ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 142 จากทั้งหมด 483 หน้า แสดงรายการที่ 2821 - 2840 จากข้อมูลทั้งหมด 9647 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2821 | ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการโอนย้ายเงินออมในระบบการออมระยะยาวสำหรับผู้ที่เป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ) | กค | 29/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญคือ ปรับปรุงการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับเงินหรือผลประโยชน์ใด ๆ ที่ได้รับจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ โดยไม่ต้องอิงกับการเกษียณอายุ ภายใต้หลักการ ดังต่อไปนี้
๑. ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินหรือผลประโยชน์ใด ๆ ที่ได้รับเนื่องจากลูกจ้างออกจากงานเพราะตาย ทุพพลภาพ หรือเมื่ออายุครบ ๕๕ ปีบริบูรณ์ และเป็นสมาชิกของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเป็นเวลาไม่น้อยกว่า ๕ ปี ๒. ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินหรือผลประโยชน์ใด ๆ ที่มีสิทธิได้รับจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เนื่องจากลูกจ้างออกจากงานในกรณีอื่นนอกจากข้อ ๑ แต่เมื่อออกจากงานแล้วได้คงเงินหรือผลประโยชน์นั้นไว้ทั้งจำนวนในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพและต่อมาได้รับเงินหรือประโยชน์หลังจากลูกจ้างผู้นั้นตาย ทุพพลภาพ หรือเมื่อมีอายุครบ ๕๕ ปีบริบูรณ์ และเป็นสมาชิกของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเป็นเวลาไม่น้อยกว่า ๕ ปี ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนด ๓. การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามหลักการข้างต้นให้ใช้บังคับสำหรับเงินได้พึงประเมินที่ได้รับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๓ เป็นต้นไป
|
|||||||||||||||||||||
2822 | ขออนุมัติใช้วิธีการอนุญาโตตุลาการในการระงับข้อพิพาทในหนังสือข้อตกลงรับความช่วยเหลือแบบให้เปล่าจากธนาคารโลกโครงการ Capacity Support for the Design and Operation of the Independent Budget Research Office within the King Prajadhipok's Institute | กค | 29/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้ใช้วิธีการระงับข้อพิพาทด้วยวิธีอนุญาโตตุลาการที่กำหนดไว้ในหนังสือข้อตกลงรับความช่วยเหลือแบบให้เปล่าจากธนาคารโลก (Standard Conditions) สำหรับโครงการ Capacity Support for the Design and Operation of the Independent Budget Research Office within the King Prajadhipok’s Institute เพื่อกระทรวงการคลัง โดยสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ลงนามในหนังสือข้อตกลงรับความช่วยเหลือฯ จากธนาคารโลกในนามรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้กับบุคคลที่จะลงนามตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๔๕ (เรื่อง การทำความตกลงกับต่างประเทศ การทำอนุสัญญา และสนธิสัญญาต่าง ๆ) ตามข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงยุติธรรมเกี่ยวกับการจัดให้มีหน่วยงานหรือระบบการตรวจสอบการปฏิบัติตามข้อสัญญา เพื่อให้การปฏิบัติตามข้อสัญญามีความต่อเนื่องและถูกต้องตามสัญญา รวมทั้งการพิจารณาคัดเลือกบุคคลเพื่อทำหน้าที่อนุญาโตตุลาการที่มีความเป็นกลางและเป็นอิสระ มีความรอบรู้และเชี่ยวชาญในสัญญาภาครัฐ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
2823 | ขอเสนอรายชื่อบุคคลที่สมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (นายวีรพงษ์ รามางกูร) | กค | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งนายวีรพงษ์ รามางกูร ให้ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการในคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป
|
|||||||||||||||||||||
2824 | ร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ลดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) | กค | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ลดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ขยายเวลาการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลที่มีปริมาณกำมะถันไม่เกินร้อยละ ๐.๐๐๕ โดยน้ำหนัก ในอัตราภาษี ๐.๐๐๕ บาทต่อลิตร และน้ำมันดีเซลที่มีไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันผสมอยู่ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๔ ในอัตราภาษี ๐.๐๐๕ บาทต่อลิตร ออกไปอีก ๑ เดือน คือ ตั้งแต่วันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
2825 | การปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2555 ครั้งที่ 3 | กค | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๓ ซึ่งบรรจุการก่อหนี้ใหม่ของสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) (สบพน.) วงเงิน ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ในแผนการก่อหนี้ของหน่วยงานอื่นของรัฐที่ไม่ต้องขออนุมัติคณะรัฐมนตรีภายใต้กรอบแผนการบริหารหนี้สาธารณะ เพื่อเสริมสภาพคล่องให้แก่กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เนื่องจากประมาณการฐานะของกองทุนฯ ณ วันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๕๕ กองทุนฯ มีฐานะติดลบสุทธิ ๒๒,๐๖๓ ล้านบาท ซึ่งติดลบเพิ่มขึ้น จาก ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ จำนวน ๓,๓๖๔ ล้านบาท โดยมีประมาณการหนี้สินที่ครบกำหนดชำระภายใน ๑ เดือน จำนวน ๗,๑๑๘ ล้านบาท เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของอัตราชดเชย LPG ที่นำเข้าจากต่างประเทศสูงขึ้นตามราคาตลาดโลก และปริมาณการนำเข้า LPG ที่สูงขึ้นกว่าเดือนก่อน ประกอบกับกองทุนฯ ยังมีภาระชดเชยราคาสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซปิโตรเลียมอื่น ๆ ได้แก่ น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 และ E85 และก๊าซ NGV เป็นรายวัน ซึ่งสูงกว่าการเรียกเก็บเงินเข้ากองทุนฯ ๒. อนุมัติให้กระทรวงการคลังค้ำประกันเงินกู้ที่องค์การสวนยางกู้จากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรเพื่อดำเนินโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง วงเงิน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท |
|||||||||||||||||||||
2826 | ผลการประชุมคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ 1/2555 | กค | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ (กนร.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ และเห็นชอบตามมติที่ประชุม กนร. โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามมติที่ประชุม กนร. ที่เกี่ยวข้อง และรายงานผลการดำเนินงานให้ประธาน กนร. ทราบ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธาน กนร. เสนอ โดย กนร. มีมติ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบความคืบหน้าการจัดทำแผนปรับบทบาท (พลิกฟื้น) ขององค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) องค์การสะพานปลา (อสป.) องค์การคลังสินค้า (อคส.) องค์การตลาด (อต.) องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) และบริษัท อู่กรุงเทพ จำกัด (บอท.) และให้กระทรวงการคลังและธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) หารือร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์ เพื่อหาแนวทางการดำเนินกิจการที่เหมาะสมและสอดคล้องกับภารกิจของแต่ละรัฐวิสาหกิจทั้ง ๖ แห่ง และให้ บอท. พิจารณาและศึกษาความเป็นไปได้ในการนำแผนการดำเนินงานและภารกิจของ บอท. มารวมเป็นส่วนเดียวกับการพัฒนาพื้นที่สถานประกอบการเดิม (บริเวณยานนาวา) ให้เป็นพื้นที่ท่องเที่ยวเชิงพุทธศาสนา ๑.๒ รับทราบความคืบหน้าการดำเนินการแก้ไขปัญหาการดำเนินธุรกิจของบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) (บมจ. ทีโอที) และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) (บมจ. กสท) โดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นผู้ประสานงานกับประธานคณะกรรมการเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารแห่งชาติเพื่อนำเรื่องการลงทุนโครงข่าย Fiber Optic เข้าสู่การหารือในที่ประชุมคณะกรรมการคณะดังกล่าวต่อไป ๑.๓ เห็นชอบให้เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติยุบเลิกบริษัท ไม้อัดไทย จำกัด (มอท.) และให้องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (อ.อ.ป.) เป็นผู้ดูแลผลประโยชน์สวนป่าของ มอท. จำนวน ๓๒,๗๒๘.๕๕ ไร่ ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงเจ้าสังกัดของรัฐวิสาหกิจกำกับติดตามการดำเนินงานตามมติ กนร. อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมโดยเร็ว และรายงานผลการดำเนินงานให้ประธาน กนร. ทราบเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป สำหรับการอนุมัติยุบเลิก มอท. และให้ อ.อ.ป. เป็นผู้ดูแลผลประโยชน์สวนป่าของ มอท. นั้น ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และ อ.อ.ป. ดำเนินการให้สอดคล้องตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ (เรื่อง ขอความเห็นชอบการแก้ไขปัญหาของบริษัท ไม้อัดไทย จำกัด) ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
2827 | การกู้เงินเพื่อการบริหารหนี้เงินกู้ตามโครงการรับจำนำผลิตผลทางการเกษตร ปีการผลิต 2551/52 | กค | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กู้เงินในประเทศ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงินไม่เกิน ๒๑,๐๖๐ ล้านบาท เพื่อ Roll Over เงินกู้ที่จะครบกำหนดชำระคืนในวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๕ โดยมีกระทรวงการคลังค้ำประกัน ๒. ให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงินและการค้ำประกันเงินกู้ในแต่ละครั้งได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม
|
|||||||||||||||||||||
2828 | ร่างพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ว่าด้วยการอนุวัติการตามความตกลงว่าด้วยการอำนวยความสะดวกในการขนส่งข้ามพรมแดนภายในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงตอนบน The GMS Agreement) | กค | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา แล้วเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดนิยาม “พื้นที่ควบคุมร่วมกัน” หมายความว่า พื้นที่ที่กำหนดให้เป็นพื้นที่ควบคุมร่วมกันตามกฎหมายว่าด้วยการอำนวยความสะดวกในการขนส่งข้ามพรมแดน ๑.๒ กำหนดให้กรมศุลกากรมีอำนาจในทางศุลกากรทั้งปวงในพื้นที่ควบคุมร่วมกันเช่นเดียวกับในเขตศุลกากร และการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานศุลกากรในพื้นที่ควบคุมร่วมกันนอกราชอาณาจักร ให้ถือว่าเป็นการปฏิบัติงานในราชอาณาจักร ๑.๓ กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินการในกรณีที่มีการกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากรที่พนักงานศุลกากรตรวจพบในพื้นที่ควบคุมร่วมกันในราชอาณาจักร ๑.๔ กำหนดให้การดำเนินการในกรณีที่มีการกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากรที่พนักงานศุลกากรตรวจพบในพื้นที่ควบคุมร่วมกันนอกราชอาณาจักรให้พนักงานศุลกากรของรัฐบาลไทยร้องขอต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลประเทศภาคีตามความตกลงให้ส่งบุคคล สัตว์ พืช ของ ตลอดจนยานพาหนะ ผู้ควบคุมพาหนะ และคนประจำพาหนะที่ใช้ขนส่งสิ่งดังกล่าวกลับมายังราชอาณาจักร เพื่อดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากรต่อไป ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเร่งรัดการตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการรับขนคนโดยสารและสัมภาระทางถนนระหว่างประเทศ พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การปฏิบัติพิธีการศุลกากรว่าด้วยการผ่านแดน) รวม ๒ ฉบับ ให้แล้วเสร็จโดยเร็วด้วย |
|||||||||||||||||||||
2829 | การติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายเงินโครงการภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. 2555 | กค | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการเพิ่มเติมอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐในการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายเงินโครงการภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยเพิ่มเติมอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการฯ ในการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายเงินโครงการภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
2830 | รายงานการรับและการใช้จ่ายเงินรายได้ที่ไม่ต้องนำส่งเป็นรายได้แผ่นดินตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 170 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 - 2552 | กค | 20/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานการรับและการใช้จ่ายเงินรายได้ที่ไม่ต้องนำส่งเป็นรายได้แผ่นดิน ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑ - ๒๕๕๒ ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๑๗๐ โดยภาพรวมของเงินรายได้ที่ไม่ต้องนำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินทั้ง ๕ กลุ่ม ประกอบด้วย ทุนหมุนเวียน เงินฝากกระทรวงการคลัง รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน และหน่วยงานของรัฐอื่นที่มีฐานะเป็นนิติบุคคล ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ เปรียบเทียบกับปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑ ปรากฏว่า สินทรัพย์รวม หนี้สินรวม และสินทรัพย์สุทธิ มีสัดส่วนปรับเพิ่มสูงขึ้นอันเป็นผลมาจากรัฐวิสาหกิจและทุนหมุนเวียน โดยสินทรัพย์รวมมีจำนวนประมาณ ๑๐.๔๙ ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑ ร้อยละ ๑๔.๐๕ โดยสินทรัพย์รวมเป็นส่วนของรัฐวิสาหกิจและทุนหมุนเวียน ร้อยละ ๗๓.๘๘ และ ๒๒.๐๙ ตามลำดับ ยกเว้นสินทรัพย์รวมขององค์การมหาชน ซึ่งมีขนาดลดลง ร้อยละ ๒๖.๒๕ ทั้งนี้ สถานะเงินคงเหลือปลายปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑ และ พ.ศ. ๒๕๕๒ เท่ากับประมาณ ๑.๓๙ และ ๑.๖๖ ล้านล้านบาท โดยมีอัตราส่วนหนี้สินรวมต่อสินทรัพย์สุทธิ เท่ากับ ๑.๙๔ และ ๑.๙๓ เท่า ตามลำดับ และนำเสนอสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาต่อไป ๒. รับทราบปัญหาและอุปสรรคในการจัดทำรายงานฯ ได้แก่ ๒.๑ ความชัดเจนของคำนิยาม “หน่วยงานของรัฐ” และความหลากหลายของประเภทหน่วยงาน ตามนัยมาตรา ๑๗๐ แห่งรัฐธรรมนูญ ทำให้มีข้อจำกัดในการพิจารณาว่าครอบคลุมถึงหน่วยงานใดบ้างที่จะต้องดำเนินการจัดทำรายงานฯ โดยเฉพาะหน่วยงานที่ได้รับอุดหนุนเงินงบประมาณแผ่นดินประจำปี หรือกฎหมายจัดตั้งหน่วยงานนั้น ๆ กำหนดให้รัฐจ่ายเงินงบประมาณอุดหนุน ขณะที่กฎหมายจัดตั้งหน่วยงานกำหนดให้มีสถานะเป็นนิติบุคคลแต่ไม่มีสถานะเป็น “ส่วนราชการ” หรือ “รัฐวิสาหกิจ” หรือ “องค์การมหาชน” ทำให้ขาดความชัดเจนในการกำหนดการจัดทำรายงานฯ ๒.๒ ความถูกต้องครบถ้วนของข้อมูล เนื่องจากมีข้อจำกัดในการตรวจสอบความถูกต้องครบถ้วนของข้อมูลของหน่วยงานต่าง ๆ โดยเฉพาะส่วนของเงินรายได้กลุ่มเงินฝากในส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐต่าง ๆ ที่อาจมีส่วนที่อยู่นอกเหนือจากการฝากไว้ที่กระทรวงการคลัง และอาจไม่ได้รับรายงานข้อมูล ประกอบกับรายงานทางการเงินบางส่วนยังไม่ได้รับการตรวจสอบและรับรองจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน จึงอาจจะทำให้ไม่ได้รับข้อมูลการรายงานที่ถูกต้องครบถ้วนทุกประเภทเงินอย่างชัดเจน ๓. เห็นชอบให้หน่วยงานของรัฐที่ไม่ได้จัดทำรายงานฯ ตามสรุปรายการข้อมูลที่ไม่จัดส่งรายงานการรับและการใช้จ่ายเงินรายได้ที่ไม่ต้องนำส่งเป็นรายได้แผ่นดินตามบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๑๗๐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑ และ ๒๕๕๒ ดำเนินการตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญฯ มาตรา ๑๗๐ ดังกล่าว โดยเคร่งครัดเป็นกรณีพิเศษ
|
|||||||||||||||||||||
2831 | การแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารออมสิน | กค | 14/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารออมสิน จำนวน ๓ คน แทนกรรมการที่ลาออก โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. นายพีรพล ไตรทศาวิทย์ แทนนายปสันน์ เทพรักษ์ ๒. นายสุธรรม ศิริทิพย์สาคร แทนนายวีรพันธ์ จักรไพศาล ๓. นางชูจิรา กองแก้ว แทนนายเทอดศักดิ์ เหมือนแก้ว
|
|||||||||||||||||||||
2832 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง) | กค | 14/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสังกัดกระทรวงการคลัง ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน ๒ ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน (เศรษฐกรทรงคุณวุฒิ) สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๕๔ ๒. นางสาวพนอศรี ถาวรเศรษฐ์ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง (เศรษฐกรทรงคุณวุฒิ) สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๕๔
|
|||||||||||||||||||||
2833 | การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ สปป. ลาว สำหรับโครงการปรับปรุงสนามบินปากเซ ระยะที่ 2 | กค | 08/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ.) ดำเนินการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่สาธารณประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป. ลาว) สำหรับโครงการปรับปรุงสนามบินปากเซ ระยะที่ ๒ ในวงเงิน ๑๘๔ ล้านบาท โดยให้ใช้เงินงบประมาณแผ่นดินที่ สพพ. ได้รับการจัดสรรแล้วในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ สำหรับโครงการพัฒนาถนนหมายเลข ๖๘ (โอเสม็ด - สำโรง - กลอรันห์) ที่ได้ยกเลิกไปแล้ว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาจัดทำแผนการให้ความช่วยเหลือทางการเงินกับประเทศเพื่อนบ้านในมิติที่หลากหลายมากขึ้น นอกเหนือจากการสร้างสาธารณูปโภคด้านการขนส่ง โดยอาจพิจารณาเพิ่มโครงการที่เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานด้านอื่น ๆ เช่น การพัฒนาแหล่งน้ำ รวมถึงการพัฒนาด้านสังคม เช่น การพัฒนาระบบสาธารณสุข การพัฒนาระบบการศึกษา และการพัฒนาชุมชน เป็นต้น ไปพิจารณาด้วย |
|||||||||||||||||||||
2834 | ขอปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเรื่อง การเช่ารถยนต์มาใช้ในราชการ | กค | 01/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่เลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๕ (เรื่อง ขอปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเรื่อง การเช่ารถยนต์มาใช้ในราชการ) ในส่วนของข้อ ๑. “๑. เห็นชอบการปรับแก้ไขหลักเกณฑ์และแนวทางในการเช่ารถยนต์มาใช้ในราชการตามที่กระทรวงการคลังเสนอ” นั้น ข้อเท็จจริงปรากฏว่า มีส่วนราชการหลายแหล่งได้มีการสอบราคาและ/หรืออยู่ระหว่างการดำเนินการตามกระบวนการการจัดซื้อจัดจ้าง หรือที่สำนักงบประมาณได้พิจารณาให้ความเห็นชอบให้เช่ารถยนต์เป็นระยะเวลา ๓ ปี ไปก่อนที่คณะรัฐมนตรีจะมีมติแล้ว และอยู่ระหว่างการดำเนินการตามขั้นตอน ดังนั้น เพื่อให้การเช่ารถยนต์มาใช้ในราชการของส่วนราชการต่าง ๆ ที่ได้เริ่มดำเนินการตามกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างไปแล้วก่อนวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๔ เมษายน ๒๕๕) รวมทั้งเพื่อให้การเบิกจ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ เพื่อการดังกล่าวเป็นไปด้วยความรวดเร็ว จึงเห็นควรเพิ่มเติมข้อความมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๕ (เรื่อง การเช่ารถยนต์มาใช้ในราชการ) ในส่วนของข้อ ๑. เป็นว่า “๑. เห็นชอบการแก้ไขหลักเกณฑ์และแนวทางในการเช่ารถยนต์มาใช้ในราชการตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ยกเว้นกรณีการเช่ารถยนต์ของส่วนราชการที่ได้เริ่มดำเนินการตามกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม หรือที่สำนักงบประมาณได้พิจารณาให้ความเห็นชอบให้เช่ารถยนต์เป็นระยะเวลา ๓ ปี ไปก่อนที่คณะรัฐมนตรีจะมีมติ (๒๔ เมษายน ๒๕๕๕) ก็ให้ดำเนินการต่อไปได้ตามหลักเกณฑ์เดิม”
|
|||||||||||||||||||||
2835 | ขอขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทาง (ระยะที่ 10) | กค | 01/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางต่อไป เป็นระยะที่ ๑๐ ตั้งแต่วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๕ จนสิ้นสุดปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๕ ทั้งนี้ การดำเนินการขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายตามมาตรการดังกล่าว ประกอบด้วย ๑.๑.๑ มาตรการลดค่าใช้จ่ายเดินทางรถโดยสารประจำทาง : ดำเนินการผ่านองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) โดยรัฐรับภาระค่าใช้จ่ายการจัดรถโดยสารประจำทางธรรมดา จำนวน ๘๐๐ คันต่อวัน ใน ๗๓ เส้นทาง ให้บริการแก่ประชาชนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งได้ประมาณการค่าใช้จ่ายในวงเงินจำนวน ๑,๒๐๘ ล้านบาท ๑.๑.๒ มาตรการลดค่าใช้จ่ายเดินทางโดยรถไฟชั้น ๓ : ดำเนินการผ่านการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) โดยรัฐรับภาระค่าใช้จ่ายการจัดรถไฟชั้น ๓ เชิงสังคม จำนวน ๑๖๔ ขบวนต่อวัน และรถไฟชั้น ๓ ระยะทางไกลในขบวนรถเชิงพาณิชย์ จำนวน ๘ ขบวนต่อวัน ให้บริการแก่ประชาชนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งได้ประมาณการค่าใช้จ่ายในวงเงินจำนวน ๔๕๘ ล้านบาท ๑.๒ ให้กระทรวงคมนาคมเร่งดำเนินการศึกษาแนวทางการสนับสนุนมาตรการการลดค่าครองชีพด้านการเดินทางที่มีความเหมาะสม มีประสิทธิภาพ และเป็นประโยชน์ต่อประชาชนอย่างแท้จริง แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป ๒. สำหรับงบประมาณเพื่อดำเนินการตามมาตรการที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยให้ ขสมก. และ รฟท. กู้เงินเพื่อชดเชยการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าว โดยให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ และสำนักงบประมาณจะพิจารณาจัดสรรเงินงบประมาณรายจ่ายเพื่อชดเชยเงินต้นและดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นให้แก่ ขสมก. และ รฟท. สำหรับการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวต่อไป และให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงคมนาคม กระทรวงการคลัง และสำนักงบประมาณร่วมกันหารือเพื่อเร่งจัดหาเงินชดเชยให้แก่ ขสมก. และ รฟท. ตามขั้นตอน โดยเฉพาะในส่วนที่ยังไม่มีแหล่งเงิน ทั้งที่ยังไม่ได้รับอนุมัติเงินกู้และไม่ได้รับการจัดสรรเงินงบประมาณ เพื่อลดผลกระทบต่อฐานะการเงินของรัฐวิสาหกิจดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงคมนาคมรับไปพิจารณาตรวจสอบและติดตามการกำหนดเส้นทางและช่วงเวลาการปล่อยขบวนรถของ รฟท. และ ขสมก. ตามมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางให้สอดคล้องกับจำนวนผู้โดยสารและเป็นประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนผู้ใช้บริการด้วย |
|||||||||||||||||||||
2836 | การจัดหาเงินทุนเพื่อดำเนินการโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2554/55 ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร | กค | 01/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติเพิ่มเติมตามมติคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ในการประชุมเมื่อวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ และข้อเสนอของกระทรวงการคลัง สำหรับโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) แยกบัญชีการดำเนินงานและบัญชีธนาคารของโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ โดยเฉพาะ เพื่อให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีชำระคืน ธ.ก.ส. ภายใต้โครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ ให้เสร็จสิ้นทุกสิ้นปีงบประมาณหรือไม่เกินปีงบประมาณถัดไปตามผลขาดทุนที่เกิดขึ้นจริงจากการจำหน่ายข้าว โดยไม่ต้องรอให้มีการระบายผลิตผลเสร็จสิ้นก่อน เพื่อให้มีการรับรู้กำไร/ขาดทุนจากการจำนำข้าวในปีนั้น ๆ การชดเชยต้นทุนเงินและค่าใช้จ่ายดำเนินงาน รวมทั้งเงินที่ใช้ในการดำเนินงานโครงการทั้งในส่วนของ ธ.ก.ส. และส่วนที่กู้จากสถาบันการเงิน เพื่อมิให้เป็นภาระงบประมาณด้านดอกเบี้ยจ่ายจากหนี้คงค้างโครงการเป็นเวลานาน รวมทั้งเพื่อให้ ธ.ก.ส. สามารถนำเงินไปหมุนเวียนเพื่อใช้ในโครงการอื่นในปีต่อ ๆ ไป หากมีกำไรเกิดขึ้นจากการดำเนินงานหลังจากการระบายผลผลิตหรือสิ้นสุดโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ ให้ ธ.ก.ส. นำเงินส่งคลังทันที ๑.๒ ให้หน่วยงานดำเนินการที่ได้จำหน่ายสินค้าตามโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ ได้แก่ องค์การคลังสินค้า (อคส.) และองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) เมื่อได้รับชำระค่าสินค้าแล้วให้นำส่งเงินดังกล่าวแก่ ธ.ก.ส. ทันที และ/หรือภายใน ๓๐ วันนับจากวันที่ได้รับเงิน หากล่าช้าให้ชำระเบี้ยปรับในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี สำหรับดอกผลที่เกิดขึ้นจากการเก็บรักษาเงินค่าชำระสินค้า ให้หน่วยงานดำเนินการนำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินทันที เนื่องจากเป็นโครงการที่รัฐบาลรับภาระและเป็นรายได้ที่ อคส. และ อ.ต.ก. ไม่พึงได้ ทั้งนี้ เพื่อ ธ.ก.ส. จะได้นำไปชำระหนี้และลดภาระหนี้เงินกู้ต่อไป ๑.๓ ให้กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าต่างประเทศรายงานผลความคืบหน้าในการดำเนินงาน ระบายข้าว ปริมาณและมูลค่าสินค้าคงเหลือ รวมทั้งปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้นให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นครั้งคราวตามความเห็นชอบของ กขช. หรือตามที่เห็นเหมาะสม โดยไม่น้อยกว่า ๓ ครั้ง ต่อปี เพื่อให้คณะรัฐมนตรีมีข้อมูลในการตัดสินใจได้ทันที ๑.๔ ให้ อคส. และ อ.ต.ก. จัดทำเอกสาร/หลักฐานสำหรับเก็บข้อมูลปริมาณข้าวสารที่ได้จากการสีข้าวเปลือกเป็นข้าวสาร คุณภาพ และปริมาณข้าวสารที่นำออกจากโกดังเป็นรายเดือน แล้วแจ้งให้ ธ.ก.ส. ทราบปริมาณข้าวสารและจำนวนเงินที่ได้รับสำหรับโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ และเป็นหลักฐานในการตรวจสอบต่อไป ๑.๕ สำหรับโครงการรับจำนำผลผลิตทางการเกษตร ปีการผลิต ๒๕๕๑/๕๒ ให้ อคส. และ อ.ต.ก. สำรวจปริมาณสินค้าในสต็อกของรัฐบาลที่เหลืออยู่พร้อมทั้งประเมินมูลค่าของสินค้าที่เหลืออยู่และรายงานให้คณะรัฐมนตรีและกระทรวงการคลังทราบตามความเหมาะสม สำหรับการชำระค่าสินค้าในสต็อกรัฐบาลให้ดำเนินการเช่นเดียวกับโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ ๑.๖ ให้ ธ.ก.ส. กู้เงินเพื่อบริหารจัดการหนี้เงินกู้ด้วยการ Refinance หรือ Roll over หรือ Prepayment โดยกระทรวงการคลังค้ำประกันสำหรับโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ วงเงินไม่เกิน ๒๖๙,๑๖๐ ล้านบาท จนกว่าจะมีการชำระคืนเงินกู้เสร็จสิ้น โดยรัฐบาลรับภาระชำระคืนต้นเงินและดอกเบี้ยจากการกู้เงินและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจริง รวมทั้งผลขาดทุนที่เกิดขึ้นจากโครงการทั้งหมด ๑.๗ ให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงินและการค้ำประกันเงินกู้ของ ธ.ก.ส. ที่เกิดจากการกู้เงินและการบริหารจัดการหนี้ของ ธ.ก.ส. โดยกระทรวงการคลังค้ำประกันเงินกู้ในแต่ละครั้ง ตามโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ จำนวนไม่เกิน ๒๖๙,๑๖๐ ล้านบาท ได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น รวมทั้งการบริหารจัดการหนี้ร่วมกับ ธ.ก.ส. ด้วยการ Refinance หรือ Roll over หรือ Prepayment โดยกระทรวงการคลังค้ำประกันจนกว่าจะมีการชำระคืนเงินกู้เสร็จสิ้น รัฐบาลรับภาระชำระคืนต้นเงินและดอกเบี้ยจากการกู้เงิน และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจริง รวมทั้งผลขาดทุนที่เกิดขึ้นจากโครงการทั้งหมด ๒. ในส่วนของการให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีชำระคืน ธ.ก.ส. ภายใต้โครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ ให้เสร็จสิ้นทุกสิ้นปีงบประมาณหรือไม่เกินปีงบประมาณถัดไปตามผลขาดทุนที่เกิดขึ้นจริงจากการจำหน่ายข้าว โดยไม่ต้องรอให้มีการระบายผลิตผลเสร็จสิ้นก่อนนั้น ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องวางแผนและเร่งระบายผลผลิตให้เสร็จสิ้นในปีการผลิตโดยเร็วเพื่อมิให้ผลผลิตเสื่อมสภาพ ส่งผลให้ราคาผลผลิตตกต่ำ และเมื่อทราบผลกำไร/ขาดทุนของผลผลิตแล้ว หากมีความจำเป็นต้องชำระผลขาดทุนและดอกเบี้ยที่เกิดขึ้น ให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณรายจ่ายเพื่อชำระคืนต้นทุนและดอกเบี้ยตามความจำเป็นและเหมาะสมในแต่ละปีงบประมาณต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการให้ความสำคัญอย่างจริงจังกับการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุน พัฒนาคุณภาพและคุณค่าของสินค้า เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้เกษตรกรสามารถประกอบอาชีพการเกษตรได้อย่างยั่งยืน ภายใต้กลไกตลาดที่จะมีการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. ให้ ธ.ก.ส. เร่งรัดดำเนินการตรวจสอบการออกใบประทวนในโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ ให้เป็นไปอย่างโปร่งใสและเป็นธรรม แล้วให้จัดทำรายงานเรื่องดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
2837 | รายงานผลการพิจารณากรอบวงเงินค่าจ้างที่ปรึกษาบริหารและควบคุมงานระบบรถไฟฟ้า โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง - บางแค และช่วงเตาปูน - ท่าพระ ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย | กค | 01/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติกรอบวงเงินค่าจ้างที่ปรึกษางานระบบรถไฟฟ้า โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง - บางแค และช่วงเตาปูน - ท่าพระ ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ที่ได้พิจารณาแล้วตามหลักเกณฑ์ของกระทรวงการคลัง เป็นวงเงิน ๖๖๕,๔๔๑,๕๐๐ บาท ประกอบด้วย ค่าจ้างที่ปรึกษาบริหารโครงการ (PMC) วงเงิน ๒๖๕,๓๙๙,๐๐๐ บาท และค่าจ้างที่ปรึกษาควบคุมงานระบบรถไฟฟ้า (MESC) จำนวน ๔๐๐,๐๔๒,๕๐๐ บาท ซึ่งต่ำกว่ากรอบวงเงินที่กระทรวงคมนาคมนำเสนอคณะรัฐมนตรี จำนวน ๓,๕๕๘,๕๐๐ บาท ๑.๒ เห็นชอบให้ รฟม. กู้เงินต่อจากกระทรวงการคลัง โดยกระทรวงการคลังจะพิจารณากู้เงินในประเทศและให้กู้เงินต่อแก่ รฟม. สำหรับค่าจ้างที่ปรึกษางานระบบรถไฟฟ้าฯ เพื่อให้เป็นแนวทางเดียวกับค่าจ้างที่ปรึกษางานโยธา โดยให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีให้แก่ รฟม. เพื่อใช้ชำระหนี้เงินกู้และดอกเบี้ยให้แก่แหล่งเงินกู้โดยตรง และเมื่อ รฟม. มีรายได้จากการเดินรถไฟฟ้าในอนาคต เห็นควรให้นำเงินรายได้ดังกล่าวมาชำระเงินลงทุนในส่วนนี้คืนให้แก่รัฐบาล เพื่อให้เป็นไปตามหลักการลงทุนโครงการรถไฟฟ้าตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๔๙ (เรื่อง โครงการระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล) ซึ่งรัฐบาลรับภาระการลงทุนเฉพาะในส่วนค่าก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานงานโยธาเท่านั้น ๑.๓ ให้ รฟม. รับข้อสังเกตของกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการในขั้นตอนการจัดจ้างที่ปรึกษาเพื่อให้เกิดความรอบคอบใน ๓ ประเด็น คือ พิจารณาจำนวน Man - Month ให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับการดำเนินโครงการ พิจารณาอัตราค่าตอบแทนบุคลากรให้เป็นไปตามแนวทางการใช้อัตราค่าตอบแทนที่ปรึกษาของศูนย์ข้อมูลที่ปรึกษาไทย กระทรวงการคลัง และหลักเกณฑ์ของสำนักงบประมาณ และให้ รฟม. ดำเนินการจัดจ้างที่ปรึกษาให้เป็นไปอย่างประหยัดและถูกต้องตามกฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับที่เกี่ยวข้องของทางราชการเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ทางราชการต่อไป ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟม. รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรดำเนินการจัดทำแผนการใช้จ่ายเงินกู้ให้สอดคล้องกับแผนการปฏิบัติงานเพื่อให้การเสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี เพื่อชำระหนี้ต้นเงินกู้และดอกเบี้ยในอนาคตเป็นไปอย่างถูกต้องและเหมาะสม นอกจากนี้ เห็นควรเร่งจัดทำแผนพัฒนาเชิงพาณิชย์ในสถานีรถไฟฟ้าและตัวรถไฟฟ้าของโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินดังกล่าว โดยการจัดทำแผนควรมีความชัดเจนในเรื่องการใช้ประโยชน์พื้นที่ รูปแบบการพัฒนาธุรกิจและกลยุทธ์ทางการตลาด รวมทั้งประมาณการรายรับและรายจ่ายจากการดำเนินการตามแผนธุรกิจดังกล่าวเพื่อเพิ่มรายได้จากการพัฒนาเชิงพาณิชย์ของ รฟม. และลดภาระในการสนับสนุนทางการเงินของภาครัฐต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ในการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายต่าง ๆ เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปอย่างรวดเร็วและคล่องตัว กระทรวงคมนาคมควรประสานงานและหารือแนวทางหรือปัญหาอุปสรรคอันอาจจะเกิดขึ้นร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเป็นการล่วงหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการเตรียมการงบประมาณและแหล่งเงินรองรับโครงการ ทั้งนี้ ในการกำหนดรายละเอียดสายทางของโครงการรถไฟฟ้าสายต่าง ๆ ให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคำนึงถึงความเหมาะสมในการเชื่อมต่อกับสายทางของโครงการอื่นและเครือข่ายการขนส่งต่าง ๆ ทั้งที่มีอยู่แล้วในปัจจุบันและที่จะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูง เป็นต้น |
|||||||||||||||||||||
2838 | การดำเนินการโครงการเงินกู้เพื่อการศึกษาที่ผูกพันกับรายได้ในอนาคต | กค | 01/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามผลการประชุมหารือของรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง (นายนิรุตติ คุณวัฒน์) ในการดำเนินการโครงการเงินกู้เพื่อการศึกษาที่ผูกพันกับรายได้ในอนาคต เมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยที่ประชุมได้มีข้อยุติหลักการของโครงการเงินกู้เพื่อการศึกษาฯ ดังนี้ ๑.๑ ระยะเวลาดำเนินการ เริ่มตั้งแต่ภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ๑.๒ รูปแบบการดำเนินการ ๑.๒.๑ โครงการเงินกู้เพื่อการศึกษาฯ ครอบคลุมเฉพาะนักเรียน นักศึกษาในระดับอุดมศึกษาหรือเทียบเท่าเฉพาะหลักสูตร/สาขาวิชาที่เป็นความต้องการหลักและมีความชัดเจนของการผลิตกำลังคน โดยผู้เข้าร่วมโครงการฯ เป็นนักเรียน/นักศึกษารายใหม่ ที่มิใช่ผู้กู้ยืมรายเก่าของกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ยกเว้นกรณีผู้กู้ยืมรายเก่าของ กยศ. ที่เปลี่ยนระดับจาก ม.๖ หรือเทียบเท่า เป็นระดับอุดมศึกษาหรือเทียบเท่าในปีการศึกษา ๒๕๕๕ โดยผู้กู้ยืมที่เปลี่ยนระดับนี้ อาจเลือกที่จะกู้ยืม กยศ. หรือเข้าร่วมโครงการฯ ก็ได้ ๑.๒.๒ สำหรับในปีการศึกษา ๒๕๕๕ การกำหนดหลักสูตร/สาขาวิชาที่เป็นความต้องการหลักและมีความชัดเจนของการผลิตกำลังคนในเบื้องต้น ให้เป็นไปตามประกาศของคณะกรรมการกองทุนเพื่อการศึกษาตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารกองทุนเพื่อการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๙ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ไปพลางก่อน ทั้งนี้ ให้คณะกรรมการฯ พิจารณาปรับปรุงให้มีความทันสมัยมากยิ่งขึ้นก็ได้ โดยมีรายละเอียดของหลักสูตร/สาขาวิชาไม่ต่ำกว่าเดิม ๑.๒.๓ กรณีผู้เข้าร่วมโครงการฯ ที่มีฐานะยากจนมีสิทธิได้รับค่าครองชีพเพิ่มเติมจากค่าเล่าเรียนและค่าธรรมเนียมการศึกษาที่สถานศึกษาเรียกเก็บตามกฎหมาย โดยใช้อัตราเดียวกับของ กยศ. ๑.๒.๔ สำหรับรายละเอียดการดำเนินการโครงการฯ อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ให้ใช้แนวทางเช่นเดียวกับ กยศ. ยกเว้นกรณีหลักเกณฑ์การชำระคืนเงินกู้ของโครงการฯ ที่ควรต้องให้เหมาะสมสอดคล้องกับหลักการของโครงการเงินกู้เพื่อการศึกษาฯ ที่มุ่งเน้นในหลักสูตร/สาขาวิชาที่เป็นความต้องการหลักฯ ดังนั้น การชำระคืนเงินกู้จะยึดโยงกับความสามารถในการหารายได้ในอนาคตเป็นสำคัญก่อนเริ่มให้มีการชำระคืนเงินกู้ยืมของโครงการเงินกู้เพื่อการศึกษาฯ ๑.๒.๕ ให้คณะกรรมการกองทุนเพื่อการศึกษาตามระเบียบกระทรวงการคลังฯ พิจารณาจัดเตรียมรายละเอียดรูปแบบการดำเนินการและโครงการเงินกู้เพื่อการศึกษาฯ โดยให้ทันต่อการเปิดภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๕๕ เช่น คุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการเงินกู้เพื่อการศึกษาฯ การปรับปรุงรายละเอียดสาขา/วุฒิขาดแคลนเดิมจากที่ใช้ในปีการศึกษา ๒๕๕๑ ให้มีความเหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน กรอบวงเงินและการจัดสรร เอกสารหลักฐานต่าง ๆ การประชาสัมพันธ์เสริมสร้างความเข้าใจ และการบริหารงานด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น ๑.๒.๖ เพื่อให้การดำเนินการให้กู้ยืมเพื่อการศึกษามีการบูรณาการครอบคลุมการดำเนินงานของโครงการเงินกู้เพื่อการศึกษาฯ และ กยศ. ในระยะต่อไป เห็นควรให้คณะกรรมการ กยศ. และคณะกรรมการกองทุนเพื่อการศึกษาเร่งจัดทำร่างกฎหมายรองรับการดำเนินการโครงการฯ ในระยะยาว โดยให้ควบรวมกฎหมาย กยศ. เป็นส่วนหนึ่ง และให้มีผลบังคับใช้ภายในปีการศึกษา ๒๕๕๖ ต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงศึกษาธิการรับไปพิจารณาหาแนวทางการปล่อยสินเชื่อและการกำกับดูแลการชำระเงินคืน โดยอาจเปิดโอกาสให้ธนาคารของรัฐ เช่น ธนาคารออมสิน ฯลฯ เข้ามามีส่วนร่วมในโครงการนี้ให้มากขึ้น ทั้งนี้ ให้คำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับนิสิตหรือนักศึกษาผู้เข้าร่วมโครงการนี้ด้วย |
|||||||||||||||||||||
2839 | การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ สปป.ลาว สำหรับโครงการก่อสร้างถนนจากภูดู่ (อำเภอบ้านโคก จังหวัดอุตรดิตถ์) ถึงเมืองปากลาย แขวงไซยะบุรี สปป.ลาว | กค | 01/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ.) ดำเนินการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายดำเนินโครงการก่อสร้างถนนจากภูดู่ (อำเภอบ้านโคก จังหวัดอุตรดิตถ์) ถึงเมืองปากลาย แขวงไซยะบุรี สปป.ลาว วงเงินรวม ๗๑๘ ล้านบาท โดยมีวิธีดำเนินโครงการและเงื่อนไขการให้ความช่วยเหลือทางการเงินที่มีสัดส่วนของเงินกู้และเงินให้เปล่าร่วมกัน แบ่งเป็นเงินให้เปล่าร้อยละ ๒๐ (คิดเป็นเงินไม่เกิน ๑๔๓.๖๐ ล้านบาท) และเงินกู้เงื่อนไขผ่อนปรนร้อยละ ๘๐ (คิดเป็นเงินไม่เกิน ๕๗๔.๔๐ ล้านบาท) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศที่เห็นควรหารืออย่างใกล้ชิดกับกรมแผนที่ทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย และกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อป้องกันมิให้การก่อสร้างถนนดังกล่าวก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสันปันน้ำเพิ่มเติม หรือกระทบเส้นเขตแดนที่เสนอ (proposed boundary line) บริเวณช่องทางภูดู่ ระหว่างหลักเขตที่ ๕ - ๑๖/๑ และ ๕ - ๑๖/๒ ซึ่งทั้งฝ่ายไทยและฝ่ายลาวมีความเห็นพ้องกันเป็นเอกภาพและที่ประชุมคณะกรรมการเขตแดนร่วมไทย - ลาว ครั้งที่ ๘ ได้รับรองแล้ว แต่ยังไม่มีผลใช้บังคับทางกฎหมาย ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
2840 | การแก้ไขข้อตกลงว่าด้วยกองทุนการเงินระหว่างประเทศในส่วนที่เกี่ยวข้องกับคณะกรรมการบริหารกองทุนการเงินระหว่างประเทศ | กค | 01/05/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบในการรับร่างแก้ไขข้อตกลงว่าด้วยกองทุนการเงินระหว่างประเทศในส่วนที่เกี่ยวข้องกับคณะกรรมการบริหารกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ซึ่งได้มีการปรับเปลี่ยนการบริหารกิจการภายในให้เกิดการปฏิบัติที่เท่าเทียมระหว่างกลุ่มประเทศสมาชิก โดยเฉพาะกลุ่มที่มีตัวแทนของประเทศตนเพียงประเทศเดียวกับกลุ่มที่สมาชิกต้องหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันเป็นผู้แทนของกลุ่มในคณะกรรมการบริหารกองทุนการเงินระหว่างประเทศ โดยให้คณะกรรมการบริหารกองทุนการเงินระหว่างประเทศมาจากการเลือกตั้งทั้งหมด จากเดิมที่ให้มาจากการแต่งตั้ง ๕ ตำแหน่งสำหรับประเทศที่มีสิทธิออกเสียงสูงสุด และมาจากการเลือกตั้งสำหรับตำแหน่งที่เหลืออีก ๑๕ ตำแหน่ง รวมทั้งแก้ไขข้อกำหนดเดิมที่อ้างถึงกรรมการบริหารที่มาจากการแต่งตั้งให้สอดคล้องกัน ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือแจ้งการยอมรับข้อตกลงฯ หรือ Declaration of Acceptance และส่งให้ธนาคารแห่งประเทศไทยดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปตามที่เคยได้ปฏิบัติมาแล้ว |
.....