ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 147 จากทั้งหมด 483 หน้า แสดงรายการที่ 2921 - 2940 จากข้อมูลทั้งหมด 9647 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2921 | งบการเงินของ บสท. | กค | 13/12/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบงบการเงินของบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บสท.) สำหรับงวดตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๕๔ (วันเลิกดำเนินกิจการ) และงวดตั้งแต่วันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๔ (ระหว่างชำระบัญชี) ที่ผ่านการตรวจสอบจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินแล้ว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. งบการเงินแสดงฐานะการเงิน ณ วันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๕๔ (วันเลิกกิจการ) และวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๓ ผลการดำเนินงาน (เฉพาะทุนประเดิม) การเปลี่ยนแปลงสำหรับรายรับหรือรายจ่ายสุทธิรอปันส่วนไปยังสินทรัพย์รับโอน และกระแสเงินสด สำหรับงวดตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๕๔ (วันเลิกกิจการ) และสำหรับงวดหกเดือนสิ้นสุดวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๓ ของ บสท. โดยถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามเกณฑ์การจัดทำงบการเงิน ทั้งนี้ มีข้อสังเกตหมายประกอบงบการเงินในส่วนของสินทรัพย์รับโอนที่ชำระเสร็จสิ้นแล้ว ซึ่งบางส่วนอยู่ระหว่างตรวจสอบราคารับโอน โดย บสท. จะโอนล้างรายการสินทรัพย์รับโอนดังกล่าวเพื่อคำนวณกำไร (ขาดทุน) จากการบริหารสินทรัพย์รับโอนเมื่อสิ้นปีที่สิบ (๘ มิถุนายน ๒๕๕๔) และหมายเหตุประกอบงบการเงินในส่วนของการแสดงมูลค่าสินทรัพย์รับโอน สินทรัพย์รับโอนและตั๋วสัญญาใช้เงินในงบดุล แสดงมูลค่าตามราคาที่รับโอน ซึ่งจะมีมูลค่าเปลี่ยนแปลงหลังจากการตรวจสอบความถูกต้องของรายการที่รับโอนแล้ว รวมทั้งมีผลกระทบต่อดอกเบี้ยจ่ายตั๋วสัญญาใช้เงิน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของค่าใช้จ่ายในการบริหารสินทรัพย์รับโอน ๒. งบการเงินแสดงฐานะการเงิน ณ วันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๔ ผลการดำเนินงาน (เฉพาะทุนประเดิม) การเปลี่ยนแปลงสำหรับรายรับหรือรายจ่ายสุทธิรอปันส่วนไปยังสินทรัพย์รับโอน และกระแสเงินสด สำหรับงวดตั้งแต่วันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๔ ของ บสท. (ระหว่างชำระบัญชี) ถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามเกณฑ์การจัดทำงบการเงิน
|
|||||||||||||||||||||||||||
2922 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการควบรวมกิจการ กรณีการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินปันผล) | กค | 13/12/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างพระราชกฤษฎีกาฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. ให้ยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินปันผลที่ได้จากบริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย หรือที่ได้จากกองทุนรวมที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ให้แก่บริษัทใหม่อันได้ควบเข้ากันหรือบริษัทผู้รับโอนกิจการทั้งหมดจากบริษัทอื่น เป็นจำนวนกึ่งหนึ่งของเงินปันผลที่ได้รับ เว้นแต่กรณีที่บริษัทผู้รับเงินปันผลเป็นบริษัทจดทะเบียน ให้ยกเว้นภาษีเป็นจำนวนเท่ากับเงินปันผลที่ได้รับ และกรณีที่บริษัทผู้รับเงินปันผลถือหุ้นในบริษัทผู้จ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่าร้อยละยี่สิบห้าของหุ้นทั้งหมดที่มีสิทธิออกเสียง โดยบริษัทผู้จ่ายเงินปันผลไม่ได้ถือหุ้นในบริษัทผู้รับเงินปันผลนั้น ไม่ว่าโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม ให้ยกเว้นภาษีเป็นจำนวนเท่ากับเงินปันผลที่ได้รับ ๒. บริษัทผู้รับเงินปันผลต้องถือหุ้นหรือหน่วยลงทุนที่ก่อให้เกิดเงินปันผลนั้นไว้ไม่น้อยกว่าสามเดือนนับแต่วันที่ได้หุ้นหรือหน่วยลงทุนนั้นถึงวันที่มีเงินได้ดังกล่าว และต้องถือหุ้นหรือหน่วยลงทุนนั้นต่อไปอีกไม่น้อยกว่าสามเดือนนับแต่วันที่มีเงินได้ดังกล่าว ทั้งนี้ ให้นับระยะเวลาถือหุ้นหรือหน่วยลงทุนนั้นของบริษัทเดิมอันได้ควบเข้ากันหรือบริษัทเดิมผู้โอนกิจการทั้งหมดรวมด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
2923 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการใช้ทรัสต์ เพื่อธุรกรรมในตลาดทุน) | กค | 13/12/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ ยกเว้นภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ ให้แก่ผู้ก่อตั้งทรัสต์ ทรัสตี และผู้รับประโยชน์ สำหรับเงินได้ มูลค่าของฐานภาษี รายรับ และการกระทำตราสารที่เกิดขึ้นหรือเนื่องมาจากธุรกรรมที่เกิดขึ้นตามสัญญาก่อตั้งทรัสต์ตามกฎหมายว่าด้วยทรัสต์เพื่อธุรกรรมในตลาดทุน บางกรณี เพื่อเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนการก่อตั้งทรัสต์เพื่อธุรกรรมในตลาดทุน อันจะช่วยให้มีการระดมทุนในตลาดทุนมากยิ่งขึ้น ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
2924 | การบริหารโครงการภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 และโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน | กค | 13/12/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการยกเลิกโครงการศูนย์กำจัดขยะมูลฝอย องค์การบริหารส่วนจังหวัดแม่ฮ่องสอน อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ของกระทรวงมหาดไทย วงเงิน ๕๐.๐๐ ล้านบาท และนำวงเงินโครงการมารวมเป็นเงินเหลือจ่ายต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. อนุมัติการยกเลิกโครงการเจลฟ้าทะลายโจรเพื่อใช้เสริมการรักษาโรคปริทันต์อักเสบ ของกระทรวงอุตสาหกรรม วงเงิน ๑๙๓.๒๕ ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๓. อนุมัติหลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติในการจัดสรรเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) ภายใต้โครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ โดยให้สำนักงบประมาณเป็นผู้จัดสรรเงินและดำเนินการอื่นใดที่เกี่ยวข้องตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ พ.ศ. ๒๕๕๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๕๓ และสำหรับโครงการเงินกู้ DPL ที่อยู่นอกแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ กระทรวงการคลังจะเป็นผู้จัดสรรเงินและดำเนินการอื่นใดที่เกี่ยวข้องตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๔. โครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ใด ๆ ที่ได้มีการลงนามในสัญญาจัดซื้อจัดจ้างแล้ว หรืออยู่ระหว่างดำเนินการ ให้ส่วนราชการเจ้าของโครงการเร่งรัดการดำเนินการให้แล้วเสร็จและบรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้และเบิกจ่ายให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔ ๕. โครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ใด ๆ ที่ยังมิได้มีการลงนามในสัญญาจัดซื้อจัดจ้าง ให้ส่วนราชการเจ้าของโครงการพิจารณาทบทวนความจำเป็นเหมาะสมคุ้มค่า เพื่อนำเสนอคณะกรรมการกลั่นกรองและบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีภายในวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๔ เพื่อพิจารณาอีกครั้งหนึ่งต่อไป ๖. อนุมัติให้ดำเนินโครงการต่าง ๆ ต่อไปได้ รวม ๗ โครงการ ได้แก่ โครงการพัฒนาศิริรราชสู่สถาบันการแพทย์ชั้นเลิศในเอเชียอาคเนย์ ระยะที่ ๒ (สถาบันการแพทย์สยามินทราธิราช) วงเงิน ๑,๕๔๓.๑๙๗๑ ล้านบาท โครงการพัฒนาบริการตติยภูมิศูนย์โรคหัวใจ ศูนย์มะเร็ง และเครือข่ายบาดเจ็บแห่งชาติ (มหาวิทยาลัยมหิดล) วงเงิน ๘๘๑.๘๒๙๘ ล้านบาท โครงการพัฒนาและยกระดับห้องปฏิบัติการวิจัยและการศึกษาเพื่อสนับสนุนความเป็นเลิศด้านแพทยศาสตร์ (มหาวิทยาลัยมหิดล) วงเงิน ๓๘๕.๘๐๐ ล้านบาท โครงการพัฒนาการผลิตยาและผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรไทยเข้าสู่ระดับมาตรฐานสากล (มหาวิทยาลัยมหิดล) วงเงิน ๔๘.๒๒๕ ล้านบาท โครงการพัฒนาและยกระดับการดูแลผู้ป่วยด้านเวชศาสตร์ฉุกเฉิน (มหาวิทยาลัยมหิดล) วงเงิน ๔๘.๒๒๕ ล้านบาท โครงการอาคารสมเด็จพระเทพรัตน์ เพื่อการบริการการเรียนการสอนและการวิจัย (มหาวิทยาลัยมหิดล) วงเงิน ๑,๗๑๕.๘๓๕๙ ล้านบาท และโครงการจัดหาครุภัณฑ์ประจำอาคารเฉลิมพระเกียรติ ๕๐ พรรษา สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (มหาวิทยาลัยมหิดล) วงเงิน ๓๙๙.๘๔๓๑ ล้านบาท ทั้งนี้ ให้เร่งรัดการดำเนินการและเบิกจ่ายเงินตามโครงการดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔ รวมทั้งให้ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องด้วย ๗. ให้กระทรวงการคลังรับไปหารือสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาว่า หากโครงการทั้งหมดไม่สามารถดำเนินการและเบิกจ่ายงบประมาณได้ทันภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๕ กระทรวงการคลังจะสามารถกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปี/ขยายเวลาเบิกจ่ายเงินตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณได้หรือไม่อย่างไร และหากกระทรวงการคลังไม่สามารถดำเนินการกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปี/ขยายเวลาเบิกจ่ายเงินได้ จะต้องดำเนินการประการใด เพื่อให้เป็นไปโดยถูกต้องตามกฎหมาย
|
|||||||||||||||||||||||||||
2925 | มาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยด้านการประกันภัย | กค | 13/12/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยด้านการประกันภัย ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. กรณีผู้ที่ทำประกันภัย ได้ดำเนินการเร่งรัดการชำระค่าสินไหมทดแทน โดยกำหนดอัตราชำระค่าสินไหมทดแทนและกำหนดระยะเวลาดำเนินการ โดยภาคอุตสาหกรรม อัตราชำระค่าสินไหมทดแทนอยู่ที่ร้อยละ ๗๕ กำหนดระยะเวลาให้แล้วเสร็จภายใน ๖ เดือน ส่วนภาคครัวเรือน อัตราชำระค่าสินไหมทดแทนเทียบเท่าร้อยละ ๑๐๐ คาดว่าจะดำเนินการได้เสร็จภายใน ๓ เดือน ๒. กรณีผู้ที่ไม่ได้ทำประกันภัย สำนักงาน คปภ. ร่วมกับสมาคมประกันวินาศภัย สมาคมสหมิตรการซ่อมรถยนต์แห่งประเทศไทย ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยที่ไม่ได้ทำประกันภัยรถยนต์และรถจักรยานยนต์ โดยจัดทำโครงการบูรณาการซ่อมรถประสบภัยน้ำท่วม กำหนดราคาค่าแรง ค่าซ่อมรถเป็นมาตรฐานตามระดับความเสียหาย และให้ส่วนลดอะไหล่ รวมทั้งให้บริการตรวจเช็ครถยนต์และรถจักรยานยนต์ ๒๐ รายการฟรี และให้บริการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องสำหรับรถจักรยานยนต์ฟรี ๓. กรณีที่อยู่อาศัย เห็นควรให้มีการจัดมหกรรมสินค้าราคาพิเศษหรือราคาต้นทุน โดยให้กระทรวงพาณิชย์ขอความร่วมมือผู้ประกอบการธุรกิจก่อสร้างหรือจำหน่ายอุปกรณ์ตกแต่งบ้าน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนที่ประสบปัญหาอุทกภัยในการซ่อมแซมที่อยู่อาศัย
|
|||||||||||||||||||||||||||
2926 | ร่างกฎสำนักนายกรัฐมนตรี ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องแบบข้าราชการฝ่ายพลเรือน พุทธศักราช 2478 | กค | 06/12/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎสำนักนายกรัฐมนตรี ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องแบบข้าราชการฝ่ายพลเรือน พุทธศักราช ๒๔๗๘ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎสำนักนายกรัฐมนตรีฯ มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมกฎสำนักนายกรัฐมนตรี ฉบับที่ ๘๒ (พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องแบบข้าราชการฝ่ายพลเรือน พุทธศักราช ๒๔๗๘ ดังต่อไปนี้
๑. แก้ไขเพิ่มเติมลักษณะของอินทรธนู โดยกำหนดให้มี ๒ แบบ คือ ทำด้วยไหมทองหรือวัตถุเทียมไหมทอง และทำด้วยสักหลาดสีน้ำเงินดำ ๒. แก้ไขเพิ่มเติมเครื่องหมายแสดงระดับสำหรับติดที่อินทรธนู โดยกำหนดให้มี ๗ ชั้น คือ ชั้น ๑ ประเภททั่วไป ระดับปฏิบัติงาน ชั้น ๒ ประเภทวิชาการ ระดับปฏิบัติการ ชั้น ๓ ประเภททั่วไป ระดับชำนาญงาน ชั้น ๔ ประเภททั่วไป ระดับอาวุโส ประเภทวิชาการ ระดับชำนาญการ ชั้น ๕ ประเภทวิชาการ ระดับชำนาญการพิเศษ และประเภทอำนวยการ ระดับต้น ชั้น ๖ ประเภททั่วไป ระดับทักษะพิเศษ ประเภทวิชาการระดับเชี่ยวชาญ ประเภทอำนวยการ ระดับสูง และประเภทบริหาร ระดับต้น และชั้น ๗ ประเภทวิชาการ ระดับทรงคุณวุฒิ และประเภทบริหาร ระดับสูง ๓. แก้ไขเพิ่มเติมเครื่องหมายแสดงระดับที่คอปกเสื้อ โดยกำหนดเป็น ๗ ชั้น เช่นเดียวกับเครื่องหมายแสดงระดับสำหรับติดที่อินทรธนู ๔. แก้ไขเพิ่มเติมเครื่องหมายรูปอาร์ม
|
|||||||||||||||||||||||||||
2927 | รายงานผลการแปลงตั๋วเงินคลังเป็นพันธบัตรรัฐบาล ในไตรมาสที่ 3 - 4 ปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 | กค | 06/12/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการแปลงตั๋วเงินคลังเป็นพันธบัตรรัฐบาล ในไตรมาสที่ ๓ - ๔ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ซึ่งกระทรวงการคลังมีวงเงินตั๋วเงินคลังเพื่อใช้ในการบริหารเงินสดรับ - จ่ายของรัฐบาล ณ ต้นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๑๕๔,๐๐๐ ล้านบาท โดยในไตรมาสที่ ๓ - ๔ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ กระทรวงการคลังดำเนินการแปลงตั๋วเงินคลังเป็นพันธบัตรรัฐบาล จำนวนรวม ๗๔,๐๐๐ ล้านบาท โดยการออกพันธบัตรรัฐบาล จำนวน ๘ รุ่น แบ่งเป็น ในไตรมาสที่ ๓ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๔ รุ่น วงเงิน ๓๒,๐๐๐ ล้านบาท และในไตรมาสที่ ๔ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๔ รุ่น วงเงิน ๔๒,๐๐๐ ล้านบาท ทั้งนี้ ภายหลังจากที่ได้ดำเนินการแปลงตั๋วเงินคลังเป็นพันธบัตรรัฐบาลในไตรมาสที่ ๓ - ๔ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวนรวม ๗๔,๐๐๐ ล้านบาทแล้ว ทำให้มีวงเงินตั๋วเงินคลังคงเหลือ จำนวน ๘๐,๐๐๐ ล้านบาท เมื่อรวมกับการดำเนินการออกตั๋วเงินคลังโดยใช้วงเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๔๕,๖๙๑ ล้านบาท ที่ได้ดำเนินการในเดือนกันยายน ๒๕๕๔ ทำให้ ณ สิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ กระทรวงการคลังมีวงเงินตั๋วเงินคลังเพื่อใช้ในการบริหารเงินสดรับ - จ่ายของรัฐบาล จำนวน ๑๒๕,๖๙๑ ล้านบาท ซึ่งวงเงินตั๋วเงินคลังดังกล่าวจะใช้ในการบริหารเงินสดรับ - จ่ายของรัฐบาลในปีงบประมาณถัดไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
2928 | มาตรการภาษีเพื่อการส่งเสริมกิจการพาณิชยนาวีของประเทศ | กค | 06/12/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อการส่งเสริมกิจการพาณิชยนาวีของประเทศ ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างพระราชกฤษฎีกาฯ มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินได้ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยและประกอบกิจการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ เฉพาะที่ได้จากการขายเรือเดินทะเลที่ใช้ในการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ โดยนำเงินได้ดังกล่าวไปซื้อเรือลำใหม่ และมีการจดทะเบียนเป็นเรือไทยตามกฎหมายว่าด้วยเรือไทยภายใน ๑ ปี ก่อนมีการขายเรือเก่า หรือซื้อเรือลำใหม่หรือนำไปต่อเรือลำใหม่ และนำไปจดทะเบียนเป็นเรือไทยตามกฎหมายว่าด้วยเรือไทยภายใน ๒ ปี นับแต่วันที่ขายเรือลำเก่านั้น ทั้งนี้ ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ดังนี้ ๒.๑ กรณีไม่สามารถดำเนินการจดทะเบียนเรือลำใหม่เป็นเรือไทยตามกฎหมายว่าด้วยเรือไทยภายใน ๒ ปี นับแต่วันที่ขายเรือเก่า อธิบดีกรมสรรพากรมีอำนาจขยายกำหนดเวลาดังกล่าวได้ เฉพาะกรณีที่มีหนังสือรับรองจากกรมเจ้าท่าว่าการต่อเรือใหม่มีกำหนดระยะเวลาแล้วเสร็จเกิน ๒ ปี นับจากวันขายเรือเก่า ๒.๒ เรือที่ซื้อใหม่ต้องมีอายุการใช้งานมาแล้วน้อยกว่าเรือที่ขายไป รวมทั้งเรือที่ซื้อใหม่และเรือที่ต่อใหม่ต้องมีระวางบรรทุกไม่น้อยกว่าเรือที่ขายไป ๒.๓ ต้องแจ้งการขายเรือเก่า และการซื้อหรือการต่อเรือใหม่เป็นหนังสือต่ออธิบดีกรมสรรพากรภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ขายเรือเก่านั้น หรือนับแต่วันที่จดทะเบียนเรือลำใหม่เป็นเรือไทย ๒.๔ ในกรณีที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ดังกล่าว ห้ามมิให้นำมูลค่าต้นทุนส่วนที่เหลือของเรือที่ขายไป ไปหักเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิ
|
|||||||||||||||||||||||||||
2929 | รายงานสรุปผลการดำเนินงานของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ครึ่งปีแรก ปี 2554 | กค | 06/12/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการดำเนินงานของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ครึ่งปีแรก ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. การรวบรวมและพัฒนาข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ และข้อมูลประกอบด้านอื่น ๆ ที่สำคัญต่อเศรษฐกิจ ประกอบด้วย การรวบรวมและจัดเก็บข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ๗ ประเภท (ที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า โรงแรม - รีสอร์ท นิคมอุตสาหกรรม สนามกอล์ฟ และที่ดินเปล่า) โดยนำข้อมูลที่ได้มาประมวลผล ๔ ด้าน ได้แก่ ด้านอุปทาน ด้านอุปสงค์ ด้านราคา และด้านการเงิน ซึ่งสามารถเผยแพร่ข้อมูลได้ครอบคลุม ๖ ประเภท และมีการเผยแพร่ข้อมูลล่าสุด ณ สิ้นไตรมาสที่ ๑ ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ รวมทั้งได้ประมวลผลข้อมูลบ้านมือสองและทำการปรับปรุงข้อมูลหมวด “อสังหาริมทรัพย์เพื่อประชาชน” และจัดทำพิกัดที่ตั้งทรัพย์มือสอง จำนวน ๔,๔๐๐ พิกัด บนเว็บไซต์ เพื่อเผยแพร่ข้อมูลและความรู้ที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชนทั่วไป ๒. งานวิชาการ ประกอบด้วย การจัดทำวารสารศูนย์ข้อมูลฯ REIC Journal ประจำไตรมาสที่ ๑ และไตรมาสที่ ๒ ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ พร้อมทั้งรายงานสถานการณ์อสังหาริมทรัพย์ และการนำเสนอบทวิเคราะห์สถานการณ์อสังหาริมทรัพย์และบทความพิเศษที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ จัดสัมมนาเผยแพร่ข้อมูลผลสำรวจโครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ จัดทำดัชนีความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัย (REIC Housing Developers Sentiment Index : REIC - HDSI) และดัชนีค่าก่อสร้างบ้านมาตรฐาน โดยเผยแพร่ผลการสำรวจในไตรมาสที่ ๑ และไตรมาสที่ ๒ ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ รวมทั้งจัดทำ REIC Research Report เพื่อเผยแพร่ผ่านสื่อมวลชน และเว็บไซต์ พร้อมทั้งจัดทำสรุปและวิเคราะห์สถานการณ์อสังหาริมทรัพย์รายสัปดาห์เผยแพร่บนเว็บไซต์ ๓. การส่งเสริมภาพลักษณ์องค์กร ในครึ่งปีแรก ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ศูนย์ข้อมูลฯ ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง ส่งผลให้สถิติการใช้บริการเพิ่มขึ้นในทุกช่องทาง โดยเฉพาะในกลุ่มสื่อมวลชนสนใจเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ข่าวจากศูนย์ข้อมูลฯ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งศูนย์ข้อมูลฯ กำหนดให้มีการแถลงข่าวข้อมูลและดัชนีอสังหาริมทรัพย์ที่สำคัญเป็นประจำทุกไตรมาส
|
|||||||||||||||||||||||||||
2930 | รายงานผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณ ตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 จนถึงวันที่ 4 พฤศจิกายน 2554 | กค | 06/12/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณ ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จนถึงวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการเบิกจ่ายเงินปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ตั้งแต่ต้นปีงบประมาณจนถึงสิ้นเดือนกันยายน ๒๕๕๔ มีการเบิกจ่ายแล้วจำนวนทั้งสิ้น ๒,๔๗๓,๖๕๘.๓๖ ล้านบาท หรือร้อยละ ๙๑.๗๔ ของวงเงิน จำนวน ๒,๖๙๖,๓๙๔.๑๐ ล้านบาท ประกอบด้วย ๑.๑ เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๑,๙๕๗,๘๙๙.๓๙ ล้านบาท หรือร้อยละ ๙๔.๕๘ สูงกว่าเป้าหมายตามมติคณะรัฐมนตรี (ร้อยละ ๙๓.๐๐) อยู่ร้อยละ ๑.๕๘ ประกอบด้วยรายจ่ายประจำ จำนวน ๑,๖๙๙,๕๒๒.๒๙ ล้านบาท หรือร้อยละ ๙๙.๑๐ และรายจ่ายลงทุน จำนวน ๒๕๘,๓๗๗.๑๐ ล้านบาท หรือร้อยละ ๗๒.๗๙ สูงกว่าเป้าหมายตามมติคณะรัฐมนตรี (ร้อยละ ๗๒.๐๐) อยู่ร้อยละ ๐.๗๙ ๑.๒ เงินงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ตั้งแต่วันที่ ๑๙ เมษายน จนถึงสิ้นเดือนกันยายน ๒๕๕๔ เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๙๒,๖๔๐.๔๓ ล้านบาท หรือร้อยละ ๙๒.๖๘ ของวงเงินงบประมาณ จำนวน ๙๙,๙๕๓.๘๔ ล้านบาท ประกอบด้วยรายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง จำนวน ๘๔,๑๔๒.๕๖ ล้านบาท รายจ่ายลงทุนตามแผนงานฟื้นฟูและแก้ไขปัญหาผลกระทบจากภัยพิบัติ จำนวน ๕,๑๘๑.๒๘ ล้านบาท และรายจ่ายประจำ จำนวน ๓,๓๑๖.๕๙ ล้านบาท ๑.๓ เงินงบประมาณที่กันไว้เบิกเหลื่อมปีและขยายเวลาเบิกจ่ายเงิน ประกอบด้วย เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๖ - ๒๕๕๓ สามารถเบิกจ่ายได้ จำนวน ๑๒๗,๓๕๕.๓๒ ล้านบาท หรือร้อยละ ๖๙.๓๓ ของวงเงินงบประมาณเหลื่อมปี จำนวน ๑๘๓,๖๘๓.๘๑ ล้านบาท ๑.๔ เงินโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๓๔๙,๙๖๐.๔๔ ล้านบาท มีการจัดสรรแล้ว (ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔) จำนวนทั้งสิ้น ๓๔๒,๗๔๒.๗๖ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๒๙๕,๗๖๓.๒๓ ล้านบาท หรือร้อยละ ๘๖.๒๙ ๒. ผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ไปพลางก่อน ตั้งแต่ต้นปีงบประมาณจนถึงวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ มีการเบิกจ่ายแล้วจำนวนทั้งสิ้น ๑๘๔,๑๖๖.๒๗ ล้านบาท หรือร้อยละ ๘.๙๐ ของวงเงิน จำนวน ๒,๐๗๐,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท ประกอบด้วยรายจ่ายประจำ จำนวน ๑๖๓,๕๙๕.๘๘ ล้านบาท หรือร้อยละ ๙.๕๙ และรายจ่ายลงทุน จำนวน ๒๐,๕๗๐.๓๙ ล้านบาท หรือร้อยละ ๕.๖๖ ซึ่งเป็นการใช้จ่ายเงินตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๕๔ (เรื่อง การใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ไปพลางก่อน)
|
|||||||||||||||||||||||||||
2931 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง ยุทธศาสตร์หุ้นส่วนเศรษฐกิจเพื่อนบ้านไทย - ลาว | กค | 29/11/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง ยุทธศาสตร์หุ้นส่วนเศรษฐกิจเพื่อนบ้านไทย - ลาว ตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ รวมทั้งรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการตามความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ ของกระทรวงการคลังร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยในส่วนของความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ให้หน่วยงานที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านที่มีอยู่แล้ว เข้ามาทำหน้าที่ กำกับดูแลและติดตามผลการปฏิบัติงาน ได้แก่ สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ.) ให้เป็นหน่วยงานกำกับและดูแลการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์หุ้นส่วนเศรษฐกิจเพื่อนบ้านไทย - ลาว และสำนักงานประสานความร่วมมือระหว่างประเทศ สังกัดกรมทรัพยากรน้ำให้เป็นหน่วยงานประเมินผลและติดตามการปฏิบัติงาน ๒. ให้ สพพ. และสำนักงานประสานความร่วมมือระหว่างประเทศร่วมกับหน่วยงานหลักที่ได้รับการเสนอแนะให้ดูแลการดำเนินงานตามยุทธศาตร์ต่าง ๆ ได้แก่ ๒.๑ ยุทธศาสตร์การเป็นศูนย์กลางการผลิตและกระจายสินค้าเกษตร โดยให้หน่วยงานทั้งสองมีการประสานงานกับผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง ๕ ได้แก่ หนองคาย มุกดาหาร เชียงราย อุบลราชธานี และนครพนมที่รับผิดชอบ เสนอแนะแผนของแต่ละจังหวัดเข้ามา และกำหนดแนวทางการกำกับดูแลการปฏิบัติงาน ตลอดจนการตรวจสอบการทำงานให้สอดคล้องกับแผนงานของกระทวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสินค้าที่มีการค้าขายข้ามชายแดน ไทย - ลาว ๒.๒ ยุทธศาสตร์การสนับสนุนการเกษตรและอุตสาหกรรมการเกษตรที่มีศักยภาพ มีทั้งสิ้น ๕ ชนิดสินค้า ได้แก่ อุตสาหกรรมไม้และเฟอร์นิเจอร์ อุตสาหกรรมยางพารา อุตสาหกรรมมันสำปะหลังและแปรรูป อุตสาหกรรมแปรรูปข้าวโพด อุตสาหกรรมข้าวเหนียวและแปรรูป เสนอแนะให้สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรและกรมเจรจาการค้า สังกัดกระทรวงพาณิชย์เป็นผู้รับผิดชอบหลักในการให้ข้อมูลด้านเศรษฐกิจเกี่ยวกับทิศทางความต้องการของตลาดสินค้าระหว่างประเทศ เพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานสำหรับการวางแผนการผลิตและกระจายสินค้า ๒.๓ ยุทธศาสตร์การส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย และ สปป.ลาว ควบคู่กัน โดยให้หน่วยงานทั้งสองมีการประสานงานและดำเนินงานตามอำนาจหน้าที่ให้สอดคล้องกับนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวระหว่างไทย - ลาว ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และให้มีการศึกษาถึงทิศทางที่เป็นไปได้ในการอำนวยความสะดวกของการผ่านแดนให้สอดคล้องกับข้อกำหนดด้าน Visa ของกระทรวงการต่างประเทศ
|
|||||||||||||||||||||||||||
2932 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการติดตั้งระบบโทรทัศน์วงจรปิด (Closed Circuit Television System : CCTV System) และระบบเทคโนโลยีอื่นที่เหมาะสมกับการควบคุมทางศุลกากร | กค | 22/11/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการดำเนินโครงการติดตั้งระบบโทรทัศน์วงจรปิด (Closed Circuit Television System : CCTV System) โดยกระทรวงการคลังได้ดำเนินโครงการติดตั้งระบบโทรทัศน์วงจรปิด และระบบเทคโนโลยีอื่นที่เหมาะสมกับการควบคุมทางศุลกากร ซึ่งเป็นการติดตั้งกล้องที่จุดผ่านแดนถาวร ท่าเรือ ท่าอากาศยาน ที่ว่าการศุลกากร เพื่อบันทึกภาพเหตุการณ์บริเวณพื้นที่ที่มีการเข้า - ออกของบุคคล สินค้า และยานพาหนะ โดยเชื่อมโยงข้อมูลให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ เช่น กระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เป็นต้น ทั้งนี้ โครงการติดตั้งระบบโทรทัศน์วงจรปิด (ระยะที่ ๑) ได้ดำเนินการแล้วเสร็จและเริ่มใช้งานเมื่อวันที่ ๑ กันยายน ๒๕๕๓ และโครงการเพิ่มประสิทธิภาพระบบโทรทัศน์วงจรปิด (ระยะที่ ๒) ได้ดำเนินการแล้วเสร็จและเริ่มใช้งานเมื่อวันที่ ๑ กันยายน ๒๕๕๔
|
|||||||||||||||||||||||||||
2933 | การจัดหาเงินทุนเพื่อดำเนินการโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2554/55 ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร | กค | 22/11/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแนวทางการจัดหาเงินทุนเพื่อดำเนินการโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และอนุมัติในหลักการให้ ธ.ก.ส. กู้เงินเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนสำหรับโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ จากสถาบันการเงินต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน ภายในวงเงินไม่เกิน ๒๖๙,๑๖๐ ล้านบาท โดยให้กระทรวงการคลังค้ำประกันต้นเงินกู้และดอกเบี้ย รัฐบาลรับภาระชำระคืนต้นเงินและดอกเบี้ยจากการกู้เงินและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจริง รวมทั้งผลขาดทุนที่เกิดขึ้นจากโครงการทั้งหมด ส่วนรายละเอียดขั้นตอนและวิธีการดำเนินโครงการต่าง ๆ ให้กระทรวงการคลังนำเสนอคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติพิจารณาก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
2934 | ขออนุมัติเงินงบกลางเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษา | กค | 22/11/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการการจ่ายเงินเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษา จำนวน ๑,๐๙๗,๑๙๒,๑๓๖.๖๙ บาท กรณีศาลปกครองสูงสุดพิพากษาให้กรมธนารักษ์และกระทรวงการคลังชำระเงินค่าฐานรากที่พิพาท จำนวน ๖๔๘,๐๑๗,๕๓๘.๐๖ บาท [ค่าฐานราก (เงินต้น) จำนวน ๖๐๗,๒๑๗,๕๑๒.๙๖ บาท และดอกเบี้ยนับถัดจากวันผิดนัดถึงวันฟ้อง จำนวน ๔๐,๘๐๐,๐๒๖.๑๐ บาท] พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๖๐๗,๒๑๗,๕๑๒.๙๖ บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ซึ่งคำนวณดอกเบี้ยได้วันละ ๑๒๔,๗๗๐.๗๒ บาท ให้แก่บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BTSC) (โดยศาลปกครองสูงสุดพิพากษาให้กรมธนารักษ์ และกระทรวงการคลังชำระเงินให้แล้วเสร็จภายใน ๖๐ วัน นับจากวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๕๔ ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๔) ๒. สำหรับงบประมาณให้ดำเนินการ เนื่องจากขณะนี้งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น มีความจำเป็นต้องจ่ายเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยและมีวงเงินเหลือจ่ายจำนวนจำกัด จึงเห็นควรให้กรมธนารักษ์ขอทำความตกลงกับกระทรวงการคลังในการผ่อนผันการนำรายได้ส่งคลังเพื่อนำมาใช้จ่ายเพื่อการนี้ต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลัง โดยกรมธนารักษ์ รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กรมธนารักษ์เร่งพิจารณาดำเนินโครงการพัฒนาที่ดินราชพัสดุบริเวณสถานีขนส่งหมอชิตโดยปฏิบัติตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ ให้แล้วเสร็จ ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังเร่งดำเนินการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวเพื่อดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบในการละเมิด ตามนัยพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ โดยเร็ว ๔. ให้กระทรวงการคลังพิจารณาดำเนินการไล่เบี้ยความเสียหายในการชำระหนี้ดังกล่าวจากเอกชนคู่สัญญาที่เป็นต้นเหตุของความเสียหายในครั้งนี้ด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
2935 | แต่งตั้งผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล | กค | 22/11/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. แต่งตั้งนายสมชาติ วงศ์วัฒนศานต์ ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ๒. กำหนดอัตราค่าตอบแทนคงที่ของผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ในอัตรา ๒๘๐,๐๐๐ บาทต่อเดือน และเมื่อครบกำหนดทุก ๆ ๑ ปี อาจปรับขึ้นค่าตอบแทนคงที่ไม่เกินกว่าร้อยละ ๑๐ ของค่าตอบแทนคงที่ที่ได้รับ ตามผลการประเมินผลการปฏิบัติงานตามหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินผลของคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล
|
|||||||||||||||||||||||||||
2936 | การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย | กค | 22/11/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย จำนวน ๕ คน โดยให้เริ่มต้นวาระการดำรงตำแหน่งตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๔) เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ นายประสงค์ พูนธเนศ ประธานกรรมการ ๑.๒ นายเข็มชัย ชุติวงศ์ กรรมการ ๑.๓ ศาสตราจารย์ ร้อยตำรวจเอก วรเดช จันทรศร กรรมการ ๑.๔ นายสุรชัย ดนัยตั้งตระกูล กรรมการ ๑.๕ นายเฉลิมชัย จีนะวิจารณะ กรรมการ ๒. ยกเว้น นายเข็มชัย ชุติวงศ์ ให้เริ่มต้นวาระการดำรงตำแหน่งตั้งแต่วันที่คณะกรรมการอัยการมีมติอนุมัติ
|
|||||||||||||||||||||||||||
2937 | กรอบการเจรจาอนุสัญญาหรือความตกลงเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อน และอนุสัญญาหรือความตกลงฯ ที่ยังไม่มีผลใช้บังคับ จำนวน 10 ฉบับ | กค | 22/11/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ นำเสนอกรอบการเจรจาอนุสัญญาหรือความตกลงเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อน ซึ่งเป็นกรอบมาตรฐานต่อรัฐสภาเพื่อให้ความเห็นชอบสำหรับการนำไปเจรจาอนุสัญญาหรือความตกลงกับกลุ่มประเทศคู่เจรจาของไทย ได้แก่ ประเทศที่จะขอเปิดเจรจาใหม่และที่จะขอเปิดเจรจาแก้ไข (ขออนุมัติคณะรัฐมนตรีไว้แล้ว) ประเทศที่เจรจาแล้ว แต่ยังมีประเด็นติดค้าง (ขออนุมัติคณะรัฐมนตรีไว้แล้ว) และประเทศที่จะทำการเจรจาในอนาคต พร้อมทั้งพิจารณากรณีการอนุมัติประเทศคู่เจรจาต่าง ๆ ของไทยภายใต้กรอบการเจรจาดังกล่าวให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี ๑.๒. เห็นชอบความตกลงและอนุสัญญาที่ยังไม่มีผลใช้บังคับ จำนวน ๑๐ ฉบับ และเสนอรัฐสภาให้ความเห็นชอบต่อไป ดังนี้ ๑.๒.๑ ความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งซิมบับเวและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย เพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงรัษฎากรในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้และผลได้จากทุน ๑.๒.๒ ความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งรัฐเอกราชปาปัวนิวกีนี เพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงรัษฎากรในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้ ๑.๒.๓ อนุสัญญาระหว่างราชอาณาจักรไทยและราชอาณาจักรโมร็อกโก เพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงรัษฎากรในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้ ๑.๒.๔ ความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งรัฐสุลต่านบรูไนดารุสซาลามและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย เพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงรัษฎากรในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้ ๑.๒.๕ อนุสัญญาระหว่างราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐทาจิกิสถาน เพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงรัษฎากรในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้ ๑.๒.๖ อนุสัญญาระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐเคนยา เพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงรัษฎากรในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้ ๑.๒.๗ อนุสัญญาระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งไอร์แลนด์ เพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงรัษฎากรในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้และผลได้จากทุน ๑.๒.๘ อนุสัญญาระหว่างรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐลิทัวเนียและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย เพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงรัษฎากรในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้ ๑.๒.๙ อนุสัญญาระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ เพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงรัษฎากรในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้ ๑.๒.๑๐ อนุสัญญาระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐเอสโตเนีย เพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงรัษฎากรในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้ ๑.๓ เห็นชอบให้กระทรวงการต่างประเทศรับไปดำเนินการทางการทูตเมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบความตกลงและอนุสัญญาตามข้อ ๑.๒ แล้ว ๒. ให้กระทรวงการคลัง (กรมสรรพากร) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน เพื่อให้เกิดความชัดเจนในทางปฏิบัติในการบริหารการจัดเก็บภาษี และเร่งประชาสัมพันธ์ สร้างความรู้ ความเข้าใจ ในสถานะของอนุสัญญาหรือความตกลงฯ ที่มีผลบังคับใช้ให้กับผู้ประกอบการและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเพื่อช่วยเสริมสร้างบรรยากาศการลงทุน และส่งเสริมให้เกิดการเคลื่อนย้ายเงินทุนและเทคโนโลยีระหว่างประเทศมากยิ่งขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการ |
|||||||||||||||||||||||||||
2938 | การปรับปรุงแผนการลงทุนเพื่อขับเคลื่อนการใช้เทคโนโลยีคาร์บอนต่ำของประเทศไทยสำหรับขอรับการสนับสนุนทางการเงินจาก Clean Technology Fund (CTF) | กค | 22/11/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการของแผนการลงทุนเพื่อขับเคลื่อนการใช้เทคโนโลยีคาร์บอนต่ำของประเทศไทย (พ.ศ. ๒๕๕๔) ฉบับปรับปรุง สำหรับจัดสรรวงเงินในส่วนของภาครัฐ จำนวน ๒๓๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ให้ภาคเอกชนดำเนินการแทนในปีแรก จำนวน ๑๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ และจะพิจารณาจัดสรรวงเงินที่เหลือ จำนวน ๑๓๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในระยะต่อไป และให้กระทรวงการคลังดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อขอรับการสนับสนุนทางการเงินจากกองทุนเพื่อเทคโนโลยีสะอาด Clean Technology Fund (CTF) ต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรสนับสนุนโครงการของภาครัฐด้านพลังงานทดแทนและการขนส่ง รวมทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในพื้นที่เมือง โดยเฉพาะในอาคารแต่ละประเภท ซึ่งอยู่ภายใต้แผนการลงทุนฯ (พ.ศ. ๒๕๕๒) ฉบับเดิม และในการดำเนินโครงการดังกล่าว ควรขอรับความช่วยเหลือทางวิชาการจากองค์กรระหว่างประเทศ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของบุคลากรภาครัฐในด้านเทคโนโลยีพลังงานสะอาดและคาร์บอนต่ำ ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
2939 | ขออนุมัติการปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้และรายละเอียดเงื่อนไขการปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 | กค | 22/11/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ วงเงิน ๑๔๙,๑๐๙.๘๐ ล้านบาท เพื่อให้มีต้นทุนทางการเงินที่เหมาะสม และกระจายภาระหนี้ให้สอดคล้องกับความสามารถในการชำระหนี้ของรัฐบาลในอนาคต ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
2940 | การเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะศึกษาด้านการบริหารและค้นคว้าทางภาษีอากรแห่งเอเชีย (SGATAR) ครั้งที่ 42 และการประชุมหัวหน้าสถาบันฝึกอบรมของสมาชิก (SGATAR) ครั้งที่ 6 | กค | 22/11/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงการคลังจัดการประชุมคณะศึกษาด้านการบริหารและค้นคว้าทางภาษีอากรแห่งเอเชีย (Study Group on Asian Tax Administration and Research : SGATAR) ครั้งที่ ๔๒ ควบคู่กับการประชุมหัวหน้าสถาบันฝึกอบรมของสมาชิก SGATAR ครั้งที่ ๖ ในช่วงเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๔ ณ โรงแรมแชงกรีล่า จังหวัดเชียงใหม่ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลัง โดยกรมสรรพากรเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดประชุม ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
.....