ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 5 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 81 - 100 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 81 | ขออนุมัติรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป โครงการส่งเสริมการศึกษาเท่าเทียมด้วยระบบดิจิทัลพัฒนาทักษะและเครดิตพอร์ตโฟลิโอ (The Digital Skill/Credit Portfolio: Empowering Educations) | ศธ. | 28/01/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติในหลักการการยื่นคำของบประมาณรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณตั้งแต่ ๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไป ตามนัยมาตรา ๒๖
แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ ของกระทรวงศึกษาธิการ โครงการส่งเสริมการศึกษาเท่าเทียมด้วยระบบดิจิทัลพัฒนาทักษะและเครดิตพอร์ตโฟลิโอ
(The Digital Skill/Credit Portfolio : Empowering
Educations) งบประมาณจำนวน ๔,๒๑๔,๗๓๘,๐๙๐ บาท ทั้งนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการ
(สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน) รับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สำนักงบประมาณ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย เช่น สำนักงบบประมาณ เห็นควรให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานจัดทำแผนการดำเนินการ
และยืนยันความพร้อมของรายการดังกล่าว โดยกำหนดวัตถุประสงค์และสาระสำคัญของรายการ
รายละเอียดคุณลักษณะเฉพาะ ประมาณการราคาหรือผลการสอบราคา
สถานที่/พื้นที่พร้อมที่จะดำเนินการให้ชัดเจนและเนื่องจากเป็นโครงการที่จัดหาคอมพิวเตอร์ของรัฐที่มีงบประมาณตั้งแต่
๑๐๐ ล้านบาทขึ้นไป จะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐ
ตามหนังสือสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ด่วนที่สุด ที่ นร ๐๕๐๖/๑๓๑๗๖ ลงวันที่ ๑๒
พฤษภาคม ๒๕๕๔ เพื่อประกอบการพิจารณา
รวมทั้งพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของโครงการให้เหมาะสมตามความจำเป็นเร่งด่วน
ศักยภาพในการดำเนินการ ตลอดจนสถานะการเงินการคลังของประเทศ
ซึ่งสำนักงบประมาณจะพิจารณาความเหมาะสมและจำเป็นตามวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อไป สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นว่าหากจะมีการดำเนินการพัฒนาระบบเพื่อสนับสนุนการจัดการเรียนรู้ผ่านเทคโนโลยีดิจิทัลให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
กระทรวงศึกษาธิการควรพิจารณาให้ความสำคัญกับการปรับปรุงและต่อยอดจากระบบดิจิทัลแพลตฟอร์มเพื่อการเรียนรู้แห่งชาติแทนการพัฒนาระบบใหม่
เพื่อลดความซ้ำซ้อนและต้นทุนในการดำเนินงาน
พร้อมทั้งควรมีการออกแบบแนวทางและพัฒนากลไกอื่น ๆ
ในระบบนิเวศของการเรียนรู้ผ่านเทคโนโลยีดิจิทัล อาทิ การพัฒนาทักษะดิจิทัลของครูในการใช้สื่อการเรียนรู้ออนไลน์
การส่งเสริมทักษะการเรียนรู้ด้วยตนเองของนักเรียน
การกำหนดนโยบายที่ชัดเจนในการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการบริหารจัดการสถานศึกษา
เพื่อให้การขับเคลื่อนแพลตฟอร์มการเรียนรู้ดิจิทัลของประเทศสามารถนำไปสู่การพัฒนาผลลัพธ์การเรียนรู้ของผู้เรียนได้อย่างแท้จริง ๒. มอบหมายให้สำนักงบประมาณนำคำของบประมาณฯ ตามข้อ
๑ ไปพิจารณาร่วมกับสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เพื่อกลั่นกรองความจำเป็นเหมาะสมในภาพรวมของข้อเสนองบประมาณของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐในรายการงบลงทุนและรายการงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่
๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไปทั้งหมด ให้เหมาะสม
สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา แล้วให้สำนักงบประมาณนำผลการพิจารณาในภาพรวมทั้งหมดเสนอต่อคณะรัฐมนตรีตามขั้นตอนและกรอบเวลาของปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๙ ต่อไป ๓.
ในขั้นการดำเนินโครงการส่งเสริมการศึกษาเท่าเทียมด้วยระบบดิจิทัลพัฒนาทักษะและเครดิตพอร์ตโฟลิโอ
(The Digital Skill/Credit Portfolio :
Empowering Educations) ของกระทรวงศึกษาธิการดังกล่าว ให้กระทรวงศึกษาธิการหารือร่วมกับกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงแรงงาน
กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจนและเหมาะสมเกี่ยวกับแนวทางการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้
รวมทั้งการจัดทำระบบคลังหน่วยกิตของโครงการฯ เพื่อให้สอดคล้อง เชื่อมโยง
เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
และไม่เกิดความซ้ำซ้อนกับการดำเนินโครงการจัดหาระบบแฟ้มสะสมทักษะ (Skill/Credit
Portfolio) รายบุคคลระดับอุดมศึกษาสำหรับการวางแผนและพัฒนากำลังคนของประเทศของกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
และสามารถตอบสนองต่อการวางแผนการพัฒนากำลังคนของประเทศได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 82 | การนำเสนอแหล่งมรดกทางวัฒนธรรม "วัดพระมหาธาตุ วรมหาวิหาร จังหวัดนครศรีธรรมราช" เพื่อขอรับการขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลก | ทส. | 28/01/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเอกสารนำเสนอแหล่งมรดกทางวัฒนธรรม “วัดพระมหาธาตุ
วรมหาวิหาร จังหวัดนครศรีธรรมราช” และให้ประธานกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลกลงนามในเอกสารดังกล่าว
เพื่อขอรับการขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลกต่อศูนย์มรดกโลก กรุงปารีส
สาธารณรัฐฝรั่งเศส และกรณีที่ศูนย์มรดกโลกมีความเห็นต่อความครบถ้วนสมบูรณ์ (Complete) ของเอกสารนำเสนอเป็นมรดกโลก
และมีข้อเสนอแนะในการปรับแก้ไขเอกสารโดยไม่กระทบต่อสาระสำคัญของเอกสารนำเสนอฯ
หากกรมศิลปากรพิจารณาแล้วไม่กระทบต่อสาระสำคัญของเอกสารนำเสนอฯ ที่ผ่านความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี
เห็นควรให้กรมศิลปากรดำเนินการปรับปรุงแก้ไขเอกสารดังกล่าวตามความเห็นของศูนย์มรดกโลก
โดยพิจารณาร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ และสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมก่อนนำเสนอเอกสารดังกล่าวต่อคณะอนุกรรมการมรดกโลกทางวัฒนธรรม
และคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ และนำเรียนคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ
ก่อนจัดส่งให้ศูนย์มรดกโลก ตามรอบการจัดส่งภายในวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ต่อไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 83 | นโยบายการตรวจเงินแผ่นดิน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 | ตผ. | 21/01/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบนโยบายการตรวจเงินแผ่นดิน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘
ซึ่งมีความสอดคล้องและเป็นไปตามนโยบายการตรวจเงินแผ่นดิน (พ.ศ. ๒๕๖๖ - ๒๕๗๐)
และเป็นการดำเนินการต่อเนื่องจากนโยบายการตรวจเงินแผ่นดิน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖
- ๒๕๖๗ เพื่อให้การตรวจเงินแผ่นดินเกิดผลสัมฤทธิ์
การบริหารการเงินการคลังมีเสถียรภาพ
ส่งเสริมสนับสนุนการบรรลุเป้าหมายตามยุทธศาสตร์ชาติ และเป้าหมายอื่น ๆ
รวมถึงใช้เป็นกรอบในการจัดทำแผนการตรวจสอบและแผนปฏิบัติราชการ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๘
โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑) ทิศทางและเป้าหมายในการตรวจเงินแผ่นดิน เช่น
การตรวจเงินแผ่นดินต้องเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย เป็นไปตามวัตถุประสงค์ คุ้มค่า
เกิดผลสัมฤทธิ์ มีประสิทธิภาพ สามารถป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นแก่การเงินการคลังของรัฐ
๒) ผลสัมฤทธิ์ในการตรวจเงินแผ่นดิน เช่น
การตรวจเงินแผ่นดินสามารถระงับยับยั้งความเสียหายร้ายแรงที่อาจเกิดขึ้นแก่การเงินการคลังและทรัพย์สินของรัฐ
และ ๓) การดำเนินการเพื่อพัฒนาการตรวจเงินแผ่นดิน เช่น ส่งเสริมและผลักดันให้มีการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เป็นปัญหาและอุปสรรคต่อการตรวจเงินแผ่นดิน
พัฒนาระบบการตรวจเงินแผ่นดินอิเล็กทรอนิกส์ และการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data Analytics) มาช่วยในการปฏิบัติหน้าที่
ตามที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 84 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศสำหรับห้อง ด้านประสิทธิภาพพลังงานต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... (ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศสำหรับห้อง : ด้านประสิทธิภาพพลังงาน ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. ....) | อก. | 21/01/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศสำหรับห้อง
: ด้านประสิทธิภาพพลังงาน ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศสำหรับห้อง
ด้านประสิทธิภาพพลังงานตามมาตรฐานเลขที่ มอก. ๒๑๓๔ - ๒๕๕๓ โดยยกเลิกมาตรฐานเดิมและกำหนดมาตรฐานใหม่ให้เป็นไปตามมาตรฐานเลขที่
มอก. ๒๑๓๔ - ๒๕๖๕ เพื่อให้สอดคล้องกับความก้าวหน้าทางวิชาการ รองรับการพัฒนาเทคโนโลยีการทำและการใช้งานภายในประเทศอย่างทั่วถึง
และสอดคล้องกับข้อกำหนดตามมาตรฐานระหว่างประเทศในปัจจุบัน ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ
ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 85 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมตู้น้ำร้อนน้ำเย็นบริโภคและตู้น้ำเย็นบริโภค เฉพาะด้านความปลอดภัย ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... | อก. | 21/01/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมตู้น้ำร้อนน้ำเย็นบริโภคและตู้น้ำเย็นบริโภค
เฉพาะด้านความปลอดภัย ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมตู้น้ำเย็นบริโภค
เฉพาะด้านความปลอดภัยมาตรฐานเลขที่ มอก. ๒๔๖๑ - ๒๕๕๒ โดยเป็นการยกเลิกมาตรฐานเดิมและกำหนดมาตรฐานใหม่ให้เป็นไปตามมาตรฐานเลขที่
มอก. ๒๔๖๑ - ๒๕๖๕
เพื่อความปลอดภัยหรือเพื่อป้องกันความเสียหายอันอาจจะเกิดแก่ประชาชนหรือแก่กิจการอุตสาหกรรม
หรือเศรษฐกิจของประเทศชาติ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ
ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 86 | รายงานประจำครึ่งปี (มกราคม - มิถุนายน 2567) ของธนาคารแห่งประเทศไทย | กค. | 13/01/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำครึ่งปี
(มกราคม-มิถุนายน ๒๕๖๗) ของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้ ๑)
เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งแรกขยายตัวร้อยละ ๑.๙ เพิ่มขึ้นจากร้อยละ ๑.๖
ในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๖๖
เนื่องจากภาคการท่องเที่ยวที่ส่งผลดีต่อการใช้จ่ายในภาคบริการและการบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
๒) ธนาคารแห่งประเทศไทยมีการดำเนินงาน เช่น (๑) การดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ยในช่วงครึ่งแรกของปี
๒๕๖๗ คณะกรรมการนโยบายการเงินมีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ ๒.๕๐ (๒)
แนวทางการดำเนินงานและประเมินผลนโยบายสถาบันการเงิน เช่น
การปรับปรุงหลักเกณฑ์ด้านเครดิต การตรวจสอบสถาบันการเงิน โดยธนาคารแห่งประเทศไทยมุ่งเน้นตรวจสอบธุรกรรมสำคัญ
และการกำกับดูแลด้านการให้บริการแก่ลูกค้าอย่างเป็นธรรม และ (๓)
แนวทางการดำเนินงานและประเมินผลนโยบายระบบการชำระเงิน โดยกำกับดูแลระบบการชำระเงินให้สอดคคล้องกับมาตรฐานสากล
ผ่านหลักการ ๓ ด้าน ได้แก่ การเปิดกว้างให้เกิดการใช้ประโยชน์ร่วมกัน (Openness) การเข้าถึงและเข้าใจการใช้บริการชำระเงินดิจิทัล
(Inclusivity) และ ๔) การกำกับ ดูแลที่ยืดหยุ่นและเท่าทัน (Resiliency) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้
ขอให้ธนาคารแห่งประเทศไทยรับข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง ที่เห็นว่าธนาคารแห่งประเทศไทย
อาจพิจารณานโยบายดูแลความเสี่ยงต่อเสถียรภาพระบบการเงิน (Macroprudential Policy) ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุดมากกว่าการดำเนินนโยบายการเงินผ่านอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
เนื่องจากส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวม และควรสะท้อนถึงการดำเนินการของธนาคารแห่งประเทศไทยตามภารกิจในการเป็นธนาคารกลางเพื่อดำรงไว้ซึ่งเสถียรภาพทางการเงินและเสถียรภาพของระบบสถาบันการเงินและระบบการชำระเงิน
และต้องคำนึงถึงดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจของรัฐบาลด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดำเนินการของคณะกรรมการชุดต่าง
ๆ ภายใต้พระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย พุทธศักราช ๒๔๘๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 87 | เรื่องสืบเนื่องจากการลงพื้นที่ตรวจราชการที่จังหวัดภูเก็ตของนายกรัฐมนตรี | นร. | 13/01/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า สืบเนื่องจากการลงพื้นที่ตรวจราชการที่จังหวัดภูเก็ต
เมื่อวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๖๘ ขอมอบหมายให้ผู้เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการในเรื่องต่าง
ๆ ในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต ดังนี้ ๑. การป้องกันและแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำประปา
ให้กระทรวงมหาดไทย (การประปาส่วนภูมิภาค)
ประสานการดำเนินงานกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
(กรมทรัพยากรน้ำบาดาล) สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อจัดหาน้ำประปาให้เพียงพอกับความต้องการในการอุปโภคบริโภคของประชาชนในพื้นที่โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ให้สามารถรองรับความต้องการใช้น้ำประปาในธุรกิจท่องเที่ยวของจังหวัดภูเก็ต ทั้งนี้
ในระยะสั้น ให้กระทรวงมหาดไทย (การประปาส่วนภูมิภาค)
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งศึกษาแนวทางการขยายอ่างเก็บน้ำและท่อส่งน้ำในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตเพื่อให้สามารถจัดส่งน้ำประปาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ส่วนในระยะยาว ให้กระทรวงมหาดไทย (การประปาส่วนภูมิภาค)
ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งศึกษาความเหมาะสมและเป็นไปได้ในการดำเนินโครงข่ายท่อส่งน้ำจากเขื่อนรัชชประภา
จังหวัดสุราษฎร์ธานี และอ่างเก็บน้ำคลองลำรูใหญ่ จังหวัดพังงา มายังจังหวัดภูเก็ต
เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำประปาอย่างยั่งยืนต่อไป ๒. การแก้ไขปัญหาด้านการคมนาคม
ให้กระทรวงคมนาคมเร่งรัดติดตามการดำเนินการก่อสร้างของโครงการต่าง ๆ
ที่ได้รับความเห็นชอบ/อนุมัติไว้แล้ว
ให้แล้วเสร็จโดยเร็วภายในกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด
รวมทั้งให้จัดทำแผนเพื่อลดผลกระทบด้านการจราจรและการสัญจรของประชาชนในช่วงการก่อสร้าง
ตลอดจนเร่งศึกษาความเหมาะสมและเป็นไปได้ในการก่อสร้างทางเลี่ยงเมืองในจุดที่มีการจราจรแออัดคับคั่ง
รวมถึงระบบการขนส่งทางรางและทางน้ำ (เช่น Boat Taxi)
ซึ่งจะช่วยบรรเทาปัญหาการจราจรทางถนนได้ นอกจากนี้
ให้พิจารณาการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานอื่น ๆ
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรองรับนักท่องเที่ยวและการขยายตัวทางเศรษฐกิจของจังหวัดภูเก็ต
ทั้งในส่วนของท่าอากาศยานภูเก็ตโครงข่ายถนน และระบบการขนส่งสาธารณะขนาดใหญ่ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 88 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าสำหรับการดูแลผม ขน หรือผิวต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... | อก. | 13/01/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าสำหรับการดูแลผม
ขน หรือผิวต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าสำหรับการดูแลผม
ขน หรือผิวตามมาตรฐานเลขที่ มอก. ๑๙๘๕ - ๒๕๔๙ โดยเป็นการยกเลิกมาตรฐานเดิมและกำหนดมาตรฐานใหม่ให้เป็นไปตามมาตรฐานเลขที่
มอก. ๖๐๓๓๕ เล่ม ๒ (๒๓) - ๒๕๖๔
เพื่อให้สอดคล้องกับความก้าวหน้าทางวิชาการและมาตรฐานระหว่างประเทศในปัจจุบัน ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ
ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 89 | ร่างกฏกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเครื่องทอดน้ำมันท่วมปริมาณน้ำมันสูงสุดไม่เกิน 5 ลิตร และกระทะทอดต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... | อก. | 13/01/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเตาอบไมโครเวฟและเตาอบไมโครเวฟร่วมสำหรับใช้ในที่อยู่อาศัยต้องเป็นไปตามมาตรฐาน
พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเตาอบไมโครเวฟสำหรับใช้ในที่อยู่อาศัย
เฉพาะด้านความปลอดภัยตามมาตรฐานเลขที่ มอก. ๑๗๗๓ - ๒๕๔๘
โดยเป็นการยกเลิกมาตรฐานเดิมและกำหนดมาตรฐานใหม่ให้เป็นไปตามมาตรฐานเลขที่ มอก.
๖๐๓๓๕ เล่ม ๒ (๒๕) - ๒๕๖๕ เพื่อให้สอดคล้องกับความก้าวหน้าทางวิชาการและมาตรฐานระหว่างประเทศในปัจจุบัน
รวมทั้งเป็นการคุ้มครองผู้บริโภคให้มีความปลอดภัยในการใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าว ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ
ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 90 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเตาอบไมโครเวฟและเตาอบไมโครเวฟร่วมสำหรับใช้ในที่อยู่อาศัยต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... | อก. | 13/01/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเตาอบไมโครเวฟและเตาอบไมโครเวฟร่วมสำหรับใช้ในที่อยู่อาศัยต้องเป็นไปตามมาตรฐาน
พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเตาอบไมโครเวฟสำหรับใช้ในที่อยู่อาศัย
เฉพาะด้านความปลอดภัยตามมาตรฐานเลขที่ มอก. ๑๗๗๓ - ๒๕๔๘
โดยเป็นการยกเลิกมาตรฐานเดิมและกำหนดมาตรฐานใหม่ให้เป็นไปตามมาตรฐานเลขที่ มอก.
๖๐๓๓๕ เล่ม ๒ (๒๕) - ๒๕๖๕ เพื่อให้สอดคล้องกับความก้าวหน้าทางวิชาการและมาตรฐานระหว่างประเทศในปัจจุบัน
รวมทั้งเป็นการคุ้มครองผู้บริโภคให้มีความปลอดภัยในการใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าว ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ
ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 91 | ข้อเสนอการปรับปรุงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนโดยการดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงสู่ประเทศไทย (Long-Term Resident Visa: LTR Visa) | นร.13 | 13/01/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความคืบหน้าในการดำเนินการ
ปัญหา อุปสรรคในการดำเนินการมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนโดยการดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงสู่ประเทศไทย
(Long Term Resident Visa :
LTR Visa) และเห็นชอบการปรับปรุงคุณสมบัติ หลักเกณฑ์
และเงื่อนไขของการตรวจลงตราประเภทคนอยู่ชั่วคราวเป็นกรณีพิเศษ ตามมาตรการ LTR
Visa รวมทั้งการปรับปรุงมาตรการการตรวจลงตราเพื่อคนอยู่ชั่วคราวเป็นกรณีพิเศษ
(SMART Visa) เพื่อให้คงเหลือเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการวิสาหกิจเริ่มต้น
(SMART - S) กรณีจัดตั้งวิสาหกิจเริ่มต้นในประเทศไทยแล้ว โดยมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน
กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับปรุงแก้ไขประกาศ คำสั่ง
หรือระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการอนุญาตให้คนต่างด้าวบางจำพวกเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ
ตามมาตรการ LTR Visa และมาตรการ SMART Visa ให้กระทรวงแรงงานพิจารณาเร่งรัดการดำเนินการปรับปรุงระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการยกเลิกเงื่อนไขทุนจดทะเบียน
๒ ล้านบาทต่อการจ้างงานชาวต่างชาติผู้ถือ LTR Visa ต่อไป และให้กระทรวงศึกษาธิการ
และกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พิจารณาดำเนินนโยบายและมาตรการระดับประเทศเพื่อพัฒนาทักษะด้านภาษาต่างประเทศให้แก่บุคลากรในประเทศ
ตามที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเสนอ ทั้งนี้
ให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนหารือร่วมกับกระทรวงแรงงานในประเด็นข้อเสนอการยกเลิกเงื่อนไขทุนจดทะเบียน
๒ ล้านบาท ในการจ้างงานผู้ถือวีซ่าประเภทคนอยู่ชั่วคราวเป็นกรณีพิเศษ
ประเภทผู้พำนักระยะยาว (long - term resident visa : LTR Visa) ให้ชัดเจนอีกครั้งหนึ่งก่อนดำเนินการต่อไป
และให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนรับข้อเสนอแนะของกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ข้อสังเกตของกระทรวงแรงงาน และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
รวมถึงความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เห็นว่าการพัฒนาหลักสูตรร่วมกับผู้เชี่ยวชาญต่างชาติ
ควรส่งเสริมให้สถาบันอุดมศึกษาพัฒนาหลักสูตรใหม่และปรับปรุงหลักสูตรเดิมให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน
โดยมีผู้เชี่ยวชาญชาวต่างชาติเข้ามามีส่วนร่วมในการออกแบบหลักสูตร โดยเฉพาะในสาขาที่ขาดแคลนกำลังคน
หรือสาขาที่เป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ การส่งเสริมโอกาสในการเรียนรู้และพัฒนาทักษะ
สร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างสถาบันอุดมศึกษาและภาคเอกชน
เพื่อให้นักศึกษาได้ฝึกงานและทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญชาวต่างชาติทำให้นักศึกษาได้รับความรู้และทักษะที่ตรงตามความต้องการของอุตสาหกรรม
เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 92 | สรุปผลการพิจารณาและผลการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับรายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาและเสนอแนะการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกิจการประมงให้เกิดความเหมาะสมและเป็นธรรมกับผู้ประกอบการประมงและกิจการประมงทั้งระบบ สภาผู้แทนราษฎร | กษ. | 07/01/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการพิจารณาและผลการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับรายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาและเสนอแนะการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกิจการประมงให้เกิดความเหมาะสมและเป็นธรรมกับผู้ประกอบการประมงและกิจการประมงทั้งระบบ
สภาผู้แทนราษฎร ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป
โดยสรุปผลการดำเนินการได้ ดังนี้ ๑. การแก้ไขปรับปรุงกฎหมายและการบังคับใช้กฎหมายให้เกิดความเป็นธรรม
ได้มีการประเมินผลสัมฤทธิ์ในการบังคับใช้พระราชกำหนดประมง พ.ศ. ๒๕๕๘
พบว่ายังไม่สมควรยกเลิกพระราชกำหนดดังกล่าว
โดยได้ดำเนินการปรับปรุงและแก้ไขหลักเกณฑ์บางประการ (แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ ๒
พ.ศ. ๒๕๖๐)
อีกทั้งได้มีการออกกฎหมายลำดับรองให้สอดคล้องกับการทำประมงขึ้นมาใช้บังคับให้เป็นไปตามกฎหมายด้วยแล้ว ๒. การแก้ไขปัญหาแรงงานประมง
ได้มีการออกกฎหมายเพื่อให้สอดคล้องกับพันธกรณีสัตยาบันในอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ
ฉบับที่ ๑๘๘ ว่าด้วยการทำงานในภาคประมง ค.ศ. ๒๐๐๗ เช่น พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานในภาคประมง
พ.ศ. ๒๕๖๒ กฎกระทรวงคุ้มครองแรงงานในงานประมง พ.ศ. ๒๕๖๕ เป็นต้น นอกจากนี้
ได้ใช้ระบบแจ้งเข้า-ออกเรือประมงไทยแบบอิเล็กทรอนิกส์ และระบบการแจ้งขึ้นลงทำการในเรือสำหรับคนประจำเรือซึ่งมีการเก็บข้อมูลภาพถ่ายใบหน้าเพื่อใช้สำหรับตรวจสอบแรงงาน
ณ ท่าเทียบเรือ ๓.
แนวทางการรักษาทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งและความมั่นคงทางทะเล
ได้มีการสำรวจข้อมูลเกี่ยวกับประเภทและชนิดของทรัพยากรธรรมชาติและจัดทำโครงการอนุรักษ์และการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืนในอุทยานแห่งชาติ
ประกอบกับได้มีการกำหนดเขตกิจกรรมพิเศษในแผนบริหารจัดการอุทยานแห่งชาติให้ครอบคลุมพื้นที่อนุญาตให้มีการใช้ประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติที่สามารถเกิดใหม่ทดแทนได้
เพื่อแก้ไขปัญหาการดำรงชีพตามวิถีชุมชนหรือวิถีชีวิตดั้งเดิมที่อยู่โดยรอบอุทยานแห่งชาติ
รวมทั้งได้ดำเนินการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการวิทยาศาสตร์ที่มีภารกิจเฉพาะด้านการประเมินสภาวะทรัพยากรสัตว์น้ำ
ในการบริหารจัดการการใช้ประโยชน์และการอนุรักษ์ทรัพยากรประมงทะเลไทย ๔. การส่งเสริมการส่งออก นำเข้า
และการตรวจสอบสินค้าประมง
ได้มีมาตรการควบคุมตรวจสอบสินค้าสัตว์น้ำและผลิตภัณฑ์สัตว์
โดยให้ความสำคัญในการเฝ้าระวังป้องกันการนำเข้าสัตว์น้ำที่มาจากการทำประมงผิดกฎหมาย
ซึ่งปัจจุบันได้มีการยกระดับมาตรการและกำหนดแนวทางในการควบคุมตรวจสอบการนำเข้าสัตว์น้ำและผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำด้านต่าง
ๆ ให้เป็นไปอย่างเข้มงวดและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 93 | ร่างประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง การจ่ายเงินทดแทน | รง. | 07/01/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบในหลักการร่างประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง
การจ่ายเงินทดแทน มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงหลักเกณฑ์และอัตราการจ่ายเงินค่าทดแทนที่รัฐวิสาหกิจต้องจ่ายให้แก่ลูกจ้าง
เพื่อให้ลูกจ้างในรัฐวิสาหกิจได้รับสวัสดิการที่เท่าเทียมกับลูกจ้างภาคเอกชน ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ
และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมาย และร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา
แล้วดำเนินการต่อได้ ๒.
ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ สำนักงบประมาณ เห็นว่าการจ่ายค่าตอบแทนและสวัสดิการหรือประโยชน์อื่นใดของพนักงานรัฐวิสาหกิจในภาพรวมควรคำนึงถึงความจำเป็นและเหมาะสม
รวมทั้งกำหนดมาตรการเพิ่มรายได้และลดรายจ่าย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นว่าปัจจุบันมีการออกกฎกระทรวงค่ารักษาพยาบาลที่ให้นายจ้างจ่าย
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๗ จึงอาจมีการพิจารณาปรับอัตราตามร่างประกาศฉบับนี้ให้มีความสอดคล้องกันในระยะต่อไป ๑.
เห็นชอบในหลักการร่างประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง
การจ่ายเงินทดแทน มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงหลักเกณฑ์และอัตราการจ่ายเงินค่าทดแทนที่รัฐวิสาหกิจต้องจ่ายให้แก่ลูกจ้าง
เพื่อให้ลูกจ้างในรัฐวิสาหกิจได้รับสวัสดิการที่เท่าเทียมกับลูกจ้างภาคเอกชน ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ
และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมาย และร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา
แล้วดำเนินการต่อได้ ๒.
ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ สำนักงบประมาณ เห็นว่าการจ่ายค่าตอบแทนและสวัสดิการหรือประโยชน์อื่นใดของพนักงานรัฐวิสาหกิจในภาพรวมควรคำนึงถึงความจำเป็นและเหมาะสม
รวมทั้งกำหนดมาตรการเพิ่มรายได้และลดรายจ่าย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นว่าปัจจุบันมีการออกกฎกระทรวงค่ารักษาพยาบาลที่ให้นายจ้างจ่าย
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๗ จึงอาจมีการพิจารณาปรับอัตราตามร่างประกาศฉบับนี้ให้มีความสอดคล้องกันในระยะต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 94 | การปรับปรุงระบบแรงจูงใจในส่วนของค่าตอบแทนที่เป็นตัวเงินตามระบบประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ | กค. | 07/01/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 95 | การแก้ไขข้อขัดข้องให้กับคนต่างด้าวตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2566 และการตรวจลงตราประเภทคนอยู่ชั่วคราวและประทับตราอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว | รง. | 24/12/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ
๑.๑ การแก้ไขข้อขัดข้องให้กับคนต่างด้าวตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓
ตุลาคม ๒๕๖๖
ที่ดำเนินการครบทุกขั้นตอนแต่ไม่สามารถจัดทำหรือปรับปรุงทะเบียนประวัติได้ตามระยะเวลาที่กำหนด
๑.๒
แนวทางการตรวจลงตราประเภทคนอยู่ชั่วคราวและประทับตราอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว
ให้กับคนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตทำงานตามมติคณะรัฐมนตรี
๑.๓ ให้กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางาน
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้และความเข้าใจให้นายจ้าง/ผู้ประกอบการ
แรงงานต่างด้าว และผู้ที่เกี่ยวข้องรับทราบข้อมูลการดำเนินการดังกล่าวอย่างทั่วถึง ๒. เห็นชอบร่างประกาศ รวม ๓ ฉบับ
ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
และให้ดำเนินการต่อไปได้
๒.๑ ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการเฉพาะ
สำหรับคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม
ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๖๖
กรณีคนต่างด้าวไม่สามารถจัดทำหรือปรับปรุงทะเบียนประวัติได้ตามระยะเวลาที่กำหนด
ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ....................................
๒.๒ ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง
การอนุญาตให้คนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ
สำหรับคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม
ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๖๗ (ฉบับที่ ..)
๒.๓ ร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง
การอนุญาตให้คนต่างด้าวทำงานในราชอาณาจักรเป็นการเฉพาะ
สำหรับคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม ซึ่งได้รับอนุญาตให้ทำงานถึงวันที่
๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๖๗ (ฉบับที่ ..) ๓.
ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีแนวทางการปรับปรุงกระบวนการที่เกี่ยวข้องสำหรับแรงงานที่ต้องการจะเข้ามาทำงานยังประเทศไทยอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
รวมถึงแนวทางความร่วมมือกับประเทศต้นทางในการลดค่าใช้จ่ายและระยะเวลาในการดำเนินการในแต่ละขั้นตอน
เพื่อให้การบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวของประเทศมีความยั่งยืนในระยะยาว
และควรพิจารณาจัดทำรายงานสังเกตการณ์/เฝ้าระวัง
สถานการณ์และมาตรการด้านแรงงานของประเทศเพื่อนบ้าน
เพื่อประมาณการและประเมินผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที
รวมทั้งควรเร่งพัฒนาฐานข้อมูลแรงงานข้ามชาติและผู้ติดตาม
เพื่อนำมาใช้ประกอบการพิจารณาออกมาตรการ
และแนวทางในการบูรณาการกำลังแรงงานข้ามชาติที่มีศักยภาพเข้าเป็นส่วนหนึ่งของตลาดแรงงานของไทยอย่างเหมาะสมในอนาคต
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 96 | มาตรการรองรับฤดูแล้ง ปี 2567/2568 และโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเพื่อรองรับสถานการณ์ภัยแล้ง และฝนทิ้งช่วง ปี 2568 | นร.14 | 24/12/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. รับทราบมาตรการรองรับฤดูแล้ง ปี
๒๕๖๗/๒๕๖๘
และโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเพื่อรองรับสถานการณ์ภัยแล้ง
และฝนทิ้งช่วง ปี ๒๕๖๘ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวแล้วรายงานให้คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติทราบต่อไป
โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
๑.๑ มาตรการรองรับฤดูแล้ง ปี ๒๕๖๗/๒๕๖๘ มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นกรอบการดำเนินการให้หน่วยงานของรัฐอันได้รับการปรับปรุงมาจากการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำฤดูแล้ง
ปี ๒๕๖๖/๒๕๖๗
แต่การดำเนินการของมาตรการส่วนใหญ่ยังคงเดิมและปรับลดมาตรการที่มีความซ้ำซ้อนกัน
ยกเว้นมาตรการที่ ๒ ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่จากเดิม “ปฏิบัติการเติมน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ”
เป็น
“สร้างความมั่นคงน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคและการเกษตรพร้อมปฏิบัติการเติมน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ”
และเพิ่มกลไกย่อยภายใต้มาตรการเพื่อให้สามารถรองรับพื้นที่ที่ยังคงได้รับผลกระทบจากปีที่ผ่านมา
รวมทั้งนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยให้มาตรการมีประสิทธิภาพมากขึ้น
๑.๒ โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเพื่อรองรับสถานการณ์ภัยแล้งและฝนทิ้งช่วงปี
๒๕๖๘ เป็นการกำหนดแนวทางให้หน่วยงานต่าง ๆ
เสนอโครงการช่วยเหลือประชาชนจากสถานการณ์ขาดแคลนน้ำ
ที่มีความสอดคล้องกับมาตรการรองรับฤดูแล้ง ปี ๒๕๖๗/๒๕๖๘ เพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณจากสำนักงบประมาณ
โดยมีข้อกำหนดในการเสนอแผนงานโครงการ เช่น
ต้องเป็นแผนงานโครงการที่ในพื้นที่เสี่ยงขาดแคลน้ำต้องระบุที่ตั้งพร้อมพิกัดของโครงการได้ชัดเจน
ต้องสอดคล้องกับแผนพัฒนาจังหวัดและแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ๒๐ ปี
เป็นต้น ๒. ให้คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรจัดลำดับความสำคัญของพื้นที่และโครงการที่มีความจำเป็นเร่งด่วน เพื่อให้สามารถบรรเทาความเดือดร้อนของกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าวได้ตรงตามความต้องการและทันต่อสถานการณ์ รวมทั้งควรประสานส่วนราชการจังหวัดและองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นให้เร่งรัดดำเนินการเตรียมแผนงานโครงการให้มีความพร้อมโดยเร็ว และควรเพิ่มช่องทางในการสร้างการรับรู้ให้กับประชาชนกลุ่มเป้าหมายและภาคส่วนต่าง ๆ ให้มีความเข้าใจเกี่ยวกับการดำเนินมาตรการรองรับฤดูแล้ง ปี ๒๕๖๗/๒๕๖๘ เพื่อให้เกิดความร่วมมือในการขับเคลื่อนมาตรการดังกล่าวให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 97 | การปรับปรุงปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 | นร.07 | 17/12/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับปรุงปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๙ ที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๖๗ ให้ความเห็นชอบแนวทางการจัดทำงบประมาณและปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๙ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 98 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการดำเนินงานตามอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองมรดกโลกทางวัฒนธรรมและทางธรรมชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ทส. | 11/12/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการดำเนินงานตามอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองมรดกโลกทางวัฒนธรรมและทางธรรมชาติ
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงคุณสมบัติกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก
(กอม.) ให้เหมาะสมและเกิดประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการยิ่งขึ้น ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา
โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เห็นควรกำหนดบทเฉพาะกาลรองรับให้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี
ว่าด้วยการดำเนินงานตามอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองมรดกโลกทางวัฒนธรรมและทางธรรมชาติ
พ.ศ. ๒๕๕๙ ยังคงอยู่ในตำแหน่งต่อไปจนกว่าจะมีการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิตามร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฉบับนี้โดยกำหนดระยะเวลาไว้ให้ชัดเจน
ไปประกอบการพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 99 | ร่างพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตและการให้บริการแก่ประชาชน พ.ศ. .... | นร.12 | 11/12/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตและการให้บริการแก่ประชาชน
พ.ศ. .... ของคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ
เพื่อเพิ่มการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตและการให้บริการแก่ประชาชน
โดยได้กำหนดเวลาดำเนินการในแต่ละขั้นตอนที่ชัดเจน ลดขั้นตอนการอนุญาตที่ไม่จำเป็น
นำเทคโนโลยีมาใช้ในการอนุญาตและการให้บริการของภาครัฐ
รวมถึงการให้เจ้าหน้าที่ใช้ดุลยพินิจในการพิจารณาอนุมัติ หรืออนุญาตเพียงเท่าที่จำเป็น
ซึ่งจะมีผลเป็นการลดภาระและต้นทุนของประชาชน รวมทั้งลดการทุจริตและประพฤติมิชอบ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ
โดยให้แจ้งประธานรัฐสภาทราบว่าร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวเป็นร่างพระราชบัญญัติที่จะตราขึ้นเพื่อดำเนินการตามหมวด
๑๖ การปฏิรูปประเทศ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอรัฐสภาต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง
กรอบระยะเวลา
และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว
ตามที่คณะกรรมการพัฒนาระบบบราชการเสนอ ๓. ให้สำนักงาน ก.พ.ร.
รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เห็นว่าการดำเนินการตามร่างพระราชบัญญัติฯ
ควรพิจารณาดำเนินการควบคู่กับกฎหมายที่เกี่ยวข้องของแต่ละหน่วยงานด้วย สำนักงบประมาณ เห็นว่าค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินการดังกล่าวเมื่อพระราชบัญญัติมีผลบังคับใช้แล้ว
ควรให้สำนักงาน ก.พ.ร. จัดทำรายละเอียดค่าใช้จ่ายเท่าที่จำเป็นอย่างประหยัดในการจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 100 | ร่างกฎกระทรวงตามพระราชบัญญัติภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ. 2551 จำนวน 4 ฉบับ | วธ. | 11/12/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง จำนวน ๔ ฉบับ
ได้แก่ ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการขอและการออกใบอนุญาตประกอบกิจการโรงภาพยนตร์ พ.ศ.
.... ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการขอและการออกใบอนุญาตประกอบกิจการให้เช่า แลกเปลี่ยน หรือจำหน่ายภาพยนตร์และวีดิทัศน์
พ.ศ. .... ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการอนุญาตและการประกอบกิจการร้านวีดิทัศน์ พ.ศ.
.... (เกม/คาราโอเกะ) และร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการประกอบกิจการภาพยนตร์และกิจการวีดิทัศน์
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขการขออนุญาตประกอบกิจการโรงภาพยนตร์ กิจการให้เช่า แลกเปลี่ยน
หรือจำหน่ายภาพยนตร์และวีดิทัศน์ และกิจการร้านวีดิทัศน์
รวมทั้งปรับปรุงค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการขออนุญาตในกิจการดังกล่าวให้เหมาะสมกับบริบทในปัจจุบัน
ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. ที่เห็นควรพิจารณายกเลิกการจัดเก็บค่าธรรมเนียมการตรวจพิจารณาสื่อโฆษณา
และการออกใบแทนใบอนุญาตตามร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการประกอบกิจการภาพยนตร์และกิจการวีดิทัศน์
(ฉบับที่..) พ.ศ. .... ซึ่งได้ปรับลดอัตราค่าธรรมเนียมเป็น ๑ บาท เพื่อให้สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒ มกราคม ๒๕๖๓ เรื่อง การทบทวนการจัดเก็บค่าธรรมเนียมในการอนุมัติ
อนุญาตของทางราชการ
ในกรณีที่หากรายได้จัดเก็บค่าธรรมเนียมต่ำกว่าต้นทุนการดำเนินการให้พิจารณายกเลิกการจัดเก็บค่าธรรมเนียม
และเร่งดำเนินการตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ
พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยจัดทำคู่มือสำหรับประชาชนและเผยแพร่ตามช่องทางที่กำหนดรวมถึงในเว็บไซต์ศูนย์รวมข้อมูลเพื่อติดต่อราชการ
(www.info.go.th) ไปประกอบการพิจารณา
แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
