ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 150 จากทั้งหมด 483 หน้า แสดงรายการที่ 2981 - 3000 จากข้อมูลทั้งหมด 9647 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2981 | โครงการบ้าน ธอส. เพื่อที่อยู่อาศัยแห่งแรก | กค | 04/10/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการโครงการบ้าน ธอส. เพื่อที่อยู่อาศัยแห่งแรก และการขอชดเชยภาระค่าใช้จ่ายในการดำเนินการโครงการฯ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยสาระสำคัญของโครงการฯ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ วัตถุประสงค์ของการกู้ เพื่อซื้อที่ดินพร้อมอาคาร หรือห้องชุด และเพื่อปลูกสร้างอาคาร หรือเพื่อซื้อที่ดินพร้อมปลูกสร้างอาคาร ๑.๒ วงเงินให้กู้ ๑.๒.๑ ไม่เกินรายละ ๑ ล้านบาท ๑.๒.๒ ไม่เกินร้อยละ ๑๐๐ ของราคาประเมินที่ดินพร้อมอาคารหรืออาคารหรือห้องชุด และไม่เกินร้อยละ ๑๐๐ ของราคาซื้อขายหรือราคาก่อสร้าง ทั้งนี้ ไม่เกินเกณฑ์หลักประกันตามระเบียบปกติของ ธอส. ๑.๓ ระยะเวลาการกู้ ไม่เกิน ๓๐ ปี และอายุผู้กู้หลักที่ใช้สิทธิรวมกับจำนวนปีที่ขอกู้ต้องไม่เกิน ๖๕ ปี ๑.๔ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ๑.๔.๑ ปีที่ ๑ - ปีที่ ๓ เท่ากับร้อยละ ๐ ต่อปี ๑.๔.๒ ปีที่ ๔ - ปีที่ ๗ กรณีสวัสดิการเท่ากับ MRR - ๐.๕๐% ต่อปี กรณีรายย่อยเท่ากับ MRR ๑.๔.๓ ปีที่ ๘ เป็นต้นไป กรณีสวัสดิการเท่ากับ MRR - ๑.๐๐% ต่อปี กรณีรายย่อยเท่ากับ MRR - ๐.๕๐% ต่อปี ๑.๕ หลักประกัน ที่ดินพร้อมอาคารที่มีเอกสารสิทธิเป็นโฉนด หรือ น.ส. ๓ ก หรือหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ห้องชุด ๒. ให้กระทรวงการคลังปรับปรุงเงื่อนไขการให้กู้ให้ชัดเจน จาก “ไม่เกินรายละ ๑ ล้านบาท” เป็น ราคาที่ดินและสิ่งปลูกสร้างไม่เกิน ๑ ล้านบาท” และให้กระทรวงการคลัง (สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง) รับไปประสานงานกับธนาคารอาคารสงเคราะห์เพื่อพิจารณาลดอัตราดอกเบี้ยลงให้เหมาะสม และเป็นการลดภาระการชดเชยจากภาครัฐด้วย
|
|||||||||||||||||||||
2982 | รายงานการดำเนินการตามภารกิจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในการเร่งรัด กำกับ ติดตามการกู้วิกฤตจากภัยธรรมชาติ เพื่อช่วยเหลือประชาชนโดยเร่งด่วน | กค | 04/10/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการดำเนินการตามภารกิจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในการเร่งรัด กำกับ ติดตามการกู้วิกฤตจากภัยธรรมชาติ เพื่อช่วยเหลือประชาชนโดยเร่งด่วน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ประชุมหารือกับผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรีและส่วนราชการที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ และได้ประชุมทางไกล (Conference) ณ จังหวัดลพบุรี โดยรายงานสถานการณ์และสาเหตุสำคัญของอุทกภัยว่า เกิดจากปัญหาประตูระบายน้ำบางโฉมศรี จังหวัดสิงห์บุรี เสียหาย และได้เสนอแนะให้แก้ไขโดยเร่งด่วน รวมทั้งได้เสนอแนะให้อพยพราษฎรไปอาศัยในค่ายทหาร และจะพิจารณาให้เกิดความสะดวกในเรื่องการใช้เงินทดรองราชการตามระเบียบกระทรงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๖ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งกรมบัญชีกลางได้รับไปดำเนินการแล้ว นอกจากนี้ ได้ตรวจเยี่ยมราษฎรที่อำเภอท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี โดยมอบเงินช่วยเหลือราษฎรที่ประสบภัยครัวเรือนละ ๕,๐๐๐ บาท จำนวน ๓๖๖ ครัวเรือน เป็นเงิน ๑,๘๓๐,๐๐๐ บาท และได้สั่งการให้ส่วนราชการในสังกัดและรัฐวิสาหกิจในกำกับทั้งในส่วนกลางและในพื้นที่ และระดมเจ้าหน้าที่ในจังหวัดอื่น ๆ มาสนับสนุนการปฏิบัติงานเพื่อดำเนินการช่วยเหลือผู่ประสบภัยอย่างเร่งด่วน ต่อเนื่องและทั่วถึง ๒. กระทรวงการคลังได้ขยายวงเงินทดรองราชการและอนุมัติให้ปฏิบัตินอกเหนือระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๖ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และหลักเกณฑ์และวิธีดำเนินการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๕๑ ให้กับจังหวัด ๒๙ จังหวัด และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยและกองทัพบก รวมเงินที่อนุมัติให้ขยายเพิ่มเติมนอกเหนือจากที่จังหวัดมีอยู่เดิม เป็นจำนวนรวม ๓,๑๑๐ ล้านบาท นอกจากนี้ ได้อนุมัติให้ผู้ว่าราชการจังหวัดใช้ดุลยพินิจในการใช้จ่ายเงินทดรองราชการตามที่มีความจำเป็น โดยอนุมัติให้สามารถปฏิบัตินอกเหนือหลักเกณฑ์ฯ ได้ด้วย ๓. การจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินของธนาคารออมสิน (กรณีอุทกภัยและดินโคลนถล่ม) ครัวเรือนละ ๕,๐๐๐ บาท แทนกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ณ วันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๕๔ ซึ่งกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้จัดส่งข้อมูลรายชื่อผู้ประสบภัยให้ธนาคารออมสิน ตั้งแต่วันที่ ๑๔ - ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔ จำนวน ๑๔๙,๗๗๙ ครัวเรือน ผลการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัย มีจำนวนผู้มารับช่วยเหลือ รวม ๑๓๕,๕๓๘ ครัวเรือน รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๖๗๗,๖๙๐,๐๐๐ บาท
|
|||||||||||||||||||||
2983 | รายงานการสอบบัญชีและงบการเงินกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ ปี 2553 และข้อเสนอแนะจากการประชุมใหญ่ผู้แทนสมาชิก ปี 2554 | กค | 04/10/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการสอบบัญชีและงบการเงินของกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) ปี พ.ศ. ๒๕๕๓ แลข้อเสนอแนะจากการประชุมใหญ่ผู้แทนสมาชิก ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบงบดุล ณ วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๓ งบรายได้ค่าใช้จ่าย งบแสดงการเปลี่ยนแปลงสินทรัพย์สุทธิและงบกระแสเงินสดสำหรับปีสิ้นสุดวันเดียวกันของปี พ.ศ. ๒๕๕๓ โดยเห็นว่า งบการเงินดังกล่าวแสดงฐานะการเงิน ผลการดำเนินงาน การเปลี่ยนแปลงสินทรัพย์สุทธิและกระแสเงินสดของ กบข. โดยถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามหลักการบัญชีที่รับรองทั่วไป ๒. ที่ประชุมใหญ่ผู้แทนสมาชิกประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๕๔ ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร ค่าที่ปรึกษา การลงทุนต่างประเทศ การให้สมาชิกกู้เงิน การลงทุนในสหกรณ์เพื่อให้สมาชิกกู้ต่อ การลาออกจากการเป็นสมาชิก การขอรับเงินปันผลจากกองทุนระหว่างที่เป็นสมาชิก การแก้ไขสูตรการคำนวณบำนาญสมาชิก การรับรองงบการเงิน ความเป็นอิสระของกรรมการผู้แทนสมาชิกสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน และการเป็นผู้สอบบัญชีของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน รวมทั้งข้อเสนอแนะให้มีการแก้ไของค์ประกอบของคณะกรรมการ
|
|||||||||||||||||||||
2984 | ขออนุมัติการกู้เงินให้ บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด เพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียนสำหรับโครงการ Airport Rail Link | กค | 27/09/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติ เห็นชอบ และรับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบแนวทางและรูปแบบในการจัดหาเงินกู้เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนให้แก่บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด เพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียนสำหรับโครงการ Airport Rail Link โดยให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เป็นผู้กู้เงินจากแหล่งเงินกู้ในประเทศ วงเงิน ๑,๘๖๐ ล้านบาท โดยมีกระทรวงการคลังค้ำประกันเงินกู้ และให้ รฟท. นำเงินกู้ดังกล่าวมาให้กู้ต่อแก่บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด ตามมาตรา ๓๙(๔) แห่งพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ ๑.๒ อนุมัติให้กระทรวงการคลังค้ำประกันเงินกู้ให้แก่ รฟท. วงเงิน ๑,๘๖๐ ล้านบาท โดยให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไขและรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงินตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ๑.๓ เห็นชอบเงื่อนไขการรับภาระดอกเบี้ยของรัฐบาล โดยให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการชำระดอกเบี้ยเงินกู้แทนบริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด ในระยะเวลา ๑๐ ปีแรก และให้กระทรวงการคลังเข้าร่วมถือหุ้นในบริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด ตามภาระการชดเชยภาระดอกเบี้ย ๑.๔ รับทราบความเห็นของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการปรับแนวทางการดำเนินธุรกิจ (Business Model) และแผนการจัดหารายได้ในเชิงพาณิชย์ของบริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงคมนาคม รฟท. และบริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด ดำเนินการต่อไป ๑.๕ รับทราบผลจากการดำเนินนโยบายค่าโดยสารอัตราเดียว (๒๐ บาท ตลอดสาย) ของรัฐบาล ๒. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม รฟท. และบริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณที่เห็นควรเตรียมความพร้อมหากต้องดำเนินการตามนโยบายค่าโดยสารอัตราเดียว (๒๐ บาทตลอดสาย) ของรัฐบาล โดยการจัดทำแผนการดำเนินการและมาตรการลดผลกระทบทางการเงิน เร่งรัดการจัดหาขบวนรถไฟฟ้าให้เป็นไปตามแผนที่กำหนด การเร่งจัดหารายได้จากการให้บริการส่วนอื่น ๆ และการศึกษาผลกระทบต่อภาครัฐจากการใช้นโยบายราคาค่าโดยสารคงที่ ๒๐ บาท ตลอดสาย นอกจากกนี้ ให้บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด เร่งพิจารณาทบทวนแนวทางการดำเนินธุรกิจ (Business Model) และแผนการจัดหารายได้เชิงพาณิชย์เพื่อให้เกิดรายได้เพิ่มขึ้นและสามารถลดการสนับสนุนจากภาครัฐต่อไปในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ในส่วนของการปรับแนวทางการดำเนินธุรกิจ (Business Model) และแผนการจัดหารายได้เชิงพาณิชย์ของบริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด ให้กระทรวงคมนาคมรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รฟท. และบริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด เพื่อปรับปรุงให้เหมาะสมสอดคล้องกับการดำเนินการในเชิงธุรกิจมากยิ่งขึ้น แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
|||||||||||||||||||||
2985 | ขออนุมัติการกู้เงินในประเทศและให้กู้ต่อแก่การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้า สายสีเขียวเข้ม ช่วงหมอชิต - สะพานใหม่ และช่วงแบริ่ง - สมุทรปราการ | กค | 27/09/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้กระทรวงการคลังกู้เงินในประเทศและให้กู้ต่อแก่การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับค่าก่อสร้างโยธา ค่าจ้างที่ปรึกษาบริหารและควบคุมงาน และค่า Provision sum ของงานโยธา โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้ม ช่วงหมอชิต - สะพานใหม่ วงเงิน ๑๙,๓๘๑ ล้านบาท และช่วงแบริ่ง - สมุทรปราการ วงเงิน ๑๗,๘๓๘ ล้านบาท ซึ่งเป็นส่วนที่รัฐบาลเป็นผู้รับภาระการลงทุน โดยให้ รฟม. บันทึกการลงทุนดังกล่าวเป็นส่วนของทุน ๑.๒ ให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีเป็นงบชำระหนี้ให้แก่ รฟม. เพื่อใช้ชำระหนี้คืนแก่แหล่งเงินกู้โดยตรงทั้งในส่วนเงินต้น ดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวข้อง ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่กระทรวงการคลังจะได้ตกลงกับ รฟม. ต่อไป ๑.๓ ให้ รฟม. ในฐานะหน่วยงานผู้รับผิดชอบการดำเนินโครงการสายสีเขียวเข้ม ช่วงแบริ่ง - สมุทรปราการ และช่วงหมอชิต - สะพานใหม่ ซึ่งเป็นส่วนต่อขยายของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวของกรุงเทพมหานคร เร่งเจรจากับกรุงเทพมหานครเพื่อให้เกิดความชัดเจนเกี่ยวกับแนวทางการบริหารการเดินรถไฟฟ้า โดยให้ครอบคลุมรายละเอียดทางด้านเทคนิคของระบบต่าง ๆ เพื่อให้การเดินรถในอนาคตสามารถเชื่อมต่อกันได้อย่างบูรณาการ ๒. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม และ รฟม. รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรให้ รฟม. จัดทำแผนการดำเนินงานก่อสร้างโครงการ แผนการกู้เงิน และแผนการเบิกจ่ายเงินกู้ และการบริหารจัดการแผนดังกล่าวให้มีประสิทธิภาพและสอดคล้องตามแผนการใช้จ่ายจริง เพื่อไม่ให้เกิดภาระเพิ่มขึ้นในด้านดอกเบี้ย และค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องโดยไม่มีเหตุผลอันควรอันจะก่อให้เกิดภาระแก่งบประมาณแผ่นดินในระยะยาวได้ และให้ รฟม. และกระทรวงคมนาคม ประสานกับกรุงเทพมหานครในฐานะเจ้าของโครงการระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ (BTS) เพื่อพิจารณาแนวทางการเชื่อมโยงเส้นทางโครงการฯ กับโครงการรถไฟฟ้า BTS ทั้งในด้านการเชื่อมระบบทั้งในด้านวิศวกรรม เทคนิคและระบบการเชื่อมต่อการเดินรถ การกำหนดโครงสร้างอัตราค่าโดยสารร่วมและการใช้ระบบตั๋วโดยสารร่วม รวมทั้งพิจารณาแนวทางการแบ่งรายได้ค่าโดยสารระหว่างโครงการรถไฟฟ้า BTS และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้ม ช่วงหมอชิต - สะพานใหม่ และช่วงแบริ่ง - สมุทรปราการ ที่เหมาะสมและเป็นธรรม นอกจากนี้ ให้ รฟม. เร่งศึกษารูปแบบการให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนจัดหาระบบรถไฟฟ้าและตัวรถไฟฟ้าและให้บริการเดินรถโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้มฯ ที่มีความเหมาะสมและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนผู้ใช้บริการและภาระการลงทุนของภาครัฐโดยรวม ทั้งนี้ ในกรณีที่ รฟม. มีความจำเป็นต้องขยายแนวเส้นทางของโครงการเพิ่มจากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ ให้เร่งเสนอเรื่องดังกล่าวให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องโดยเร็ว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ในส่วนของการปรับแนวทางการดำเนินธุรกิจ (Business Model) ให้กระทรวงคมนาคมรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และ รฟม. เพื่อปรับแนวทางการบริหารจัดการการเดินรถไฟฟ้าให้เหมาะสม ชัดเจน แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยเร็วก่อนดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||
2986 | รายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้พันธบัตรออมทรัพย์ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2549 ครั้งที่ 4 ครั้งที่ 6 และครั้งที่ 8 ในวันที่ 18 พฤษภาคม 2554 | กค | 27/09/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้พันธบัตรออมทรัพย์ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๙ ครั้งที่ ๔ ครั้งที่ ๖ และครั้งที่ ๘ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การไถ่ถอนพันธบัตรออมทรัพย์ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๙ ครั้งที่ ๔ และครั้งที่ ๖ กระทรวงการคลังได้ทดรองจ่ายเงินจากบัญชีเงินฝากกระทรวงการคลังเพื่อไปไถ่ถอนพันธบัตรออมทรัพย์ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๙ ครั้งที่ ๔ ครบกำหนดเมื่อวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๕๔ จำนวน ๒,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท และพันธบัตรออมทรัพย์ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๙ ครั้งที่ ๖ ครบกำหนดเมื่อวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๔ จำนวน ๑,๓๘๕.๓๗ ล้านบาท รวมจำนวน ๓,๓๘๕.๓๗ ล้านบาท ๒. การไถ่ถอนพันธบัตรออมทรัพย์ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๙ ครั้งที่ ๘ และการชำระคืนเงินทดรองจ่ายจากบัญชีเงินฝากกระทรวงการคลัง เนื่องจากวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๔ เป็นหยุดราชการ จึงเลื่อนการไถ่ถอนพันธบัตรออมทรัพย์ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๙ ครั้งที่ ๘ ที่ครบกำหนดจำนวน ๗๒๘.๔๖ ล้านบาท เป็นวันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๔๙ ซึ่งกระทรวงการคลังได้ดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้จำนวนดังกล่าวทั้งจำนวนรวมกับการชำระคืนเงินทดรองจ่ายที่ได้ใช้ไปในการไถ่ถอนพันธบัตรออมทรัพย์ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๙ ครั้งที่ ๔ และครั้งที่ ๖ โดยกู้เงินระยะยาวโดยการออกตั๋วสัญญาใช้เงิน จำนวน ๔,๑๑๓.๘๓ ล้านบาท ในวันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ระยะที่สอง พ.ศ. ๒๕๔๕
|
|||||||||||||||||||||
2987 | รายงานกิจการ งบดุล งบกำไรขาดทุน รอบปีบัญชี 2553 (1 เมษายน 2553 - 31 มีนาคม 2554) ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร | กค | 27/09/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานกิจการ งบดุล งบกำไรขาดทุน รอบปีบัญชี ๒๕๕๓ (๑ เมษายน ๒๕๕๓ - ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๔)
ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑. เงินให้สินเชื่อขยายตัวสูงขึ้น ณ สิ้นปีบัญชี ๒๕๕๓ ธ.ก.ส. มีสินเชื่อคงค้างจำนวน ๕๗๗,๕๙๑ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก ณ สิ้นปีบัญชี ๒๕๒๒ จำนวน ๗๒,๗๐๗ ล้านบาท ได้แก่ สินเชื่อเกษตรกรรายคน จำนวน ๕๑๕,๗๘๖ ล้านบาท สินเชื่อสหกรณ์การเกษตร จำนวน ๓๕,๔๗๙ ล้านบาท และสินเชื่อกลุ่มเกษตรกร จำนวน ๑๑๙ ล้านบาท ๒. เงินกองทุนเพิ่มขึ้น ณ สิ้นปีบัญชี ๒๕๕๓ ธ.ก.ส. มีเงินกองทุนทั้งสิ้น จำนวน ๘๑,๗๓๐.๒๓ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีบัญชี ๒๕๒๒ ที่มีเงินกองทุนจำนวน ๗๓,๕๕๖.๖๘ ล้านบาท โดยมีสาเหตุสำคัญจากการซื้อหุ้นเพิ่มทุนเมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๓ ของกระทรวงการคลัง สถาบันเกษตรกร สถาบันการเงิน และเอกชน ๓. จำนวนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) ลดลง ณ สิ้นปีบัญชี ๒๕๕๓ ธ.ก.ส. มีหนี้ NPLs จำนวน ๓๗,๔๓๒ ล้านบาท ลดลงจากปีบัญชี ๒๕๕๒ จำนวน ๓๙,๖๒๙ ล้านบาท มีต้นเงินคงเป็นหนี้ จำนวน ๕๗๐,๐๘๒ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี ๒๕๕๒ จำนวน ๔๙๗,๔๕๕ ล้านบาท ๔. กำไรสุทธิ ปีบัญชี ๒๕๕๓ ธ.ก.ส. มีกำไรสุทธิ จำนวน ๘,๐๑๒ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีบัญชี ๒๕๕๒ ที่มีกำไรสุทธิจำนวน ๗,๘๒๑ ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||
2988 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย | กค | 27/09/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้ง นายณรงค์ชัย อัครเศรณี เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) แทน นายดุสิต นนทะนาคร ที่ถึงแก่กรรม ตามที่รัฐมนตรีตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
2989 | แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2555 | กค | 27/09/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเสนอ ดังนี้ ๑.๑ แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงินดำเนินการ ๑,๒๘๗,๐๐๔.๖๐ ล้านบาท แบ่งเป็น แผนการก่อหนี้ใหม่ ๔๖๙,๑๖๖.๗๖ ล้านบาท แผนการปรับโครงสร้างหนี้ ๖๔๐,๘๓๗.๘๔ ล้านบาท และแผนการบริหารความเสี่ยง ๑๗๗,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๒ การกู้เงินและการค้ำประกันเงินกู้ในประเทศและต่างประเทศของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจภายใต้กรอบวงเงินของแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ๑.๓ ให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไขและรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงินและการค้ำประกันในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ แต่หากรัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการกู้เงินได้เอง ก็ให้สามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ ๑.๔ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมอบหมายเป็นผู้ลงนามผูกพันการกู้เงินและหรือการค้ำประกันเงินกู้และเอกสารที่เกี่ยวข้อง และรายงานผลการดำเนินการตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะดังกล่าวตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๙ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณที่เห็นควรบรรจุแผนการบริหารหนี้สาธารณะในส่วนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยเฉพาะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษที่มีวงเงินการก่อหนี้ค่อนข้างสูง เช่น กรุงเทพมหานคร และพัทยา ไว้ภายใต้กรอบวงเงินนี้ด้วย และควรพิจารณาทางเลือกในการกู้เงินสำหรับโครงการตามแผนการก่อหนี้ใหม่และความคุ้มค่าในการลงทุน รวมทั้งวิเคราะห์ศักยภาพการดำเนินงานและการเบิกจ่ายเงินกู้ของหน่วยงานเจ้าของโครงการเพื่อลดภาระงบประมาณในการชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ยในอนาคต ทั้งนี้ หากมีการปรับแผนการบริหารหนี้สาธารณะในระหว่างปี ควรนำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ไปพลางก่อน ที่สำนักงบประมาณได้จัดสรรเป็นรายจ่ายเพื่อชำระคืนหนี้เงินกู้แล้ว และผลการกู้เงินจริงเพื่อประกอบการพิจารณาปรับแผนฯ เพื่อให้การปรับแผนเป็นไปตามข้อเท็จจริงจากการดำเนินการและไม่กำหนดวงเงินกู้ที่เกินความจำเป็น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
2990 | มาตรการภาษีเพื่อช่วยเหลือประชาชนให้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง | กค | 27/09/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อช่วยเหลือประชาชนให้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง เพื่อให้ประชาชนได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง โดยการบรรเทาภาระภาษีให้แก่ผู้มีเงินได้ซึ่งได้ซื้อสังหาริมทรัพย์ที่เป็นอาคารพร้อมที่ดิน หรือห้องชุดในอาคารชุด เพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัย โดยยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาไม่เกินจำนวนภาษีที่ถึงชำระในแต่ละปีภาษีให้แก่บุคคลธรรมดาที่ซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่เป็นอาคารพร้อมที่ดินหรือห้องชุดในอาคารชุดที่มีมูลค่าไม่เกิน ๕ ล้านบาท เป็นจำนวนไม่เกินร้อยละ ๑๐ ของมูลค่าอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นอาคารพร้อมที่ดิน หรือห้องชุดในอาคารชุดที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท ตามเงื่อนไข ดังนี้ ๑.๑ ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาไม่เกินจำนวนภาษีที่พึงชำระในแต่ละปีภาษีเท่ากับเงินได้ตามจำนวนที่จ่ายจริงสำหรับเงินได้ที่จ่ายเป็นค่าซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่เป็นอาคารพร้อมที่ดิน หรือห้องชุดในอาคารชุด เพื่อเป็นที่อยู่อาศัย ไม่เกินร้อยละ ๑๐ ของมูลค่าอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นอาคารพร้อมที่ดิน หรือห้องชุดในอาคารชุด แต่ไม่เกิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท ๑.๒ ต้องใช้สิทธิยกเว้นภาษีภายใน ๕ ปีภาษีนับแต่วันที่ได้โอนกรรมสิทธิ์ โดยใช้สิทธิยกเว้นภาษีเป็นจำนวนเท่า ๆ กันในแต่ละปีภาษีติดต่อกันเป็นเวลา ๕ ปี ตามจำนวนที่จ่ายจริงแต่รวมกันแล้วไม่เกิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท ๑.๓ ผู้มีเงินได้ต้องไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นกรรมสิทธิ์ของตนเอง หรือไม่มีชื่อเป็น หรือเคยเป็น “เจ้าบ้าน” ในทะเบียนบ้านที่ใช้เป็นหลักฐาน ยกเว้นถ้าพิสูจน์ได้ว่าไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัยของตนเองหรือคู่สมรสตามทะเบียนบ้าน ๑.๔ กรณีผู้มีเงินได้มีคู่สมรส ให้สามารถใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีในการซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่เป็นอาคารพร้อมที่ดิน หรือห้องชุดในอาคารชุด เพื่อเป็นที่อยู่อาศัยได้เพียงแห่งเดียว ๑.๕ ผู้มีเงินได้ต้องไม่เคยเป็นผู้ใช้สิทธิหักลดหย่อนดอกเบี้ยกู้ยืมซื้อบ้านสำหรับกู้ยืมเงินเพื่อซื้อ เช่าซื้อ หรือสร้างอาคารอยู่อาศัย ๑.๖ ผู้มีเงินได้ต้องไม่เคยเป็นผู้ใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้จากการซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่เป็นอาคาร อาคารพร้อมที่ดิน หรือห้องชุดในอาคารชุดเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๒๗๑ (พ.ศ. ๒๕๕๒) ๑.๗ ผู้มีเงินได้ต้องไม่เคยเป็นผู้ใช้สิทธิยกเว้นเงินได้จากการขายที่อยู่อาศัยเดิมและซื้อที่อยู่อาศัยใหม่ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๒๔๑ (พ.ศ. ๒๕๔๖) ๑.๘ กรณีเป็นการกู้ร่วม โดยผู้กู้ร่วมมีกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัยของตนเองและเคยใช้สิทธิหักลดหย่อนหรือยกเว้นกับกรมสรรพากรแล้ว ผู้กู้ร่วมจะไม่ได้รับสิทธิยกเว้นภาษีในส่วนของเงินได้ที่ใช้กู้ร่วม ๑.๙ ต้องมีการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์นั้นให้แล้วเสร็จ ตั้งแต่วันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ ๑.๑๐ ผู้มีเงินได้ต้องมีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ที่ซื้อเป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า ๕ ปีนับแต่วันที่จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ และอสังหาริมทรัพย์นั้นต้องไม่เคยผ่านการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์มาก่อนไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่ผู้มีเงินได้ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาที่ซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่เป็นอาคารพร้อมที่ดิน หรือห้องชุดในอาคาร มูลค่าไม่เกินห้าล้านบาท เพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัย เป็นจำนวนเท่ากับภาษีเงินได้ที่ต้องเสีย แต่ไม่เกินร้อยละสิบของมูลค่าอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นอาคารพร้อมที่ดิน หรือห้องชุดในอาคารชุด และรวมกันแล้วไม่เกินห้าแสนบาท และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ หากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกามีการแก้ไขหลักการที่เป็นสาระสำคัญ ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
|
|||||||||||||||||||||
2991 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทบริหารระดับสูง | กค | 27/09/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญสังกัดกระทรวงการคลัง ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๔ ราย
ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๔ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑. นายมนัส แจ่มเวหา ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง (นักบริหารสูง) สำนักงาน ปลัดกระทรวง ๒. นางสาวจุฬารัตน์ สุธีธร ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวงสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง ๓. นายช.นันท์ เพ็ชญไพศิษฏ์ ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง สูง) สำนักงานปลัดกระทรวง ๔. นายกุลิศ สมบัติศิริ ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวงสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง
|
|||||||||||||||||||||
2992 | มาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ประสบภัยพิบัติปี 2554 โดยธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย | กค | 20/09/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ประสบภัยพิบัติปี ๒๕๕๔ โดยธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปสาระสำคัญของมาตรการช่วยเหลือฯ ดังนี้ ๑.๑ กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ได้แก่ ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่ได้รับความเสียหายหรือได้รับผลกระทบจากเหตุภัยพิบัติ ตั้งแต่วันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๔ จนถึงปัจจุบัน (พื้นที่ประสบภัยพิบัติตามประกาศของทางราชการ) ๑.๒ วงเงินอนุมัติสินเชื่อรวมของโครงการ วงเงินรวม ๒,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๓ ระยะเวลาโครงการ สิ้นสุดวันรับคำขอกู้ภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๔ หรือเมื่อเต็มวงเงินสินเชื่อรวมของโครงการแล้วแต่ระยะเวลาใดจะถึงก่อน ๑.๔ วัตถุประสงค์ของการกู้ เพื่อใช้ปรับปรุง ซ่อมแซม ฟื้นฟูกิจการ และ/หรือเป็นเงินทุนหมุนเวียน ๑.๕ วงเงินสินเชื่อต่อราย สูงสุดไม่เกิน ๑ ล้านบาทต่อราย โดยพิจารณาตามเกณฑ์ที่ธนาคารกำหนด ๑.๖ ประเภทสินเชื่อและระยะเวลากู้ยืม เป็นเงินกู้ยืมแบบมีระยะเวลา (Term Loan) ระยะเวลาการกู้ยืมสูงสุดไม่เกิน ๖ ปี ระยะเวลาปลอดชำระคืนเงินต้น (Grace Period) ไม่เกิน ๒ ปี ๑.๗ อัตราดอกเบี้ย ธนาคารคิดดอกเบี้ยในอัตราคงที่ร้อยละ ๘ ต่อปี ตลอดอายุสัญญา โดยจะเรียกเก็บดอกเบี้ยจากผู้กู้ในอัตราร้อยละ ๖ ต่อปี ตลอดอายุสัญญา และรัฐบาลชดเชยดอกเบี้ยอีกร้อยละ ๒ ต่อปี ตลอดอายุสัญญา ส่วนค่าธรรมเนียม จะคิดในอัตราร้อยละ ๐.๑ ของวงเงินสินเชื่อที่ได้รับอนุมัติ โดยเรียกเก็บขั้นต่ำ ๑๐๐ บาทต่อราย ๑.๘ ไม่มีหลักประกัน (Clean loan) ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรเรียกเก็บอัตราดอกเบี้ยจากผู้กู้ในอัตราร้อยละ ๕ ต่อปี และรัฐบาลชดเชยดอกเบี้ยอีกร้อยละ ๒ ต่อปี เนื่องจากอัตราดอกเบี้ย MLR ของธนาคารพาณิชย์เฉลี่ยประมาณร้อยละ ๗.๗ ต่อปี และควรยกเว้นค่าธรรมเนียมเพื่อเป็นการลดภาระของผู้ประกอบการ รวมทั้งควรจัดให้มีมาตรการและแนวทางในการตรวจสอบผู้ประกอบการให้ตรงตามคุณสมบัติที่ได้มีการกำหนดอย่างเข้มงวด และเร่งดำเนินการติดตามและประเมินผลการปล่อยสินเชื่อในโครงการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (SME POWER) ในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ที่ระยะเวลาการปลอดชำระคืนเงินต้นกำลังจะหมดลงในช่วงต้นปี พ.ศ. ๒๕๕๕ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาหนี้เสียและกระทบต่อผลประกอบการของ ธพว. ในอนาคต ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังประสานงานกับกระทรวงมหาดไทยเพื่อขอรับการสนับสนุนข้อมูลเกี่ยวกับผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาดำเนินการปล่อยสินเชื่อตามมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทยให้เหมาะสม ถูกต้อง และมีความโปร่งใส สอดคล้องกับข้อเท็จจริงต่อไป |
|||||||||||||||||||||
2993 | ขอโอนเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 (กระทรวงการคลัง) | กค | 20/09/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) โอนเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ งบดำเนินงาน จาก รายการค่าเช่ารถยนต์ประจำตำแหน่ง จำนวน ๘๑๘,๔๐๐ บาท ประกอบด้วย รถยนต์ประจำตำแหน่งของที่ปรึกษาด้านหนี้สาธารณะ จำนวน ๔๗๐,๔๐๐ บาท และรองผู้อำนวยการ สบน. จำนวน ๓๔๘,๐๐๐ บาท เป็น รายการค่าตอบแทนการจัดหารถประจำตำแหน่ง จำนวน ๖๘๖,๔๐๐ บาท ประกอบด้วย รถยนต์ประจำตำแหน่งที่ปรึกษาด้านหนี้สาธารณะ จำนวน ๓๘๑,๖๐๐ บาท และตำแหน่งรองผู้อำนวยการ สบน. จำนวน ๓๐๔,๘๐๐ บาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
2994 | รายงานสถานะหนี้สาธารณะ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2554 และผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2554 ระหว่างเดือนตุลาคม 2553 ถึงเดือนมีนาคม 2554 | กค | 20/09/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานะหนี้สาธารณะ ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๔ และผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๕๓ ถึงเดือนมีนาคม ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. หนี้สาธารณะ ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๔ มีจำนวน ๔,๒๔๖,๑๑๔.๖๘ ล้านบาท หรือร้อยละ ๔๑.๒๘ ของ GDP ประกอบด้วยหนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรง ๒,๙๘๘,๘๔๕.๓๙ ล้านบาท หนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน ๑,๐๖๕,๘๗๒.๑๓ ล้านบาท หนี้ของรัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินที่รัฐบาลค้ำประกัน ๑๖๐,๓๔๐.๒๗ ล้านบาท และหนี้ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ๓๑,๐๕๖.๘๙ ล้านบาท ทั้งนี้ หนี้สาธารณะจำนวนดังกล่าวจำแนกตามอายุของหนี้เป็นหนี้ระยะยาว ๔,๒๑๒,๑๐๗.๙๘ ล้านบาท และหนี้ระยะสั้น ๓๔,๐๐๖.๗๐ ล้านบาท และจำแนกตามแหล่งที่มาเป็นหนี้ต่างประเทศ ๓๕๐,๓๓๑.๘๘ ล้านบาท และหนี้ในประเทศ ๓,๘๙๕,๗๘๒.๘๐ ล้านบาท ๒. ภาพรวมผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ในช่วง ๖ เดือนแรกของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ สามารถดำเนินการงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ปรับปรุงครั้งที่ ๑ วงเงินรวม ๑,๒๙๑,๕๐๔.๒๗ ล้านบาท ประกอบด้วยแผนการก่อหนี้ใหม่ ๖๐๒,๖๐๔.๑๗ ล้านบาท แผนการปรับโครงสร้างหนี้ ๖๐๘,๙๐๐.๑๐ ล้านบาท และแผนการบริหารความเสี่ยง ๘๐,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท โดยในช่วงระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๕๓ ถึงเดือนมีนาคม ๒๕๕๔ กระทรวงการคลังและรัฐวิสาหกิจได้ดำเนินการก่อหนี้ใหม่ การปรับโครงสร้างหนี้ และการบริหารความเสี่ยงแล้ว เป็นวงเงินทั้งสิ้น ๕๑๓,๖๙๒.๒๓ ล้านบาท และจากผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะดังกล่าว ยังมีการกู้เงินและบริหารหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่อยู่ภายใต้กรอบแผนการบริหารหนี้สาธารณะอีก ๑๐,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท โดยเป็นการกู้เงินและการบริหารหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่มีสถานะเป็นบริษัทมหาชนจำกัด ๗,๕๐๐.๐๐ ล้านบาท การกู้เงินระยะสั้นเพื่อเสริมสภาพคล่องในรูป Credit Line จำนวน ๒,๕๐๐.๐๐ ล้านบาท ๓. สรุปผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ โดยในช่วงระยะเวลา ๖ เดือนแรกของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ (ตุลาคม ๒๕๕๓ - มีนาคม ๒๕๕๔) กระทรวงการคลังและรัฐวิสาหกิจได้ดำเนินการบริหารและจัดการหนี้สาธารณะตามกรอบแผนการบริหารหนี้สาธารณะ เป็นจำนวนทั้งสิ้น ๕๑๓,๖๙๒.๒๓ ล้านบาท ส่วนผลการกู้เงินและบริหารหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องอยู่ภายใต้กรอบวงเงินของแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ รัฐวิสาหกิจได้กู้เงินและบริหารหนี้รวมทั้งสิ้น ๑๐,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท ทั้งนี้ จากการดำเนินการดังกล่าว กระทรวงการคลังและรัฐวิสาหกิจได้กู้เงินและบริหารหนี้รวมทั้งสิ้น ๕๒๓,๖๙๒.๒๓ ล้านบาท แบ่งเป็นการก่อหนี้ใหม่ ๑๙๙,๖๒๐.๓๕ ล้านบาท และการบริหารหนี้ ๓๒๔,๐๗๑.๘๘ ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||
2995 | คณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี (กระทรวงการคลัง) | กค | 20/09/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบคณะกรรมการต่างๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรีเป็นคณะกรรมการที่มีความจำเป็นต้องมีอยู่ จำนวน ๑๗ คณะ และคณะกรรมการที่ต้องยกเลิก จำนวน ๕ คณะ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. คณะกรรมการที่มีความจำเป็นต้องมีอยู่ จำนวน ๑๗ คณะ คือ ๑.๑ คณะกรรมการป้องปรามธุรกิจการเงินนอกระบบ ๑.๒ คณะกรรมการบริหารระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ (เปลี่ยนแปลงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่) ๑.๓ คณะกรรมการพิจารณากำหนดสำนักงานที่ตั้งอยู่ในพื้นที่พิเศษ (เปลี่ยนแปลงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่) ๑.๔ คณะกรรมการพิจารณากำหนดสำนักงานที่ตั้งอยู่ในพื้นที่พิเศษระดับจังหวัด (เปลี่ยนแปลงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่) ๑.๕ คณะกรรมการพิจารณากำหนดยุทธศาสตร์การเข้าร่วมเป็นภาคีสมาชิกความตกลงว่าด้วยการจัดซื้อโดยรัฐ ๑.๖ คณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ(เปลี่ยนแปลงองค์ประกอบ) ๑.๗ คณะกรรมการพิจาณาสิทธิพิเศษของหน่วยงานและรัฐวิสาหกิจ ๑.๘ คณะกรรมการกำกับนโยบายราคากลางงานก่อสร้าง (เปลี่ยนแปลงองค์ประกอบ) ๑.๙ คณะกรรมการกลั่นกรองการจัดตั้งทุนหมุนเวียน ๑.๑๐ คณะกรรมการกำกับหลักเกณฑ์และตรวจสอบราคากลางงานก่อสร้าง ๑.๑๑ คณะกรรมการพิจารณาแนวทางการเพิ่มบทบาทภาคเอกชนในรูปแบบ PPPs ๑.๑๒ คณะกรรมการบรรษัทภิบาลแห่งชาติ ๑.๑๓ คณะกรรมการเพื่อพิจารณากำหนดขอบเขตที่ดินกำแพงเมือง - คูเมือง ๑.๑๔ คณะกรรมการกลั่นกรองการจัดเอาประกันภัยทรัพย์สินของรัฐ ๑.๑๕ คณะกรรมการอำนวยการเพื่อกำหนดนโยบายหลักเกณฑ์ มาตรการและเงื่อนไขเพื่อนำที่ราชพัสดุมาจัดให้เช่าทำการเกษตร ๑.๑๖ คณะกรรมการระดับจังหวัดเพื่อนำที่ดินราชพัสดุมาจัดให้เช่าทำการเกษตร ๑.๑๗ คณะกรรมการพิจารณาการขาย การแลกเปลี่ยน การให้ การจำหน่ายจ่ายโอน หรือจัดหาประโยชน์เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ของรัฐบาลไทยในต่างประเทศ ๒. คณะกรรมการที่ต้องยกเลิก จำนวน ๕ คณะ คือ ๒.๑ คณะกรรมการพิจารณากำหนดประเภทและอัตราค่าอวัยวะเทียมและอุปกรณ์ในการบำบัดรักษาโรค ๒.๒ คณะกรรมการกลั่นกรองและกำกับติดตามโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ๒.๓ คณะกรรมการกลั่นกรองโครงการภายใต้แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ ระยะที่ ๒ ๒.๔ คณะกรรมการพิจารณากลั่นกรองโครงการการใช้เงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ (เงินกู้ SAL) ๒.๕ คณะทำงานติดตามการขับเคลื่อนโครงการประชาวิวัฒน์
|
|||||||||||||||||||||
2996 | ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (การขยายเวลามาตรการภาษีสำหรับวิสาหกิจชุมชน) | กค | 13/09/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร มีสาระสำคัญคือ ขยายระยะเวลาการกำหนดให้เงินได้ของวิสาหกิจชุมชนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน ที่ได้รับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๖ เป็นเงินได้พึงประเมินที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องนำมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ ทั้งนี้ สำหรับเงินได้พึงประเมินปีละไม่เกินหนึ่งล้านแปดแสนบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
2997 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก 100 ปี กรมศิลปากร พ.ศ. .... | กค | 13/09/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก ๑๐๐ ปี กรมศิลปากร พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญคือ กำหนดลักษณะของเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก ๑๐๐ ปี กรมศิลปากร ชนิด ราคา โลหะ อัตราเนื้อโลหะ น้ำหนัก ขนาด อัตราเผื่อเหลือเผื่อขาด ลวดลาย และลักษณะอื่น ๆ ของเหรียญกษาปณ์โลหะสองสี (สีขาวและสีทอง) ราคาสิบบาท ประเภทธรรมดา (จำนวนผลิตไม่เกิน ๒,๐๐๐,๐๐๐ เหรียญ) และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
2998 | การคืนเงินสำหรับรถยนต์คันแรก | กค | 13/09/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการและแนวทางการคืนเงินแก่ผู้ซื้อรถยนต์คันแรก ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยให้แก้ไขวันที่ผู้ซื้อรถยนต์ จาก “ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕” เป็น “ตั้งแต่วันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕” สำหรับแนวทางการคืนเงินแก่ผู้ซื้อรถยนต์คันแรก มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ ผู้ซื้อรถยนต์คันแรกตั้งแต่วันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ ต้องยื่นคำขอคืนเงินกับกรมสรรพสามิตหรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่พร้อมเอกสารหลักฐาน ได้แก่ หนังสือยินยอมสละสิทธิ์การโอนภายใน ๕ ปี สำเนาบัตรประชาชนและทะเบียนบ้านของผู้ซื้อ และสำเนาหนังสือสัญญาเช่าซื้อ (ในกรณีเช่าซื้อ) ๑.๒ กรมสรรพสามิตหรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่มีหนังสือถึงกรมการขนส่งทางบกหรือสำนักงานขนส่งจังหวัด เพื่อขอให้ตรวจสอบการครอบครองรถยนต์คันแรก และแจ้งการสละสิทธิ์การโอนภายใน ๕ ปีของผู้ซื้อ ๑.๓ กรมการขนส่งทางบกหรือสำนักงานขนส่งจังหวัดตรวจสอบและบันทึก “ห้ามโอนภายใน ๕ ปี” ลงในระบบคอมพิวเตอร์และในสมุดคู่มือการจดทะเบียน ๑.๔ กรมการขนส่งทางบกหรือสำนักงานขนส่งจังหวัดส่งหนังสือรับรองการครอบครองรถยนต์คันแรก และสำเนาคู่มือการจดทะเบียนที่บันทึก “ห้ามโอนภายใน ๕ ปี” ให้กรมสรรพสามิตหรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ ๑.๕ กรมสรรพสามิตหรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ตรวจสอบเอกสารหลักฐานต่าง ๆ และสั่งจ่ายเช็คให้แก่ผู้ซื้อตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ๒. อนุมัติในหลักการค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ จำนวน ๑๐๐ ล้านบาท เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขภายใต้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ไปพลางก่อน โดยให้กระทรวงการคลังขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณก่อนดำเนินการต่อไป ๓. อนุมัติในหลักการกรอบวงเงินในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๓๐,๐๐๐ ล้านบาท เพื่อคืนเงินสำหรับรถยนต์คันแรกเท่ากับภาษีที่จ่ายจริงแต่ไม่เกินคันละ ๑๐๐,๐๐๐ บาท โดยให้กระทรวงการคลังเสนอขอตั้งงบประมาณจำนวนดังกล่าวตามขั้นตอนต่อไป ๔. อนุมัติเป็นหลักการให้อธิบดีกรมบัญชีกลาง หรือผู้ที่อธิบดีกรมบัญชีกลางมอบหมายมีอำนาจอนุมัติให้คืนเงินสำหรับรถยนต์คันแรกให้กับผู้ซื้อ ทั้งนี้ ในการดำเนินการคืนเงินดังกล่าวให้กรมสรรพสามิตประสานงานในรายละเอียดกับกรมบัญชีกลางต่อไป ๕. ให้กรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม ให้ความร่วมมือกับกรมสรรพสามิตในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการแสดงหลักฐานการครอบครองรถยนต์คันแรก การบันทึกข้อมูลห้ามจำหน่าย โอนรถยนต์ภายใน ๕ ปี ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๖. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรปรับปรุงเกณฑ์การคืนเงินแก่ผู้ซื้อรถยนต์คันแรกเพิ่มเติม โดยให้สะท้อนถึงแนวนโยบายของรัฐบาลที่สนับสนุนการใช้พลังงานทดแทนด้วย ส่วนการใช้เกณฑ์กระบอบสูบที่จำกัดไว้ไม่เกิน ๑,๕๐๐ ลูกบาศก์เซนติเมตร และประเภทของรถ เช่น รถยนต์กระบะ หรือรถยนต์นั่งกระบะ อาจพิจารณาให้ครอบคลุมถึงรถยนต์ที่มีกระบอกสูบเกิน ๑,๕๐๐ ลูกบาศก์เซนติเมตร แต่มีอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงต่ำและสามารถใช้พลังงานทดแทนได้ด้วย รวมทั้งควรกำหนดหลักเกณฑ์ด้านมาตรฐานการปล่อยมลพิษและมาตรฐานความปลอดภัยเพิ่มเติม เพื่อเป็นการยกระดับมาตรฐานยานยนต์ที่ผลิตและใช้ภายในประเทศ นอกจากนี้ ควรกำหนดระยะเวลาคืนภาษีอย่างชัดเจนและเป็นระบบ พิจารณาความเหมาะสมในการสนับสนุนมาตรการด้านสินเชื่อรถยนต์สำหรับกลุ่มเป้าหมายหลักซึ่งเป็นผู้มีรายได้น้อย ตลอดจนเร่งปรับปรุงการเชื่อมต่อของระบบคมนาคมขนส่งเพื่อรองรับปริมาณรถยนต์ใหม่ที่จะเพิ่มขึ้นอีกประมาณ ๕๐๐,๐๐๐ คัน เช่น การจัดพื้นที่จอดแล้วจร (Park and Ride) เพื่อให้ผู้ใช้รถยนต์ส่วนบุคคลสามารถเชื่อมต่อการเดินทางกับระบบขนส่งมวลชนสาธารณะในการเข้าสู่ย่านใจกลางเมืองได้อย่างสะดวกและมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
2999 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง) | กค | 13/09/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ ในสังกัดกระทรวงการคลัง ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ
จำนวน ๓ ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑. นายนิพิฐ อริยวงศ์ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านพัฒนาการประเมินราคาอสังหาริมทรัพย์ (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) กรมธนารักษ์ ตั้งแต่วันที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๔ ๒. นางสาวจารุวรรณ จันทิมาพงษ์ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการบริหารเหรียญกษาปณ์และ ทรัพย์สินมีค่า (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) กรมธนารักษ์ ตั้งแต่วันที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๔ ๓. นายวัฒนา เชาวสกู ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาด้านพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (นักวิเคราะห์ นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) กรมธนารักษ์ ตั้งแต่วันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๕๔
|
|||||||||||||||||||||
3000 | รายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 | กค | 13/09/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้สัญญาเงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงการคลังได้ดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้สัญญาเงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ ในวงเงินไม่เกิน ๔๐,๐๐๐ ล้านบาท โดยการออกพันธบัตรรัฐบาลประเภทอัตราดอกเบี้ยแปรผันตามการเปลี่ยนแปลงของเงินเฟ้อ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ อายุ ๑๐ ปี จำหน่ายให้กับบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลไม่จำกัดประเภท เมื่อวันที่ ๑๑ - ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๕๔ โดยจดทะเบียนในวันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๕๔ สามารถจำหน่ายได้ครบทั้งจำนวน ๔๐,๐๐๐ ล้านบาท ๒. กระทรวงการคลังได้นำเงินที่ได้จากการจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาลดังกล่าวไปปรับโครงสร้างหนี้สัญญาเงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ ประกอบด้วย ๒.๑ สัญญาเงินกู้สำหรับโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ ครั้งที่ ๓ วงเงินที่ ๑ จำนวน ๔๐,๐๐๐ ล้านบาท สัญญาลงวันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๕๓ (ยอดเงินกู้คงค้างจำนวน ๓๗,๑๖๙,๗๑๐,๐๐๐ บาท) ชำระคืนต้นเงินกู้จำนวน ๓๗,๑๖๙,๗๑๐,๐๐๐ บาท คงเหลือเงินกู้คงค้างจำนวน ๐.๐๐ บาท ๒.๒ สัญญาเงินกู้สำหรับโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ ครั้งที่ ๓ วงเงินที่ ๒ จำนวน ๔๐,๐๐๐ ล้านบาท สัญญาลงวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๕๓ ชำระคืนต้นเงินกู้จำนวน ๒,๘๓๐,๒๙๐,๐๐๐ บาท คงเหลือเงินกู้คงค้างจำนวน ๓๗,๑๖๙,๗๑๐,๐๐๐ บาท
|
.....