ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 145 จากทั้งหมด 483 หน้า แสดงรายการที่ 2881 - 2900 จากข้อมูลทั้งหมด 9647 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2881 | ความตกลงของผู้ถือหุ้นที่เกี่ยวข้องกับกองทุนเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในภูมิภาคอาเซียน | กค | 22/02/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบความตกลงของผู้ถือหุ้นที่เกี่ยวข้องกับกองทุนเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในภูมิภาคอาเซียน (Shareholders Agreement Relating to the ASEAN Infrastructure Fund) และเอกสารการเข้าร่วม (Form of Instrument of Accession) ที่แนบท้ายความตกลงฯ ซึ่งคาดว่าจะมีการลงนามในเอกสารดังกล่าวในช่วงการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียน [ASEAN Finance Ministers’ Meeting (AFMM)] ครั้งที่ ๑๖ ในวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๕ ณ กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา และคาดว่าจะมีการประชุมผู้ถือหุ้นครั้งแรก (Inaugural AIF meeting) ในช่วงการประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการธนาคารพัฒนาเอเชีย ครั้งที่ ๑๕ ในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๕ ณ กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ โดยในส่วนของประเทศไทยจะร่วมซื้อหุ้นในกองทุนเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในภูมิภาคอาเซียน [ASEAN Infrastructure Fund (AIF)] จำนวน ๑๕ ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ ๔๕๐ ล้านบาท) แบ่งเป็น ๓ งวด งวดละ ๕ ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ ๑๕๐ ล้านบาท) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยไม่ต้องนำความตกลงดังกล่าวเสนอรัฐสภาให้ความเห็นชอบ เนื่องจากเงินที่ประเทศไทยจะนำไปลงในกองทุน AIF เป็นเงินเพียง ๑๕ ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเงินที่จะนำไปลงในกองทุน AIF งวดแรก จำนวน ๕ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นเงินงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ที่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาแล้ว ดังนั้น ความตกลงฯ จึงไม่เข้าลักษณะเป็นหนังสือที่ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา ตามมาตรา ๑๙๐ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๒. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้แทนเข้าร่วมการลงนามในเอกสารการเข้าร่วมดังกล่าวและสามารถผูกพันวงเงินลงทุนในกองทุน AIF ในส่วนของประเทศไทย เป็นเงินจำนวน ๑๕ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขถ้อยคำที่มิใช่สาระสำคญในความตกลงฯ ให้ผู้ลงนามสามารถใช้ดุลพินิจในเรื่องนั้น ๆ ได้ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในเอกสารการเข้าร่วมที่แนบท้ายความตกลงฯ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2882 | การเพิ่มความคล่องตัวในการปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2549 สำหรับหน่วยงานที่ได้รับงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 ในงาน/โครงการ ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากเหตุอุทกภัยที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต | กค | 22/02/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลัง โดยคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ (กวพ.อ.) เสนอขอยกเว้นการปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๔๙ สำหรับหน่วยงานที่ได้รับงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ในงาน/โครงการ ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากเหตุอุทกภัยที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต โดยมีขั้นตอน ดังนี้
๑. การแต่งตั้งคณะกรรมการร่างขอบเขตของงาน (Terms of Reference : TOR) และร่างเอกสารประกวดราคา การนำสาระสำคัญของร่าง TOR และเอกสารประกวดราคาซื้อหรือเอกสารประกวดราคาจ้างด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ประกาศทางเว็บไซต์ของหน่วยงานและของกรมบัญชีกลางเพื่อให้สาธารณชนเสนอแนะ วิจารณ์ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๔๙ ข้อ ๘ (๑) ทั้งนี้ หน่วยงานต้องจัดทำ TOR และเอกสารประกวดราคาซื้อหรือเอกสารประกวดราคาจ้างด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ด้วยความเปิดเผย โปร่งใสและเปิดโอกาสให้มีการแข่งขันอย่างเป็นธรรมตามเจตนารมณ์ของระเบียบฯ และยังคงปฏิบัติตามระเบียบฯ ข้อ ๘ (๓) โดยต้องนำสาระสำคัญของเอกสารประกาศเชิญชวน เอกสารประกวดราคาซื้อหรือเอกสารประกวดราคาจ้างด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์และเอกสารเบื้องต้นอื่น ๆ ที่สามารถเผยแพร่ได้ ลงประกาศทางเว็บไซต์ของหน่วยงานของกรมบัญชีกลางเช่นเดิม ๒. กรณีการอุทธรณ์ผลการพิจารณาคัดเลือกเบื้องต้น ตามระเบียบฯ ข้อ ๙ (๓) และอุทธรณ์ผลการพิจารณาการเสนอราคา ตามระเบียบฯ ข้อ ๑๐ (๕) ในระหว่างการพิจารณาอุทธรณ์ให้หน่วยงานที่จัดหาพัสดุดำเนินการขั้นตอนต่อไปได้ ทั้งนี้ ให้กระทำได้เฉพาะกรณีที่มีเหตุผลความจำเป็นเท่านั้น โดยให้คำนึงถึงการแข่งขันอย่างเป็นธรรมและประโยชน์ของทางราชการเป็นสำคัญ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2883 | ร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ลดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) | กค | 22/02/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ลดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ขยายระยะเวลาการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลที่มีปริมาณกำมะถันไม่เกินร้อยละ ๐.๐๓๕ โดยน้ำหนัก ในอัตราภาษี ๐.๐๐๕ บาทต่อลิตร และน้ำมันดีเซลที่มีไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันผสมอยู่ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๔ ในอัตราภาษี ๐.๐๐๕ บาทต่อลิตร ออกไปอีก ๑ เดือน คือ ตั้งแต่วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2884 | รายงานผลเกี่ยวกับการยกเว้นการปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2549 สำหรับหน่วยงานที่ได้รับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 ในงาน/โครงการ ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากเหตุอุทกภัยที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต | กค | 22/02/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลเกี่ยวกับการยกเว้นการปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๔๙ สำหรับหน่วยงานที่ได้รับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ในงาน/โครงการ ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากเหตุอุทกภัยที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต โดยคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์พิจารณาเห็นว่า เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมให้ทันกับสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้น หน่วยงานที่ได้รับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ในงาน/โครงการ ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากเหตุอุทกภัยที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ควรจะจัดหาพัสดุให้แล้วเสร็จภายในเดือนเมษายน ๒๕๕๕ โดยให้หน่วยงานที่จัดหาพัสดุพิจารณาว่าแม้จะได้รับงบประมาณและดำเนินการจัดหาพัสดุตามนัยหนังสือคณะกรรมการว่าด้วยพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ด่วนที่สุด ที่ กค (กวพอ.) ๐๔๒๑.๓/ว ๓๔ ลงวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ซึ่งลดระยะเวลาในการจัดหาพัสดุ จากประมาณ ๘๕ วัน เหลือประมาณ ๒๘ วัน แล้วก็ตาม หน่วยงานยังไม่สามารถดำเนินการจัดหาจนได้พัสดุหรือสิ่งก่อสร้างพร้อมใช้งานเพื่อใช้ในการป้องกันอุทกภัยภายในเดือนเมษายน ๒๕๕๕ ได้ และหากความต้องการใช้พัสดุดังกล่าวเป็นเรื่องที่มีความจำเป็นเร่งด่วน ล่าช้าอาจจะเสียหายแก่ราชการ หน่วยงานก็ชอบที่จะดำเนินการจัดหาโดยวิธีพิเศษ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม หรือระเบียบข้อบังคับว่าด้วยการพัสดุของหน่วยงานนั้น ทั้งนี้ ให้หัวหน้าส่วนราชการหรือหน่วยงานที่ได้รับจัดสรรงบประมาณดังกล่าว ควบคุม กำกับดูแล ในการพิจารณาคัดเลือกผู้ขายหรือผู้รับจ้างที่มีศักยภาพ และมีความพร้อมที่จะดำเนินงาน/โครงการต่าง ๆ ให้แล้วเสร็จตามวัตถุประสงค์และระยะเวลาที่กำหนดไว้ได้ ๒. เห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณาในส่วนของการจัดหาพัสดุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยให้ถือปฏิบัติตามแนวทางเดียวกับส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน และหน่วยงานอื่นของรัฐที่อยู่ในสังกัดการบังคับบัญชาหรือการกำกับดูแลของฝ่ายบริหาร
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2885 | การบริหารโครงการภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 และ โครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน | กค | 07/02/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการจัดสรรเงินสำรองจ่ายให้แก่โครงการส่งเสริมเพิ่มศักยภาพการบริการสาธารณะขั้นพื้นฐานให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย จำนวน ๑๒ รายการ วงเงิน ๑,๑๕๕,๘๕๒ บาท และอนุมัติการก่อหนี้ผูกพันก่อนได้รับการจัดสรรเงินสำหรับโครงการผลิตและพัฒนาศักยภาพแพทย์และบุคลากรทางด้านสาธารณสุข ของสถาบันบรมราชชนก กระทรวงสาธารณสุข วงเงิน ๖๖,๗๙๐,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ในส่วนของโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ของกระทรวงสาธารณสุข จำนวน ๔ โครงการ วงเงิน ๓,๔๒๖.๓๕ ล้านบาท (โครงการพัฒนาระบบบริการระดับตติยภูมิ โครงการพัฒนาบริการตติยภูมิศูนย์โรคหัวใจ ศูนย์โรคมะเร็งและเครือข่ายการบาดเจ็บแห่งชาติ โครงการพัฒนาระบบบริการระดับทุติยภูมิ และโครงการพัฒนาโรงพยาบาลชุมชน) และโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) ของกระทรวงคมนาคม จำนวน ๓ โครงการ วงเงิน ๑,๘๒๑.๘๘ ล้านบาท (โครงการดำเนินงานบริหารจัดการระบบตั๋วรวม โครงการจัดทำระบบศูนย์บริหารจัดการรายได้กลาง และงานติดตั้งรั้วสองข้างทางตามแนวเขตทางรถไฟ) โดยให้กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงคมนาคมรับไปพิจารณาทบทวนความจำเป็นเหมาะสมอีกครั้งหนึ่ง แล้วแจ้งยืนยันไปยังกระทรวงการคลังเพื่อพิจารณาดำเนินการ และนำเสนอคณะรัฐมนตรีตามขั้นตอนต่อไป โดยให้กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงคมนาคมให้ความสำคัญกับการดำเนินโครงการที่ตอบสนองต่อการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยก่อนเป็นลำดับแรก ๓. ให้กระทรวงการคลังจัดทำข้อมูลภาพรวมเกี่ยวกับการดำเนินโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ โดยให้มีรายละเอียดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจน ครบถ้วน เช่น เหตุผลความจำเป็น ขั้นตอนการขออนุมัติโครงการ และผลการดำเนินการ เป็นต้น และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๔. ให้กระทรวงการคลังพิจารณาทบทวนระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ พ.ศ. ๒๕๕๒ และระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ร่วมกับสำนักงบประมาณและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจน เหมาะสม เพื่อให้การใช้เงินกู้ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็งฯ มีความชัดเจน เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการกู้เงิน แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๕. ให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินโครงการต่าง ๆ และเร่งรัดการเบิกจ่ายให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน ๒๕๕๕ โดยให้คณะกรรมการกลั่นกรองและบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ เร่งรัดติดตามการดำเนินการด้วย ทั้งนี้ หากโครงการไม่แล้วเสร็จและเบิกจ่ายไม่ทันภายในกำหนดก็ควรให้มีการขยายเวลา โดยให้กระทรวงการคลังประสานงานกับสำนักงบประมาณเพื่อรวบรวมข้อมูลและนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2886 | การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ | กค | 07/02/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. ร่างหลักเกณฑ์การดำรงตำแหน่งและการพ้นจากตำแหน่งของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ ๒. การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ (จำนวน ๕ คน) ตามพระราชกำหนดกองทุนสงเสริมการประกันภัยพิบัติ พ.ศ. ๒๕๕๕ ดังนี้ ๒.๑ นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานกรรมการ ๒.๒ นายชูเกียรติ ทรัพย์ไพศาล กรรมการ ๒.๓ นายเสรี จินตนเสรี กรรมการ ๒.๔ นายจักรกฤศฎิ์ พาราพันธกุล กรรมการ ๒.๕ นายอิสระ ว่องกุศลกิจ กรรมการ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2887 | ขอขยายระยะเวลาแสดงเจตจำนงเข้าโครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้คงค้างต่ำกว่า 500,000 บาท | กค | 07/02/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๑.๑ ขยายระยะเวลาแสดงความจำนงเข้าร่วมโครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้ที่มีหนี้คงค้างต่ำกว่า ๕๐๐,๐๐๐ บาท ให้แก่ลูกค้าบุคคลธรรมดาของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และลูกค้าสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ๕ แห่ง ได้แก่ ธนาคารออมสิน ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย และบรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย จากเดิมสิ้นสุดวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ เป็นสิ้นสุดวันที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๕๕ รวมเป็นระยะเวลาแสดงความจำนงทั้งสิ้น ๕ เดือน เพื่อให้ลูกค้ามีระยะเวลาเพียงพอในการเตรียมหลักฐานและเอกสารเข้าร่วมโครงการฯ ๑.๒ ผ่อนปรนเกณฑ์การแสดงหลักฐานยื่นชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๔ โดยให้ผู้ที่สนใจเข้าโครงการฯ ต้องเป็นผู้ที่มีหลักฐานการยื่นเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภายในวันที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๕๕ ซึ่งหมายความว่าลูกค้าสามารถใช้หลักฐาน ภ.ง.ด. ๙๑ และ ภ.ง.ด. ๙๐ สำหรับการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปี พ.ศ. ๒๕๕๔ เป็นหลักฐานการขอเข้าโครงการฯ ได้เพิ่มเติม ๒. ให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานและสถาบันการเงินของรัฐที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาทบทวนและกำหนดแนวทางการดำเนินการโครงการต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการพักหนี้ของเกษตรกรและผู้มีรายได้น้อยให้สอดคล้องกับคำแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีในเรื่องดังกล่าวด้วย ๓. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังประสานงานกับรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) และผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการประชาสัมพันธ์ เผยแพร่ผลการดำเนินงานตามนโยบายต่าง ๆ ของคณะรัฐมนตรีที่ได้ดำเนินการไปแล้วให้ประชาชนและผู้สนใจได้ทราบอย่างถูกต้อง ชัดเจน และทั่วถึงด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2888 | มอบหมายให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง | กค | 31/01/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอการมอบหมายให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ตามลำดับ ดังนี้
๑. นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย ๒. นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2889 | รายงานผลการดำเนินงานของระบบประกันภัยและพัฒนาการที่สำคัญ รอบ 6 เดือน ปี 2554 | กค | 24/01/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย
(สำนักงาน คปภ.) รายงานผลการดำเนินงานของระบบประกันภัยและพัฒนาการที่สำคัญ รอบ ๖ เดือน (ครึ่งปีแรก) ปี ๒๕๕๔ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑. แนวโน้มของธุรกิจประกันภัย ครึ่งปีแรกของปี ๒๕๕๔ ธุรกิจประกันภัยไทยขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ ๑๓.๔๕ โดยมีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงรวมทั้งสิ้น ๒๒๓,๕๖๙ ล้านบาท เป็นการขยายตัวของธุรกิจประกันชีวิตร้อยละ ๑๒.๕๘ มีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรง ๑๕๔,๗๑๘ ล้านบาท และธุรกิจประกันวินาศภัยขยายตัวร้อยละ ๑๕.๔๔ มีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรง จำนวน ๖๘,๘๕๑ ล้านบาท ๒. การดำเนินการตามกรอบแผนพัฒนาประกันภัย ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๕๓ - ๒๕๕๗) เป็นกรอบแนวทางหลักในการกำหนดทิศทางการพัฒนาระบบประกันภัยภาพรวมผ่านมาตรการหลัก ๔ มาตรการ ได้แก่ ๒.๑ มาตรการเสริมสร้างความเชื่อมั่นและเข้าถึงระบบประกันภัยโดยให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการประกับภัยสู่ประชาชนทุกระดับในทุกภูมิภาคของประเทศเพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่นและการเข้าถึงระบบประกันภัยของประชาชนทุกระดับ เช่น การส่งเสริมภาพลักษณ์องค์กร การปรับปรุงประสิทธิภาพการให้บริการแบบเบ็ดเสร็จ (One-stop Service) เป็นต้น ๒.๒ มาตรการเสริมสร้างเสถียรภาพของระบบประกันภัย เช่น มีการพัฒนาระบบการกำกับเงินกองทุนตามระดับความเสี่ยง (Risk-Based Capital:RBC) การเพิ่มประสิทธิภาพการให้ความเห็นชอบกรมธรรม์ประกันภัยและอัตราเบี้ยประกันภัย การปรับปรุงตารางมรณะ เป็นต้น ๒.๓ มาตรการพัฒนากฎหมายและระบบการคุ้มครองสิทธิประโยชน์แบบครบวงจร เช่น มีการดำเนินงานด้านคุ้มครองสิทธิประโยชน์ การกำหนดกรอบมาตรฐานการจ่ายค่าสินไหมทดแทน การจัดทำมาตรฐานระบบสินไหมทดแทนอัตโนมัติ (E-claim) เป็นต้น ๒.๔ มาตรการส่งเสริมโครงสร้างพื้นฐานด้านการประกันภัย เช่น มีการพัฒนาระบบทรัพยากรบุคคล เพื่อมุ่งเน้นการพัฒนาสมรรถนะ และเพิ่มศักยภาพการทำงานของพนักงานอย่างต่อเนื่อง การพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ การบริหารงานเชิงกลยุทธ์ การพัฒนาการบริหารจัดการภายในองค์กร เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2890 | รายงานผลการดำเนินงานของระบบประกันภัยและพัฒนาการที่สำคัญ ปี 2553 | กค | 24/01/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานของระบบประกันภัยและพัฒนาการที่สำคัญ ปี ๒๕๕๓ ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. แนวโน้มของธุรกิจประกันภัย ปี ๒๕๕๓ มีอัตราการเจริญเติบโตร้อยละ ๑๔.๒๔ มีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงจำนวน ๔๒๑,๐๔๒ ล้านบาท สำหรับธุรกิจประกันชีวิต มีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรง จำนวน ๒๙๖,๑๐๖ ล้านบาท มีอัตราการขยายตัวร้อยละ ๑๔.๕๓ และธุรกิจประกันวินาศภัย มีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรง จำนวน ๑๒๔,๙๓๖ ล้านบาท มีอัตราการขยายตัวร้อยละ ๑๓.๕๔ ๒. การดำเนินงานด้านการกำกับ สำนักงาน คปภ. ดำเนินการด้านการกำกับเงินกองทุนระดับความเสี่ยง (Risk-Based Capital) โดยการจัดทำแบบรายงาน (Template) คู่มือ (Instruction) สำหรับขั้นตอนการทำการทดสอบคู่ขนาน (Parallel Test Run) และทำการทดสอบคู่ขนานครั้งที่ ๑ โดยผลการวิเคราะห์ภาพรวมของทั้งอุตสาหกรรม คือ ธุรกิจประกันชีวิต มีความเสี่ยงหลักคือ ความเสี่ยงด้านตลาดจากอัตราดอกเบี้ยอันเกิดจากความไม่สัมพันธ์กันระหว่างสินทรัพย์และหนี้สินเมื่ออัตราดอกเบี้ยเปลี่ยนแปลง และธุรกิจประกันวินาศภัย มีความเสี่ยงหลักคือ ความเสี่ยงด้านการประกันภัย นอกจากนี้ สำนักงาน คปภ. ได้ดำเนินการด้านการกำกับการลงทุน โดยได้ปรังปรุงแก้ไขหลักเกณฑ์การลงทุนในตราสารหนี้อื่นที่ออกโดยกระทรวงการคลังหรือธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อให้รองรับแนวนโยบาย การออกเครื่องมือในการระดมทุนของภาครัฐ ให้สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๓. การดำเนินงานด้านนโยบายประกันภัยระหว่างประเทศ การลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างสำนักงาน คปภ. กับหน่วยงานกำกับดูแลธุรกิจประกันภัยประเทศเยอรมนี ความร่วมมือระหว่างสำนักงาน คปภ. กับหน่วยงานกำกับดูแลธุรกิจประกันภัยนานาชาติ และความร่วมมือระหว่างสำนักงาน คปภ. กับหน่วยงานกำกับดูแลธุรกิจประกันภัยของประเทศต่าง ๆ ๔. การดำเนินงานด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยช่องทางการจำหน่าย เช่นการดำเนินงานด้านการพัฒนากรมธรรม์ประกันภัยสำหรับรายย่อย (ไมโคร อินชัวรันส์ ) และช่องทางการจำหน่ายเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการ และการเข้าถึงประชาชนในทุกกลุ่ม การจัดทำคู่มือ “รู้จักใช้เข้าใจสิทธิ (ประกันวินาศภัย/ชีวิตใกล้ตัวคุณ)” การจัดทำคำอธิบายประกอบใบคำขอเอาประกันชีวิต ฉบับมาตรฐาน การกำหนดกรอบการกำกับดูแลกรมธรรม์ประกันชีวิตแบบมีส่วนร่วมในเงินปันผล การพัฒนาหลักเกณฑ์ วิธีการการกำกับกรมธรรม์และอัตราเบี้ยประกันภัยแบบอัตโนมัติ (File and Use) ๕. การดำเนินการด้านการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ โดยตั้งศูนย์บริการด้านการประกันภัย ทางด่วนข้อพิพาทประกันภัย และนำระบบไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์มาใช้ในการบริหารจัดการเรื่องร้องเรียน ๖. การบูรณาการด้านส่งเสริมการประกันภัยร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ได้แก่การสร้างเครือข่ายความรู้ประกันภัยผ่านหน่วยงานภาครัฐและเอกชน โดยการจัดทำบันทึกความร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ การจัดกิจกรรมด้านการประกันภัยเพื่อเสริมสร้างความรู้ด้านการประกันภัยให้กับประชาชนทั่วไป “ประกันภัยสัญจร”
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2891 | แต่งตั้งข้าราชการการเมือง (จำนวน 6 คน) | กค | 24/01/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง จำนวน ๖ คน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๔ มกราคม ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. นายสุรพร ดนัยตั้งตระกูล ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ๒. นายภิญโญ ตั๊นวิเศษ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์) ๓. นายศักดา บูรณ์พงศ์ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย) ๔. นายจิรวุฒิ สิงห์โตทอง ดำรงตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ๕. นายธนาธร โล่ห์สุนทร ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์) ๖. นายเอกพจน์ วงศ์อารยะ ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2892 | รายงานการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ 4 ปีงบประมาณ 2554 | กค | 10/01/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ ๔ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ (กรกฎาคม - กันยายน ๒๕๕๔) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สินค้าฟุ่มเฟือยทั้ง ๑๗ กลุ่มสินค้า มีมูลค่านำเข้ารวม ๖๗๒.๙๑๒ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ (กรกฎาคม - กันยายน ๒๕๕๓) รวม ๑๘๖.๑๙๕ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ ๓๘.๒๖ ๒. มูลค่าการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยทั้ง ๑๗ กลุ่มสินค้า เปรียบเทียบกับมูลค่านำเข้ารวมของสินค้าทุกชนิดในไตรมาสที่ ๔ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ (๖๒,๗๗๓.๑๖๔ ล้านดอลลาร์สหรัฐ) มูลค่านำเข้ามีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ ๑.๐๗ ของมูลค่านำเข้ารวม ๓. มูลค่านำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยในช่วงไตรมาสที่ ๔ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ มีมูลค่านำเข้าเพิ่มขึ้น ๑๕ กลุ่มสินค้า ตั้งแต่ร้อยละ ๑๐.๗๓ ถึง ๑๒๙.๑๓ ๔. สินค้าฟุ่มเฟือยที่มีมูลค่านำเข้าสูงสุด ๓ อันดับแรก ได้แก่ น้ำหอมและเครื่องสำอาง มูลค่านำเข้า ๑๐๔.๒๘๗ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น ๒๑.๕๓๔ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ ๒๖.๐๒ นาฬิกาและอุปกรณ์ มูลค่านำเข้า ๙๘.๐๓๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น ๔๒.๒๕๑ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ ๘๕.๗๔ และผลไม้ มูลค่านำเข้า ๘๕.๘๙๖ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น ๘.๓๒๓ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ ๑๐.๗๓ ๕. สินค้าฟุ่มเฟือยในไตรมาสที่ ๔ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ มีอัตราการนำเข้าเพิ่มขึ้น ๑๕ กลุ่มสินค้า เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ และ ๕ อันดับแรกที่มีอัตราการนำเข้าเพิ่มขึ้น ได้แก่ เครื่องแก้วชนิดใช้บนโต๊ะอาหารหรือใช้ตกแต่งภายในที่ทำด้วยคริสตัล เลนซ์ นาฬิกาและอุปกรณ์ ดอกไม้ และแว่นตา มีอัตราการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๒๙.๑๓, ๙๙.๐๖, ๘๕.๗๔, ๗๙.๖๓ และ ๖๐.๔๒ ตามลำดับ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2893 | รายงานผลการกู้เงิน Short term facility สำหรับรัฐวิสาหกิจ วงเงินไม่เกิน 200,000 ล้านบาท | กค | 10/01/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานว่า ในช่วงไตรมาสที่ ๓ และไตรมาสที่ ๔ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ (๑ เมษายน - ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔) กระทรวงการคลังมิได้ดำเนินการจัดสรรเงินกู้ Short term facility ให้แก่รัฐวิสาหกิจ ดังนั้น กระทรวงการคลังจึงมีวงเงินกู้คงเหลือสำหรับวงเงิน Short term facility เท่ากับ ๒๐๐,๐๐๐ ล้านบาท
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2894 | รายงานความคืบหน้าการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง มติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 3 เรื่อง มาตรการทำให้สังคมไทยไร้แร่ใยหิน | กค | 10/01/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานความคืบหน้าการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง มติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ ๓ เรื่อง มาตรการทำให้สังคมไทยไร้แร่ใยหิน ซึ่งมีประเด็นความเห็นและผลการดำเนินการ ดังนี้
๑. การเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าแร่ใยหิน ในทางปฏิบัติมาตรการภาษีจะไม่สามารถสกัดกั้นการนำเข้าแร่ใยหินได้ แต่ควรใช้มาตรการที่ไม่ใช่ภาษีจะเกิดผลในทางปฏิบัติมากกว่า เพราะว่าแร่ใยหินตามพิกัดอัตราศุลกากรประเภท ๒๕.๒๔ (asbestos) ได้รับการยกเว้นอากรตามมาตรา ๑๒ แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. ๒๕๓๐ และยกเว้นอากรตามความตกลงเขตการค้าเสรีในกรอบต่าง ๆ แล้ว ทั้งนี้ มติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติได้ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการห้ามนำเข้าผลิตภัณฑ์ที่มีแร่ใยหินเป็นส่วนประกอบ ซึ่งเป็นมาตรการที่ไม่ใช่ภาษีอยู่ด้วยแล้ว ในส่วนของอัตราภาษีการนำเข้าของสารที่นำมาทดแทนที่ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ส่วนใหญ่มีอัตราอากรร้อยละ ๐ - ๕ ซึ่งถือว่าเป็นอัตราที่ค่อนข้างต่ำอยู่แล้ว ๒. การส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา ได้ดำเนินมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา โดยให้หักเงินได้ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลเป็นจำนวนร้อยละ ๑๐๐ หรือหักค่าใช้จ่าย ๒ เท่าสำหรับรายจ่ายที่ได้จ่ายเป็นค่าจ้างการทำวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีให้แก่หน่วยงานของรัฐและเอกชน ตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ๒๙๗) พ.ศ. ๒๕๓๙ ๓. การตรวจสอบหาสาเหตุที่สินค้าที่ใช้วัตถุดิบอื่นเป็นส่วนประกอบแทนแร่ใยหินมีราคาสูงขึ้นเนื่องมาจากต้นทุนหรือการเพิ่มอัตราภาษี จากการตรวจสอบสินค้าที่เป็นวัตถุดิบที่ใช้ทดแทนแร่ใยหิน เช่น เส้นใยแก้วทอ เส้นใยเซรามิค เส้นใยยิปซั่ม เส้นใยคาร์บอน เส้นใยที่มีสภาพเป็นพลาสติก พบว่า ส่วนใหญ่วัตถุดิบดังกล่าวมีอัตราอากรร้อยละ ๐ - ๕ ซึ่งเป็นอัตราค่อนข้างต่ำ และยังมีเส้นใยที่ได้จากธรรมชาติซึ่งสามารถผลิตในประเทศได้ ดังนั้น อัตราภาษีขาเข้าจึงไม่น่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้สินค้าที่ใช้วัตถุดิบอื่นเป็นส่วนประกอบแทนแร่ใยหินมีราคาสูงขึ้น แต่สาเหตุที่ทำให้ต้นทุนสินค้าดังกล่าวมีราคาสูงขึ้นมีปัจจัยมาจากการวิจัยและพัฒนา ตลอดจนการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีทางการผลิตใหม่เป็นหลัก
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2895 | ขอขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทาง | กค | 10/01/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. ให้ขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางต่อไป ตั้งแต่วันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๕ ตามบัญชาของนายกรัฐมนตรี ตลอดจนการขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายตามมาตรการฯ ระยะที่ ๙ ตามหลักการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง ขอขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทาง) ดังนี้ ๑.๑ มาตรการลดค่าใช้จ่ายเดินทางรถโดยสารประจำทาง ดำเนินการผ่านองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) โดยรัฐรับภาระค่าใช้จ่ายการจัดรถโดยสารประจำทางธรรมดา จำนวน ๘๐๐ คันต่อวัน ใน ๗๓ เส้นทาง ให้บริการแก่ประชาชนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย โดยมีวงเงิน ๘๓๗.๐๐ ล้านบาท ๑.๒ มาตรการลดค่าใช้จ่ายเดินทางโดยรถไฟชั้น ๓ ดำเนินการผ่านการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) โดยรัฐรับภาระค่าใช้จ่ายในการจัดรถไฟชั้น ๓ เชิงสังคม จำนวน ๑๖๔ ขบวนต่อวัน และรถไฟชั้น ๓ ระยะทางไกล ในขบวนรถเชิงพาณิชย์ จำนวน ๘ ขบวนต่อวัน ให้บริการแก่ประชาชนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ในวงเงิน ๓๔๐.๐๐ ล้านบาท ทั้งนี้ ให้ ขสมก. และ รฟท. กู้เงินเพื่อชดเชยการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าว โดยให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ และให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ เพื่อชดเชยให้แก่ ขสมก. และ รฟท. สำหรับการดำเนินมาตรการดังกล่าวเป็นลำดับแรก โดยในกรณีของ ขสมก. ที่ได้กำหนดให้ได้รับชดเชยค่าใช้จ่ายการดำเนินมาตรการตามต้นทุนที่แท้จริงนั้น ขสมก. จะต้องจัดให้มีการตรวจสอบจากผู้ประเมินอิสระ เพื่อให้การชดเชยมีความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมศึกษาแนวทางการสนับสนุนมาตรการการลดค่าครองชีพด้านการเดินทางที่มีความเหมาะสม มีประสิทธิภาพ และเป็นประโยชน์ต่อประชาชนอย่างแท้จริง และนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาก่อนสิ้นสุดระยะเวลาตามมาตรการฯ ระยะที่ ๙ ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2896 | ความคืบหน้าการเตรียมการด้านการเงินเพื่อการลงทุนวางระบบบริหารจัการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ และเรื่อง ร่างพระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย พ.ศ. .... | กค | 04/01/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. เห็นชอบในหลักการร่างกฎหมาย รวม ๔ ฉบับ ดังนี้ ๑.๑ ร่างกฎหมายปรับปรุงการบริหารหนี้เงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้มีกฎหมายว่าด้วยการปรับปรุงการบริหารหนี้เงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ๑.๒ ร่างกฎหมายให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อลงทุนวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้มีกฎหมายว่าด้วยการให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อลงทุนวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ ๑.๓ ร่างกฎหมายกองทุนประกันภัย พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้มีกฎหมายว่าด้วยกองทุนประกันภัย ๑.๔ ร่างกฎหมายการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้มีกฎหมายว่าด้วยการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย ๒. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังนำหลักการของร่างกฎหมายทั้ง ๔ ฉบับดังกล่าว เสนอต่อคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศพิจารณา และกำหนดกรอบแผนงานและโครงการการลงทุน รวมทั้งกลไกในการบริหารจัดการกรอบเงินลงทุนดังกล่าวให้มีประสิทธิภาพและโปร่งใส แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ ให้ส่งร่างกฎหมายทั้ง ๔ ฉบับดังกล่าว ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาด้วย เนื่องจากร่างกฎหมายดังกล่าวมีความเชื่อมโยงและต้องดำเนินการให้สอดคล้องกัน จึงให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาแนวทางในการกำหนดรูปแบบของร่างกฎหมายดังกล่าวให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2897 | ร่างพระราชบัญญัติการส่งเสริมการควบรวมกิจการในตลาดทุน พ.ศ. .... | กค | 04/01/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการส่งเสริมการควบรวมกิจการในตลาดทุน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้มีกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการควบรวมกิจการในตลาดทุน โดยมีบทบัญญัติยกเว้นหรือผ่อนผันข้อจำกัดทางกฎหมายบางประการให้มีความสะดวกและคล่องตัว เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมการควบรวมกิจการในตลาดทุน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและกระทรวงพาณิชย์ ที่เห็นควรเพิ่มขอบเขตการบังคับใช้กฎหมายให้ครอบคลุมบริษัทที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่มีความประสงค์จะควบรวมกิจการโดยไม่จำกัดว่าต้องนำหุ้นของบริษัทที่เกิดจากการควบรวมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยหรือเสนอขายหลักทรัพย์นั้นต่อประชาชน เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมเป็นมาตรฐานเดียวกันและตรงตามวัตถุประสงค์ของแผนพัฒนาตลาดทุนไทย สำหรับกรณีบริษัทตั้งแต่สองบริษัทขึ้นไปควบรวมเข้ากันจนเป็นผลทำให้บริษัทที่ควบรวมเข้ากันนั้นหมดสภาพความเป็นนิติบุคคลและได้จัดตั้งบริษัทขึ้นใหม่ และหากบริษัทที่ควบรวมกิจการเข้ากันดังกล่าวเป็นนิติบุคคลจดทะเบียนในต่างประเทศ ยังขาดความชัดเจนและความเชื่อมโยงกันกับกฎหมายว่าด้วยห้างหุ้นส่วนบริษัทและกฎหมายว่าด้วยบริษัทมหาชนจำกัด เนื่องจากกฎหมายดังกล่าวไม่ได้กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการควบระหว่างนิติบุคคลไทยกับนิติบุคคลต่างประเทศ รวมทั้งร่างมาตรา ๑๒ ที่กำหนดให้นำความในวรรคสองและวรรคสามของมาตรา ๖๖/๑ แห่งกฎหมายว่าด้วยบริษัทมหาชนจำกัดมาใช้กับการควบรวมกิจการตามร่างพระราชบัญญัติฯ โดยอนุโลม ยังไม่ชัดเจนว่าให้นำมาใช้เพียงใด เนื่องจากมาตรา ๖๖/๑ วรรคสองและวรรคสามมีข้อกำหนดหลักเกณฑ์อื่นตามกฎกระทรวงให้บริษัทที่ซื้อหุ้นคืนต้องปฏิบัติด้วย เช่น การซื้อหุ้นคืน การจำหน่ายหุ้นที่ซื้อคืน และการตัดหุ้นที่ซื้อคืนของบริษัท ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นจากการควบรวมกิจการ เช่น การผูกขาดตลาดจากการควบคุมกิจการในลักษณะต่าง ๆ การทำธุรกรรมไขว้ของบริษัทโดยเฉพาะบริษัทในภาคการเงิน มาตรการการกำกับดูแลบริษัทที่เกิดจากการควบรวมแบบผสม (Supervisory for Cross issues) และภาระของรัฐที่อาจเกิดจากการให้ความช่วยเหลือกิจการขนาดใหญ่ที่ประสบภาวะล้มละลาย (Too big to fail) เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2898 | การลงนามร่างแก้ไขความตกลงอาเซียนด้านศุลกากร (Draft Text Amended ASEAN Agreement on Customs) | กค | 04/01/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นผู้ลงนามร่างแก้ไขความตกลงอาเซียนด้านศุลกากร (Draft Text Amended ASEAN Agreement on Customs) โดยร่างแก้ไขความตกลงฯ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการเสริมสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจ และความร่วมมือด้านศุลกากร รวมทั้งการอำนวยความสะดวกทางการค้าร่วมกันระหว่างศุลกากรของประเทศสมาชิกอาเซียน ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ในการลงนามร่างแก้ไขความตกลงฯ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2899 | ขออนุมัติใช้วิธีการอนุญาโตตุลาการในการระงับข้อพิพาทในหนังสือข้อตกลงรับความช่วยเหลือแบบให้เปล่าจากธนาคารโลก | กค | 04/01/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้ใช้วิธีการระงับข้อพิพาทด้วยวิธีอนุญาโตตุลาการที่กำหนดไว้ในหนังสือข้อตกลงรับความช่วยเหลือแบบให้เปล่าสำหรับโครงการ Chiang Mai Sustainable Urban Transport Project GEF MSP มีสาระสำคัญเป็นการรับความช่วยเหลือแบบให้เปล่าจากธนาคารโลก วงเงินไม่เกิน ๗๒๙,๖๓๐ ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อพัฒนาระบบขนส่งในนครเชียงใหม่อย่างยั่งยืน สนับสนุนการวางแผนการใช้ประโยชน์จากที่ดินและผังเมืองในนครเชียงใหม่ และเพื่อพัฒนาพื้นที่นำร่องสำหรับระบบขนส่งแบบไม่ใช้เครื่องยนต์ และโครงการ Strengthening Quality Assurance and Performance Excellence in Thai Higher Education เป็นการรับความช่วยเหลือแบบให้เปล่าจากธนาคารโลก วงเงินไม่เกิน ๒๐๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพการทำงานของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาในด้านการพัฒนาคุณภาพการศึกษาในระดับอุดมศึกษา เพื่อกระทรวงการคลัง โดยสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ จะได้ลงนามในหน้งสือข้อตกลงรับความช่วยเหลือฯ จากธนาคารโลกในนามรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานอัยการสูงสุดเห็นว่าร่างหนังสือข้อตกลงทั้งสองฉบับเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๙๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ ซึ่งจะต้องได้รับความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีก่อนลงนาม โดยระบุบุคคลที่จะลงนามฝ่ายไทย สำหรับการลงนามในส่วนของเทศบาลนครเชียงใหม่น่าจะต้องพิจารณาประกอบกับอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายของเทศบาลนคร หากการทำความตกลงกับต่างประเทศอยู่ในขอบเขตอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายของเทศบาลนคร เทศบาลนครเชียงใหม่ควรเสนอเรื่องให้กระทรวงมหาดไทยในฐานะผู้รักษาการตามพระราชบัญญัติเทศบาลนคร พ.ศ. ๒๔๙๖ และที่แก้ไขเพิ่มเติม พิจารณาให้ความเห็นชอบในการที่เทศบาลนครเชียงใหม่จะร่วมลงนามในหนังสือข้อตกลงฯ กับธนาคารโลก ด้วย นอกจากนี้ ให้กระทรวงการคลังเจรจากับธนาคารโลกเพื่อขอให้ใช้การระงับข้อพิพาทโดยวิธีอนุญาโตตุลาการตามข้อบังคับสำนักงานศาลยุติธรรมว่าด้วยอนุญาโตตุลาการของสถาบันระงับข้อพิพาท สำนักงานศาลยุติธรรม และให้ดำเนินกระบวนพิจารณาในประเทศไทย ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2900 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดท่าหรือที่ สนามบินศุลกากร ทางอนุมัติ ด่านพรมแดน และด่านศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 04/01/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดท่าหรือที่ สนามบินศุลกากร ทางอนุมัติ ด่านพรมแดน และด่านศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ถนนจากพรมแดนเมืองโพนทอง แขวงจำปาสัก สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวตรงหลักเขตแดนหมายเลข กม. ๘๗ - ๑๐๗ ทางหลวงหมายเลข ๒๑๗ ถึงด่านศุลกากรช่องเม็ก เป็นทางอนุมัติและตั้งด่านพรมแดนช่องเม็ก พร้อมทั้งตั้งด่านศุลกากรช่องเม็ก เป็นที่สำหรับการนำของเข้าหรือส่งของออกหรือสำหรับส่งของออกซึ่งของที่ขอคืนอากรขาเข้าหรือของที่มีทัณฑ์บนตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กรมศุลกากรประสานกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ รวมถึงหน่วยงานด้านความมั่นคงอื่น ๆ เพื่อแจ้งให้ประเทศเพื่อนบ้านทราบถึงการย้ายด่านศุลกากรจากด่านพิบูลมังสาหารไปด่านศุลกากรช่องเม็กแห่งใหม่ และร่วมกันอำนวยความสะดวกให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ดำเนินการผ่านช่องทางนี้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและต่อเนื่อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|