ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1 จากทั้งหมด 482 หน้า แสดงรายการที่ 1 - 20 จากข้อมูลทั้งหมด 9623 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1 | ร่างระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. .... | กค. | 29/07/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นายพลจักร นิ่มวัฒนา) | กค. | 22/07/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3 | ผลการพิจารณารายงานผลการพิจารณาศึกษาญัตติ เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหายาสูบและยาเส้นราคาตกต่ำ ของคณะกรรมาธิการการเงิน การคลัง สถาบันการเงินและตลาดการเงิน สภาผู้แทนราษฎร | กค. | 22/07/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณารายงานผลการพิจารณาศึกษาญัตติ
เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหายาสูบและยาเส้นราคาตกต่ำ ของคณะกรรมาธิการการเงิน การคลัง
สถาบันการเงินและตลาดการเงิน สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งกระทรวงการคลังได้พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว
โดยสรุปผลการพิจารณา จำนวนรวม ๔ ประเด็น ดังนี้ ๑)
การลดต้นทุนเพิ่มรายได้เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร
โดยการยาสูบแห่งประเทศไทยได้กำหนดยุทธศาสตร์ด้านการผลิต ควบคุม
และปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต
และมีการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้เพื่อลดต้นทุนการผลิต ๒)
การปรับโครงสร้างภาษียาสูบ โดยกรมสรรพสามิตอยู่ระหว่างการศึกษาแนวทางการปรับโครงสร้างภาษีที่เหมาะสมในทุกมิติอย่างรอบด้าน
ซึ่งการยาสูบแห่งประเทศไทยเห็นว่า การกำหนดอัตราภาษี ๓ อัตรา สามารถลดช่องว่างระหว่างบุหรี่ถูกกฎหมายและบุหรี่ผิดกฎหมาย
๓) การป้องกันและปราบปราม โดยกรมสรรพสามิตได้เสริมศักยภาพในด้านการป้องกันการกระทำผิดร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อสกัดกั้นการลักลอบนำเข้าบุหรี่ผิดกฎหมายและบุหรี่ไฟฟ้า
และกรมศุลกากรได้จัดทำแผนแนวทางปฏิบัติร่วมในการป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้าบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้าในพื้นที่ประเทศไทย
และ ๔) การปลูกพืชชนิดอื่นทดแทนการปลูกยาสูบหรือการประกอบอาชีพอื่น
โดยกรมสรรพสามิตได้จัดตั้งคณะกรรมการพิจารณาแนวทางการส่งเสริมเกษตรกรให้เพาะปลูกพืชชนิดอื่นทดแทนการปลูกยาสูบ
และกรมส่งเสริมการเกษตรตั้งคณะทำงานเพื่อจัดทำมาตรการช่วยเหลือชาวไร่ยาสูบและการปรับเปลี่ยนอาชีพสำหรับชาวไร่
เพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องและสนับสนุนองค์ความรู้ด้านการเกษตรให้แก่เกษตรกร
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4 | ร่างพระราชบัญญัติศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน พ.ศ. .... | กค. | 15/07/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน พ.ศ. .... ของกระทรวงการคลัง
ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
มีสาระสำคัญเป็นการส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงินของโลก
(Financial Hub) และดึงดูดผู้ประกอบธุรกิจทางการเงินจากต่างประเทศให้มาประกอบธุรกิจในประเทศไทยผ่านกลไกในการส่งเสริม
กำกับดูแล และการให้สิทธิประโยชน์แก่ผู้ประกอบการที่เข้ามาประกอบธุรกิจเป้าหมายใน Financial
Hub เพื่อให้บริการแก่นิติบุคคลหรือบุคคลที่ไม่ได้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย
(Non-residents) อันจะช่วยพัฒนาระบบนิเวศของอุตสาหกรรมการเงินและสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุน
รวมทั้งสามารถดึงดูดผู้ประกอบธุรกิจทางการเงินจากต่างประเทศให้มาประกอบธุรกิจเป้าหมายในประเทศไทย
และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง
กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๓.
ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่เห็นควรกำกับดูแลความเสี่ยงด้านการฟอกเงินหรือการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย
(AML/CFT) ของการประกอบธุรกิจใน Financial
Hub ในระดับที่ไม่ต่ำกว่ามาตรฐานในระบบการเงินหลักของประเทศและสอดคล้องกับมาตรฐานสากล
เตรียมหน่วยงานกำกับดูแลการประกอบธุรกิจใน Financial Hub ให้พร้อมก่อนอนุญาตให้มีการประกอบธุรกิจใน
Financial Hub รวมทั้งการกำหนดเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ที่ชัดเจนในการจัดตั้ง
Financial Hub โดยประเมินจุดแข็งของประเทศเพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันและดึงดูดให้มีการมาประกอบธุรกิจใน
Financial Hub เป็นลำดับแรก รวมถึงพิจารณาความเสี่ยงต่าง ๆ
ที่จะเกิดขึ้นอย่างรัดกุมและรอบด้าน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (ว่าที่ร้อยตรี ยงยุทธ ภูมิประเทศ) | กค. | 15/07/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง ว่าที่ร้อยตรี ยงยุทธ ภูมิประเทศ ข้าราชการพลเรือนสามัญ
ตำแหน่งรองอธิบดีกรมสรรพสามิต ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์ภาษีสรรพสามิต
(นักวิชาการสรรพสามิตทรงคุณวุฒิ) กรมสรรพสามิต กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ ๒๔
ตุลาคม ๒๕๖๗ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
6 | ขอถอนร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ. .... | กค. | 08/07/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กระทรวงการคลังถอนร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร
พ.ศ. .... ออกจากการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร ตามที่เสนอได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
7 | โครงการลงทะเบียนเพื่อสำรวจประชาชนที่ไม่มีสมาร์ตโฟน | กค. | 08/07/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบโครงการลงทะเบียนเพื่อสำรวจประชาชนที่ไม่มีสมาร์ตโฟน
และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินโครงการลงทะเบียนเพื่อสำรวจประชาชนที่ไม่มีสมาร์ตโฟน
และมอบหมายให้กระทรวงการคลัง กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
และสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) หารือเพื่อกำหนดระยะเวลาการดำเนินโครงการฯ
ที่เหมาะสมต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อเสนอแนะของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) รวมทั้งความเห็นของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้
ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามมาตรฐาน หลักเกณฑ์
และแนวทางการปฏิบัติงานดิจิทัลในด้านต่าง ๆ ได้แก่ ธรรมาภิบาลข้อมูลภาครัฐ การเปิดเผยข้อมูลเปิดภาครัฐ
กระบวนการหรือการดำเนินงานทางดิจิทัล และการเชื่อมโยงแลกเปลี่ยนข้อมูลดิจิทัล
รวมถึงความมั่นคงปลอดภัยและความน่าเชื่อถือตามแนวทางการพัฒนามาตรฐานที่คณะกรรมการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลกำหนดอย่างเคร่งครัดด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8 | มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้เพิ่มเติม "โครงการคุณสู้ เราช่วย ระยะที่ 2" และมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยเพิ่มเติมของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ | กค. | 01/07/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแนวทางการดำเนินโครงการคุณสู้
เราช่วย ระยะที่ ๒ ของธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย
ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย และธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย
โดยใช้กรอบวงเงินงบประมาณตามที่ได้รับการจัดสรรเพื่อดำเนินโครงการคุณสู้
เราช่วยตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๖๗
และได้มีการปรับปรุงกรอบวงเงินงบประมาณของแต่ละสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (Specialized Financial Institutions : SFIs) ให้สอดคล้องกับจำนวนผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการและภาระที่คาดว่าจะเกิดขึ้นแล้ว
ทั้งนี้ มอบหมายให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจ ทั้ง ๖ แห่ง ทำความตกลงกับสำนักงบประมาณ
เพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณเป็นรายปีตามความเหมาะสมโดยคำนึงถึงสภาพคล่องของสถาบันการเงินเฉพาะกิจแต่ละแห่งต่อไป
และเห็นชอบมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ตามมาตรการสินเชื่อสู้ภัย COVID-19
และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป และรับทราบมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้โครงการสินเชื่อตามนโยบายรัฐบาล
และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป รวมทั้งรับทราบเป้าหมายลูกหนี้ที่จะได้รับการช่วยเหลือลดภาระหนี้ผ่านมาตรการของกระทรวงการคลัง
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สำหรับภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น
ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและตามผลการดำเนินงานจริงตามขั้นตอนต่อไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้
ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทยไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงมหาดไทย เห็นว่ามาตรการดังกล่าวอาจก่อให้เกิดภาระทางการคลังของรัฐทั้งในปัจจุบันและในอนาคต
ขอให้หน่วยงานปฏิบัติตามระเบียบ กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
และปฏิบัติตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑
อย่างเคร่งครัดและรอบคอบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
9 | การปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2568 ครั้งที่ 2 | กค. | 24/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ
ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๘ ครั้งที่ ๒ ซึ่งเป็นวงเงินคงเดิมจากการปรับปรุงแผนฯ
ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๘ ครั้งที่ ๑ ประกอบด้วย ๑) แผนการก่อหนี้ใหม่ วงเงิน ๑,๒๒๑,๓๒๒.๒๔ ล้านบาท ๒)
แผนการบริหารหนี้เดิม วงเงิน ๑,๗๔๐,๕๕๒.๙๖
ล้านบาท และ ๓) แผนการชำระหนี้ วงเงิน ๔๘๙,๓๘๐.๖๕ ล้านบาท
ตามที่คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเสนอ ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
ดังนี้ สำนักงบประมาณ เห็นว่ากระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรกำกับ
ติดตาม และเร่งรัดหน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการและเบิกจ่ายเงินกู้ให้สอดคล้องและบรรลุวัตถุประสงค์ตามแผนที่กำหนดไว้
เพื่อให้การใช้จ่ายเงินกู้เป็นไปอย่างโปร่งใส คุ้มค่า ประหยัด
เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศอย่างแท้จริง สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการจัดหาเงินกู้และชำระค่าใช้จ่ายของผู้รับจ้างตามข้อผูกพันของสัญญาตามคำพิพากษาของศาลปกครองกลางโดยเร็วเพื่อลดความเสียหายที่เกิดขึ้นกับภาครัฐ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
10 | การดำเนินการเพื่อบริจาคเงินเพิ่มทุนในกองทุนพัฒนาเอเชีย 14 | กค. | 24/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... [มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการแปลงเป็นดิจิทัล (Digital Transformation) ของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)] | กค. | 24/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร
ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล
โดยให้หักเป็นค่าใช้จ่ายได้ ๒ เท่า (ไม่เกิน ๓๐๐,๐๐๐ บาท) สำหรับค่าซื้อหรือค่าจ้างทำหรือค่าใช้บริการโปรแกรมคอมพิวเตอร์
ฮาร์ดแวร์ และอุปกรณ์อัจฉริยะ หรือบริการด้านดิจิทัล
ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจากสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล
แต่ไม่รวมถึงเครื่องคอมพิวเตอร์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการถึงวันที่
๓๑ ธันวาคม ๒๕๗๐ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน
โดยให้รับความเห็นของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ที่เห็นว่าควรพิจารณาเพิ่มจำนวนรายได้จากการขายสินค้าและการให้บริการในรอบระยะเวลาบัญชีจากเดิมไม่เกิน
๓๐ ล้านบาท เป็น ไม่เกิน ๕๐ ล้านบาท ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
มอบหมายให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมร่วมขับเคลื่อนและสร้างการรับรู้และความเข้าใจมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการแปลงเป็นดิจิทัล
(Digital Transformation) ของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
(SMEs) รวมทั้งร่วมติดตามและประเมินประโยชน์ที่ได้รับจากมาตรการนี้
ตลอดจนนำส่งข้อมูลดังกล่าวให้แก่กระทรวงการคลังเป็นรายปีจนสิ้นสุดมาตรการเพื่อประกอบการจัดทำรายงานเปรียบเทียบประโยชน์ที่ได้รับกับการสูญเสียรายได้ที่เกิดขึ้นจริงกับประมาณการตามมาตรา
๒๗ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12 | ข้อเสนอโครงการ/รายการกระตุ้นเศรษฐกิจตามแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้กรอบวงเงิน 157,000 ล้านบาท | กค. | 24/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบการดำเนินการและผลการพิจารณากลั่นกรองโครงการ/รายการกระตุ้นเศรษฐกิจตามแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้กรอบวงเงิน
๑๕๗,๐๐๐ ล้านบาท
และการมอบหมายคณะอนุกรรมการกลั่นกรองโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ
และคณะอนุกรรมการกำกับและติดตามผลการดำเนินงานตามแผนขับเคลื่อนเศรษฐกิจดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามหน้าที่และอำนาจ
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และที่รองนายกรัฐมนตรี (นายพิชัย ชุณหวชิร) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ
และเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาชี้แจงเพิ่มเติม ๒.
เห็นชอบข้อเสนอโครงการ/รายการกระตุ้นเศรษฐกิจตามแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้กรอบวงเงิน
๑๕๗,๐๐๐ ล้านบาท
ที่ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ในคราวประชุมครั้งที่
๓/๒๕๖๘ เมื่อวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๖๘ จำนวน ๕๐ หน่วยรับงบประมาณ ๔๘๑ โครงการ ๘,๙๓๙ รายการ ภายในกรอบวงเงินรวม ๑๑๕,๓๗๕.๒๗๑๕ ล้านบาท
และอนุมัติให้หน่วยรับงบประมาณ ทั้ง ๕๐
หน่วยงานเป็นหน่วยงานดำเนินโครงการดังกล่าวต่อไป
โดยให้หน่วยรับงบประมาณดำเนินการขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๘ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ
ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ
พ.ศ. ๒๕๖๗ รวมทั้งกฎหมาย กฎ ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
ตั้งแต่กระบวนการจัดทำคำขอรับจัดสรรงบประมาณ การจัดซื้อจัดจ้าง การดำเนินโครงการ
ตลอดจนการติดตามและประเมินผล และให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัด/หน่วยงานต้นสังกัดกำกับดูแล
ติดตาม และตรวจสอบการดำเนินงานของหน่วยรับงบประมาณในทุกขั้นตอนให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
รอบคอบ เป็นธรรม และทันตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดเพื่อไม่ให้งบประมาณพับไป
โดยคำนึงถึงความคุ้มค่า ประหยัด ผลสัมฤทธิ์
และประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ
รวมทั้งให้คณะอนุกรรมการกำกับและติดตามผลการดำเนินงานตามแผนขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่ตั้งขึ้นตามคำสั่งคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจกำกับการปฏิบัติตามโครงการให้เป็นไปอย่างถูกต้อง
ตามกฎหมาย กฎ ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การดำเนินโครงการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพตามข้อเสนอแนะเกี่ยวกับ
Three Lines of Defense ของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาด้วย ๓.
ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงสาธารณสุข
สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน
สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทยไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงสาธารณสุข เห็นควรให้เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณให้ทันภายในปีงบประมาณและให้ความสำคัญกับการควบคุม
และกำกับดูแลการใช้จ่ายเงินดังกล่าวให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นควรกำหนดเงื่อนไขสำหรับโครงการที่เกี่ยวกับการจ้างงานและฝึกอบรม
ให้ใช้วิธีการจ่ายค่าจ้างผ่านบัญชีธนาคารไปยังผู้ที่ได้รับการจ้างงานเพื่อให้การดำเนินการในทุกขั้นตอนมีความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้
สำหรับการดำเนินโครงการ/รายการกระตุ้นเศรษฐกิจฯ ภายใต้งบประมาณในส่วนที่เหลือ
ควรให้ความสำคัญกับการดำเนินการเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการและแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจและการค้าโลกเป็นสำคัญ
เพื่อรองรับความไม่แน่นอนที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13 | การขยายระยะเวลาและปรับปรุงหลักเกณฑ์การดำเนินโครงการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบกิจการใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ปรับปรุงใหม่) ปี 2568 | กค. | 24/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบขยายระยะเวลาและปรับปรุงหลักเกณฑ์การดำเนินโครงการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบกิจการใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้
(ปรับปรุงใหม่) ปี ๒๕๖๘ พร้อมทั้งอนุมัติงบประมาณวงเงินรวมไม่เกิน ๗๕๐
ล้านบาท สำหรับการดำเนินโครงการฯ ดังกล่าว และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นและเป็นภาระต่องบประมาณนั้น
ให้ธนาคารออมสินจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงตามขั้นตอนต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงการคลัง
ธนาคารออมสินและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ธนาคารแห่งประเทศไทย และศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น สำนักงบประมาณ เห็นว่ากระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก
ตลอดจนติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์และรายงานผลการดำเนินงานตามมาตรการดังกล่าวเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการ
ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑
และดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย ธนาคารแห่งประเทศไทย เห็นว่าธนาคารออมสิน
และสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการ
ควรพิจารณาให้การอนุมัติสินเชื่อการสอบทานกระบวนการอนุมัติสินเชื่อ
และการสุ่มสอบทานลูกหนี้เป็นไปตามเงื่อนไขของโครงการ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรมีกระบวนการทบทวนความจำเป็นและกำหนดแนวทางการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการอย่างต่อเนื่อง
เพื่อให้โครงการบรรลุตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ และให้การใช้งบประมาณเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
รวมถึงเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาปรับปรุงเงื่อนไขหรือต่ออายุโครงการในระยะต่อไป ๓. เพื่อให้การดำเนินโครงการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบกิจการใน
๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ปรับปรุงใหม่) ปี ๒๕๖๘ (โครงการฯ) เป็นไปอย่างเหมาะสม
มีประสิทธิภาพ และช่วยรักษาวินัยทางการเงินของผู้กู้
รวมทั้งป้องกันการเกิด Moral
Hazard ให้กระทรวงการคลังและธนาคารออมสินดำเนินการ ดังนี้ ๓.๑
พิจารณาให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการรายใหม่เป็นลำดับแรกก่อน
รวมทั้งดำเนินการประชาสัมพันธ์ ชี้แจง
และสร้างการรับรู้ให้แก่กลุ่มเป้าหมายเพื่อดึงดูดให้ผู้ประกอบการรายใหม่เข้าร่วมโครงการฯ
เพิ่มมากขึ้น ๓.๒
กำกับดูแลให้สถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการฯ จัดทำแผนการชำระคืนให้มีความสอดคล้อง
เหมาะสม กับช่วงระยะเวลาโครงการฯ เพื่อให้ผู้ประกอบการภายใต้โครงการฯ
สามารถชำระหนี้คืนได้ตามกำหนดระยะเวลาโครงการฯ ๓.๓
ให้กระทรวงการคลังดำเนินการปิดโครงการฯ เมื่อสิ้นสุดกำหนดระยะเวลาดำเนินโครงการฯ
ในปี ๒๕๗๐ โดยไม่ให้มีการขยายระยะเวลาดำเนินโครงการฯ ออกไปอีก
และให้มีการประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการฯ ให้ชัดเจนและเป็นรูปธรรม ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องดำเนินโครงการในลักษณะเดียวกันนี้ต่อไปอีก ให้กระทรวงการคลังพิจารณาจัดทำเป็นโครงการใหม่
โดยให้นำผลการประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการฯ พร้อมทั้งปัญหา
อุปสรรคที่เกิดขึ้นมาเป็นข้อมูลเพื่อประกอบการพิจารณาจัดทำโครงการใหม่ดังกล่าวให้มีความเหมาะสมสอดคล้องกับสภาพการณ์และบริบททางเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14 | รายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประจำครึ่งหลังของปี พ.ศ. 2567 | กค. | 17/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงิน
(กนง.) ประจำครึ่งหลังของปี พ.ศ. ๒๕๖๗ สรุปได้ ดังนี้ ๑) เป้าหมายนโยบายการเงิน คณะรัฐมนตรีมีมติ
(๒๖ ธันวาคม ๒๕๖๖) อนุมัติให้ใช้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในช่วงร้อยละ ๑ - ๓
เป็นเป้าหมายนโยบายการเงินด้านเสถียรภาพราคาสำหรับระยะปานกลางและสำหรับปี ๒๕๖๗ ๒)
ภาวะและแนวโน้มเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ และเสถียรภาพระบบการเงิน เศรษฐกิจไทยโดยรวมขยายตัว
แต่แตกต่างกัน (ระหว่างภาคเศรษฐกิจ) มากขึ้น อัตราเงินเฟ้อทั่วไปช่วงครึ่งหลังของปี
๒๕๖๗ ปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดย กนง. คาดการณ์ว่าปี ๒๕๖๘ เศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ
๒.๙ และอัตราเงินเฟ้อทรงตัวอยู่ใกล้เคียงขอบล่างของเป้าหมาย
ส่วนระบบการเงินโดยรวมในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๖๗ มีเสถียรภาพแต่ยังเปราะบางในบางจุด
และ ๓) การดำเนินนโยบายการเงิน กนง. ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย จากร้อยละ ๒.๕
เป็นร้อยละ ๒.๒๕ ต่อปี ในเดือนตุลาคม ๒๕๖๗
โดยประเมินว่าเศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวใกล้เคียงกับศักยภาพ เงินเฟ้อโน้มเข้าสู่กรอบเป้าหมาย
ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๖๗ ส่วนความเสี่ยงด้านเสถียรภาพระบบการเงินจะลดลงจากกระบวนการปรับลดสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อรายได้
(Household Debt
Deleveraging) ที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15 | รายงานประจำครึ่งปี (กรกฎาคม - ธันวาคม 2567) ของธนาคารแห่งประเทศไทย | กค. | 17/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำครึ่งปี (กรกฎาคม - ธันวาคม ๒๕๖๗)
ของธนาคารแห่งประเทศไทย สรุปได้ ดังนี้ ๑) ภาวะเศรษฐกิจช่วงครึ่งหลังปี ๒๕๖๗
เศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ ๓.๑ เพิ่มขึ้นจากร้อยละ ๒.๐ ในช่วงครึ่งแรก อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ
๐.๘๐ เพิ่มขึ้น จากร้อยละ ๐.๐๐ ในช่วงครึ่งแรก
เสถียรภาพด้านต่างประเทศของไทยอยู่ในเกณฑ์ดี ค่าเงินบาทเฉลี่ยแข็งค่าขึ้น ๒)
นโยบายการเงิน คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจากร้อยละ
๒.๕ เป็นร้อยละ ๒.๒๕ ต่อปี ในเดือนตุลาคม ๒๕๖๗
โดยประเมินว่าเศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวใกล้เคียงกับศักยภาพ
เงินเฟ้อโน้มเข้าสู่กรอบเป้าหมาย ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๖๗
ส่วนความเสี่ยงด้านเสถียรภาพระบบการเงินจะลดลงจากกระบวนการปรับลดสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อรายได้
(Household Debt
Deleveraging) ที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง ๓) นโยบายสถาบันการเงิน คณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงิน
(กนส.) คำนึงถึงปัจจัยรอบด้าน ความสมดุลระหว่างการแก้ไขปัญหาระยะสั้น และผลกระทบต่อเสถียรภาพระบบการเงินในระยะยาว
โดยออกมาตรการช่วยเหลือกลุ่มลูกหนี้เปราะบาง และผลักดันให้ภาคการเงินสนับสนุนการปรับตัวเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัลและการเติบโตอย่างยั่งยืน
และ ๔) นโยบายระบบการชำระเงิน คณะกรรมการระบบการชำระเงิน (กรช.) วางแนวทางดูแลภายใต้หลักการ
Openness (เช่น โครงสร้างพื้นฐานระบบฯ ที่เปิดกว้าง
พัฒนาพร้อมเพย์ให้รองรับการโอนเงินจากต่างประเทศ บูรณาการข้อมูลธุรกรรมการชำระเงิน
กำกับดูแลพร้อมเพย์เพื่อส่งเสริมการแข่งขัน) Inclusivity (เช่น
ส่งเสริมการใช้ Digital Payment ทุกภาคส่วน) และ Resiliency
(เช่น ระบบฯ มีความยืดหยุ่นรองรับความเสี่ยงใหม่
ดูแลความปลอดภัยจากภัยทุจริตทางการเงิน) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16 | รายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินกองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2567 | กค. | 17/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินกองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ
สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๗ ประกอบด้วย งบแสดงฐานะการเงิน และงบแสดงผลการดำเนินงานทางการเงิน ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบแล้ว
เห็นว่าถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามมาตรฐานการบัญชีภาครัฐและนโยบายการบัญชีภาครัฐที่กระทรวงการคลังกำหนด
ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17 | รายงานภาวะและแนวโน้มเศรษฐกิจไทยประจำไตรมาสที่ 4 ปี 2567 | กค. | 17/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานภาวะและแนวโน้มเศรษฐกิจไทยประจำไตรมาสที่ ๔ ปี ๒๕๖๗
สรุปได้ดังนี้ ๑) เศรษฐกิจ เงินเฟ้อ และเสถียรภาพระบบการเงินของไทย โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปปี
๒๕๖๘ มีแนวโน้มทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ เศรษฐกิจขยายตัวแตกต่างกันมากขึ้น
โดยบางภาคเศรษฐกิจ (เช่น ท่องเที่ยว อิเล็กทรอนิกส์) มีแนวโน้มดีขึ้น
และบางภาคเศรษฐกิจ (เช่น ยานยนต์ สินค้าที่ได้รับผลกระทบจากการแข่งขันจากจีน)
มีพัฒนาการแย่ลงเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยมีความไม่แน่นอนสูงขึ้นจากนโยบายของสหรัฐฯ
สินเชื่อโดยรวมปรับลดลง ๒) ภาวะการเงิน ในไตรมาสที่ ๔ ปี ๒๕๖๗ ค่าเงินบาทเทียบดอลลาร์สหรัฐ เฉลี่ยอยู่ที่ ๓๓.๙๖ แข็งค่าขึ้นจากไตรมาสก่อน
และ ๓) การดำเนินนโยบายการเงินในช่วงไตรมาสที่ ๔ ปี ๒๕๖๗ คณะกรรมการนโยบายการเงิน กนง. ในคราวประชุมเมื่อวันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๖๗
คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ร้อยละ ๒.๒๕ ต่อปี ทั้งนี้ กนง. ประเมินว่า
อัตราดอกเบี้ยนโยบายยังควรสอดคล้องกับจุดยืนของนโยบายการเงินที่เป็นกลาง (Broadly Neutral Stance) เศรษฐกิจที่มีแนวโน้มขยายตัวใกล้เคียงกับศักยภาพเงินเฟ้อที่ทยอยเข้าสู่กรอบเป้าหมาย
และการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินในระยะยาว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18 | ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร [มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการเป็นศูนย์กลางสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Hub) ของโลก] | กค. | 17/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....)
ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร
มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับกำไรส่วนทุน (Capital Gains) จากการขายสินทรัพย์ดิจิทัล
(คริปโทเคอร์เรนซีหรือโทเคนดิจิทัล) ผ่านผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล
ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๘ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๗๒ (รวม ๕ ปี)
เพื่อส่งเสริมให้เกิดการลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น
รวมทั้งเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนให้ประเทศไทยมีความสามารถในการแข่งขันเป็นศูนย์กลางสินทรัพย์ดิจิทัล
(Digital Asset Hub) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับความเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย
ที่เห็นควรพิจารณาใช้มาตรการภาษีฯ แบบมุ่งเป้าเฉพาะ Investment Token ซึ่งเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ต่อการพัฒนานวัตกรรมในการระดมทุนของภาคธุรกิจ
ควรพิจารณาผลกระทบจากความไม่เท่าเทียมของการจัดเก็บภาษี
ซึ่งจะเป็นช่องโหว่ในการหลบเลี่ยงภาษี และทำให้รัฐบาลสูญเสียรายได้มากกว่าที่คาด
และควรมีมาตรการลดผลกระทบข้างเคียงจากการส่งเสริมให้เป็น Digital Asset Hub โดยบังคับใช้ Travel Rule ตามมาตรฐานของ The
Financial Action Task Force (FATF) เพื่อป้องกันความเสี่ยงเรื่องการฟอกเงินและภัยทางการเงิน
เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และธนาคารแห่งประเทศไทยไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย เช่น สำนักงบประมาณ เห็นควรที่กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการภาษีดังกล่าวให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องโนโอกาสแรก
ตลอดจนติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์และรายงานผลการดำเนินงานตามมาตรการภาษีดังกล่าวเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการ
ตามนัยแห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ต่อไป สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเรื่องการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลให้ถูกต้อง
ครบถ้วน ควบคู่ไปกับการกำหนดแนวทางในการกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างรัดกุมเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ลงทุนไปพร้อมกัน
เพื่อสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลที่จะพัฒนาให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการเงินและศูนย์กลางสินทรัพย์ดิจิทัลของโลกต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19 | การโอนเงินหรือสินทรัพย์ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเพื่อชำระคืนต้นเงินกู้และดอกเบี้ย FIDF1 และ FIDF3 | กค. | 10/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้โอนเงินของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน
เข้าบัญชีสะสม เพื่อการชำระคืนต้นเงินกู้ชดใช้ความเสียหายของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน
ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ เพิ่มเติม จำนวน ๑๓,๘๒๐ ล้านบาท โดยให้กองทุนฯ ทยอยโอนเงินดังกล่าวเข้าบัญชีสะสมฯ
ตามปริมาณสภาพคล่องของกองทุนฯ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20 | ร่างพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (หลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์) | กค. | 10/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.
๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยเพิ่มบทบัญญัติเพื่อรองรับการออกหลักทรัพย์
โดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ และกำหนดบทกำหนดโทษกรณีฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดเกี่ยวกับหลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อรองรับและส่งเสริมให้มีการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการออกผลิตภัณฑ์และการทำธุรกรรมในตลาดทุน
รวมทั้งอำนวยความสะดวกแก่ประชาชน
อันจะนำไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนและขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในสังคมดิจิทัลแห่งอนาคต
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา
โดยให้ส่งความเห็นของสมาคมธนาคารไทยไปเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร
ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง
กรอบระยะเวลา
และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๓. ให้กระทรวงการคลัง
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์
สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และสมาคมธนาคารไทยไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย เช่น กระทรวงพาณิชย์ ที่เห็นว่าในประเด็นเกี่ยวกับหลักทรัพย์ประเภทหุ้นของบริษัทมหาชนจำกัดที่จัดตั้งขึ้นภายใต้พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด
พ.ศ. ๒๕๓๕ และมีหุ้นเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ หากคณะกรรมการ ก.ล.ต.
จะประกาศกำหนดให้สามารถออกหุ้น โดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ได้
ควรพิจารณาหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการเกี่ยวกับการออกหุ้นอิเล็กทรอนิกส์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ก่อนดำเนินการออกกฎหมายลำดับรองในเรื่องดังกล่าว เพื่อให้หน่วยงานนั้น ๆ
พิจารณาดำเนินการและเตรียมความพร้อมภายใต้ภารกิจและกรอบกฎหมายได้อย่างถูกต้อง
และเป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย อาทิ กระทรวงพาณิชย์ (กรมพัฒนาธุรกิจการค้า)
ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. ๒๕๓๕ สำนักงาน ก.พ.ร. เห็นว่าในมาตรา ๖๒/๒ ซึ่งบัญญัติเกี่ยวกับการออกหลักทรัพย์ตามประเภทที่คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์กำหนดให้ดำเนินการโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ว่า
การออกหลักทรัพย์โดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ควรมีการจัดทำแนวปฏิบัติ มาตรฐานการออกหลักทรัพย์ที่ชัดเจนในทุกกระบวนการที่เกี่ยวข้อง
เช่น การออก การโอน การส่งมอบ และการวางหลักประกัน เป็นต้น
เพื่อให้สามารถดำเนินการได้อย่างถูกต้อง มีมาตรฐานเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ๔.
ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสมาคมธนาคารไทยไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
ดังนี้ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ประชาสัมพันธ์หลักเกณฑ์
เงื่อนไข กระบวนการ และข้อมูลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการออกหลักทรัพย์ด้วยวิธีอิเล็กทรอนิกส์ให้กับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมดให้ชัดเจนและเข้าใจง่าย
และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติรวม ๔ ฉบับ
ที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการเมื่อวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖ ที่ยังค้างการพิจารณาอยู่ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว สมาคมธนาคารไทย เห็นควรกำหนดนิยาม “หลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์”
ให้มีความแตกต่างจาก “สินทรัพย์ดิจิทัล” และการกำหนดให้การดำเนินการต่าง ๆ
ที่เกี่ยวข้องกับหลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์ต้องเป็นไปตามประกาศคณะกรรมการ ก.ล.ต.
ส่งผลให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวมถึงธนาคารยังไม่สามารถออกผลิตภัณฑ์หรือให้บริการการทำธุรกรรมตลาดทุนที่เกี่ยวกับหลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์ได้ |