ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 53 จากทั้งหมด 102 หน้า แสดงรายการที่ 1041 - 1060 จากข้อมูลทั้งหมด 2039 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 1041 | ขออนุมัติให้องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทยยืมเงินจากกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร เพื่อแก้ปัญหานมดิบล้นตลาด | กษ | 17/02/2552 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบและอนุมัติให้องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค) กู้ยืมเงินจากกองทุนสง เคราะห์เกษตรกร วงเงิน 185 ล้านบาท ระยะเวลาคืนเงินกู้ยืมภายใน 1 ปี เพื่อแก้ปัญหานมดิบล้นตลาดตามมติ คณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นม ครั้งที่ 1/2552 เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2552 โดยให้ อ.ส.ค. ประสาน งานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อจัดซื้อนมโรงเรียนสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5-ชั้นประถมศึกษา ปีที่ 6 ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2552 (เรื่อง แนวทางแก้ปัญหานมดิบล้นตลาด และเรื่อง การ ให้ อ.ส.ค. เป็นกลไกของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหานมดิบล้นตลาด) และให้จัดสรรเงินจากกองทุน ฯ ให้ อ.ส.ค. ยืม จำนวน 185 ล้านบาท โดยไม่เสียดอกเบี้ย กำหนดชำระคืนภายใน 1 ปี เพื่อแก้ปัญหานมดิบล้นตลาด ตามมติคณะ กรรมการ ฯ เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2552 ทั้งนี้ หากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไม่สามารถจัดสรรงบประมาณ เพื่อจัดซื้อนมพร้อมดื่มได้ทั้งหมดตามวงเงินกู้ยืม ให้สำนักงบประมาณจัดงบประมาณเพื่อชดเชยแก่ อ.ส.ค. เพื่อนำ ไปชำระหนี้เงินยืมต่อไป ตามนัยมติคณะกรรมการสงเคราะห์เกษตรกร ครั้งที่ 2/2552 เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2552 โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติ และสำนักงบประมาณ ที่ให้ อ.ส.ค. ประสานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอย่างใกล้ชิดในการจัดซื้อนม โรงเรียนเพื่อให้สามารถจัดซื้อนมพร้อมดื่มได้ทั้งหมดตามวงเงินกู้ยืม และ อ.ส.ค. มีรายได้สำหรับชำระคืนกองทุนสง เคราะห์เกษตรกรได้ตามเป้าหมาย รวมทั้งเร่งรัดจัดทำแผนการแก้ไขปัญหานมดิบล้นตลาดทั้งระบบโดยสร้างการมี ส่วนร่วมของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาราคาน้ำนมดิบตกต่ำได้ในระยะยาว ไปประกอบการ ดำเนินการด้วย 2. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนิน การแก้ปัญหานมทั้งระบบในระยะยาวอย่างยั่งยืนตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2552 (เรื่อง แนว ทางแก้ปัญหานมล้นตลาด และเรื่อง การให้ อ.ค.ส. เป็นกลไกของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหานมดิบล้นตลาด) ให้ แล้วเสร็จโดยเร็ว แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1042 | ร่างพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | มท | 10/02/2552 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ ..)
พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วนำเสนอ สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป โดยร่างพระราชบัญญัติ ฯ มีสาระสำคัญดังนี้ 1. แก้ไขเพิ่มเติมให้ผู้ได้รับบำนาญพิเศษเพราะเหตุทุพพลภาพที่ได้รับรวมกับบำนาญปกติ ถ้ามีจำนวนเงิน รวมไม่ถึงเดือนละ 15,000 บาท ให้ได้รับบำนาญพิเศษเพิ่มขึ้นอีกจนครบ 15,000 บาท และหากจะยื่นขอเปลี่ยน เป็นการรับบำเหน็จพิเศษแทนก็ให้ได้รับเป็นจำนวนเงินเท่ากับบำนาญพิเศษ 60 เดือน 2. แก้ไขเพิ่มเติมให้ผู้ได้รับบำนาญปกติ หรือผู้มีสิทธิจะได้รับบำนาญปกติ หรือผู้รับบำนาญพิเศษเพราะ เหตุทุพพลภาพตาย ให้จ่ายเงินเป็นบำเหน็จตกทอดให้แก่ทายาทผู้มีสิทธิได้รับเป็นจำนวน 30 เท่าของบำนาญราย เดือน รวมกับเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ (ช.ค.บ.) ที่ได้รับหรือมีสิทธิได้รับ 3. ให้ยกเลิกมาตรา 51 หลักการเกี่ยวกับสิทธิการรับบำนาญปกติหรือบำนาญตกทอดกรณีผู้รับบำนาญ ปกติหรือบำนาญตกทอดที่กระทำความผิดต้องคำพิพากษาให้จำคุกหรือตกเป็นบุคคลล้มละลาย โดยยังคงมีสิทธิได้ รับบำนาญปกติหรือบำนาญตกทอดต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1043 | ร่างพระราชกฤษฎีกาให้นำราคาปานกลางของที่ดินที่ใช้อยู่ในการประเมินภาษีบำรุงท้องที่ประจำปี พ.ศ. 2521 ถึง พ.ศ. 2524 มาใช้ในการประเมินภาษีบำรุงท้องที่สำหรับปี พ.ศ. 2552 พ.ศ. .... | มท | 03/02/2552 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาให้นำราคาปานกลางของที่ดินที่ใช้อยู่ในการ
ประเมินภาษีบำรุงท้องที่ประจำปี พ.ศ. 2521 ถึง พ.ศ. 2524 มาใช้ในการประเมินภาษีบำรุงท้องที่สำหรับปี พ.ศ. 2552 พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ มีสาระสำคัญคือ ให้นำราคาปานกลางของที่ดินที่ใช้อยู่ใน การประเมินภาษีบำรุงท้องที่ประจำปี พ.ศ. 2521 ถึง พ.ศ. 2524 ซึ่งใช้ในการประเมินภาษีบำรุงท้องที่สำหรับ ปี พ.ศ. 2551 มาใช้ในการประเมินภาษีบำรุงท้องที่สำหรับปี พ.ศ. 2552 ทั้งนี้ ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกรา คม 2552 เป็นต้นไป และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ และ ให้กระทรวงมหาดไทยประสานกับกระทรวงการคลังเพื่อเร่งรัดดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (25 ธันวาคม 2550) ที่ให้ปรับปรุงราคาปานกลางของที่ดิน หรืออัตราภาษีบำรุงท้องที่ตามสมควร เพื่อให้องค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่นมีรายได้จากการจัดเก็บภาษีดังกล่าวเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันก็ไม่เป็นการเพิ่มภาระแก่ประชาชนมาก เกินไป ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1044 | แนวทางแก้ปัญหานมดิบล้นตลาด | กษ | 28/01/2552 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการการชดเชยราคาน้ำนมดิบเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมและการตรวจสอบ ข้อมูลการบริหารจัดการน้ำนมดิบทั้งระบบ รวมทั้งแนวทางการแก้ไขปัญหานมดิบล้นตลาดไม่มีที่จำหน่ายระหว่าง รอการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีตามผลการหารือร่วมกับเกษตรกร ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดย ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ยืมเงิน จำนวน 346 ล้านบาท จากกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร ไปใช้เพื่อการดัง กล่าว สำหรับชดเชยให้เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม แล้วให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่าย ประจำปีเพื่อชดเชยให้กับกองทุน ฯ ให้ครบถ้วนโดยเร็วต่อไป โดยให้กระทรวงเจ้าสังกัดเป็นผู้พิจารณาแนวทางและ วิธีการในการเบิกจ่ายเงินงบประมาณตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงภายในวงเงินไม่เกิน 346 ล้านบาท ตามความเห็น ของสำนักงบประมาณ 2. เห็นชอบในหลักการให้มีการปรับลดราคากลางนมโรงเรียนและผลิตภัณฑ์นมในตลาดทั่วไป ให้สอด คล้องกับต้นทุนและกลไกตลาด ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้กระทรวงพาณิชย์ โดยคณะกรรม การกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการเร่งพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป 3. ให้กระทรวงมหาดไทยประสานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เพื่อพิจารณาปรับแผนการใช้ จ่ายงบประมาณ พ.ศ. 2552 เพื่อดำเนินการจัดซื้อนมพร้อมดื่มให้เด็กนักเรียนดื่มนมตั้งแต่ชั้นอนุบาลถึงชั้นประถม ศึกษาปีที่ 6 โดยให้พิจารณาระยะเวลาตามเกณฑ์เดิมในวงเงิน 2,030.529 ล้านบาท และให้สำนักงบประมาณ พิจารณาเสนอตั้งงบประมาณให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพิ่มเติมตั้งแต่ปี พ.ศ. 2553 เป็นต้นไป 4. เห็นชอบให้มีการตรวจสอบและกำกับดูแลการใช้นมดิบ 100 เปอร์เซ็นต์ ในการผลิตนมพร้อมดื่มใน โครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน และตลาดทั่วไป ให้ถูกต้องตามฉลาก ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เสนอ 5. เห็นชอบในหลักการให้มีการรณรงค์การบริโภคนมเพิ่มขึ้น ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมดำเนินกิจกรรมกับหน่วยงานภาครัฐที่มีงบประมาณประชาสัมพันธ์ด้านสุข ภาพ เช่น กระทรวงสาธารณสุข เป็นต้น 6. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวง มหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนด แนวทางการดำเนินการแก้ปัญหานมทั้งระบบในระยะยาวอย่างยั่งยืน 7. เห็นชอบในหลักการให้ อปท. หรือหน่วยงานของรัฐที่มีงบประมาณจัดซื้อนมพร้อมดื่มจัดซื้อจากองค์ การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) ได้โดยวิธีกรณีพิเศษ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วย การพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ทั้งนี้ ให้ อ.ส.ค. ได้รับสิทธิพิเศษ ดังกล่าวจนถึงสิ้นเดือนกันยายน 2552 ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง 8. อนุมัติในหลักการให้ อ.ส.ค. ขยายวงเงินกู้เบิกเกินบัญชีกับธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เพิ่ม จาก 100 ล้านบาท เป็น 300 ล้านบาท โดยรายละเอียดเกี่ยวกับการกู้เงินและการค้ำประกันให้เป็นไปตามความ เห็นของกระทรวงการคลัง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1045 | การให้ อ.ส.ค. เป็นกลไกของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหานมดิบล้นตลาด | กษ | 28/01/2552 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการการชดเชยราคาน้ำนมดิบเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมและการตรวจสอบ ข้อมูลการบริหารจัดการน้ำนมดิบทั้งระบบ รวมทั้งแนวทางการแก้ไขปัญหานมดิบล้นตลาดไม่มีที่จำหน่ายระหว่าง รอการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีตามผลการหารือร่วมกับเกษตรกร ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดย ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ยืมเงิน จำนวน 346 ล้านบาท จากกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร ไปใช้เพื่อการดัง กล่าว สำหรับชดเชยให้เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม แล้วให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่าย ประจำปีเพื่อชดเชยให้กับกองทุน ฯ ให้ครบถ้วนโดยเร็วต่อไป โดยให้กระทรวงเจ้าสังกัดเป็นผู้พิจารณาแนวทางและ วิธีการในการเบิกจ่ายเงินงบประมาณตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงภายในวงเงินไม่เกิน 346 ล้านบาท ตามความเห็น ของสำนักงบประมาณ 2. เห็นชอบในหลักการให้มีการปรับลดราคากลางนมโรงเรียนและผลิตภัณฑ์นมในตลาดทั่วไป ให้สอด คล้องกับต้นทุนและกลไกตลาด ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้กระทรวงพาณิชย์ โดยคณะกรรม การกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการเร่งพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป 3. ให้กระทรวงมหาดไทยประสานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เพื่อพิจารณาปรับแผนการใช้ จ่ายงบประมาณ พ.ศ. 2552 เพื่อดำเนินการจัดซื้อนมพร้อมดื่มให้เด็กนักเรียนดื่มนมตั้งแต่ชั้นอนุบาลถึงชั้นประถม ศึกษาปีที่ 6 โดยให้พิจารณาระยะเวลาตามเกณฑ์เดิมในวงเงิน 2,030.529 ล้านบาท และให้สำนักงบประมาณ พิจารณาเสนอตั้งงบประมาณให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพิ่มเติมตั้งแต่ปี พ.ศ. 2553 เป็นต้นไป 4. เห็นชอบให้มีการตรวจสอบและกำกับดูแลการใช้นมดิบ 100 เปอร์เซ็นต์ ในการผลิตนมพร้อมดื่มใน โครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน และตลาดทั่วไป ให้ถูกต้องตามฉลาก ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เสนอ 5. เห็นชอบในหลักการให้มีการรณรงค์การบริโภคนมเพิ่มขึ้น ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมดำเนินกิจกรรมกับหน่วยงานภาครัฐที่มีงบประมาณประชาสัมพันธ์ด้านสุข ภาพ เช่น กระทรวงสาธารณสุข เป็นต้น 6. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวง มหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนด แนวทางการดำเนินการแก้ปัญหานมทั้งระบบในระยะยาวอย่างยั่งยืน 7. เห็นชอบในหลักการให้ อปท. หรือหน่วยงานของรัฐที่มีงบประมาณจัดซื้อนมพร้อมดื่มจัดซื้อจากองค์ การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) ได้โดยวิธีกรณีพิเศษ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วย การพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ทั้งนี้ ให้ อ.ส.ค. ได้รับสิทธิพิเศษ ดังกล่าวจนถึงสิ้นเดือนกันยายน 2552 ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง 8. อนุมัติในหลักการให้ อ.ส.ค. ขยายวงเงินกู้เบิกเกินบัญชีกับธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เพิ่ม จาก 100 ล้านบาท เป็น 300 ล้านบาท โดยรายละเอียดเกี่ยวกับการกู้เงินและการค้ำประกันให้เป็นไปตามความ เห็นของกระทรวงการคลัง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1046 | สรุปผลการดำเนินงานตามแผนอำนวยความสะดวก มั่นคง และปลอดภัยเพื่อรองรับการเดินทางของประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2552 กระทรวงคมนาคม | คค | 20/01/2552 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้
1. รับทราบสรุปผลการดำเนินงานตามแผนอำนวยการความสะดวก มั่นคง และปลอดภัยเพื่อรองรับ การเดินทางของประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2552 ระหว่างวันที่ 30 ธันวาคม 2551-วันที่ 5 มกราคม 2552 รวม 7 วัน ตามแผนงานหลัก 3 แผนงาน ประกอบด้วย แผนงานการให้บริการและอำนวยความสะดวก แผนงาน ด้านความมั่นคง และแผนงานด้านความปลอดภัย โดยสรุป ผลการจากดำเนินงานตามแผนดังกล่าวในช่วงเทศ กาลปีใหม่ 2552 มีเสียชีวิตจำนวน 367 คน บาดเจ็บจำนวน 4,107 คน ลดลงจากช่วงเทศกาลปีใหม่ 2551 โดยอุบัติเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการขับรถเร็วเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้ และเมาสุรา ส่วนอุบัติเหตุที่เกิดจาก ระบบขนส่งสาธารณะ ได้แก่ อุบัติเหตุรถโดยสารสาธารณะ มีผู้โดยสารเสียชีวิตจำนวน 3 คน บาดเจ็บจำนวน 119 คน และอุบัติเหตุทางน้ำ (เรือล่ม) มีผู้เสียชีวิตจำนวน 5 ราย 2. รับทราบข้อสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับเทศกาลตรุษ จีน สงกรานต์ และภาวะปกติ ดังนี้ 2.1 ให้กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบทประสานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นพิจารณาปรับปรุง แก้ไขบริเวณที่เป็นจุดเสี่ยงสำคัญ โดยเฉพาะทางร่วมทางแยกระหว่างถนนทางหลวงแผ่นดินต่อเนื่องกับถนนทาง หลวงชนบท และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้อยู่ในสภาพที่ปลอดภัยต่อการสัญจร 2.2 ให้กรมการขนส่งทางบกดำเนินการเข้มงวดกวดขันในการควบคุมรถโดยสารสาธารณะในเส้น ทางไกลให้ปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง เช่น จำนวนพนักงานขับรถ ระยะพักของพนักงานขับรถ และการใช้เครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่ตรวจวัดความเร็วประจำรถ เป็นต้น 2.3 ให้กรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวีกวดขัน ดูแลสภาพเรือ ท่าเทียบเรือ ให้พร้อมต่อการ ใช้งาน และเข้มงวดให้ผู้โดยสารใส่เสื้อชูชีพขณะเดินทางบนเรือโดยสารสาธารณะให้ครอบคลุมถึงแหล่งท่องเที่ยว ทางน้ำ แม่น้ำ ลำคลองและเขื่อนต่าง ๆ ในพื้นที่รับผิดชอบ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1047 | ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่น (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | มท | 19/11/2551 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่น (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งคณะกรรม การประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป โดยร่างพระราช บัญญัติ ฯ มีสาระสำคัญดังนี้ 1.1 เพิ่มบทนิยามคำว่า "ผู้บริหารท้องถิ่น" เพื่อให้เกิดความชัดเจน และแก้ไขจำนวนผู้มีสิทธิเข้า ชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่นโดยให้ปรับลดจำนวนลงจาก "จำนวนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่ง" เป็น "จำนวนไม่น้อยกว่า หนึ่งในห้าหรือไม่น้อยกว่าห้าพันคน" 1.2 เพิ่มเติมเรื่องการเสนอข้อบัญญัติที่เกี่ยวด้วยการเงิน โดยกำหนดว่าจะเสนอได้เฉพาะที่สอด คล้องกับนโยบายแห่งรัฐและแผนพัฒนาท้องถิ่น และมีคำรับรองของผู้บริหารท้องถิ่น เพื่อให้สอดคล้องกับรัฐ ธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและกฎหมายจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 1.3 แก้ไขรายละเอียดคำร้องขอให้ประธานสภาท้องถิ่นดำเนินการให้สภาท้องถิ่นพิจารณาออก ข้อบัญญัติท้องถิ่น ซึ่งคำร้องขอดังกล่าวต้องมีเนื้อหาสาระของร่างข้อบัญญัติที่ประสงค์จะตราขึ้นอย่างชัดเจน เพียงพอ โดยประชาชนไม่ต้องจัดทำร่างข้อบัญญัติเสนอมาพร้อมกับคำร้องขอ 2. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี กรณีที่สภาท้องถิ่น ได้พิจารณาข้อบัญญัติท้องถิ่นที่ประชาชนเสนอดังกล่าวแล้ว ให้แจ้งผลการดำเนินการให้ประชาชนทราบ ไป พิจารณาด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1048 | แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการในคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (จำนวน 17 คน 1. นายพารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา) | ศธ | 11/11/2551 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเสนอแต่งตั้งประะธาน
กรรมการและกรรมการในคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 17 คน เนื่องจากประธาน กรรมการและกรรมการชุดเดิมครบวาระการดำรงตำแหน่ง โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (11 พฤศจิกายน 2551) เป็นต้นไป ดังนี้ 1. นายพารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา ประธานกรรมการ 2. นายสุกิจ เดชโภชน์ ผู้แทนองค์กรเอกชน 3. นายบรรจง โฆษิตจิรนันท์ ผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 4. นายสมศักดิ์ โล่ห์เลขา ผู้แทนองค์กรวิชาชีพ 5. นายชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 6. นายมังกร กุลวานิช กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 7. ศาสตราจารย์ พันตำรวจตรี ยงยุทธ สาระสมบัติ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 8. ศาสตราจารย์วิริยะ นามศิริพงศ์พันธุ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 9. นายสำรวม พฤกษ์เสถียร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 10. นายประพัฒน์พงศ์ เสนาฤทธิ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 11. นายดิเรก พรสีมา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 12. นายสิทธิรักษ์ จันทร์สว่าง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 13. ผู้ช่วยศาสตราจารย์เรืองเดช วงศ์หล้า กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 14. นายเรืองชัย ทรัพย์นิรันดร์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 15. นายมานิจ สุขสมจิตร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 16. นายสุชาติ เมืองแก้ว กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 17. พระธรรมโกศาจารย์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1049 | แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการในคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (จำนวน 17 คน 1. นายพารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา) | ศธ | 11/11/2551 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเสนอแต่งตั้งประะธาน
กรรมการและกรรมการในคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 17 คน เนื่องจากประธาน กรรมการและกรรมการชุดเดิมครบวาระการดำรงตำแหน่ง โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (11 พฤศจิกายน 2551) เป็นต้นไป ดังนี้ 1. นายพารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา ประธานกรรมการ 2. นายสุกิจ เดชโภชน์ ผู้แทนองค์กรเอกชน 3. นายบรรจง โฆษิตจิรนันท์ ผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 4. นายสมศักดิ์ โล่ห์เลขา ผู้แทนองค์กรวิชาชีพ 5. นายชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 6. นายมังกร กุลวานิช กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 7. ศาสตราจารย์ พันตำรวจตรี ยงยุทธ สาระสมบัติ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 8. ศาสตราจารย์วิริยะ นามศิริพงศ์พันธุ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 9. นายสำรวม พฤกษ์เสถียร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 10. นายประพัฒน์พงศ์ เสนาฤทธิ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 11. นายดิเรก พรสีมา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 12. นายสิทธิรักษ์ จันทร์สว่าง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 13. ผู้ช่วยศาสตราจารย์เรืองเดช วงศ์หล้า กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 14. นายเรืองชัย ทรัพย์นิรันดร์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 15. นายมานิจ สุขสมจิตร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 16. นายสุชาติ เมืองแก้ว กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 17. พระธรรมโกศาจารย์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1050 | ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น พ.ศ. .... | นร | 11/11/2551 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราช
การกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว โดยร่างกฎ กระทรวง ฯ มีสาระสำคัญดังนี้ 1. ให้ยกเลิกกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น พ.ศ. 2545 2. กำหนดภารกิจและอำนาจหน้าที่ของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น 3. ให้แบ่งส่วนราชการกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย ราชการบริหารส่วนกลาง ประกอบด้วย สำนักงานเลขานุการกรม กองการเจ้าหน้าที่ กองคลัง กองกฎหมายและระเบียบท้องถิ่น กองตรวจ สอบระบบการเงินบัญชีท้องถิ่น ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศท้องถิ่น สถาบันพัฒนาบุคลากรท้องถิ่น สำนักบริหาร การคลังท้องถิ่น สำนักพัฒนาระบบบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น และสำนักพัฒนาและส่งเสริมการบริหารงาน ท้องถิ่น และราชการบริหารส่วนภูมิภาค สำนักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจังหวัด 4. กำหนดให้มีกลุ่มพัฒนาระบบบริหาร และกลุ่มตรวจสอบภายใน ขึ้นตรงต่ออธิบดีกรมส่งเสริมการปก ครองท้องถิ่น เพื่อทำหน้าที่ในการพัฒนาการบริหารของกรมให้เกิดผลสัมฤทธิ์ มีประสิทธิภาพ และคุ้มค่า และทำ หน้าที่หลักในการตรวจสอบการดำเนินงานภายในกรม
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1051 | ขอความร่วมมือในการรณรงค์ประชาสัมพันธ์การใช้กระทงจากวัสดุธรรมชาติ | ทส | 04/11/2551 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอขอความร่วมมือ
ประชาชน และหน่วยงานทุกหน่วยงาน โดยเฉพาะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและจังหวัดในการรณรงค์ประชา สัมพันธ์ส่งเสริมการลดปริมาณขยะ ภายใต้แนวคิด หนึ่งครอบครัว หนึ่งกระทง และการใช้กระทงซึ่งประดิษฐ์ จากวัสดุธรรมชาติที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อลดปริมาณขยะพลาสติกและโฟม ลดมลภาวะทางน้ำ และลด ภาวะโลกร้อน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1052 | การดำเนินงานของสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) | สธ | 21/10/2551 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขรายงานผลการดำเนินงานของ
สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ประจำปี พ.ศ. 2550 โดยมีผลการปฏิบัติงานดังนี้ 1. การจัดทำแผนวิจัยและพัฒนาระบบสื่อสารสุขภาพสู่ประชาชน (รสส.) โดยได้นำแนวคิดเรื่อง รสส. ผนวกเข้ากับการจัดทำธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติ โดยมีผลงานวิจัยที่สำคัญคือ การพัฒนาระบบการ สื่อสารสุขภาพผ่านอินเทอร์เน็ต คุณลักษณะที่พึงประสงค์และการรวมกลุ่มนักสื่อสารสุขภาพ (นสส.) การวิจัย และพัฒนาการสื่อสารสุขภาพในกลุ่มแรงงานข้ามชาติ : ไทใหญ่ รวมทั้งการศึกษาพัฒนาข้อเสนอเชิงนโยบายต่อ ระบบสื่อสารสุขภาพและการพัฒนาหลักสูตร 2. การจัดทำแผน 5 ปี (พ.ศ. 2551-พ.ศ. 2555) เพื่อรองรับการดำเนินงานการสำรวจภาวะสุขภาพ และตรวจร่างกายประชาชน 3. การจัดทำแผนงานถ่ายโอนสถานีอนามัยให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยร่วมกับกระทรวง สาธารณสุขเตรียมการเพื่อนำร่องการถ่ายโอนสถานีอนามัยให้แก่องค์การบริหารส่วนตำบล และเทศบาล ซึ่งได้ มีการจัดทำคู่มือการดำเนินการถ่ายโอนภารกิจสาธารณสุขให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 4. การจัดทำแผนสนับสนุนการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพเด็ก โดยคัดเลือกหัวข้อที่ มีความสำคัญเพื่อทำการศึกษาประเมิน จำนวน 10 หัวข้อ อาทิ ข้อบ่งใช้และการชดเชยค่าบริการของ PET-CT scan แนวทางการเบิกค่าใช้จ่ายของยาสำหรับป้องกันและรักษาโรคกระดูกพรุน ต้นทุน-ประสิทธิผลการปลูก ถ่ายไขกระดูกในผู้ป่วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว (acute myeloid leukemia) เป็นต้น 5. การจัดทำแผนพัฒนาสารสนเทศและวิจัยระบบยา มีการดำเนินการ 3 โครงการย่อย ได้แก่ การ วิเคราะห์ข้อมูลการใช้ยาในโรงพยาบาลรัฐ 25 แห่ง โครงการศึกษาความต้องการสารสนเทศอุตสาหกรรมยาใน ประเทศไทย และโครงการศึกษาระบบและระเบียบจัดซื้อยา
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1053 | 6 มาตรการ 6 เดือน ฝ่าวิกฤตเพื่อคนไทยทุกคน | มท | 09/09/2551 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติในหลักการการให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนที่ใช้น้ำประปาจากระบบประปาที่อยู่ในความดู แลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีปริมาณการใช้น้ำไม่เกิน 50 ลูกบาศก์เมตร ต่อเดือน ตามนโยบายรัฐบาล 6 มาตรการ 6 เดือน ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอดังนี้ 1.1 กรอบวงเงินงบประมาณอุดหนุนให้แก่เทศบาลเพื่อเป็นค่าชดเชยค่าใช้น้ำประปาที่อยู่อาศัยของ ระบบประปาเทศบาลที่ดำเนินการในลักษณะเทศพาณิชย์ เป็นระยะเวลา 6 เดือน ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2551 ถึง มีนาคม 2552 หรือตามระยะเวลาที่คณะรัฐมนตรีเห็นสมควร เป็นวงเงินงบประมาณ 540,000,000 บาท โดย ให้เบิกจ่ายงบประมาณตามค่าใช้จ่ายที่เป็นจริง 1.2 ให้ประชาชนที่ใช้น้ำประปาจากระบบประปาหมู่บ้านที่อยู่ในความดูแลของเทศบาลหรือองค์การ บริหารส่วนตำบล และระบบประปาที่องค์การบริหารส่วนตำบลดำเนินการในลักษณะการพาณิชย์ ให้ได้รับความ ความช่วยเหลือตามมาตรการดังกล่าวด้วย โดยดำเนินการภายหลังจากที่ได้มีการรวบรวมข้อมูลจากระบบประปา ทุกแห่งได้ครบถ้วนและนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบอีกครั้งหนึ่งแล้ว 2. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการ เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่ให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นสำรวจข้อมูลระบบประปาทุกระบบที่อยู่ในความ ดูแลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในภาพรวมทั้งประเทศ และการขาดรายได้จากการลดภาระค่าน้ำประปาให้ แก่ประชาชนในเขตให้บริการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแล้วนำเสนอคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นพิจารณาการชดเชยรายได้เพื่อให้รวมอยู่ในสัดส่วนรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้อง ถิ่นต่อรายได้รัฐบาลสุทธิ และเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง และกำหนดกลุ่มและหลักเกณฑ์เงื่อนไข ของผู้ได้รับสิทธิการลดค่าใช้จ่ายน้ำประปา เป็นหลักการเดียวกับที่การประปานครหลวง (กปน.) และการประปา ส่วนภูมิภาค (กปภ.) ใช้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 และ 29 กรกฎาคม 2551 ที่ให้เฉพาะผู้ใช้ น้ำประเภทที่อยู่อาศัย และผู้มีรายได้น้อยที่เช่าอาศัยอาคารชุด หรือห้องเช่าที่ผู้ประกอบการถูกต้องตามกฎหมาย โดยมีระดับราคาไม่เกิน 3,000 บาทต่อห้องต่อเดือน รวมทั้งให้พิจารณาทบทวนการกำหนดหลักเกณฑ์ปริมาณ การใช้น้ำไม่เกิน 50 ลูกบาศก์เมตรต่อเดือน ให้สอดคล้องและเหมาะสมกับความจำเป็นขั้นพื้นฐานในการใช้น้ำใน ปัจจุบัน โดยอาจปรับเป็นไม่เกิน 30 ลูกบาศก์เมตรต่อเดือน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1054 | ขออนุมัติหลักการดำเนินการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวชายฝั่งอ่าวไทย (The Royal Coast หรือ Thailand Rivicra) | กก | 26/08/2551 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติหลักการให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นหน่วยงานรับผิดชอบการบูรณาการและประสาน การดำเนินการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวชายฝั่งทะเลอ่าวไทย โดยให้นำผลการศึกษาสำรวจแหล่งท่องเที่ยวในพื้นที่ชาย ฝั่งทะเลภาคใต้ตอนบน (เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร และระนอง) Thailand Riviera และกรอบความคิดยุทธ ศาสตร์การพัฒนาการท่องเที่ยวชายฝั่งภาคใต้ตอนบนอย่างยั่งยืนเป็นกรอบแนวทางในการดำเนินการ รวมทั้งให้เร่ง รัดดำเนินการโดยเร็วเพื่อให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ 2. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน กระทรวงทรัพ ยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวัฒนธรรม สำนักงานคณะกรรมการ พัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ ที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของทุกภาค ส่วนเพื่อสร้างความเป็นเอกภาพของการทำงานในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวทั้งระบบ ตลอดจนการทำการตลาดใน เชิงรุก โดยเฉพาะในประเทศที่มีนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพการใช้จ่ายในการท่องเที่ยวสูง และให้แต่งตั้งคณะกรรมการ อำนวยการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวชายฝั่งทะเลอ่าวไทย ประกอบด้วยผู้แทนส่วนราชการ ภาคเอกชน ภาคองค์กรปก ครองส่วนท้องถิ่น และชุมชน เพื่อร่วมกันกำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์การดำเนินการ และแต่งตั้งคณะกรรมการ บูรณาการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวชายฝั่งทะเลอ่าวไทย เพื่อจัดทำมาตรการและแผนปฏิบัติการบูรณาการการพัฒนา แหล่งท่องเที่ยว รวมทั้งให้ทำการศึกษาความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของโครงการ (Feasibility Study) รายละ เอียดของรูปแบบการพัฒนาให้ชัดเจน การยอมรับของประชาชนในพื้นที่ รวมทั้งการประกาศและกำหนดเขตพื้นที่ (Zoning) ก่อนดำเนินโครงการในระดับพื้นที่จริง นอกจากนี้ควรให้ความสำคัญกับบทบาทการลงทุนของภาคเอกชน ขีดความสามารถในการรองรับของพื้นที่ (Carrying Capacity) การส่งเสริมบทบาทคณะกรรมการนโยบายการท่อง เที่ยวแห่งชาติ ให้เป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนโครงการ และการบูรณาการโครงการกับการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่ง ทะเลภาคใต้ (Southern Seaboard) ยุทธศาสตร์พัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัด เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1055 | การช่วยเหลือดูแลนักเรียนที่ด้อยโอกาสและยากลำบาก | ศธ | 19/08/2551 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการช่วยเหลือดูแลนักเรียนที่ด้อยโอกาสและยากลำบากตามที่กระทรวง
ศึกษาธิการรายงานว่าได้มอบให้โรงเรียนในสังกัดจัดระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนด้วยการจัดให้มีครูทำหน้าที่เป็น ที่ปรึกษาติดตามดูแลนักเรียนเป็นรายคน มีการเยี่ยมบ้านนักเรียนเพื่อให้ทราบถึงสภาพปัญหาความเป็นอยู่ และ ขอความร่วมมือจากหน่วยงานต่าง ๆ ในการช่วยเหลือดูแลตามความชำนาญและกำลังความสามารถโดยเฉพาะ 1. กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ในการขอใช้เงินกองทุนคุ้มครองเด็กในการแก้ ปัญหาเด็กและเยาวชนที่อยู่สภาวะลำบาก 2. กระทรวงมหาดไทยเพื่อขอความอนุเคราะห์จากผู้ว่าราชการจังหวัดและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ช่วยเหลือดูแลนักเรียนที่อยู่ในสภาวะยากลำบากตามสภาพความจำเป็นในแต่ละพื้นที่ 3. กระทรวงสาธารณสุขเพื่อขอความช่วยเหลือในการรักษาพยาบาลและดูแลนักเรียนและผู้ปกครองที่ เจ็บป่วยเรื้อรัง หรือพิการและการวางระบบที่จะช่วยเหลือดูแลการพัฒนาคุณภาพชีวิตของนักเรียนโดยรวม 4. กระทรวงคมนาคม ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการแก้ปัญหาค่าใช้จ่ายการเดินทางที่เพิ่มสูงขึ้นในกรณี ที่นักเรียนต้องเดินทางไกลเพื่อมาโรงเรียน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1056 | รายงานผลการปฏิบัติงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2550 ของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน | ตผ | 19/08/2551 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการปฏิบัติงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๐ ของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ตามที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ดำเนินการตรวจสอบเงินงบประมาณแผ่นดิน มูลค่างานตามสัญญาซื้อจ้าง จำนวน ๕๕,๘๗๒.๓๗ ล้านบาท ตรวจสอบเพื่อแสดงความเห็นต่องบการเงินรัฐวิสาหกิจ กองทุนและเงินทุน หน่วยงานอิสระ/องค์การมหาชน และหน่วยงานอื่น มีมูลค่าทรัพย์สิน ๑๒,๔๙๐,๓๘๓.๓๘ ล้านบาท (ไม่รวมงบสอบทาน) ๑.๒ ประมาณการความเสียหาย/ค่าเสียโอกาสในภาพรวม สามารถคำนวณเป็นตัวเงินได้รวมทั้งสิ้น ๗,๕๖๑.๓๗ ล้านบาท ประกอบด้วย เงินงบประมาณที่เรียกคืนหรือรายได้ที่จัดเก็บเพิ่ม จำนวน ๑,๖๔๒.๑๘ ล้านบาท และมูลค่าความเสียหายที่รัฐสูญเสียงบประมาณโดยไม่ประหยัดหรือสูญเสียรายได้ จำนวน ๕,๙๑๙.๑๙ ล้านบาท ๒. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐนำผลการตรวจสอบไปปฏิบัติหรือดำเนินการปรับปรุงแก้ไขในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยในส่วนที่เกี่ยวกับราชการส่วนท้องถิ่นให้กระทรวงมหาดไทยกำกับและติดตามตรวจสอบการดำเนินงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่าง ๆ ให้เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาลอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่องด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1057 | รายงานผลการศึกษาเรื่อง สภาวะการขาดแคลนครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษาและข้อเสนอแนวทางแก้ไข | ศธ | 19/08/2551 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 1 ดังนี้
1. อนุมัติในหลักการแนวทางแก้ไขปัญหาการขาดแคลนครู อาจารย์และบุคลากรทางการศึกษาตาม มาตรการระยะเร่งด่วนและมาตรการระยะยาว ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ 2. ให้กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รับไปดำเนินการตามประเด็นอภิปรายของคณะ กรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 1 ดังนี้ 2.1 มาตรการระยะเร่งด่วนควรจัดทำรายละเอียดการขอคืนอัตรากำลังในแต่ละปี 2551-2554 ให้คณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ รับไปประกอบการพิจารณาตามเหตุผลความ จำเป็นเป็นปี ๆ ไป ควรมีหลักการพิจารณาจัดสรรให้สถานศึกษาตามความจำเป็นและสอดคล้องกับการขาด แคลนที่แท้จริง และกระทรวงศึกษาธิการดำเนินการทั้งในส่วนของการปรับการกระจุกตัวของครูในบางพื้นที่ การปรับเปลี่ยนให้มีการกระจายตัวอย่างเหมาะสม นอกจากนั้นคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบาย กำลังคนภาครัฐควรพิจารณาจัดสรรอัตรากำลังให้ปฏิบัติหน้าที่อื่น ๆ ในสถานศึกษาเป็นการเฉพาะเพื่อให้ครู สามารถทำหน้าที่สอนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมทั้งควรส่งเสริมสนับสนุนองค์กรปกครองส่วนท้อง ถิ่นที่มีความพร้อมให้เข้าร่วมจัดการศึกษา และโอนสถานศึกษาไปให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และควรปรับ เกณฑ์การกำหนดอัตราครูใหม่ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ นอกจากนั้นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับ ไปแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้มีการลดหย่อนประโยชน์ต่าง ๆ โดยครอบคลุมแก่สถานศึกษาเอกชนด้วย 2.2 มาตรการระยะยาว ให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งศึกษาจัดทำรายละเอียดการดำเนินการตาม มาตรการระยะยาวอีก 9 ข้อ เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาตามลำดับต่อไป โดยเฉพาะแนวทางขยายเวลา เกษียณอายุราชการของข้าราชการครูในระดับการศึกษาขึ้นพื้นฐานและอุดมศึกษาควรขยายเวลาเกษียณอายุ ราชการของข้าราชการครูและอาจารย์เฉพาะผู้ที่มีความประพฤติดีมีความรู้ความสามารถและมีสุขภาพร่างกาย แข็งแรง ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการจะต้องพิจารณาดำเนินการในส่วนของการเสนอขอแก้ไขกฎหมาย ควรให้ใช้ หน่วยงานผลิตและพัฒนาครูที่มีอยู่ในปัจจุบัน โดยเน้นการให้ความสำคัญกับคุณภาพและมาตรฐานการผลิต ครูและส่งเสริมยกย่องการประกอบวิชาชีพครูเพื่อให้ผู้ที่มีความสามารถสูงนิยมเข้าสู่วิชาชีพดังกล่าวต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1058 | การยืนยันข้อทักท้วงการตรวจสอบงบการเงินเทศบาลเมืองปัตตานี ปี 2543 - 2544 | ตผ | 19/08/2551 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อทักท้วงการตรวจสอบงบการเงินเทศบาลเมืองปัตตานีปีงบประมาณ ๒๕๔๓-๒๕๔๔ โดยสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินภูมิภาคที่ ๑๔ (จังหวัดสงขลา) ได้ยืนยันข้อทักท้วงการตรวจสอบงบการเงินเทศบาลเมืองปัตตานี ปี ๒๕๔๓-๒๕๔๔ ตามมติที่ประชุมคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ครั้งที่ ๓๑/๒๕๔๘ เมื่อวันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๔๘ รวม ๓ กรณี ได้แก่ (๑) การเบิกจ่ายเงินค่าผ้าพื้นเมืองบาติกสำหรับตัดชุดผู้บริหาร พนักงานเทศบาล และลูกจ้างเพื่อใช้แต่งกายในงานรัฐพิธีและงานประเพณีต่าง ๆ จำนวน ๓๐,๐๐๐ บาท (๒) การเบิกจ่ายเงินอุดหนุนเพื่อจัดซื้อรถยนต์ตรวจการให้สำนักงานจังหวัดปัตตานี ๑ คัน ราคา ๒,๖๔๕,๐๐๐ บาท ยี่ห้อ JEEP GRAND CHEROKEE ขับเคลื่อน ๔ ล้อ ขนาดและปริมาตรกระบอกสูบ ๓,๙๕๘ ซีซี ๑๙๕ แรงม้า ๖ สูบ และ (๓) การเบิกจ่ายค่ากุญแจล็อคเกียร์พร้อมอุปกรณ์และเครื่องช่วยบังคับพวงมาลัยเพาเวอร์สำหรับรถยนต์หมายเลขทะเบียน บ ๗๑๖๖ และ บ ๗๑๖๗ จำนวน ๗๓,๘๐๐ บาท โดยไม่เห็นด้วยกับคำชี้แจงของเทศบาลเมืองปัตตานีและผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี และเห็นว่ากรณีหน่วยรับตรวจไม่ดำเนินการตามข้อทักท้วงเป็นการโต้แย้งตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๔๔ วรรคท้าย ที่บัญญัติให้คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินรายงานข้อโต้แย้งต่อสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา และคณะรัฐมนตรี ตามที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเสนอ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยในฐานะเป็นผู้รักษาการและสั่งการให้ถือปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการรับเงิน การเบิกจ่ายเงิน การฝากเงิน การเก็บรักษาเงิน และการตรวจเงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๗ นำผลการตรวจสอบตามข้อทักท้วงของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามความเหมาะสมต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1059 | ยุทธศาสตร์ส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพ และคุ้มครองพิทักษ์สิทธิผู้ด้อยโอกาส | พม | 19/08/2551 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอยุทธศาสตร์ส่งเสริมศักย ภาพและคุ้มครองพิทักษ์สิทธิผู้ด้อยโอกาส เพื่อเป็นเครื่องมือหรือแนวทางในการกำหนดนโยบายและทิศทางใน การดำเนินงานการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ด้อยโอกาสขององค์กรและหน่วยงานต่าง ๆ ตลอดจนข้อเสนอในการ สนับสนุนและส่งเสริมให้หน่วยงานสามารถทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากที่สุด ประกอบด้วย 6 ประเด็นยุทธศาสตร์ 34 มาตรการ และให้สำนักงานส่งเสริมสวัสดิภาพและพิทักษ์เด็ก เยาวชน ผู้ด้อยโอกาส คนพิการ และผู้สูงอายุ ผลักดันการแปลงแผนยุทธศาสตร์ ฯ ไปสู่แผนปฏิบัติการส่งเสริมศักยภาพและคุ้มครอง พิทักษ์ผู้ด้อยโอกาสระดับชาติและระดับจังหวัดในทุกจังหวัด 2. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รับความเห็นของกระทรวงเทคโนโลยีสาร สนเทศและการสื่อสาร กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงบประมาณ สำนัก งานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติเกี่ยวกับการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ ฯ ควรนำเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารไปใช้ประโยชน์ ในการส่งเสริมการประกอบอาชีพการเพิ่มรายได้ของผู้ด้อยโอกาส และนำเอาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อ สารไปสร้างองค์ความรู้ใหม่ ๆ ตลอดจนแผยแพร่แนวทางปฏิบัติให้แก่ผู้ด้อยโอกาสได้อย่างเป็นรูปธรรม และ ในแผนมาตรการต่าง ๆ ควรเพิ่มเรื่องการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ด้อยโอกาสโดยตรงนอกเหนือจากการกำหนด นโยบาย เสนอแนะยุทธศาสตร์ หรือการประสานความร่วมมือต่าง ๆ โดยอาจขอความร่วมมือกับองค์กรปก ครองส่วนท้องถิ่น หรือองค์กรภาคเอกชน หรือสื่อมวลชน เช่น รายการโทรทัศน์ที่มุ่งเสนอข่าวสารเกี่ยวกับวิถี ชีวิตของผู้ด้อยโอกาส เพื่อสร้างเครือข่ายการทำงานให้เกิดผลโดยตรงต่อการช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส และควรมี การกำหนดลำดับขั้นตอนการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ ฯ ว่าจะดำเนินการอย่างไร โดยมีกลยุทธ์ แผนงาน กิจกรรม และระยะเวลาการดำเนินงานทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาวรองรับ เพื่อให้บรรลุผลตามเป้า หมายที่ควรกำหนดไว้ในยุทธศาสตร์ ฯ ด้วย นอกจากนี้ การแปลงแผนยุทธศาสตร์ ฯ ไปสู่การปฏิบัติ ควรมีการ พิจารณาร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเพื่อประโยชน์ในการจัดทำแผนปฏิบัติการประจำปีของส่วนราชการและ จังหวัด และควรประสานการดำเนินงานอย่างใกล้ชิดกับการดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์ 5 ปี สร้างสวัสดิ การสังคมไทย ฉบับที่ 1 (พ.ศ. 2550-พ.ศ. 2554) ซึ่งมีการจัดทำแผนปฏิบัติการทั้งในระดับชาติ และระดับ จังหวัดในลักษณะเดียวกัน รวมทั้งเชื่อมประสานกับการดำเนินงานของภาคีการพัฒนา เพื่อให้การดำเนินงาน ภายใต้บทบาทภารกิจของภาคีการพัฒนาในแต่ละแผนปฏิบัติการมีความชัดเจน ไม่ทับซ้อน และสนับสนุนซึ่ง กันและกัน เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1060 | สรุปสถานการณ์อุทกภัยและการให้ความช่วยเหลือ (ข้อมูล ณ วันที่ 1 สิงหาคม 2551) | มท | 05/08/2551 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลของกระทรวงมหาดไทยเพื่อทราบเกี่ยวกับสถานการณ์อุทกภัย
และการให้ความช่วยเหลือ สรุปได้ดังนี้ สถานการณ์อุทกภัย ระหว่างวันที่ 10 พฤษภาคม-1 สิงหาคม 2551 มีพื้นที่ ประสบภัยรวม 22 จังหวัด 152 อำเภอ 759 ตำบล 4,600 หมู่บ้าน ได้แก่ จังหวัดน่าน กำแพงเพชร อุทัยธานี เชียง ราย เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แม่ฮ่องสอน พระนครศรีอยุธยา อ่างทอง ชัยนาท สุพรรณบุรี จันทบุรี นครราชสีมา หนองคาย อุดรธานี ขอนแก่น ชัยภูมิ สุราษฎร์ธานี ชุมพร และพังงา ราษฎรเดือดร้อน 1,379,391 คน 337,783 ครัวเรือน บ้านเรือนเสียหายทั้งหลัง 10 หลัง บางส่วน 123 หลัง ถนน 1,950 สาย สะพาน 134 แห่ง ฝาย 206 แห่ง พื้นที่การเกษตรถูกน้ำท่วม 470,265 ไร่ ฯลฯ มูลค่าความเสียหายเบื้องต้น 383,274,826 บาท สำหรับ สถานการณ์อุทกภัยปัจจุบันได้คลี่คลายในทุกพื้นที่แล้ว โดยทางจังหวัด อำเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้ เร่งสำรวจความเสียหายเพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราช การเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2546 แล้ว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
.....
