ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 146 จากทั้งหมด 483 หน้า แสดงรายการที่ 2901 - 2920 จากข้อมูลทั้งหมด 9647 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2901 | ร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม การจัดงาน และการประชุมระหว่างประเทศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 04/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม การจัดงาน และการประชุมระหว่างประเทศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างระเบียบฯ มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
๑. กำหนดเพิ่มเติมในเรื่อง การเบิกจ่ายเงินและหลักฐานการจ่ายเงินให้เป็นไปตามที่กระทรวงการคลังกำหนด ๒. ยกเลิกความในข้อ ๗ และแก้ไขเป็น หากส่วนราชการมีปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติตามระเบียบนี้หรือไม่สามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดในระเบียบนี้ให้หัวหน้าส่วนราชการ ขอทำความตกลงกับกระทรวงการคลัง เนื่องจากระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม การจัดงาน และการประชุมระหว่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๔๙ และที่แก้ไขเพิ่มเติม กำหนดให้หัวหน้าส่วนราชการเจ้าของงบประมาณใช้ดุลยพินิจอนุมัติเบิกค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมนอกเหนือจากที่กำหนดไว้ในระเบียบฯ หรือกำหนดไว้แล้วแต่ไม่สามารถปฏิบัติได้ตามระเบียบนี้ ๓. ยกเลิกความในหมวด ๒ ค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมและปรับปรุงแก้ไขโดยแบ่งเป็นค่าใช้จ่ายของส่วนราชการผู้จัดการฝึกอบรมและค่าใช้จ่ายของผู้เข้ารับการฝึกอบรมให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น ๔. กำหนดเพิ่มเติมให้โครงการหรือหลักสูตรการฝึกอบรมที่ส่วนราชการเป็นผู้จัดหรือจัดร่วมกับหน่วยงานอื่นต้องได้รับอนุมัติจากหัวหน้าส่วนราชการ เพื่อเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายตามระเบียบนี้ โดยส่วนราชการผู้จัดการฝึกอบรมสามารถเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายอื่นในการจัดฝึกอบรมได้เท่าที่จ่ายจริง โดยคำนึงถึงความจำเป็น เหมาะสม และประหยัด เพื่อประโยชน์ของทางราชการ ยกเว้นค่าสมนาคุณวิทยากร ค่าอาหาร ค่าเช่าที่พัก และค่ายานพาหนะ ให้เบิกจ่ายตามหลักเกณฑ์และอัตราตามที่กำหนดไว้ในระเบียบ ๕. แก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์กรณีส่วนราชการผู้จัดการฝึกอบรมจะจัดอาหารและที่พักในการฝึกอบรมได้ทั้งก่อน ระหว่าง การฝึกอบรมตามความจำเป็น เหมาะสม และประหยัด โดยให้เบิกจ่ายได้เท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกินอัตราที่กำหนดไว้ในระเบียบ เนื่องจากประธานในพิธีเปิดหรือพิธีปิดการฝึกอบรม แขกผู้มีเกียรติ และผู้ติดตาม เจ้าหน้าที่ วิทยากร ผู้เข้ารับการฝึกอบรมหรือผู้สังเกตการณ์ที่อยู่ห่างไกลจากสถานที่จัดฝึกอบรม จึงจำเป็นต้องเดินทางมายังสถานที่ฝึกอบรมก่อนวันจัดการฝึกอบรม ๖. กำหนดเพิ่มเติมในกรณีวิทยากรมีถิ่นที่อยู่ในท้องที่เดียวกับสถานที่จัดการฝึกอบรม ส่วนราชการผู้จัดการฝึกอบรมจะเบิกจ่ายเงินค่าพาหนะรับจ้างไป - กลับให้แก่วิทยากรแทนการจัดรถรับส่งวิทยากรได้ โดยให้ใช้แบบใบสำคัญรับเงินสำหรับวิทยากรเป็นหลักฐานการจ่าย ๗. กำหนดเพิ่มเติมกรณีส่วนราชการผู้จัดการฝึกอบรมไม่จัดอาหาร ที่พัก หรือยานพาหนะทั้งหมดหรือจัดให้บางส่วน ให้ส่วนราชการผู้จัดการฝึกอบรมเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายทั้งหมดหรือส่วนที่ขาดให้แก่ประธานในพิธีเปิดหรือพิธีปิดการฝึกอบรม แขกผู้มีเกียรติ และผู้ติดตาม เจ้าหน้าที่ วิทยากร ผู้เข้ารับการฝึกอบรม ผู้สังเกตการณ์ แต่ถ้าบุคคลดังกล่าวเป็นบุคลากรของรัฐ ให้เบิกจ่ายจากต้นสังกัด ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดไว้ในพระราชกฤษฎีกาค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ ยกเว้น ค่าเช่าที่พักให้ส่วนราชการผู้จัดการฝึกอบรมเบิกจ่ายตามหลักเกณฑ์และอัตราตามที่กำหนดไว้ในระเบียบ และค่าเบี้ยเลี้ยงเดินทางในกรณีที่ผู้จัดการฝึกอบรมจัดอาหารบางมื้อในระหว่างการฝึกอบรมให้หักเบี้ยเลี้ยงเดินทางที่คำนวณได้ในอัตรามื้อละ ๑ ใน ๓ ของอัตราเบี้ยเลี้ยงเดินทางต่อวัน ๘. ปรับเพิ่มอัตราค่าอาหารในการฝึกอบรมบุคคลภายนอกในกรณีส่วนราชการผู้จัดการฝึกอบรมไม่จัดเลี้ยงอาหาร แต่จะจ่ายเงินเป็นค่าอาหารให้ได้รับในอัตราเดียวกับเบี้ยเลี้ยงในการเดินทางไปราชการ และปรับแก้ไขหลักฐานการจ่ายให้ชัดเจน ๙. ยกเลิกความในหมวด ๓ ค่าใช้จ่ายในการจัดงาน และกำหนดขึ้นใหม่เพื่อให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ๑๐. แก้ไขเพิ่มเติมในส่วนของการจ้างจัดประชุมระหว่างประเทศให้มีความชัดเจนและเหมาะสมยิ่งขึ้น
|
|||||||||||||||||||||||||||
2902 | รายงานผลการประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ ประจำปี 2552 และ 2553 | กค | 04/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ ประจำปี ๒๕๕๒ และ ๒๕๕๓ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑.๑ ผลการประเมินผลฯ คะแนนประเมินผลฯ ภาพรวมทุกหัวข้อของรัฐวิสาหกิจทุกแห่งในระบบประเมินผลฯ [ไม่รวมบริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน)] มีการปรับปรุงดีขึ้นในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๕๒ - พ.ศ. ๒๕๕๓ โดยค่าเฉลี่ยของคะแนนประเมินผลฯ ภาพรวมในปี ๒๕๕๒ และ ๒๕๕๓ อยู่ที่ ๓.๕๙๑๗ คะแนน และ ๓.๗๑๐๑ คะแนน โดยรัฐวิสาหกิจที่มีคะแนนประเมินผลฯ สูงสุด ๕ อันดับแรก ได้แก่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) มีคะแนน ๔.๘๖๒๙ และ ๔.๘๗๑๘ คะแนน ธนาคารออมสิน มีคะแนน ๔.๗๗๘๓ และ ๔.๘๑๐๑ คะแนน การไฟฟ้านครหลวง มีคะแนน ๔.๘๕๖๘ และ ๔.๗๖๕๕ คะแนน การประปานครหลวง มีคะแนน ๔.๗๐๗๕ และ ๔.๗๕๒๙ คะแนน และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค มีคะแนน ๔.๗๑๔๒ และ ๔.๗๓๓๗ คะแนน ๑.๑.๒ ผลการประเมินผลฯ รายสาขา ในปี ๒๕๕๒ และ ๒๕๕๓ สาขาที่มีคะแนนประเมินผลฯ ในภาพรวมเฉลี่ยสูงสุด คือ สาขาพลังงาน มีคะแนนเฉลี่ย ๔.๗๗๙๒ และ ๔.๗๔๗๘ คะแนน โดยรัฐวิสาหกิจที่มีคะแนนสูงสุด คือ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) มีคะแนน ๔.๘๖๒๙ และ ๔.๘๗๑๘ คะแนน ๑.๑.๓ ผลการประเมินผลฯ ด้านบริหารจัดการองค์กรของรัฐวิสาหกิจ ในปี ๒๕๕๒ และ ๒๕๕๓ รัฐวิสาหกิจที่มีคะแนนประเมินผลด้านการบริหารจัดการองค์กร สูงสุด ๕ อันดับแรก ได้แก่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) มีคะแนน ๔.๖๒๑๕ และ ๔.๖๗๕๘ คะแนน การไฟฟ้านครหลวง มีคะแนน ๔.๕๙๑๐ และ ๔.๕๙๒๖ คะแนน การประปานครหลวง มีคะแนน ๔.๓๖๖๘ และ ๔.๔๙๘๓ คะแนน ธนาคารออมสิน มีคะแนน ๔.๓๖๖๗ และ ๔.๔๕๗๔ คะแนน และธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) มีคะแนน ๔.๓๑๕๕ และ ๔.๔๔๙๖ คะแนน ๑.๑.๔ ผลการดำเนินงานที่สำคัญที่เป็นตัวชี้วัดร่วม (Common KPIs) ของรัฐวิสาหกิจ ประจำปีบัญชี ๒๕๕๒ และ ๒๕๕๓ มีดังนี้ ๑.๑.๔.๑ การเบิกจ่ายงบลงทุนเฉลี่ยของรัฐวิสาหกิจในปี ๒๕๕๒ และ ๒๕๕๓ โดยในปี ๒๕๕๒ สาขาที่มีอัตราการเบิกจ่ายงบลงทุนมากที่สุด ได้แก่ สาขาพลังงาน - ไฟฟ้า - น้ำมัน มีการเบิกจ่ายร้อยละ ๙๓ (วงเงินอนุมัติ ๔๘,๗๔๐ ล้านบาท) รัฐวิสาหกิจที่มีอัตราการเบิกจ่ายมากที่สุด คือ การประปาส่วนภูมิภาค และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ซึ่งมีการเบิกจ่ายร้อยละ ๑๐๐ ส่วนในปี ๒๕๕๓ สาขาที่มีอัตราการเบิกจ่ายงบลงทุนมากที่สุด ได้แก่ สาขาพลังงาน - ไฟฟ้า - น้ำมัน มีการเบิกจ่ายร้อยละ ๙๙ และรัฐวิสาหกิจที่สามารถเบิกจ่ายได้เต็มวงเงินอนุมัติ ได้แก่ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การประปานครหลวง องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด และการไฟฟ้านครหลวง ๑.๑.๔.๒ การบริหารจัดการเพื่อสร้างมูลค่าเชิงเศรษฐศาสตร์ของรัฐวิสาหกิจ ผลการประเมินความคืบหน้าฯ ณ สิ้นปี ๒๕๕๒ และ ๒๕๕๓ ได้คะแนนเฉลี่ยที่ ๔.๒๗๑๓ และ ๔.๓๘๖๘ คะแนน โดยมีปัจจัยแห่งความสำเร็จที่สำคัญ คือ การให้การสนับสนุนของคณะกรรมการและผู้บริหารระดับสูง ๑.๑.๔.๓ การบริหารจัดการองค์กรของรัฐวิสาหกิจ ซึ่งผลการดำเนินงานในปี ๒๕๕๒ และ ๒๕๕๓ โดยเฉลี่ยมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากเดิม ๓.๒๗๕๐ เป็น ๓.๔๑๒๓ คะแนน โดยหัวข้อที่รัฐวิสาหกิจมีผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้นสูงสุด คือ หัวข้อการบริหารจัดการสารสนเทศ และหัวข้อการบริหารความเสี่ยง เพิ่มขึ้น ๐.๒๗ และ ๐.๒๔ คะแนน ๑.๒ เห็นชอบให้กระทรวงเจ้าสังกัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อสังเกตจากการประเมินผลฯ และข้อสังเกตของคณะกรรมการประเมินผลงานรัฐวิสาหกิจ ไปดำเนินการต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการนำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายโดยเฉพาะข้อเสนอแนะที่เกี่ยวข้องกับการประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๔ (เรื่อง กรอบและงบประมาณของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕) มาปฏิบัติให้เกิดเป็นรูปธรรมเพื่อให้ระบบการประเมินผลฯ มีประสิทธิภาพ สามารถเสริมสร้างความเข้มแข็งในการดำเนินงานและการจัดการของรัฐวิสาหกิจ ซึ่งจะช่วยลดภาระงบประมาณได้ในระยะยาว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณาร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทางการกำกับติดตามผลการดำเนินงานและการบริหารจัดการของรัฐวิสาหกิจให้ได้ข้อมูลที่รวดเร็วเหมาะสม เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในการกำหนดนโยบายและทิศทางการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น
|
|||||||||||||||||||||||||||
2903 | มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการลงทุนในทรัพย์สินของผู้ประสบอุทกภัย | กค | 04/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการลงทุนในทรัพย์สินของผู้ประสบอุทกภัย เพื่อช่วยเสริมสร้างสภาพคล่องและทำให้เกิดความต่อเนื่องในการดำเนินการของผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ประกอบด้วย มาตรการหักค่าใช้จ่ายเพื่อการได้มาซึ่งทรัพย์สินประเภทเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตสินค้าหรือให้บริการรับจ้างผลิตสินค้า และมาตรการหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สินประเภทเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตสินค้าหรือให้บริการรับจ้างผลิตสินค้า ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกา รวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๒.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัยในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ สำหรับเงินได้ที่ได้จ่ายเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อการได้มาซึ่งทรัพย์สินประเภทเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตสินค้าหรือให้บริการรับจ้างผลิตสินค้า เป็นจำนวนร้อยละยี่สิบห้าของเงินได้ที่ได้จ่ายไปนั้น ทั้งนี้ ต้องจ่ายไปตั้งแต่วันที่ ๒๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ ๒.๒ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ให้หักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สินประเภทเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตสินค้าหรือให้บริการรับจ้างผลิตสินค้าเบื้องต้นในวันที่ได้ทรัพย์สินนั้นมาในอัตราร้อยละสี่สิบของมูลค่าต้นทุน สำหรับมูลค่าต้นทุนส่วนที่เหลือให้หักตามเงื่อนไขที่กำหนดในประมวลรัษฎากร ทั้งนี้ ต้องเป็นทรัพย์สินที่ได้มาตั้งแต่วันที่ ๒๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ ๓. ให้กระทรวงการคลังแจ้งคณะกรรมการเพื่อให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย (กฟย.) และคณะกรรมการเพื่อให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย ด้านเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม และความเป็นอยู่ของประชาชน (กศอ.) ทราบด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
2904 | ร่างพระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย พ.ศ. .... | กค | 04/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการร่างกฎหมาย รวม ๔ ฉบับ ดังนี้ ๑.๑ ร่างกฎหมายปรับปรุงการบริหารหนี้เงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้มีกฎหมายว่าด้วยการปรับปรุงการบริหารหนี้เงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ๑.๒ ร่างกฎหมายให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อลงทุนวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้มีกฎหมายว่าด้วยการให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อลงทุนวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ ๑.๓ ร่างกฎหมายกองทุนประกันภัย พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้มีกฎหมายว่าด้วยกองทุนประกันภัย ๑.๔ ร่างกฎหมายการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้มีกฎหมายว่าด้วยการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย ๒. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังนำหลักการของร่างกฎหมายทั้ง ๔ ฉบับดังกล่าว เสนอต่อคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศพิจารณา และกำหนดกรอบแผนงานและโครงการการลงทุน รวมทั้งกลไกในการบริหารจัดการกรอบเงินลงทุนดังกล่าวให้มีประสิทธิภาพและโปร่งใส แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ ให้ส่งร่างกฎหมายทั้ง ๔ ฉบับดังกล่าว ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาด้วย เนื่องจากร่างกฎหมายดังกล่าวมีความเชื่อมโยงและต้องดำเนินการให้สอดคล้องกัน จึงให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาแนวทางในการกำหนดรูปแบบของร่างกฎหมายดังกล่าวให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
2905 | มาตรการช่วยเหลือผู้ประสบภัยรถยนต์น้ำท่วม | กค | 04/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติมาตรการช่วยเหลือผู้ประสบภัยรถยนต์น้ำท่วม ในส่วนของหลักการและแนวทางการจ่ายเงินแก่ผู้ประสบภัยรถยนต์น้ำท่วม โดยให้ใช้เงินจากโครงการรถยนต์คันแรก ในวงเงิน ๓๐,๐๐๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ หลักเกณฑ์สำหรับรถยนต์ที่ได้รับสิทธิ ๑.๑.๑ เป็นรถยนต์ใหม่ที่มีราคาขายปลีกไม่เกินคันละ ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท ๑.๑.๒ เป็นรถยนต์นั่งที่มีขนาดความจุกระบอกสูบไม่เกิน ๑,๕๐๐ ลูกบาศก์เซนติเมตร รถยนต์กระบะ รถยนต์นั่งที่มีกระบะ ๑.๑.๓ เป็นรถยนต์ที่ผลิตขึ้นภายในประเทศ ไม่รวมถึงรถยนต์ที่ประกอบจากชิ้นส่วนนำเข้าใช้แล้วจากต่างประเทศ (รถยนต์จดทะเบียน) ๑.๒ หลักฐานประกอบสำหรับผู้ที่ได้รับสิทธิ ๑.๒.๑ สำเนาทะเบียนบ้าน สำเนาบัตรประชาชน และสำเนาคู่มือจดทะเบียนรถยนต์ ๑.๒.๒ รูปถ่ายรถยนต์ที่ถูกน้ำท่วม ๑.๒.๓ หลักฐานการลงทะเบียนขอใช้สิทธิการซื้อรถยนต์ใหม่ ๑.๒.๔ หลักฐานการรับรองว่ารถยนต์ดังกล่าวประสบภัยน้ำท่วมให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กรมสรรพสามิตประกาศกำหนด ๑.๒.๕ หนังสือรับรองการขอรับเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ครัวเรือนละ ๕,๐๐๐ บาท (ถ้ามี) ๑.๒.๖ เอกสารการแจ้งหยุดใช้รถยนต์ตลอดไปเนื่องจากน้ำท่วมจากกรมขนส่งทางบก ทั้งนี้ ให้ผู้ประสบภัยน้ำท่วมที่ต้องใช้สิทธิลงทะเบียนขอรับสิทธิในการซื้อรถยนต์ใหม่ที่กรมสรรพสามิตหรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ ภายในวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๕ โดยใช้สิทธิซื้อรถยนต์ใหม่ก่อนวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ อนึ่ง ผู้ซื้อต้องครอบครองรถยนต์ไม่น้อยกว่า ๕ ปี เว้นแต่กรณีเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กระทรวงการคลังประกาศกำหนด และการจ่ายเงินตามสิทธิจะจ่ายให้เมื่อครอบครองรถยนต์ ๑ ปีไปแล้ว (เริ่มจ่ายให้ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๖) ๑.๓ แนวทางการดำเนินงาน ๑.๓.๑ ให้ผู้ประสบภัยลงทะเบียนขอใช้สิทธิในการซื้อรถยนต์ใหม่ที่กรมสรรพสามิตหรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ ภายในวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๕ พร้อมหลักฐานตามข้อ ๑.๒ ๑.๓.๒ ให้กรมบัญชีกลางมีอำนาจอนุมัติให้เงินสนับสนุนสำหรับรถยนต์คันใหม่ให้กับผู้ซื้อ พร้อมทั้งกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข การให้เงินสนับสนุน การติดตามเรียกเงินคืนกรณีผู้ซื้อปฏิบัติผิดเงื่อนไข ตลอดจนการติดตามจำนวนเงินดังกล่าวจากผู้ซื้อ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณากำหนดมาตรการเพิ่มเติมให้มีความรอบคอบรัดกุมเพื่อป้องกันมิให้มีการนำรถยนต์ที่ประสบภัยน้ำท่วม (และผู้ครอบครองรถยนต์ดังกล่าวได้ขอใช้สิทธิการซื้อรถยนต์ใหม่) ไปซ่อมและจำหน่ายเป็นรถยนต์ใช้แล้วได้อีก ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้หน่วยงานที่รับผิดชอบพิจารณากำหนดเงื่อนไข หลักเกณฑ์ และแนวทางปฏิบัติให้ชัดเจน สามารถนำไปสู่การปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นประโยชน์ต่อผู้ประสบอุทกภัยอย่างแท้จริง รวมทั้งควรกำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไข กรณีผู้ซื้อปฏิบัติผิดเงื่อนไข ตลอดจนการติดตามจำนวนเงินจากผู้ซื้อให้ชัดเจน เพื่อไม่ให้มีข้อโต้แย้งในภายหลัง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
2906 | ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (มาตรการภาษีเพื่อช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย) | กค | 04/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญคือ ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับ ๑.๑ เงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซ่อมแซมรวมทั้งค่าวัสดุอุปกรณ์ในการซ่อมแซมทรัพย์สินซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นอาคาร หรือที่อยู่ในเขตอาคาร หรือห้องชุดในอาคารชุด และทรัพย์สินที่มีการประกอบติดตั้งติดกับตัวอาคารหรือห้องชุดในอาคารชุด รั้ว และประตูรั้ว ที่ได้รับความเสียหายจากเหตุอุทกภัยในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ แต่ไม่เกินหนึ่งแสนบาท เป็นเงินได้ที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องนำมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ๑.๒ เงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซ่อมแซมและค่าวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการซ่อมแซมรถยนต์ตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ที่ได้รับความเสียหายจากเหตุอุทกภัยในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ แต่ไม่เกินสามหมื่นบาท เป็นเงินได้ที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องนำมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของคณะรัฐมนตรีและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการกำหนดให้ผู้มีเงินได้ต้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในรถยนต์หรือเป็นผู้เช่าซื้อรถยนต์ที่ได้รับการซ่อมแซม ควรครอบคลุมถึงผู้ที่ได้รับความเสียหายจากการถูกน้ำท่วมรถยนต์ที่ไม่ได้อยู่ในท้องที่ที่ทางราชการประกาศให้เป็นพื้นที่ที่ประสบอุทกภัย และการกำหนดให้เงินได้ที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องนำมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาต้องเป็นเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซ่อมแซมรถยนต์ตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ ควรครอบคลุมถึงรถประเภทอื่น ๆ ซึ่งมิได้บัญญัติไว้ในกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ รวมทั้งควรกำหนดให้นำมาตรการภาษีดังกล่าวมีผลใช้บังคับกับผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ด้วย นอกจากนี้ ควรกำหนดหลักเกณฑ์การใช้สิทธิการหักค่าลดหย่อนภาษีสำหรับค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมบ้านให้รัดกุมกรณีที่มีผู้ถือกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินมากกว่าหนึ่งคน เพื่อป้องกันมิให้มีการใช้สิทธิรวมกันเกินกว่าวงเงินที่กำหนดหนึ่งแสนบาท ส่วนมาตรการให้หักค่าลดหย่อนภาษีสำหรับค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมรถยนต์ กรณีหลักเกณฑ์ที่กำหนดว่าผู้มีเงินได้ต้องเป็นเจ้าของรถยนต์หรือผู้เช่าซื้อรถยนต์ ทำให้ผู้ใช้รถยนต์ที่มิได้มีสถานะที่เป็นเจ้าของหรือผู้เช่าซื้อ เช่น ผู้เช่ารถรายวัน ผู้ยืมรถมาใช้ชั่วคราว และพนักงานขับรถที่มีหน้าที่ต้องดูแลรับผิดชอบรถยนต์เต็มเวลา เป็นต้น ไม่สามารถใช้สิทธิตามมาตรการนี้ได้ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้กระทรวงการคลังแจ้งคณะกรรมการเพื่อให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย (กฟย.) และคณะกรรมการเพื่อให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย ด้านเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม และความเป็นอยู่ของประชาชน (กศอ.) ทราบด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
2907 | รายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 | กค | 27/12/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงการคลังได้ดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ จำนวน ๓๔,๖๐๐ ล้านบาท โดยการออกตั๋วสัญญาใช้เงิน อายุ ๑๒ ปี จำนวน ๑๘,๙๐๐ ล้านบาท และอายุ ๑๘ ปี จำนวน ๑๕,๗๐๐ ล้านบาท รวมทั้งแจ้งให้สถาบันการเงิน บริษัทประกันชีวิต กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ และสำนักงานประกันสังคม รวมทั้งสิ้นจำนวน ๖๐ แห่ง เสนออัตราดอกเบี้ยเงินกู้สำหรับตั๋วสัญญาใช้เงิน จำนวน ๒ รุ่นอายุดังกล่าว ได้แก่ ตั๋วสัญญาใช้เงิน รุ่นอายุ ๑๒ ปี มีสถาบันต่าง ๆ เสนออัตราดอกเบี้ยโดยเสนออยู่ระหว่างร้อยละ ๔.๑๕ - ๔.๓๐ ต่อปี มีอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยร้อยละ ๔.๒๘๘ ต่อปี และตั๋วสัญญาใช้เงิน รุ่นอายุ ๑๘ ปี มีสถาบันต่าง ๆ เสนออัตราดอกเบี้ยโดยเสนออยู่ระหว่างร้อยละ ๔.๕๐ - ๔.๖๓ ต่อปี มีอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยร้อยละ ๔.๕๘๒ ต่อปี ๒. กระทรวงการคลังได้นำเงินที่ได้จากการจำหน่ายตั๋วสัญญาใช้เงิน จำนวน ๓๔,๖๐๐ ล้านบาท ไปปรับโครงสร้างหนี้สัญญาเงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ได้แก่ ๒.๑ ชำระคืนต้นเงินกู้ จำนวน ๑๐,๗๖๙.๗๑ ล้านบาท สำหรับสัญญาเงินกู้สำหรับโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ ครั้งที่ ๒ วงเงินที่ ๑ จำนวน ๔๕,๐๐๐ ล้านบาท สัญญาลงวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ ตามยอดเงินกู้คงค้าง ทำให้การชำระหนี้ตามสัญญาเงินกู้นี้เสร็จสิ้นแล้ว ๒.๒ ชำระคืนต้นเงินกู้ จำนวน ๒๓,๘๓๐.๒๙ ล้านบาท สำหรับสัญญาเงินกู้สำหรับโครงการตามแผนปฎิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ ครั้งที่ ๒ วงเงิน ๔๕,๐๐๐ ล้านบาท สัญญาลงวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ ทำให้สัญญาเงินกู้นี้มียอดหนี้เงินกู้คงค้างอีกจำนวน ๒๑,๑๖๙.๗๑ ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||||||||
2908 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การปรับปรุงแก้ไขหลักเกณฑ์การจัดตั้งสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาค) | กค | 27/12/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างพระราชกฤษฎีกาฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. กำหนดให้กรณีที่สำนักงานปฏิบัติการภูมิภาคขาดคุณสมบัติอย่างหนึ่งอย่างใด เช่น เกี่ยวกับทุนที่ชำระแล้ว การให้บริการแก่รัฐวิสาหกิจในเครือ รายจ่าย จำนวนพนักงาน การจ่ายค่าตอบแทนให้แก่พนักงาน ฯลฯ ในรอบระยะเวลาบัญชีใด ให้สิทธิที่จะได้รับการลดอัตราและยกเว้นภาษีเงินได้สิ้นสุดลงนับแต่รอบระยะเวลาบัญชีแรก ๒. กรณีที่สำนักงานปฏิบัติการภูมิภาคได้แจ้งเลิกการเป็นสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาคภายในห้ารอบระยะเวลาบัญชีนับแต่วันที่มีการจดแจ้งการเป็นสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาค ให้สิทธิที่จะได้รับการลดอัตราและยกเว้นภาษีเงินได้สิ้นสุดลงนับแต่รอบระยะเวลาบัญชีแรก
|
|||||||||||||||||||||||||||
2909 | รายงานผลการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 | กค | 27/12/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. หน่วยงานภาครัฐได้ลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิการเข้าใช้งานระบบจัดซื้อจัดจ้าง (e - Government Procurement : e - GP) จำนวนทั้งสิ้น ๔๘,๗๑๑ แห่ง ลงทะเบียนแล้ว ๓๔,๓๙๔ แห่ง หรือคิดเป็นร้อยละ ๗๐.๖๑ ของหน่วยงานทั้งหมด ๒. หน่วยงานภาครัฐได้ดำเนินการประกาศจัดซื้อจัดจ้าง จำนวนทั้งสิ้น ๗๗,๖๓๖ โครงการ วงเงินงบประมาณในการจัดซื้อจัดจ้าง ๒๐๙,๒๕๙.๒๘ ล้านบาท มูลค่าที่จัดหาได้ ๑๙๘,๔๕๖.๗๙ ล้านบาท สามารถประหยัดเงินงบประมาณได้ถึง ๑๐,๘๐๒.๔๙ ล้านบาท หรือประหยัดได้ร้อยละ ๕.๑๖ ของวงเงินงบประมาณทั้งหมด โดยจำแนกตามประเภทต่าง ๆ ได้ดังนี้ ๒.๑ การจัดซื้อจัดจ้างจำแนกตามประเภทหน่วยงาน พบว่า ส่วนราชการมีมูลค่าการจัดซื้อจัดจ้างในระบบ e - GP มากที่สุด รองลงมา ได้แก่ รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานอื่น ๆ ตามลำดับ ๒.๒ การจัดซื้อจัดจ้างจำแนกตามวิธีการจัดซื้อจัดจ้าง พบว่า หน่วยงานภาครัฐมีมูลค่าการจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธี e - Auction ในระบบ e - GP มากที่สุด รองลงมาคือ วิธีสอบราคา และวิธีประกวดราคา ตามลำดับ และเมื่อพิจารณาตามแต่ละประเภทหน่วยงาน พบว่าหน่วยงานทุกประเภทประกาศจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธี e - Auction มากที่สุดเช่นเดียวกัน แต่สัดส่วนของการจัดซื้อจัดจ้างในแต่ละวิธีเทียบกับวงเงินงบประมาณทั้งหมดจะแตกต่างกันไป โดยรัฐวิสาหกิจจะมีสัดส่วนการจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธี e - Auction สูงสุดเมื่อเทียบกับหน่วยงานอื่น ในขณะที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีสัดส่วนการจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีสอบราคาสูงที่สุดเมื่อเทียบกับหน่วยงานอื่น ๒.๓ การจัดซื้อจัดจ้างจำแนกจัดซื้อจัดจ้างตามประเภทการจัดหา ได้แก่ การซื้อวัสดุครุภัณฑ์ การจ้างก่อสร้าง การจ้างเหมาบริการ และการเช่า พบว่า วิธีสอบราคาและวิธีประกวดราคาส่วนใหญ่เป็นงานซื้อวัสดุครุภัณฑ์ ในขณะที่วิธี e - Auction ส่วนใหญ่เป็นงานจ้างก่อสร้าง และเมื่อจำแนกการจัดซื้อจัดจ้างตามประเภทการจัดหาของแต่ละหน่วยงาน ส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานอื่น ๆ มีการก่อสร้างมากที่สุด รองลงมาคือ การจัดซื้อวัสดุครุภัณฑ์ ส่วนรัฐวิสาหกิจมีการจ้างก่อสร้างมากที่สุดเช่นเดียวกัน รองลงมาคือ การจ้างเหมาบริการ ๒.๔ การจัดซื้อจัดจ้างตามประเภทสินค้าและบริการ ได้แก่ วัสดุครุภัณฑ์ งานจ้างก่อสร้าง งานจ้างเหมา และงานเช่า ซึ่งมีทั้งหมด ๔๗ ประเภท พบว่า ประเภทสินค้าและบริการที่มีมูลค่าการจัดซื้อจัดจ้างสูงสุด คือ งานจ้างก่อสร้างและปรับปรุง รองลงมา ได้แก่ งานจ้างเหมาบริการ วัสดุครุภัณฑ์วิทยาศาสตร์และการแพทย์ วัสดุครุภัณฑ์ยานพาหนะและขนส่ง วัสดุครุภัณฑ์การศึกษา วัสดุครุภัณฑ์คอมพิวเตอร์ และวัสดุครุภัณฑ์ก่อสร้าง ตามลำดับ ๒.๕ การจัดซื้อจัดจ้างตามหน่วยงานที่มีมูลค่าการจัดซื้อจัดจ้าง ๑๐ อันดับสูงสุด แบ่งตามประเภทหน่วยงาน ได้แก่ ส่วนราชการระดับกรม สถานศึกษา สถานพยาบาล และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พบว่า มูลค่าการจัดซื้อจัดจ้าง ๑๐ อันดับสูงสุดของส่วนราชการระดับกรมมีสัดส่วนมากถึงร้อยละ ๗๕.๖๖ เมื่อเทียบกับมูลค่าการจัดซื้อจัดจ้างของกรมทั้งหมด ในขณะที่สถานศึกษา สถานพยาบาล และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีสัดส่วนมูลค่าการจัดซื้อจัดจ้าง ๑๐ อันดับสูงสุดเพียงร้อยละ ๒๗.๘๓ ๓๑.๘๔ และ ๑๙.๖๓ ตามลำดับ
|
|||||||||||||||||||||||||||
2910 | การจัดตั้งทุนหมุนเวียนของหน่วยงานของรัฐ | กค | 27/12/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติต่อไป ดังนี้
๑. รับทราบการสรุปผลการดำเนินงานของคณะกรรมการกลั่นกรองการจัดตั้งทุนหมุนเวียนเกี่ยวกับผลการพิจารณาการขอจัดตั้งทุนหมุนเวียน จำนวน ๖ ทุน ความคืบหน้าการดำเนินการของส่วนราชการเจ้าสังกัดของทุนหมุนเวียนดังกล่าว และเรื่อง “กรอบคู่มือการขอจัดตั้งทุนหมุนเวียนของทางราชการ”เพื่อกำกับและควบคุมให้การจัดตั้งทุนหมุนเวียนเป็นไปด้วยความถูกต้องครบถ้วน และเพื่อให้หน่วยงานของรัฐที่มีความประสงค์ หรืออยู่ระหว่างการศึกษาการจัดตั้งทุนหมุนเวียนมีแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนในการเสนอจัดตั้งทุนหมุนเวียนได้อย่างเหมาะสมและเกิดผลสัมฤทธิ์สูงสุด สำหรับผลการพิจารณาการขอจัดตั้งทุนหมุนเวียนและความคืบหน้าการดำเนินการของส่วนราชการ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ คณะกรรมการฯ เห็นควรให้มีการจัดตั้งทุนหมุนเวียน จำนวน ๑ ทุน คือ กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ของกระทรวงวัฒนธรรม ขณะนี้ดำเนินการถึงขั้นตอนรอรัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบร่างกฎหมายแล้ว ๑.๒ คณะกรรมการฯ ไม่เห็นควรให้มีการจัดตั้งทุนหมุนเวียน จำนวน ๓ ทุน คือ ทุนหมุนเวียนสถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำระยอง และกองทุนเพื่อพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกองทุนการศึกษาเพื่อบุคคลออทิสติกส์ ของกระทรวงศึกษาธิการ และไม่เห็นควรให้ขยายวัตถุประสงค์ จำนวน ๑ ทุน คือ เงินทุนหมุนเวียนโรงงานฟอกหนัง ของกองทัพบก ทั้งนี้ ส่วนราชการเจ้าสังกัดทุนหมุนเวียนที่ขอจัดตั้งทั้ง ๔ แห่ง มิได้ดำเนินการจัดตั้งทุนต่อไป ๑.๓ คณะกรรมการฯ ไม่มีประเด็นการพิจารณาความเหมาะสมของการจัดตั้ง จำนวน ๑ ทุน คือ กองทุนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เนื่องจากมีการจัดตั้งกองทุนดังกล่าวโดยบรรจุในพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ที่มีผลบังคับใช้เป็นกฎหมายแล้ว ๒. เห็นชอบให้หน่วยงานของรัฐที่นำเสนอหลักการหรือร่างกฎหมายที่มีการขอจัดตั้งทุนหมุนเวียนต่อคณะรัฐมนตรีให้หน่วยงานของรัฐนั้นดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๑ (เรื่อง แนวทางการจัดตั้งทุนหมุนเวียน) โดยจัดส่งข้อมูลรายละเอียดเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการฯ ตาม “กรอบคู่มือการจัดตั้งทุนหมุนเวียนของทางราชการ” ให้กรมบัญชีกลางในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการฯ เพื่อให้คณะกรรมการฯ พิจารณานำเสนอความเห็นต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป ทั้งนี้ เพื่อเป็นการรักษาวินัยการเงินการคลัง และดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวอย่างเคร่งครัด
|
|||||||||||||||||||||||||||
2911 | ซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับการดำเนินการจัดหาพัสดุก่อนพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 ประกาศใช้ | กค | 27/12/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลัง โดยคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ (กวพ.) เสนอว่า เพื่อให้การดำเนินการจัดหาพัสดุ และการเบิกจ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ของส่วนราชการ เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ทันต่อสถานการณ์ เห็นสมควรซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติในการดำเนินการจัดหาพัสดุก่อนพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ประกาศใช้ ในประเด็นตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ข้อ ๑๓ วรรคหนึ่ง โดยให้ส่วนราชการถือปฏิบัติ ดังนี้
๑. การจัดหาพัสดุโดยใช้งบประมาณรายจ่ายของส่วนราชการ ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ไปพลางก่อน เมื่อได้รับการจัดสรรงบประมาณจากสำนักงบประมาณ ถือได้ว่าทราบยอดเงินที่จะนำมาใช้ในการจัดหาแล้วตามระเบียบฯ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ข้อ ๑๓ วรรคหนึ่ง แล้ว ให้ส่วนราชการดำเนินกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างตามระเบียบฯ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติมได้ ๒. การจัดหาพัสดุโดยใช้งบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ในการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ไปพลางก่อน ให้ถือได้ว่าทราบยอดเงินที่จะนำมาใช้ในการจัดหาพัสดุตามระเบียบฯ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ข้อ ๑๓ วรรคหนึ่ง เมื่อผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีกับสำนักงบประมาณแล้ว ให้ส่วนราชการดำเนินกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างตามระเบียบฯ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติมได้ ทั้งนี้ เมื่อดำเนินกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างจนได้ผู้ขายหรือผู้รับจ้างแล้วจึงให้ลงนามในสัญญาได้ ๓. การจัดหาพัสดุโดยใช้งบประมาณรายจ่ายของส่วนราชการ ให้ถือได้ว่าทราบยอดเงินที่จะนำมาใช้ในการจัดหาแล้วตามระเบียบฯ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ข้อ ๑๓ วรรคหนึ่ง เมื่อคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ได้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ รวมถึงได้พิจารณารายการเพิ่มและเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ของส่วนราชการและพิจารณาข้อสังเกตเรียบร้อยแล้ว ให้ส่วนราชการเริ่มดำเนินกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างตามระเบียบฯ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติมไว้ก่อนได้ ทั้งนี้ ห้ามส่วนราชการก่อหนี้ผูกพัน (ลงนามในสัญญา) จนกว่าพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จะประกาศใช้ และสำนักงบประมาณได้จัดสรรงบประมาณให้ส่วนราชการแล้ว ๔. การจัดหาพัสดุโดยใช้งบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ ให้ถือได้ว่าทราบยอดเงินที่จะนำมาใช้ในการจัดหาพัสดุตามระเบียบฯ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ข้อ ๑๓ วรรคหนึ่ง เมื่อคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ แล้ว และผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการเพื่อให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยแล้ว และผ่านการพิจารณาจากคณะรัฐมนตรีกับสำนักงบประมาณแล้ว ให้ส่วนราชการเริ่มดำเนินกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างตามระเบียบฯ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติมได้ ทั้งนี้ ห้ามส่วนราชการก่อหนี้ผูกพัน (ลงนามในสัญญา) จนกว่าพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จะประกาศใช้ และสำนักงบประมาณได้จัดสรรงบประมาณให้ส่วนราชการแล้ว ทั้งนี้ ให้ส่วนราชการกำหนดเป็นเงื่อนไขบังคับในเอกสารประกาศการจัดซื้อหรือจัดจ้างไว้ด้วยว่า การจัดซื้อจัดจ้างครั้งนี้จะมีการลงนามในสัญญาซื้อหรือสัญญาจ้างได้ต่อเมื่อพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จะประกาศใช้ และได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จากสำนักงบประมาณแล้ว และในกรณีที่ไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จากสำนักงบประมาณเพื่อการจัดหาในครั้งดังกล่าว ส่วนราชการสามารถยกเลิกการจัดหาได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
2912 | เป้าหมายของนโยบายการเงินประจำปี 2555 | กค | 27/12/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรับเรื่อง เป้าหมายของนโยบายการเงินประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ไปพิจารณาทบทวนร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย (คณะกรรมการนโยบายการเงิน) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอีกครั้งหนึ่ง โดยให้คำนึงถึงผลกระทบที่อาจทำให้ระดับราคาสินค้าสูงขึ้น และความสมดุลระหว่างอัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่จะเกิดขึ้น ๒. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรให้กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยพิจารณากำหนดค่าเบี่ยงเบนให้แคบลง เพื่อให้การบริหารนโยบายการเงินที่มุ่งเน้นการรักษาเสถียรภาพทางด้านเศรษฐกิจมีความชัดเจนและสอดคล้องกับประเทศคู่ค้าคู่แข่งมากขึ้น และเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือและความมีประสิทธิภาพในการดำเนินนโยบายการเงิน รวมทั้งควรประสานการดำเนินนโยบายการเงินและนโยบายการคลังร่วมกันเพื่อสร้างความเข้าใจกับสาธารณะ และพิจารณาเครื่องมือทางการเงินอื่นนอกเหนือจากการใช้อัตราดอกเบี้ยนโยบายมาใช้ในสถานการณ์ที่เหมาะสมเพื่อประสิทธิผลในการดำเนินนโยบายการเงิน นอกจากนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์เพิ่มความเข้มงวดในการดำเนินนโยบายการควบคุมราคาสินค้าและบริการให้เกิดความเป็นธรรมและเหมาะสมต่อทั้งผู้บริโภคและผู้ผลิตควบคู่ไปกับการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อให้การบริหารนโยบายการเงินมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไปพิจารณาด้วย แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง
|
|||||||||||||||||||||||||||
2913 | การบริหารโครงการภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน เพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 และโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน | กค | 27/12/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติและรับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ โครงการภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ ๑.๑.๑ อนุมัติในหลักการให้โครงการที่ได้รับอนุมัติเงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ และอยู่ระหว่างการพิจารณาจัดสรรเงินของสำนักงบประมาณหรือได้รับการจัดสรรเงินจากสำนักงบประมาณแล้ว แต่ยังไม่ได้ลงนามในสัญญา รวมทั้งกรณีโครงการที่ไม่ต้องมีการลงนามในสัญญา (ใช้เงินอุดหนุน/งบประจำ) ที่หัวหน้าส่วนราชการหรือหน่วยงานเจ้าของโครงการได้แจ้งยืนยันมาที่คณะกรรมการกลั่นกรองและบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ให้สามารถดำเนินการลงนามในสัญญาและเบิกจ่ายเงินต่อไปได้จนกว่าจะบรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการ ทั้งนี้ ให้เร่งรัดดำเนินการโครงการและการเบิกจ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน ๒๕๕๕ ๑.๑.๒ อนุมัติการยกเลิกโครงการวิจัยสู่ภาคเอกชน ณ โครงการพัฒนาที่ดิน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สระบุรี รายการจัดซื้อรายการครุภัณฑ์ จำนวน ๑๐ รายการ ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กระทรวงศึกษาธิการ วงเงิน ๕,๐๑๙,๔๘๐ บาท และโครงการพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพงานด้านการอนุรักษ์สัตว์ป่า รายการการจัดซื้อรายการปืนไรเฟิล ของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วงเงิน ๗๐,๐๐๐ บาท ๑.๑.๓ รับทราบสถานะการดำเนินโครงการก่อสร้างศูนย์ประชุมและนิทรรศการนานาชาติภูเก็ต ของกรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง ๑.๑.๔ รับทราบโครงการของจังหวัดและกลุ่มจังหวัดที่ได้รับการจัดสรรเงินจากสำนักงบประมาณแล้วแต่ยังไม่ลงนามในสัญญา วงเงิน ๑๑๙.๕๓ ล้านบาท ซึ่งหน่วยงานเจ้าของโครงการไม่ได้แจ้งผลการทบทวนความจำเป็นคุ้มค่าของการดำเนินโครงการมายังคณะกรรมการฯ ๑.๑.๕ รับทราบโครงการที่หน่วยงานจะขอยกเลิกโครงการเดิมและเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการ วงเงิน ๑,๒๙๙.๕๘ ล้านบาท ได้แก่ โครงการพัฒนาการเรียนรู้แบบบูรณาการองค์ความรู้วิชาชีพด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพิ่มเติม ของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) กระทรวงศึกษาธิการ วงเงิน ๕๑๒.๕๙ ล้านบาท และโครงการพัฒนาการเรียนรู้แบบบูรณาการองค์ความรู้ด้วยวิชาชีพด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ของ สอศ. กระทรวงศึกษาธิการ วงเงิน ๗๘๗.๐๔ ล้านบาท ๑.๒ โครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ๑.๒.๑ อนุมัติให้โครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ จำนวน ๕๙ โครงการ วงเงิน ๙,๒๓๕.๖๘ ล้านบาท สามารถดำเนินโครงการต่อไปได้ โดยให้เร่งรัดการดำเนินโครงการและการเบิกจ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน ๒๕๕๕ และเห็นชอบในหลักการให้โครงการเงินกู้ DPL ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ วงเงิน ๑๔,๒๕๘.๖๔ ล้านบาท (รวมโครงการเงินกู้ DPL ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ วงเงิน ๕,๐๒๒.๙๖ ล้านบาท ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๔ ด้วย) สามารถลงนามในสัญญาและการเบิกจ่ายเงินต่อไปได้จนกว่าจะบรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการ ทั้งนี้ ไม่เกินเดือนกันยายน ๒๕๕๕ และให้หน่วยงานเร่งจัดส่งข้อมูลให้ครบถ้วนเพื่อประกอบการพิจารณาจัดสรรเงินของสำนักงบประมาณ ๑.๒.๒ รับทราบการแจ้งยืนยันความจำเป็นเหมาะสมและคุ้มค่าในการดำเนินโครงการเงินกู้ DPL ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ของกระทรวงสาธารณสุข จำนวน ๔ โครงการ วงเงิน ๓,๔๒๖.๓๕ ล้านบาท ๑.๓ การบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ๑.๓.๑ อนุมัติการจัดสรรเงินสำรองจ่ายโครงการถนนไร้ฝุ่น ของกรมทางหลวงชนบท กระทรวงคมนาคม วงเงิน ๓,๙๔๗,๐๗๑ บาท โครงการฝายหัวงานและอาคารประกอบ โครงการฝายชั่วคราวกั้นแม่น้ำปิง (หัวงานที่ ๑) จังหวัดนครสวรรค์ ของกรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ วงเงิน ๑,๘๒๐,๕๒๖ บาท และโครงการอ่างเก็บน้ำห้วยปอ ตำบลนาบอน อำเภอคำม่วง จังหวัดกาฬสินธุ์ ของกรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ วงเงิน ๙๙๕,๒๖๓.๔๘ บาท ๑.๓.๒ อนุมัติการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ โดยให้หน่วยงานส่งข้อมูลให้สำนักงบประมาณพิจารณาเพื่อขอจัดสรรเงิน ซึ่งรวมถึงแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายใน ๑๕ วันทำการ ๑.๓.๓ รับทราบการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินของโครงการก่อสร้างระบบป้องกันน้ำท่วมพื้นที่ชุมชนป่าแดด ระยะที่ ๑ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ วงเงิน ๒๐๐ ล้านบาท ของกรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย ๑.๓.๔ รับทราบการขอรับการจัดสรรเงินเพิ่มเติมภายใต้วงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ โครงการปรับปรุงโรงเรียนให้เป็นมาตรฐาน รายการพัฒนาห้องสมุด (E - library) โรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานคร ของกรุงเทพมหานคร กระทรวงมหาดไทย วงเงิน ๕,๗๒๔,๕๐๐ บาท ๑.๔ รับทราบความเห็นเบื้องต้นของกระทรวงการคลังในประเด็นการดำเนินการและเบิกจ่ายเงินโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ หลังวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๕ ที่จะนำไปหารือกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๒. สำหรับโครงการก่อสร้างศูนย์การประชุมและนิทรรศการนานาชาติภูเก็ต ของกรมธนารักษ์ ให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณาทบทวนอีกครั้งหนึ่ง แล้วนำเสนอคณะกรรมการกลั่นกรองและบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ โดยเร็วต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
2914 | การแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร | กค | 27/12/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายวีระชัย นาควิบูลย์วงศ์ เลขาธิการสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ผู้แทน ส.ป.ก. เป็นกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) แทนนายเลิศวิโรจน์ โกวัฒนะ กรรมการเดิมที่พ้นจากตำแหน่ง ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๔) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
2915 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย | กค | 27/12/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย จำนวน ๔ คน แทนกรรมการที่ขอลาออก ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยให้เริ่มวาระการดำรงตำแหน่งตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๔) เป็นต้นไป ดังนี้ ๑.๑ นายกายสิทธิ์ พิศวงปราการ แทนนายวิชาญ ธรรมสุจริต ๑.๒ นายวินัย วิทวัสการเวช แทนนายอนันต์ สิริแสงทักษิณ ๑.๓ นายวิวิศน์ เตชะไพบูลย์ แทนนางชาลอต โทณวณิก ๑.๔ นายสมเกียรติ สินสุนทร แทนนายรัฐนิติ์ พัฒนกุล ๒. ส่วนนายกายสิทธิ์ พิศวงปราการ ให้เริ่มวาระการดำรงตำแหน่งตั้งแต่วันที่ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการอัยการ
|
|||||||||||||||||||||||||||
2916 | มาตรการรถยนต์คันแรก | กค | 27/12/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. กรณีที่ให้มีการให้สิทธิกับผู้ซื้อรถยนต์คันแรกให้ครอบคลุมถึงรถยนต์ที่มีความจุกระบอกสูบเกิน ๑,๕๐๐ ลูกบาศก์เซนติเมตร ต้องมีอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงต่ำ และสามารถใช้พลังงานทดแทนได้ นั้น การกำหนดอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง และการใช้พลังงานทดแทน สามารถกำหนดได้จากการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งปัจจุบันมาตรฐานการวัดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ยังไม่เป็นมาตรฐานบังคับ จึงเห็นควรคงขนาดของเครื่องยนต์ไว้ที่ความจุกระบอกสูบไม่เกิน ๑,๕๐๐ ลูกบาศก์เซนติเมตร ตามเดิม ๒. กรณีการห้ามโอนกรรมสิทธิ์ก่อนระยะเวลา ๕ ปี ซึ่งอาจก่อให้เกิดปัญหาทางปฏิบัติในบางกรณีเช่น ผู้ได้รับสิทธิต้องการออกจากโครงการฯ และคืนเงินครบตามจำนวน ผู้ให้เช่าซื้อยึดรถกรณีผู้เช่าซื้อผิดสัญญาและนำออกขายทอดตลาด ผู้ได้รับสิทธิเสียชีวิต รถยนต์เกิดอุบัติเหตุหรือประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติและผู้ซื้อหรือผู้เช่าซื้อไม่ประสงค์จะใช้รถยนต์นั้นต่อไป เป็นต้น เห็นควรให้กระทรวงการคลังประกาศกำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไขการโอนกรรมสิทธิ์ก่อนระยะเวลา ๕ ปี เพื่อให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในทางปฏิบัติ ๓. ให้กรมบัญชีกลางกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ในการรับเงินคืน จำนวนเงินที่ต้องเรียกคืนจากผู้ซื้อ การติดตามเรียกเงินคืน กรณีผู้ซื้อปฏิบัติผิดเงื่อนไข
|
|||||||||||||||||||||||||||
2917 | มาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ประสบภัยพิบัติปี 2554 โดยธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย | กค | 13/12/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการหารือของกระทรวงการคลังกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๕๔ (เรื่อง มาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ประสบภัยพิบัติปี ๒๕๕๔ โดยธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย) ที่ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรเรียกเก็บอัตราดอกเบี้ยจากผู้กู้ในอัตราร้อยละ ๕ ต่อปี และรัฐบาลชดเชยดอกเบี้ยอีกร้อยละ ๒ ต่อปี เนื่องจากอัตราดอกเบี้ย MLR ของธนาคารพาณิชย์เฉลี่ยประมาณร้อยละ ๗.๗ ต่อปี และควรยกเว้นค่าธรรมเนียมเพื่อเป็นการลดภาระของผู้ประกอบการ รวมทั้งควรจัดให้มีมาตรการและแนวทางในการตรวจสอบผู้ประกอบการให้ตรงตามคุณสมบัติที่ได้มีการกำหนดอย่างเข้มงวด และเร่งดำเนินการติดตามและประเมินผลการปล่อยสินเชื่อในโครงการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (SME POWER) ในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ที่ระยะเวลาการปลอดชำระคืนเงินต้นกำลังจะหมดลงในช่วงต้นปี พ.ศ. ๒๕๕๕ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาหนี้เสียและกระทบต่อผลประกอบการของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) ในอนาคต ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการ ซึ่งกระทรวงการคลังได้จัดให้มีการประชุมกับกระทรวงอุตสาหกรรม โดยสำนักส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และ ธพว. เมื่อวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๔ เพื่อนำความเห็นของหน่วยงานมาพิจารณาประกอบการดำเนินการตามมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ประสบภัยพิบัติปี พ.ศ. ๒๕๕๔ โดย ธพว. ทั้งนี้ ทุกหน่วยงานรับทราบและเข้าใจรายละเอียดของมาตรการและไม่ขัดข้องที่ ธพว. จะดำเนินการตามหลักการกระทรวงการคลังที่ได้เสนอต่อคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๕๔ และเห็นควรให้ ธพว. เร่งดำเนินมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ประสบภัยพิบัติปี พ.ศ. ๒๕๕๔ โดยเร็วที่สุด
|
|||||||||||||||||||||||||||
2918 | รายงานการกู้เงินตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 และรายงานผลการดำเนินการตามมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 | กค | 13/12/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอรายงาน รวม ๒ ฉบับ และให้นำเสนอสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาทราบต่อไป ดังนี้
๑. รายงานการกู้เงินตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ วัตถุประสงค์ของการกู้เงิน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ และการเพิ่มการลงทุนของภาครัฐ เพิ่มการจ้างงานผ่านโครงการลงทุนขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ กระจายการลงทุนด้านบริการสาธารณะขั้นพื้นฐานไปยังส่วนภูมิภาคและชนบท และดำเนินโครงการลงทุนที่มีความสำคัญตามนโยบายของรัฐบาลที่มีความจำเป็นเร่งด่วน ๑.๒ รายละเอียดของการกู้เงิน ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ (ตุลาคม - ธันวาคม ๒๕๕๓) กระทรวงการคลังได้ดำเนินการกู้เงินภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ จำนวน ๕๘,๙๔๐.๐๙ ล้านบาท โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำไปใช้ในการดำเนินมาตรการเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งได้ดำเนินการกู้เงินจากสถาบันการเงิน รวม ๒ ครั้ง และได้ดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้เพื่อสนับสนุนการดำเนินโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ วงเงิน ๓๙๘,๙๔๐.๐๙ ล้านบาท จากเงินกู้ระยะสั้นในรูปแบบ Term Loan เป็นเงินกู้ระยะยาวในรูปแบบพันธบัตรออมทรัพย์ พันธบัตรรัฐบาล ตั๋วสัญญาใช้เงิน และพันธบัตรชดเชยเงินเฟ้อ ๑.๓ ผลสัมฤทธิ์และประโยชน์ที่ได้รับ จะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้กับภาคการเกษตรของประเทศ เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และก่อให้เกิดการจ้างงาน ฯลฯ ๒. รายงานผลการดำเนินการตามมาตรา ๑๗ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๒.๑ วัตถุประสงค์ของการกู้เงิน เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ เพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ เพื่อทดแทนเงินกู้จากต่างประเทศ ฯลฯ ๒.๒ รายละเอียดของการกู้เงิน เป็นการดำเนินการตามแผนการก่อหนี้ใหม่ ประกอบด้วย การก่อหนี้ใหม่ของรัฐบาล การก่อหนี้ใหม่ของรัฐวิสาหกิจ ซึ่งเป็นหนี้ในประเทศ และการดำเนินการตามแผนการปรับโครงสร้างหนี้ ประกอบด้วย การปรับโครงสร้างหนี้ของรัฐบาล และการปรับโครงสร้างหนี้ของรัฐวิสาหกิจ ซึ่งเป็นหนี้ในประเทศ และแผนการบริหารความเสี่ยงและแผนการบริหารหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่ต้องขออนุมัติภายใต้กรอบแผนฯ ๒.๓ ประโยชน์ที่จะได้รับคือ การพัฒนาทางเศรษฐกิจ และการพัฒนาระบบคมนาคมขนส่ง
|
|||||||||||||||||||||||||||
2919 | การรายงานสถานะหนี้สาธารณะของประเทศ และผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2554 ณ วันที่ 30 กันยายน 2554 | กค | 13/12/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการรายงานสถานะหนี้สาธารณะของประเทศ และผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สถานะหนี้สาธารณะของประเทศ ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔ หนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔ มีจำนวน ๔,๔๔๘,๒๔๙.๘๗ ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๔๑.๖๖ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (Gross Domestic Product : GDP) แบ่งเป็นหนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรง จำนวน ๓,๑๘๑,๑๕๘.๘๙ ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน จำนวน ๑,๐๗๙,๗๐๓.๘๔ ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินที่รัฐบาลค้ำประกัน จำนวน ๑๕๖,๙๔๑.๙๖ ล้านบาท และหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน จำนวน ๓๐,๔๔๕.๑๘ ล้านบาท ๒. ผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ในช่วงระยะเวลา ๖ เดือนหลังของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ (เมษายน - กันยายน ๒๕๕๔) กระทรวงการคลังและรัฐวิสาหกิจได้ดำเนินการบริหารและจัดการหนี้สาธารณะตามกรอบแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ เป็นจำนวนทั้งสิ้น ๕๕๗,๘๔๗.๕๓ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๔๔.๓๔ ของแผนฯ ส่วนผลการกู้เงินและบริหารจัดการหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องขออนุมัติภายใต้กรอบแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ในช่วง ๖ เดือนหลังของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ รัฐวิสาหกิจได้กู้เงินและบริหารหนี้รวมทั้งสิ้น ๔๑,๖๒๑.๓๔ ล้านบาท ทั้งนี้ จากการดำเนินการดังกล่าว กระทรวงการคลังและรัฐวิสาหกิจได้กู้เงินและบริหารหนี้รวมทั้งสิ้น ๕๙๙,๔๖๘.๘๗ ล้านบาท แบ่งเป็นการกู้เงินใหม่ จำนวน ๑๕๕,๔๓๙.๔๗ ล้านบาท และการบริหารหนี้ จำนวน ๔๔๔,๐๒๙.๔๐ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๔๒.๘๘ ของแผนฯ
|
|||||||||||||||||||||||||||
2920 | มาตรการให้ความช่วยเหลือลูกค้า ธ.ก.ส. ที่ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินถล่ม ปี 2554 เพิ่มเติมจากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2554 | กค | 13/12/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบมาตรการให้ความช่วยเหลือลูกค้าธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ที่ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินถล่ม ปี ๒๕๕๔ เพิ่มเติมจากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๔ (เรื่อง มาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย ปี ๒๕๕๔) กรณีลูกค้าด้านสถาบัน ได้แก่ สหกรณ์การเกษตร สหกรณ์นอกภาคเกษตร กลุ่มบุคคล (วิสาหกิจชุมชน) กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดย ธ.ก.ส. จะขยายเวลาการชำระหนี้เงินกู้ (หนี้เงินกู้เดิมที่มีอยู่ก่อนประสบภัย) เป็นเวลา ๓ ปี ตั้งแต่ปีบัญชี ๒๕๕๔ - ๒๕๕๖ และงดคิดดอกเบี้ยเงินกู้เป็นเวลา ๓ ปี ตั้งแต่ปีบัญชี ๒๕๕๔ - ๒๕๕๖ ซึ่ง ธ.ก.ส. จะขอชดเชยดอกเบี้ยจากรัฐบาลในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๓ ต่อปี รวมทั้งการให้เงินกู้ใหม่เพื่อการฟื้นฟูการผลิต โดยสนับสนุนสินเชื่อเพื่อการฟื้นฟูการผลิตในอัตราดอกเบี้ยต่ำพิเศษ คือ MLR - 1 ซึ่งเท่ากับร้อยละ ๔ ต่อปี ซึ่ง ธ.ก.ส. จะขอชดเชยดอกเบี้ยจากรัฐบาลในอัตราร้อยละ ๑ ต่อปี เป็นเวลาไม่เกิน ๓ ปี ๑.๒ อนุมัติกรอบวงเงินชดเชยดอกเบี้ยจากรัฐบาล จำนวน ๔,๔๔๓.๒๒ ล้านบาท ๒. ให้ ธ.ก.ส. ขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณก่อนดำเนินการต่อไป |
.....