ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 149 จากทั้งหมด 483 หน้า แสดงรายการที่ 2961 - 2980 จากข้อมูลทั้งหมด 9647 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2961 | มาตรการภาษีเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ | กค | 25/10/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกา รวม ๒ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล สำหรับกำไรสุทธิของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล เป็นระยะเวลาสามรอบระยะเวลาบัญชี จากอัตราร้อยละสามสิบเหลืออัตราร้อยละยี่สิบสามและร้อยละยี่สิบ ตามลำดับ เป็นการชั่วคราว ทั้งนี้ ตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๕ และปรับปรุงการลดอัตราและยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับกำไรสุทธิของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่เป็นวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ปรับปรุงการลดอัตราภาษีเงินได้สำหรับกำไรสุทธิของบริษัทที่นำหลักทรัพย์มาจดทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศและจูงใจการลงทุนในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงทุนจากต่างประเทศ ๑.๒ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตรารัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ลดอัตราภาษีเงินได้สำหรับกำไรสุทธิของบริษัทที่ได้รับการจดทะเบียนหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยตามข้อบังคับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่าด้วยการรับหลักทรัพย์จดทะเบียนใน “ตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ” เพื่อลดภาระภาษี และสนับสนุนการพัฒนาและยกระดับการประกอบกิจการของบริษัทดังกล่าวให้เป็นบริษัทขนาดใหญ่ รวมทั้งเพื่อจูงใจให้บริษัทขนาดกลางและขนาดย่อมนำหลักทรัพย์มาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอมากขึ้น ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นควรแจ้งยืนยันความเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาทั้ง ๒ ฉบับ ไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีโดยตรง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
2962 | รายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้พันธบัตรรัฐบาลที่ครบกำหนดในวันที่ 17 มิถุนายน 2554 | กค | 25/10/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้พันธบัตรรัฐบาลที่ครบกำหนดในวันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๕๔ วงเงินรวม ๘๘,๐๐๐ ล้านบาท โดยกระทรวงการคลังได้ดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้พันธบัตรรัฐบาล จำนวน ๔ รุ่น ได้แก่ พันธบัตรรัฐบาล ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ ครั้งที่ ๙ จำนวน ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท พันธบัตรรัฐบาล ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ ครั้งที่ ๑๒ จำนวน ๒๓,๐๐๐ ล้านบาท พันธบัตรรัฐบาล ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ ครั้งที่ ๑๖ จำนวน ๒๒,๐๐๐ ล้านบาท และพันธบัตรรัฐบาลเพื่อการบริหารหนี้ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ ครั้งที่ ๕ จำนวน ๒๓,๐๐๐ ล้านบาท ซึ่งมีผลการดำเนินการ ดังนี้
๑. นำงบชำระหนี้ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ที่ได้รับการจัดสรรจำนวน ๙๘๗.๑๔ ล้านบาท สมทบกับงบชำระหนี้คงเหลือจากการบริหารงบชำระหนี้ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๓๕,๐๑๒.๘๖ ล้านบาท รวมเป็นจำนวน ๓๖,๐๐๐ ล้านบาท มาชำระคืนต้นเงินพันธบัตรที่ครบกำหนดบางส่วน ๒. การกู้เงินระยะสั้นจากสถาบันการเงิน วงเงินรวม ๓๒,๐๐๐ ล้านบาท ระยะเวลาในการชำระคืนต้นเงินกู้ไม่เกิน ๓ เดือน เพื่อนำมาชำระคืนต้นเงินพันธบัตรที่ครบกำหนดบางส่วน ๓. การออกพันธบัตรรัฐบาลเพื่อการบริหารหนี้ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ครั้งที่ ๓ (LB15DA) อายุคงเหลือ ๔.๔๙ ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๓.๑๒๕ ต่อปี วงเงินรวม ๔๐,๐๐๐ ล้านบาท ซึ่งเป็นการเพิ่มปริมาณ (Re - open) พันธบัตรรัฐบาลเพื่อการบริหารหนี้ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ ครั้งที่ ๖ จำหน่ายในวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๕๔ จำนวน ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท และนำเงินที่ได้ไปชำระคืนหนี้พันธบัตรรัฐบาลที่ครบกำหนดในวันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๕๔ และจำหน่ายอีกครั้งในวันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๕๔ จำนวน ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท และนำเงินที่ได้ไปชำระคืนหนี้เงินกู้ระยะสั้น ๔. การออกพันธบัตรรัฐบาลเพื่อการบริหารหนี้ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ครั้งที่ ๕ (LB21DA) อายุคงเหลือ ๑๐.๔๕ ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๓.๖๕ ต่อปี วงเงิน ๑๒,๐๐๐ ล้านบาท ซึ่งเป็นการ Re - open พันธบัตรรัฐบาลในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ครั้งที่ ๔ โดยจำหน่ายในวันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๕๔ และนำเงินที่ได้ไปชำระคืนเงินกู้ระยะสั้น
|
|||||||||||||||||||||||||||
2963 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ | กค | 25/10/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนางสาวเพรามาตร หันตรา ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (นักวิชาการคอมพิวเตอร์ทรงคุณวุฒิ) กรมสรรพากร กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
2964 | รายงานการดำเนินการตามภารกิจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในการเร่งรัด กำกับ ติดตาม การกู้วิกฤตจากภัยธรรมชาติ เพื่อช่วยเหลือประชาชนโดยเร่งด่วน | กค | 25/10/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการดำเนินการตามภารกิจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในการเร่งรัด กำกับ ติดตามการกู้วิกฤตจากภัยธรรมชาติ เพื่อช่วยเหลือประชาชนโดยเร่งด่วน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. เงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน ๑.๑ อนุมัติขยายวงเงินทดรองราชการให้แล้ว จำนวน ๒๙ จังหวัด และ ๒ ส่วนราชการ คือ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยและกองทัพบก (กรณีกองทัพบกเป็นการให้มีวงเงินทดรองราชการเป็นกรณีพิเศษ แยกต่างหากจากกระทรวงกลาโหม เพื่อให้การปฏิบัติงานในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ อย่างบูรณาการได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น) รวมทั้งสิ้น ๓,๔๗๙.๕๐ ล้านบาท รวมเป็นวงเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยทั้งสิ้น ๕,๐๗๙.๕๐ ล้านบาท ๑.๒. อนุมัติให้จังหวัด จำนวน ๑๗ จังหวัด และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยและกองทัพบกปฏิบัตินอกเหนือระเบียบกระทรวงการคลังฯ/หลักเกณฑ์ฯ เพื่อให้สามารถใช้ดุลพินิจในการแก้ไขปัญหาอุทกภัยได้อย่างสอดคล้องและทันต่อสถานการณ์ ๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและคณะได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมผู้ประสบภัยและผู้ปฏิบัติงานให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่ศูนย์วายุภักษ์ร่วมใจช่วยภัยน้ำท่วม จังหวัดลพบุรี เมื่อวันที่ ๘ - ๙ ตุลาคม ๒๕๕๔ พร้อมทั้งกำกับติดตาม เร่งรัด การแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัย ทั้งนี้ ศูนย์ฯ ได้มีการจัดเตรียมสิ่งของเพื่อให้ความช่วยเหลือในพื้นที่ได้ทันที และได้มีการมอบสิ่งของดังกล่าวเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย
|
|||||||||||||||||||||||||||
2965 | การแก้ไขหนังสือรับรองให้แก่ ECAs สำหรับเงินกู้เพื่อชำระค่าจัดซื้อเครื่องบินแอร์บัส A330-300 จำนวน 6 ลำ ของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) | กค | 18/10/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ความเห็นชอบในเงื่อนไขพิเศษของสถาบันสินเชื่อเพื่อการส่งออกแห่งยุโรป (European Export Credit Agencies : ECAs) ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ของธนาคาร BNP Paribas & Credit Agricole CIB ภายใต้สัญญาเช่าซื้อเพื่อชำระค่าจัดซื้อเครื่องบินแอร์บัส A330 - 300 ลำที่ ๑๕ - ๒๐ จำนวน ๖ ลำ ของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และให้ออกหนังสือรับรองฉบับใหม่ให้แก่ ECAs ๑.๒ ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจัดทำความเห็นทางกฎหมายสำหรับการออกหนังสือรับรองฉบับใหม่ในครั้งนี้ ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดยบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า หากมีการปรับเงื่อนไขอาจส่งผลกระทบต่อต้นทุนทางการเงินของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ในการจัดหาเครื่องบินในระยะต่อไป จึงเห็นควรบริหารความเสี่ยงด้านการเงินอย่างรอบคอบเพื่อลดผลกระทบต่อต้นทุนทางการเงินต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังรับไปศึกษาเพิ่มเติมว่า การลดสัดส่วนการถือหุ้นของกระทรวงการคลัง จากถือหุ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ ๕๑ เป็นถือหุ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ ๒๕ จะมีผลในเชิงบวกและเชิงลบอย่างไร โดยเฉพาะสถานภาพการเป็นรัฐวิสาหกิจ รวมถึงการค้ำประกันเงินกู้ของกระทรวงการคลัง และนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||||||||
2966 | รายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้พันธบัตรออมทรัพย์ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 รุ่นอายุ 7 ปี ที่ครบกำหนดไถ่ถอนเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2554 | กค | 18/10/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้พันธบัตรออมทรัพย์ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๗ รุ่นอายุ ๗ ปี ที่ครบกำหนดไถ่ถอนเมื่อวันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๔ โดยกระทรวงการคลังได้ดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้พันธบัตรออมทรัพย์ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๗ รุ่นอายุ ๗ ปี จำนวน ๒๖,๖๙๖.๗๑ ล้านบาททั้งจำนวน โดยมีขั้นตอน ดังนี้
๑. การชำระคืนต้นเงินพันธบัตรออมทรัพย์ฯ ที่ครบกำหนดไถ่ถอนในวันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๔ จำนวน ๒๖,๖๙๖.๗๑ ล้านบาท ประกอบด้วย การกู้เงินระยะสั้น อายุเงินกู้ไม่เกิน ๒ เดือน จำนวน ๑๘,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท จากสถาบันการเงิน ๒ แห่ง ได้แก่ ธนาคารมิซูโฮ คอร์ปอเรต จำกัด สาขากรุงเทพฯ และธนาคารออมสิน อัตราดอกเบี้ยอยู่ระหว่างร้อยละ ๓.๒๕ - ๓.๓๑ ต่อปี และทดรองจ่ายจากบัญชีเงินฝากกระทรวงการคลังที่เปิดไว้ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย จำนวน ๘,๖๙๖.๗๑ ล้านบาท ๒. การชำระคืนเงินกู้ระยะสั้น และเงินทดรองจ่ายจากบัญชีเงินฝากกระทรวงการคลังที่เปิดไว้ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย จำนวนรวม ๒๖,๖๙๖.๗๑ ล้านบาท จะชำระโดย ๒.๑ เงินจากการประมูลพันธบัตรรัฐบาลเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ (พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ระยะที่สอง พ.ศ. ๒๕๔๕) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ครั้งที่ ๒ (LB170A) อายุคงเหลือ ๖.๑ ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๒.๘๐ ต่อปี จำนวน ๑๘,๖๙๖.๗๑ ล้านบาท จากวงเงินประมูล ๒๑,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท โดยมีการประมูลในวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๔ และวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๔ ๒.๒ เงินจากการประมูลพันธบัตรรัฐบาลเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ (พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ระยะที่สอง พ.ศ. ๒๕๔๕) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ครั้งที่ ๓ (LB236A) อายุคงเหลือ ๑๑.๗๖ ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๓.๖๒๕ ต่อปี โดยมีการประมูลในวันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๕๔ จำนวน ๘,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||||||||
2967 | รายงานการรับและการใช้จ่ายเงินรายได้ที่ไม่ต้องนำส่งเป็นรายได้แผ่นดิน ตามมาตรา 170 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย รวม 2 ฉบับ ของกระทรวงการคลัง | กค | 18/10/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการรับและการใช้จ่ายเงินรายได้ที่ไม่ต้องนำส่งเป็นรายได้แผ่นดิน ตามมาตรา ๑๗๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรยังมิได้รับทราบและตกไปอันเนื่องมาจากการยุบสภาผู้แทนราษฎร รวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. รายงานการรับและใช้จ่ายเงินของกองทุนเพื่อการชำระคืนต้นเงินกู้ชดใช้ความเสียหายของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ ๑.๑ รายงานแสดงฐานะการเงิน กองทุนฯ มีสินทรัพย์รวมในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ จำนวน ๔๖๓,๒๗๕.๒๓ ล้านบาท ลดลงจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑ จำนวน ๑.๖๐ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๐.๐๐๐๓ โดยเป็นสัดส่วนการลดลงของเงินฝากธนาคารพาณิชย์จากการชำระคืนต้นเงินกู้ซึ่งเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของกองทุนฯ จำนวน ๐.๘๐ ล้านบาท ลดลงคิดเป็นร้อยละ ๙๖.๗๔ และในส่วนของสินทรัพย์ไม่หมุนเวียนอื่น ได้แก่ เงินกองทุนเพื่อการชำระคืนต้นเงินกู้ฯ ลดลง ๐.๘๐ ล้านบาท ลดลงคิดเป็นร้อยละ ๐.๐๐๐๒ ส่วนรายได้มีเพียงจากดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารพาณิชย์เท่านั้น จำนวน ๑๘๙.๘๑ บาท ขณะที่สินทรัพย์สุทธิในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ มีจำนวน ๐.๐๓ ล้านบาท ลดลงจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑ จำนวน ๐.๐๓ ล้านบาท ลดลงจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑ จำนวน ๐.๘๐ ล้านบาท ลดลงคิดเป็นร้อยละ ๙๖.๔๑ สำหรับรายได้ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ กองทุนฯ มีรายได้ต่ำกว่าค่าใช้จ่ายสุทธิ จำนวน ๐.๘๐ ล้านบาท ขณะที่ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑ มีรายได้สูงกว่าค่าใช้จ่ายสุทธิ จำนวน ๐.๐๒ ล้านบาท ๑.๒ รายงานแสดงผลการดำเนินงาน ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ กองทุนฯ มีรายได้ต่ำกว่าค่าใช้จ่ายสุทธิ จำนวน ๐.๘๐ ล้านบาท โดยมีรายได้สูงกว่าค่าใช้จ่ายสุทธิลดลงจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑ จำนวน ๐.๗๘ ล้านบาท คิดเป็นการลดลงร้อยละ ๔,๘๓๙.๗๕ สำหรับในส่วนของรายได้ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ มีจำนวน ๐.๐๐๐๒ ล้านบาท เป็นรายได้จากการดำเนินการ อย่างไรก็ดี รายได้จากการดำเนินการดังกล่าวลดลงจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑ ซึ่งมีจำนวน ๐.๐๒ ล้านบาท โดยลดลงคิดเป็นร้อยละ ๙๘.๘๘ ขณะที่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ ไม่มีค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงาน มีเพียงค่าใช้จ่ายที่ไม่ได้เกิดจากการดำเนินงาน ซึ่งมีจำนวน ๐.๘๐ ล้านบาท มาจากการชำระคืนต้นเงินกู้ของกองทุนฯ ๑.๓ รายงานรับ - จ่ายเงิน กองทุนฯ มีเงินคงเหลือ ณ วันต้นงวดในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ จำนวน ๐.๘๓ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑ จำนวน ๐.๐๒ ล้านบาท เพิ่มขึ้นคิดเป็นร้อยละ ๒.๐๗ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ มีรายจ่ายอื่น จำนวน ๐.๘๐ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑ คิดเป็นร้อยละ ๑๐๐ ทำให้เงินคงเหลือ ณ วันปลายงวดในปีงปบระมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ ของกองทุนฯ คงเหลือ จำนวน ๐.๐๓ ล้านบาท ลดลงจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑ คิดเป็นร้อยละ ๙๖.๔๑ ๒. รายงานการรับและใช้จ่ายเงินกองทุนบริหารเงินกู้เพื่อการปรับปรุงโครงสร้างหนี้สาธารณะและพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ ๒.๑ รายงานแสดงฐานะการเงิน กองทุนฯ มีสินทรัพย์รวม จำนวน ๙๔๐,๘๓๔.๖๑ บาท ประกอบด้วย เงินฝากธนาคารพาณิชย์ จำนวน ๙๔๐,๒๑๐.๑๙ บาท คิดเป็นร้อยละ ๙๙.๙๓ ของสินทรัพย์รวม และรายได้ค้างรับ จำนวน ๖๒๔.๔๒ บาท คิดเป็นร้อยละ ๐.๐๗ ของสินทรัพย์รวม ๒.๒ รายงานแสดงผลการดำเนินงาน กองทุนฯ มีรายได้จากการดำเนินงาน จำนวน ๑,๐๐๐,๗๐๖.๖๑ บาท มาจากรายได้จากเงินงบประมาณ จำนวน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท และรายได้ดอกเบี้ย จำนวน ๗๐๖.๖๑ บาท ซึ่งกองทุนฯ มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน จำนวน ๕๙,๘๗๒ บาท ทำให้กองทุนฯ มีรายได้สูงกว่าค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ จำนวน ๙๔๐,๘๓๔.๖๑ บาท ๒.๓ รายงานรับ - จ่ายเงิน โดยรายรับของกองทุนฯ มาจาก ๒ แหล่ง คือ รายรับจากเงินงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ จำนวน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท และรายรับจากดอกเบี้ย จำนวน ๗๐๖.๖๑ บาท ส่วนรายจ่ายของกองทุนฯ มีเพียงรายจ่ายจากการดำเนินงาน จำนวน ๕๙,๘๗๒ บาท ทำให้กองทุนฯ มีเงินคงเหลือ ณ วันปลายงวด จำนวน ๙๔๐,๘๓๔.๖๑ บาท
|
|||||||||||||||||||||||||||
2968 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ในโอกาสที่วันประสูติครบ 150 ปี พ.ศ. .... | กค | 18/10/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทวงกำหนดลักษณะของเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ในโอกาสที่วันประสูติครบ ๑๕๐ ปี พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดลักษณะของเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ในโอกาสที่วันประสูติครบ ๑๕๐ ปี ชนิด ราคา โลหะ อัตราเนื้อโลหะ น้ำหนัก ขนาด อัตราเผื่อเหลือเผื่อขาด ลวดลาย และลักษณะอื่น ๆ ของเหรียญกษาปณ์โลหะสีขาว (ทองแดงผสมนิกเกิล) ราคายี่สิบบาท ประเภทธรรมดา (จำนวนผลิตไม่เกิน ๑,๐๐๐,๐๐๐ เหรียญ) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ๒. ให้กระทรวงการคลังรับข้อสังเกตของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๒.๑ แก้ไขชื่อร่างกฎกระทรวงและชื่อเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก เป็น “เหรียญกษาปณ์ที่ระลึกเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ในโอกาสครบ ๑๕๐ ปี วันประสูติ” ๒.๒ รายละเอียดของเหรียญในร่างกฎกระทรวงฯ และบัญชีท้ายกฎกระทรวง เห็นควรแก้ไข ดังนี้ ๒.๒.๑ หากระบุว่า “ทรงเครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์” หมายถึง ทรงเครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์ทั้งสำรับ จึงไม่ต้องระบุ “ประดับดาราจักรี” ซึ่งรวมอยู่ในสำรับด้วยแล้ว ๒.๒.๒ หากประสงค์จะระบุแต่ละองค์ประกอบของเครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์ อาจแก้ไขข้อความเป็น “... ทรงสายสร้อยแห่งเครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์ ประดับดาราจักรี ทรงสายสะพายนพรัตนราชวราภรณ์ ทรงสายสร้อยจุลจอมเกล้า และดวงตรารัตนวราภรณ์ ...”
|
|||||||||||||||||||||||||||
2969 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกครบ 100 ปี โรงเรียนเสนาธิการทหารบก พ.ศ. .... | กค | 18/10/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก ๑๐๐ ปี โรงเรียนเสนาธิการทหารบก พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดลักษณะของเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกครบ ๑๐๐ ปี โรงเรียนเสนาธิการทหารบก ชนิด ราคา โลหะ อัตราเนื้อโลหะ น้ำหนัก ขนาดอัตราเผื่อเหลือเผื่อขาด ลวดลาย และลักษณะอื่น ๆ ของเหรียญกษาปณ์โลหะสองสี (สีขาวและสีทอง) ราคาสิบบาท ประเภทธรรมดา (จำนวนผลิตไม่เกิน ๓,๐๐๐,๐๐๐ เหรียญ) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ๒. ให้กระทรวงยุติธรรมรับข้อสังเกตของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับร่างกฎกระทรวงและบัญชีท้ายบรรยายเกี่ยวกับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ไม่ถูกต้อง เนื่องจากไม่ได้ระบุเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตรารัตนวราภรณ์ ซึ่งปรากฏในพระรูปด้วย จึงสมควรแก้ไขข้อความเป็น “ด้านหน้า กลางเหรียญ มีพระรูปจอมพลสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ ทรงฉลองพระองค์เครื่องแบบจอมพลทหารบก ฉลองพระองค์ครุย ทรงสายสร้อยแห่งเครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์ ประดับดาราจักรี ทรงสายสะพายและประดับดาราเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นโบราณมงคลนพรัตนราชวราภรณ์ ทรงสายสร้อยจุลจอมเกล้า และดวงตรารัตนวราภรณ์ ...” ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
2970 | ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 18/10/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร ดังต่อไปนี้
๑. ยกเลิกมาตรา ๖๓ แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งเป็นการยกเลิกกำหนดเวลาการยื่นคำร้องขอคืนภาษีเงินได้ที่ถูกหักไว้ ณ ที่จ่ายเกินไป ที่ให้ยื่นคำร้องขอคืนภายในสามปีนับแต่วันสุดท้ายแห่งปีซึ่งถูกหักภาษีเกินไป เมื่อยกเลิกมาตรการดังกล่าวแล้วมีผลให้กำหนดเวลาการยื่นคำร้องขอคืนเงินภาษีอากรในกรณีดังกล่าวเป็นไปตามมาตรา ๒๗ ตรี แห่งประมวลรัษฎากร ๒. แก้ไขมาตรา ๑๒๒ แห่งประมวลรัษฎากร โดยปรับปรุงแก้ไขกำหนดเวลาการยื่นคำร้องขอคืนเงินค่าอากรแสตมป์ โดยแก้ไขให้ยื่นคำร้องได้ภายในสามปี
|
|||||||||||||||||||||||||||
2971 | ร่างพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 18/10/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. กำหนดให้บุคคลใดร้องขออนุญาตต่อพนักงานศุลกากร เพื่อกระทำกิจการเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือกิจการทั้งหลายทั้งปวงแทนบุคคลอื่น ถ้าไม่มีใบมอบอำนาจมาแสดงพนักงานศุลกากรอาจจะไม่ยอมรับรองหรือกระทำกิจการกับผู้นั้นได้ ๒. พนักงานศุลกากรอาจยอมกระทำกิจการที่ร้องขอกับผู้นั้น แต่ให้วางประกันโดยทำทัณฑ์บนหรือประการอื่นไว้ตามที่เห็นสมควรแก่กรณีก็ได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
2972 | ร่างพระราชกฤษฎีกาเงินช่วยเหลือผู้ซึ่งออกจากราชการตามมาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 18/10/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาเงินช่วยเหลือผู้ซึ่งออกจากราชการตามมาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างพระราชกฤษฎีกาฯ มีสาระสำคัญคือ แก้ไขปรับปรุงพระราชกฤษฎีกาเงินช่วยเหลือผู้ซึ่งออกจากราชการตามมาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการ พ.ศ. ๒๕๕๑ ดังนี้
๑. เพิ่มนิยาม “ข้าราชการ” ให้หมายความถึงข้าราชการรัฐสภาสามัญตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการฝ่ายรัฐสภา ๒. กำหนดให้ข้าราชการซึ่งจะเข้าร่วมโครงการให้เงินช่วยเหลือผู้ซึ่งออกจากราชการตามมาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการต้องมีเวลาราชการเหลือไม่น้อยกว่าสองปีนับแต่วันที่ได้รับอนุญาตให้ลาออกจากราชการ ๓. กำหนดให้ผู้ซึ่งออกจากราชการตามมาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการและผู้ซึ่งออกจากราชการตามมาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการสังกัดรัฐสภา ห้ามบรรจุกลับเป็นข้าราชการ พนักงานราชการ และลูกจ้างของส่วนราชการที่อยู่ในบังคับบัญชาหรือกำกับของฝ่ายบริหารหรือฝ่ายรัฐสภาอีก
|
|||||||||||||||||||||||||||
2973 | รายงานสถานะหนี้สาธารณะตามมาตรา 35 (1) แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 และที่แก้ไขเพิ่มเติม | กค | 18/10/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานะหนี้สาธารณะตามมาตรา ๓๕ (๑) แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. ยอดหนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๔ มีจำนวน ๔,๒๘๐,๐๕๓.๓๖ ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๔๐.๕๗ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (Gross Domestic Product : GDP) ได้แก่ หนี้รัฐบาลกู้โดยตรง ๓,๐๑๖,๔๘๕.๐๗ ล้านบาท หนี้ที่รัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน ๑,๐๗๔,๙๐๘.๖๗ ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงิน (รัฐบาลค้ำประกัน) ๑๕๘,๑๐๖.๕๗ ล้านบาท และหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ๓๐,๕๕๓.๐๕ ล้านบาท ๒. หนี้สาธารณะ ตามข้อ ๑ แบ่งออกเป็นหนี้ต่างประเทศ ๓๓๘,๖๒๑.๗๙ ล้านบาท และหนี้ในประเทศ ๓,๙๔๑,๔๓๑.๕๗ ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๗.๙๑ และร้อยละ ๙๒.๐๙ ของยอดหนี้สาธารณะคงค้าง ตามลำดับ และเป็นหนี้ระยะยาว ๔,๒๑๖,๙๓๒.๓๘ ล้านบาท และหนี้ระยะสั้น ๖๓,๑๒๐.๙๘ ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๙๘.๕๓ และร้อยละ ๑.๔๗ ของยอดหนี้สาธารณะคงค้าง
|
|||||||||||||||||||||||||||
2974 | การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารออมสิน | กค | 18/10/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารออมสิน จำนวน ๑๑ คน แทนกรรมการชุดเดิมที่ลาออก โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๔) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. นางพรรณี สถาวโรดม ประธานกรรมการ ๒. นาย ช.นันท์ เพ็ชญไพศิษฏ์ กรรมการ ๓. นายชัยวัฒน์ อุทัยวรรณ์ กรรมการ ๔. นางสาวนงลักษณ์ พินัยนิติศาสตร์ กรรมการ ๕. นายปสันน์ เทพรักษ์ กรมการ ๖. นายวีระพันธ์ จักรไพศาล กรรมการ ๗. นายประเสริฐ หลุยเจริญ กรรมการ ๘. นายเทอดศักดิ์ เหมือนแก้ว กรรมการ ๙. นายอดุลย์ ตั้งศัตยาภิรมย์ กรรมการ ๑๐. นายนันทพล กาญจนวัฒน์ กรรมการ ๑๑. นายชานนท์ โชติวิจิตร กรรมการ
|
|||||||||||||||||||||||||||
2975 | การแต่งตั้งเลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (นายประเวช องอาจสิทธิกุล) | กค | 18/10/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งเลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (นายประเวช องอาจสิทธิกุล ดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย แทนนางจันทรา บูรณฤกษ์ ที่จะครบวาระการดำรงตำแหน่ง ๔ ปี) โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๔ เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
2976 | รายงานการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ 2 และไตรมาสที่ 3 ปีงบประมาณ 2554 | กค | 11/10/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ ๒ และไตรมาสที่ ๓ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ ๒ (มกราคม - มีนาคม ๒๕๕๔) ๑.๑ สินค้าฟุ่มเฟือยทั้ง ๑๗ กลุ่มสินค้า มีมูลค่านำเข้ารวม ๕๕๑.๙๔๑ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ รวม ๑๒๐.๗๕๒ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ ๒๘.๐๐ ๑.๒ มูลค่าการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยทั้ง ๑๗ กลุ่มสินค้า เปรียบเทียบกับมูลค่านำเข้ารวมของสินค้าทุกชนิดในไตรมาสที่ ๒ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ (๕๔,๑๗๘.๔๔๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ) มูลค่านำเข้ามีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ ๑.๐๒ ของมูลค่านำเข้ารวม ๑.๓ มูลค่านำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยในช่วงไตรมาสที่ ๒ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ มีมูลค่านำเข้าเพิ่มขึ้น ๑๕ กลุ่มสินค้า ตั้งแต่ร้อยละ ๕.๒๙ ถึง ๘๐.๓๔ ๑.๔ สินค้าฟุ่มเฟือยที่มีมูลค่านำเข้าสูงสุด ๓ อันดับแรก ได้แก่ น้ำหอม มูลค่านำเข้า ๙๓.๐๕๙ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น ๙.๔๐๖ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ ๙.๙๓ ผลไม้ มูลค่านำเข้า ๘๘.๖๕๒ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น ๒๒.๗๕๖ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ ๓๔.๕๓ และเลนซ์ มูลค่านำเข้า ๖๒.๒๑๙ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น ๒๖.๐๐๘ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ ๗๑.๘๒ ๑.๕ สินค้าฟุ่มเฟือยในไตรมาสที่ ๒ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ มีอัตราการนำเข้าเพิ่มขึ้น ๑๕ กลุ่มสินค้า เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ และ ๕ อันดับแรก ที่มีอัตราการนำเข้าเพิ่มขึ้น ได้แก่ ดอกไม้ เลนซ์ ไวน์ รองเท้าหนังและรองเท้าผ้าใบ และผลไม้ มีอัตราการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ ๘๐.๓๔, ๗๑.๘๒, ๕๑.๔๖, ๓๙.๗๗ และ ๓๔.๕๓ ตามลำดับ ๒. การนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ ๓ (เมษายน - มิถุนายน ๒๕๕๔) ๒.๑ สินค้าฟุ่มเฟือยทั้ง ๑๗ กลุ่มสินค้า มีมูลค่านำเข้ารวม ๕๔๖.๘๑๓ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ รวม ๑๕๖.๘๙๕ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ ๔๐.๒๔ ๒.๒ มูลค่าการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยทั้ง ๑๗ กลุ่มสินค้า เปรียบเทียบกับมูลค่านำเข้ารวมของสินค้าทุกชนิดในไตรมาสที่ ๓ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ (๕๗,๓๔๔.๒๗๒ ล้านดอลลาร์สหรัฐ) มูลค่านำเข้ามีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ ๐.๙๕ ของมูลค่านำเข้ารวม ๒.๓ มูลค่านำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยในช่วงไตรมาสที่ ๓ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ มีมูลค่านำเข้าเพิ่มขึ้น ๑๒ กลุ่มสินค้า ตั้งแต่ร้อยละ ๒๒.๗๓ ถึง ๑๔๓.๘๓ ๒.๔ สินค้าฟุ่มเฟือยที่มีมูลค่านำเข้าสูงสุด ๓ อันดับแรก ได้แก่ น้ำหอมและเครื่องสำอาง มูลค่านำเข้า ๙๒.๘๙๘ ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น ๒๓.๔๔๑ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ ๓๓.๗๕ นาฬิกาและอุปกรณ์ มูลค่านำเข้า ๗๐.๗๕๒ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น ๔๑.๗๓๕ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ ๑๔๓.๘๓ และเลนซ์ มูลค่านำเข้า ๖๙.๓๙๒ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น ๒๙.๓๓๒ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ ๗๓.๒๒ ๒.๕ สินค้าฟุ่มเฟือยในไตรมาสที่ ๓ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ มีอัตราการนำเข้าเพิ่มขึ้น ๑๒ กลุ่มสินค้า เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ และ ๕ อันดับแรก ที่มีอัตราการนำเข้าเพิ่มขึ้น ได้แก่ นาฬิกาและอุปกรณ์ เลนซ์ เครื่องประดับที่ทำด้วยคริสตัล ดอกไม้ และแว่นตา มีอัตราการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๔๓.๘๓, ๗๓.๒๒, ๗๑.๕๐, ๖๕.๗๗ และ ๖๓.๐๙ ตามลำดับ
|
|||||||||||||||||||||||||||
2977 | มาตรการภาษีเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ | กค | 11/10/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบมาตรการลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เพื่อกระตุ้นและส่งเสริมการลงทุนของนักลงทุนในประเทศและดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ โดย ๑.๑.๑ ปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลให้คงจัดเก็บในอัตราร้อยละ ๒๓ ของกำไรสุทธิสำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีรอบระยะเวลาบัญชี ๒๕๕๕ ที่สิ้นสุดในหรือหลังวันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ และให้ลดลงคงจัดเก็บอัตราร้อยละ ๒๐ ของกำไรสุทธิ สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๖ เป็นต้นไป ๑.๑.๒ ปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่เป็นวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมซึ่งมีทุนที่ชำระแล้วในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกิน ๕ ล้านบาท โดยเพิ่มเงื่อนไขให้การได้รับสิทธิประโยชน์โดยวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมต้องมีรายได้จากการประกอบกิจการขายสินค้าและการให้บริการไม่เกิน ๓๐ ล้านบาทต่อรอบระยะเวลาบัญชี ๑.๑.๓ บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่เคยนำหลักทรัพย์มาจดทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๒ ซึ่งได้รับสิทธิเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราร้อยละ ๒๕ ของกำไรสุทธิ จะได้รับการลดอัตราเหลือร้อยละ ๒๓ ของกำไรสุทธิเฉพาะรอบระยะเวลาบัญชี ๒๕๕๕ ที่สิ้นสุดในหรือหลังวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ และได้รับการลดอัตราเหลือร้อยละ ๒๐ สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๖ เป็นต้นไป ๑.๑.๔ ปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่บริษัทที่ได้รับการจดทะเบียนหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตามข้อบังคับของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่าด้วยรับหลักทรัพย์จดทะเบียนใน “ตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ” โดยให้จัดเก็บในอัตราร้อยละ ๒๕ ของกำไรสุทธิเฉพาะส่วนที่ไม่เกิน ๕๐ ล้านบาท สำหรับกรอบระยะเวลาบัญชี ๒๕๕๔ ที่สิ้นสุดในหรือหลังวันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๔ ๑.๒ อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกา จำนวน ๓ ฉบับ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๒.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับกำไรสุทธิที่ได้จากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล จากอัตราร้อยละ ๓๐ เหลืออัตราร้อยละ ๒๓ สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี ๒๕๕๕ และลดลงเหลืออัตราร้อยละ ๒๐ สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี ๒๕๕๖ และลดอัตราและยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับกำไรสุทธิที่ได้จากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่เป็นวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ๑.๒.๒ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตรารัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับกำไรสุทธิที่ได้จากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล จากอัตราร้อยละ ๓๐ เหลืออัตราร้อยละ ๒๓ สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี ๒๕๕๕ ๑.๒.๓ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตรารัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ลดอัตราภาษีเงินได้ให้แก่บริษัทที่ได้รับการจดทะเบียนหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยตามข้อบังคับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่าด้วยการรับหลักทรัพย์จดทะเบียนใน “ตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ” โดยให้จัดเก็บในอัตราร้อยละ ๒๕ ของกำไรสุทธิเฉพาะส่วนที่ไม่เกิน ๕๐ ล้านบาท สำหรับรอบระยะเวลาบัญชี ๒๕๕๔ ที่สิ้นสุดในหรือหลังวันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๔ ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนร่วมกับกระทรวงการคลังทบทวนการให้สิทธิประโยชน์ในการส่งเสริมการลงทุน เพื่อให้สอดรับกับสภาวการณ์และการให้สิทธิประโยชน์ในการส่งเสริมการลงทุนของต่างประเทศที่เปลี่ยนแปลงไป และเพื่อเป็นการดูแลฐานภาษีเงินได้ของประเทศให้สอดคล้องกับการดำเนินการปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลครั้งนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||
2978 | มาตรการภาษีเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย | กค | 11/10/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย โดยกำหนดให้บุคคลธรรมดาและบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ได้บริจาคเงินหรือทรัพย์สินเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ให้สามารถนำจำนวนเงินหรือมูลค่าทรัพย์สินที่บริจาคในระหว่างวันที่ ๑ กันยายน ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๔ มาหักเป็นรายจ่ายในการคำนวณภาษีเงินได้เพิ่มขึ้นจากสิทธิการหักรายจ่ายตามปกติอีกเป็นจำนวนร้อยละห้าสิบ จากเดิมกรณีบุคคลธรรมดาสามารถนำเงินที่บริจาคไปหักลดหย่อนในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้เท่าที่บริจาค แต่ไม่เกินร้อยละสิบของเงินได้สุทธิ และกรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสามารถนำเงินหรือมูลค่าทรัพย์สินที่บริจาคไปหักเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิได้เท่าที่บริจาคจริง แต่ไม่เกินร้อยละสองของกำไรสุทธิ ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้ที่บริจาคเงินหรือทรัพย์สินเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย วาตภัย อัคคีภัย หรือภัยธรรมชาติอื่น ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ในระหว่างวันที่ ๑ กันยายน ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๔ เป็นจำนวนร้อยละห้าสิบของจำนวนเงินหรือราคาทรัพย์สินที่บริจาค และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
2979 | ขอขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทาง | กค | 04/10/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพด้านการเดินทางต่อไป ตั้งแต่วันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๕๕ ๒. เห็นชอบในหลักการให้รัฐวิสาหกิจที่ดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพด้านการเดินทาง (องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ และการรถไฟแห่งประเทศไทย) และรัฐวิสาหกิจที่ดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพ ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๔ (การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ และการรถไฟแห่งประเทศไทย) กู้เงินเพื่อชดเชยการดำเนินการดังกล่าว โดยกระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ และให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามความเหมาะสมของกำลังเงินแผ่นดินต่อไป โดยให้รัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้องดังกล่าวขอตกลงในรายละเอียดกับกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณก่อนดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษากลไกการชดเชยให้แก่รัฐวิสาหกิจที่ดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนให้ทันเวลาและสอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบันเพื่อให้การชดเชยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและลดผลกระทบต่อฐานะการเงินและสภาพคล่องของรัฐวิสาหกิจที่ดำเนินนโยบายดังกล่าว รวมถึงภาระงบประมาณสำหรับการชดเชยการดำเนินมาตรการในระยะยาว รวมทั้งศึกษาแนวทางในการให้ความช่วยเหลือตามมาตรการดังกล่าว เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้มีรายได้น้อยอย่างแท้จริง โดยไม่ควรรวมถึงผู้ที่มีรายได้ที่อยู่ในระบบการเสียภาษีเงินได้ ตลอดจนการกำหนดระยะเวลาในการให้บริการลดภาระค่าครองชีพในช่วงระยะเวลาที่เหมาะสม และประชาสัมพันธ์ให้กับประชาชนได้รับทราบแนวทางปฏิบัติดังกล่าวก่อน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
2980 | การแต่งตั้งเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (นายวรพล โสคติยานุรักษ์) | กค | 04/10/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งนายวรพล โสคติยานุรักษ์ เป็นเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๔ ตุลาคม ๒๕๕๔) เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ
|
.....