institutions) โดยมีรูปแบบการแลกเปลี่ยน เช่น การแลกเปลี่ยนการเยือนของเจ้าหน้าที่ การแลกเปลี่ยนการอบรมระยะสั้น เป็นต้น ๒. อนุมัติให้ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ๓. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญก่อนมีการลงนาม ให้กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ หารือกับกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อพิจารณาดำเนินการในเรื่องนั้น ๆ ได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2866 | ข้อเสนอการขอรับเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ 2555 | กค | 20/03/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการเสนอขอรับเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จำนวน ๒,๓๕๐.๒๖๖ ล้านบาท และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) จำนวน ๑,๒๖๓.๔๔๖ ล้านบาท ตามความเห็นของคณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๕๔ และครั้งที่ ๒/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๔ เพื่อให้เป็นไปตามนัยข้อ ๗(๓) ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการให้เงินอุดหนุนบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๕๔ พร้อมทั้งเห็นชอบให้ รฟท. และ ขสมก. นำความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในคราวประชุมพิจารณาข้อเสนอการขอรับเงินอุดหนุนบริการสาธารณะของ รฟท. และ ขสมก. เมื่อวันที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๕๔ ไปดำเนินการต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการเร่งรัดการปรับโครงสร้างราคาค่าเดินรถ ค่าบริการที่สะท้อนต้นทุน การพิจารณาเพิ่มรายได้เชิงพาณิชย์ และการควบคุมค่าใช้จ่าย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. รับไปพิจารณาทบทวนการบริหารจัดการกิจการการรถไฟแห่งประเทศไทยในภาพรวม โดยเน้นการเพิ่มรายได้ การลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น การเพิ่มประสิทธิภาพ และการพัฒนาและใช้ประโยชน์จากที่ดินและทรัพย์สินของ รฟท. ให้มีมูลค่ามากยิ่งขึ้น แล้วจัดทำเป็นแผนงาน/โครงการให้ชัดเจน โดยให้หารือรายละเอียดกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๔. ให้กระทรวงคมนาคม โดย ขสมก. เร่งรัดดำเนินการเกี่ยวกับแผนฟื้นฟูกิจการขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพให้แล้วเสร็จ และนำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยเร็วต่อไป โดยแผนฟื้นฟูดังกล่าวอาจแบ่งออกเป็นระยะ (Phase) และให้มีการวิเคราะห์เปรียบเทียบความเหมาะสมคุ้มค่าของทางเลือกในการลงทุนทั้งในระยะสั้นและระยะยาวให้ชัดเจนและครอบคลุมค่าใช้จ่ายทั้งหมด เช่น กรณีการเช่า การซื้อ และการให้เอกชนเข้ามาดำเนินการรถประจำทาง (outsource) เป็นต้น ทั้งนี้ หากการดำเนินการตามแผนเรื่องใดมีความจำเป็นเร่งด่วนและมีผลกระทบต่อประชาชนโดยตรง ให้กระทรวงคมนาคมนำเรื่องนั้นเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาเป็นการเฉพาะเรื่องก่อนได้ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2867 | โครงการพัฒนาที่ราชพัสดุบริเวณสถานีขนส่งหมอชิต | กค | 20/03/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้มีการดำเนินโครงการพัฒนาที่ราชพัสดุบริเวณสถานีขนส่งหมอชิต และให้กระทรวงการคลังรับไปดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามขั้นตอนการเสนอโครงการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ ตลอดจนข้อกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กรมธนารักษ์พิจารณาทบทวนผลการศึกษารายงานการวิเคราะห์ความเหมาะสมของโครงการ โดยกำหนดสมมติฐานที่ใช้ในการประมาณการที่มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน โดยเฉพาะการปรับปรุงประมาณการวงเงินลงทุนโครงการ รายได้ และผลตอบแทนของโครงการ การพิจารณารูปแบบธุรกิจที่สอดคล้องกับสภาพการแข่งขันและความต้องการของตลาด การบริหารจัดการความเสี่ยงของโครงการระหว่างภาครัฐและเอกชน ทางเลือกของรูปแบบการให้เอกชนเข้าร่วมลงทุน รวมทั้งการกำหนดรูปแบบการบริหารจัดการใช้ประโยชน์พื้นที่ของโครงการที่มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านขนส่งและจราจรที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ ให้กระทรวงการคลังประสานกระทรวงคมนาคมในเรื่องการใช้พื้นที่โครงการสำหรับการพัฒนาสถานีขนส่งรถโดยสารประจำทางระหว่างจังหวัด เพื่อให้การศึกษาความเหมาะสมของโครงการมีความชัดเจน และสามารถกำหนดรูปแบบการใช้ประโยชน์พื้นที่ได้อย่างเหมาะสมและเกิดประโยชน์สูงสุด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2868 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรี กรณีขออนุมัติเงินงบกลางเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษา | กค | 20/03/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ (เรื่อง ขออนุมัติเงินงบกลางเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษา) โดยให้ยกเลิกข้อความในข้อ ๑ และให้ใช้ข้อความดังต่อไปนี้ แทน “๑. เห็นชอบในหลักการให้กระทรวงการคลัง (กรมธนารักษ์) ดำเนินการจ่ายเงินเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดกรณีการพัฒนาที่ราชพัสดุบริเวณสถานีขนส่งหมอชิต ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลัง (กรมธนารักษ์) ร่วมกับสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการเจรจาขอผ่อนผันการชำระหนี้ดังกล่าวกับบริษัทผู้ฟ้องคดี เพื่อมิให้เกิดผลกระทบกับการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยให้คำนึงถึงระยะเวลาการผ่อนชำระหนี้และภาระดอกเบี้ยด้วย แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง" ๒. ให้กระทรวงการคลังเร่งรัดการดำเนินการเกี่ยวกับการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวข้างต้นเพื่อดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบในการละเมิด ตามนัยพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ และการดำเนินการไล่เบี้ยความเสียหายในการชำระหนี้ดังกล่าวจากเอกชนคู่สัญญาที่เป็นต้นเหตุของความเสียหายในครั้งนี้ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และรายงานคณะรัฐมนตรีต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2869 | ร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ลดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) | กค | 20/03/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ลดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างประกาศกระทรวงการคลังฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. ปรับปริมาณค่ากำมะถันของน้ำมันดีเซล ในประเภทที่ ๐๕.๐๑ (๑) จากเดิมที่มีปริมาณกำมะถันเกินร้อยละ ๐.๐๓๕ โดยน้ำหนัก เป็นที่มีปริมาณกำมะถันเกินร้อยละ ๐.๐๐๕ โดยน้ำหนัก และ (๒) จากเดิมที่มีปริมาณกำมะถันไม่เกินร้อยละ ๐.๐๓๕ โดยน้ำหนัก เป็นมีปริมาณกำมะถันไม่เกินร้อยละ ๐.๐๐๕ โดยน้ำหนัก ๒. ขยายเวลาการปรับลดอัตราภาษีน้ำมันดีเซล ในประเภทที่ ๐๑.๐๕ (๒) น้ำมันดีเซลที่มีปริมาณกำมะถันไม่เกินร้อยละ ๐.๐๓๕ ซึ่งจะต้องปรับปริมาณค่ากำมะถันในครั้งนี้เป็นไม่เกินร้อยละ ๐.๐๐๕ โดยน้ำหนัก ในอัตราตามปริมาณลิตรละ ๐.๐๐๕ บาท และ (๕) น้ำมันดีเซลที่มีไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันผสมอยู่ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๔ ในอัตราตามปริมาณลิตรละ ๐.๐๐๕ บาท ออกไปอีก ๑ เดือน คือ ตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๕
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2870 | หลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างของทางราชการ | กค | 13/03/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ใช้หลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างของทางราชการที่กรมบัญชีกลาง โดยคณะกรรมการกำกับหลักเกณฑ์และตรวจสอบราคากลางงานก่อสร้าง คณะอนุกรรมการกำกับหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้าง คณะทำงานจัดทำและปรับปรุงหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้าง และหน่วยงานหลักด้านการก่อสร้าง (กรมโยธาธิการและผังเมือง กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท และกรมชลประทาน) ได้ดำเนินการทบทวนและปรับปรุงขึ้นใหม่ทั้งระบบ ประกอบด้วยหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างอาคาร หลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างทาง สะพาน และท่อเหลี่ยม หลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างชลประทาน รวมทั้งแนวทาง วิธีปฏิบัติ และรายละเอียดประกอบการคำนวณราคากลางงานก่อสร้าง โดยให้ส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐถือปฏิบัติเมื่อพ้นกำหนด ๓๐ วันนับแต่วันถัดจากวันที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติ ๑.๒ ในวันที่หลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างที่ทบทวนและปรับปรุงใหม่มีผลใช้บังคับ ให้ดำเนินการ ดังนี้ ๑.๒.๑ ยกเลิกหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐ (เรื่อง หลักเกณฑ์การกำหนดราคากลางงานก่อสร้าง) รวมทั้งหลักเกณฑ์ รายละเอียดประกอบ แนวทาง และวิธีปฏิบัติที่เกี่ยวข้องตามประกาศและหนังสือเวียนอื่นใด แล้วใช้หลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างที่ทบทวนและปรับปรุงใหม่แทน ๑.๒.๒ โครงการ/งานก่อสร้างใดที่ได้คำนวณราคากลางตามหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐ และอยู่ระหว่างการดำเนินการจัดจ้างก่อสร้าง ก็ให้ดำเนินการต่อไป ๑.๒.๓ โครงการ/งานก่อสร้างใดที่ได้คำนวณราคากลางตามหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐ ไว้เกิน ๓๐ วัน และยังไม่เริ่มดำเนินการจัดจ้างก่อสร้าง ให้คำนวณราคากลางใหม่โดยใช้หลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างที่ทบทวนและปรับปรุงใหม่ ๑.๒.๔ โครงการ/งานก่อสร้างใดที่ได้คำนวณราคากลางตามหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐ ไว้ไม่เกิน ๓๐ วัน และยังไม่เริ่มดำเนินการจัดจ้างก่อสร้าง ให้อยู่ในดุลยพินิจของหัวหน้าส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานอื่นของรัฐเจ้าของโครงการ/งานก่อสร้างนั้น ที่จะพิจารณาให้คำนวณราคากลางใหม่โดยใช้หลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างที่ทบทวนและปรับปรุงใหม่หรือไม่ ๑.๓ ให้สำนักงบประมาณและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องใช้หลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างที่ทบทวนและปรับปรุงใหม่ ประกอบการพิจารณาจัดสรรหรือตั้งงบประมาณสำหรับโครงการ/งานก่อสร้างของทางราชการด้วย ๒. การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างของทางราชการที่จะใช้ในการดำเนินการจัดจ้างก่อสร้างนั้น ให้คำนวณราคาตามความเป็นจริง โดยไม่นำวงเงินเผื่อเหลือเผื่อขาดร้อยละ ๕ มารวมคำนวณเป็นราคากลางด้วย ๓. ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีร่วมกับสำนักงบประมาณติดตามผลการดำเนินการตามหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างของโครงการต่าง ๆ ภายใต้โครงการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๕๕ และโครงการป้องกันปัญหาอุทกภัยต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ แล้วรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2871 | มาตรการภาษีเพื่อช่วยเหลือผู้ถูกรอนสิทธิในอสังหาริมทรัพย์ตามข้อกฎหมายว่าด้วยการจำกัดสิทธิในการใช้ที่ดิน | กค | 13/03/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้กระทรวงการคลังรับเรื่อง มาตรการภาษีเพื่อช่วยเหลือผู้ถูกรอนสิทธิในอสังหาริมทรัพย์ตามข้อกฎหมายว่าด้วยการจำกัดสิทธิในการใช้ที่ดิน ไปพิจารณา โดยให้หารือกับกระทรวงคมนาคมและกระทรวงพลังงานในประเด็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับการใช้อำนาจรัฐเหนืออสังหาริมทรัพย์ของประชาชน ที่ได้กำหนดขั้นตอนให้พนักงานเจ้าหน้าที่ทำความตกลงกับเจ้าของหรือผู้ครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมายซึ่งอสังหาริมทรัพย์เพื่อกำหนดลักษณะภาระในอสังหาริมทรัพย์นั้นก่อน ซึ่งหากเจ้าของหรือผู้ครอบครองดังกล่าวยินยอมก็จะได้รับเงินค่าทดแทนภาระในอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าว แต่หากเจ้าของหรือผู้ครอบครองนั้นไม่ยินยอมรัฐก็จะต้องใช้มาตรการทางกฎหมายบังคับ ดังนั้น การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับค่าทดแทนการรอนสิทธิในอสังหาริมทรัพย์ให้แก่บุคคลที่รัฐใช้อำนาจทางกฎหมายบังคับอาจทำให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองไม่ยินยอมทำความตกลงกับพนักงานเจ้าหน้าที่ในเรื่องดังกล่าว และเพื่อให้ได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ จึงควรพิจารณาผลกระทบในประเด็นดังกล่าวให้รอบคอบโดยเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ตามความเห็นของเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2872 | การปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2555 ครั้งที่ 2 | กค | 13/03/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและรับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๒ ที่มีวงเงินปรับเพิ่มขึ้น ๔๔๗,๐๖๑.๐๑ ล้านบาท จากเดิม ๑,๖๕๐,๙๖๕.๔๐ ล้านบาท เป็น ๒,๐๙๘,๐๒๖.๔๒ ล้านบาท โดยประเด็นสำคัญที่มีการปรับปรุงในครั้งนี้ ได้แก่ การที่กระทรวงการคลังขอปรับเพิ่มวงเงินการก่อหนี้ใหม่ในประเทศอีก ๔๕๐,๐๐๐ ล้านบาท จากวงเงินเดิม ๓๕๐,๐๐๐ ล้านบาท รวมเป็น ๘๐๐,๐๐๐ ล้านบาท สำหรับวงเงินก่อหนี้ใหม่ที่เพิ่มขึ้นมาจากการกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๕๐,๐๐๐ ล้านบาท เพื่อให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ การกู้เงินเพื่อวางระบบบริหารจัดการน้ำ เพื่อรองรับการกู้เงินตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๓๕๐,๐๐๐ ล้านบาท และการกู้เงินเพื่อนำส่งเข้ากองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ จำนวน ๕๐,๐๐๐ ล้านบาท เพื่อรองรับการกู้เงินภายใต้พระราชกำหนดกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ พ.ศ. ๒๕๕๕ ๒. รับทราบแผนการกู้เงินเพื่อเสริมสภาพคล่องในรูป Credit line ของบริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด วงเงิน ๓๐ ล้านบาท ๓. อนุมัติการกู้เงินและการค้ำประกันเงินกู้ในประเทศและต่างประเทศภายใต้กรอบวงเงินของแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๒ ๔. อนุมัติให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไขและรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงินและการค้ำประกันในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ปรับปรุงครั้งที่ ๒ แต่หากรัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการกู้เงินได้เอง ก็ให้สามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2873 | มาตรการการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัย | กค | 06/03/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐนำมาตรการการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัยที่คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ (กวพ.) ได้พิจารณาแล้วในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๕/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ และครั้งที่ ๖/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ โดยกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการก่อสร้างในภาคใต้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัยที่เกิดขึ้นในช่วงระหว่างวันที่ ๒๓ มีนาคม - ๑๘ เมษายน ๒๕๕๔ และการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการก่อสร้างและผู้ประกอบการอื่นที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นในช่วงระหว่างวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๔ - ๑๖ มกราคม ๒๕๕๕ ไปถือปฏิบัติในแนวทางเดียวกัน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยนำมาตรการการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัยตามมติที่ประชุม กวพ. ดังกล่าวไปใช้บังคับในการจัดซื้อจัดจ้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษโดยอนุโลม ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ทั้งนี้ หน่วยงานต่าง ๆ ของภาครัฐต้องดำเนินการอย่างรัดกุมและปฏิบัติต่อคู่สัญญาภาครัฐทั้งหมดให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและเท่าเทียมกันด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2874 | กรอบการใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. 2555 | กค | 06/03/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ เรื่อง กรอบการใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ โดยมีสาระสำคัญของมติคณะรัฐมนตรี ดังนี้
๑. อนุมัติกรอบการใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงิน ๓๕๐,๐๐๐ ล้านบาท จัดสรรเป็น ๓ ส่วน คือ การลงทุนตามแผนปฏิบัติการบรรเทาอุทกภัยในพื้นที่ลุ่มน้ำแบบบูรณาการและยั่งยืน (กรณีลุ่มน้ำเจ้าพระยา) ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ ๘ ลุ่มน้ำ วงเงิน ๓๐๐,๐๐๐ ล้านบาท การลงทุนตามแผนปฏิบัติการในพื้นที่ลุ่มน้ำอีก ๑๗ ลุ่มน้ำ ในวงเงิน ๔๐,๐๐๐ ล้านบาท และการลงทุนตามยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ วงเงิน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยมีรายละเอียดของกรอบการใช้จ่ายเงินกู้ฯ ดังนี้ ๑.๑ แผนงานฟื้นฟูและอนุรักษ์ป่าและระบบนิเวศ กรอบวงเงินจำนวน ๖๐,๐๐๐ ล้านบาท โดยแบ่งเป็นโครงการฟื้นฟู และอนุรักษ์ดินต้นน้ำ โดยการปลูกป่า สร้างฝายแม้ว และอนุรักษ์ดินต้นน้ำ ของแม่น้ำปิง วัง ยม น่าน สะแกกรัง ท่าจีน และป่าสัก จำนวน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท และสร้างอ่างเก็บน้ำในลุ่มน้ำยม ลุ่มน้ำสะแกกรัง ลุ่มน้ำน่าน และลุ่มน้ำป่าสัก จำนวน ๕๐,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๒ แผนงานฟื้นฟูและปรับปรุงประสิทธิภาพสิ่งก่อสร้างเดิมหรือตามแผนที่วางไว้ จำนวน ๑๗๗,๐๐๐ ล้านบาท โดยแบ่งเป็นโครงการจัดทำทางน้ำหลาก (floodway) และหรือทางผันน้ำ (flood diversion channel) รวมทั้งถนนและอาคารองค์ประกอบเพื่อรับน้ำหลากจากแม่น้ำป่าสักและแม่น้ำเจ้าพระยาไปทางตะวันออกหรือทั้งสองฝั่ง จำนวน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท การจัดทำผังการใช้ที่ดินและหรือการใช้ประโยชน์ที่ดินในผัง รวมทั้งจัดทำพื้นที่ปิดล้อม จำนวน ๕๐,๐๐๐ ล้านบาท และการปรับปรุงสภาพลำน้ำสายหลักและคันริมแม่น้ำส่วนที่เหลือ จำนวน ๗,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๓ แผนงานพัฒนาคลังข้อมูล ระบบพยากรณ์ และเตือนภัย โดยการจัดทำระบบฐานข้อมูล ระบบพยากรณ์ ระบบเตือนภัย แผนเผชิญเหตุ รวมทั้งจัดตั้งองค์กร กฎระเบียบที่จำเป็นและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน จำนวน ๓,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๔ แผนงานการกำหนดพื้นที่รับน้ำนอง และมาตรการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการใช้พื้นที่เพื่อการรับน้ำ โดยการปรับปรุงพื้นที่เกษตรชลประทานให้เป็นแก้มลิง แม่น้ำประมาณ ๒ ล้านไร่ ประกอบด้วยพื้นที่ชลประทานของโครงการพิษณุโลกและของโครงการเจ้าพระยาใหญ่และพื้นที่ชุ่มน้ำขนาดใหญ่ จำนวน ๖๐,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๕ แผนการดำเนินการบริหารจัดการน้ำของ ๑๗ ลุ่มน้ำที่เหลือ จำนวน ๔๐,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๖ แผนการดำเนินการตามยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ จำนวน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ๒. ให้กระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการ่วมกันพิจารณาปรับปรุงข้อความในเอกสารกรอบการใช้จ่ายเงินกู้ฯ ในภาพรวมให้เหมาะสมและให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2875 | การบริจาคเงินเพิ่มทุนกองทุนพัฒนาเอเชีย (ADF) ครั้งที่ 10 ของกองทุน ADF XI | กค | 06/03/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้เข้าร่วมการบริจาคเพิ่มทุนกองทุนพัฒนาเอเชีย [Asian Development Fund (ADF)] ครั้งที่ ๑๐ ของกองทุน ADF XI ภายใต้ธนาคารพัฒนาเอเชีย [Asian Development Bank (ADB)] ทั้งนี้ เพื่อให้คงสัดส่วนเพิ่มทุนในกองทุน ADF ครั้งที่ ๑๐ ของกองทุน ADF XI ของประเทศไทยอยู่ที่ระดับไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๐.๐๘ ของกองทุนทั้งหมด เนื่องจากประเทศไทยมีนโยบายที่จะให้ความช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนาที่มีความยากจน ประกอบกับการเข้าร่วมการเพิ่มทุนของกองทุน ADF XI จะเป็นส่วนช่วยสำคัญต่อประเทศในกลุ่มลุ่มแม่น้ำโขง [Greater Mekong Subregion (GMS)] เช่น ลาว กัมพูชา และพม่า โดยประเทศไทยจะมีบทบาทในการผลักดันให้ ADB เพิ่มความสำคัญให้แก่การพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจและสังคมของกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านของไทยในฐานะที่เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจและการลงทุนในภูมิภาค ซึ่งจะเป็นการเสริมสร้างการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยในระยะยาว ๑.๒ เห็นชอบให้บริจาคเงินในวงเงินไม่เกิน ๑๖๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท และให้คงสัดส่วนการบริจาคส่วนบริจาคพื้นฐานไม่ต่ำกว่าการเพิ่มทุนกองทุน ADF ครั้งที่ ๙ ของกองทุน ADF X ๑.๓ เห็นชอบ Instrument of Contribution หรือ Promissory Note ของการบริจาคเงินเพิ่มทุนกองทุน ADF ครั้งที่ ๑๐ ของกองทุน ADF XI ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า ในการประชุมเจรจาการเพิ่มทุนกองทุน ADF ครั้งที่ ๑๐ ของกองทุน ADF XI รอบที่ ๓ ที่จะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ ๗ - ๘ มีนาคม ๒๕๕๕ ณ สำนักงานใหญ่ ADB กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ ขอให้ประเทศไทยเน้นย้ำการพัฒนาที่จะสนับสนุนการรวมตัวของภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเชื่อมโยงตามแผนแม่บทว่าด้วยการเชื่อมโยงระหว่างกันในอาเซียน เพื่อนำไปสู่การเป็นประชาคมอาเซียนในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ประเทศไทยและภูมิภาคอย่างยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2876 | แนวทางการดำเนินงานตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน เพื่อวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. 2555 | กค | 06/03/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๕๕ [เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๕] โดยให้ยกเลิกคณะกรรมการบริหารจัดการกรอบเงินลงทุน เนื่องจากมีอำนาจหน้าที่ซ้ำซ้อนกับการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ และคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย ที่ตั้งขึ้นตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๕ ๒. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารโครงการเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ เกี่ยวกับการบริหารโครงการ การจัดหาพัสดุ การจัดหาเงินกู้ การเบิกจ่ายเงินกู้ และการบริหารเงินกู้ รวมทั้งการติดตามประเมินผลการดำเนินงานตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเพิ่มเติมข้อความในร่างระเบียบฯ ว่าเมื่อหน่วยงานเจ้าของโครงการได้รับอนุมัติโครงการแล้ว ให้คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) เสนอคณะรัฐมนตรีทราบก่อนดำเนินโครงการ เพื่อให้สอดคล้องกับกรอบการใช้จ่ายเงินกู้ที่คณะรัฐมนตรีได้เคยเสนอต่อรัฐสภาไว้แล้ว ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ ส่วนขั้นตอนการอนุมัติโครงการ เห็นควรให้มีที่ปรึกษาทำหน้าที่วิเคราะห์และกลั่นกรองแผนงาน/โครงการด้านเทคนิคเพื่อให้เกิดความรอบคอบและรัดกุม รวมทั้งในการติดตามและประเมินผลโครงการ เห็นควรให้ดำเนินการในรูปแบบของคณะกรรมการติดตามและประเมินผล ประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิและหน่วยงานที่ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียจากการอนุมัติโครงการ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. อนุมัติให้ใช้เงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ (Structural Adjustment Loan : SAL) วงเงิน ๓๙ ล้านบาท ที่คงเหลืออยู่ในบัญชีเงินฝากเงินกู้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของกระทรวงการคลัง เพื่อสนับสนุนการจัดเตรียมระบบฐานข้อมูลและระบบงานเพื่อรองรับการบริหารโครงการเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตของประเทศ ทั้งนี้ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นผู้อนุมัติรายละเอียดและวงเงินโครงการและรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบ ๔. อนุมัติให้ใช้เงินกู้ SAL วงเงิน ๓๕ ล้านบาท ที่คงเหลือจากการดำเนินโครงการตามแผนปฏิรูประบบบริหารภาครัฐที่ยังไม่มีแผนงานรองรับของสำนักงาน ก.พ.ร. เพื่อสนับสนุนระบบการติดตามและรายงานความก้าวหน้าการดำเนินโครงการฟื้นฟู เยียวยา ผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย (Project Financial Monitoring System - Flood Recovery Project : PFMS - FRP) ของศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2877 | แนวทางการรับประกันภัยพิบัติภายใต้พระราชกำหนดกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ พ.ศ. 2555 | กค | 06/03/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแนวทางการรับประกันภัย ตามมติคณะกรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ วงเงินความคุ้มครองและการจำกัดความรับผิดของกรมธรรม์ประกันภัยพิบัติ (sub limit) แบ่งตามประเภทของผู้เอาประกันภัยเป็น ๓ ประเภท ในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ได้แก่ กลุ่มบ้านอยู่อาศัย วงเงินความคุ้มครองไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท คิดอัตราเบี้ยประกันภัยที่ร้อยละ ๐.๕ ต่อปี ของวงเงินความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยพิบัติ กลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) หมายถึง ธุรกิจที่มีทุนประกันภัยไม่เกิน ๕๐ ล้านบาท จะจำกัดความรับผิดของกรมธรรม์ภัยพิบัติที่ไม่เกินร้อยละ ๓๐ ของทุนประกันภัย คิดอัตราเบี้ยประกันภัยที่ร้อยละ ๑.๐ ต่อปี ของวงเงินความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยพิบัติ และกลุ่มอุตสาหกรรม หมายถึง ธุรกิจที่มีทุนประกันภัยตั้งแต่ ๕๐ ล้านบาทขึ้นไป จะจำกัดความรับผิดของกรมธรรม์ภัยพิบัติที่ไม่เกินร้อยละ ๓๐ ของทุนประกันภัย คิดอัตราเบี้ยประกันภัยที่ร้อยละ ๑.๒๕ ต่อปี ของวงเงินความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยพิบัติ ๑.๒ เกณฑ์การจ่ายค่าสินไหมทดแทนของกรมธรรม์ประกันภัยพิบัติ (Trigger) ครอบคลุมประเภทภัยพิบัติรวม ๓ ภัย ได้แก่ วาตภัย อุทกภัย และธรณีพิบัติภัย ๑.๓ วิธีการจ่ายค่าสินไหมทดแทน บริษัทประกันภัยจะสำรวจและประเมินความเสียหายโดยจะจ่ายตามความเสียหายที่เกิดขึ้นจริงแต่ไม่เกินวงเงินความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยพิบัติในทุกกรณี ยกเว้นกรณีอุทกภัยในกลุ่มบ้านอยู่อาศัย เนื่องจากมีผู้เอาประกันภัยจำนวนมาก โดยหากน้ำท่วมพื้นที่อาคารจ่ายค่าสินไหมทดแทนที่ ๓๐,๐๐๐ บาท หากระดับน้ำสูง ๕๐ เซนติเมตร ๗๕ เซนติเมตร และ ๑๐๐ เซนติเมตรจากพื้นที่อาคาร จะจ่ายค่าสินไหมทดแทนที่ ๕๐,๐๐๐ บาท ๗๕,๐๐๐ บาท และ ๑๐๐,๐๐๐ บาท ตามลำดับ ๑.๔ ประมาณการวงเงินความคุ้มครองของกรมธรรม์ประกันภัยพิบัติ คาดว่าจะมีความต้องการเอาประกันภัยพิบัติเฉลี่ยที่ร้อยละ ๙๐.๔๕ ของจำนวนกรมธรรม์ทั้งหมดในปัจจุบัน โดยในกลุ่มบ้านอยู่อาศัย จำนวน ๑.๓ ล้านกรมธรรม์ในปัจจุบัน คาดว่าจะมีความต้องการเอาประกันภัยพิบัติทั้งหมด ในขณะที่กลุ่ม SMEs และอุตสาหกรรม อีกประมาณ ๒๔๕,๐๐๐ กรมธรรม์ คาดว่าร้อยละ ๙๐ จะมีความต้องการเอาประกันภัยพิบัติ ดังนั้น ประมาณการวงเงินความคุ้มครองรวมของกรมธรรม์ประกันภัยพิบัติจะอยู่ที่ระดับ ๒,๕๙๘,๔๘๖ ล้านบาท ๑.๕ ค่าสินไหมทดแทนที่อาจเป็นไปได้สูงสุด (Probable Maximum Loss : PML) ที่เหมาะสมสำหรับกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติในการบริหารความเสี่ยงควรอยู่ที่ระดับ ๓๐๐,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๖ ความเสี่ยงของรัฐบาล โดยที่กองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติมีวงเงินในการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านภัยพิบัติ จำนวน ๕๐,๐๐๐ ล้านบาท สามารถบริหารจัดการเพื่อรองรับความเสียหายสูงสุดที่ ๓๐๐,๐๐๐ ล้านบาท อย่างไรก็ตาม หากเกิดภัยพิบัติที่ไม่คาดคิด ทำให้ความเสียหายสูงกว่า ๓๐๐,๐๐๐ ล้านบาท ซึ่งเกินกว่าความสามารถของกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติในการบริหารจัดการความเสียหาย ในส่วนนี้รัฐบาลจำเป็นต้องเข้ามาดูแลรับผิดชอบ โดยคาดว่ารัฐบาลจะมีความเสี่ยงสูงสุดที่ ๒,๒๙๘,๔๘๖ ล้านบาท ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้กองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติเป็นหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ของกองทุนได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายว่าด้วยรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้กระทรวงการคลังรับข้อสังเกตของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติคำนึงถึงการบริหารจัดการความเสี่ยงในระยะยาว และมีการประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนทุกปี เพื่อให้การบริหารงานเป็นไปอย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ ส่วนการกำหนดจำนวนค่าสินไหมทดแทนรวมของผู้เอาประกันภัยภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยพิบัติให้ต้องมากกว่า ๕,๐๐๐ ล้านบาท ต่อหนึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายใน ๖๐ วัน อาจเป็นจำนวนค่าสินไหมทดแทนรวมต่อครั้งที่สูงเกินไป เห็นควรให้คณะกรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติลดข้อกำหนดจำนวนค่าสินไหมทดแทนรวมต่อครั้งให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2878 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีกรณีการบริจาคเงินและทรัพย์สินให้แก่กองทุนส่งเสริมงานวัฒนธรรม) | กค | 28/02/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้ยกเว้นภาษีเงินได้ สำหรับการบริจาคให้แก่กองทุนส่งเสริมงานวัฒนธรรมตามกฎหมายว่าด้วยวัฒนธรรมแห่งชาติ โดยกรณีบุคคลธรรมดา ให้ยกเว้นสำหรับเงินได้พึงประเมินหลังจากหักค่าใช้จ่ายและหักค่าลดหย่อนเท่าจำนวนเงินที่บริจาค แต่เมื่อรวมกับเงินบริจาคแล้วต้องไม่เกินร้อยละสิบของเงินได้พึงประเมินหลังจากหักค่าใช้จ่ายและหักลดหย่อนนั้น ส่วนกรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ให้ยกเว้นสำหรับเงินได้เท่าจำนวนเงินหรือราคาทรัพย์สินที่บริจาค แต่เมื่อรวมกับรายจ่ายเพื่อการกุศลสาธารณะ หรือเพื่อการสาธารณประโยชน์แล้ว ต้องไม่เกินร้อยละสองของกำไรสุทธิ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีดังกล่าวอาจส่งผลต่อการจัดเก็บภาษีแม้จะเป็นจำนวนเล็กน้อย แต่เมื่อรวมกับการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอื่น ๆ ที่รัฐบาลมีมติยกเว้นรัษฎากรในช่วงที่ผ่านมา อาจทำให้รัฐบาลสูญเสียรายได้ทางภาษีจากข้อยกเว้นรัษฎากรไปจำนวนหนึ่ง ดังนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรมีการศึกษาและทบทวนการยกเว้นประมวลรัษฎากรในช่วงที่ผ่านมาเพื่อหาแนวทางการยกเลิกรายการ การยกเว้นต่าง ๆ ในประมวลรัษฎากรในส่วนที่ไม่จำเป็นเพื่อเป็นการเพิ่มช่องทางในการจัดเก็บภาษีเพื่อเพิ่มรายได้ให้กับภาครัฐมากขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2879 | มาตรการและแนวทางการเร่งรัดติดตามการใช้จ่ายเงินประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | กค | 28/02/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการและแนวทางการเร่งรัดติดตามการใช้จ่ายเงินประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามมติคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานกรรมการ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. มาตรการเร่งรัดการใช้จ่ายเงิน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ๑.๑ การเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายลงทุนไม่น้อยกว่าร้อยละ ๗๒ ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายลงทุนของแต่ละหน่วยงาน ๑.๒ การเบิกจ่ายงบประมาณในภาพรวมไม่น้อยกว่าร้อยละ ๙๓ ของวงเงินงบประมาณรายจ่าย จำนวน ๒,๓๘๐,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๓ การเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาอุทกภัยจากเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปีของส่วนราชการ รวมทั้งงบกลาง รายการสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ที่กันไว้เบิกเหลื่อมปีไม่น้อยกว่าร้อยละ ๑๐๐ ของวงเงินที่ได้รับอนุมัติ ๑.๔ ให้ส่วนราชการ และรัฐวิสาหกิจ เร่งรัดการก่อหนี้ผูกพันรายลงทุนทั้งในส่วนของโครงการปีเดียวและโครงการผูกพันให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลา ๓ เดือน หลังจากได้รับจัดสรรงบประมาณ ๑.๕ ให้หน่วยงานที่ได้รับจัดสรรเงินโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ เร่งรัดการดำเนินงานและการเบิกจ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ๑.๖ ให้นำผลการเบิกจ่ายเงินตามเป้าหมายที่คณะรัฐมนตรีกำหนดเป็นตัวชี้วัดในคำรับรองการปฏิบัติราชการของส่วนราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ๒. แนวทางการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๒.๑ ส่วนราชการ จังหวัด และรัฐวิสาหกิจ ๒.๑.๑ ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจถือปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘ โดยเร่งดำเนินการโอนจัดสรรงบประมาณรายจ่ายของแผนงบประมาณ แผนงบประมาณในเชิงบูรณาการ ผลผลิตหรือโครงการ ประเภทงบรายจ่าย และรายการในงบรายจ่ายที่ต้องดำเนินการในเขตพื้นที่จังหวัด ยกเว้นงบบุคลากรประเภทเงินเดือนและค่าจ้างประจำ ไปยังสำนักเบิกส่วนภูมิภาคนั้น ๆ อย่างช้าไม่เกิน ๑๕ วัน นับตั้งแต่วันที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณ ๒.๑.๒ ให้ส่วนราชการและจังหวัดทำแผนการใช้จ่ายเงินงบประมาณตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่สำนักงบประมาณกำหนด ภายใต้วงเงินงบประมาณที่ได้รับตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ให้สำนักงบประมาณพิจารณาก่อนพระราชบัญญัติฯ ประกาศใช้ ประมาณ ๑๕ วัน ๒.๑.๓ ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเร่งรัดการดำเนินโครงการ/รายการ ในการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย ที่ใช้จ่ายจากเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ และค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาอุทกภัย จากเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปี เพื่อให้เป็นไปตามแผนปฏิบัติงาน และแผนการใช้จ่ายเงินของแต่ละหน่วยงาน ๒.๑.๔ การโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ให้ส่วนราชการเร่งดำเนินการ กรณีรายการโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณที่ต้องทำความตกลงกับสำนักงบประมาณ โดยส่งเรื่องให้สำนักงบประมาณ ภายในวันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๕๕ ๒.๑.๕ การเร่งรัดติดตามการใช้จ่ายเงิน ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดกำกับหน่วยงานในสังกัดให้ปฏิบัติตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินอย่างเคร่งครัด และให้ส่วนราชการ จังหวัด และรัฐวิสาหกิจแต่งตั้งคณะกรรมการหรือคณะทำงานในการเร่งรัดการใช้จ่ายเงินในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ พร้อมทั้งรายงานปัญหาอุปสรรคจากการดำเนินงานที่ไม่เป็นไปตามแผน หรือการปรับแผนต่อคณะกรรมการหรือคณะทำงานดังกล่าวอย่างช้าก่อนสิ้นไตรมาส รวมทั้งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมอบหมายให้คลังจังหวัดดำเนินการเร่งรัดการใช้จ่ายเงินของหน่วยงานในจังหวัดเพื่อให้เป็นไปตามแผนการใช้จ่ายเงิน ๒.๒ หน่วยงานกลาง ๒.๒.๑ ให้กรมบัญชีกลางรายงานผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นรายไตรมาส ๒.๒.๒ ให้กระทรวงมหาดไทย โดยกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น รายงานผลการใช้จ่ายเงินและปัญหาอุปสรรคขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พร้อมทั้งแนวทางแก้ไขปัญหาให้คณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐเป็นรายไตรมาส ๒.๒.๓ ให้นำผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณและแผนการใช้จ่ายเงินเป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการงบประมาณ เร่งรัดการปฏิบัติงานและการเบิกจ่ายเงินงบประมาณ รวมทั้งนำผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณเทียบกับแผนการใช้จ่ายเงินให้สำนักงบประมาณใช้ประกอบการพิจารณาจัดสรรงบประมาณในปีต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2880 | การจัดตั้งทุนหมุนเวียนของหน่วยงานของรัฐ | กค | 22/02/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการดำเนินการตามความเห็น ข้อสังเกต และข้อเสนอแนะของคณะกรรมการกลั่นกรองการจัดตั้งทุนหมุนเวียน ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๕๕ เกี่ยวกับการขอจัดตั้งกองทุนการตรวจพิสูจน์พยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ของกระทรวงยุติธรรม (สถาบันนิติวิทยาศาสตร์) และการขอจัดตั้งกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีแห่งชาติ ของสำนักนายกรัฐมนตรี และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการโดยเร็วต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. กรณีกระทรวงยุติธรรม (สถาบันนิติวิทยาศาสตร์) คณะกรรมการกลั่นกรองฯ มีข้อสังเกตว่าการดำเนินการไม่เป็นไปตามกรอบคู่มือการขอจัดตั้งทุนหมุนเวียนของทางราชการ โดยขาดความชัดเจนในสาระสำคัญด้านการบริหารงานในรูปแบบทุนหมุนเวียน เช่น การกำหนดแหล่งที่มาของรายได้ไม่ชัดเจน รวมทั้งมีลักษณะพึ่งพิงจากเงินงบประมาณเป็นหลัก ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อสถานะและการบริหารงานของกองทุนการตรวจพิสูจน์ฯ ในอนาคต และการกำหนดโครงสร้างผู้รับผิดชอบในการบริหารกองทุนการตรวจพิสูจน์ฯ และกลุ่มเป้าหมายของผู้รับบริการกองทุนการตรวจพิสูจน์ฯ ยังขาดความชัดเจนเป็นรูปธรรม จึงไม่เห็นควรให้จัดตั้งกองทุนการตรวจพิสูจน์ฯ พร้อมทั้งมีข้อเสนอแนะ ดังนี้ ๑.๑ ควรทบทวนรูปแบบในการบริหารจัดการกองทุนการตรวจพิสูจน์ฯ เนื่องจากแนวทางการจัดตั้งเป็นทุนหมุนเวียนจะไม่เอื้ออำนวยต่อการดำเนินการตามเจตนารมณ์แห่งร่างพระราชบัญญัติการตรวจพิสูจน์พยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ พ.ศ. .... ๑.๒ กรณีที่มีเหตุผลความจำเป็นในการดำเนินงานตามสาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติฯ สามารถถือปฏิบัติตามกฎหมายวิธีการงบประมาณ ซึ่งจะมีความเหมาะสมและคล่องตัวมากยิ่งขึ้น ๑.๓ ทบทวนและปรับปรุงสาระสำคัญในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการจัดตั้งกองทุนการตรวจพิสูจน์ฯ ในร่างพระราชบัญญัติฯ ก่อนนำเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาตามลำดับต่อไป ๒. กรณีสำนักนายกรัฐมนตรี คณะกรรมการกลั่นกรองฯ ไม่มีประเด็นพิจารณาความเหมาะสมของการจัดตั้งกองทุนพัฒนาฯ เนื่องจากมีการจัดตั้งกองทุนพัฒนาฯ โดยบรรจุในร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ และอยู่ระหว่างการพิจารณาของรัฐสภาก่อนมีผลบังคับใช้เป็นกฎหมาย อย่างไรก็ตาม เพื่อให้การบริหารงานกองทุนพัฒนาฯ เกิดประโยชน์ต่อทางราชการได้อย่างแท้จริงและสอดคล้องตามนโยบายของรัฐบาล คณะกรรมการกลั่นกรองฯ มีข้อเสนอแนะประกอบการพิจารณา ดังนี้ ๒.๑ ในร่างพระราชบัญญัติฯ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ มาตรา ๓๒ (๓) บัญญัติให้ตั้งงบประมาณรายจ่ายของกองทุนและเงินทุนหมุนเวียนในชื่อ “กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี” วงเงินจำนวน ๑,๗๒๐ ล้านบาท ดังนั้น การพิจารณายกร่างระเบียบที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องกำหนดชื่อกองทุนให้มีความสอดคล้องกับสาระสำคัญในร่างพระราชบัญญัติฯ เพื่อมิให้เป็นอุปสรรคในการเบิกจ่ายเงินกองทุนพัฒนาฯ ในอนาคต ๒.๒ ในร่างกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องในการบริหารกองทุนพัฒนาฯ ควรต้องถือปฏิบัติตามกรอบคู่มือการขอจัดตั้งทุนหมุนเวียนของทางราชการ เช่น การจัดทำรายงานการรับและการใช้จ่ายเงินที่ไม่ต้องนำส่งเป็นรายได้แผ่นดินตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๑๗๐ และทุนหมุนเวียนที่จัดตั้งขึ้นแล้วต้องเข้าสู่ระบบประเมินผลการดำเนินงานของกระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) เป็นต้น ๒.๓ เพื่อให้การดำเนินการของกองทุนพัฒนาฯ เป็นส่วนหนึ่งในการบูรณาการสนับสนุนการดำเนินงานเชิงสังคมของรัฐ ควรมีข้อกำหนดที่ชัดเจนในร่างกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการบริหารกองทุนพัฒนาฯ ในประเด็นของเจตนารมณ์ หลักการและเหตุผล วัตถุประสงค์ และอำนาจหน้าที่การบริหารกองทุนพัฒนาฯ เป็นต้น ๒.๔ เนื่องจากสำนักงานคณะกรรมการกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีแห่งชาติไม่มีสถานะเป็นนิติบุคคล จึงมีข้อจำกัดในการทำนิติกรรม สัญญา หรือดำเนินการเกี่ยวกับภาระผูกพันของกองทุนพัฒนาฯ ดังนั้น การกำหนดโครงสร้างการบริหารจัดการโดยเฉพาะในระดับภูมิภาค จึงควรต้องกำหนดแนวทางการดำเนินงานที่มีความชัดเจนเป็นรูปธรรม เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการบริหารจัดการกองทุนพัฒนาฯ ๒.๕ โครงสร้างการบริหารกองทุนพัฒนาฯ มีรูปแบบบริหารจัดการในลักษณะคณะกรรมการที่มีความซับซ้อน อีกทั้งจำเป็นต้องมีการรองรับการดำเนินงานในระดับท้องถิ่น จังหวัด และภูมิภาคครอบคลุมทั่วทั้งประเทศ ดังนั้น จึงควรที่จะต้องมีการกำหนดอำนาจหน้าที่การดำเนินงานที่เกี่ยวข้องในแต่ละภาคส่วนอย่างชัดเจนสอดคล้องกันอย่างเป็นระบบ ๒.๖ โดยที่กองทุนพัฒนาฯ เป็นทุนหมุนเวียนตามนัยกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง ฉะนั้น ในส่วนที่เกี่ยวกับการจ่ายและการเก็บรักษาเงินกองทุน จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกำหนดไว้ในกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องสำหรับจัดตั้งกองทุนพัฒนาฯ เนื่องจากสามารถถือปฏิบัติตามนัยมาตรา ๑๓ แห่งกฎหมายเงินคงคลัง ซึ่งกำหนดให้กระทรวงการคลังพิจารณารายละเอียดที่เกี่ยวข้องในการรับเงิน การจ่ายเงิน และการเก็บรักษาเงิน เป็นต้น ๒.๗ เนื่องจากกองทุนพัฒนาฯ มีเป้าหมายเพื่อพัฒนาศักยภาพสตรี เพิ่มบทบาท สร้างสวัสดิภาพและสวัสดิการสตรี รวมทั้งมุ่งเน้นการลงทุนเพื่อสร้างงาน สร้างรายได้และพัฒนาอาชีพให้แก่กลุ่มสตรีในทุกระดับ อันเป็นภารกิจที่มีความจำเป็นและมีความสำคัญในช่วงระยะเวลาหนึ่ง จึงควรกำหนดกรอบระยะเวลาการดำเนินงานของกองทุนพัฒนาฯ เบื้องต้นในช่วงระยะเวลา ๕ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ - พ.ศ. ๒๕๕๙) ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดประโยชน์ในการติดตามประเมินประสิทธิภาพการดำเนินงานของกองทุนพัฒนาฯ และเพื่อช่วยให้รัฐบาลสามารถประเมินภาระทางการคลังเพื่อการพิจารณาสนับสนุนงบประมาณให้กองทุนพัฒนาฯ ตลอดจนการทบทวนสถานภาพของกองทุนพัฒนาฯ ได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น |
.....