ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 143 จากทั้งหมด 483 หน้า แสดงรายการที่ 2841 - 2860 จากข้อมูลทั้งหมด 9647 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2841 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างระเบียบฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. ให้มีคณะกรรมการประเมินผลงานรัฐวิสาหกิจ จำนวนไม่เกินสิบเก้าคน ๒. ให้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิอยู่ในตำแหน่งวาระละสี่ปี โดยในวาระเริ่มแรกเมื่อครบกำหนดสองปี ให้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิออกจากตำแหน่งกึ่งหนึ่งโดยวิธีจับสลาก กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่พ้นจากตำแหน่งตามวาระอาจได้รับแต่งตั้งอีกได้โดยไม่มีการจำกัดวาระ ๓. ให้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ในวันที่ระเบียบนี้มีผลใช้บังคับพ้นจากตำแหน่งโดยถือเป็นการพ้นจากตำแหน่งตามวาระ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
2842 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดท่าหรือที่ สนามบินศุลกากร ทางอนุมัติ ด่านพรมแดน และด่านศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดท่าหรือที่ สนามบินศุลกากร ทางอนุมัติ ด่านพรมแดน และด่านศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แก้ไขกฎกระทรวงกำหนดท่าหรือที่ สนามบินศุลกากร ทางอนุมัติ ด่านพรมแดน และด่านศุลกากร พ.ศ. ๒๕๕๓ เพื่อกำหนดท่าหรือที่ เขตศุลกากร ลักษณะการที่ให้กระทำ ทางอนุมัติ ด่านพรมแดน ของด่านศุลกากรนครพนมแห่งใหม่ และแก้ไขกฎกระทรวงกำหนดท่าหรือที่ สนามบินศุลกากร ทางอนุมัติ ด่านพรมแดน และด่านศุลกากร พ.ศ. ๒๕๕๓ ในส่วนของด่านศุลกากรบึงกาฬจากเดิมอยู่ในเขตจังหวัดหนองคายเป็นอยู่ในเขตจังหวัดบึงกาฬ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||
2843 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงวุฒิในคณะกรรมการจัดทำบัญชีรายชื่อกรรมการรัฐวิสาหกิจ (จำนวน 6 คน) | กค | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการจัดทำบัญชีรายชื่อกรรมการรัฐวิสาหกิจ (จำนวน ๖ คน) แทนกรรมการชุดเดิมที่ครบวาระการดำรงตำแหน่ง ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๔ เมษายน ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. นายพนัส สิมะเสถียร ๒. นายหิรัญ รดีศรี ๓. นายพารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา ๔. นายปีติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา ๕. นายเรวัติ ฉ่ำเฉลิม ๖. นายสมชัย ฤชุพันธุ์
|
||||||||||||||||||||||||||||||
2844 | การปรับปรุงโครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้คงค้างต่ำกว่า 500,000 บาท | กค | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ หลักการปรับปรุงโครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้คงค้างต่ำว่า ๕๐๐,๐๐๐ บาท ดังนี้ ๑.๑.๑ ปรับปรุงเงื่อนไขการดำเนินงานโครงการพักหนี้ฯ ที่ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ และวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ แล้ว โดยให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจที่ร่วมโครงการพักหนื้ฯ ซึ่งมีลูกหนี้ที่ต้องเข้ากระบวนการฟื้นฟูศักยภาพต้องเร่งรัดการจัดทำแผนฟื้นฟูศักยภาพลูกหนี้และเริ่มฟื้นฟูลูกหนี้อย่างเป็นรูปธรรมภายหลังสิ้นสุดการรับยื่นแบบแสดงความจำนงเข้าร่วมโครงการพักหนี้ฯ วันที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๕๕ ตามแผนงานที่คณะทำงานฟื้นฟูศักยภาพลูกหนี้โครงการพักหนี้ฯ กำหนด พร้อมจัดทำแผนการชำระหนี้ใหม่ร่วมกับลูกหนี้ เพื่อให้ลูกหนี้เริ่มชำระหนี้คืนได้หลังจาก ๑๒ เดือนนับแต่วันที่สิ้นสุดการฟื้นฟูลูกหนี้แต่ละราย หากลูกหนี้ไม่สามารถชำระหนี้ตามแผนชำระหนี้ใหม่ได้ หรือไม่สามารถแสดงให้เห็นว่ามีความสามารถในการชำระหนี้ได้ดีขึ้นจากก่อนเข้าโครงการ ลูกหนี้ดังกล่าวจะยังคงมีสถานะเป็นลูกหนี้พักหนี้ในโครงการพักหนี้ฯ แต่รัฐบาลจะไม่ต่อระยะเวลาชดเชยต้นทุนเงินสำหรับการพักหนี้ในอัตราร้อยละ ๔ ต่อปี ๑.๑.๒ ให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจที่เข้าร่วมโครงการซึ่งได้รับการชดเชยต้นทุนเงินจากรัฐบาลในอัตราร้อยละ ๔ ต่อปี สามารถนำเงินชดเชยที่ได้ไปขยายการให้สินเชื่อพัฒนาภาคเศรษฐกิจที่สำคัญอย่างต่อเนื่อง ให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจมีการขยายวงเงินสินเชื่อใหม่สำหรับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) จากเงินชดเชยที่ได้รับ ๑.๑.๓ ขยายกลุ่มเป้าหมายและเพิ่มเติมรูปแบบการช่วยเหลือ โดยเปิดโอกาสให้ลูกหนี้สถานะปกติของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ธนาคารออมสิน ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) และธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.) เข้าร่วมโครงการพักหนี้ฯ โดยมีคุณสมบัติคือ ต้องมีหนี้คงค้างไม่เกิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท กับสถาบันการเงินเฉพาะกิจนั้น ก่อนวันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๕๕ และมีสถานะหนี้ปกติ ณ วันที่มายื่นความจำนงเข้าร่วมโครงการพักหนี้ฯ ต้องไม่เป็นหนี้ประเภทสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อเช่าซื้อ/ลิสซิ่ง และสินเชื่อสำหรับผู้มีรายได้ประจำ และต้องไม่เป็นลูกหนี้ที่ได้รับการลดอัตราดอกเบี้ย หรือได้รับอัตราดอกเบี้ยเป็นกรณีพิเศษตามข้อตกลงจากสถาบันการเงินนั้น ๆ อยู่แล้ว ทั้งนี้ ลูกหนี้ที่มีสถานะหนี้ปกติตามเงื่อนไขดังกล่าว สามารถปรับเปลี่ยนเงื่อนไขการชำระเงินต้นและดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ ๑ กันยายน ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๘ โดยลูกหนี้สามารถสมัครใจเลือกพักเงินต้นและลดอัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อที่มีอยู่เดิมในอัตราร้อยละ ๓ ต่อปี หรือลดอัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อที่มีอยู่เดิมในอัตราร้อยละ ๓ ต่อปีโดยไม่พักเงินต้น เป็นระยะเวลา ๓ ปี และลูกหนี้สามารถมีสิทธิ์ขอกู้เพิ่มจากสถาบันการเงินเฉพาะกิจนั้นตามความสามารถในการชำระหนี้ได้ทั้ง ๒ กรณี โดยการกู้ยืมเพิ่มจะชำระดอกเบี้ยในอัตราดอกเบี้ยปัจจุบัน ณ วันที่ได้รับการอนุมัติให้กู้เพิ่ม ๑.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาและดำเนินการในรายละเอียดเกี่ยวกับการกำหนดเงื่อนไขคุณสมบัติลูกหนี้ที่เข้าพักหนี้หรือลดภาระหนี้ และเงื่อนไขโครงการสำหรับการเกษตร ตามที่เสนอ ๑.๓ แนวทางเบื้องต้นสำหรับการบรรเทาผลกระทบทางการเงินให้กับสถาบันการเงินเฉพาะกิจ โดยให้กระทรวงการคลังดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๑.๔ กรอบวงเงินงบประมาณเพื่อชดเชยรายได้ดอกเบี้ยที่ลดลงของสถาบันการเงินเฉพาะกิจจากการดำเนินโครงการที่ปรับปรุงใหม่ ในอัตราร้อยละ ๑.๕ ต่อปี คิดเป็นวงเงินในช่วงโครงการพักหนี้ ๓ ปี รวมเป็นเงิน ๒๒,๘๕๑.๘๒ ล้านบาท โดยให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจที่ร่วมโครงการทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป ๒. เห็นชอบตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย) เสนอเพิ่มเติมว่า เห็นควรปรับปรุงคุณสมบัติของลูกหนี้ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายของโครงการ จากเดิม “๔.๒.๑ ต้องมีหนี้คงค้างไม่เกิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท กับสถาบันการเงินเฉพาะกิจนั้น ก่อนวันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๕๕ ...” เป็น “๔.๒.๑ ต้องมีหนี้คงค้างไม่เกิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท กับสถาบันการเงินเฉพาะกิจนั้น ก่อนวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๕ ...” ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของเกษตรและสหกรณ์และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพักหนี้หรือลดภาระหนี้ให้กับสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรด้วย เพื่อให้สหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรดังกล่าวพักหนี้หรือลดภาระหนี้ให้กับสมาชิกต่อเนื่องได้ และในการจัดทำแผนฟื้นฟูศักยภาพลูกหนี้ ควรให้ความสำคัญกับการให้ความรู้ความเข้าใจทางการเงิน การออม การลงทุน การบริหารความเสี่ยง และการสร้างวินัยทางการเงิน รวมทั้งการเพิ่มรายได้จากการพัฒนาประสิทธิภาพและมูลค่าของสินค้าและผลิตภัณฑ์ การลดรายจ่ายและต้นทุนในการประกอบอาชีพ และการสร้างความมั่นคงด้านอาหารในครัวเรือนควบคู่ไปด้วย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
2845 | ขอปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเรื่อง การเช่ารถยนต์มาใช้ในราชการ | กค | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในการปรับแก้ไขหลักเกณฑ์และแนวทางในการเช่ารถยนต์มาใช้ในราชการ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดระยะเวลาการทำสัญญาเช่ารถยนต์มาใช้ในราชการ จาก ๓ ปี เป็น ๕ ปี เพื่อเป็นการประหยัดงบประมาณในส่วนของรายการค่าเช่ารถยนต์ เนื่องจากผู้ประกอบการให้เช่ารถยนต์จะเสนอราคาค่าเช่าในอัตราที่ต่ำกว่าการทำสัญญาเช่ารถยนต์เป็นระยะเวลา ๓ ปี ประกอบกับมีข้อเสนอแนะของส่วนราชการหลายแห่งที่เห็นว่า รถยนต์ที่ใช้ในการปฏิบัติภารกิจของหน่วยงานที่มีระยะเวลาการใช้ ๕ ปี หากมีการบำรุงรักษาที่ดีอย่างต่อเนื่องจะมีสภาพและสมรรถนะที่สามารถรองรับการปฏิบัติงานตามภารกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๑.๒ ปรับปรุงหลักเกณฑ์ในการคำนวณอัตราค่าเช่ารถยนต์จากอัตราเดิม ปรับลดลงประมาณร้อยละ ๑๐ เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าและประหยัดงบประมาณของทางราชการสูงสุด โดยมีรายละเอียด ดังนี้ ๑.๒.๑ ปรับลดรายการค่ากำไร จากเดิมร้อยละ ๘ เป็นร้อยละ ๕ เพื่อให้สอดคล้องกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารปัจจุบันที่ปรับลดลงซึ่งอัตราที่ปรับลดดังกล่าวยังคงสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร ๑.๒.๒ ปรับลดค่าซ่อมบำรุงรักษาและน้ำมันหล่อลื่น ให้ปรับลดลงในภาพรวมร้อยละ ๑๐ จากที่กำหนดไว้เดิม เนื่องจากการคำนวณอัตราค่าเช่าเดิมกำหนดให้มีค่าซ่อม ๒ รายการ คือ ค่าซ่อมปกติ ค่าซ่อมกลางและค่าน้ำมันหล่อลื่น ๑.๒.๓ ปรับค่าอำนวยการและค่ารถทดแทน จากเดิมร้อยละ ๑๒ เป็นร้อยละ ๘ เนื่องจากข้อเท็จจริงพบว่า การใช้รถยนต์ของส่วนราชการมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นน้อยมาก โอกาสที่ผู้ประกอบการให้เช่ารถยนต์ต้องจัดรถทดแทนให้ส่วนราชการจึงมีน้อย ๑.๒.๔ ปรับลดค่าเบี้ยประกันภัยชั้น ๑ จากเดิมร้อยละ ๒.๔ ของราคารถยนต์ เป็นร้อยละ ๑.๒ เนื่องจากสูตรการคำนวณอัตราค่าเช่ารถยนต์ได้กำหนดค่ากำไรให้ผู้ประกอบการให้เช่ารถยนต์แล้ว จึงเห็นควรให้ผู้ประกอบการให้เช่ารถยนต์ร่วมรับผิดชอบค่าเบี้ยประกันภัยกับรัฐในอัตราส่วนที่เท่ากัน จากการปรับสูตรการคำนวณตามรายการข้างต้นจะทำให้อัตราค่าเช่ารถยนต์ประเภทต่าง ๆ มีอัตราลดลงประมาณร้อยละ ๑๐ ทั้งนี้ การปรับปรุงหลักเกณฑ์ในการคำนวณอัตราค่าเช่ารถยนต์ดังกล่าว ให้ใช้กับการทำสัญญาเช่ารถยนต์ใหม่เท่านั้น ส่วนสัญญาเช่ารถยนต์ที่ทำไปแล้วก่อนที่คณะรัฐมนตรีมีมติ ให้ดำเนินการตามหลักเกณฑ์เดิมต่อไปจนกว่าสัญญาเช่าจะสิ้นสุด ๒. ให้กระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) รับไปพิจารณาร่วมกับสำนักงบประมาณและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไขปัญหาต่าง ๆ เกี่ยวกับรถยนต์ที่นำมาใช้ในราชการ เช่น การจ้างพนักงานขับรถ การเบิกจ่ายเงินตอบแทนการปฏิบัติงานนอกเวลาราชการของพนักงานขับรถที่จ้างจากภายนอก (outsource) และการดำเนินการสำหรับรถราชการที่มีอายุใช้งานนาน เช่น ใช้งานมาเกินกว่า ๑๐ ปี และยังไม่สามารถจัดหารถยนต์ใหม่ทดแทน เป็นต้น และหากจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขข้อกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องก็ให้ดำเนินการ แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
2846 | มาตรการเพิ่มขีดความสามารถ SMEs | กค | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบมาตรการเพิ่มขีดความสามารถ SMEs ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนการพัฒนาผลิตภาพการผลิต การสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุน และการลดภาระต้นทุนค่าแรง รวมทั้งเป็นการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ผ่านมาตรการทางการเงินและมาตรการภาษี ดังนี้ ๑.๑ มาตรการทางการเงิน ประกอบด้วย ๑.๑.๑ โครงการสินเชื่อเพื่อพัฒนาผลิตภาพการผลิต (Productivity Improvement Loan) โดยธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ประกอบด้วยสินเชื่อ ๒ ประเภท คือ สินเชื่อเพื่อพัฒนาเครื่องจักรและสินเชื่อเพื่อพัฒนากระบวนการทำงาน โดยมีวงเงินโครงการ ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ระยะเวลาโครงการ ๒ ปี นับจากวันที่มีมติคณะรัฐมนตรี และงบประมาณที่ใช้ในการสนับสนุนไม่เกิน ๑,๘๐๕ ล้านบาท ๑.๑.๒ โครงการค้ำประกันสินเชื่อในลักษณะ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ ๔ (PGS ระยะที่ ๔) ของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) โดยมีวงเงินค้ำประกันรวม ๒๔,๐๐๐ ล้านบาท โดย บสย. จ่ายอัตราค่าประกันชดเชยให้กับสถาบันการเงินสูงสุดไม่เกินร้อยละ ๑๘ ของภาระค้ำประกันเฉลี่ยตลอดระยะเวลาโครงการ ๕ ปี และรัฐบาลชดเชยส่วนต่างค่าประกันชดเชยตามจริงแต่ไม่เกิน ๒,๒๒๐ ล้านบาท ๑.๑.๓ โครงการค้ำประกันสินเชื่อในลักษณะ Portfolio Guarantee Scheme สำหรับผู้ประกอบการใหม่ (PGS New/Start - up) ของ บสย. สำหรับ SMEs ที่มีอายุกิจการไม่เกิน ๒ ปี มีวงเงินค้ำประกันรวม ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท โดย บสย. จ่ายอัตราค่าประกันชดเชย (Coverage ratio) ให้กับสถาบันการเงินในอัตราสูงสุดไม่เกินร้อยละ ๔๘ ของภาระค้ำประกันเฉลี่ยตลอดระยะเวลาโครงการ ๗ ปี และงบประมาณที่ใช้ในการสนับสนุนรวม ๓,๓๐๐ ล้านบาท ๑.๑.๔ กองทุนพัฒนาฝีมือแรงงาน ให้ SMEs กู้เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๐.๑ ต่อปี วงเงินกู้ยืมสูงสุด ๔๒,๐๐๐ บาท ระยะเวลาชำระคืน ๔ ปี ขึ้นอยู่กับระยะเวลาการฝึกอบรม ๑.๑.๕ โครงการสินเชื่อส่งเสริมการจ้างงาน (กองทุนประกันสังคม) ให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ โดยอาศัยแหล่งเงินทุนจากกองทุนประกันสังคมให้แก่ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากค่าแรงที่เพิ่มขึ้นเพื่อเป็นเงินทุนในการเสริมสภาพคล่องหรือเพิ่มผลิตภาพการผลิต มีวงเงินรวม ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๒ มาตรการภาษี ประกอบด้วย ๑.๒.๑ มาตรการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต โดยยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับเงินได้ที่ได้รับจากการขายเครื่องจักรเก่าเพื่อซื้อเครื่องจักรใหม่ ระยะเวลาการให้สิทธิประโยชน์สำหรับการขายเครื่องจักร ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕ ถึง ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ ๑.๒.๒ มาตรการหักค่าเสื่อมเครื่องจักร โดยให้หักค่าเสื่อมราคาของเครื่องจักรใหม่ได้ร้อยละ ๑๐๐ ในปีแรก แทนการทยอยหักค่าเสื่อมภายใน ๕ ปี ระยะเวลาการให้สิทธิประโยชน์สำหรับการหักค่าเสื่อมเครื่องจักร ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕ ถึง ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ ๑.๒.๓ มาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ โดยให้ผู้ประกอบการทั้งนิติบุคคลและบุคคลธรรมดาสามารถหักค่าใช้จ่ายได้ ๑.๕ เท่าของส่วนต่างค่าแรงที่เพิ่มขึ้นจากเดิมเป็น ๓๐๐ บาทต่อวัน ระยะเวลาการให้สิทธิประโยชน์ตั้งแต่วันที่เริ่มใช้ค่าแรงขั้นต่ำ ๓๐๐ บาท ตามที่รัฐบาลประกาศกำหนด (๑ เมษายน ๒๕๕๕) จนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ ๒. อนุมัติให้จัดสรรงบประมาณที่ต้องใช้ในการสนับสนุนโครงการสินเชื่อเพื่อพัฒนาผลิตภาพการผลิต (Productivity Improvement Loan) โครงการค้ำประกันสินเชื่อในลักษณะ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ ๔ และโครงการค้ำประกันสินเชื่อในลักษณะ Portfolio Guarantee Scheme สำหรับผู้ประกอบการใหม่ เป็นวงเงินรวมไม่เกิน ๕,๒๐๕ ล้านบาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเบิกจ่ายตามจริง โดยให้ทำความตกลงกับสำนักงบประมาณในรายละเอียดต่อไป ๓. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกา รวม ๓ ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ประกอบด้วย ๓.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งมีทุนที่ชำระแล้วในวันสุดท้ายของกรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกินห้าล้านบาท และมีรายได้จากการขายสินค้าและบริการไม่เกินสามสิบล้านบาทต่อปี ในรอบระยะเวลาบัญชีที่ได้ใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินได้ที่ได้รับจากการขายทรัพย์สินประเภทเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตสินค้าให้บริการรับจ้างผลิตสินค้าเพื่อซื้อเครื่องจักรใหม่ทดแทน ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ ๓.๒ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดเงื่อนไขและอัตราการหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สินประเภทเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตสินค้าหรือให้บริการรับจ้างผลิตสินค้าให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งมีทุนที่ชำระแล้วในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกินห้าล้านบาท และมีรายได้จากการขายสินค้าและบริการไม่เกินสามสิบล้านบาทต่อปี ในรอบระยะเวลาบัญชีที่ได้ใช้สิทธิ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ ๓.๓ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้เป็นจำนวนร้อยละห้าสิบของรายจ่ายที่ได้มีการจ่ายเป็นค่าจ้างเฉพาะส่วนต่างของค่าจ้างที่ได้มีการจ่ายเพิ่มขึ้นจากอัตราค่าจ้างขั้นต่ำในปัจจุบันตามที่กำหนดในแต่ละเขตจังหวัดกับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำใหม่เป็นเงินวันละสามร้อยบาท ให้แก่บุคคลธรรมดาที่มีเงินได้พึงประเมิน ซึ่งต้องเสียภาษีเงินได้ตามประมวลรัษฎากร และบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งมีทุนที่ชำระแล้วในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกินห้าล้านบาท และมีรายได้จากการขายสินค้าและบริการไม่เกินสามสิบล้านบาทต่อปี ในรอบระยะเวลาบัญชีที่ได้ใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ ๔. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของ SMEs กลุ่มเป้าหมาย โดยให้ความช่วยเหลืออุตสาหกรรมรายสาขาที่ได้รับผลกระทบจากภาระค่าแรงที่เพิ่มขึ้นมาเป็นพิเศษก่อน และมีการสำรวจกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ที่มีศักยภาพและขีดความสามารถในการชำระหนี้ เพื่อไม่ให้การดำเนินงานประสบภาวะขาดทุนและเป็นภาระของรัฐในอนาคต รวมทั้งมีระบบการตรวจสอบและรายงานผลการดำเนินงาน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๕. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานหาแนวทางการส่งเสริมและพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมด้วยการลดต้นทุนทางด้านพลังงานและวิธีการอื่นเพื่อเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงแรงงาน และกระทรวงอุตสาหกรรม แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||
2847 | ร่างพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ผู้มีสิทธิหรือบุคคลในครอบครัวที่เป็นผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตหรือผู้ป่วยฉุกเฉินเร่งด่วนตามกฎหมายว่าด้วยการแพทย์ฉุกเฉิน สามารถเข้ารับการรักษาพยาบาลในสถานพยาบาลของเอกชนทั้งประเภทผู้ป่วยนอกหรือผู้ป่วยใน โดยให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๕ เป็นต้น ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรวางแนวทางในการกำกับและติดตาม เพื่อไม่ให้เกิดการรักษาพยาบาลที่เกินความจำเป็น จนนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของภาระค่าใช้จ่ายในระยะต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
2848 | โครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี 2554/55 (ผลคืบหน้าเกี่ยวกับการกำหนดแนวทางการส่งเสริมและให้สินเชื่อแก่เกษตรกร) | กค | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลความคืบหน้าเกี่ยวกับการกำหนดแนวทางการส่งเสริมและให้สินเชื่อแก่เกษตรกรเพื่อให้เกษตรกรมีเงินทุนหมุนเวียนในการประกอบอาชีพ โดยกระทรวงการคลังได้พิจารณาแนวทางดังกล่าวร่วมกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และกระทรวงพาณิชย์ โดยมีแนวทางในการช่วยเหลือเกษตรกร ๓ แนวทาง ดังนี้
๑. มาตรการรับจำนำมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๔/๕๕ เพื่อยกระดับราคามันสำปะหลังตามนโยบายคณะกรรมการนโยบายมันสำปะหลัง โดย ธ.ก.ส. ได้ดำเนินโครงการรับจำนำมันสำปะหลังตั้งแต่วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ จนถึงวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ซึ่งรับจำนำมันสำปะหลังแล้ว จำนวน ๒๕,๐๙๘ ตัน เป็นจำนวนเงิน ๖๙ ล้านบาท ๒. ธ.ก.ส. ชะลอการเร่งรัดชำระหนี้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๔/๕๕ เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกร โดยการเปลี่ยนแปลงกำหนดชำระคืนเงินกู้กรณีเกษตรกรมีหนี้เงินกู้ที่ถึงกำหนดชำระคืนภายในปีบัญชี ๒๕๕๔ คือ หากไม่สามารถชำระหนี้ได้เพราะยังไม่สามารถขุดมันสำปะหลังขายหรือจำนำได้ให้เปลี่ยนแปลงกำหนดชำระคืนเป็นวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๕ ๓. ธ.ก.ส. กำหนดมาตรการจ่ายสินเชื่อชะลอขุดมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๔/๕๕ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรกรณีที่ยังไม่สามารถขุดมันสำปะหลังขายหรือจำนำได้ โดย ธ.ก.ส. จะจ่ายสินเชื่อเพื่อชะลอขุดมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๔/๕๕ แก่เกษตรกร ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้นำเรื่องนี้เสนอคณะรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบไปแล้วเมื่อวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ทั้งนี้ ธ.ก.ส. ได้เตรียมพร้อมในการดำเนินการโดยได้เสนอคณะกรรมการ ธ.ก.ส. เมื่อวันที่ ๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ แล้ว |
||||||||||||||||||||||||||||||
2849 | ร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ลดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) | กค | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ลดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ขยายเวลาการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลที่มีปริมาณกำมะถันไม่เกินร้อยละ ๐.๐๐๕ โดยน้ำหนัก ในอัตราภาษี ๐.๐๐๕ บาทต่อลิตร และน้ำมันดีเซลที่มีไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันผสมอยู่ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๔ ในอัตราภาษี ๐.๐๐๕ บาทต่อลิตร ออกไปอีก ๑ เดือน คือ ตั้งแต่วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงพลังงานรายงานฐานะของกองทุนพลังงานทั้งหมดให้คณะรัฐมนตรีทราบทุกเดือน
|
||||||||||||||||||||||||||||||
2850 | โครงการนำที่ราชพัสดุไปสนับสนุนการตั้งสถานีบริการก๊าซธรรมชาติ (NGV) | กค | 17/04/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้ส่วนราชการที่ครอบครองใช้ประโยชน์ในที่ราชพัสดุยินยอมให้กรมธนารักษ์นำที่ราชพัสดุที่ส่วนราชการครอบครองแต่ไม่ได้ใช้ประโยชน์หรือใช้ประโยชน์ไม่เต็มพื้นที่ที่สามารถสนับสนุนนโยบายรัฐบาลด้านพลังงาน มาพัฒนาเป็นสถานีบริการก๊าซธรรมชาติ (NGV) โดยให้กรมธนารักษ์ประสานกับส่วนราชการที่ครอบครองใช้ประโยชน์ที่ราชพัสดุที่มีความเหมาะสม เพื่อดำเนินการต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นควรให้กรมธนารักษ์นำเรื่องการใช้พื้นที่ราชพัสดุดังกล่าวมาพัฒนาเป็นสถานีบริการ NGV หารือในรายละเอียดกับบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เกี่ยวกับการประเมินและตรวจสอบพื้นที่ในการจัดตั้งสถานีบริการ NGV ที่มีความเหมาะสมสอดคล้องกับแนวท่อก๊าซธรรมชาติหรือสถานีแม่ที่มีอยู่ในปัจจุบัน และเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ตลอดจนพิจารณาถึงกฎหมายและข้อกำหนดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดความชัดเจนเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการจัดตั้งสถานีบริการ NGV ก่อนทำความตกลงกับหน่วยงานผู้ครอบครองพื้นที่ราชพัสดุดังกล่าวต่อไป รวมทั้งให้กรมธนารักษ์ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและประสานกับส่วนราชการที่ครอบครองใช้ประโยชน์ในที่ราชพัสดุต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||
2851 | เป้าหมายของนโยบายการเงินประจำปี 2555 | กค | 17/04/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติเป้าหมายของนโยบายการเงินประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและคณะกรรมการนโยบายการเงินเห็นชอบร่วมกันในการเสนอเป้าหมายของนโยบายการเงินประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยกำหนดเป้าหมายของนโยบายการเงินประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ไว้ที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยรายไตรมาสระหว่างร้อยละ ๐.๕ - ๓.๐ ต่อปี เช่นเดียวกับเป้าหมายของนโยบายการเงินประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเมื่อวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๕๓ ๑.๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายการเงินได้ลงนามในข้อตกลงร่วมกันในการกำหนดเป้าหมายของนโยบายการเงินประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยข้อตกลงดังกล่าวมีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๒.๑ เป้าหมายของนโยบายการเงินประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยรายไตรมาสระหว่างร้อยละ ๐.๕ - ๓.๐ ต่อปี ๑.๒.๒ การติดตามความเคลื่อนไหวของเป้าหมายของนโยบายการเงิน เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายของนโยบายการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยจะจัดให้มีการหารือร่วมกันเป็นประจำทุกไตรมาส และเมื่อมีเหตุจำเป็นอื่นใดตามที่ทั้งสองหน่วยงานจะเห็นสมควร ๑.๒.๓ การเคลื่อนไหวของอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานออกนอกเป้าหมาย กรณีอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเคลื่อนไหวออกนอกช่วงเป้าหมายตามที่ได้ตกลงร่วมกันไว้ ให้คณะกรรมการนโยบายการเงินชี้แจงสาเหตุ แนวทางแก้ไข และระยะเวลาที่คาดว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะกลับเข้าสู่ช่วงที่กำหนดไว้โดยเร็ว รวมทั้งให้รายงานความคืบหน้าของการแก้ไขปัญหาเป็นระยะตามสมควร ๑.๒.๔ การแก้ไขเป้าหมายของนโยบายการเงิน ในกรณีที่มีเหตุอันสมควรหรือจำเป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและคณะกรรมการนโยบายการเงินอาจตกลงร่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหาของนโยบายการเงินได้ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา ๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาการเคลื่อนไหวของอัตราเงินเฟ้อทั่วไปควบคู่ไปกับอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่ใช้เป็นเป้าหมายการดำเนินนโยบายการเงิน และพิจารณาเครื่องมือทางการเงินอื่นนอกเหนือจากการใช้อัตราดอกเบี้ยนโยบายมาใช้ในสถานการณ์ที่เหมาะสม เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือในการดำเนินนโยบาย นอกจากนี้ ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยและกระทรวงการคลังประสานการดำเนินนโยบายการเงินและนโยบายการคลังไปในทิศทางเดียวกัน รวมทั้งให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินมาตรการเพื่อรักษาระดับราคาสินค้าและบริการให้เหมาะสม โดยให้เกิดความเป็นธรรมและเหมาะสมต่อทั้งผู้บริโภคและผู้ผลิต ไปพิจารณาด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
2852 | การดำเนินการตามพระราชกำหนดปรับปรุงการบริหารหนี้เงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน พ.ศ. 2555 | กค | 10/04/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบความคืบหน้าการดำเนินการตามพระราชกำหนดปรับปรุงการบริหารหนี้เงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนคุ้มครองเงินฝาก พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้สถาบันการเงินนำส่งเงินเข้ากองทุนคุ้มครองเงินฝากในอัตราร้อยละ ๐.๐๑ ต่อปี ของยอดเงินรับฝากถัวเฉลี่ยของบัญชีที่ได้รับการคุ้มครอง ตั้งแต่วันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติกองทุนเพื่อการสนับสนุนและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรกำหนดร่างมาตรา ๑๐ ที่กำหนดให้รายได้ของกองทุนไม่ต้องนำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณและกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง และร่างมาตรา ๑๔ (๓) ที่กำหนดให้นำเงินกองทุนส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินเมื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเห็นว่ากองทุนมีเงินเพียงพอต่อการดำเนินกิจการแล้ว ให้สอดคล้องกัน เพื่อให้การใช้บังคับกฎหมายเป็นไปแนวทางเดียวกันทั้งฉบับ รวมทั้งกำหนดสาระสำคัญเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเพิ่มทุนไว้ในบทเฉพาะกาลของร่างพระราชบัญญัติฯ กล่าวคือ เมื่อมีการจัดสรรงบประมาณเพื่อการเพิ่มทุนให้แก่สถาบันการเงินเฉพาะกิจในวันก่อนที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับแล้ว ก็ให้โอนงบประมาณเพื่อการเพิ่มทุนที่มีอยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับไปเป็นของกองทุนด้วยเพื่อความเป็นเอกภาพในการเพิ่มทุนให้แก่สถาบันการเงินเฉพาะกิจ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๓.๑ กำหนดให้จัดตั้งกองทุนเพื่อการสนับสนุนและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือสถาบันการเงินเฉพาะกิจในการเพิ่มทุนชดเชยความเสียหายในโครงการที่สถาบันการเงินเฉพาะกิจดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี ดำเนินการเพื่อการสนับสนุนและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ตลอดจนการนำส่งเป็นรายได้แผ่นดิน ๓.๒ กำหนดให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจนำส่งเงินเข้ากองทุนตามอัตราที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดแต่ต้องไม่เกินร้อยละ ๑ ต่อปีของยอดเงินฝากถัวเฉลี่ย ๓.๓ กำหนดให้เงินกองทุนจะนำออกมาใช้ได้ในการจัดสรรเงินให้แก่การเพิ่มทุนของสถาบันเฉพาะกิจ การจ่ายเงินชดเชยให้แก่สถาบันการเงินเฉพาะกิจเนื่องจากการดำเนินธุรกิจตามมติคณะรัฐมนตรี การนำเงินส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน ฯลฯ ๓.๔ กำหนดให้มีคณะกรรมการกองทุนเพื่อการสนับสนุนและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ โดยมีอำนาจและหน้าที่วางนโยบายและควบคุมดูแลโดยทั่วไปซึ่งกิจการของกองทุน ๔. ให้กระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งรัดกระบวนการปรับปรุงพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทยในการขยายหน้าที่การช่วยเหลือทางการเงินแก่สถาบันการเงินของกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน เพื่อไม่ให้เกิดช่องว่างในการกำกับดูแลสถาบันการเงิน และมีการหารืออย่างสม่ำเสมอถึงความเหมาะสมของอัตราการเรียกเก็บเงินนำส่งของสถาบันประกันเงินฝาก และ ธปท. โดยคำนึงถึงปริมาณภาระหนี้ของกองทุน สถานการณ์ทางเศรษฐกิจโดยรวม สถานะความมั่นคงของสถาบันการเงิน รวมทั้งความจำเป็นในการขยายภารกิจในการดูแลสถาบันการเงินของกองทุนฯ และเห็นควรกำหนดแนวทางการดำเนินงานของกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินที่ชัดเจนและมุ่งเน้นการพัฒนาการดำเนินงานของสถาบันการเงินเฉพาะกิจเป็นสำคัญ ตลอดจนพิจารณาเพิ่มเติมวิธีการในการเรียกเก็บเงินจากสถาบันการเงินเฉพาะกิจอื่น ๆ เพื่อให้เกิดความเท่าเทียม นอกจากนี้ ให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจเร่งรัดการแยกบัญชีธุรกรรมนโยบายรัฐออกจากบัญชีการดำเนินการปกติของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ เพื่อให้ทราบผลการดำเนินงานที่แท้จริง และในกรณีที่ต้องมีการชดเชยสามารถดำเนินการได้อย่างเหมาะสม ถูกต้อง และโปร่งใส ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
2853 | รายงานกิจการประจำปี งบดุล บัญชีกำไรและขาดทุนของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ 3 แห่ง สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2553 | กค | 02/04/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานกิจการประจำปี งบดุล บัญชีกำไรขาดทุนสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๓ ของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) และบรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย (บตท.) ซึ่งผ่านการตรวจสอบและรับรองจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินแล้ว และให้นำเสนอสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาทราบต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการดำเนินงานของ ธสน. สำหรับปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ๑.๑ มีกำไรสุทธิ จำนวน ๑๔๕ ล้านบาท ลดลงจากปี พ.ศ. ๒๕๕๒ จำนวน ๒๐๑ ล้านบาท ลดลงร้อยละ ๕๘.๐๙ เนื่องจาก ธสน. ตั้งสำรองหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญ จำนวน ๑,๖๑๓ ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ ๓๓.๓๕ จากปี พ.ศ. ๒๕๕๒ ๑.๒ มีรายได้ดอกเบี้ยและเงินปันผลสุทธิ จำนวน ๑,๔๓๕ ล้านบาท เพิ่มขึ้น ๒๒๕ ล้านบาท หรือร้อยละ ๑๘.๖๐ เนื่องจากทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่ปรับลดลงทำให้ในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ธสน. มีรายได้ดอกเบี้ยและเงินปันผล จำนวน ๒,๓๐๙ ล้านบาท ลดลง ๙๗ ล้านบาท หรือร้อยละ ๔.๐๓ จากปี พ.ศ. ๒๕๕๒ ในขณะที่ ธสน. มีค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย จำนวน ๘๗๔ ล้านบาท ลดลงจากปี พ.ศ. ๒๕๕๒ จำนวน ๓๒๒ ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ ๒๖.๙๒ เป็นผลจากการปรับตัวลดลงของอัตราดอกเบี้ยในตลาดเงินและจากการบริหารจัดการแหล่งเงินกู้ให้เหมาะสมกับเงินให้สินเชื่อ ๑.๓ มีการกลับรายการขาดทุนจากการปรับโครงสร้างหนี้ จำนวน ๑๒๒ ล้านบาท ๒. ผลการดำเนินงานของ ธพว. สำหรับปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ๒.๑ แสดงกำไรทางบัญชี จำนวน ๑๒๘.๔๘ ล้านบาท ลดลงจากปี พ.ศ. ๒๕๕๒ จำนวน ๒.๒๙ ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ ๑.๗๕ ทั้งนี้ กำไรสุทธิดังกล่าวยังไม่รวมภาระการสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญเพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานการบัญชีระหว่างประเทศ ฉบับที่ ๓๙ (IAS 39) ประมาณ ๑,๗๔๑ ล้านบาท ซึ่งได้รับการผ่อนผันจากกระทรวงการคลังให้สำรองให้ครบตามหลักเกณฑ์ในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ และการสำรองค่าใช้จ่ายตราสารอนุพันธ์สำหรับปี พ.ศ. ๒๕๕๓ จำนวน ๑,๖๔๑ ล้านบาท ตามที่ ธพว. เคยประมาณการไว้ โดยหากมีการสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญตามมาตรา IAS 39 จำนวน ๑,๗๔๑ ล้านบาท จะทำให้ ธพว. มีผลขาดทุนสิทธิ จำนวน ๑,๖๑๓ ล้านบาท และหาก ธพว. มีการตั้งสำรองค่าใช้จ่ายตราสารอนุพันธ์กรณีบัตรเงินฝากแบบดอกเบี้ยลอยตัว จำนวน ๑,๖๔๑ ล้านบาท ตามประมาณการเดิม จะทำให้ ธพว. มีผลขาดทุนสุทธิ จำนวน ๓.๒๕๔ ล้านบาท ๒.๒ มีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเทียบกับปี พ.ศ. ๒๕๕๒ เพิ่มขึ้น ๑.๒๖๐.๒๐ ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๓๒.๔๖ เป็นผลมาจากรายได้ดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้นตามเงินให้สินเชื่อที่เพิ่มขึ้น โดยรายได้ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น จำนวน ๑.๐๖๘.๖๔ ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ ๔๘.๒๑ ในขณะที่ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยลดลง จำนวน ๑๙๑.๕๖ ล้านบาท หรือร้อยละ ๑๕.๑๔ ๓. ผลการดำเนินงานของ บตท. สำหรับปี พ.ศ. ๒๕๕๓ มีกำไรสุทธิ จำนวน ๐.๓ ล้านบาท ลดลงจากปี พ.ศ. ๒๕๕๒ จำนวน ๒๕.๘ ล้านบาท หรือร้อยละ ๙๘.๙ จากปัจจัยสำคัญ ดังนี้ ๓.๑ รายได้รวมลดลง โดยมีรายได้รวม จำนวน ๑๑๑.๙ ล้านบาท ลดลงจากปี พ.ศ. ๒๕๕๒ จำนวน ๑๓.๒ ล้านบาท หรือร้อยละ ๑๐.๖ เนื่องจากรายได้จากดอกเบี้ยและเงินปันผลลดลง จำนวน ๑๕.๑ ล้านบาท และในส่วนของรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยลดลง จำนวน ๐.๐๓ ล้านบาท ๓.๒ ค่าใช้จ่ายรวมเพิ่มขึ้น โดยมีค่าใช้จ่ายรวม จำนวน ๙๓.๖ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี พ.ศ. ๒๕๕๒ จำนวน ๗.๙ ล้านบาท หรือร้อยละ ๙.๒ เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นจากปี พ.ศ. ๒๕๕๒ จำนวน ๒.๐ ล้านบาท หรือร้อยละ ๕.๕ ในส่วนของค่าใช้จ่ายที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นจากปี พ.ศ. ๒๕๕๒ จำนวน ๕.๙ ล้านบาท หรือร้อยละ ๑๑.๙ ค่าใช้จ่ายพนักงานเพิ่มขึ้นร้อยละ ๕.๐ และค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับอาคาร สถานที่และอุปกรณ์เพิ่มขึ้นร้อยละ ๘๕.๗
|
||||||||||||||||||||||||||||||
2854 | การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ สปป.ลาว สำหรับโครงการปรับปรุงถนนในนครหลวงเวียงจันทน์ เพื่อรองรับการเป็นเจ้าภาพประชุมสุดยอดผู้นำเอเชีย - ยุโรป (ASEM Summit) ครั้งที่ 9 | กค | 02/04/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. ให้สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ.) ดำเนินการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายดำเนินโครงการปรับปรุงถนนในนครหลวงเวียงจันทน์ เพื่อรองรับการเป็นเจ้าภาพประชุมสุดยอดผู้นำเอเชีย - ยุโรป (ASEM Summit) ครั้งที่ ๙ ในวงเงิน ๑๙๐.๗๐ ล้านบาท ๒. ให้ สพพ. กู้เงินจากธนาคารพาณิชย์หรือธนาคารเฉพาะกิจเพื่อนำไปให้ สปป.ลาว กู้ต่อในวงเงินรวม ๑๙๐.๗๐ ล้านบาท ๓. ให้ สพพ. ให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ สปป.ลาว โดยมีเงื่อนไขทางการเงินและเงื่อนไขอื่น ๆ |
||||||||||||||||||||||||||||||
2855 | การบริหารโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) | กค | 02/04/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ดำเนินโครงการและจัดสรรเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) วงเงิน ๑,๑๐๗.๐๕ ล้านบาท สำหรับงานติดตั้งรั้วสองข้างตามแนวเขตทางรถไฟ ๑๕ รายการ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย ๑.๒ ให้ดำเนินโครงการและจัดสรรเงินกู้ DPL วงเงินรวม ๗๑๔.๘๓ ล้านบาท สำหรับดำเนินโครงการดำเนินงานบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม (Program Management Services : PMS) วงเงิน ๓๐๕.๓๐ ล้านบาท และโครงการจัดทำระบบศูนย์บริหารจัดการรายได้กลาง (Central Clearing House : CCH) วงเงิน ๔๐๙.๕๓ ล้านบาท ของสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับงานติดตั้งรั้วสองข้างตามแนวเขตทางรถไฟ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย ควรให้ความสำคัญกับชุมชนบริเวณที่ได้รับผลกระทบจากการติดตั้งรั้วสองข้างทางและการออกแบบโครงสร้างที่มีความมั่นคงและปลอดภัย ส่วนการดำเนินงานบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม และระบบศูนย์บริการจัดการรายได้กลาง ของสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร ควรเร่งรัดให้ดำเนินการแล้วเสร็จโดยเร็ว โดยเฉพาะประเด็นด้านเทคนิคของระบบตั๋วร่วมที่ต้องสามารถใช้งานร่วมกับระบบขนส่งมวลชนที่มีอยู่แล้วอย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
2856 | การแต่งตั้งประธานกรรมการในคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ | กค | 02/04/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งนายชัยเกษม นิติสิริ เป็นประธานกรรมการในคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ แทนนางสาวนวพร เรืองสกุล ซึ่งจะพ้นจากตำแหน่งตามวาระ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ตามคำแนะนำของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
|
||||||||||||||||||||||||||||||
2857 | การกู้เงินเพื่อทดแทนพันธบัตรเดิมที่ครบกำหนดของธนาคารอาคารสงเคราะห์ | กค | 29/03/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กู้เงินในประเทศในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๒๑,๑๐๐ ล้านบาท เพื่อทดแทนพันธบัตรเดิมที่ครบกำหนดในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยกระทรวงการคลังค้ำประกัน ๑.๒ อนุมัติให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงิน และการค้ำประกันในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น ๒. ให้ ธอส. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า ในสภาวะปัจจุบันที่มีการแข่งขันสูงจากธนาคารพาณิชย์เอกชน เห็นควรให้ ธอส. รวมถึงสถาบันการเงินเฉพาะกิจอื่น ๆ ของรัฐ เร่งปรับปรุงประสิทธิภาพในการดำเนินงาน เพื่อลดสัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ลดต้นทุนในการดำเนินงาน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และรักษาส่วนแบ่งตลาด และเป็นกลไกที่สำคัญในการสนับสนุนนโยบายของรัฐต่อไป รวมทั้งพิจารณาปรับโครงสร้างอายุของทรัพย์สินและหนี้สินให้มีความสอดคล้องกัน อาทิ การขยายฐานเงินฝากไปสู่กลุ่มผู้ฝากเงินรายย่อยให้มากขึ้น และเพิ่มการระดมทุนระยะยาว เป็นต้น เพื่อลดความเสี่ยงทางด้านสภาพคล่องและสร้างความแข็งแกร่งของ ธอส. ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
2858 | มาตรการภาษีและค่าธรรมเนียมเพื่อสนับสนุนการพัฒนาตลาดทุนไทย | กค | 29/03/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาและร่างกฎกระทรวง รวม ๒ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ลดอัตราและยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ให้แก่ผู้มีเงินได้ซึ่งเป็นผู้อยู่ในประเทศไทยและได้รับเงินปันผลจากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศอันเนื่องมาจากหลักทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ๑.๒ ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้เงินได้จากการขายหลักทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในประเทศสมาชิกอาเซียน ที่มีการซื้อขายผ่านระบบที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจัดให้มีขึ้นเพื่อเชื่อมโยงการซื้อขายกับตลาดหลักทรัพย์ในประเทศสมาชิกอาเซียน เป็นเงินได้พึงประเมินที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรศึกษาผลกระทบต่อรายได้รัฐและผลประโยชน์โดยรวมของประเทศจากการยกเว้นภาษีและค่าธรรมเนียมตามแผนพัฒนาตลาดทุนไทย เพื่อประเมินความคุ้มค่าจากการดำเนินมาตรการดังกล่าว โดยคำนึงถึงความสอดคล้องกับการดำเนินการตามแนวทางการปรับปรุงระบบภาษีของประเทศ และการบรรลุเป้าหมายงบประมาณสมดุลภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยนำผลการศึกษารายงานต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
2859 | มาตรการภาษีเพื่อให้ผู้ขายบุหรี่ที่ผลิตภายในประเทศเข้าสู่ระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม ภายใต้กระบวนการระงับข้อพิพาทขององค์การการค้าโลก | กค | 29/03/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อให้ผู้ขายบุหรี่ที่ผลิตภายในประเทศเข้าสู่ระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม ภายใต้กระบวนการระงับข้อพิพาทขององค์การการค้าโลก โดยมีหลักการ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดให้การประกอบกิจการขายบุหรี่ที่ผลิตภายในประเทศเป็นกิจการที่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยการยกเลิกการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการประกอบกิจการขายบุหรี่ซิกาแรตที่ผลิตโดยผู้ประกอบอุตสาหกรรมยาสูบที่เป็นองค์การของรัฐบาล โดยผู้ขายที่มิใช่ผู้ประกอบอุตสาหกรรมยาสูบที่ผลิตสินค้าดังกล่าว แต่ไม่รวมถึงผู้ขายที่เป็นคลังสินค้าทัณฑ์บนประเภทร้านค้าปลอดอากร ๑.๒ ให้กฎหมายใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้ประกอบการมีเวลาในการเข้าสู่ระบบภาษีมูลค่าเพิ่มและเตรียมความพร้อมระบบคอมพิวเตอร์ ๑.๓ ให้ผู้ประกอบการที่เดิมเคยได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มจากการขายบุหรี่ที่ผลิตในประเทศที่มีรายรับเกิน ๑.๘ ล้านบาท ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มภายในเวลาที่กฎหมายกำหนดทันทีที่กฎหมายมีผลบังคับใช้ ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ยกเลิกการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการประกอบกิจการขายบุหรี่ซิกาแรตที่ผลิตโดยผู้ประกอบอุตสาหกรรมยาสูบที่เป็นองค์การของรัฐบาล โดยผู้ขายที่มิใช่ผู้ประกอบอุตสาหกรรมยาสูบที่ผลิตสินค้าดังกล่าว แต่ไม่รวมถึงผู้ขายที่เป็นคลังสินค้าทัณฑ์บนประเภทร้านค้าปลอดอากร ตามมาตรา ๓ (๑) แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ๒๓๙) พ.ศ. ๒๕๓๔ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ๔๐๘) พ.ศ. ๒๕๔๕ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||
2860 | การกู้เงินเพื่อใช้ในโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี 2554/55 โครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง และโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี 2555 ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร | กค | 29/03/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ใช้เงินกู้โครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ วงเงิน ๒๖๙,๑๖๐ ล้านบาท เดิม เพื่อใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๔/๕๕ จำนวน ๑๐ ล้านตัน วงเงินกู้ไม่เกิน ๒๘,๒๕๐ ล้านบาท โครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง วงเงินกู้ไม่เกิน ๑๕,๐๐๐ ล้านบาท และโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี ๒๕๕๕ จำนวนประมาณ ๘ ล้านตัน วงเงินกู้ไม่เกิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท เพิ่มเติม รวมวงเงินทั้งสิ้นไม่เกิน ๑๖๓,๒๕๐ ล้านบาท ๑.๒ ให้ ธ.ก.ส. กู้เงินเพื่อใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๔/๕๕ จำนวน ๑๐ ล้านตัน วงเงินกู้ไม่เกิน ๒๘,๒๕๐ ล้านบาท โครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง วงเงินกู้ไม่เกิน ๑๕,๐๐๐ ล้านบาท และโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี ๒๕๕๕ จำนวนประมาณ ๘ ล้านตัน วงเงินกู้ไม่เกิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท รวมวงเงินทั้งสิ้นไม่เกิน ๑๖๓,๒๕๐ ล้านบาท จากสถาบันการเงินต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน รวมทั้งให้ ธ.ก.ส. กู้เงินเพื่อบริหารจัดการหนี้เงินกู้ด้วยการ Refinance หรือ Roll over หรือ Prepayment โดยกระทรวงการคลังค้ำประกันต้นเงินกู้และดอกเบี้ย รัฐบาลรับภาระชำระคืนต้นเงินและดอกเบี้ยจากการกู้เงิน และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจริงจากการดำเนินโครงการทั้งหมด ๑.๓ ให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงินและการค้ำประกันเงินกู้ของ ธ.ก.ส. ที่เกิดจากการกู้เงินและการบริหารจัดการหนี้ของ ธ.ก.ส. โดยกระทรวงการคลังค้ำประกันเงินกู้ในแต่ละครั้ง ตามโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๔/๕๕ วงเงินกู้ไม่เกิน ๒๘,๒๕๐ ล้านบาท โครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง วงเงินกู้ไม่เกิน ๑๕,๐๐๐ ล้านบาท และโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี ๒๕๕๕ วงเงินกู้ไม่เกิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น รวมทั้งการบริหารจัดการหนี้ร่วมกับ ธ.ก.ส. ด้วยการ Refinance หรือ Roll over หรือ Prepayment โดยกระทรวงการคลังค้ำประกันจนกว่าจะมีการชำระคืนเงินกู้เสร็จสิ้น รัฐบาลรับภาระชำระคืนต้นเงินและดอกเบี้ยจากการกู้เงิน และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจริง รวมทั้งผลขาดทุนที่เกิดขึ้นจากโครงการทั้งหมด ๑.๔ ให้ ธ.ก.ส. แยกบัญชีการดำเนินงาน บัญชีธนาคารของโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๔/๕๕ โครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง และโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี ๒๕๕๕ โดยเฉพาะ เพื่อให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีชำระคืน ธ.ก.ส. หากมีผลขาดทุนที่เกิดขึ้นจริงจากโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๔/๕๕ จำนวน ๑๐ ล้านตัน และโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี ๒๕๕๕ จำนวน ๘ ล้านตัน ให้เสร็จสิ้นทุกสิ้นปีงบประมาณหรือไม่เกินปีงบประมาณถัดไป โดยไม่ต้องรอให้มีการระบายผลิตผลเสร็จสิ้นก่อน เพื่อให้การรับรู้กำไร/ขาดทุนจากการดำเนินโครงการดังกล่าวในปีนั้น ๆ รวมทั้งชดเชยต้นทุนเงินและค่าใช้จ่ายดำเนินงาน และเงินที่ใช้ในการดำเนินงาน ทั้งในส่วนของ ธ.ก.ส. และส่วนที่กู้จากสถาบันการเงิน เพื่อมิให้เป็นภาระงบประมาณด้านดอกเบี้ยจ่ายจากหนี้คงค้างโครงการฯ เป็นเวลานาน รวมทั้งเพื่อให้ ธ.ก.ส. สามารถนำเงินไปหมุนเวียนเพื่อใช้ในโครงการอื่นในปีต่อ ๆ ไป หากมีกำไรเกิดขึ้นจากการดำเนินงานหลังจากการระบายผลผลิตหรือสิ้นสุดโครงการฯ ให้ ธ.ก.ส. นำเงินส่งคลังทันที ๑.๕ ให้หน่วยงานดำเนินการที่ได้จำหน่ายสินค้าตามโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๔/๕๕ โครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง และโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี ๒๕๕๕ และได้รับชำระค่าสินค้าแล้วให้นำส่งเงินดังกล่าวแก่ ธ.ก.ส. ภายใน ๗ วัน นับจากวันที่ได้รับเงิน หากล่าช้าให้ชำระเบี้ยปรับในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี เพื่อ ธ.ก.ส. จะได้นำไปชำระหนี้และลดภาระหนี้เงินกู้ต่อไป ทั้งนี้ ให้ ธ.ก.ส. ชำระคืนแหล่งเงินกู้ทันทีหรือภายใน ๓ วันทำการ โดยให้ชำระคืนเงินกู้ที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าก่อนเป็นลำดับแรก ๑.๖ ให้หน่วยงานดำเนินโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง ได้แก่ สถาบันเกษตรกรและองค์การสวนยาง หน่วยงานดำเนินโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๔/๕๕ โดยองค์การคลังสินค้า (อคส.) และโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี ๒๕๕๕ โดย อคส. และองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) ดูแลคลังสินค้า (Stock) ของโครงการฯ ไม่ให้มีการสูญหาย เว้นแต่จะมีการเสื่อมคุณภาพของสินค้าตามปกติ แต่หากมีการสูญหายหรือสินค้าเสื่อมคุณภาพเพราะความบกพร่อง หน่วยงานดังกล่าวจะต้องชดใช้ให้แก่รัฐ เนื่องจากได้รับอนุมัติวงเงินจ่ายขาดสำหรับค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาสินค้าแล้ว ทั้งนี้ ให้ อคส. และ อ.ต.ก. ปิดบัญชีโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๔/๕๕ และโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี ๒๕๕๕ และรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบภายใน ๒ ปี นับตั้งแต่เริ่มดำเนินการโครงการฯ ๑.๗ ให้กระทรวงพาณิชย์แต่งตั้งคณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๔/๕๕ และโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี ๒๕๕๕ รวมทั้งให้คณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติแต่งตั้งคณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง เพื่อดำเนินการปิดบัญชีโครงการดังกล่าว หลังจากครบกำหนดไถ่ถอน และ/หรือสิ้นสุดระยะเวลาโครงการ และให้กระทรวงพาณิชย์เร่งระบายผลิตผล เพื่อลดความเสี่ยงด้านการจัดหาเงินทุน และภาระการค้ำประกันของกระทรวงการคลัง โดยมีกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง (สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง) สำนักงบประมาณ และ ธ.ก.ส. ร่วมติดตามการระบายผลิตผลอย่างใกล้ชิด และให้มีการปิดบัญชีเป็นปี ๆ ไป โดยให้แล้วเสร็จภายใน ๙๐ วัน นับตั้งแต่วันสิ้นสุดรอบปีบัญชี ๑.๘ ให้กระทรวงพาณิชย์และคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติกำกับ ติดตาม ควบคุม รวมทั้งรายงานความคืบหน้าในการดำเนินงาน การเบิกจ่ายเงิน การระบายสินค้า ปริมาณและมูลค่าสินค้าคงเหลือ รวมทั้งปัญหา อุปสรรคที่เกิดขึ้นสำหรับโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๔/๕๕ โครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง และโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี ๒๕๕๕ ให้คณะรัฐมนตรีทราบทุกวันที่ ๗ ของเดือนถัดไป จนกว่าหนี้คงค้างได้รับชำระครบถ้วน เพื่อให้คณะรัฐมนตรีสามารถติดตามการดำเนินงานได้อย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งให้รายงานการระบายสินค้า ปริมาณ และมูลค่าของสินค้าคงเหลือ ให้กระทรวงการคลัง (สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ) และสำนักงบประมาณทราบทุกรายไตรมาส ๒. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งระบายผลผลิตให้เสร็จสิ้นโดยเร็วเพื่อไม่ให้สินค้าเสื่อมสภาพ ส่งผลให้ราคาสินค้าตกต่ำ และเพื่อจะได้รับรู้ผลกำไร/ขาดทุนของพืชแต่ละชนิดโดยแท้จริง รวมทั้งควรพิจารณาวางแผนเพื่อเร่งระบายผลผลิตอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว แยกบัญชีการดำเนินงานให้ชัดเจน และดำเนินการปิดบัญชีโครงการเพื่อลดภาระงบประมาณแผ่นดินที่จะต้องนำไปชำระเป็นต้นเงินกู้ ดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เพื่อให้มีเงินกลับเข้ามาในระบบสำหรับนำมาใช้ในโครงการอื่นด้วย นอกจากนี้ ควรสนับสนุนการนำผลผลิตที่รับจำนำ/ซื้อมาสร้างมูลค่าเพิ่มและแปรรูปสินค้าเพื่อจำหน่ายทั้งภายในและต่างประเทศ เร่งส่งเสริมให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว มันสำปะหลัง และยางพารา ดำเนินการลดต้นทุนการผลิตควบคู่ไปด้วย เพื่อให้สามารถแข่งขันได้เมื่อมีการเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ และเป็นแนวทางหนึ่งที่จะช่วยให้เกษตรกรมีรายได้ที่ดี นอกเหนือจากการรับจำนำผลผลิตหรือแทรกแซงตลาดสินค้าเกษตร ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
.....