ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 6 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 101 - 120 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 101 | รายงานผลการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 | นร.12 | 03/12/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการตามรายงานผลการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕ (ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๖๖) และรายงานผลการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ และเห็นชอบข้อเสนอแนะที่สำคัญของคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ
จำนวน ๗๒ ข้อเสนอแนะ โดยให้รัฐมนตรี หัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงและกรม
ที่มีประเด็นสมควรปรับปรุงแก้ไข รับข้อเสนอแนะไปพิจารณาดำเนินการ
พร้อมทั้งรายงานผลความก้าวหน้าในการดำเนินการต่อคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการต่อไป
ตามที่คณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการเสนอ และให้คณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงคมนาคม
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป เช่น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เห็นควรกำหนดให้มีหน่วยงานรับผิดชอบหลักในการกำกับดูแลฐานข้อมูลกลางและมีการเชื่อมโยงฐานข้อมูลร่วมกับหน่วยงานเจ้าของข้อมูลในข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการเร่งรัดดำเนินการจัดทำฐานข้อมูลกลางของกลุ่มเปราะบางอย่างเป็นระบ กระทรวงแรงงาน เห็นควรนำประเด็นข้อเสนอแนะจากรายงานผลการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ มาดำเนินการปรับปรุงแก้ไขและพัฒนาในส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อผลักดันและยกระดับงานบริการของส่วนราชการให้เกิดผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรมต่อไป สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรมีการบูรณาการฐานข้อมูลให้เป็นรูปแบบมาตรฐานเดียวกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
และนำระบบอิเล็กทรอนิกส์มาใช้ในทุกขั้นตอนเพื่อให้การปฏิบัติงานของภาครัฐ รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 102 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง ให้เศษพลาสติกเป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. .... | พณ. | 03/12/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์
เรื่อง ให้เศษพลาสติกเป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงมาตรการควบคุมการนำเข้าเศษพลาสติกเข้ามาในราชอาณาจักร
โดยกำหนดให้เศษพลาสติก (เศษ เศษตัดและของที่ใช้ไม่ได้ที่เป็นพลาสติก เช่น
ฝาขวดน้ำดื่ม ขวดน้ำอัดลม ขวดน้ำมันพืช)
เป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร
เพื่อให้การบริหารจัดการและการแก้ไขปัญหาเศษพลาสติกทั้งที่นำเข้าและที่มีอยู่เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและสอดคล้องกับมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน
โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่เห็นควรแก้ไขชื่อร่างประกาศฯ
เป็น “ประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง
กำหนดให้เศษพลาสติกเป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. ....”
เพื่อให้สอดคล้องกับบทอาศัยอำนาจตามมาตรา ๕ (๑)
แห่งพระราชบัญญัติการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า
พ.ศ. ๒๕๒๒ และสอดคล้องกับชื่อประกาศกระทรวงพาณิชย์ฉบับอื่นที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัตินี้
เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 103 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง ให้เศษพลาสติกเป็นสินค้าที่ต้องขออนุญาตในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. .... | พณ. | 03/12/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์
เรื่อง ให้เศษพลาสติกเป็นสินค้าที่ต้องขออนุญาตในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ.
.... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงมาตรการกำกับดูแลการนำเข้าเศษพลาสติกเข้ามาในราชอาณาจักร
โดยกำหนดให้เศษพลาสติก (เศษ เศษตัดและของที่ใช้ไม่ได้ที่เป็นพลาสติก เช่น ฝาขวดน้ำดื่ม
ขวดน้ำอัดลม ขวดน้ำมันพืช) เป็นสินค้าที่ต้องขออนุญาตในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร
เพื่อให้การบริหารจัดการและการแก้ไขปัญหาเศษพลาสติกทั้งที่นำเข้าและที่มีอยู่เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและสอดคล้องกับมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน
โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เห็นควรแก้ไขชื่อร่างประกาศฯ เป็น “ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์
เรื่อง กำหนดให้เศษพลาสติกเป็นสินค้าที่ต้องขออนุญาตในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ.
....” เพื่อให้สอดคล้องกับบทอาศัยอำนาจตามมาตรา ๕ (๒)
แห่งพระราชบัญญัติการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. ๒๕๒๒
และสอดคล้องกับชื่อประกาศกระทรวงพาณิชย์ฉบับอื่นที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัตินี้
และร่างข้อ ๔ เห็นควรใช้คำว่า “พิกัดอัตราศุลกากร”
เพื่อให้เป็นไปตามพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. ๒๕๓๐ ไปประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย
กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงมหาดไทย เห็นควรให้ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ
ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 104 | ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณพื้นที่จังหวัดภูเก็ต พ.ศ. .... | ทส. | 03/12/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม
ในบริเวณพื้นที่จังหวัดภูเก็ต พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง
กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมในบริเวณพื้นที่จังหวัดภูเก็ต พ.ศ.
๒๕๖๐ ที่จะสิ้นสุดระยะเวลาการใช้บังคับในวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๗
เพื่อกำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในเขตพื้นที่จังหวัดภูเก็ตให้มีประสิทธิภาพและเหมาะสมมากยิ่งขึ้น
และเพื่อไม่ให้เกิดช่องว่างการบังคับใช้กฎหมาย ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 105 | การปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | พณ. | 03/12/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (ฉบับที่..)
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๓๗ เพื่อให้อำนาจหน้าที่ตามวัตถุประสงค์ของสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือครอบคลุมการดำเนินการด้านการสนับสนุนผู้ส่งสินค้าทางเรือมีความคล่องตัวในการดำเนินการมากยิ่งขึ้น
แก้ไขอำนาจของคณะกรรมการในการออกข้อบังคับเกี่ยวกับการบริหารงานภายในของสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย
ตลอดจนยกเลิกบทบัญญัติที่กำหนดให้ผู้ส่งสินค้าทางเรือที่เป็นนิติบุคคล ซึ่งมีมูลค่าการส่งออกตามที่กำหนดในกฎกระทรวงจะต้องเป็นสมาชิกสามัญและบทลงโทษที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ผู้ส่งสินค้าทางเรือเข้าเป็นสมาชิกสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทยได้โดยสมัครใจ
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
โดยให้รับประเด็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา
ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 106 | ผลการดำเนินการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ มาตราส่วน 1 : 4000 (One Map) ของพื้นที่กลุ่มที่ 4 จำนวน 11 จังหวัด | สคทช | 03/12/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 107 | รายงานสรุปผลการดำเนินงานประจำปี 2566 ของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ | กค. | 29/11/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการดำเนินงานประจำปี ๒๕๖๖ ของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
ซึ่งศูนย์ข้อมูลฯ สามารถดำเนินงานตามภารกิจที่ได้รับมอบหมาย
โดยทำหน้าที่เป็นหน่วยงานกลางในการจัดเก็บข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ของประเทศ
ให้เป็นฐานข้อมูลที่มีความถูกต้องและน่าเชื่อถือ
และทำหน้าที่จัดทำข้อมูลทางด้านอสังหาริมทรัพย์ให้กับกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
นอกจากนี้ ศูนย์ข้อมูลฯ
มีการปรับปรุงเว็บไซต์และเพิ่มช่องทางการเผยแพร่ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์เพื่อความสะดวกในการเข้าถึงแหล่งข้อมูลมากขึ้น
ทำให้ผู้ที่สนใจนำไปใช้ในการวิเคราะห์เพื่อประกอบการตัดสินใจได้ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 108 | ข้อเสนอโครงการของจังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดเชียงรายเพื่อฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย | นร.11 สศช | 29/11/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการโครงการเร่งด่วนของจังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดเชียงรายเพื่อฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย
ที่เห็นควรสนับสนุน จำนวน ๓๙ โครงการ กรอบวงเงินรวม ๖๔๑,๑๒๗,๓๐๐ บาท โดยให้จังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดเชียงรายขอรับการจัดสรรจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
รวมทั้งให้สำนักงบประมาณตรวจสอบความซ้ำซ้อนของโครงการและงบประมาณต่อไป และรับทราบข้อเสนอโครงการพัฒนาในระยะยาวเพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากส่วนราชการของจังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย
จำนวน ๓๘๑ โครงการ กรอบวงเงินรวม ๑๙,๒๘๒,๕๔๖,๙๗๖ บาท
และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาบรรจุไว้ในแผนปฏิบัติราชการประจำปีของหน่วยงาน
เพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เห็นว่ากรณีโครงการ
หรือกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการปรับปรุง ซ่อมแซม ฟื้นฟูถนน หากไม่มีลักษณะเป็นการก่อสร้าง
และ/หรือขยายเขตทางหรือช่องจราจร และไม่มีลักษณะเป็นโครงการ กิจการ หรือการดำเนินการตามประกาศฯ
และมติคณะรัฐมนตรีฯ ข้างต้น
จะไม่เข้าข่ายต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ เห็นควรให้เตรียมความพร้อมในการขออนุญาตจากกรมธนารักษ์
และเตรียมค่าใช้จ่ายในการดำเนินการเพิ่มเติม
สำหรับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๘ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
โดยขอให้จังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดเชียงรายจัดทำรายละเอียดโครงการและประมาณการค่าใช้จ่ายเพื่อขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามระเบียบที่เกี่ยวข้อง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 109 | ขออนุมัติกู้เงินเพื่อเสริมสภาพคล่องทางการเงิน (กรณีรายได้ไม่พอสำหรับจ่าย) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ | คค. | 05/11/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ
กู้เงินเพื่อเสริมสภาพคล่องทางการเงิน (กรณีรายได้ไม่พอสำหรับรายจ่าย) ประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ รวมจำนวน ๘,๕๔๐.๗๓ ล้านบาท
และให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ กำหนดวิธีการกู้เงิน เงื่อนไข
และรายละเอียดต่าง ๆ ในการกู้เงิน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ให้กระทรวงคมนาคม องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ
(หนังสือสำนักงบประมาณ ที่ นร ๐๗๐๙/๖๗๑๘ ลงวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๖๗)
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (หนังสือสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่ นร ๑๑๒๔/๓๒๑๐ ลงวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๖๗) ไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงการคลัง เห็นควรมอบหมายให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ
(ขสมก.) เร่งดำเนินการปรับปรุงแผนขับเคลื่อนกิจการ ขสมก. โดยให้นำความเห็นของคณะอนุกรรมการกลั่นกรองแผนการแก้ไขปัญหารัฐวิสาหกิจไปดำเนินการต่อไป
ให้กระทรวงคมนาคม
และกรมการขนส่งทางบกดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาฯ
ในประเด็นการกำหนดบทบาทของ ขสมก.
ให้ชัดเจนในกรณีที่มีผู้ประกอบการเอกชนสามารถให้บริการได้ดี และกำหนดเส้นทางเดินรถของ
ขสมก. ให้สอดคล้องกับบทบาทดังกล่าว และในระหว่างการจัดทำแผนขับเคลื่อนกิจการ ขสมก.
ขอให้กระทรวงคมนาคมกำกับให้ ขสมก. เร่งดำเนินมาตรการต่าง ๆ
เพื่อลดรายจ่ายและเพิ่มรายได้ขององค์กร เช่น การนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ แผนการศึกษาพัฒนาพื้นที่เชิงธุรกิจ
ตลอดจนการปรับโครงสร้างองค์กรให้มีความกระชับ เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 110 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดระยะเวลาเริ่มดำเนินการจัดเก็บเงินสะสมและเงินสมทบเพื่อเป็นทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง พ.ศ. .... ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราการจ่ายเงินสะสมและเงินสมทบที่จะต้องส่งให้แก่กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงกำหนดกลักเกณฑ์และวิธีการสำหรับนายจ้างจัดให้มีการสงเคราะห์แก่ลูกจ้างในกรณีที่ลุูกจ้างออกงานหรือตาย พ.ศ. .... | รง. | 05/11/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดระยะเวลาเริ่มดำเนินการจัดเก็บเงินสะสมและเงินสมทบเพื่อเป็นทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง
พ.ศ. ....
ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราการจ่ายเงินสะสมและเงินสมทบที่จะต้องส่งให้แก่กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง
พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงกำหนดกลักเกณฑ์และวิธีการสำหรับนายจ้างจัดให้มีการสงเคราะห์แก่ลูกจ้างในกรณีที่ลูกจ้างออกงานหรือตาย
พ.ศ. .... รวม ๓ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ต่าง ๆ
เกี่ยวกับการดำเนินการจัดเก็บเงินสะสมจากลูกจ้างและเงินสมทบจากนายจ้าง
รวมถึงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเพื่อเป็นทางเลือกให้นายจ้างที่จัดให้มีการสงเคราะห์แก่ลูกจ้างตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดจะได้รับการยกเว้นให้ลูกจ้างไม่ต้องเป็นสมาชิกกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง
ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
โดยให้แก้ไขร่างพระราชกฤษฎีกาและร่างกฎกระทรวง รวม ๓ ฉบับดังกล่าว
ในส่วนของวันเริ่มดำเนินการจัดเก็บเงินสะสมและเงินสมทบกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างและวันใช้บังคบให้เป็นไปตามข้อสังเกตของนายกรัฐมนตรี
ดังนี้
๑.๑ แก้ไขวันเริ่มดำเนินการจัดเก็บเงินสะสมและเงินสมทบฯ
ในร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดระยะเวลาเริ่มดำเนินการจัดเก็บเงินสะสมและเงินสมทบกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง
พ.ศ. .... จาก “ให้ดำเนินการจัดเก็บเงินสะสมและเงินสมทบกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง
ตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๘ เป็นต้นไป” เป็น
“ให้ดำเนินการจัดเก็บเงินสะสมและเงินสมทบกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง ตั้งแต่วันที่ ๑
ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๘ เป็นต้นไป”
๑.๒
แก้ไขวันใช้บังคับร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราเงินสะสมและเงินสมทบกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง
พ.ศ. .... จาก “กฎกระทรวงนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๘
เป็นต้นไป” เป็น “กฎกระทรวงนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๘
เป็นต้นไป”
โดยกำหนดอัตราเงินสะสมจากลูกจ้างและเงินสมทบจากนายจ้างที่แต่ละฝ่ายจะต้องนำส่งเข้ากองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง
ดังนี้ ๑.๒.๑ จาก “ตั้งแต่วันที่ ๑
เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๘ ถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๗๓” เป็น “ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม
พ.ศ. ๒๕๖๘ ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน พ.ศ. ๒๕๗๓” ลูกจ้างและนายจ้าง (แต่ละฝ่าย)
ต้องนำส่งเข้ากองทุนฯ ในอัตราร้อยละ ๐.๒๕ ของค่าจ้าง ๑.๒.๒ จาก “ตั้งแต่วันที่ ๑
เมษายน พ.ศ. ๒๕๗๓ เป็นต้นไป” เป็น “ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๗๓ เป็นต้นไป”
ลูกจ้างและนายจ้าง (แต่ละฝ่าย) ต้องนำส่งเข้ากองทุนฯ ในอัตราร้อยละ ๐.๕ ของค่าจ้าง
๑.๓
แก้ไขวันใช้บังคับร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจัดการสงเคราะห์แก่ลูกจ้างในกรณีที่ลูกจ้างออกจากงานหรือตาย
พ.ศ. .... จาก “กฎกระทรวงนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๘
เป็นต้นไป” เป็น “กฎกระทรวงนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๘
เป็นต้นไป” ๒. ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงบประมาณที่เห็นว่า (๑)
ในระยะยาวควรพิจารณาผลกระทบและภาระที่จะเกิดขึ้นกับลูกจ้างและนายจ้างที่ต้องจ่ายเงินสะสมและเงินสมทบเข้าทั้งกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างและกองทุนประกันสังคม
และควรบริหารกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างให้มีประสิทธิภาพ ทั้งแนวทางการจัดหารายได้
การบริหารความเสี่ยงกองทุนเพื่อให้กองทุนมีความยั่งยืนในระยะยาว (๒)
ควรคำนึงถึงภาระทางการเงินของนายจ้างที่จะเพิ่มขึ้น
และในกรณีลูกจ้างถึงแก่ความตายหรือศาลสั่งให้เป็นคนสาบสูญ
และลูกจ้างมิได้กำหนดบุคคลจะพึงได้รับเงินสะสมและเงินสมทบไว้
ให้เงินสะสมและเงินสมทบ
รวมทั้งดอกผลตกทอดแก่ทายาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์นั้น
ควรพิจารณาให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑
ที่กำหนดให้จ่ายเงินจากกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างให้แก่บุตร สามี ภรรยา บิดา มารดา
ที่มีชีวิตอยู่คนละส่วนเท่า ๆ กัน (๓) ร่างพระราชกฤษฎีกาและร่างกฎกระทรวงในเรื่องนี้
รวม ๓ ฉบับ ไม่ก่อให้เกิดการสูญเสียรายได้ของรัฐ แต่จะมีผลกระทบโดยตรงต่อลูกจ้างและนายจ้างซึ่งอาจมีภาระทางการเงินเพิ่มขึ้น
เพราะต้องส่งเงินสมทบและเงินสะสมเข้าทั้งกองทุนประกันสังคม และ/หรือกองทุนอื่นๆ
แล้ว รวมถึงส่งผลต่อต้นทุนของผู้ประกอบการที่อาจมีการปรับเพิ่มราคาสินค้าและบริการ
ดังนั้น จึงควรศึกษาผลกระทบที่จะเกิดขึ้นอย่างรอบคอบ และ (๔)
ควรจัดทำรายงานสรุปผลการรับฟังความคิดเห็นในส่วนของการปรับปรุงหรือไม่ปรับปรุงร่างกฎหมายตามผลการรับฟังความคิดเห็น
พร้อมเหตุผล
รวมถึงชี้แจงให้ประชาชนและผู้เกี่ยวข้องเข้าใจถึงการกำหนดอัตราเงินสะสมและเงินสมทบดังกล่าว
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓.
ให้กระทรวงแรงงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาศึกษากลไกในการช่วยเหลือและออมเงินของลูกจ้างที่เหมาะสมในระหว่างที่กฎหมายในเรื่องนี้ยังไม่มีผลใช้บังคับ
ว่าควรมีกลไกหลักเพียงกองทุนเดียวดังเช่นในต่างประเทศ อาทิ
ประเทศสิงคโปร์ที่มีกองทุน Central Provident Fund (CPF) เป็นกองทุนหลักเพียงกองทุนเดียว
หรือไม่ เนื่องจากปัจจุบันมีกองทุนเกี่ยวกับลูกจ้าง ๓ กองทุน ได้แก่
กองทุนประกันสังคม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง
จึงอาจเป็นภาระสำหรับลูกจ้างและนายจ้างในการจ่ายเงินสะสมและเงินสมทบ
ตามข้อสังเกตของนายกรัฐมนตรี และให้รายงานผลการดำเนินการให้คณะรัฐมนตรีทราบภายใน ๓
เดือน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 111 | ร่างกฎกระทรวงระบบการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อ พ.ศ. .... | พน. | 29/10/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงระบบการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อ
พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไข เกี่ยวกับการประกอบกิจการระบบการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อ
เพื่อให้ครอบคลุมถึงการประกอบกิจการทั้งท่อส่งก๊าซธรรมชาติบนบกและท่อส่งก๊าซธรรมชาติในทะเล
รวมถึงท่อส่งก๊าซธรรมชาติเหลว และให้สอดคล้องกับสภาพการประกอบกิจการระบบการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อในปัจจุบันและเป็นตามมาตรฐานสากล
ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ และดำเนินการต่อไปได้ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 112 | รายงานผลการประเมินองค์การมหาชน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 | นร.12 | 29/10/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบรายงานผลการประเมินองค์การมหาชน
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ และข้อเสนอการกำหนดตัวชี้วัดขององค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะ
โดยให้องค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะที่ไม่อยู่ภายใต้พระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน
พ.ศ. ๒๕๕๘ กำหนดตัวชี้วัดการประเมินผลให้ตอบโจทย์นโยบายรัฐบาล วัตถุประสงค์การจัดตั้ง
และส่งผลกระทบต่อสังคมและการพัฒนาประเทศ รวมทั้งข้อเสนอต่อการประเมินผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ
(Integrity and Transparency Assessment : ITA) (ผลการประเมิน ITA) และมอบหมายให้สำนักงาน
ก.พ.ร. แจ้งข้อสังเกตให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
นำไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไป ตามที่คณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชนเสนอ ให้คณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน สำนักงาน
ก.พ.ร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อเสนอแนะของกระทรวงการคลัง
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ
(องค์การมหาชน) สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน)
สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงศึกษาธิการไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงการคลัง เห็นควรเสนอให้มีการใช้ตัวชี้วัดเชิงปริมาณที่สามารถวัดผลได้อย่างยั่งยืนควบคู่ไปกับการใช้ตัวชี้วัดเชิงคุณภาพ
เพื่อยกระดับมาตรฐานขององค์การมหาชนต่อไป และข้อเสนอต่อการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานของรัฐ
จะช่วยให้องค์การมหาชนมีการปรับปรุงตัวชี้วัดที่เกี่ยวข้องให้เหมาะสมกับบริบทและลักษณะเฉพาะขององค์การมหาชนแต่ละแห่ง
ทำให้เกิดการพัฒนาการบริหารงานภาครัฐให้มีศักยภาพและประสิทธิภาพตามหลักธรรมาภิบาล
และอำนวยความสะดวกและตอบสนองต่อประชาชนได้ดีขึ้น |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 113 | ร่างกฎกระทรวงจัดตั้งส่วนราชการภายในมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พ.ศ. .... | นร.09 | 29/10/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบร่างกฎกระทรวงจัดตั้งส่วนราชการในมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงการจัดตั้งส่วนราชการในมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เสียใหม่ โดยยกเลิกกฎกระทรวงจัดตั้งส่วนราชการในมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี
กระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. ๒๕๔๘ และแก้ไขชื่อ “คณะเทคโนโลยี” เป็น “คณะเทคโนโลยีและวิศวกรรมศาสตร์”
เพื่อให้สอดคล้องกับภารกิจและการดำเนินงานในปัจจุบัน
โดยเป็นการปรับชื่อส่วนราชการระดับคณะที่มีอยู่เดิมให้สอดคล้องกับการจัดการเรียนการสอนและการพัฒนาทางวิชาการของสถาบันอุดมศึกษา
และสอดคล้องกับการพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศให้มีประสิทธิภาพ
และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งร่างกฎกระทรวงในเรื่องนี้ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมลงนามและประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 114 | การปรับปรุงโครงสร้างการแบ่งส่วนราชการภายในกรมของส่วนราชการในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ | นร.09 | 29/10/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานปลัดกระทรวง
กระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงการแบ่งส่วนราชการสำนักงานปลัดกระทรวง
(สป.) กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) รวมทั้งหน้าที่และอำนาจของ สป.ศธ.
เนื่องจากพระราชบัญญัติส่งเสริมการเรียนรู้ พ.ศ. ๒๕๖๖ มีผลใช้บังคับ ทำให้สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยใน
สป.ศธ. เปลี่ยนฐานะเป็นกรมส่งเสริมการเรียนรู้ ศธ.
ส่งผลให้ภารกิจที่อยู่ในความรับผิดชอบของ สป.ศธ. เปลี่ยนแปลงไป ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา
กระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. ๒๕๔๖
โดยกำหนดให้มีกลุ่มตรวจสอบภายในและกลุ่มพัฒนาระบบบริหารขึ้นในสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา
(สอศ.) ศธ. เพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบการดำเนินงาน สนับสนุนการปฏิบัติงาน
และพัฒนาการบริหารของ สอศ. อันจะทำให้การปฏิบัติภารกิจตามหน้าที่และอำนาจมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลยิ่งขึ้น
และร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ (ฉบับที่
..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา
กระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. ๒๕๔๖ โดยกำหนดให้มีกลุ่มตรวจสอบภายในและกลุ่มพัฒนาระบบบริหารขึ้นในสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา
(สกศ.) ศธ. เพื่อทำหน้าที่ในการตรวจสอบการดำเนินงาน
สนับสนุนการปฏิบัติงานและการพัฒนาการบริหารของ สกศ.
อันจะทำให้การปฏิบัติภารกิจตามหน้าที่และอำนาจมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลยิ่งขึ้น รวม
๓ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งร่างกฎกระทรวงในเรื่องนี้ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการลงนามและประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 115 | ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (การปรับปรุงมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนเพื่อความยั่งยืนของประเทศไทย) | กค. | 29/10/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ ..
(พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร
(การปรับปรุงมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนเพื่อความยั่งยืนของประเทศไทย)
ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนเพื่อความยั่งยืนของประเทศไทยโดยกำหนดให้เงินได้ของบุคคลธรรมดาที่จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนใน
“กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thailand ESG Fund หรือ TESG)” ในอัตราไม่เกินร้อยละ ๓๐ ของเงินได้
เฉพาะส่วนที่ไม่เกิน ๓๐๐,๐๐๐ บาท สำหรับปีภาษีนั้น
(จากเดิมไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท)
เป็นเงินได้พึงประเมินที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้
สำหรับเงินได้ที่จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๗
ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๙ และกำหนดให้ผู้มีเงินได้ไม่ต้องนำเงินหรือผลประโยชน์ใด
ๆ ที่ได้รับเนื่องจากการขายหน่วยลงทุนคืนให้แก่ TESG มารวมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
เฉพาะกรณีที่เงินหรือผลประโยชน์ดังกล่าวคำนวณมาจากเงินได้พึงประเมินที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องนำมารวมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามที่กล่าวมา
ทั้งนี้ ต้องถือหน่วยลงทุนดังกล่าวมาแล้วไม่น้อยกว่า ๕ ปี
นับตั้งแต่วันที่ซื้อหน่วยลงทุน (จากเดิมไม่น้อยกว่า ๘ ปี
นับตั้งแต่วันที่ซื้อหน่วยลงทุน) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 116 | การหารือร่วมกับคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน | นร. | 29/10/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า สืบเนื่องจากการที่ได้หารือร่วมกับคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน
๓ สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
และสมาคมธนาคารไทย ณ ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๖๗
รวมทั้งได้รับฟังข้อเสนอของ กกร. รวม ๔ ด้าน ได้แก่ (๑) การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ (๒)
การช่วยเหลือธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) (๓) การบริหารจัดการน้ำ และ (๔)
การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ จึงขอมอบหมายการดำเนินการ ดังนี้ ๑. การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี
(นายพิชัย ชุณหวชิร) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรับไปหารือร่วมกับ กกร.
และส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงอุตสาหกรรม
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ
เพื่อกำหนดแนวทาง/มาตรการในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เจริญเติบโตได้อย่างเต็มศักยภาพมากยิ่งขึ้น
รวมทั้งให้พิจารณาแนวทาง/มาตรการในการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน
(โดยเฉพาะหนี้สินเช่าซื้อรถยนต์และหนี้ที่อยู่อาศัย)
ซึ่งต้องอาศัยการเพิ่มรายได้และแก้ไขผ่อนปรนภาระของประชาชนเป็นสำคัญและปัญหาหนี้ของผู้ประกอบการ
SMEs ตามที่กระทรวงการคลังได้เตรียมการไว้
ให้ได้ข้อยุติที่ชัดเจนโดยเร็ว ๒. การช่วยเหลือธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ในฐานะประธานกรรมการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจจากต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมายร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการแก้ไขปัญหาการประกอบธุรกิจและปกป้องผลประโยชน์ของผู้ผลิต
และผู้ประกอบการชาวไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่ม SMEs
เกี่ยวกับธุรกิจขายสินค้าจากต่างประเทศ ทั้งในรูปแบบออนไลน์และออฟไลน์ที่ได้เข้ามาค้าขายอย่างผิดปกติในประเทศไทย
ซึ่งส่งผลกระทบต่อโอกาสและความอยู่รอดในการผลิตและการทำธุรกิจของคนไทยให้บรรลุผลโดยเร็วภายใน
๑ เดือน ทั้งนี้ ให้เร่งดำเนินการตามมาตรการดังต่อไปนี้ด้วย (๑)
ผู้ประกอบการจากต่างประเทศที่ขายสินค้าออนไลน์จะต้องจดทะเบียนการค้าและใบอนุญาตต่าง
ๆ ในการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยให้ถูกต้องเพื่อควบคุมคุณภาพสินค้าสำหรับผู้บริโภคและเข้าสู่ระบบภาษีของไทยด้วย
(๒) สินค้าจากต่างประเทศต้องเป็นไปตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.)
ของสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (๓)
สินค้าอาหารและยาจากต่างประเทศต้องเป็นไปตามมาตรฐานอาหารและยา (อย.) ของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ๓. การบริหารจัดการน้ำ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี
(นายประเสริฐ จันทรรวงทอง)
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัด ติดตาม
และสานต่อการดำเนินการตามเป้าหมายและแผนงานต่าง ๆ
เกี่ยวกับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เพื่อให้เกิดการบูรณาการการทำงานเพื่อป้องกันปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้งในอนาคต รวมถึงการจัดหาน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการทั้งในภาคการเกษตรและภาคอุตสาหกรรมด้วย ๔. การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ มอบหมายให้สำนักงาน ก.พ.ร. ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการปรับปรุงกฎหมาย
เพื่อความสะดวกในการประกอบธุรกิจ (ศาสตราจารย์พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ
เป็นประธานกรรมการ) เร่งหารือร่วมกับ กกร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น
กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงแรงงาน กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพลังงาน
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อปรับปรุง แก้ไข หรือยกเลิกกฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ
ที่เป็นอุปสรรคในการประกอบอาชีพและธุรกิจของประชาชน
เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมทางกฎหมายของประเทศให้เหมาะสมและเอื้อต่อการประกอบธุรกิจ (Ease of Doing Business) ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนในการประกอบธุรกิจของภาคเอกชนได้เป็นอย่างมาก
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 117 | ผลการประชุมคณะกรรมาธิการประชากรและการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ สมัยที่ 57 | พม. | 22/10/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมาธิการประชากรและการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ
สมัยที่ ๕๗ ระหว่างวันที่ ๒๙ เมษายน - ๓ พฤษภาคม ๒๕๖๗ ณ สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมฯ ภายใต้หัวข้อหลัก “การประเมินสถานการณ์ดำเนินการตามแผนปฏิบัติการของการประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยประชากรและการพัฒนา
และผลการดำเนินงานที่นำไปสู่การติดตามและทบทวนวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน
ค.ศ. ๒๐๓๐ ในช่วงทศวรรษแห่งการดำเนินการและมุ่งสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน” ซึ่งผลการประชุมฯ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการยืนยันความมุ่งมั่นในการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการของการประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยประชากรและการพัฒนา
ไปขับเคลื่อนสู่การปฏิบัติต่อไป การดำเนินการเพื่อบรรลุเป้าหมายและวัตถุประสงค์ต่าง ๆ
ของแผนปฏิบัติการฯ เช่น การลดความยากจน การลดการเสียชีวิตของเด็กและมารดา
การปรับปรุงการเข้าถึงการศึกษาขั้นพื้นฐาน รวมถึงการวางแผนครอบครัว และการสร้างสมดุลระหว่างการพัฒนาด้านเศรษฐกิจ
สังคม และสิ่งแวดล้อมในลักษณะบูรณาการ โดยตระหนักถึงความท้าทายที่สำคัญ เช่น
การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอายุประชากร ความยากจน
และวิกฤตการณ์ต่าง ๆ ที่โลกกำลังเผชิญ ซึ่งทำให้ความเปราะบางและความเหลื่อมล้ำรุนแรงขึ้น
ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 118 | รายงานประจำครึ่งปี (กรกฎาคม-ธันวาคม 2566) ของธนาคารแห่งประเทศไทย และรายงานการพิจารณาความเหมาะสมของอัตราการเรียกเก็บเงินนำส่งจากสถาบันการเงินสำหรับปี 2567 | กค. | 22/10/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. รับทราบรายงานประจำครึ่งปี
(กรกฎาคม-ธันวาคม ๒๕๖๖) ของธนาคารแห่งประเทศไทย
และรายงานการพิจารณาความเหมาะสมของอัตราการเรียกเก็บเงินนำส่งจากสถาบันการเงินสำหรับปี
๒๕๖๗ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑.๑ ภาวะเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๖๖ ขยายตัวที่ร้อยละ ๑.๖
ชะลอลงจากที่ขยายตัวร้อยละ ๒.๒ ในช่วงครึ่งแรกของปี
ส่วนอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐอเมริกาและดัชนีค่าเงินบาทโดยเฉลี่ยอ่อนค่าลง
แต่เสถียรภาพด้านต่างประเทศของไทยอยู่ในเกณฑ์ดี
ซึ่งสะท้อนจากสัดส่วนหนี้ต่างประเทศต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ซึ่งดีกว่าเกณฑ์สากล
๑.๒ การดำเนินงานของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยการดำเนินนโยบายการเงิน คณะกรรมการนโยบายการเงินมีมติให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ร้อยละ
๒.๕ และคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายมาจนถึงสิ้นปี ๒๕๖๖
ส่วนการดำเนินนโยบายอัตราแลกเปลี่ยน คณะกรรมการนโยบายการเงินเห็นควรให้ติดตามพัฒนาการในตลาดการเงินและความผันผวนในตลาดอัตราแลกเปลี่ยนอย่างใกล้ชิด
รวมทั้งผลักดันการสร้างระบบนิเวศใหม่ของตลาดอัตราแลกเปลี่ยนอย่างต่อเนื่อง
สำหรับแนวทางการดำเนินงานและประเมินผลนโยบายสถาบันการเงิน
ธนาคารแห่งประเทศไทยมีการปรับปรุงระบบให้มีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับสากลมากขึ้น
๑.๓ การพิจารณาความเหมาะสมของอัตราการเรียกเก็บเงินนำส่ง
โดยธนาคารแห่งประเทศไทยประเมินสถานการณ์ปัจจุบันแล้ว
การคงอัตราการเรียกเก็บเงินนำส่งสำหรับปี ๒๕๖๗ ที่อัตราร้อยละ ๐.๔๖
ต่อปีเช่นเดิมจะช่วยให้หนี้ที่เหลืออยู่ลดลงได้ตามเป้าหมาย ทั้งนี้
คาดว่าการชำระหนี้จะเสร็จสิ้นภายในปี ๒๕๗๔ ๒. ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยรับความเห็นเพิ่มเติมของกระทรวงการคลังที่เห็นว่า
เพื่อให้การดำเนินนโยบายการเงินและนโยบายการคลังมีผลต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ
โดยเฉพาะการให้ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (Small and
Medium Enterprises : SMEs) ในภาคธุรกิจที่มีบทบาทในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ
เช่น ภาคอสังหาริมทรัพย์ ภาคการท่องเที่ยว ภาคการเกษตร เป็นต้น สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนจากสถาบันการเงินได้เพิ่มขึ้น
เพื่อให้มีสภาพคล่องที่เพียงพอต่อการประกอบกิจการ
และเป็นการใช้สภาพคล่องของสถาบันการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ
จึงเห็นควรให้ธนาคารแห่งประเทศไทยพิจารณาร่วมกับสถาบันการเงินที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลพิจารณาจัดทำมาตรการที่เหมาะสม
เพื่อลดปัญหาอุปสรรคของการให้สินเชื่อดังกล่าว นอกจากนี้
เห็นควรให้ธนาคารแห่งประเทศไทยพิจารณาร่วมกับสถาบันการเงินที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลดำเนินการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการช่วยลดภาระหนี้สินของลูกหนี้อย่างเข้มข้น
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 119 | ร่างพระราชบัญญัติที่คณะรัฐมนตรีขอรับมาพิจารณาก่อนรับหลักการ [ร่างพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (เรืออากาศโท ธนเดช เพ็งสุข กับคณะ เป็นผู้เสนอ)] | นร.09 | 22/10/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติให้ส่งคืนร่างพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (เรืออากาศโท ธนเดช เพ็งสุข กับคณะ เป็นผู้เสนอ)
ที่คณะรัฐมนตรีขอรับมาพิจารณาก่อนรับหลักการไปยังสภาผู้แทนราษฎรภายในกำหนดเวลา พร้อมให้แจ้งความเห็นของคณะรัฐมนตรีไปด้วยว่า
ร่างพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
ที่เสนอโดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรดังกล่าวเป็นการปรับปรุงโครงสร้าง
การบริหารราชการของกระทรวงกลาโหม และองค์ประกอบของสภากลาโหม
ซึ่งเป็นการปรับปรุงในเชิงหลักการที่ควรพิจารณาโดยรอบคอบ ประกอบกับขณะนี้กระทรวงกลาโหมได้เสนอร่างพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่ผ่านการพิจารณาของสภากลาโหมแล้ว
จึงเห็นควรชะลอร่างพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
ที่เสนอโดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (เรืออากาศโท ธนเดช เพ็งสุข กับคณะ เป็นผู้เสนอ)
เพื่อรอร่างพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
ของคณะรัฐมนตรีที่อยู่ระหว่างการพิจารณาเพื่อพิจารณาไปพร้อมกันต่อไป
ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 120 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณสำหรับรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 | นร.07 | 15/10/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติให้หน่วยรับงบประมาณก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการใหม่
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ จำนวน ๑,๖๑๒ รายการ เป็นวงเงินภาระผูกพัน รวมทั้งสิ้น ๓๕๒,๕๘๓
ล้านบาท สำหรับรายการที่มีวงเงินรวมตั้งแต่ ๑,๐๐๐
ล้านบาทขึ้นไป จำนวน ๓๓ รายการ วงเงิน ๑๑๔,๖๖๖.๖ ล้านบาท
เมื่อทราบผลประกวดราคาแล้ว เห็นสมควรให้หน่วยรับงบประมาณนำเสนอนายกรัฐมนตรีทราบอีกครั้งหนึ่งก่อนดำเนินการต่อไป ๒.
อนุมัติให้หน่วยรับงบประมาณที่ไม่สามารถดำเนินการตามหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ
ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ (เรื่อง
การปรับปรุงแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณและมาตรการอื่นที่เกี่ยวข้อง)
สามารถดำเนินการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณตามที่เสนอได้ จำนวน ๑๐๒
หน่วยรับงบประมาณ ๓. อนุมัติให้สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้
(องค์การมหาชน) เพิ่มวงเงินรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ
รายการค่าเช่าทรัพย์สิน จากวงเงินผูกพัน ๓,๔๐๗,๐๕๕,๔๐๐ บาท
เป็นวงเงินผูกพัน ๓,๔๐๗,๐๕๕,๕๐๐ บาท ๔.
รายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณที่จะต้องจ่ายในรูปของเงินตราต่างประเทศ เช่น
รายการค่าเช่าบ้าน ค่าเช่าอาคารสำนักงาน และค่าเช่าทรัพย์สินในต่างประเทศ
ให้สำนักงบประมาณพิจารณาอนุมัติวงเงินผูกพันที่เปลี่ยนแปลงไปจากที่ได้รับอนุมัติเนื่องจากอัตราแลกเปลี่ยน
ในกรณีที่หน่วยรับงบประมาณสามารถปรับแผนการใช้จ่ายงบประมาณได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบอีกครั้ง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
