ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 56 จากทั้งหมด 102 หน้า แสดงรายการที่ 1101 - 1120 จากข้อมูลทั้งหมด 2039 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 1101 | รายงานผลการเร่งรัด ติดตามกรณีเงินขาดบัญชีหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐทุจริต ปีงบประมาณ พ.ศ. 2550 (ตุลาคม 2549 - กันยายน 2550) | นร | 18/12/2550 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรายงานผลการเร่งรัด ติดตามกรณี
เงินขาดบัญชีหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐทุจริตปีงบประมาณ พ.ศ. 2550 โดยผลการดำเนินการตั้งแต่เดือนตุลาคม 2549 -กันยายน 2550 ในส่วนของการเร่งรัดติดตามให้หน่วยงานของรัฐที่เกิดกรณีเงินขาดบัญชี หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ทุจริต เร่งดำเนินการสอบสวนหาผู้รับผิดชดใช้ทางแพ่ง แจ้งความดำเนินคดีอาญา และพิจารณาโทษทางวินัยแก่ผู้ กระทำผิดและผู้ที่เกี่ยวข้อง มีเรื่องรับใหม่ ได้รับแจ้งเรื่อง 223 เรื่อง จำนวนเงินที่เสียหาย 212,893,788.46 บาท เรียกเงินชดใช้คืน 86 เรื่อง จำนวนเงิน 47,467,928.64 บาท และดำเนินการจนได้ผลเป็นที่ยุติทั้ง 3 ทาง คือ ทาง แพ่ง ทางอาญา และทางวินัย 122 เรื่อง โดยสรุป ณ วันที่ 30 กันยายน 2550 มีเรื่องอยู่ระหว่างการเร่งรัดติดตาม 1,128 เรื่อง จำนวนเงินทั้งสิ้น 9,623,680,227.99 บาท โดยจำนวนเรื่องที่เกิดขึ้นในหน่วยงานต่าง ๆ ที่มีปริมาณ เรื่องสูงสุด คือ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 428 เรื่อง และยอดเงินเสียหายสูงสุดเป็นรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวง คมนาคม ซึ่งจำนวนเงินที่เสียหายเป็นเงินถึง 7,017,286,152.95 บาท ส่วนผลการพิจารณาเรื่องที่อยู่ระหว่างการ ดำเนินการเร่งรัด ติดตาม ส่วนมากเป็นเรื่องที่อยู่ระหว่างดำเนินการทางแพ่งและอาญา มีดังนี้ ทางแพ่ง อยู่ระหว่าง ดำเนินการ 843 เรื่อง ทางอาญา อยู่ระหว่างดำเนินการ 1,021 เรื่อง และทางวินัย อยู่ระหว่างดำเนินการ 767 เรื่อง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1102 | (ร่าง) กรอบทิศทางการพัฒนาการศึกษาในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 (พ.ศ. 2550-2554) ที่สอดคล้องกับแผนการศึกษาแห่งชาติ (พ.ศ. 2545-2559) | ศธ | 11/12/2550 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้ อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 2 ที่มีมติเห็น
ชอบในหลักการ (ร่าง) กรอบทิศทางการพัฒนาการศึกษาในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 (พ.ศ. 2550-พ.ศ. 2554) ที่สอดคล้องกับแผนการศึกษาแห่งชาติ (พ.ศ. 2545-พ.ศ. 2559) ตามที่กระทรวงศึกษา ธิการเสนอ โดย (ร่าง) กรอบทิศทางการพัฒนาการศึกษา ฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อปลูกฝังและพัฒนาให้คนมีคุณธรรม นำความรู้ เป็นคนดี มีเหตุผล มีความรักในสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ รู้จักประมาณ รู้จักอนุรักษ์ สร้างเสริมและพัฒนาวัฒนธรรม ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีภูมิคุ้มกัน มีความสามารถในการแก้ปัญหา มีสมรรถนะและทักษะในการประกอบอาชีพ พร้อมเผชิญการเปลี่ยนแปลงภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์ตามหลักปรัชญา ของเศรษฐกิจพอเพียง ขณะเดียวกันมีความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และนำประเทศก้าวสู่สังคมเศรษฐ กิจฐานความรู้ รวมทั้งเพื่อสร้างเสริมสังคมภูมิปัญญาและการเรียนรู้ตลอดชีวิต สามารถอยู่ร่วมกันอย่างสมานฉันท์ สันติวิธี และมีวิถีประชาธิปไตยอย่างยั่งยืน และเพื่อพัฒนาสภาพแวดล้อมของสังคมเพื่อเป็นฐานในการพัฒนาคนและ สร้างสังคม คุณธรรม ภูมิปัญญา และการเรียนรู้ ทั้งนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และของคณะรัฐมนตรี ไปพิจารณาปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติม (ร่าง) กรอบทิศทางการพัฒนาการศึกษา ฯ ด้วยดังนี้ หัว ข้อ 3.1.6 เรื่อง การศึกษาเฉพาะทาง ให้เพิ่มกระทรวงวัฒนธรรมเป็นหน่วยงานที่ดำเนินการเรื่องนี้ และหัวข้อ 5.8 เรื่อง การจัดการศึกษาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นพัฒนาครูและบุคลากรทาง การศึกษาให้มีความรู้ควบคู่คุณธรรม โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้กรอบทิศทางการพัฒนาการศึกษา ฯ ที่ได้ปรับ ปรุงแก้ไขแล้ว เป็นกรอบแนวทางในการพัฒนาการศึกษาในช่วงเวลาดังกล่าว นอกจากนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการ รับความเห็นของคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาด้วยว่า การกำหนดเป้าหมายเชิงปริมาณของกรอบทิศทางการพัฒนาการ ศึกษา ฯ ในระยะต่อไปควรเพิ่มสัดส่วนการจัดการศึกษาระหว่างภาครัฐและเอกชนให้มากกว่า 70 : 30 เพื่อให้เอกชน ได้มีบทบาทในเรื่องนี้มากขึ้น โดยวางแผนการพัฒนาคุณภาพการศึกษาและระบบการจัดการศึกษาที่จะนำไปสู่ผลที่ เป็นรูปธรรมและลดช่องวางทางการศึกษาของผู้เรียนในเมืองและในชนบท รวมทั้งให้ความสำคัญแก่การพัฒนาการ ศึกษาในระดับอาชีวศึกษาให้มากขึ้นเพื่อเตรียมความพร้อมด้านแรงงานฝีมือไว้รองรับความต้องการของภาคอุตสาห กรรมด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1103 | การให้ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ และลูกจ้างของหน่วยงานภาครัฐที่เป็นสตรีไปถือศีลและปฏิบัติธรรม | นร | 04/12/2550 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอเกี่ยวกับการให้ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ และลูกจ้าง
ของหน่วยงานภาครัฐที่เป็นสตรีไปถือศีลและปฏิบัติธรรม ดังนี้ ให้ถือเป็นหลักการให้ข้าราชการพลเรือนสตรีมีสิทธิ ไปถือศีลและปฏิบัติธรรม ณ สถานปฏิบัติธรรมที่ได้รับการรับรองจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติครั้งหนึ่ง ตลอดอายุราชการ เป็นระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 1 เดือน แต่ไม่เกิน 3 เดือน โดยไม่ถือเป็นวันลา ทั้งนี้ ต้องได้รับอนุญาต จากผู้บังคับบัญชาก่อน และให้นำหลักการนี้ไปใช้กับข้าราชการทหาร ตำรวจ พนักงานราชการ พนักงานรัฐวิสาห กิจ ลูกจ้างส่วนราชการ และหน่วยงานของรัฐซึ่งเป็นสตรีด้วย กับให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรับหลักการดังกล่าว ไปพิจารณาปรับใช้กับข้าราชการและลูกจ้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งเป็นสตรี และให้สำนักงานพระพุทธ ศาสนาแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักรับผิดชอบดำเนินการและติดตามประเมินผลเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา ต่อไป ทั้งนี้ ให้สำนักงาน ก.พ. รับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาด้วยว่ากรณีการถือศีลและปฏิบัติธรรมของ ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ และลูกจ้างของหน่วยงานภาครัฐ ที่เป็นชายสมควรจะดำเนินการอย่างไรให้เหมาะสม
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1104 | ผลความก้าวหน้าโครงการรณรงค์ก่อสร้างและซ่อมแซมฝายต้นน้ำลำธาร (Check Dam) ตามแนวพระราชดำริ "โครงการ 80 พรรษา 80 พันฝาย" | มท | 04/12/2550 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทยรายงานผลความก้าวหน้าโครงการรณรงค์ก่อ
สร้างและซ่อมแซมฝายต้นน้ำลำธาร (Check Dam) ตามแนวพระราชดำริ "โครงการ 80 พรรษา 80 พันฝาย" โดยผลการดำเนินงานในพื้นที่จังหวัดเป้าหมาย 64 จังหวัด ต่อเนื่องจากปี พ.ศ. 2549 ถึงเดือนกันยายน 2550 ฝายที่ก่อสร้างแล้วเสร็จจำนวน 161,041 ฝาย เกินเป้าหมายโครงการ ปี พ.ศ. 2549-2550 (160,000 ฝาย) จำนวน 1,041 ฝาย งบประมาณที่ใช้ดำเนินการรวมทั้งสิ้นจำนวน 1,011,606,132 บาท ซึ่งทางจังหวัดได้ บูรณาการงบประมาณจากงบยุทธศาสตร์อยู่ดีมีสุข งบประมาณปกติของส่วนราชการ และงบประมาณอื่น ๆ รวมทั้งงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และงบประมาณจากภาคประชาชนสมทบ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1105 | แผนยุทธศาสตร์เพื่อพัฒนาโรงเรียนขนาดเล็ก | ศธ | 27/11/2550 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้ รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเสนอเกี่ยวกับงบประมาณ
ค่าใช้จ่ายสำหรับการดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์เพื่อพัฒนาโรงเรียนขนาดเล็ก ปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 - พ.ศ. 2553 วงเงินรวม 2,750 ล้านบาท เนื่องจากกระทรวงศึกษาธิการไม่ได้ขออนุมัติหรือขอผูกพันงบประมาณ โดยปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 กระทรวงศึกษาธิการจะพิจารณาปรับแผนการใช้จ่ายเงินงบประมาณที่ได้รับการ จัดสรร ไปดำเนินการต่อไป และอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 2 ที่มีมติ เห็นชอบในหลักการแผนยุทธศาสตร์เพื่อพัฒนาโรงเรียนขนาดเล็กตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอเพื่อวางระบบ วางแผนและบริหารจัดการ เพื่อจำกัดจำนวนโรงเรียนขนาดเล็กให้ดำรงอยู่เฉพาะที่มีความจำเป็น และพัฒนาให้มี คุณภาพและประสิทธิภาพ โดยให้กระทรวงศึกษาธิการรับประเด็นอภิปรายของคณะกรรมการกลั่นกรอง ฯ และ ความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาดำเนินการด้วย โดยในส่วนของคณะกรรมการกลั่นกรอง ฯ เห็น ว่า ในการพัฒนาโรงเรียนขนาดเล็กควรมีเป้าหมายให้ชัดเจนว่าเป็นการพัฒนาเพื่อโอนให้กับองค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่น และการพัฒนาโรงเรียนขนาดเล็กกับการถ่ายโอนควรมีการดำเนินการควบคู่กันไป และควรมีข้อมูลเกี่ยว กับจำนวนโรงเรียนขนาดเล็ก จำนวนนักเรียน จำนวนบุคลากร รวมถึงครุภัณฑ์ที่จำเป็นให้มีความถูกต้องและเป็น ปัจจุบัน เพื่อให้การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีเป็นไปอย่างเหมาะสมตามความจำเป็นและง่ายต่อการนำ ไปปฏิบัติให้เป็นรูปธรรม ทั้งนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการร่วมกับกระทรวงมหาดไทยรับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรี ไปพิจารณาดำเนินการด้วยว่า การโอนโรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานไปให้องค์ กรปกครองส่วนท้องถิ่น ควรประสานงาน แลกเปลี่ยนข้อมูล และร่วมกันแก้ไขปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ อันอาจเกิด ขึ้นจากการดำเนินการถ่ายโอนโรงเรียนในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการไปยังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้รวดเร็ว และเหมาะสมสอดคล้องกับข้อเท็จจริง รวมทั้งในการจัดการเรียนการสอนของโรงเรียนขนาดเล็กที่โอนไปให้องค์ กรปกครองส่วนท้องถิ่น ควรประเมินผลและสามารถรักษาคุณภาพมาตรฐานการศึกษาไว้ดังเดิม โดยกระทรวง ศึกษาธิการต้องร่วมรับผิดชอบในส่วนนี้ แต่ในส่วนของบุคลากรผู้สอน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นควรพิจารณา จัดหาบุคลากรในท้องถิ่นเพื่อทำหน้าที่แทนผู้สอนเดิมตามความจำเป็น นอกจากนี้ การจัดหลักสูตรการสอนควร พิจารณาสอดแทรกเนื้อหาวิชาที่สอดคล้องกับสภาพสังคม ชุมชน และวิถีชีวิตในท้องถิ่นด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1106 | ขอความเห็นชอบให้ข้าราชการอุปสมบทเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 โดยไม่ถือเป็นวันลา และเรื่อง ขอให้เจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีความประสงค์เข้ารับการปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยถือเป็นวันปฏิบัติราชการและไม่ถือเป็นวันลา | พศ | 27/11/2550 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (รองศาสตราจารย์ธีรภัทร เสรีรัง
สรรค์) เสนอขอปรับปรุงถ้อยคำในหนังสือสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ที่ พศ 0001/8650 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2550 ข้อ 1 จากเดิม "1. ให้ข้าราชการทหาร ตำรวจ ข้าราชการพลเรือน พนักงานราชการ พนักงาน รัฐวิสาหกิจ ลูกจ้างส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ รวมถึงสมาชิกและผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ..." เป็น "1. ให้ข้าราชการทหาร ตำรวจ ข้าราชการพลเรือน พนักงานราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ ลูกจ้างส่วนราช การและหน่วยงานของรัฐ รวมถึงพนักงานและลูกจ้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ..." และที่เสนอเพิ่มเติม ดังนี้ การอุปสมบทเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ ให้ข้าราชการทหาร ตำรวจ ข้าราชการพลเรือน พนักงานราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ ลูกจ้างส่วนราชการ และหน่วยงานของรัฐ รวมถึงพนักงานและลูกจ้างของ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ลาอุปสมทบเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามง คลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 ตั้งแต่วันที่ 1-15 ธันวาคม 2550 โดยไม่ถือเป็นวันลา เสมือนเป็นการปฏิบัติราชการได้รับเงินเดือนตามปกติ โดยให้ผู้อุปสมบทที่เคยใช้สิทธิในการลาแล้ว แต่ยังไม่เคย เข้าร่วมโครงการอุปสมบทเฉลิมพระเกียรติ ให้สามารถลาอุปสมบทในโครงการนี้ได้ ส่วนผู้อุปสมทบเฉลิมพระ เกียรติกับหน่วยงานอื่นให้ใช้สิทธิในการลาครั้งนี้ได้ สำหรับการปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัว ฯ ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐที่สมัครเข้าปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ระหว่างวัน ที่ 3-7 ธันวาคม 2550 เข้าร่วมกิจกรรมได้โดยถือเป็นวันปฏิบัติราชการและไม่ถือเป็นวันลา |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1107 | ร่างพระราชบัญญัติการแพทย์ฉุกเฉิน พ.ศ. .... | สธ | 20/11/2550 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอร่างพระราชบัญญัติการแพทย์ฉุกเฉิน พ.ศ. ....
ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ ให้มีกฎหมายว่าด้วยการแพทย์ฉุกเฉิน โดย กำหนดให้มีคณะกรรมการการแพทย์ฉุกเฉินขึ้นเพื่อกำหนดมาตรฐาน หลักเกณฑ์ และวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการแพทย์ ฉุกเฉิน และกำหนดให้มีสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินนเรนทรขึ้นเป็นหน่วยรับผิดชอบการบริหารจัดการ การประสาน ระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน รวมทั้งส่งเสริมให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้ามามีบทบาทใน การบริหารจัดการ เพื่อให้เกิดความร่วมมือในการปฏิบัติงานด้านการแพทย์ฉุกเฉินร่วมกัน เพื่อให้ผู้ป่วยฉุกเฉินได้รับ การคุ้มครองสิทธิในการเข้าถึงระบบการแพทย์ฉุกเฉินอย่างทั่วถึง เท่าเทียมกัน มีคุณภาพมาตรฐาน โดยได้รับการ ช่วยเหลือและรักษาพยาบาลที่มีประสิทธิภาพและทันต่อเหตุการณ์มากขึ้น และส่งคณะกรรมการประสานงานสภา นิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1108 | ขออนุมัติดำเนินโครงการป้องกันน้ำท่วมพื้นที่ชุมชน ตามแผนการบรรเทาอุทกภัยระยะกลางและระยะยาว ด้านการใช้ที่ดินและป้องกันน้ำท่วม | นร | 13/11/2550 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
หลักเกณฑ์การเตรียมความพร้อมของโครงการป้องกันน้ำท่วมพื้นที่ชุมชน ของกระทรวงมหาดไทย รวม 2 ประการ คือ การมีส่วนร่วมและการยอมรับของจังหวัด/องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเจ้าของพื้นที่ซึ่งควรเป็นเจ้าของโครงการ ร่วมกัน และการกำหนดความรับผิดชอบในการดำเนินโครงการ และการแบ่งภาระงบประมาณระหว่างหน่วยราช การส่วนกลางและส่วนท้องถิ่น และมอบให้กระทรวงมหาดไทย โดยกรมโยธาธิการและผังเมืองร่วมกับกรมส่งเสริม การปกครองท้องถิ่น และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดำเนินการเตรียมความพร้อมของโครงการตามหลักเกณฑ์ดัง กล่าวให้เกิดความชัดเจน แล้วนำเสนอสำนักงบประมาณเพื่อพิจารณาแหล่งเงินงบประมาณสนับสนุนโครงการตาม ความเหมาะสมต่อไป และให้กระทรวงมหาดไทยและสำนักงบประมาณรับข้อสังเกตของคณะกรรมการการกระจาย อำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรับไปพิจารณาด้วยว่า โครงการออกแบบระบบป้องกันน้ำท่วมพื้นที่ชุมชน จำนวน 4 โครงการ งบประมาณ 72.10 ล้านบาท เป็นโครงการ 2 ปี (พ.ศ. 2551-2552) ถึงแม้จะใช้งบประมาณ จำนวนไม่มาก แต่เมื่อดำเนินการแล้วเสร็จจะมีภาระการใช้งบประมาณเป็นค่าก่อสร้างระบบป้องกันน้ำท่วมอีก จึง เห็นสมควรให้กรมโยธาธิการและผังเมืองได้จัดทำเป็นแผนงบประมาณต่อไป และโครงการก่อสร้างระบบป้องกัน น้ำท่วมพื้นที่ชุมชน จำนวน 4 โครงการ งบประมาณ 2,143 ล้านบาท มีวงเงินงบประมาณสูง และมีระยะเวลา ดำเนินการตั้งแต่ปี พ.ศ. 2551-2553 จึงต้องมีภาระผูกพันงบประมาณเพื่อจะดำเนินการในปีต่อ ๆ ไป หากจะใช้ จ่ายจากเงินอุดหนุนให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนกระจายอำนาจ ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 แล้ว จะมีผลกระทบถึงการจัดสรรรายได้ให้แก่องค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่นอื่น ๆ นอกจากนี้ การดำเนินความร่วมมือระหว่างส่วนราชการและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นควรกำหนด ขอบเขตความรับผิดชอบในการดำเนินการและจำนวนงบประมาณให้ชัดเจน |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1109 | มาตรการและแนวทางเร่งรัดติดตามการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบประมาณ พ.ศ. 2550 | นร | 13/11/2550 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอมาตรการและแนวทางเร่งรัดติด
ตามการใช้จ่ายงบประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2550 ดังนี้ กำหนดแผนงานและวิธีการการประสานงานระหว่างหน่วย งานที่เกี่ยวข้องในการเคลื่อนย้ายระบบสาธารณูปโภค และดำเนินการให้เป็นไปตามแผนงานที่กำหนดไว้ ส่วนโครง การที่มีผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ ให้มีการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับทราบเพื่อรับฟังความคิดเห็นก่อนที่ จะดำเนินโครงการ และการจัดหาผู้รับจ้าง ให้พิจารณาถึงความพร้อมของผู้รับจ้างทุกด้านเพื่อมิให้เกิดปัญหาในการ ดำเนินการในภายหลัง รวมทั้งกำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) จัดทำรายละเอียดเงินอุดหนุนที่ได้รับ การจัดสรรจากรัฐบาลว่ามีรายการใดบ้าง และนำไปใช้จ่ายเพื่อโครงการ/กิจกรรมใดเพื่อสะดวกแก่การตรวจสอบและ ติดตามการใช้จ่ายเงินงบประมาณที่จัดสรรให้ อปท. ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควร เร่งจัดสรรงบประมาณให้เร็วขึ้นเพื่อ อปท. จะได้นำไปใช้จ่ายได้ทันในปีงบประมาณ และจัดฝึกอบรมให้คำแนะนำเกี่ยว กับวิธีปฏิบัติทางการเงิน การคลังและงบประมาณ ตลอดจนซักซ้อมความเข้าใจให้กับบุคลากรของ อปท. เป็นระยะ ๆ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1110 | สรุปสถานการณ์อุทกภัยและการให้ความช่วยเหลือ (ข้อมูล ณ วันที่ 12 พฤศจิกายน 2550) | มท | 13/11/2550 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลสถานการณ์อุทกภัย ของกระทรวงมหาดไทย สรุปได้ดังนี้ สถาน
การณ์อุทกภัยจากหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมภาคใต้ ระหว่างวันที่ 7-12 พฤศจิกายน 2550 มีพื้นที่ประสบภัย 2 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดสุราษฎร์ธานีและนครศรีธรรมราช ใน 11 อำเภอ 50 ตำบล 343 หมู่บ้าน ราษฎรได้รับความ เดือดร้อน 42,659 คน 2,335 ครัวเรือน พื้นที่การเกษตรถูกน้ำท่วม 3,747 ไร่ ถนนได้รับความเสียหาย 432 สาย สะพาน 3 แห่ง ฯลฯ มูลค่าความเสียหายเบื้องต้นประมาณ 15,110,000 บาท โดยสถานการณ์ปัจจุบัน ข้อมูล ณ วันที่ 2 พฤศจิกายน 2550 ในส่วนของจังหวัดนครศรีธรรมราชสถานการณ์อุทกภัยได้คลี่คลายแล้ว โดยปัจจุบันยังคง มีน้ำท่วมขังเฉพาะจังหวัดสุราษฎร์ธานี ในพื้นที่อำเภอเกาะสมุย บริเวณพรุเฉวง ตำบลบ่อผุด และตลาดดาว ตำบลแม่ น้ำ ระดับน้ำสูงประมาณ 0.10-0.20 ม. สำหรับการเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ภัยหนาวปี พ.ศ. 2550-พ.ศ. 2551 กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย ได้เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ โดยจัดตั้งศูนย์อำนวยการ เฉพาะกิจช่วยเหลือผู้ประสบภัยหนาวปี พ.ศ. 2550-พ.ศ. 2551 ณ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เพื่อติดตาม สถานการณ์และประสานการช่วยเหลือ รวมทั้งบริจาคเครื่องกันหนาวเพื่อสนับสนุนให้แก่จังหวัดที่ประสบภัย และให้ จังหวัดจัดตั้งศูนย์เฉพาะกิจช่วยเหลือผู้ประสบภัยหนาวปี พ.ศ. 2550-พ.ศ. 2551 ณ สำนักงานป้องกันและบรรเทา สาธารณภัยจังหวัด และให้อำเภอ/องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จัดตั้งศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจช่วยเหลือผู้ประสบ ภัยหนาวปี พ.ศ. 2550-พ.ศ. 2551 นอกจากนี้ ได้จัดสรรงบประมาณปี พ.ศ. 2551 ให้สำนักงานป้องกันและบรร เทาสาธารณภัยจังหวัด จำนวน 46 จังหวัด ในวงเงินจังหวัดละ 350,000 บาท เพื่อจัดหาเครื่องช่วยกันหนาวเพื่อช่วย เหลือประชาชนผู้ประสบภัย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1111 | ร่างพระราชบัญญัติควบคุมการฆ่าสัตว์เพื่อการจำหน่ายเนื้อสัตว์ พ.ศ. .... | กษ | 06/11/2550 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอร่างพระราชบัญญัติควบคุมการ
ฆ่าสัตว์เพื่อการจำหน่ายเนื้อสัตว์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดมาตรฐานควบคุมกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการ ฆ่าสัตว์เพื่อจำหน่าย เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคให้ได้รับความปลอดภัยจากเนื้อสัตว์ที่ใช้บริโภค และให้ส่งสำนักงานคณะ กรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงมหาดไทยที่เห็น ว่ามาตรา 283 ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยได้กำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีภารกิจที่เกี่ยวข้อง กับการจัดให้มีและควบคุมการฆ่าสัตว์ ตั้งแต่การตั้งโรงฆ่าสัตว์ การฆ่าสัตว์ จนถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจากการ ฆ่าสัตว์ จึงควรแก้ไขร่างพระราชบัญญัติ ฯ ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถแต่งตั้ง "พนักงานตรวจโรคสัตว์" ได้เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการบริการ รวมทั้งสามารถแก้ไขปัญหาได้ทันต่อเหตุการณ์ ส่วนกรณีการอนุญาตตั้ง โรงฆ่าสัตว์ และโรงพักสัตว์ ในเขตพื้นที่รับผิดชอบขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ควรกำหนดให้ผ่านการพิจารณา ชั้นต้นจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบพื้นที่ดูแลการสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อมก่อน นอกจากนี้ ค่าอากร และค่าธรรมเนียมตามท้ายร่างพระราชบัญญัติ ฯ รวมทั้งค่าปรับที่อาจเกิดขึ้นในส่วนที่พนักงานท้องถิ่นจัด เก็บและเปรียบเทียบปรับ ควรกำหนดให้เป็นรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อนำรายได้ไปใช้แก้ปัญหาสิ่ง แวดล้อมที่เกิดขึ้น เป็นต้น ไปพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1112 | ขอความเห็นชอบหลักการและการนำไปสู่การปฏิบัติให้ "โครงการวัฒนธรรมไทยสายใยชุมชน" เป็นวาระแห่งชาติ : สร้างความเข้มแข็งของชุมชนอย่างยั่งยืน รวมพลังทุกหน่วยงานส่งเสริมวัฒนธรรมสายใยชุมชนสู่ชุมชน เพื่อสังคมอยู่เย็นเป็นสุขอย่างยั่งยืน | วธ | 06/11/2550 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอให้ "โครงการวัฒนธรรมไทยสายใย
ชุมชน" เป็นวาระแห่งชาติ : สร้างความเข้มแข็งของชุมชนอย่างยั่งยืน รวมพลังทุกหน่วยงานส่งเสริมวัฒนธรรมสายใย ชุมชนสู่ชุมชน เพื่อสังคมอยู่เย็นเป็นสุขอย่างยั่งยืน โดยมีหลักการพื้นฐานมุ่งให้ประชาชนและชุมชนเป็นศูนย์กลาง ยึด หลักพึ่งตนเอง พัฒนาชุมชนให้เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ เน้นการมีส่วนร่วมในการคิด การลงมือทำ และการร่วมรับ ประโยชน์ การนำความหลากหลายทางวัฒนธรรมท้องถิ่น ความเชื่อตามหลักศาสนา ภูมิปัญญาท้องถิ่น ปรัชญาทาง เศรษฐกิจพอเพียงมาสร้างคุณภาพชีวิตของคนในชุมชนให้บังเกิดผลอย่างแท้จริง ทั้งนี้ ให้ปรับถ้อยคำจากเดิม "... เป็น วาระแห่งชาติ ..." เป็น "... เป็นระเบียบวาระแห่งชาติ ..." ด้วย และให้กระทรวง กรมที่เกี่ยวข้องและจังหวัดรับไปดำเนิน การตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ รวมทั้งให้กระทรวงมหาดไทยประสานงานเพื่อขอให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้การส่งเสริมสนับสนุนการบริหารจัดการโครงการ ฯ และสนับสนุนงบประมาณตามความจำเป็น และให้กระทรวง วัฒนธรรม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง รับความเห็นของสำนัก งานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรให้หน่วยงานต่าง ๆ นำแผนงาน โครงการ กิจ กรรมที่สอดคล้องกับโครงการวัฒนธรรมไทยสายใยชุมชนมาพิจารณาเพื่อบูรณาการหรือเชื่อมโยงการทำงานร่วมกัน ในระดับพื้นที่ และให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมีบทบาทในการสนับสนุนให้เกิดการเรียนรู้ที่นำไปสู่การพัฒนาวัฒนธรรม ที่เหมาะสมและสอดคล้องกับบริบทของแต่ละพื้นที่ รวมทั้งการสนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีบทบาทใน การสนับสนุนการสร้างกระบวนการเรียนรู้ และเชื่อมโยงกับภารกิจของงานบริหารท้องถิ่น และความเห็นของสำนัก งบประมาณที่ให้กระทรวงวัฒนธรรมและกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ร่วมกับหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องบูรณาการโครงการโดยเชื่อมโยงแนวทางการดำเนินงานในกรอบภารกิจของหน่วยงาน กำหนดเป้าหมาย และจัดทำแผนการดำเนินงานร่วมกันเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1113 | โครงการก่อสร้างระบบจำหน่ายด้วยสายเคเบิลใต้น้ำไปยังเกาะต่างๆ ที่มีไฟฟ้าใช้แล้ว (เกาะมุกด์ เกาะสุกร และเกาะลิบง จังหวัดตรัง) | มท | 06/11/2550 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ดำเนินโครงการ
ก่อสร้างระบบจำหน่ายด้วยสายเคเบิลใต้น้ำไปยังเกาะต่าง ๆ ที่มีไฟฟ้าใช้แล้ว (เกาะมุกด์ เกาะสุกร และเกาะลิบง จังหวัดตรัง) โดยก่อสร้างเชื่อมโยงระบบจำหน่ายด้วยสายเคเบิลใต้ต้ำระบบ 33 เควี จากแผ่นดินใหญ่ไปยังเกาะมุกด์ เกาะสุกร และเกาะลิบง จังหวัดตรัง ในวงเงินลงทุน 338 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ ปี พ.ศ. 2550-พ.ศ. 2551 โดยให้ กฟภ. ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2535 เรื่อง แผนแม่บทการจัดการปะการังของ ประเทศ และความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่ให้ กฟภ. ศึกษาและจัดทำแผนปฏิบัติการ สำรวจทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญในพื้นที่บริเวณแนววางสายเคเบิลใต้น้ำให้ชัดเจน โดยให้หลีกเลี่ยงบริเวณที่จะวาง สายเคเบิลเข้าใกล้ปะการังในรัศมีที่จะก่อให้เกิดผลกระทบต่อปะการัง รวมทั้งกำกับ ดูแล และติดตามตรวจสอบการ ปฏิบัติงานของบริษัทที่รับหน้าที่ในการวางสายเคเบิลใต้น้ำให้ดำเนินการกำหนดมาตรการป้องกันความเสียหายอัน เกิดจากปริมาณสารแขวนลอยและอัตราการตกตะกอนไม่ให้เพิ่มจากเดิมเกินร้อยละ 10 และให้ปฏิบัติตามมาตรการ ป้องกัน แก้ไขและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม เพื่อป้องกันผลกระทบต่อแนวปะการัง หญ้าทะเล ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ ที่มีความสำคัญ พร้อมทั้งดำเนินการติดตามตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของทรัพยากรธรรม ชาติและสิ่งแวดล้อมทั้งในช่วงก่อน ระหว่าง และภายพลังการดำเนินการวางสายเคเบิลใต้น้ำอย่างเข้มงวด นอกจากนี้ ให้ กฟภ. สนับสนุนงบประมาณให้องค์การบริหารส่วนตำบลเกาะลิบง และเกาะสุกร อุทยานแห่งชาติเจ้าไหม เพื่อ ใช้ในการจัดทำโครงการเพื่อลดผลกระทบ ตามแผนปฏิบัติการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินกิจกรรมของโครงการด้วย ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยประสานและติดตามให้องค์ กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่จัดทำโครงการ/กิจกรรมเพื่อลดผลกระทบต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินโครง การอย่างจริงจังด้วย ตามความเห็นเพิ่มเติมของคณะรัฐมนตรี |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1114 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยบูรพา พ.ศ. .... | สว | 30/10/2550 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้ รับทราบตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการ
สภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัย บูรพา พ.ศ. .... ซึ่งคณะกรรมการวิสามัญ ฯ เห็นสมควรปรับปรุงการศึกษาระดับอุดมศึกษาให้สอดคล้องกับการ เปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม โดยการจัดการศึกษาระดับอุดมศึกษาต้องคำนึงถึงความเป็นอิสระ ความ เป็นเลิศทางวิชาการ ทั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และร่างพระราช บัญญัติมหาวิทยาลัย สำหรับค่าธรรมเนียมและค่าบำรุงการศึกษาให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ที่กำหนดในข้อบังคับของมหาวิทยาลัย และกระบวนการพิจารณากำหนดอัตราที่เรียกเก็บเงิน โดยเปิดโอกาสให้ ตัวแทนนิสิต และสภาคณาจารย์ได้มีส่วนร่วมในการเสนอความเห็นต่อสภามหาวิทยาลัยด้วย ส่วนการสรรหา กรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิอาจจะพิจารณาคัดเลือกจากผู้บริหารในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ มหาวิทยาลัยตั้งอยู่ด้วยก็ได้ โดยผู้ได้รับการสรรหาจะต้องเป็นผู้มีความรู้ความสามารถเพียงพอที่เข้ามาเป็น กรรมการดังกล่าว ซึ่งมิใช่เป็นการแต่งตั้งโดยพิจารณาจากตำแหน่งบริหารในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งเป็นหลัก และเห็นชอบให้นำเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติที่คณะกรรมาธิการวิสามัญ ฯ แก้ไขเป็นเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ในการประกาศราชกิจจานุเบกษาต่อ่ไป ทั้งนี้ มอบให้กระทรวง ศึกษาธิการรับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการไปพิจารณา แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1115 | ร่างพระราชบัญญัติป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ พ.ศ. .... | กษ | 30/10/2550 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ พ.ศ. ....
โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์นำร่างพระราชบัญญัติ ฯ ไปพิจารณาศึกษาข้อมูลและวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจ เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีชุดต่อไป โดยรับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและข้อสังเกตของ คณะรัฐมนตรีที่ให้พิจารณากำหนดเนื้อหาสาระของร่างพระราชบัญญัติ ฯ ในส่วนที่เกี่ยวข้องให้มีความสอดคล้องกับ ร่างพระราชบัญญัติการเลี้ยงสัตว์และการใช้สัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ พ.ศ. .... ของสำนักงานคณะกรรมการวิจัย แห่งชาติซึ่งอยู่ระหว่างการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการค้าต่างประเทศ เพื่อศึกษาและวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นและเป็นผลเสียแก่ ประเทศ ซึ่งอาจเป็นเหตุให้ถูกยกเป็นข้ออ้างในการกีดกันทางการค้า และมีผลกระทบต่อการส่งสินค้าเนื้อสัตว์ไปสู่ ตลาดโลกหรือไม่ เพียงใด รวมทั้งควรกำหนดให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธานในคณะกรรมการป้องกันการทารุณ กรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ประจำจังหวัด และผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเป็นรองประธาน และควรให้องค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการส่งเสริมและสนับสนุนงานตามวัตถุประสงค์ของร่างพระราชบัญญัติฯ นอกจาก นี้ ร่างมาตรา 25 ซึ่งกำหนดให้การกระทำตามที่กำหนดเป็นการทารุณกรรมสัตว์อาจมีส่วนใดส่วนหนึ่งเกี่ยวข้องกับ พระราชบัญญัติการพนัน พุทธศักราช 2478 ในการให้สัตว์ต่อสู่หรือแข่งกัน เช่น ชนโค ชนไก่ กัดปลา แข่งม้า เป็น ต้น ซึ่งมีกระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานรักษาการตามกฎหมาย จึงควรให้กระทรวงมหาดไทยดูแลรับผิดชอบงาน ด้านนี้ตามเดิม ไปพิจารณาด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1116 | แผนแม่บทการบริหารจัดการขยะมูลฝอย จังหวัดภูเก็ต | นร | 30/10/2550 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอแผน
แม่บทการบริหารจัดการขยะมูลฝอย จังหวัดภูเก็ต เพื่อใช้เป็นกรอบแนวทางในการบูรณาการการทำงานร่วมกันของ ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น ในการบริหารจัดการลด คัดแยก และการนำขยะมูล ฝอยกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ การเพิ่มประสิทธิภาพระบบการจัดการขยะมูลฝอย การปรับปรุงแก้ไขระเบียบให้เอื้อต่อ การดำเนินงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และการส่งเสริมบทบาทการมีส่วนร่วมของชุมชน ผู้ประกอบการ และ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยมีแผนงาน/โครงการที่สำคัญ 2 แผนงาน 19 โครงการ งบประมาณรวม 1,232.1 ล้านบาท และให้กระทรวงมหาดไทย (จังหวัดภูเก็ต) กระทรวงพลังงาน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับความเห็นของส่วนราชการ และหน่วยงานที่ เกี่ยวข้องไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ การดำเนินโครงการเร่งด่วนจำนวน 2 โครงการ ได้แก่ โครงการลดและต้องแยกขยะมูลฝอยจากแหล่งกำเนิด วงเงิน 6.4 ล้านบาท และโครงการปรับปรุงบ่อฝังกลบขยะมูล ฝอยบ่อที่ 4 และฟื้นฟูบ่อฝังกลบบ่อที่ 5 วงเงิน 55 ล้านบาท และจะต้องมีการดำเนินโครงการศึกษาความเหมาะ สมโครงการก่อสร้างระบบกำจัดขยะมูลฝอยชุมชน ชุดที่ 2 ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 วงเงิน 12 ล้านบาท นั้น ให้กระทรวงมหาดไท ย (จังหวัดภูเก็ต) ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้กระทรวงมหาดไทย (จังหวัดภูเก็ต) กระทรวงพลังงาน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนา การเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รับความเห็นของคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาดำเนินการเพิ่มเติมด้วยว่า ในการรณรงค์ ปลูกจิตสำนึกเยาวชนและชุมชนทั้งในระดับครัวเรือน สถานประกอบการ และอุตสาหกรรม ในพื้นที่ให้มีส่วนร่วมใน การดูแลรักษาความสะอาดและสภาพแวดล้อมในพื้นที่ ควรดำเนินการในลักษณะของการประสานความร่วมมือในทุก ภาคส่วนให้มีความตระหนักและรับผิดชอบร่วมกันในการจัดการขยะมูลฝอยอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งสนับสนุนด้านเทค นิควิชาการ และแนวทางการลดขยะมูลฝอยที่แหล่งกำเนิด โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องขอความร่วมมือให้อาสาสมัคร สาธารณสุขหมู่บ้าน และอาสาสมัครพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหมู่บ้านเป็นแกนนำในการดำเนินการ ด้วย และให้จังหวัดภูเก็ต (องค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต) เร่งรัดการดำเนินการเก็บภาษีท้องถิ่น เช่น ภาษีอากร ที่เก็บจากสถานบริการและโรงแรมในท้องถิ่น เป็นต้น เพื่อให้มีเงินรายได้รองรับการดำเนินการบริหารจัดการขยะ มูลฝอยได้อย่างเพียงพอ ส่วนการดำเนินโครงการศึกษาความเหมาะสมและออกแบบรายละเอียดการก่อสร้างระบบ กำจัดขยะมูลฝอยชุมชน ชุดที่ 2 ให้กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาตินำผลการวิจัยที่ได้มีศึกษาในเรื่องที่เกี่ยวข้องไว้แล้วมาพิจารณาใช้ประโยชน์และประกอบการดำเนินการ เพื่อ ลดความซ้ำซ้อนและประหยัดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1117 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการส่งเสริมสภาองค์กรชุมชน พ.ศ. .... | พม | 22/10/2550 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอร่าง
ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการส่งเสริมสภาองค์กรชุมชน พ.ศ. .... เพื่อส่งเสริมให้ชุมชนและประชาชนได้มีการ รวมตัวในรูปแบบสภาองค์กรชุมชนเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่ชุมชน และเปิดโอกาสให้ประชาชนได้เข้ามามีส่วน ร่วมในการพัฒนาทุกระดับอย่างมีประสิทธิภาพ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ทั้งนี้ คณะ รัฐมนตรีมีข้อสังเกตว่า ร่างระเบียบฉบับนี้เกี่ยวข้องกับอำนาจหน้าที่ และการปฏิบัติงานขององค์กรปกครองส่วนท้อง ถิ่น และแนวทางการพัฒนาท้องถิ่นในด้านต่าง ๆ จึงสมควรรับฟังความเห็นของคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้ แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ เป็นต้น เพื่อประกอบการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และให้รับความเห็น ในบางประเด็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง อาทิ ความเห็นของกระทรวงมหาดไทยเกี่ยวกับการจัดตั้งสภาองค์กรชุมชน ตามร่างระเบียบ ฯ จะก่อให้เกิดความสับสนและความขัดแย้งในพื้นที่เนื่องจากไม่กำหนดองค์ประกอบขององค์กรชุมชน ที่ยื่นคำขอจดแจ้งการจัดตั้ง และในการจัดทำข้อบังคับการดำเนินงานก็ให้เป็นไปตามความต้องการขององค์กรชุมชน แต่ละแห่งโดยไม่มีกรอบแนวทางปฏิบัติและมาตรการกำกับดูแลให้เป็นมาตรฐานเดียวกันแต่อย่างใด ส่วนอำนาจหน้า ที่ของคณะกรรมการส่งเสริมสภาองค์กรชุมชน ที่กำหนดให้ประสานงานและบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน ภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เครือข่ายสภาองค์กรชุมชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหนุนเสริมการพัฒนา ของสภาชุมชน รวมทั้งการติดตามผล นั้น อาจขัดต่อแนวทางปฏิบัติตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่น ดิน พ.ศ. 2534 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับเป็นการทั่วไป โดยได้กำหนดให้ส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐมีอำนาจ หน้าที่ในการบริหารงานในพื้นที่ไว้แล้ว เป็นต้น ไปพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1118 | ขอความเห็นชอบสนับสนุนการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาเยาวชนโอลิมปิคฤดูร้อน ครั้งที่ 1 ปี 2010 (พ.ศ. 2553) | กก | 22/10/2550 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอการเป็นเจ้าภาพจัดการ
แข่งขันกีฬาเยาวชนโอลิมปิคฤดูร้อน ครั้งที่ 1 ปี 2010 (พ.ศ. 2553) และหากกรุงเทพมหานครได้รับการยืนยันจาก คณะกรรมการโอลิมปิคสากล (IOC) ให้เป็นเมืองที่เสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาเยาวชนโอลิมปิคฤดูร้อน ครั้งที่ 1 ปี 2010 (พ.ศ. 2553) แล้ว ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และกรุงเทพมหานคร จัดทำรายละเอียด กรอบวงเงินงบประมาณที่จะใช้ในการจัดการแข่งขันเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไปอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ ให้กรุงเทพ มหานครรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรศึกษาวิเคราะห์ ถึงโอกาสความเป็นไปได้ในการเป็นเจ้าภาพ พร้อมทั้งจัดทำแผนการดำเนินการที่ชัดเจนเป็นระบบครอบคลุมตั้งแต่ ขั้นการเตรียมการ ขั้นการดำเนินการแข่งขัน รวมทั้งมีการพิจารณาการจัดสรรผลประโยชน์ และการดำเนินการภาย หลังการแข่งขันแล้วเสร็จ และกำหนดบทบาทความรับผิดชอบในการดำเนินการเป็นเจ้าภาพภายใต้ความร่วมมือของ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กรุงเทพมหานคร และการกีฬาแห่งประเทศไทย ร่วมเป็นเจ้าภาพหลักและร่วมรับ ภาระค่าใช้จ่าย โดยเตรียมการจัดทำรายละเอียดแผนงบประมาณค่าใช้จ่ายให้ชัดเจนและเปิดโอกาสให้ภาคธุรกิจเอก ชนมีส่วนร่วมสนับสนุนการดำเนินการด้วย และความเห็นของสำนักงบประมาณ ที่ให้กรุงเทพมหานครมีส่วนร่วมใน การรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการจัดการแข่งขัน โดยรัฐบาลจะให้การสนับสนุนงบประมาณกับกรุงเทพมหานครในสัด ส่วนไม่เกินร้อยละ 60 ของวงเงินค่าใช้จ่ายที่จะดำเนินการ โดยให้กรุงเทพมหานครขอรับการสนับสนุนงบประมาณ ตามความจำเป็นเป็นปี ๆ ไป ในสัดส่วนเงินอุดหนุนจากรัฐบาลที่จัดสรรให้กรุงเทพมหานคร ตามมติคณะกรรมการ การกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1119 | การปรับเพิ่มราคากลางการจำหน่ายนมพร้อมดื่มในโครงการอาหารเสริม (นม) | กษ | 22/10/2550 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอการปรับเพิ่มราคากลางการจำหน่าย
นมพร้อมดื่มในโครงการอาหารเสริม (นม) ตั้งแต่ภาคเรียนที่ 2/2550 ปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 เพิ่มขึ้น สำหรับ นมพาสเจอร์ไรส์ถุงละ 45 สตางค์ และนมยู. เอช. ที. กล่อง/ซองละ 58 สตางค์ ดังนี้ นมพาสเจอร์ไรส์ ชนิดถุง จาก เดิมถุงละ 4.69 บาท ปรับเพิ่มเป็นราคาถุงละ 5.14 บาท นมยู.เอช.ที. ชนิดกล่อง จากเดิมกล่องละ 5.94 บาท ปรับ เพิ่มเป็นราคากล่องละ 6.52 บาท และ นมยู.เอช.ที. ชนิดซองกระดาษหรือพลาสติก จากเดิมซองละ 5.84 บาท ปรับ เพิ่มเป็นราคาซองละ 6.42 บาท ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งรัดการดำเนินการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ บริหารโครงการอาหารเสริม (นมโรงเรียน) ในคณะกรรมการนโยบายพัฒนาโคนมและผลิตภัณฑ์ ให้แล้วเสร็จโดย เร็ว เพื่อจะได้เกิดความชัดเจนในการบริหารจัดการอาหารเสริม (นม) อย่างเป็นระบบและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิด ขึ้น และให้กระทรวงมหาดไทย (กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น) รับไปประสานขอความร่วมมือองค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่นให้การสนับสนุนการจัดซื้อนมพร้อมดื่มให้ได้ครบตามเป้าหมายของโครงการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1120 | แต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการสภาการศึกษา | ศธ | 22/10/2550 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการสภาการ
ศึกษา ประกอบด้วย ผู้แทนองค์กรเอกชน ผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้แทนองค์กรวิชาชีพ พระภิกษุซึ่ง เป็นผู้แทนคณะสงฆ์ ผู้แทนคณะกรรมการอิสลามแห่งประเทศไทย ผู้แทนองค์กรศาสนาอื่น และกรรมการผู้ทรง คุณวุฒิ จำนวนทั้งสิ้น 41 คน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (22 ตุลาคม 2550) เป็นต้นไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
.....
