ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 148 จากทั้งหมด 483 หน้า แสดงรายการที่ 2941 - 2960 จากข้อมูลทั้งหมด 9647 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2941 | มาตรการภาษีและค่าธรรมเนียมของกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) | กค | 15/11/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบมาตรการภาษีและค่าธรรมเนียมของกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) มีวัตถุประสงค์เพื่อลดข้อจำกัดของภาครัฐในด้านงบประมาณการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน และเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตรารัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ ให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหรือบุคคลอื่น และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๕ สำหรับรายรับจากการโอนทรัพย์สินกิจการโครงสร้างพื้นฐานและสำหรับการกระทำตราสารอันเนื่องมาจากการโอนทรัพย์สินกิจการโครงสร้างพื้นฐานระหว่างกันหรือให้แก่ส่วนราชการหรือองค์การของรัฐบาลตามสัญญา และยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้แก่ผู้มีเงินได้ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดา สำหรับเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไรที่ได้รับจากกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๕ เป็นระยะเวลา ๑๐ ปี นับแต่วันที่กองทุนรวมจดทะเบียนจัดตั้งขึ้น ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมที่เห็นควรมีการนิยามความหมายของคำว่า “โครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure)” ให้ชัดเจน เนื่องจากรายละเอียดเดิมที่นำเสนอในบางหมวดหมู่มีความหมายที่กว้างมาก เช่น โทรคมนาคม หรือระบบขนส่งทางราง จึงควรมีการกำหนดนิยามย่อยของแต่ละหมวดหมู่ให้ละเอียด ประกอบไปด้วยกิจการใดบ้าง ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. เห็นชอบในหลักการลดหย่อนค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม ประกอบด้วย การลดหย่อนค่าจดทะเบียนการโอน จากร้อยละ ๒ เหลือร้อยละ ๐.๐๑ ทั้งนี้ ไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท สำหรับธุรกรรมการโอนอสังหาริมทรัพย์กรณีกองทุนโครงสร้างพื้นฐานเป็นผู้รับโอนหรือผู้โอนอสังหาริมทรัพย์ การลดหย่อนค่าจดทะเบียนการจำนอง จากร้อยละ ๑ เหลือร้อยละ ๐.๐๑ ทั้งนี้ ไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท สำหรับธุรกรรมการจดทะเบียนการจำนอง กรณีที่กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเป็นผู้ขอจดทะเบียนเพื่อเป็นหลักประกันในการกู้ยืมเงิน และการลดหย่อนค่าจดทะเบียนการเช่า จากร้อยละ ๑ เหลือร้อยละ ๐.๐๑ ทั้งนี้ ไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท สำหรับธุรกรรมการจดทะเบียนการเช่ากรณีที่กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเป็นผู้เช่าหรือผู้เช่าช่วง และกรณีที่กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเป็นผู้ให้เช่าหรือผู้ให้เช่าช่วง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการยกร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. เห็นชอบขั้นตอนการระดมทุนผ่านกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานของรัฐวิสาหกิจ โดยให้รัฐวิสาหกิจนำเสนอเรื่องผ่านกระทรวงเจ้าสังกัดให้กระทรวงการคลังเป็นผู้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๔. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับแผนงาน/โครงการ ควรมีผลตอบแทนในระดับที่สามารถจูงใจนักลงทุนได้ และเป็นกิจการที่จะไม่กระทบต่อความมั่นคงของประเทศ และควรมีการศึกษารายละเอียดผลกระทบของแต่ละแผนงาน/โครงการ แล้วนำมาบูรณาการในภาพรวม เพื่อกำหนดกรอบการลงทุนและแนวทางในการระดมทุนให้ชัดเจนให้กับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งให้กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานหลักในการบูรณาการปรับปรุงกฎหมายและกฎระเบียบต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับการจัดตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2942 | โครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้คงค้างต่ำกว่า 500,000 บาท | กค | 15/11/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๑.๑ หลักการดำเนินโครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้คงค้างต่ำกว่า ๕๐๐,๐๐๐ บาท โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้ ๑.๑.๑ หลักการดำเนินโครงการพักหนี้ครัวเรือนเกษตรกรรายย่อยและผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้ต่ำกว่า ๕๐๐,๐๐๐ บาท อย่างน้อย ๓ ปี เฉพาะหนี้ที่มีปัญหาการชำระหนี้เท่านั้น ซึ่งมีผู้มีสิทธิประมาณ ๗๗๕,๐๙๐ บัญชี มูลหนี้คงค้าง ๙๐,๕๐๒.๕๕ ล้านบาท ๑.๑.๒ กลุ่มเป้าหมายโครงการพักหนี้ฯ ๒ กลุ่ม ได้แก่ ๑.๑.๒.๑ ลูกค้าบุคคลธรรมดาของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ที่กู้เงินแบบมีวัตถุประสงค์เพื่อการประกอบอาชีพ จัดหาที่อยู่อาศัย การศึกษา และการรักษาพยาบาล ซึ่งเป็นลูกหนี้ที่มีหนี้ค้างชำระ และ/หรือหนี้ปรับปรุงโครงสร้างหนี้ หรือเป็นลูกค้า ธ.ก.ส. ในพื้นที่ที่มีเหตุการณ์ความไม่สงบใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ (จังหวัดยะลา ปัตตานี นราธิวาส) โดยไม่รวมลูกหนี้ที่เคยถูกดำเนินคดีและอยู่ระหว่างดำเนินคดีโดย ธ.ก.ส. และมีหนี้ต้นเงินกู้คงเหลือรวมทุกสัญญาในทุกสถาบันการเงินรวมกันรายละไม่เกิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท ทั้งนี้ โดยเป็นสถานะหนี้ ณ วันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๔ ๑.๑.๒.๒ ลูกค้าบุคคลธรรมดาของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ๕ แห่ง ได้แก่ ธนาคารออมสิน ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.) และบรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย (บตท.) ที่กู้เงินแบบมีวัตถุประสงค์เพื่อการประกอบอาชีพ จัดหาที่อยู่อาศัย การศึกษา และรักษาพยาบาล ฯลฯ ซึ่งเป็นลูกหนี้ที่มีสถานะเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non Performing Loans - NPLs) และ/หรือปรับปรุงโครงสร้างหนี้ โดยไม่รวมลูกหนี้ที่เคยถูกดำเนินคดีและอยู่ระหว่างดำเนินคดีโดยสถาบันการเงินเฉพาะกิจนั้น มีหนี้ต้นเงินกู้คงเหลือรวมทุกสัญญาในทุกสถาบันการเงินรวมกันรายละไม่เกิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท โดยเป็นสถานะหนี้ ณ วันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๔ และเป็นผู้ที่อยู่ในระบบฐานภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๔ ๑.๑.๓ ระยะเวลาพักหนี้ ๓ ปี ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๗ ๑.๑.๔ ระยะเวลาเริ่มต้นโครงการ สถาบันการเงินเฉพาะกิจที่เกี่ยวข้องจะเริ่มดำเนินโครงการโดยเปิดลงทะเบียนลูกค้าที่มีสิทธิเข้าร่วมโครงการในวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ โดยมีระยะเวลาดำเนินการประมาณ ๓ เดือน ๑.๒ กรอบวงเงินงบประมาณในการดำเนินโครงการฯ โดยให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจทั้ง ๖ แห่ง ได้แก่ ธ.ก.ส. ธนาคารออมสิน ธพว. ธอส. ธอท. และ บตท. ประสานกับสำนักงบประมาณในการขอตั้งงบประมาณต่อไป ๑.๓ หลักการปรับปรุงระบบข้อมูลเครคิตของลูกค้าในฐานข้อมูลของบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด และมีมติให้คณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลเครดิตแก้ไขเพิ่มเติมประกาศเรื่องรหัสสถานะบัญชี ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับกลุ่มบุคคลเป้าหมายที่จะได้รับประโยชน์จากการดำเนินโครงการควรครอบคลุมเกษตรกรรายย่อยที่เป็นสมาชิกสหกรณ์การเกษตรหรือสถาบันเกษตรกรอื่น และควรกำหนดแนวทางและมาตรการในการตรวจสอบลูกหนี้ผู้เข้าร่วมโครงการให้ตรงตามคุณสมบัติอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะในประเด็นการไม่สามารถชำระหนี้ด้วยเหตุสุดวิสัยและจำเป็น เพื่อมิให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบระหว่างลูกค้าที่ชำระหนี้ตรงตามกำหนดเวลา และมิให้ลูกหนี้เสียวินัยทางการเงิน และให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจเน้นให้ความช่วยเหลือกับกลุ่มลูกหนี้ที่เข้าเกณฑ์โครงการและได้รับผลกระทบจากวิกฤตอุทกภัยในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ เป็นกรณีแรก รวมทั้งให้กระทรวงการคลังประสานความร่วมมือกับหน่วยงานและภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการพัฒนาหลักสูตรของแผนการฟื้นฟูและพัฒนาลูกหนี้ให้ครอบคลุมเนื้อหาการให้ความรู้ความเข้าใจทางการเงิน การออม การลงทุน การบริหารความเสี่ยง และการสร้างวินัยทางการเงิน ตลอดจนแนวทางการเพิ่มรายได้จากการพัฒนาประสิทธิภาพและมูลค่าของสินค้าและผลิตภัณฑ์ การลดรายจ่ายและต้นทุนในการประกอบอาชีพ การสร้างความมั่นคงด้านอาหารในครัวเรือน เพื่อนำไปสู่การพึ่งพาตนเองและชุมชนได้อย่างยั่งยืนสอดคล้องตามแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2943 | ขอขยายเวลาเพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรี เรื่อง การปรับโครงสร้างภาษีรถยนต์ | กค | 15/11/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กระทรวงการคลังขยายระยะเวลาการพิจารณาปรับโครงสร้างภาษีรถยนต์เพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรี ออกไปอีก ๔ เดือน นับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๔) เนื่องจากการพิจารณาปรับโครงสร้างภาษีรถยนต์ ขณะนี้อยู่ระหว่างรอความชัดเจนด้านนโยบายจากกระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงพลังงาน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2944 | ขอถอนร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการกู้เงินเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ. .... | กค | 15/11/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ถอนร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการกู้เงินเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2945 | กรอบการเจรจากู้เงินจากต่างประเทศสำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง (บางใหญ่ - บางซื่อ) ระยะที่ 3 | กค | 15/11/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติกรอบการเจรจากู้เงินจากต่างประเทศสำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง (บางใหญ่ - บางซื่อ) ระยะที่ ๓ และให้เสนอรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบตามมาตรา ๑๙๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยกรอบการเจรจากู้เงินฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ วัตถุประสงค์การกู้เงิน เป็นโครงการเพื่อเชื่อมโยงกับโครงการรถไฟฟ้ามหานครสายเฉลิมรัชมงคล บริเวณสถานีบางซื่อ โดยนำผู้โดยสารจากพื้นที่จังหวัดนนทบุรีเข้าสู่โครงการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนภายในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เพื่อลดปัญหาการจราจรติดขัดและความสูญเสียด้านพลังงานจากการจราจรติดขัด เพิ่มการใช้ระบบขนส่งสาธารณะ ลดมลพิษจากการจราจรบนถนน และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ถนน ๑.๒ กรอบวงเงินกู้ ๓๑,๗๗๒.๓๕ ล้านเยน หรือเทียบเท่า ๑๑,๗๕๕.๗๗ ล้านบาท ๑.๓ กรอบต้นทุนและระยะเวลาในการกู้ กำหนดกรอบการกู้เงินและระยะเวลาผูกพันเงินกู้ให้สอดคล้องกับลักษณะโครงการ รวมทั้งมีระยะเวลาของเงินกู้ที่สอดคล้องกับความสามารถในการชำระหนี้ของรัฐบาลในอนาคต กรณีการกู้เงินจากองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (Japan International Cooperation Agency : JICA) การพิจารณาต้นทุนการกู้เงินจะใช้ต้นทุนที่ได้ทำการแปลงหนี้ต่างประเทศเป็นเงินบาท (Cross Currency Swap) แล้วเปรียบเทียบกับต้นทุนการกู้เงินในประเทศของรัฐบาล ๑.๔ กรอบการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้าง ดำเนินการภายใต้ระเบียบของแหล่งเงินกู้ ๑.๕ กรอบระยะเวลาในการเบิกจ่ายเงินกู้ กำหนดให้สอดคล้องกับการดำเนินโครงการโดยจะเจรจาให้ได้เงื่อนไขที่เป็นประโยชน์สูงสุด ๑.๖ กรอบในการกำกับติดตามและการตรวจสอบการใช้จ่ายเงิน กำหนดให้มีการตรวจสอบและกำกับติดตามจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งแหล่งเงินกู้ของโครงการ และให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเข้ามาตรวจสอบการจัดซื้อจัดจ้างและการใช้จ่ายเงินของโครงการ ๒. ให้กระทรวงการคลังดำเนินการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและผู้ที่เกี่ยวข้อง ก่อนเสนอสัญญาเงินกู้และเอกสารที่เกี่ยวข้องให้รัฐสภาเพื่อให้ความเห็นชอบต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศที่เห็นว่า สัญญาเงินกู้ฯ เข้าข่ายเป็นสัญญาระหว่างรัฐกับองค์การระหว่างประเทศและอยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายภายในของต่างประเทศ จึงเห็นควรส่งเรื่องให้สำนักงานอัยการสูงสุดเป็นผู้พิจารณา ทั้งนี้ ตามมาตรา ๒๓ (๒) ของพระราชบัญญัติองค์กรอัยการและพนักงานอัยการ พ.ศ. ๒๕๕๓ ที่ระบุว่าสำนักงานอัยการสูงสุดมีอำนาจหน้าที่ในการให้คำปรึกษาและตรวจร่างสัญญา หรือเอกสารทางกฎหมายให้แก่รัฐบาลและหน่วยงานของรัฐ และให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) จัดทำแผนการดำเนินงานก่อสร้างโครงการ แผนการเบิกจ่ายเงินกู้ และการบริหารจัดการแผนดังกล่าวให้มีประสิทธิภาพ และสอดคล้องตามแผนการใช้จ่ายจริง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2946 | รายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประจำครึ่งแรกของปี พ.ศ. 2554 | กค | 15/11/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประจำครึ่งแรกของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. เป้าหมายนโยบายการเงิน ๑.๑ เป้าหมายเงินเฟ้อ คณะรัฐมนตรีอนุมัติเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยรายไตรมาสในช่วงร้อยละ ๐.๕ - ๓.๐ ต่อปี เป็นเป้าหมายนโยบายการเงินประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ใช้ต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๒ ๑.๒ อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในไตรมาสที่ ๑ และ ๒ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ อยู่ที่ร้อยละ ๑.๔๖ และ ๒.๓๗ ตามลำดับ ซึ่งยังคงอยู่ในช่วงเป้าหมายนโยบายการเงิน โดยเร่งขึ้นจากครึ่งหลังของปีก่อนหน้า สะท้อนการส่งผ่านต้นทุนการผลิตไปสู่ราคาผู้บริโภคที่อยู่ในระดับสูง สาเหตุจากแรงกดดันทางด้านต้นทุนที่สูงขึ้นตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่เร่งขึ้นไปทรงตัวอยู่ในระดับสูง ประกอบกับอุปสงค์ในประเทศที่ขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง และการคาดการณ์เงินเฟ้อที่ทยอยสูงขึ้น ๒. ที่ประชุมคณะกรรมการ กนง. ได้มีมติให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายรวมร้อยละ ๑.๐ ต่อปี จากร้อยละ ๒.๐ เป็นร้อยละ ๓.๐ ต่อปี จากการประเมินว่าเศรษฐกิจโลกยังมีแรงขับเคลื่อนต่อเนื่องในภาพรวม แม้จะได้รับผลกระทบชั่วคราวจากภัยพิบัติในญี่ปุ่น เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ต่อเนื่องจากแรงขับเคลื่อนทั้งอุปสงค์ในประเทศและการส่องออก รวมทั้งแรงกระตุ้นด้านการคลังที่ยังมีต่อเนื่อง ประกอบกับแรงกดดันด้านราคามีแนวโน้มปรับสูงขึ้น จากราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูง และการทยอยส่งผ่านภาระต้นทุนของผู้ประกอบการไปสู่ผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง ตามแรงกดดันด้านต้นทุน อุปสงค์ และการคาดการณ์เงินเฟ้อ ๓. การดำเนินโยบายบริหารจัดการอัตราแลกเปลี่ยน ในช่วงครึ่งแรกของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ค่าเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ เฉลี่ยปรับแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงครึ่งหลังของปี พ.ศ. ๒๕๕๓ จากการไหลเข้าของเงินทุนจากต่างประเทศเพื่อลงทุนในตลาดหลักทรัพย์และตลาดพันธบัตรไทย และคาดการณ์ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดแรงกดดันเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ตลอดจนการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะยังคงดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเพื่อประคองการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ยังคงมีการขายดอลลาร์สหรัฐฯ ของผู้ส่งออกจากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างต่อเนื่อง ๔. แนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในครึ่งหลังของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ และปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ๔.๑ เศรษฐกิจในครึ่งหลังของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ยังมีทิศทางขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีแรงขับเคลื่อนสำคัญจากการส่งออกที่ยังขยายตัวได้ตามแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่มีกลุ่มประเทศเกิดใหม่เป็นแรงสนับสนุนหลัก และการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ดีของประเทศญี่ปุ่น โดยแรงส่งทางเศรษฐกิจที่ดีนี้จะส่งผลให้การลงทุนภาคเอกชนสามารถกลับมาขยายตัวเร่งขึ้น ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนจะขยายตัวได้ต่อเนื่องจากรายได้เกษตรกรที่ยังมีแนวโน้มที่ดี สำหรับเศรษฐกิจไทยในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ คาดว่าจะขยายตัวต่อเนื่องและสมดุลมากขึ้น ๔.๒ อัตราเงินเฟ้อในครึ่งหลังของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ยังคงเร่งตัวขึ้นจากการส่งผ่านต้นทุนของผู้ประกอบการที่ยังมีอยู่ต่อเนื่องและจากแรงกดดันด้านอุปสงค์ ขณะที่นโยบายการตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน ๓๐ บาทต่อลิตร ที่จะสิ้นสุดลง ณ สิ้นไตรมาสที่ ๓ จะส่งผลให้เงินเฟ้อในหมวดพลังงานและหมวดอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น สำหรับในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มชะลอลงเล็กน้อย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2947 | การใช้กระบวนการอนุญาโตตุลาการในสัญญาการให้สินเชื่อโครงการก่อสร้างเขื่อนฝายบนแม่น้ำโขง (run of river) เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าแก่บริษัท ไซยะบุรี พาวเวอร์ จำกัด (Xayaburi Power Company Limited) | กค | 15/11/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้มีการกำหนดในสัญญาสินเชื่อ สัญญาค้ำประกัน และสัญญาทางการเงินอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการให้สินเชื่อโครงการก่อสร้างเขื่อนฝายบนแม่น้ำโขง (run of river) เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า ระหว่างธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (บมจ. ธนาคารกรุงไทย) กับบริษัท ไซยะบุรี พาวเวอร์ จำกัด (Xayaburi Power Company Limited) โดยมอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการ ระหว่างประเทศเป็นผู้ชี้ขาด ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. อนุมัติในหลักการให้ บมจ. ธนาคารกรุงไทย สามารถใช้กระบวนการอนุญาโตตุลาการในการระงับข้อพิพาทใน ISDA Master Agreement และ/หรือ Credit Support Annex (CSA) สำหรับสถาบันการเงินต่างประเทศโดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีเป็นราย ๆ ไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๓. อนุมัติในหลักการให้สถาบันการเงินที่เป็นรัฐวิสาหกิจสามารถใช้กระบวนการอนุญาโตตุลาการในการระงับข้อพิพาทในสัญญาการให้สินเชื่อในลักษณะ Syndicated Loan ได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีเป็นราย ๆ ไป เฉพาะกรณีที่เป็นการดำเนินการในต่างประเทศเท่านั้น |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2948 | การปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2555 ครั้งที่ 1 | กค | 15/11/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติและรับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๑ ที่มีวงเงินปรับเพิ่มขึ้น ๓๖๓,๙๖๐.๘๐ ล้านบาท จากเดิม ๑,๒๘๗,๐๐๔.๖๐ ล้านบาท เป็นเงิน ๑,๖๕๐,๙๖๕.๔๐ ล้านบาท ๑.๒ รับทราบแผนการกู้เงินของสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) วงเงิน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท เพื่อนำไปให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ๑.๓ อนุมัติการกู้เงินและการค้ำประกันเงินกู้ในประเทศของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจ ภายใต้กรอบแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ปรับปรุงครั้งที่ ๑ ๑.๔ อนุมัติให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงินและการค้ำประกันในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น ภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ปรับปรุงครั้งที่ ๑ แต่หากรัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการกู้เงินได้เอง ก็ให้สามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับข้อสังเกตของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับกรอบวงเงินการค้ำประกันเงินกู้คงเหลือซึ่งมีอยู่อย่างจำกัด จึงขอให้กระทรวงการคลังพิจารณาจัดลำดับความสำคัญโครงการเงินกู้และวงเงินการค้ำประกันเงินกู้ที่เหมาะสมสำหรับการปรับแผนการบริหารหนี้สาธารณะระหว่างปี ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2949 | งบการเงินของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย | กค | 08/11/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานของผู้สอบบัญชีและงบการเงินที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบงบดุล ณ วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๓ และ ๒๕๕๒ งบรายได้ค่าใช้จ่าย งบแสดงการเปลี่ยนแปลง ส่วนของทุนและงบกระแสเงินสด สำหรับปีสิ้นสุดวันเดียวกันของแต่ละปี ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) และรับรองงบการเงินดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2950 | รายงานประจำครึ่งปี (มกราคม - มิถุนายน 2554) ธนาคารแห่งประเทศไทย | กค | 08/11/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำครึ่งปี (มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๔) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยรายงานดังกล่าวประกอบด้วย
๑. ส่วนที่ ๑ สรุปภาวะเศรษฐกิจไทย ๒. ส่วนที่ ๒ การดำเนินงานของ ธปท. ประกอบด้วย ๒.๑ แนวทางการดำเนินงานและประเมินผลนโยบายการเงิน ๒.๒ แนวทางการดำเนินงานและประเมินผลนโยบายสถาบันการเงิน ได้แก่ ๒.๒.๑ การดำเนินงานด้านนโยบายสถาบันการเงิน ๒.๒.๒ การดำเนินงานด้านการกำกับและตรวจสอบสถาบันการเงิน ๒.๒.๓ ผลการดำเนินงานของระบบธนาคารพาณิชย์และพัฒนาการที่สำคัญ ๒.๒.๔ การดำเนินงานในการเป็นนายธนาคารของสถาบันการเงิน ๒.๓ แนวทางการดำเนินงานและประเมินผลนโยบายระบบการชำระเงินที่สำคัญ ได้แก่ ๒.๓.๑ การดำเนินนโยบายด้านระบบการชำระเงิน ๒.๓.๒ การพัฒนาระบบการหักบัญชีเช็คด้วยภาพ ๒.๓.๓ การกำกับดูแลผู้ประกอบธุรกิจบริการการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2951 | รายงานผลการกู้เงินเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 | กค | 08/11/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการกู้เงินเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงการคลังได้ดำเนินการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้เพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ จำนวน ๔๓,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท โดยการออกพันธบัตรรัฐบาลเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ (พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ครั้งที่ ๑ วงเงิน ๔๓,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๓.๘๕ ต่อปี ครบกำหนดวันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๘ ๒. กระทรวงการคลังได้ดำเนินการประมูลพันธบัตรรัฐบาลเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ (พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ครั้งที่ ๑ เสร็จแล้วเมื่อวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๕๔ ๓. กระทรวงการคลังได้แจ้งสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อดำเนินการนำประกาศกระทรวงการคลัง จำนวน ๓ เรื่อง ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ดังนี้ ๓.๑ ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาลเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ (พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ครั้งที่ ๑ ๓.๒ ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง แต่งตั้งพนักงานธนาคารแห่งประเทศไทยลงลายมือชื่อกำกับในพันธบัตรรัฐบาลเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ (พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ครั้งที่ ๑ ๓.๓ ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ผลการออกพันธบัตรรัฐบาลเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ (พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ครั้งที่ ๑
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2952 | มาตรการสินเชื่อเพื่อพัฒนาระบบป้องกันอุทกภัยโดยธนาคารออมสิน | กค | 08/11/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการมาตรการสินเชื่อเพื่อพัฒนาระบบป้องกันอุทกภัยโดยธนาคารออมสิน และวงเงินงบประมาณเพื่อชดเชยการดำเนินมาตรการไม่เกิน ๔,๔๓๑.๐๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยสาระสำคัญของมาตรการสินเชื่อ มีดังนี้ ๑.๑ วัตถุประสงค์ : เพื่อใช้ในการจัดทำระบบและโครงสร้างพื้นฐานสำหรับป้องกันอุทกภัย ๑.๒ กลุ่มเป้าหมาย : การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรม/เขตประกอบการอุตสาหกรรม/สวนอุตสาหกรรม ๑.๓ วงเงิน : ๑๕,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๔ ระยะเวลาโครงการ : ๗ ปี ๑.๕ อัตราดอกเบี้ย : ร้อยละ ๐.๐๑ ต่อปี ตลอดอายุโครงการ โดยรัฐชดเชยส่วนต่างระหว่างต้นทุนเงินกับอัตราดอกเบี้ยที่เรียกเก็บกับผู้กู้ให้กับธนาคารออมสิน ๑.๖ คุณสมบัติผู้กู้ : นิคมอุตสาหกรรม ผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรม/เขตประกอบ/สวนอุตสาหกรรม ที่ได้รับการรับรองจากกระทรวงอุตสาหกรรม ๑.๗ วงเงินต่อราย : ให้ธนาคารออมสินพิจารณาตามความเหมาะสมของแต่ละโครงการ ๒. โดยที่ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการและกลไกการปฏิบัติงานฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๒๓๐/๒๕๕๔ ลงวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ โดยมีการยกเลิกคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๒๐๒/๒๕๕๔ เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย รวม ๓ คณะ ลงวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๔ จึงให้กระทรวงการคลังส่งมาตรการสินเชื่อเพื่อพัฒนาระบบป้องกันอุทกภัยโดยธนาคารออมสิน และวงเงินงบประมาณเพื่อชดเชยการดำเนินมาตรการให้คณะกรรมการที่แต่งตั้งใหม่ดังกล่าวพิจารณาให้ความเห็นชอบ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2953 | รายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้พันธบัตรออมทรัพย์ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 ครั้งที่ 2 รุ่นอายุ 7 ปี ที่ครบกำหนดไถ่ถอนเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2554 | กค | 01/11/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้พันธบัตรออมทรัพย์ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๗ ครั้งที่ ๒ รุ่นอายุ ๗ ปี ที่ครบกำหนดไถ่ถอนเมื่อวันที่ ๙ กันยายาน ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงการคลังได้ดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้พันธบัตรออมทรัพย์ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๗ ครั้งที่ ๒ รุ่นอายุ ๗ ปี จำนวน ๙,๓๖๗.๔๕ ล้านบาท ทั้งจำนวนเมื่อวันที่ ๙ กันยายน ๒๕๕๔ โดยกู้เงินระยะยาวโดยการออกตั๋วสัญญาใช้เงิน อายุ ๕ ปี จำนวน ๘,๐๖๔.๑๖ ล้านบาท จากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) อัตราดอกเบี้ยเท่ากับอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง และทดรองจ่ายจากบัญชีเงินฝากกระทรวงการคลังที่เปิดไว้ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย จำนวน ๑,๓๐๓.๒๙ ล้านบาท ๒. การชำระคืนเงินทดรองจ่ายจากบัญชีเงินฝากกระทรวงการคลังที่เปิดไว้ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย จำนวน ๑,๓๐๓.๒๙ ล้านบาท ดำเนินการโดยประมูลพันธบัตรรัฐบาลเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ครั้งที่ ๒ (LB17OA) อายุคงเหลือ ๖.๑ ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๒.๘๐ ต่อปี โดยจะนำเงินที่ได้จากการประมูลพันธบัตรรัฐบาลฯ ในวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๔ วงเงิน ๙,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท ชำระคืนเงินทดรองจ่ายดังกล่าว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2954 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน) | กค | 01/11/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างพระราชกฤษฎีกาฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. กำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินได้ที่จ่ายเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อการได้มาซึ่งทรัพย์สินประเภทวัสดุ อุปกรณ์ หรือเครื่องจักรที่มีผลต่อการประหยัดพลังงาน แต่ไม่รวมถึงยานพาหนะและวัสดุ อุปกรณ์ หรือเครื่องจักรที่ใช้กับยานพาหนะ เป็นจำนวนไม่เกินร้อยละยี่สิบห้าของค่าใช้จ่ายนั้น ให้แก่บุคคลธรรมดา บริษัทจำกัด บริษัทมหาชนจำกัด ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล โดยค่าใช้จ่ายดังกล่าวต้องจ่ายไปตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนด ๒. กำหนดให้ทรัพย์สินประเภทวัสดุ อุปกรณ์ หรือเครื่องจักรที่มีผลต่อการประหยัดพลังงานตามมาตรา ๓ ต้องเป็นทรัพย์สินที่ไม่เคยผ่านการใช้งาน ซึ่งได้ซื้อมาและอยู่ในสภาพพร้อมใช้งานได้ตามประสงค์ ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยได้รับการรับรองจากกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานว่าเป็นวัสดุ อุปกรณ์ หรือเครื่องจักรที่มีผลต่อการประหยัดพลังงาน ภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ และต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกานี้ ทั้งนี้ ต้องหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่าห้าปีนับแต่วันที่ทรัพย์สินนั้นอยู่ในสภาพพร้อมที่จะใช้งานได้ตามประสงค์
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2955 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลเครดิต | กค | 01/11/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลเครดิต จำนวน ๕ คน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๔) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. ด้านการคุ้มครองผู้บริโภค ๑.๑ นายปราการ อาภาศิลป์ ๑.๒ นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ๒. ด้านการเงินและการธนาคาร นายสรสิทธิ์ สุนทรเกศ ๓. ด้านคอมพิวเตอร์ นางสาวเพรามาตร หันตรา ๔. ผู้ประกอบการด้านธุรกิจภาคเอกชน นายสงคราม สกุลพราหมณ์
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2956 | การแต่งตั้งรองประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร | กค | 01/11/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งรองประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร จำนวน ๖ คน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๔) เป็นต้นไป เว้นแต่นายธนรัชต์ วิเชียรรัตน์ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ เป็นต้นไป และนายวีรพล ปานะบุตร ให้มีผลตั้งแต่วันที่ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการอัยการ ดังนี้
๑. นางสาวสุพัตรา ธนเสนีวัฒน์ รองประธานกรรมการผู้แทนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ๒. นางสาวดวงมณี วงศ์ประทีป กรรมการผู้แทนธนาคารแห่งประเทศไทย ๓. นายวศิน ธีรเวชญาณ กรรมการอื่น ๔. นายวีรพล ปานะบุตร กรรมการอื่น ๕. นายวิรัติ ศักดิ์จิรพาพงษ์ กรรมการอื่น ๖. นายธนรัชต์ วิเชียรรัตน์ กรรมการอื่น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2957 | มาตรการสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย | กค | 01/11/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการมาตรการสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ สินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการ SMEs ผ่านกลไกการค้ำประกันในลักษณะ Portfolio Guarantee Scheme ของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม (บสย.) ๑.๑.๑ วัตถุประสงค์ : เพื่อช่วยเหลือด้านการเงินให้แก่ผู้ประกอบการที่เป็นวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงและโดยอ้อมจากอุทกภัยในพื้นที่ประสบอุทกภัย ๑.๑.๒ กลุ่มเป้าหมาย : SMEs ที่ประกอบธุรกิจทุกประเภทที่อยู่ในพื้นที่ประสบอุทกภัยตามประกาศของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย หรือเป็น SMEs ที่ได้รับผลกระทบทางอ้อมโดยจะต้องมียอดการสั่งซื้อหรือยอดขายกับ SMEs ในพื้นที่ประสบอุทกภัยไม่น้อยกว่าร้อยละ ๒๕ โดยธนาคารจะต้องเป็นผู้รับรองและยืนยัน ๑.๑.๓ วงเงินสินเชื่อค้ำประกันรวม : ๑๐๐,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๑.๔ เงื่อนไขการค้ำประกัน : ระยะเวลาการค้ำประกัน ๗ ปี ค่าธรรมเนียมค้ำประกันร้อยละ ๑.๗๕ ต่อปี ของวงเงินค้ำประกันสินเชื่อโดยรัฐบาลจะชดเชยค่าธรรมเนียมให้ใน ๓ ปีแรก ทั้งนี้ สินเชื่อที่ได้รับจากสถาบันการเงินต้องเป็นสินเชื่อใหม่ และต้องไม่นำไปชำระหนี้กับสถาบันผู้ให้กู้ โดยกำหนดวงเงินค้ำประกันสูงสุดไม่เกิน ๑๐ ล้านบาทต่อรายต่อสถาบัน แต่หากสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนเพียงอย่างเดียว บสย. จะค้ำประกันในวงเงินสูงสุดไม่เกิน ๕ ล้านบาทต่อรายต่อสถาบัน โดยธนาคารพาณิชย์จะคิดดอกเบี้ยกับลูกค้าในอัตราร้อยละ ๓ ต่อปี เป็นระยะเวลา ๓ ปี หลังจากนั้นคิดอัตราดอกเบี้ยตามอัตราปกติของแต่ละธนาคาร โดยเป็น SMEs ตามกลุ่มเป้าหมายตามที่กำหนด และต้องไม่เป็นหนี้ NPL ก่อนวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๕๔ ๑.๑.๕ ระยะเวลารับคำขอ : ภายใน ๑ ปีนับจากวันที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี ๑.๒ สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำโดยความร่วมมือของธนาคารออมสิน ๑.๒.๑ วัตถุประสงค์ : เพื่อช่วยเหลือด้านการเงินให้แก่ผู้ประกอบการที่เป็นวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงและโดยอ้อมจากอุทกภัยในพื้นที่ประสบอุทกภัย ๑.๒.๒ กลุ่มเป้าหมาย : SMEs ที่ประกอบธุรกิจทุกประเภทที่อยู่ในพื้นที่ประสบอุทกภัยตามประกาศของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย หรือเป็น SMEs ที่ได้รับผลกระทบทางอ้อมโดยจะต้องมียอดการสั่งซื้อหรือยอดขายกับ SMEs ในพื้นที่ประสบอุทกภัยไม่น้อยกว่าร้อยละ ๒๕ โดยธนาคารจะต้องเป็นผู้รับรองและยืนยัน ๑.๒.๓ วงเงิน Soft Loan จากธนาคารออมสิน : ธนาคารออมสินร่วมให้สินเชื่อกับธนาคารพาณิชย์ ในสัดส่วน ธนาคารออมสิน : ธนาคารพาณิชย์ เท่ากับ ๕๐ : ๕๐ โดยธนาคารออมสินจะฝากเงินกับธนาคารพาณิชย์ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๐.๐๑ เป็นจำนวน ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท เป็นระยะเวลา ๓ ปี เพื่อให้ธนาคารพาณิชย์สมทบให้สินเชื่อกับผู้ประสบอุทกภัยตามกลุ่มเป้าหมายที่กำหนด ในอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ร้อยละ ๓ เป็นระยะเวลา ๓ ปี ๑.๒.๔ ระยะเวลารับคำขอ : ภายใน ๑ ปีนับจากวันที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี ๒. อนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณเพื่อชดเชยการดำเนินมาตรการสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ในส่วนของ บสย. วงเงินชดเชยไม่เกิน ๒๓,๐๐๐ ล้านบาท และธนาคารออมสิน วงเงินชดเชยเบื้องต้นอยู่ที่ประมาณ ๒,๕๓๒ ล้านบาท รวมทั้งสิ้นไม่เกิน ๒๕,๕๓๒ ล้านบาท โดยให้กระทรวงการคลังขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณก่อนดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2958 | รายงานผลการประเมินความเสียหายของภาคอุตสาหกรรมและภาคครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยและมีการทำประกันกับบริษัทประกันภัย | กค | 01/11/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประเมินความเสียหายของภาคอุตสาหกรรมและภาคครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยและมีการทำประกันกับบริษัทประกันภัย ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การสำรวจและประเมินความเสียหายของภาคอุตสาหกรรมและภาคครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยและมีการทำประกันกับบริษัทประกันภัย ซึ่งมีจำนวนเงินเอาประกันรวมทั้งสิ้น ๗๔๕,๓๕๓ ล้านบาท และประมาณการความเสียหายจำนวน ๒๑๗,๐๐๐ ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๓๐ ของจำนวนเงินเอาประกัน แบ่งออกเป็น ๑.๑ ภาคอุตสาหกรรมทั้งในและนอกนิคมอุตสาหกรรมมีการทำประกันภัยไว้เป็นจำนวนเงินเอาประกัน ๖๘๘,๙๒๖ ล้านบาท ประมาณการความเสียหายจำนวน ๒๐๐,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๒ ภาคครัวเรือน ซึ่งประกอบด้วยการประกันภัยรถยนต์ บ้าน และร้านค้าพาณิชยกรรม มีการทำประกันภัยไว้เป็นจำนวนเงินเอาประกัน ๕๖,๔๗๒ ล้านบาท ประมาณการความเสียหายจำนวน ๑๗,๐๐๐ ล้านบาท ๒. การดำเนินมาตรการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย โดยสำนักงาน ศปภ. ได้ประสานกับผู้รับประกันทั้งในและต่างประเทศเพื่ออำนวยความสะดวกในการติดต่อและประเมินความเสียหาย และเร่งรัดกระบวนการชำระค่าสินไหมทดแทนให้เป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ๓. วิกฤตอุทกภัยครั้งนี้อาจจะส่งผลให้เกิดปัญหาของการรับประกันภัยในอนาคต ๒ ประเด็น คือ บริษัทประกันภัยอาจจะปฏิเสธการต่ออายุกรมธรรม์เมื่อสิ้นสุดอายุคุ้มครอง และบริษัทประกันภัยต่อในต่างประเทศอาจจะปฏิเสธการรับประกันภัยต่อ ทั้งนี้ ในอนาคต ภาคเอกชนเห็นว่าภาครัฐควรให้ความสำคัญกับการดำเนินมาตรการบริหารความเสี่ยงด้านอุทกภัยอย่างจริงจังและต่อเนื่องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2959 | รายงานผลการดำเนินงานในการบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพประจำไตรมาส 4 ปี 2553 | กค | 25/10/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการดำเนินงานในการบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ ประจำไตรมาส ๔ ปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ระหว่างวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๓ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๓ และงบการเงินสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๓ ของบริษัทบริหารสินทรัพย์ (บสท.) ที่ผ่านการตรวจสอบจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินแล้ว โดยในส่วนของผลการดำเนินงานในบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ ประจำไตรมาส ๔ ปี พ.ศ. ๒๕๕๓ สรุปได้ ดังนี้
๑. การบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ บสท. ได้บริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพจนได้ข้อยุติทั้งหมดแล้ว จำนวน ๑๕,๒๐๑ ราย มูลค่าทางบัญชี ๗๗๔,๙๕๒ ล้านบาท สินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่บริหารจัดการจนได้ข้อยุติ แบ่งตามวิธีบริหารจัดการได้เป็น ๒ กลุ่ม คือ กลุ่มที่มีข้อยุติโดยวิธีการปรับโครงสร้างหนี้หรือฟื้นฟูกิจการในศาลล้มละลายกลาง มีจำนวนทั้งสิ้น ๗,๕๘๖ ราย มูลค่าทางบัญชี ๔๒๖,๔๖๒ ล้านบาท หรือร้อยละ ๕๕.๐๓ ของมูลค่าทางบัญชีของสินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่ได้ข้อยุติทั้งหมด และกลุ่มที่มีข้อยุติโดยวิธีการบังคับหลักประกันหรือพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด ตามมาตรา ๗๔ และ ๕๘ แห่งพระราชกำหนดบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย พ.ศ. ๒๕๔๔ จำนวน ๗,๖๑๔ ราย มูลค่าทางบัญชี ๓๔๘,๐๖๙ ล้านบาท และตัดจำหน่ายเป็นหนี้สูญจำนวน ๑ ราย มูลค่าทางบัญชี ๔๒๑ ล้านบาท หรือร้อยละ ๔๔.๙๒ และ ๐.๐๕ ของมูลค่าทางบัญชีของสินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่ได้ข้อยุติทั้งหมด ๒. การบริหารจัดการทรัพย์สินรอการขาย บสท. ได้รับโอนทรัพย์สินจากการบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ (“ทรัพย์สินรอการขาย”) มูลค่ารวม ๒,๑๘๓ ล้านบาท ทั้งนี้ จนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๓ บสท. ได้รับโอนทรัพย์สินรอการขายด้วยมูลค่าตีโอนชำระหนี้ และรับโอนตามมาตรา ๗๖ รวมทั้งสิ้น ๑๔๑,๔๘๗ ล้านบาท แบ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์มูลค่า ๑๑๗,๕๗๘ ล้านบาท และสังหาริมทรัพย์มูลค่า ๒๓,๙๐๘ ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๘๓.๑๐ และร้อยละ ๑๖.๘๙ ตามลำดับ ๓. ความคืบหน้าในการดำเนินการตามแผนงานเตรียมการเพื่อเลิกดำเนินกิจการ โดยยุบเลิก บสท. เมื่อสิ้นปีที่สิบ อาทิ การประกาศยกเลิกการสอบราคาจัดจ้างที่ปรึกษาในการจัดกองสินทรัพย์คงเหลือประเภทสิทธิเรียกร้องเพื่อประมูลขาย เนื่องจากมีการเสนอราคาค่าจ้างสูงเกินกว่าวงเงินงบประมาณการจัดจ้างที่ปรึกษาของ บสท. ที่ได้รับอนุมัติมาก การแต่งตั้งคณะทำงานพิจารณาร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการชำระบัญชี บสท. เพื่อพิจารณาปรับปรุงร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการชำระบัญชี บสท. ให้ครอบคลุมการดำเนินการต่าง ๆ ที่จำเป็นและเกี่ยวข้องในการชำระบัญชี บสท. ตามที่กฎหมายกำหนด การจัดทำประมาณการการกันเงินสำรองเพื่อใช้จ่ายต่าง ๆ เกี่ยวกับการชำระบัญชีสำหรับระหว่างวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๕๔ - ๘ มิถุนายน ๒๕๕๖ ซึ่งประกอบด้วยประมาณการรายจ่ายทั่วไป จำนวน ๖๖๐.๒๐ ล้านบาท และเงินชดเชยคดีความทั่วไปที่ บสท. ถูกฟ้อง (ไม่รวมคดีที่ถูกฟ้องเรื่องการจำนำเครื่องจักร) จำนวนเงิน ๑,๑๓๙.๘๐ ล้านบาท เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2960 | การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารอาคารสงเคราะห์ | กค | 25/10/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติให้แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารอาคารสงเคราะห์ จำนวน ๗ คน ตามพระราชบัญญัติธนาคารอาคารสงเคราะห์ พ.ศ. ๒๔๙๖ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๙ ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ (๒๕ ตุลาคม ๒๕๕๔) เป็นต้นไป ดังนี้ ๑.๑ นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ประธานกรรมการ ๑.๒ นายชัยเกษม นิติสิริ กรรมการ ๑.๓ พลตำรวจโท เจตน์ มงคลหัตถี กรรมการ ๑.๔ นายธงทอง จันทรางศุ กรรมการ ๑.๕ นางอาภัททรา ศฤงคารินกุล กรรมการ ๑.๖ นายบรรพต ตั้งศัตยาภิรมย์ กรรมการ ๑.๗ นายศุภสิทธิ์ ศิริศักดิ์ กรรมการ ๒. สำหรับนายชัยเกษม นิติสิริ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการอัยการ
|
.....