ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1 จากทั้งหมด 483 หน้า แสดงรายการที่ 1 - 20 จากข้อมูลทั้งหมด 9657 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 1 | มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการจัดอบรมสัมมนาภายในประเทศ | กค. | 21/10/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2 | ร่างแถลงการณ์ของผู้นำอาเซียน+3 ว่าด้วยการเสริมสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการเงินระดับภูมิภาค | กค. | 21/10/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3 | ร่างแถลงการณ์ร่วมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค ประจำปี 2568 | กค. | 14/10/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 4 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (นายอาร์ชวัส เจริญศิลป์ และนายเศรษฐจักร ลียากาศ) | กค. | 14/10/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งข้าราชการการเมือง
จำนวน ๒ ราย โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๔ ตุลาคม ๒๕๖๘) เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ
ดังนี้ ๑. นายอาร์ชวัส เจริญศิลป์ ดำรงตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ๒. นายเศรษฐจักร ลียากาศ ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
[ปฏิบัติหน้าที่เลขานุการรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายวรภัค ธันยาวงษ์)]
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 5 | ขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับดำเนินโครงการคนละครึ่ง พลัส | กค. | 07/10/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๙ งบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวนไม่เกิน ๑๙,๐๐๐ ล้านบาท โดยจัดสรรให้แก่สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
สำหรับการดำเนินโครงการคนละครึ่ง พลัส ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้กระทรวงการคลัง (สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง) รับความเห็นของสำนักงบประมาณ
(หนังสือสำนักงบประมาณ ด่วนที่สุด ที่ นร
๐๗๐๖/๕๖ ลงวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๖๘) ที่เห็นว่าวงเงินที่ขออนุมัติเกินกว่าหนึ่งร้อยล้านบาทให้กระทรวงการคลังดำเนินการนำเรื่องดังกล่าวเสนอขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรี
โดยเสนอผ่านรองนายกรัฐมนตรีเจ้าสังกัดหรือรัฐมนตรีที่กำกับดูแล แล้วแต่กรณี
ตามนัยระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. ๒๕๖๒ ข้อ ๙ (๓)
และเมื่อได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีแล้ว ให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลังจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอน
ไปดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 6 | โครงการคนละครึ่ง พลัส | กค. | 07/10/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติโครงการคนละครึ่ง พลัส (โครงการฯ)
และให้กระทรวงการคลัง [สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.)]
เป็นหน่วยงานดำเนินโครงการฯ ภายในกรอบวงเงิน ๔๔,๐๐๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๙ ให้กระทรวงการคลังดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลัง
(สศค.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์
กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และธนาคารแห่งประเทศไทย
รวมทั้งความเห็นและข้อสังเกตของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงคมนาคม เห็นควรให้กระทรวงคลังดำเนินการตามกฎหมาย
กฎ ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ธนาคารแห่งประเทศไทย เห็นควรให้ความสำคัญกับการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์ของการใช้งบประมาณ
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจต่อไป และควรพิจารณาหารือกับหน่วยงานที่ขับเคลื่อนประเด็นดังกล่าวอยู่แล้ว
เพื่อเพิ่มผลสัมฤทธิ์ในการพัฒนาทักษะความรู้ทางการเงินแก่ผู้ประกอบการ
และช่วยประหยัดทรัพยากร ๒.
เห็นชอบในหลักการการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับผู้ได้รับสิทธิตามโครงการฯ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้กระทรวงการคลัง (กรมสรรพากร) เร่งดำเนินการยกร่างกฎหมายให้แล้วเสร็จ แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วนต่อไป ๓. เห็นชอบให้ สศค.
มอบอำนาจให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงมหาดไทยที่ได้รับมอบหมายเพื่อดำเนินการทางกฎหมายอาญาที่เกี่ยวข้องกับโครงการฯ
แทน สศค.
โดยให้ร่วมกันจัดทำบันทึกข้อตกลงในรายละเอียดเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การมอบอำนาจให้ชัดเจนต่อไป
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำกับ
ติดตาม ตรวจสอบ และดำเนินการทางกฎหมายกับร้านค้าหรือผู้ที่กระทำการทุจริต ฝ่าฝืน
หรือไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการฯ อย่างเคร่งครัด ๔. มอบหมายให้กระทรวงคมนาคม (กรมการขนส่งทางบก)
กระทรวงพาณิชย์ (กรมการค้าภายใน) กระทรวงมหาดไทย (กรมการปกครอง กรมการพัฒนาชุมชน
และกรุงเทพมหานคร) กระทรวงสาธารณสุข (กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ)
สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่าง
ๆ ในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
รวมทั้งให้ดำเนินการเพิ่มเติมด้วย ดังนี้ ๔.๑
ให้กระทรวงการคลัง (สศค.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาเพิ่มเติมผู้ประกอบการ ร้านค้าภายใต้โครงการฯ
ให้ครอบคลุมถึงวิสาหกิจเพื่อสังคมด้วย ๔.๒ ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนในการลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ
โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล พื้นที่ชนบท
และพื้นที่ที่ประชาชนเข้าถึงเทคโนโลยีการสื่อสารได้ยาก
เพื่อให้ประชาชนสามารถลงทะเบียนได้ตามกำหนดระยะเวลาและได้รับสิทธิประโยชน์จากโครงการฯ
อย่างทั่วถึงและครบถ้วน ๔.๓
ให้กระทรวงคมนาคม (การรถไฟแห่งประเทศไทย การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ
กรมเจ้าท่า และกรมการขนส่งทางบก)
สนับสนุนข้อมูลของผู้ประกอบการด้านขนส่งสาธารณะและด้านขนส่งมวลชนสาธารณะให้ สศค.
เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาอนุมัติร้านค้าเป็นร้านค้าในโครงการฯ
ให้ถูกต้องและครบถ้วนด้วย ๔.๔
ให้กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำกับ ดูแล และติดตามสถานการณ์ราคาสินค้าและบริการที่เข้าร่วมโครงการฯ อย่างใกล้ชิดและต่อเนื่องเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาการฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้าและบริการโดยไม่เป็นธรรม |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 7 | คณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี (กระทรวงการคลัง) | กค. | 07/10/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้คณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรีชุดเดิม
ของกระทรวงการคลัง จำนวน ๓ คณะ คงอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๖๘ เป็นต้นไป ดังนี้ ๑.
คณะกรรมการระดับชาติเพื่อเตรียมการจัดการประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ
ปี ๒๕๖๙ ๒. คณะกรรมการพิจารณาโครงการสลากการกุศล ๓.
คณะกรรมการติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและการใช้จ่ายภาครัฐ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 8 | โครงการเพิ่มวงเงินสวัสดิการให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2568 | กค. | 30/09/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบโครงการเพิ่มวงเงินสวัสดิการให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
ปี ๒๕๖๘ เพื่อเป็นการช่วยเหลือและบรรเทาภาระค่าครองชีพ และจัดประชารัฐสวัสดิการเพิ่มเติมเป็นการชั่วคราวให้แก่ผู้มีบัตรฯ
ตามโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี ๒๕๖๕ จำนวน ๑๓.๔ ล้านคน
ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความเปราะบางสูงและได้รับผลกระทบโดยตรงจากสถานการณ์เศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอตัว
และอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ งบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๒๒,๗๘๐ ล้านบาท ให้แก่สำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง สำหรับกองทุนฯ
สำหรับโครงการเพิ่มวงเงินฯ ตามที่คณะกรรมการประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคมเสนอ
และให้คณะกรรมการประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคมและกระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
ที่เห็นควรให้กระทรวงการคลังมุ่งเน้นการกำกับดูแลการดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ
ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ รวมถึงรักษากรอบวินัยการเงินการคลังอย่างรอบคอบ
เคร่งครัด และจัดให้มีระบบติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์ และรายงานปัญหา
อุปสรรคและแนวทางการแก้ไข การดำเนินโครงการดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ทั้งนี้ ได้ยกเลิกชั้นความลับนับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
(๓๐ กันยายน ๒๕๖๘)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 9 | ขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น | กค. | 30/09/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๘ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น
จำนวน ๓๕,๙๖๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการลดยอดลูกหนี้รอการชดเชยของรัฐบาลให้แก่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์
การเกษตร (ธ.ก.ส.) โดยเบิกจ่ายในงบรายจ่ายอื่น โดยเมื่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ให้แก่ ธ.ก.ส.
แล้ว ให้สำนักงบประมาณอนุมัติเงินจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘
งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ไปยัง ธ.ก.ส.
โดยสอดคล้องกับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
ตามที่กำหนดในระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่าย งบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. ๒๕๖๒ ต่อไป ทั้งนี้
การดำเนินการดังกล่าวจะทำให้ ธ.ก.ส. มีสภาพคล่องเพิ่มขึ้นและสามารถมีเงินทุนหมุนเวียนในการให้ความช่วยเหลือประชาชนและเกษตรกรที่ไม่สามารถเข้าถึงบริการทางการเงินของธนาคารพาณิชย์ให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากขึ้น
ซึ่งจะเป็นการช่วยเหลือฟื้นฟูระบบเศรษฐกิจต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นว่ารัฐบาลควรพิจารณาทยอยชำระยอดลูกหนี้รอการชดเชยให้แก่สถาบันการเงินเฉพาะกิจที่ได้ดำเนินโครงการหรือมาตรการของรัฐบาลต่าง
ๆ ไปแล้ว นอกจากนี้ การดำเนินโครงการตามมาตรา ๒๘ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ ในระยะต่อไป ควรพิจารณาอนุมัติเท่าที่จำเป็นและสอดคล้องกับเงื่อนไขทางเศรษฐกิจและการคลัง
เพื่อให้ภาครัฐมีพื้นที่ทางการคลังเพียงพอสำหรับการรองรับสถานการณ์ความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้น
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 10 | แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2569 | กค. | 30/09/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. รับทราบและอนุมัติตามที่คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเสนอ
ดังนี้ ๑.๑
อนุมัติและรับทราบตามข้อเสนอของคณะกรรมการฯ ตามมติที่ประชุม ครั้งที่ ๓/๒๕๖๘ เมื่อวันที่
๒๐ สิงหาคม ๒๕๖๘ ดังนี้ ๑.๑.๑
อนุมัติแผนฯ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๙ ที่ประกอบด้วย แผนการก่อหนี้ใหม่ วงเงินรวม ๑,๒๐๗,๓๐๖.๗๕ ล้านบาท
แผนการบริหารหนี้เดิม วงเงินรวม ๑,๘๗๖,๙๑๕.๑๔
ล้านบาท และแผนการชำระหนี้ วงเงินรวม ๕๐๓,๐๕๖.๙๕ ล้านบาท ๑.๑.๒
อนุมัติให้รัฐวิสาหกิจ จำนวน ๔ แห่ง ได้แก่ กยท. ขสมก. รฟท. และ บมจ. อสมท. ที่มีสัดส่วน
DSCR ต่ำกว่า ๑ เท่า สามารถกู้เงินและบริหารหนี้ภายใต้แผนฯ
ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๙ โดยให้รัฐวิสาหกิจทั้ง ๔
แห่งดังกล่าวและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของคณะกรรมการฯ ไปดำเนินการด้วย รวมทั้งเห็นควรให้หน่วยงานที่บรรจุกรอบวงเงินกู้ภายใต้แผนฯ
ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๙ เร่งรัดการดำเนินการตามแผนฯ ดังกล่าวด้วย ๑.๑.๓
รับทราบแผนความต้องการเงินกู้ระยะปานกลาง ๕ ปี (ปีงบประมาณ ๒๕๖๙ - ๒๕๗๓) และมอบหมายให้กระทรวงเจ้าสังกัดประสานงานกับรัฐวิสาหกิจที่เป็นหน่วยงานเจ้าของโครงการในกลุ่มโครงการที่ยังขาดความพร้อมในการดำเนินการ
เพื่อเร่งรัดการดำเนินการและการลงทุนเพื่อเพิ่มการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐในระยะต่อไป ๑.๒ อนุมัติการกู้เงินของรัฐบาลเพื่อการก่อหนี้ใหม่
การกู้มาและการนำไปให้กู้ต่อ การกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้
และการค้ำประกันเงินกู้ให้กับรัฐวิสาหกิจ ตามมาตรา ๗ แห่ง พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะฯ
มาตรา ๗ แห่งพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน
พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๗ แห่งพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน
ระยะที่สอง พ.ศ. ๒๕๔๕ รวมทั้งขออนุมัติการกู้เงินของรัฐวิสาหกิจเพื่อลงทุนในโครงการพัฒนา
และการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ ภายใต้กรอบวงเงินของแผนฯ ประจำปีงบประมาณ
๒๕๖๙ และให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข
และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงิน
การค้ำประกันและการบริหารความเสี่ยงในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น
ทั้งนี้ หากรัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการกู้เงินได้เอง
ก็ให้สามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ ๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และธนาคารแห่งประเทศไทยไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย เช่น สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นว่ากระทรวงการคลังควรพิจารณาความเหมาะสมสมมติฐานที่ใช้ในการคำนวณสัดส่วนหนี้สาธารณะ
และกำหนดแนวทางการบริหารการกู้เงินของรัฐเพื่อให้มั่นใจว่าการดำเนินการของแผนการบริหารหนี้สาธารณะเป็นไปตามนัยของพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ ธนาคารแห่งประเทศไทย เห็นว่ารัฐบาลควรมีการบริหารจัดการเครื่องมือในการระดมทุนให้หลากหลายและเหมาะสม
ภายใต้ภาวะตลาดการเงินที่อาจมีความผันผวนสูงขึ้น
ควบคู่กับการสื่อสารกับตลาดอย่างชัดเจนและสม่ำเสมอ เพื่อลดผลกระทบที่จะมีต่อตลาดการเงินและต้นทุนการกู้ยืมของภาครัฐและเอกชน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 11 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การขยายระยะเวลาการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม) | กค. | 09/09/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร
ว่าด้วยการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการขยายระยะเวลาการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม สำหรับการขายสินค้า
การให้บริการ หรือการนำเข้าทุกกรณีตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม
(ฉบับที่ ๖๔๖) พ.ศ. ๒๕๖๐
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร
ว่าด้วยการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ๗๙๐) พ.ศ. ๒๕๖๗
ซึ่งจะสิ้นสุดลงในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๘ โดยยังคงจัดเก็บ ในอัตราร้อยละ ๖.๓ (ไม่รวมภาษีท้องถิ่น)
หรือร้อยละ ๗ (รวมภาษีท้องถิ่น) ต่อไปอีกเป็นระยะเวลา ๑ ปี โดยมีผลตั้งแต่วันที่ ๑
ตุลาคม ๒๕๖๘ ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๙ เนื่องจากการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี
๒๕๖๘ ยังมีข้อจำกัดและปัจจัยเสี่ยงจากภาระหนี้สินของภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจที่เพิ่มขึ้น
ประกอบกับอัตราการว่างงานและอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำและการปรับตัวลดลงของอัตราดอกเบี้ย
รวมทั้งผลกระทบจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา
ตลอดจนยังมีความผันผวนของระบบเศรษฐกิจการค้าโลก ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ สำนักงบประมาณ เห็นควรที่กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการภาษีดังกล่าวให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก
ตลอดจนติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์และรายงานผลการดำเนินงานตามมาตรการภาษีดังกล่าวเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการ
ตามนัยแห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นควรพิจารณากำหนดแผนการทยอยการปรับเพิ่มอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มให้มีความชัดเจน
โดยอาจเริ่มจากการปรับเพิ่มแบบเฉพาะรายกลุ่มสินค้าในช่วงเวลาที่ภาวะเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว
ควบคู่ไปกับการกำหนดแนวทางการเพิ่มศักยภาพทางการคลัง (fiscal consolidation) อย่างเป็นรูปธรรม
โดยการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลและการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายภาครัฐ
เพื่อลดข้อจำกัดทางการคลังและเตรียมพื้นที่ทางการคลังไว้สำหรับรองรับความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเงินโลก
การเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยและการเปลี่ยนแปลงของของสภาพภูมิอากาศที่มีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 12 | การทบทวนสัดส่วนที่ใช้เป็นกรอบในการบริหารหนี้สาธารณะ ตามมาตรา 50 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 | กค. | 09/09/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการทบทวนสัดส่วนที่ใช้เป็นกรอบในการบริหารหนี้สาธารณะ
ตามมาตรา ๕๐
แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามมติการประชุมคณะกรรมการฯ
ครั้งที่ ๔/๒๕๖๗ เมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๖๗ โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ประกอบด้วย ๑)
สัดส่วนหนี้สาธารณะ ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ณ สิ้นเดือนกันยายน ๒๕๖๗
อยู่ที่ร้อยละ ๖๓.๓๒
ยังอยู่ภายใต้กรอบสัดส่วนปัจจุบันที่กำหนดให้ต้องไม่เกินร้อยละ ๗๐ ๒) สัดส่วนภาระหนี้ของรัฐบาล
ต่อประมาณการรายได้ประจำปีงบประมาณ มีแนวโน้มปรับเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ เป็นต้นมา ตามการกู้เงินของรัฐบาลที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ๓) สัดส่วนหนี้สาธารณะที่เป็นเงินตราต่างประเทศ ต่อหนี้สาธารณะทั้งหมด
ณ สิ้นเดือนกันยายน ๒๕๖๗ อยู่ที่ร้อยละ ๑.๐๕ ยังอยู่ภายใต้กรอบสัดส่วนปัจจุบันที่กำหนดให้ต้องไม่เกินร้อยละ ๑๐ และ ๔) สัดส่วนภาระหนี้สาธารณะที่เป็นเงินตราต่างประเทศ
ต่อรายได้จากการส่งออกสินค้าและบริการ ณ สิ้นเดือนกันยายน ๒๕๖๗ อยู่ที่ร้อยละ ๐.๐๕
ยังอยู่ภายใต้กรอบสัดส่วนปัจจุบันที่กำหนดให้ต้องไม่เกินร้อยละ ๕ ตามที่คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐเสนอ ให้คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ
กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
รวมทั้งข้อสังเกตของธนาคารแห่งประเทศไทยไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น สำนักงบประมาณ เห็นว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรให้ความสำคัญกับแนวทางการดำเนินมาตรการต่าง
ๆ เพื่อรักษาระดับความสามารถในการชำระหนี้
เพื่อให้การบริหารหนี้สาธารณะเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
และไม่ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการคลังของประเทศในระยะยาว สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นว่าการปรับกรอบสัดส่วนดังกล่าวควรเป็นการปรับกรอบเป็นการชั่วคราว
โดยภาครัฐควรมีเป้าหมายและแนวทางการเร่งรัดการเพิ่มศักยภาพทางการคลัง
โดยเฉพาะการให้ความสำคัญต่อการลดขนาดการขาดดุลงบประมาณ การเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลและการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายภาครัฐ
ตลอดจนการจัดสรรงบชำระหนี้ของรัฐบาลให้สอดคล้องกับขนาดของมูลหนี้และดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นในแต่ละปีงบประมาณ
โดยเฉพาะการจัดสรรงบชำระคืนต้นเงินกู้ของรัฐบาลให้เพิ่มขึ้นเพื่อลดภาระหนี้ของรัฐบาลในระยะต่อไปที่ชัดเจน
เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการดำเนินการด้านวินัยการเงินการคลังของรัฐและการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศในภาพรวมต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 13 | รายงานสัดส่วนหนี้สาธารณะ ตามมาตรา 50 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ณ วันที่ 31 มีนาคม 2568 | กค. | 09/09/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสัดส่วนหนี้สาธารณะ
ตามมาตรา ๕๐ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ณ วันที่ ๓๑
มีนาคม ๒๕๖๘ ซึ่งสัดส่วนหนี้สาธารณะยังคงอยู่ภายใต้กรอบในการบริหารหนี้สาธารณะที่คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐกำหนด
โดยมีรายละเอียด ดังนี้ (๑) สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ
(คณะกรรมการนโยบายการเงินฯ กำหนดไม่เกินร้อยละ ๗๐) สัดส่วนหนี้ที่เกิดขึ้นจริง
ร้อยละ ๖๔.๕๙ (๒) สัดส่วนภาระหนี้ของรัฐบาลต่อประมาณการรายได้ประจำปีงบประมาณ (คณะกรรมการนโยบายการเงินฯ
กำหนดไม่เกินร้อยละ ๕๐) สัดส่วนหนี้ที่เกิดขึ้นจริง ร้อยละ ๔๒.๔๗ (๓) สัดส่วนหนี้สาธารณะที่เป็นเงินตราต่างประเทศต่อหนี้สาธารณะทั้งหมด
(คณะกรรมการนโยบายการเงินฯ กำหนดไม่เกินร้อยละ ๑๐) สัดส่วนหนี้ที่เกิดขึ้นจริง
ร้อยละ ๐.๘๙ และ (๔)
สัดส่วนภาระหนี้สาธารณะที่เป็นเงินตราต่างประเทศต่อรายได้จากการส่งออกสินค้าและบริการ
(คณะกรรมการนโยบายการเงินฯ กำหนดไม่เกินร้อยละ ๕) สัดส่วนหนี้ที่เกิดขึ้นจริง
ร้อยละ ๐.๐๔ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 14 | ผลการประชุมคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและการใช้จ่ายภาครัฐ ครั้งที่ 1/2568 | กค. | 09/09/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและการใช้จ่ายภาครัฐในคราวประชุม
ครั้งที่ ๑/๒๕๖๘ เมื่อวันที่ ๗ พฤษภาคม ๒๕๖๘
เพื่อให้หน่วยรับงบประมาณและรัฐวิสาหกิจดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการฯ
เพื่อให้การเบิกจ่ายงบประมาณและการใช้จ่ายภาครัฐเป็นไปตามเป้าหมาย
และเป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศต่อไป โดยรายงานผลการดำเนินการติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและการใช้จ่ายภาครัฐ
ตามมติ คณะกรรมการฯ ครั้งที่ ๕/๒๕๖๗ เป็นการรายงานผลการดำเนินการต่าง ๆ
ของฝ่ายเลขานุการร่วม ประกอบด้วย กรมบัญชีกลาง
สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ และสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ซึ่งได้จัดทำหนังสือแจ้งเวียนเพื่อให้หน่วยงานของรัฐปฏิบัติตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการฯ
มาตรการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณต่าง ๆ ตลอดจนการติดตามและรายงานผลการเบิกจ่ายเงินลงทุน
และรายงานการเบิกจ่ายงบประมาณและการใช้จ่ายภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๘ มีสาระสำคัญ
ดังนี้ ๑) ภาพรวมการเบิกจ่ายเงิน ตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ จนถึงวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๖๘
วงเงินรวม ๔,๒๔๙,๓๑๐.๔๒ ล้านาท มีการเบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๒,๔๙๐,๖๕๑.๖๑ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๕๘.๖๑ ๒) ผลการเบิกจ่ายงบลงทุน จากทั้งหมด ๒,๙๗๒ หน่วยงาน มีหน่วยงานเบิกจ่ายไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ณ เดือน เมษายน ๒๕๖๘
จำนวน ๘๕๒ หน่วยงาน คิดเป็นร้อยละ ๒๘.๖๗ ๓)
การเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปีบัญชี ๒๕๖๘ กรอบงบลงทุน ๒๕๘,๓๗๑.๙๑ ล้านบาท จนถึงสิ้นเดือน มีนาคม ๒๕๖๘ มีผลการเบิกจ่าย ๗๙,๑๗๒.๗๐ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๑๐๖.๒๒ ของแผนการเบิกจ่าย และ ๔)
การเบิกจ่ายเงินลงทุนภาครัฐที่ใช้เงินกู้ ๑๐๖ โครงการ ณ สิ้นเดือนมีนาคม ๒๕๖๘
มีผลการเบิกจ่ายประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๘ อยู่ที่ ๖๓,๔๔๐.๓๗
ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๕๓.๑๗ ของแผน พ.ศ. ๒๕๖๘ จำนวน ๑๑๙,๓๒๕.๔๒
ล้านบาท ตามที่คณะกรรมการติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและการใช้จ่ายภาครัฐเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 15 | รายงานผลการดำเนินงาน ฐานะทางการเงิน และงบการเงินของกองทุนบริหารเงินกู้เพื่อการปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะและพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 | กค. | 02/09/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงาน ฐานะทางการเงิน และงบการเงินที่ผู้สอบบัญชีรับรองแล้ว
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗
ของกองทุนบริหารเงินกู้เพื่อการปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะและพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ
(กปพ.) มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้ ๑) ผลการดำเนินงานที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๕
- ๒๕๖๗ กปพ. บริหารเงินที่ใด้รับจากการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะ วงเงินรวม
๑,๖๖๕,๖๒๖ ล้านบาท และได้รับผลตอบแทนเพื่อให้กระทรวงการคลังนำไปสมทบการชำระหนี้
จำนวน ๑๑,๓๖๘ ล้านบาท และ ๒) รายงานฐานะทางการเงินและงบการเงินของ
กปพ. สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๗ ประกอบด้วย งบแสดงฐานะทางการเงิน
และงบแสดงผลการดำเนินงานทางการเงิน ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบแล้ว เห็นว่ารายงานการเงินดังกล่าวถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามมาตรฐานการบัญชีภาครัฐและนโยบายการบัญชีภาครัฐที่กระทรวงการคลังกำหนด
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 16 | การเสนอความเห็นของคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนในการขอจัดตั้งกองทุนภูมิอากาศตามร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. .. | กค. | 02/09/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17 | รายงานประจำปีกองทุนประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม ปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 | กค. | 26/08/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำปีกองทุนประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม
ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ ซึ่งประกอบด้วย ๑) ข้อมูลทั่วไป ๒) ผลการดำเนินงานของกองทุนฯ
๓) ผลสัมฤทธิ์และประสิทธิภาพการใช้จ่ายของกองทุนฯ และ ๔)
รายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินของกองทุนฯ สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน
๒๕๖๗ ประกอบด้วย งบแสดงฐานะการเงิน งบแสดงผลการดำเนินงานทางการเงิน
และงบแสดงการเปลี่ยนแปลงสินทรัพย์สุทธิ/ส่วนทุน ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบและรับรองแล้ว
เห็นว่าถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญมาตรฐานการบัญชีภาครัฐและนโยบายการบัญชีภาครัฐที่กระทรวงการคลังกำหนด
ตามที่คณะกรรมการประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคมเสนอ
และให้เสนอสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 18 | รายงานผลเงินกู้จากธนาคารเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเอเชีย (AIIB) สำหรับโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก (ก่อสร้างทางวิ่งและทางขับที่ 2) | กค. | 26/08/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการลงนามในสัญญาเงินกู้โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก
(ก่อสร้างทางวิ่งและทางขับที่ ๒) กับธนาคารเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเอเชีย (Asian Infrastructure Investment Bank : AIIB) ซึ่งเป็นการดำเนินการสืบเนื่องจากที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๒
เมษายน ๒๕๖๘ อนุมัติให้กระทรวงการคลังกู้เงินในนามรัฐบาลไทย ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้มอบหมายให้ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะเป็นผู้แทนลงนาม
(นายพชร อนันตศิลป์) เป็นผู้แทนลงนามในสัญญาเงินกู้ในนามของรัฐบาลไทยกับ AIIB
แล้ว เมื่อวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๖๘ โดยสัญญากู้เงินดังกล่าวได้กำหนดให้ผู้กู้จัดส่งคำรับรองทางกฎหมาย
(Legal Opinion) ให้ AIIB เพื่อให้สัญญาเงินกู้มีผลบังคับใช้ภายใน
๙๐ วัน นับจากวันที่ลงนามในสัญญาเงินกู้ (ภายในวันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๖๘) เพื่อให้สัญญาเงินกู้มีผลบังคับใช้
ดังนั้น เพื่อให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สามารถดำเนินการจัดทำคำรับรองทางกฎหมาย
ให้กระทรวงการคลังนำส่ง AIIB เพื่อใช้เป็นเอกสารประกอบการพิจารณาประกาศให้สัญญาเงินกู้มีผลบังคับใช้ต่อไป
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 19 | รายงานกิจการประจำปี งบดุล และบัญชีกำไรขาดทุนของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2567 | กค. | 26/08/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 20 | การแต่งตั้งและกำหนดอัตราเงินเดือนของผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล (พันโท หนุน ศันสนาคม) | กค. | 26/08/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้ง พันโท หนุน ศันสนาคม
เป็นผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลต่อไปอีกวาระหนึ่ง
โดยให้ได้รับค่าตอบแทนคงที่ในอัตราเดือนละ ๔๐๐,๐๐๐ บาท
รวมทั้งค่าตอบแทนพิเศษประจำปี และสิทธิประโยชน์อื่นที่ผู้รับจ้างจะได้รับ ตามมติคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล
ในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๖๘ เมื่อวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๖๘ และครั้งที่ ๙/๒๕๖๘
เมื่อวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๖๘ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญาจ้างเป็นต้นไป
แต่ไม่ก่อนวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
