ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1 จากทั้งหมด 102 หน้า แสดงรายการที่ 1 - 20 จากข้อมูลทั้งหมด 2031 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการออกใบอนุญาต หนังสือรับรองการแจ้ง และการให้บริการในการจัดการสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สธ. | 29/07/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการออกใบอนุญาต
หนังสือรับรองการแจ้งและการให้บริการในการจัดการสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอย (ฉบับที่ ..)
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดค่าธรรมเนียมการออกใบอนุญาตและการให้บริการในการจัดการมูลฝอยที่เป็นพิษหรืออันตรายจากชุมชนให้เหมาะสมและสอดคล้องกับภาระค่าใช้จ่ายในการดำเนินเก็บ
ขน และกำจัดมูลฝอยที่เป็นพิษหรืออันตรายจากชุมชนของราชการส่วนท้องถิ่น ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2 | รายงานประจำปี พ.ศ. 2567 ของคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น | ก.ก.ถ. | 24/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๗
ของคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) มีสาระสำคัญ
เช่น ๑) จัดทำร่างแผนการกระจายอำนาจให้แก่อปท. (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๗ - ๒๕๗๑ และร่างแผนปฏิบัติการกำหนดขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่
อปท. (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๗ - ๒๕๗๑ ๒) ถ่ายโอนภารกิจสถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติ
๖๐ พรรษา นวมินทราชินี/โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ให้แก่องค์การบริหารส่วนจังหวัด
(อบจ.) ทั่วประเทศในปีงบประมาณ ๒๕๖๗ จำนวน ๔,๑๙๔ แห่ง ๓)
ออกประกาศกำหนดหลักเกณฑ์การจัดสรรเงินอุดหนุนทั่วไปให้แก่ อปท. ปีงบประมาณ ๒๕๖๗
จำนวน ๑๙๘,๒๔๗.๒๔ ล้านบาท และ ๔) มอบรางวัล อปท. ที่มีการบริหารจัดการที่ดี
ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๗ จำนวน ๖๕ รางวัล (แบ่งเป็น ประเภทดีเลิศ จำนวน ๓ รางวัล
ประเภทโดดเด่นและประเภททั่วไป จำนวน ๖๒ รางวัล) ตามที่คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3 | รายงานผลการพิจารณาแนวทางการดำเนินงานข้อคิดเห็นและข้อสังเกตญัตติเรื่อง การแก้ไขปัญหาและการพัฒนาลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาและลุ่มน้ำทะเลสาบอื่น ๆ อย่างยั่งยืนของคณะกรรมาธิการการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม | นร14 | 24/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาแนวทางการดำเนินงานข้อคิดเห็นและข้อสังเกตญัตติเรื่อง
การแก้ไขปัญหาและการพัฒนาลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาและลุ่มน้ำทะเลสาบอื่น ๆ
อย่างยั่งยืนของคณะกรรมาธิการการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
ได้รับข้อมูลผลการพิจารณาจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว โดยสรุปผลการพิจารณาได้
เช่น ๑) สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติจัดประชุมเชิงวิชาการเพื่อให้ความรู้และสร้างความเข้มแข็งให้กับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในเขตลุ่มน้ำ
ทบทวนแผนแม่บทลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา ร่วมส่งเสริมสนับสนุนในการดำเนินงานขององค์กรบริหารจัดการทรัพยากรน้ำระดับชุมชน
๒) กรมชลประทานถ่ายโอนภารกิจต่าง ๆ ที่อยู่ในเขตลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและจัดตั้งเครือข่ายองค์กรผู้ใช้น้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา
รวมถึงติดตามและเฝ้าระวังการบริหารจัดการน้ำไหลลงสู่ทะเลสาบสงขลาและการระบายน้ำสู่อ่าวไทยอย่างสม่ำเสมอ
๓) กรมประมงมีมาตรการในการดำเนินการเก็บกู้เครื่องมือประมงที่เสื่อมสภาพ
หมดอายุการใช้งานขึ้นจากทะเลสาบ และ ๔)
องค์การกำจัดน้ำเสียดำเนินการประสานงานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดำเนินงานโครงการเพิ่มประสิทธิภาพระบบรวบรวมน้ำเสียและระบบบำบัดน้ำเสียเทศบาลนครสงขลา
เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำเสียไหลลงสู่ทะเลสาบสงขลา เป็นต้น ตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ
และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4 | (ร่าง) แผนพัฒนาสุขภาพจิตแห่งชาติ ฉบับที่ 1 (พ.ศ. 2561-2580) ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2566-2570) | ลคสช. | 24/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อ (ร่าง)
แผนพัฒนาสุขภาพจิตแห่งชาติ ฉบับที่ ๑ (พ.ศ. ๒๕๖๑ - ๒๕๘๐) ระยะที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๖๖ -
๒๕๗๐) และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำแผนพัฒนาสุขภาพจิตแห่งชาติ ฉบับที่ ๑ (พศ. ๒๕๖๑ - ๒๕๘๐) ระยะที่ ๒
(พ.ศ.๒๕๖๖ - ๒๕๗๐) ไปดำเนินการตามขั้นตอนที่เกี่ยวข้อง เพื่อรองรับสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงที่จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตของประชาชนคนไทยในทุกระดับ
โดยร่างแผนพัฒนาสุขภาพจิตดังกล่าว ประกอบด้วย ๔ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์ที่ ๑
ส่งเสริมและป้องกันปัญหาสุขภาพจิตตลอดช่วงชีวิต
ยุทธศาสตร์ที่ ๒ พัฒนาระบบบริการสุขภาพจิตและจิตเวช ยุทธศาสตร์ที่ ๓ ขับคลื่อนและผลักดันมาตรการทางกฎหมาย
สังคม และสวัสดิการ และยุทธศาสตร์ที่ ๔ พัฒนาวิชาการและกลไกการดำเนินงานด้านสุขภาพจิต
ตามที่คณะกรรมการสุขภาพจิตแห่งชาติเสนอ ให้คณะกรรมการสุขภาพจิตแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงมหาดไทย
สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ
รวมทั้งข้อเสนอแนะของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
เห็นว่าการพัฒนาระบบบริการด้านสุขภาพจิตและจิตเวช
ควรเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล โดยเฉพาะทรัพยากรด้านข้อมูลให้อยู่บนระบบคลาวด์ที่ได้มาตรฐานความปลอดภัย กระทรวงมหาดไทย เห็นว่าควรส่งเสริมและสนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านสุขภาพจิต
และควรให้การสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ที่เกี่ยวกับการดูแลงานด้านสุขภาพจิต สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรให้ความสำคัญกับการบูรณาการฐานข้อมูลสุขภาพจิตระดับชาติที่ครอบคลุมผลการดำเนินงานและปัจจัยที่กระทบต่อสุขภาพจิตของคนไทย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5 | การเตรียมการรองรับสถานการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดนไทย - กัมพูชา | นร. | 17/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า สืบเนื่องจากการลงพื้นที่ตรวจราชการที่จังหวัดสุรินทร์เมื่อวันที่
๑๑ มิถุนายน ๒๕๖๘ เพื่อติดตามสถานการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดนไทย - กัมพูชา
และได้รับฟังข้อเสนอแนะจากผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่ชายแดนดังกล่าว ได้แก่
จังหวัดสุรินทร์ อุบลราชธานี สระแก้ว บุรีรัมย์ และศรีสะเกษ
รวมทั้งการรายงานสถานการณ์จากหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ (กองทัพภาคที่ ๒)
ตลอดจนปัญหาต่าง ๆ และแนวทางการแก้ไข ดังนั้น
เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมในทุกมิติทั้งด้านความมั่นคงและการดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่บริเวณชายแดนไทย
- กัมพูชา จึงขอมอบหมายการดำเนินการ ดังนี้ ๑. ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ
ดังนี้ ๑.๑
จัดทำหรือซ่อมแซมสถานที่หลบภัยเพื่อป้องกันอันตรายในพื้นที่ต่าง ๆ ครอบคลุมพื้นที่
๗ จังหวัดชายแดน ได้แก่ จังหวัดสุรินทร์ อุบลราชธานี สระแก้ว บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ
จันทบุรี และตราด ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงจากสถานการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดนไทย
- กัมพูชา ให้เหมาะสมและเพียงพอ โดยจะต้องมีโครงสร้างของสถานที่หลบภัยที่มั่นคง
แข็งแรง และพร้อมใช้งานได้ทันทีเมื่อเกิดภัยขึ้น ๑.๒
จัดเตรียมแผนและกำลังพลในการปกป้องดูแลพื้นที่ส่วนหลังเพิ่มเติมจากพื้นที่ในความรับผิดชอบของกองกำลังส่วนหน้าของหน่วยงานความมั่นคง
เพื่อปกป้องดูแลและสร้างความปลอดภัยให้แก่ประชาชนในพื้นที่ โดยให้กำนัน
ผู้ใหญ่บ้าน ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) กองอาสารักษาดินแดน (อส.) หน่วยงานในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ร่วมกันปฏิบัติหน้าที่เชิงกลยุทธ์และการข่าว รวมทั้งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดที่เกี่ยวข้องบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานความมั่นคงอย่างใกล้ชิดด้วย ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการร่วมกับกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งสร้างการรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการใช้สถานที่หลบภัยให้แก่นักเรียน
นักศึกษา และประชาชนในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อความไม่ปลอดภัย
รวมทั้งพิจารณาความเหมาะสมในการปรับหลักสูตรการศึกษา
โดยเพิ่มเนื้อหาเกี่ยวกับการใช้สถานที่หลบภัยที่ถูกต้องและมีประสิทธิภาพ เพื่อเป็นการปลูกฝังและสร้างการตระหนักรู้
รวมทั้งเตรียมความพร้อมในการรับมือต่อสถานการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดนที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที ๓.
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับหน่วยงานความมั่นคงเร่งจัดทำเส้นทางตรวจการณ์และยุทธวิธีในพื้นที่บริเวณชายแดนไทย
- กัมพูชาให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
เพื่ออำนวยความสะดวกในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้
การดำเนินการในข้างต้นเป็นการเตรียมความพร้อมในการรับมือต่อสถานการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดนไทย
- กัมพูชา ที่อาจจะเกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม
รัฐบาลขอให้ความมั่นใจกับประชาชนว่ารัฐบาลจะเร่งแก้ไขสถานการณ์ดังกล่าวให้คลี่คลายลงโดยเร็วที่สุดและจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์ปะทะรุนแรงในพื้นที่แต่ประการใด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
6 | ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. .... | พม. | 10/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. ๒๕๔๖ ทั้งฉบับที่ใช้บังคับมาเป็นเวลานาน
และปรับปรุงเป็นฉบับใหม่ เพื่อให้สอดคล้องและเหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบัน ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย
กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานศาลยุติธรรม
สำนักงานอัยการสูงสุด กรุงเทพมหานคร
และคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนไปประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป ดังนี้ กระทรวงมหาดไทย เห็นว่าเกี่ยวกับการแต่งตั้งพนักงานคุ้มครองเด็กที่กำหนดให้รัฐมนตรีและองค์การบริหารส่วนจังหวัดอาจแต่งตั้งพนักงานคุ้มครองเด็กได้
ส่วนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอาจแต่งตั้งผู้ช่วยพนักงานคุ้มครองเด็กตามมาตรา
๒๙ และ ๓๐ ซึ่งไม่สอดคล้องกับมาตรา ๑๘ (๔) ประกอบมาตรา ๓๑
ที่กำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นส่งเสริมให้มีพนักงานคุ้มครองเด็กในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและต้องจัดให้มีพนักงานคุ้มครองเด็กในจำนวนที่เหมาะสมและเพียงพอต่อการปฏิบัติหน้าที่
ซึ่งอาจทำให้เกิดความสับสนในการปฏิบัติได้ กระทรวงศึกษาธิการ เห็นควรกำหนดให้พนักงานเจ้าหน้าที่ส่งเสริมความประพฤตินักเรียนและนักศึกษา
มีหน้าที่และอำนาจในการตรวจค้น ยึด อายัดบารากู่ บารากู่ไฟฟ้าหรือบุหรี่ไฟฟ้า
หรือยาเสพติดอื่นใดที่นักเรียนและนักศึกษานำมาหรือพกติดตัวไป
เพื่อนำส่งเจ้าพนักงานตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องไว้ในร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก
พ.ศ. .... มาตรา ๘๕ และกำหนดให้พนักงานเจ้าหน้าที่ส่งเสริมความประพฤตินักเรียนและนักศึกษาเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา
เพื่อเป็นการคุ้มครองการปฏิบัติหน้าที่พนักงานส่งเสริมความประพฤตินักเรียนและนักศึกษา
ไว้ในร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. .... มาตรา ๘๕ วรรคสอง เป็นต้น ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง
กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว
ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ๓.
ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. สำนักงาน
ก.พ.ร. สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานอัยการสูงสุด และกรุงเทพมหานครไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย สำนักงาน ก.พ. เห็นว่าการกำหนดให้มีพนักงานคุ้มครองเด็กในจำนวนที่เหมาะสมตามที่ระบุในร่างมาตรา ๓๑ นั้น
หน่วยงานของรัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นควรคำนึงถึงหลักการและแนวทางการบริหารจัดการอัตรากำลังตามที่คณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ
กำหนดไว้ในมาตรการบริหารจัดการกำลังคนภาครัฐ (พ.ศ. ๒๕๖๖ - ๖๕๗๐)
ที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบในการประชุมเมื่อวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๖๖ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นว่าการจัดให้มีอาสาสมัครคอยช่วยเหลือดูแลเด็กในครอบครัวในพื้นที่
ควรบูรณาการเชื่อมโยงการดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานทั้งภาครัฐ องค์กรเอกชน และมูลนิธิต่าง
ๆ ที่มีอาสาสมัครประเภทต่าง ๆ ในพื้นที่อยู่แล้ว เพื่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
7 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง ญัตติเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนอันเกิดจากลิง ของคณะกรรมาธิการการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎร | ทส. | 04/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา
เรื่อง ญัตติเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนอันเกิดจากลิง ของคณะกรรมาธิการการที่ดิน
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นด้วยกับข้อเสนอแนะของสภาผู้แทนราษฎร
ในเรื่องการเร่งดำเนินการจัดการประชากรลิง จัดหาสถานที่เพื่อดูแลลิง
เพื่อให้การแก้ปัญหามีประสิทธิภาพอย่างยั่งยืน
โดยมีการบริหารจัดการอาหารเหลือจากตลาดเพื่อนำมาให้ลิง ลดปัญหาลิงรบกวนประชาชน และจัดสถานที่เพื่อสร้างสถานที่ดูแลลิงรบกวนประชาชนในพื้นที่
รวมถึงได้แจ้งเวียนประกาศคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
เรื่อง
การกำหนดกิจการอื่นใดที่เป็นผลประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่นที่เป็นหน้าที่และอำนาจขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
: ด้านการแก้ไขปัญหาสัตว์ป่าที่ก่อให้เกิดผลกระทบหรือสร้างความเดือดร้อนต่อประชาชน
ลงวันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๖๗ และประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง
แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. ๒๕๖๒ (ฉบับที่
๒) พ.ศ. ๒๕๖๗ เพื่อประโยชน์ในการดำเนินการแก้ไขปัญหาสัตว์ป่าที่ก่อให้เกิดผลกระทบหรือสร้างความเดือดร้อน
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เพื่อปรับขึ้นอัตราภาษีสรรพสามิตสินค้าน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน ประเภทน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซล | กค. | 06/05/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขบัญชีท้ายกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต
พ.ศ. ๒๕๖๐ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ๔๑)
พ.ศ. ๒๕๖๘ โดยปรับขึ้นอัตราภาษีสินค้าน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน
ประเภทน้ำมันเบนซินและดีเซล ๑ บาทต่อลิตร
เพื่อส่งผลให้รัฐมีรายได้เพิ่มขึ้นอันจะทำให้ฐานะการคลังมีความมั่นคงและรักษาเสถียรภาพทางการคลังของประเทศ
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงพลังงาน
สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเพื่อให้มีการปรับลดเงินนำส่งกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเท่ากับภาษีสรรพสามิตและภาษีเพื่อราชการส่วนท้องถิ่นที่เพิ่มขึ้น
เพื่อไม่ให้การปรับขึ้นอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซลในครั้งนี้มีผลกระทบต่อราคาขายปลีกของน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซล ๓.
ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาระยะเวลาการดำเนินการบังคับใช้กฎกระทรวงในเรื่องนี้ให้มีความเหมาะสม
โดยมิให้ส่งผลกระทบต่อราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซลของประชาชน และรับความเห็นของกระทรวงพลังงานและสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงพลังงาน เห็นว่าหากเกิดสถานการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซลจนกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงขาดสภาพคล่อง
ให้กระทรวงการคลังโดยกรมสรรพสามิต พิจารณาปรับลดอัตราภาษีและน้ำมันดีเซลลง
เพื่อรักษาระดับราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมในกรณีที่เกิดวิกฤตการณ์ด้านราคาน้ำมันเชื้อเพลิงด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
9 | ผลการพิจารณาญัตติมาตรการป้องกัน ฟื้นฟู และเยียวยาผลกระทบจากสถานการณ์โรงงานผลิตพลุและดอกไม้เพลิงระเบิด | มท. | 08/04/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณาญัตติมาตรการป้องกัน
ฟื้นฟู และเยียวยาผลกระทบจากสถานการณ์โรงงานผลิตพลุและดอกไม้เพลิงระเบิด สรุปผลได้ว่า
กระทรวงมหาดไทย (กรมการปกครอง)
ได้ดำเนินการกำหนดมาตรการเพื่อความปลอดภัยที่เกี่ยวข้องกับดอกไม้เพลิงโดยตลอด
โดยซักซ้อมความเข้าใจในการพิจารณาออกใบอนุญาตให้สั่งดอกไม้เพลิงถึงผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด
และจัดทำ “แนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับดอกไม้เพลิง ตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน
เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียม อาวุธปืน พ.ศ. ๒๔๙๐”
เพื่อให้นายทะเบียนท้องที่ได้ถือเป็นแนวทางปฏิบัติ เป็นต้น นอกจากนี้
ได้จัดประชุมทบทวนความเหมาะสมและกำหนดมาตรการเกี่ยวกับการค้าและการผลิตดอกไม้เพลิง
ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อทบทวนความเหมาะสมของประกาศกระทรวงกลาโหม
กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงแรงงาน และกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง
หลักเกณฑ์การควบคุมและการกำกับ ดูแลการผลิต การค้า การครอบครอง
การขนส่งดอกไม้เพลิง และวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตดอกไม้เพลิง พ.ศ. ๒๕๔๗
และกำหนดแนวทางร่วมกันระหว่างหน่วยงาน
รวมทั้งได้จัดทำรายงานผลการดำเนินการฟื้นฟูและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์โรงงานผลิตพลุและดอกไม้เพลิงระเบิด
โดยเป็นการประสานความร่วมมือทั้งในส่วนภาครัฐ ภาคประชาสังคม และภาคเอกชน
ตลอดจนได้มีการตรวจสอบสถานประกอบการที่เข้าข่ายเป็นผู้ผลิตดอกไม้เพลิงโดยบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
อาทิ สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
พร้อมรายงานผลการดำเนินการให้กรมการปกครองทราบ ตามที่กระทรวงมหาไทยเสนอ
และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
10 | ข้อเสนอเชิงนโยบาย "3 เร่ง 3 ลด 3 เพิ่ม" เพื่อส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัยในสภาวะวิกฤตเป็นวาระแห่งชาติ | ศธ. | 27/03/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อเสนอเชิงนโยบาย “๓ เร่ง
๓ ลด ๓ เพิ่ม” เพื่อส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัยในสภาวะวิกฤต และเห็นชอบข้อเสนอเชิงนโยบาย
“๓ เร่ง ๓ ลด ๓ เพิ่ม” เพื่อส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัยในสภาวะวิกฤต
เป็นวาระแห่งชาติ รวมทั้งเห็นชอบให้กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงมหาดไทย
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงสาธารณสุข กรุงเทพมหานคร
และหน่วยงานอื่นของรัฐ หรือเอกชนที่มีสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยภายใต้การกำกับดูแลและรับผิดชอบ
หรือที่มีวัตถุประสงค์ในการจัดการศึกษาให้แก่เด็กปฐมวัย ร่วมกันขับเคลื่อนข้อเสนอเชิงนโยบาย
“๓ เร่ง ๓ ลด ๓ เพิ่ม” เพื่อส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัยในสภาวะวิกฤต
ด้วยโครงการ/กิจกรรมของหน่วยงานอย่างจริงจัง ต่อเนื่อง และเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน ตามที่คณะกรรมการนโยบายการพัฒนาเด็กปฐมวัยเสนอ ให้คณะกรรมการนโยบายการพัฒนา เด็กปฐมวัย
สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อเสนอแนะของกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงมหาดไทย เห็นควรให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัยในสภาวะวิกฤต
ซึ่งเป็นไปตามอำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการจัดการ ส่งเสริม
และสนับสนุนการจัดการศึกษา รวมทั้งการจัดการหรือสนับสนุนการดูแลและพัฒนาเด็กเล็ก
ตามมาตรา ๔๕ (๗ ตรี) แห่งพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. ๒๕๔๐
แก้ไขเพิ่มเติมถึง (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๖๒ มาตรา ๕๐ (๖) แห่งพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ.
๒๔๙๖ แก้ไขเพิ่มเติมถึง (ฉบับที่ ๑๔) พ.ศ. ๒๕๖๒ และมาตรา ๖๗ (๕)
แห่งพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. ๒๕๓๗ แก้ไขเพิ่มเติมถึง
(ฉบับที่ ๗) พ.ศ. ๒๕๖๒ กระทรวงสาธารณสุข เห็นควรเพิ่มข้อมูลการดูแลสุขภาพเด็กโดยใช้มาตรการ
ด้านสุขภาพ 4D ประกอบด้วย ๑) Diet : ได้แก่ การส่งเสริมให้เด็กปฐมวัยมีการเจริญเติบโตอย่างสมวัย
การรับประทานอาหารที่เหมาะสมตามวัย ๒) Development & Play : ได้แก่ การส่งเสริมให้เด็กปฐมวัยมีพัฒนาการสมวัยทั้ง ๕ ด้าน
โดยบูรณาการผ่านการเล่น ๓) Dental : ได้แก่ มีการดูแลสุขภาพช่องปากและฟันเด็กปฐมวัยอย่างถูกต้อง
และ ๔) Disease : ได้แก่ ส่งเสริมให้เด็กมีสุขภาพที่ดีไม่เจ็บป่วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ โครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณแยกเกียกกาย ช่วงที่ 3 ก่อสร้างทางยกระดับและถนนฝั่งพระนคร จากแม่น้ำเจ้าพระยาถึงแยกสะพานแดง | มท. | 18/03/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณโครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณแยกเกียกกาย
ช่วงที่ ๓ ก่อสร้างทางยกระดับและถนนฝั่งพระนคร จากแม่น้ำเจ้าพระยาถึงแยกสะพานแดง
ในวงเงิน ๘๗๕,๕๐๐,๐๐๐ บาท
สัดส่วนเงินอุดหนุนของรัฐบาล ร้อยละ ๕๐ เป็นเงิน ๔๓๗,๗๕๐,๐๐๐ บาท และงบประมาณกรุงเทพมหานคร ร้อยละ ๕๐ เป็นเงิน ๔๓๗,๗๕๐,๐๐๐ บาท โดยในส่วนเงินอุดหนุนของรัฐบาล จำนวน
๔๓๗,๗๕๐,๐๐๐ บาท จะดำเนินการโอนเงินจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘
ภายใต้แผนงานยุทธศาสตร์ส่งเสริมการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผลผลิตการจัดบริการสาธารณะ
จากงบเงินอุดหนุนทั่วไป
รายการเงินอุดหนุนสำหรับชดเชยรายได้ไห้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ได้รับผลกระทบจากการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
จำนวน ๔๙,๐๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อไปตั้งจ่ายในรายการโครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณแยกเกียกกาย
ช่วงที่ ๓ ก่อสร้างทางยกระดับและถนนฝั่งพระนคร จากแม่น้ำเจ้าพระยาถึงแยกสะพานแดง
จำนวน ๔๙,๐๐๐,๐๐๐ บาท ส่วนที่เหลือ
จำนวน ๓๘๘,๗๕๐,๐๐๐ บาท จะขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๙ - ๒๕๗๐ ต่อไป ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยเร่งรัดติดตามการดำเนินโครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณแยกเกียกกายให้แล้วเสร็จโดยเร็วภายในกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญาอย่างเคร่งครัด ให้กระทรวงมหาดไทย (กรุงเทพมหานคร)
รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไปดำเนินการต่อไปด้วย เช่น กระทรวงการคลัง เห็นควรให้ความสำคัญกับการควบคุม
และกำกับดูแลการดำเนินงานตามโครงการดังกล่าวให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เห็นควรให้กระทรวงมหาดไทยเร่งรัดกรุงเทพมหานครให้ดำเนินการโครงการก่อสร้างช่วงที่ ๑ และช่วงที่ ๒
ให้แล้วเสร็จตามแผนงาน |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12 | ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนพยัคฆภูมิพิสัย จังหวัดมหาสารคาม พ.ศ. .... | มท. | 11/03/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนพยัคฆภูมิพิสัย
จังหวัดมหาสารคาม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ใช้บังคับผังเมืองรวม
ในท้องที่ตำบลลานสะแก ตำบลก้ามปู ตำบลปะหลาน และตำบลเมืองเสือ อำเภอพยัคฆภูมิพิสัย
จังหวัดมหาสารคาม เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา และการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท
ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค
บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม
โดยส่งเสริมและพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนพยัคฆภูมิพิสัยให้เป็นศูนย์กลางบริหาร การปกครอง
การเศรษฐกิจ การบริหารสังคม และการคมนาคมขนส่ง ส่งเสริม สนับสนุน
และอนุรักษ์เกษตรกรรมบริเวณทุ่งกุลาร้องไห้ เพื่อเป็นแหล่งปลูกข้าวหอมมะลิ
อนุรักษ์พื้นที่ที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์และเอกลักษณ์วัฒนธรรม และส่งเสริมให้มีการอนุรักษ์พื้นที่โล่งริมแหล่งน้ำและคูเมืองโบราณที่สำคัญของเมือง
เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการผังเมือง ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข
และกระทรวงอุตสาหกรรมไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เห็นว่าการใช้ประโยชน์ที่ดินในพื้นที่ย่านชุมชนพยัคฆภูมิพิสัย
ควรคำนึงถึงความสอดคล้องและส่งเสริมการอนุรักษ์
รักษาอัตลักษณ์ของย่านชุมชนเก่าให้คงอยู่ กระทรวงสาธารณสุข เห็นว่ากิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพตามกฎหมายว่าด้วยการสาธารณสุข
ซึ่งให้อำนาจองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการออกข้อบัญญัติท้องถิ่นเพื่อการพิจารณาอนุญาตและควบคุมสถานประกอบกิจการ
โดยการพิจารณาอนุญาตกิจการจึงต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อการดำรงชีวิตที่ปกติสุขของประชาชน |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13 | ผลการพิจารณารายงานผลการศึกษา เรื่อง การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ของคณะกรรมาธิการศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณ สภาผู้แทนราษฎร | สงป. | 28/01/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณารายงานผลการศึกษา
เรื่อง การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗
ของคณะกรรมาธิการการศึกษาจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณ สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งสำนักงบประมาณได้พิจารณาข้อสังเกตร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
สรุปได้ ดังนี้ (๑) การพิจารณาปรับปรุงกฎหมายและหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับวิธีการงบประมาณ
เนื่องจากความล่าช้าของงบประมาณประจำปี
กฎหมายและหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับวิธีการงบประมาณในปัจจุบันสามารถรองรับให้มีการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณที่ล่วงไปแล้ว
ไปพลางก่อนได้ (๒) การทบทวนแผนและเป้าหมายระดับชาติ
รวมทั้งตัวชี้วัดเพื่อให้สามารถบรรลุผลได้จริง
ปัจจุบันสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะสำนักงานเลขานุการของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติได้ดำเนินการปรับปรุงแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติเพื่อให้สามารถสะท้อนการปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
(๓) การปรับปรุงกรอบอัตรากำลังบุคลากรภาครัฐ
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีการพิจารณาจัดสรรงบประมาณตามแผนงานบุคลากรภาครัฐแก่หน่วยรับงบประมาณ
โดยคำนึงถึงความคุ้มค่าและการเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งนี้
อาจมีกลไกการปฏิบัติงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการพิจารณาจัดสรรงบประมาณ
(๔) การเพิ่มรายได้ภาครัฐใหม่และการพิจารณาเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ภาครัฐ
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีการกำหนดกลยุทธ์ในการเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บภาษี
การจัดโครงการรับชำระค่าภาษีอากรเพิ่ม ณ จุดเดียว (One Stop Service) สำหรับผู้ประกอบการที่เสียภาษีอากรสำหรับการนำเข้าของ
หรือส่งของออกไม่ถูกต้องหรือไม่ครบถ้วน
ให้สามารถดำเนินการชำระค่าภาษีอากรที่ขาดให้ครบถ้วนได้ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม
๒๕๖๔-๓๐ กันยายน ๒๕๖๙ เป็นระยะเวลา ๕ ปี และ (๕) การให้ความสำคัญกับงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ให้ความสำคัญกับการถ่ายโอนภารกิจและเพิ่มงบประมาณให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
โดยพิจารณาอยู่บนพื้นฐานของความเหมาะสมและความแตกต่างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแต่ละรูปแบบ
รวมถึงได้มีการจัดทำแบบเรียนออนไลน์เกี่ยวกับการจัดทำคำของบประมาณเงินอุดหนุนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในทุกรายการ
ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14 | ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนย่านดินแดง–อิปัน–สินปุน จังหวัดสุราษฎร์ธานี พ.ศ. .... | มท. | 13/01/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง
การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนย่านดินแดง - อิปัน - สินปุน จังหวัดสุราษฎร์ธานี
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่ตำบลอิปัน
และตำบลสินปุน อำเภอพระแสง จังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาและการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท
ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สินการคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค
บริการสาธารณะและสภาพแวดล้อม
เพื่อให้สอดคล้องกับการพัฒนาระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ซึ่งมีนโยบายและมาตรการเพื่อจัดระบบการใช้ประโยชน์ที่ดิน โครงข่ายคมนาคมขนส่งและบริการสาธารณะให้มีประสิทธิภาพ
สามารถรองรับและสอดคล้องกับการขยายตัวของชุมชนในอนาคต
รวมทั้งส่งเสริมและพัฒนาเศรษฐกิจ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ
และแจ้งให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติทราบต่อไป เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เห็นว่าหากมีความประสงค์จะใช้ประโยชน์ในเขตพื้นที่ป่า ต้องดำเนินการขออนุญาตให้ถูกต้องตามกฎหมาย
ระเบียบ มติคณะรัฐมนตรี ตลอดจนนโยบายที่เกี่ยวข้อง กระทรวงสาธารณสุข
เห็นว่าเจ้าพนักงานท้องถิ่นที่ต้องควบคุม กำกับ ดูแล สถานประกอบกิจการตามที่ราชการส่วนท้องถิ่นได้ตราข้อบัญญัติท้องถิ่นให้กิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพเป็นกิจการที่ต้องควบคุมในเขตพื้นที่รับผิดชอบของราชการส่วนท้องถิ่นนั้น
เพื่อป้องกันผลกระทบต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อม |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15 | มาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ (ฝุ่นละออง PM2.5) | นร. | 07/01/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า คณะรัฐมนตรีได้มีมติ
(๒๙ ตุลาคม ๖๕๖๗) มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงการต่างประเทศ
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพาณิชย์
กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หารือร่วมกันเพื่อกำหนดมาตรการต่าง ๆ
ในการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ (ฝุ่นละออง PM2.5) ในพื้นที่ต่าง
ๆ ของประเทศให้เหมาะสมและครบถ้วนทั้งที่เป็นปัญหามลพิษจากการเผาตอซังและพืชไร่ในภาคการเกษตร
ควันและไอเสียของยานพาหนะที่ปล่อยควันดำเกินค่ามาตรฐาน และฝุ่นควันจากภาคอุตสาหกรรม
และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการตามมาตรการต่าง ๆ
ตามหน้าที่และอำนาจให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว นั้น ในขณะนี้
ประเทศไทยได้เข้าสู่ฤดูหนาวและปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 เริ่มรุนแรงขึ้นและภาพถ่ายดาวเทียมยังแสดงให้เห็นว่าในบางจังหวัดมีจุดความร้อน
(Hotspot) เพิ่มมากขึ้นด้วย จึงขอมอบหมายให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องดำเนินการในเรื่องต่าง
ๆ เพิ่มเติม ดังนี้ ๑. มาตรการเกี่ยวกับพืชผลทางการเกษตร ๑.๑
ให้กระทรวงอุตสาหกรรมเร่งกำหนดมาตรการเพิ่มเติม
เพื่อให้ผู้ประกอบการอ้อยและน้ำตาลทรายงดการรับซื้ออ้อยไฟไหม้อย่างเด็ดขาด ๑.๒ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติอย่างเคร่งครัด
และเข้มงวดกับผู้เผาป่า ตอซังข้าว ข้าวโพด อ้อย และพืชอื่น ๆ
รวมทั้งให้มีการประกาศกำหนดเขตควบคุมมลพิษให้ชัดเจนและเหมาะสม
โดยขอให้ภาคประชาสังคมเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการดังกล่าวให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็วด้วย ๑.๓
ให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งกำหนดมาตรการห้ามนำเข้าสินค้าเกษตรที่มีกระบวนการผลิตที่เกี่ยวข้องกับการเผาอย่างเด็ดขาด ๑.๔ ให้กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย
หน่วยงานความมั่นคง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร)
รวมกันดำเนินการตรวจสอบและจับกุมการลักลอบน้ำเข้าพืชผลทางการเกษตรที่เกี่ยวข้องกับการเผา
ตามแนวชายแดนทุกด้านของประเทศอย่างเข้มงวด ๒. มาตรการลดมลพิษทางอากาศ (ฝุ่นละออง PM2.5) ๒.๑
ให้กระทรวงคมนาคมเร่งดำเนินการตรวจสอบ ตรวจจับ และระงับการใช้ยานพาหนะที่ปล่อยควันดำจากท่อไอเสียเกินมาตรฐานอย่างจริงจัง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถกระบะ รถโดยสารสาธารณะ รถบรรทุกขนาดใหญ่
รวมทั้งรถโดยสารประจำทางทั้งที่เป็นของหน่วยงานของรัฐและรถร่วมบริการ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16 | การขอขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (United Nations Development Programme: UNDP) ในการดำเนินงานศูนย์นวัตกรรมระดับภูมิภาค กรุงเทพมหานคร-UNDP (Bangkok-UNDP Regional Innovation Center: RIC) หรือห้องปฏิบัติการนโยบายประเทศไทย (Thailand Policy Lab: TPLab) | นร.11 สศช | 07/01/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติขยายระยะเวลาดำเนินโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (United Nations Development
Programme : UNDP) ในการดำเนินงานศูนย์นวัตกรรมระดับภูมิภาค กรุงเทพมหานคร - UNDP (Bangkok - UNDP Regional Innovation Center :
RIC) หรือห้องปฏิบัติการนโยบายประเทศไทย (TPLab) (โครงการความร่วมมือ RIC) นับแต่วันสิ้นสุดความตกลงความเป็นหุ้นส่วนระหว่างรัฐบาลไทยกับ
UNDP ในการดำเนินงานศูนย์ RIC ในประเทศไทย
ในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๗ เป็นวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘
ภายใต้กรอบวงเงินโครงการความร่วมมือ RIC ที่ได้รับอนุมัติไว้เดิม
และเห็นชอบร่างพิธีสารเพื่อแก้ไขความตกลงความเป็นหุ้นส่วนระหว่างรัฐบาลไทยกับ UNDPในการดำเนินงานศูนย์ RIC ในประเทศไทย โดยให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามในร่างพิธีสารฯ
ของฝ่ายไทย พร้อมทั้งมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศ จัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full
Powers) ให้แก่ผู้ลงนาม ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างพิธีสารฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17 | มาตรการรองรับฤดูแล้ง ปี 2567/2568 และโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเพื่อรองรับสถานการณ์ภัยแล้ง และฝนทิ้งช่วง ปี 2568 | นร.14 | 24/12/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. รับทราบมาตรการรองรับฤดูแล้ง ปี
๒๕๖๗/๒๕๖๘
และโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเพื่อรองรับสถานการณ์ภัยแล้ง
และฝนทิ้งช่วง ปี ๒๕๖๘ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวแล้วรายงานให้คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติทราบต่อไป
โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
๑.๑ มาตรการรองรับฤดูแล้ง ปี ๒๕๖๗/๒๕๖๘ มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นกรอบการดำเนินการให้หน่วยงานของรัฐอันได้รับการปรับปรุงมาจากการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำฤดูแล้ง
ปี ๒๕๖๖/๒๕๖๗
แต่การดำเนินการของมาตรการส่วนใหญ่ยังคงเดิมและปรับลดมาตรการที่มีความซ้ำซ้อนกัน
ยกเว้นมาตรการที่ ๒ ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่จากเดิม “ปฏิบัติการเติมน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ”
เป็น
“สร้างความมั่นคงน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคและการเกษตรพร้อมปฏิบัติการเติมน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ”
และเพิ่มกลไกย่อยภายใต้มาตรการเพื่อให้สามารถรองรับพื้นที่ที่ยังคงได้รับผลกระทบจากปีที่ผ่านมา
รวมทั้งนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยให้มาตรการมีประสิทธิภาพมากขึ้น
๑.๒ โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเพื่อรองรับสถานการณ์ภัยแล้งและฝนทิ้งช่วงปี
๒๕๖๘ เป็นการกำหนดแนวทางให้หน่วยงานต่าง ๆ
เสนอโครงการช่วยเหลือประชาชนจากสถานการณ์ขาดแคลนน้ำ
ที่มีความสอดคล้องกับมาตรการรองรับฤดูแล้ง ปี ๒๕๖๗/๒๕๖๘ เพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณจากสำนักงบประมาณ
โดยมีข้อกำหนดในการเสนอแผนงานโครงการ เช่น
ต้องเป็นแผนงานโครงการที่ในพื้นที่เสี่ยงขาดแคลน้ำต้องระบุที่ตั้งพร้อมพิกัดของโครงการได้ชัดเจน
ต้องสอดคล้องกับแผนพัฒนาจังหวัดและแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ๒๐ ปี
เป็นต้น ๒. ให้คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรจัดลำดับความสำคัญของพื้นที่และโครงการที่มีความจำเป็นเร่งด่วน เพื่อให้สามารถบรรเทาความเดือดร้อนของกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าวได้ตรงตามความต้องการและทันต่อสถานการณ์ รวมทั้งควรประสานส่วนราชการจังหวัดและองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นให้เร่งรัดดำเนินการเตรียมแผนงานโครงการให้มีความพร้อมโดยเร็ว และควรเพิ่มช่องทางในการสร้างการรับรู้ให้กับประชาชนกลุ่มเป้าหมายและภาคส่วนต่าง ๆ ให้มีความเข้าใจเกี่ยวกับการดำเนินมาตรการรองรับฤดูแล้ง ปี ๒๕๖๗/๒๕๖๘ เพื่อให้เกิดความร่วมมือในการขับเคลื่อนมาตรการดังกล่าวให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18 | ร่างพระราชกฤษฎีกาลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค. | 17/12/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกาลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
พ.ศ. ๒๕๖๓ โดยกำหนดให้ที่ดินที่เป็นที่ตั้งของโรงผลิตน้ำประปาและโรงผลิตน้ำประปา
รวมถึงที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างอื่นที่ใช้ประโยชน์เกี่ยวเนื่องกับการผลิตน้ำประปา
ได้รับลดภาษีในอัตราร้อยละ ๕๐ ของจำนวนภาษีที่จะต้องเสีย
และใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๘ เป็นต้นไป
เพื่อให้สอดคล้องกับกระบวนการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
(อปท.) ที่ต้องเริ่มดำเนินการสำรวจที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ.
๒๕๖๘ อันจะทำให้ อปท.
สามารถจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างได้อย่างมีประสิทธิภาพ และลดต้นทุนค่าใช้จ่ายในการผลิตน้ำประปาให้แก่กิจการผลิตน้ำประปาซึ่งเป็นสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานที่สำคัญของประเทศ
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
ดังนี้ สำนักงบประมาณ เห็นควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว
รวมถึงสถานการณ์ ความจำเป็นและประโยชน์ที่จะได้รับ
ให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก
รวมทั้งจัดทำประมาณการรายได้เพื่อกำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้อง ครบถ้วน
และใช้เป็นกรอบในการวางแผนการดำเนินการทางการเงินการคลังและงบประมาณของประเทศ ตลอดจนติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์และรายงานผลการดำเนินงานตามร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว
ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดทรัพย์สินที่ได้รับยกเว้นจากการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (พื้นที่สีเขียว) | กค. | 17/12/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดทรัพย์สินที่ได้รับยกเว้นจากการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
(ฉบับที่..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ที่ดินซึ่งปกคลุมด้วยพืชพรรณเป็นองค์ประกอบหลัก
และมีประโยชน์เพื่อสิ่งแวดล้อม ระบบนิเวศการดำรงชีวิต หรือคุณภาพชีวิตของประชาชนที่ไม่มีการใช้หาผลประโยชน์
(เว้นแต่เป็นการขายหรือการถ่ายโอนคาร์บอนเครดิต ซึ่งได้รับการรับรองจากคณะกรรมการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก)
ที่มีลักษณะ ดังนี้ ๑)
ได้รับการขึ้นทะเบียนโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (Thailand Voluntary Emission Reduction Program) ตามหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกกำหนด
เฉพาะโครงการที่สอดคล้องกับระเบียบวิธีลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจ (T-VER
Methodology) ประเภทป่าไม้และพื้นที่สีเขียว ๒) เป็นป่าชายเลนตามหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขที่กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งประกาศกำหนด ๓)
เป็นพื้นที่สีเขียวตามหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังประกาศกำหนด
เป็นทรัพย์สินที่ได้รับยกเว้นการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตามกฎกระทรวงกำหนดทรัพย์สินที่ได้รับยกเว้นจากการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
พ.ศ. ๒๕๖๒ ทั้งนี้ ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๘ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. มอบหมายกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
โดยกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งเร่งรัดออกประกาศเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขการเป็นป่าชายเลนตามข้อ ๑๓ (ข) ของกฎกระทรวงกำหนดทรัพย์สินที่ได้รับยกเว้นจากการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
พ.ศ. ๒๕๖๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยร่างกฎกระทรวงกำหนดทรัพย์สินที่ได้รับยกเว้นจากการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลัง
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
ดังนี้ สำนักงบประมาณ เห็นควรที่กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะพิจารณาการกำหนดเงื่อนไขหลักเกณฑ์ภายหลังจากที่ร่างกฎกระทรวงดังกล่าวมีผลใช้บังคับ
เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. ๒๕๖๒
โดยคำนึงถึงการทำประโยชน์ว่าเป็นไปตามสมควรแก่สภาพหรือไม่
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บและลดการเหลื่อมล้ำ
ตลอดจนการสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับร่างกฎกระทรวงดังกล่าว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20 | การกำหนด QR Code บนแผ่นป้ายแสดงรายละเอียดก่อสร้างของทางราชการ | กค. | 11/12/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบสั่งการให้หน่วยงานของรัฐนำ
QR Code ที่ดาวน์โหลดจากระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐด้วยอิเล็กทรอนิกส์
(e - GP) ไปใส่ในแผ่นป้ายแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับงานก่อสร้างของทางราชการตามแบบแผ่นป้ายของกรมโยธาธิการและผังเมือง
และมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยนำแนวทางปฏิบัติดังกล่าวไปใช้บังคับในการจ้างก่อสร้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นด้วย
โดยอนุโลม ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคมและกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงคมนาคม เห็นว่าข้อความที่ปรากฏบนแผ่นป้าย ข้อความ
“กำลังก่อสร้างด้วยเงินภาษีอากรของประชาชน” ตามที่ปรากฏอยู่ด้านล่างของแผ่นป้ายฯ
ควรให้มีเนื้อหาที่สอดคล้องกับแหล่งที่มาของงบประมาณในการก่อสร้าง ข้อความ “งานก่อสร้าง”
เห็นควระบุ เป็นข้อความ “ชื่องาน”
เพื่อให้สามารถปรับเปลี่ยนเหมาะสมตามแต่ละประเภทงาน และบนแผ่นป้ายแสดงรายละเอียดควรมีการระบุผู้ควบคุมงานทั้งฝ่ายผู้ว่าจ้างและผู้รับจ้าง
รวมทั้งวัสดุที่ใช้ในการจัดทำโครงสร้างแผ่นป้ายฯ
ควรพิจารณาว่าสามารถใช้วัสดุอื่นนอกเหนือจากใช้ไม้อัดโครงเคร่าไม้
เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่งานก่อสร้าง
และวัสดุที่ใช้ให้มีความคงทนเหมาะสมระยะเวลางานก่อสร้าง เช่น ตัวเสาเสนอใช้เป็นโครงเหล็กแทนไม้
เนื่องจากมีความแข็งแรงกว่า และให้ภาพลักษณ์ที่ดีกว่าเสาไม้ เป็นต้น |