ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 7 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 121 - 140 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 121 | โครงการปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลางและกรุงเทพมหานคร เพื่อเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้า (โครงการ TIEC) ระยะที่ 3.1 (ภายใต้โครงการ TIEC ระยะที่ 3) | พน. | 08/10/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
ดำเนินโครงการปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือตอนล่าง
ภาคกลาง และกรุงเทพมหานคร เพื่อเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้า ระยะที่ ๓.๑ วงเงินลงทุน
๓๘,๕๐๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ให้กระทรวงพลังงาน (การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย)
รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย
สำนักงบประมาณ ธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
(หนังสือสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ด่วนที่สุด ที่ นร ๑๑๐๖/๒๑๔๔
ลงวันที่ ๒ เมษายน ๒๕๖๗) ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เห็นว่าหากมีการดำเนินการใด
ๆ ในเขตพื้นที่ป่า ขอให้ปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด สำนักงบประมาณ เห็นควรให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยบริหารจัดการเรื่องการเงินและการลงทุนให้เหมาะสม
มีมาตรการรองรับในกรณีที่อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศมีความผันผวน โดยพิจารณาจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงในกรณีที่การดำเนินงานไม่เป็นไปตามแผน
เพื่อมิให้ส่งผลกระทบต่อฐานะทางการเงินในอนาคต รวมทั้งปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ
ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
ตลอดจนดำเนินการก่อหนี้และบริหารหนี้ในทุกมิติ ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 122 | มาตรการป้องกันอุบัติเหตุจากการใช้บริการรถขนส่งสาธารณะ | นร. | 08/10/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า จากเหตุการณ์เพลิงไหม้รถโดยสารสาธารณะที่นำนักเรียนของโรงเรียนวัดเขาพระยาสังฆาราม
จังหวัดอุทัยธานี ไปทัศนศึกษา เมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๗ ที่ผ่านมา
จนเป็นเหตุให้มีอาจารย์และนักเรียนเสียชีวิตและบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก นั้น
เพื่อป้องกันอุบัติเหตุและการสูญเสียที่อาจจะเกิดขึ้นในทำนองเดียวกันอีก
รวมทั้งเพื่อให้รถขนส่งสาธารณะทุกประเภท โดยเฉพาะรถที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงมีความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้ใช้บริการมากยิ่งขึ้น
จึงขอให้ส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้ ๑. ให้คณะทำงานของกระทรวงคมนาคม
(คณะกรรมการพิจารณามาตรการเชิงป้องกันสำหรับการให้บริการขนส่งด้วยรถโดยสารสาธารณะ)
ร่วมกับวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (วสท.)
เร่งพิจารณากำหนดมาตรการลดปัญหาอุบัติภัยและสร้างความปลอดภัยแก่การขนส่งสาธารณะทั้งทางบก
ทางน้ำ และทางอากาศให้ชัดเจน เป็นรูปธรรม ให้แล้วเสร็จภายใน ๑๕ วัน
แล้วให้ดำเนินการตามขั้นตอน เพื่อให้มีผลในทางปฏิบัติโดยเร็วต่อไป ๒. ให้กระทรวงคมนาคม (กรมการขนส่งทางบก)
พิจารณากำหนดให้รถขนส่งสาธารณะทุกประเภทที่ใช้เชื้อเพลิงจากก๊าซธรรมชาติอัด
(Compressed Natural Gas : CNG) หรือก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (Natural
Gas for Vehicles : NGV) หยุดให้บริการชั่วคราวเพื่อตรวจสภาพรถให้ถูกต้อง
เหมาะสม ให้แล้วเสร็จภายใน ๖๐ วัน
โดยให้ดำเนินการตรวจสภาพรถขนส่งสาธารณะที่ใช้สำหรับรับส่งเด็กนักเรียนก่อนเป็นลำดับแรก ๓. ให้กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย
กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงศึกษาธิการ
และหน่วยงานอื่น ๆ
ที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการปรับปรุงกฎหมายที่อยู่ในความรับผิดชอบที่เกี่ยวข้องกับการโดยสารและการขนส่งให้มีความเหมาะสม
ทันสมัย และสอดคล้องกับสภาพการณ์ในปัจจุบัน ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 123 | การปรับปรุงอัตราเงินช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยนอกของคลินิกและโรงพยาบาลเอกชน ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย | พน. | 01/10/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับปรุงอัตราเงินช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยนอกของคลินิกและโรงพยาบาลเอกชนของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
(กฟผ.)
จากอัตราเท่าที่จ่ายจริงครั้งละไม่เกิน ๑,๐๐๐ บาท และรวมกันปีละไม่เกิน
๓,๖๐๐ บาท เป็น อัตราเท่าที่จ่ายจริงโดยไม่จำกัดอัตราการเบิกในแต่ละครั้ง
และรวมกันปีละไม่เกิน ๕,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ทั้งนี้ ให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงการคลัง เห็นควรตรวจสอบการเบิกจ่ายเงินช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาลดังกล่าวอย่างเคร่งครัด
เพื่อให้เกิดความรัดกุมและไม่ทับซ้อนกับสิทธิหรือประกันการรักษาพยาบาลที่ผู้ปฏิบัติงานหรือบุคคลในครอบครัวได้รับทางอื่นด้วย
รวมทั้งเร่งนำเทคโนโลยีเข้ามาปรับใช้ในองค์กรเพื่อบริหารจำนวนบุคลากรให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
ตลอดจนดำเนินการเพิ่มรายได้และลดค่าใช้จ่ายการดำเนินงานอื่นให้เป็นไปตามแนวทางหรือแผนที่กำหนดไว้ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 124 | ขออนุมัติดำเนินโครงการปรับปรุงคลองชักน้ำแม่น้ำยมฝั่งขวา จังหวัดสุโขทัย | กษ. | 01/10/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โดยกรมชลประทาน ดำเนินโครงการปรับปรุงคลองชักน้ำแม่น้ำยมฝั่งขวา จังหวัดสุโขทัย
มีกำหนดแผนงานโครงการ ๖ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ - ๒๕๗๓) กรอบวงเงินงบประมาณทั้งสิ้น
๓,๕๕๗ ล้านบาท ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวัฒนธรรม สำนักงบประมาณ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงการคลัง เห็นควรให้ความสำคัญกับการควบคุม
และกำกับดูแลการดำเนินโครงการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 125 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2566 | สคทช | 01/10/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ
(คทช.) ครั้งที่ ๓/๒๕๖๖ เมื่อวันที่ ๓๑ ตุลาคม
๒๕๖๖ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติเสนอ โดยที่ประชุมได้มีมติในเรื่องต่าง ๆ เช่น ๑. รับทราบผลการดำเนินงานของฝ่ายเลขานุการ
คทช. และคณะอนุกรรมการภายใต้ คทช. เช่น (๑) ภาพรวมผลการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชน ปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๕๘ - ๒๕๖๖ มีพื้นที่เป้าหมาย ๑,๕๘๒ พื้นที่ ใน ๗๑ จังหวัด เนื้อที่ ๕.๘๙ ล้านไร่ โดยได้จัดคนเข้าใช้ประโยชน์ในที่ดินแล้ว
๘๕,๔๐๓ ราย ๑๐๕,๖๕๗ แปลง เนื้อที่ ๕๘๗,๓๕๗ แสนไร่ ใน ๓๙๓ พื้นที่ (๒) การสร้างมูลค่าที่ดินที่รัฐจัดให้กับประชาชนมีเป้าหมายให้เกษตรกรและคนยากจนที่ได้รับการจัดสรรที่ดินจากรัฐสามารถนำเอกสารแสดงสิทธิในที่ดินหรือหนังสือ/เอกสารให้ใช้ที่ดินที่ได้รับจากรัฐไปใช้เป็นหลักประกันการเข้าถึงแหล่งทุนสำหรับการประกอบอาชีพ
(๓) การขับเคลื่อนนโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศไปสู่การปฏิบัติ
แบ่งเป็น ๒ ส่วน ได้แก่ ๑) เสริมสร้างการรับรู้และความเข้าใจให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องได้รับทราบทิศทางและกรอบแนวทางนโยบายและแผนผ่านการปฏิบัติการด้านการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ
(พ.ศ. ๒๕๖๖ – ๒๕๗๐) ระยะ ๕ ปี ๒) การขับคลื่อนการแก้ไขปัญหาที่ดินทิ้งร้างหรือไม่ได้ใช้ประโยชน์
เป็นต้น ๒.
เห็นชอบผลการดำเนินการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการมาตราส่วน ๑ : ๔๐๐๐
(One Map) และแก้ไขปัญหาแนวเขตที่ดินของรัฐของกลุ่มจังหวัดที่
๔ จำนวน ๑๑ จังหวัด ตามที่คณะอนุกรรมการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการมาตราส่วน
๑ : ๔๐๐๐ (One Map) และแก้ไขปัญหาแนวเขตที่ดินของรัฐเสนอ
และมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบเส้นแนวเขตที่ดินของรัฐต่อไป ๓. เห็นชอบในหลักการให้
สคทช.
กำหนดแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการมาตราส่วน
๑ : ๔๐๐๐ (One Map) และนำแนวทางปฏิบัติฯ
ดังกล่าว เสนอต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาและเมื่อได้รับความเห็นชอบให้นำไปจัดทำแผนที่แนบท้ายกฎหมายโดยไม่ต้องแจ้งเวียนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบตามมติคณะรัฐมนตรี
(๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕) และมติคณะรัฐมนตรี (๒๒ มีนาคม ๒๕๖๕)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 126 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2567 | สคทช | 01/10/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ
(คทช.) ครั้งที่ ๑/๒๕๖๗ เมื่อวันที่ ๒๐
กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติเสนอ โดยที่ประชุมได้มีมติในเรื่องต่าง
ๆ เช่น ๑. รับทราบผลการดำเนินงานของฝ่ายเลขานุการ คทช. และคณะอนุกรรมการภายใต้
คทช. เช่น (๑) ภาพรวมผลการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชน ปีงบประมาณ ๒๕๕๘ - ปัจจุบัน
มีพื้นที่เป้าหมาย จำนวน ๑,๕๘๒
พื้นที่ ใน ๗๒ จังหวัด เนื้อที่ ประมาณ ๕.๘๙ ล้านไร่
โดยได้จัดคนเข้าใช้ประโยชน์ในที่ดินแล้ว ๘๖,๑๘๘ ราย ๑๐๖,๓๐๒ แปลง เนื้อที่ ๕๘๗,๔๓๙ ไร่ (๒) การปรับปรุงแนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ
มาตราส่วน ๑ : ๔๐๐๐ (One Map) อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ โดยมอบหมายกรมแผนที่ทหาร
กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันตรวจสอบเป็นการเร่งด่วน
เพื่อเสนอ คทช. พิจารณาต่อไป ๒. เห็นชอบการขอผ่อนผันมติคณะรัฐมนตรี (๘ เมษายน ๒๕๔๖) เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่อยู่อาศัยในเขตที่ดินของรัฐให้เข้าถึงสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานต่าง
ๆ ในพื้นที่นำร่องจังหวัดกาญจนบุรีและจังหวัดแม่ฮ่องสอน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 127 | การปรับปรุงหลักเกณฑ์การดำเนินโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) GSB Boost Up ของธนาคารออมสิน | กค. | 01/10/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับปรุงหลักเกณฑ์การดำเนินโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ
(Soft Loan) GSB Boost Up ของธนาคารออมสิน
พร้อมทั้งมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป และรับทราบโครงการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ
SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัยปี ๒๕๖๗ ภายใต้โครงการ PGS
๑๑ ของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ให้กระทรวงการคลัง สถาบันการเงิน
บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและธนาคารแห่งประเทศไทยไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
ดังนี้ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรรับทราบการดำเนินโครงการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ
SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยปี
๒๕๖๗ ภายใต้โครงการ PGS ๑๑ ของ บสย. ให้ผู้ประกอบการ SMEs
และผู้ประกอบการรายย่อยเข้าถึงสินเชื่อกับสถาบันการเงินเพื่อเพิ่มสภาพคล่องในการฟื้นฟูกิจการ
ทั้งนี้ บสย. ควรบริหารจัดการโครงการ PGS ๑๑
โดยไม่กระทบกรอบวงเงินการขอรับชดเชยจากรัฐบาลและเงื่อนไขอื่น ๆ ภายใต้โครงการ PGS
๑๑ ที่ได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๖๗
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 128 | ขออนุมัติเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อดำเนินการตามมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าประเภทรถยนต์และรถจักรยานยนต์ | กค. | 24/09/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๗ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๗,๑๒๕,๖๓๐,๐๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายเงินอุดหนุนตามมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าประเภทรถยนต์และรถจักรยานยนต์
(EV3) ต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้กระทรวงการคลัง
(กรมสรรพสามิต)
จัดทำรายละเอียดค่าใช้จ่ายและขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ๒.
ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑
ติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินการมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าประเภทรถยนต์และรถจักรยานยนต์
รวมทั้งรวบรวมข้อดี ข้อเสีย ปัญหา อุปสรรค ความคุ้มค่า
และประโยชน์ที่ประชาชนและอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยจะได้รับจากการดำเนินมาตรการส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าดังกล่าว
และให้รายงานผลการดำเนินการดังกล่าวต่อคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติทราบ
เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการพัฒนาการปรับปรุงนโยบายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าวต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 129 | มาตรการพักชำระหนี้ให้กับลูกหนี้รายย่อยตามนโยบายรัฐบาล ระยะที่ 2 และระยะที่ 3 | กค. | 24/09/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการพักชำระหนี้ให้กับลูกหนี้รายย่อยตามนโยบายรัฐบาล
ระยะที่ ๒ และระยะที่ ๓ รวมทั้งการพัฒนาศักยภาพเพื่อฟื้นฟูลูกหนี้ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรของกระทรวงการคลัง
ในกรอบวงเงินงบประมาณรวมทั้งสิ้น ๒๒,๙๗๒ ล้านบาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้กระทรวงการคลัง (ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร)
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ เกี่ยวกับการจัดทำแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี
และการพิจารณากำหนดมาตรการ/โครงการในการฟื้นฟูศักยภาพกลุ่มเกษตรกร รวมทั้งความเห็นของกระทรวงมหาดไทย
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และธนาคารแห่งประเทศไทยไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย เช่น กระทรวงมหาดไทย เห็นควรพิจารณาใช้กลไกในระดับพื้นที่ประชาสัมพันธ์
สร้างการรับรู้
และชี้แจงทำความเข้าใจให้แก่ลูกหนี้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรที่เป็นกลุ่มเป้าหมายในการได้รับการพักชำระหนี้ได้ทราบและเข้าใจเงื่อนไข
หลักเกณฑ์ ข้อกำหนด และวัตถุประสงค์ของมาตรการพักชำระหนี้ฯ ระยะที่ ๒ และระยะที่ ๓
รวมถึงการพัฒนาศักยภาพเพื่อฟื้นฟูลูกหนี้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรได้อย่างถูกต้องและทั่วถึง
และให้กำหนดมาตรการป้องกันการหลอกลวงโดยมิจฉาชีพในทุกรูปแบบเพื่อแสวงหาผลประโยชน์กับลูกหนี้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรที่เป็นกลุ่มเป้าหมายด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 130 | การขอขยายระยะเวลาดำเนินการจ่ายเงินชดเชยให้แก่น้ำมันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเชื้อเพลิงชีวภาพ | พน. | 17/09/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบการขยายระยะเวลาดำเนินการจ่ายเงินชดเชยให้แก่น้ำมันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเชื้อเพลิงชีวภาพออกไปสองปี
จนถึงวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๖๙ และร่างประกาศคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และมาตรการเพื่อลดการจ่ายเงินชดเชยน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเชื้อเพลิงชีวภาพ
ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ๒. รับทราบแผนการลดการจ่ายเงินชดเชยน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเชื้อเพลิงชีวภาพในช่วงปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ - ๒๕๖๙ ของกระทรวงพลังงาน ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๓. ให้กระทรวงพลังงาน
คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นควรมอบหมายให้กระทรวงพลังงานหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อพิจารณาแนวทางแก้ปัญหาอุปทานส่วนเกินของเชื้อเพลิงชีวภาพอย่างยั่งยืน
โดยการต่อยอดอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพ การเพิ่มมูลค่าสินค้า และประยุกต์กับอุตสาหกรรมอื่น
ๆ นอกจากนี้
เห็นควรมอบหมายให้คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงพิจารณาแนวทางการปรับปรุงกลไกการบริหารราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในระยะต่อไป
ให้สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาด้านพลังงานของประเทศที่ปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้พลังงานภาคขนส่งเป็นพลังงานสีเขียวผ่านเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า
(EV) เพื่อรักษาเสถียรภาพระดับราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมตามวัตถุประสงค์ของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 131 | การปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2567 ครั้งที่ 3 | กค. | 17/09/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและรับทราบการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ
ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๗ ครั้งที่ ๓ ตามข้อเสนอของคณะกรรมการฯ ในคราวประชุมครั้งที่
๒/๒๕๖๗ เมื่อ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๖๗ สรุปได้ ดังนี้ ๑) แผนการก่อหนี้ใหม่ ปรับเพิ่ม ๑๑๒,๐๐๐ ล้านบาท จากเดิม ๑,๐๓๐,๕๘๐.๗๑ ล้านบาท เป็น ๑,๑๔๒,๕๘๐.๗๑
ล้านบาท โดยเป็นแผนการก่อหนี้ใหม่ของรัฐบาล (รัฐบาลกู้มาใช้โดยตรง) ปรับเพิ่ม ๑๑๒,๒๐๐ ล้านบาท และ ๒) แผนการบริหารหนี้เดิม ปรับลด ๑๒,๖๐๓.๘๗
ล้านบาท จากเดิม ๒,๐๔๒,๓๑๔.๐๖ ล้านบาท
เป็น ๒,๐๒๙,๗๑๐.๑๙ ล้านบาท
เนื่องจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรปรับลดแผนการบริหารหนี้เดิมจาก ๔๙,๐๕๔.๐๐ ล้านบาท เป็น ๓๖,๔๕๐.๑๓ ล้านบาท ตามที่คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเสนอ ให้คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ
กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและข้อสังเกตของธนาคารแห่งประเทศไทยไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง สำนักงบประมาณ เห็นควรกำกับ ติดตาม
และเร่งรัดหน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการและเบิกจ่ายเงินกู้ให้สอดคล้องและบรรลุวัตถุประสงค์ตามแผนที่กำหนดไว้
เพื่อให้การใช้จ่ายเงินกู้เป็นไปอย่างโปร่งใส คุ้มค่า ประหยัด เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศอย่างแท้จริง ธนาคารแห่งประเทศไทย เห็นว่าภายใต้ภาวะตลาดการเงินที่อาจมีความผันผวนสูงขึ้น
รัฐบาลควรมีการบริหารจัดการเครื่องมือในการระดมทุนให้เหมาะสม
กระจายการระดมทุนไม่ให้กระจุกตัว ควบคู่กับการสื่อสารกับตลาดอย่างชัดเจนและสม่ำเสมอ
เพื่อลดผลกระทบที่จะมีต่อตลาดการเงิน และต้นทุนการกู้ยืมของภาครัฐและเอกชน และให้ความสำคัญกับการชำระคืนต้นเงินกู้
เนื่องจากหากมีการชำระหนี้ในระดับที่ต่ำเกินไปอาจทำให้ความเสี่ยงทางการคลังในระยะต่อไปเพิ่มขึ้นได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 132 | การปรับปรุงกฎและระเบียบในการปฏิบัติราชการเพื่อให้การให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประสบภัยเป็นไปอย่างรวดเร็วทันการณ์ | นร. | 17/09/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. มอบหมายให้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงอื่น
ๆ ที่มีรัฐวิสาหกิจในสังกัด และรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้อง
รับไปพิจารณาความจำเป็นเหมาะสมและความเป็นไปได้ในการกำหนดให้รัฐวิสาหกิจออกระเบียบ
หลักเกณฑ์ และแนวปฏิบัติในการบริหารจัดการค่าบริการสาธารณูปโภคในพื้นที่ประสบภัยธรรมชาติไว้ล่วงหน้าเพื่อถือปฏิบัติต่อไป ๒.
มอบหมายให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่มีหน่วยงานในภูมิภาคพิจารณาความจำเป็นเหมาะสมและความเป็นไปได้ในการมอบอำนาจให้หัวหน้าหน่วยงานในสังกัดที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ประสบภัยสามารถพิจารณาตัดสินใจในเรื่องใด
ๆ ที่จำเป็นเพื่อการป้องกันและแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในสถานการณ์ที่ต้องประสบกับภัยธรรมชาติให้เท่าทันสถานการณ์
เช่น
กรณีการปิดโรงเรียนของกระทรวงศึกษาธิการและสถาบันการศึกษาของกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ๓. มอบหมายให้สำนักงาน ก.พ.
ร่วมกับคณะกรรมการบริหารงานบุคคลของหน่วยงานของรัฐอื่น ๆ เช่น
คณะกรรมการข้าราชการพลเรือน
คณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษารับไปพิจารณาความจำเป็นเหมาะสมและความเป็นไปได้ในการออกกฎ
ระเบียบ และแนวทางปฏิบัติเพื่ออนุญาตให้บุคลากรในสังกัดสามารถเดินทางไปให้ความช่วยเหลือเยียวยาแก่ผู้ประสบภัยธรรมชาติได้ตามความจำเป็นเหมาะสมและความสมัครใจโดยไม่ถือเป็นวันลา ทั้งนี้
ให้พิจารณาดำเนินการดังกล่าวข้างต้นให้ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 133 | ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณพื้นที่จังหวัดภูเก็ต พ.ศ. .... | ทส. | 03/09/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม
ในบริเวณพื้นที่จังหวัดภูเก็ต พ.ศ. ....
ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง
กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณพื้นที่จังหวัดภูเก็ต พ.ศ.
๒๕๖๐ ที่จะสิ้นสุดระยะเวลาการใช้บังคับในวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๗ เพื่อกำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม
ในเขตพื้นที่จังหวัดภูเก็ตให้มีประสิทธิภาพและเหมาะสมมากยิ่งขึ้น
และเพื่อไม่ให้เกิดช่องว่างการบังคับใช้กฎหมาย ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงมหาดไทยไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เห็นควรให้บังคับใช้ตามกฎกระทรวงกำหนดเขตทะเลชายฝั่ง
ในบริเวณจังหวัดภูเก็ต พ.ศ. ๒๕๖๕ เพื่อรักษาความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรในพื้นที่
ความเป็นอยู่และวิถีชีวิตของชาวประมงบริเวณพื้นที่ดังกล่าวอย่างยั่งยืนต่อไป กระทรวงมหาดไทย เห็นควรให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการตามระเบียบ
กฎหมาย มติคณะรัฐมนตรี และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 134 | ร่างกฎกระทรวงการอนุญาตผลิต นำเข้า ส่งออก หรือจำหน่ายยาเสพติดให้โทษในประเภท 3 พ.ศ. .... | สธ. | 03/09/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างกฎกระทรวงการอนุญาตผลิต นำเข้า
ส่งออก หรือจำหน่ายยาเสพติดให้โทษในประเภท ๓ พ.ศ. ....
ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขการอนุญาตผลิต นำเข้า ส่งออก หรือจำหน่ายยาเสพติดให้โทษในประเภท
๓ และการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการดำเนินการดังกล่าว ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
ที่เห็นควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการกำหนดหลักเกณฑ์
วิธีการและเงื่อนไขการขอขึ้นทะเบียนและการปรับปรุงอัตราค่าธรรมเนียมดังกล่าว
ให้ประชาชนทราบอย่างทั่วถึง และแจ้งกระทรวงการคลังจัดทำประมาณการรายได้เพื่อกำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้อง
ครบถ้วน และใช้เป็นกรอบในการวางแผนการดำเนินงานทางการเงินการคลังและงประมาณของประเทศ
ตลอดจนติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์และรายงานผลการดำเนินงานเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบเป็นประจำทุกสิ้นปีงบประมาณ
ตามนัยแห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 135 | การให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยและฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย | นร.04 | 03/09/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี
(นายภูมิธรรม เวชยชัย) ปฏิบัติหน้าที่แทน นายกรัฐมนตรีเสนอว่า
เพื่อให้การให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยและฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยเป็นไปอย่างรวดเร็ว
เห็นควรให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ
รวมทั้งผู้ว่าราชการจังหวัดที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้ ๑.
เร่งสำรวจความเสียหายของประชาชนทั้งด้านชีวิตและทรัพย์สินที่เกิดขึ้นในพื้นที่ที่รับผิดชอบ
และกำหนดมาตรการช่วยเหลือเยียวยาภายหลังน้ำลด
รวมทั้งให้เร่งจัดทำประมาณการค่าใช้จ่ายเพื่อการให้ความช่วยเหลือ/เยียวยา/ชดเชย
แล้วเสนอขอใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี
งบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น โดยด่วน
ให้แล้วเสร็จทันภายในเดือนกันยายน ๒๕๖๗ ๒.
เร่งสำรวจความเสียหายของสถานที่ราชการในความรับผิดชอบและเร่งดำเนินการปรับปรุง/ซ่อมแซมให้สามารถใช้ปฏิบัติราชการได้ตามปกติโดยเร็วเพื่อให้สามารถให้บริการประชาชนได้อย่างต่อเนื่องต่อไป ๓. เร่งจัดทำแผนฟื้นฟูความเสียหายจากอุทกภัยดังกล่าวข้างต้นและดำเนินการตามแผนดังกล่าวตามขั้นตอนโดยเร็วต่อไป ๔. เร่งจัดทำมาตรการป้องกันความเสียหายจากอุทกภัย
รวมทั้งให้จัดทำแผนเผชิญเหตุอุทกภัยด้วย
เพื่อขอรับจัดสรรงบประมาณตามความจำเป็นเหมาะสม ให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป
ทั้งนี้ โดยให้คำนึงถึงความจำเป็นเร่งด่วน
เท่าทันต่อสถานการณ์และความพร้อมของหน่วยงานดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 136 | รายการสถานการณ์อุทกภัยและการให้ความช่วยเหลือในภาคการเกษตร | กษ. | 03/09/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
รับทราบตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายอรรถกร ศิริลัทธยากร)
รายงานภาพรวมสถานการณ์อุทกภัย ปี ๒๕๖๗ และการให้ความช่วยเหลือในภาคการเกษตร ดังนี้ ๑.๑
สรุปสถานการณ์อุทกภัย ผลกระทบด้านการเกษตร (ด้านพืช ประมง และปศุสัตว์) และการให้ความช่วยเหลือเฉพาะหน้า
(ข้อมูล ณ วันที่ ๑ กันยายน ๒๕๖๗) ๑.๒ การขอปรับปรุงแก้ไขหลักเกณฑ์การใช้จ่ายเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน
พ.ศ. ๒๕๖๓
และหลักเกณฑ์วิธีปฏิบัติปลีกย่อยเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือด้านการเกษตรผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน
พ.ศ. ๒๕๖๔ ๑.๓
การเตรียมการช่วยเหลือเกษตรหลังน้ำลดเพื่อฟื้นฟูอาชีพเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัย เช่น
การสนับสนุนปัจจัยการผลิตตามความต้องการของเกษตรกร การฟื้นฟูพื้นที่การเกษตร
การปรับปรุงคุณภาพดินและน้ำ การช่วยเหลือด้านหนี้สินและทรัพย์สิน ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการคลัง
กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัย
ตามหน้าที่และอำนาจ และเป็นไปตามแนวทางระเบียบ หลักเกณฑ์
และวิธีปฏิบัติที่ใช้อยู่ในปัจจุบันให้รวดเร็วและทั่วถึง
เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาและบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรได้โดยเร็วและทันต่อสถานการณ์มากที่สุด ๓.
ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการประเมินมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ในภาพรวมทั้งหมด
รวมทั้งให้ศึกษาความจำเป็นเหมาะสมของการปรับปรุงแก้ไขหลักเกณฑ์และอัตราการช่วยเหลือเยียวยาแก่เกษตรกรด้วย
แล้วให้รายงานผลต่อคณะรัฐมนตรีโดยเร็วต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 137 | แผนปฏิบัติการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ พ.ศ. 2567-2570 | กษ. | 20/08/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำและให้เป็นวาระแห่งชาติ
โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมประมง)
ดำเนินการตามความเห็นของเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่เห็นว่าการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ
ถือเป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลที่จะต้องรีบดำเนินการเพื่อจำกัดขอบเขตการระบาดของปลาหมอคางดำให้ได้โดยเร็ว
อย่างไรก็ตาม แผนปฏิบัติการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ พ.ศ. ๒๕๖๗ - ๒๕๗๐
ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอในครั้งนี้ เป็นแผนที่มีระยะเวลาดำเนินการถึงปี พ.ศ.
๒๕๗๐ ดังนั้น ในชั้นนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับหลักการปฏิบัติหน้าที่ของคณะรัฐมนตรีที่อยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป
จึงเห็นควรพิจารณาจำกัดขนาดของแผนปฏิบัติการฯ
และระยะเวลาการดำเนินการให้สั้นลงเหลือเท่าที่จำเป็นเร่งด่วนก่อน
และเมื่อมีคณะรัฐมนตรีชุดใหม่แล้ว เห็นควรให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมประมง) เสนอแผนปฏิบัติการดังกล่าวให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบอีกครั้งหนึ่ง
สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าว
ให้ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้
ให้ดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด โดยให้รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
(หนังสือสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ด่วนที่สุด ที่ นร ๑๑๑๔/๔๗๘๐
ลงวันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๖๗) ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ดังนี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เห็นว่าการควบคุมและกำจัดปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำทุกแห่งที่พบการแพร่ระบาดในกิจกรรมที่
๑ การกำจัดในแหล่งน้ำธรรมชาติด้วยเครื่องมือประมงที่มีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องประสานความร่วมมือกับหน่วยงานผู้รับผิดชอบ เพื่อดำเนินการกำจัดปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำธรรมชาติที่อยู่ในบริเวณพื้นที่คุ้มครอง
เช่น อุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ป่าชายเลนอนุรักษ์
อย่างมีประสิทธิภาพและทันเวลา
รวมทั้งพิจารณาถึงการป้องกันและควบคุมเส้นทางการแพร่ระบาดด้วย เป็นต้น การพัฒนางานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดปลาหมอคางดำในกิจกรรมที่
๑
ควรพิจารณาดำเนินการประเมินความปลอดภัยทางชีวภาพหรือการประเมินผลกระทบอย่างรอบคอบก่อนดำเนินการปล่อยปลาที่ได้รับการปรับปรุงพันธุ์สู่สิ่งแวดล้อม
และควรดำเนินการปล่อยปลาดังกล่าวในช่วงระยะเวลาที่เหมาะสม ควรเพิ่มการจัดทำเกณฑ์การประเมินมูลค่าความเสียหายต่อความหลากหลายทางชีวภาพในแหล่งน้ำธรรมชาติด้วย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ขอยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี
เมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๓ เรื่อง แนวทางการจัดทำแผนระดับที่ ๓ ที่เป็นแผนปฏิบัติการด้าน...
เพื่อให้สามารถนำเสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีได้โดยเร็วต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 138 | ร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี พ.ศ. .... | อว. | 13/08/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี พ.ศ.
.... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงการบริหารมหาวิทยาลัยอุบลราชธานีให้เป็นสถาบันอุดมศึกษาของรัฐที่ไม่เป็นส่วนราชการแต่อยู่ในกำกับของรัฐ
เพื่อให้มหาวิทยาลัยมีการบริหารจัดการที่เป็นอิสระ มีความคล่องตัวและมีธรรมาภิบาล
สามารถจัดการศึกษาในระดับอุดมศึกษาได้อย่างมีคุณภาพและประสิทธิภาพเพื่อความเป็นเลิศทางวิชาการและวิชาชีพชั้นสูง
รวมทั้งเพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม
และการปฏิรูปการอุดมศึกษา ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา โดยให้ส่งความเห็นของกระทรวงการคลังไปเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร
ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 139 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้ไม้พะยูงเป็นสินค้าที่ต้องห้าม ให้ไม้ท่อน ไม้แปรรูป และไม้ล้อมบางชนิด เป็นสินค้าที่ต้องขออนุญาต และให้สิ่งประดิษฐ์ของไม้และถ่านไม้เป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรอง ในการส่งออกไปนอกราชอาณาจักร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | พณ. | 06/08/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์
เรื่อง กำหนดให้ไม้พะยูงเป็นสินค้าที่ต้องห้าม ให้ไม้ท่อน ไม้แปรรูป และไม้ล้อมบางชนิด
เป็นสินสินค้าที่ต้องขออนุญาต
และให้สิ่งประดิษฐ์ของไม้และถ่านไม้เป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรอง
ในการส่งออกไปนอกราชอาณาจักร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง
กำหนดให้ไม้พะยูงเป็นสินค้าที่ต้องห้าม ให้ไม้ท่อน ไม้แปรรูป และไม้ล้อมบางชนิด
เป็นสินค้าที่ต้องขออนุญาต
และให้สิ่งประดิษฐ์ของไม้และถ่านไม้เป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรอง
ในการส่งออกไปนอกราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๖๖ เพื่อยกเลิกมาตรการควบคุมการส่งออกสิ่งประดิษฐ์ของไม้
(ที่ไม่ใช่ไม้พะยูง) ไปนอกราชอาณาจักร
เพื่อลดภาระและอำนวยความสะดวกในการประกอบอาชีพของประชาชน ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา
โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่เห็นว่าการแก้ไขเพิ่มเติมข้อ ๖
ซึ่งเป็นการยกเลิกมาตรการควบคุมการส่งออกสิ่งประดิษฐ์ของไม้
ทำให้เนื้อหาของร่างประกาศฯ ไม่สอดคล้องกับชื่อร่างประกาศฯ
ที่ยังคงกำหนดให้สิ่งประดิษฐ์ของไม้เป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองในการส่งออกไปนอกราชอาณาจักร
ซึ่งจะทำให้เกิดความสับสนแก่ประชาชนและผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้อง
และควรมีการพิจารณาความจำเป็นในการกำหนดบทนิยามคำว่า “สิ่งประดิษฐ์ของไม้”
รวมทั้งกำหนดมาตรการควบคุมการส่งออกสำหรับสินค้าไม้แปรรูปบางกรณีที่อยู่ในความหมายของบทนิยามดังกล่าวด้วย
และการแก้ไขเพิ่มเติมข้อ ๗ โดยเพิ่มเติมคำว่า “ตามบัญชีท้ายประกาศนี้”
ควรพิจารณาให้มาตรการควบคุมการส่งออกไม้พะยูงและสินค้าที่ทำจากไม้พะยูงเป็นไปโดยสอดคล้องกับมติดณะรัฐมนตรีที่ห้ามการส่งออกไม้พะยูงทุกกรณีออกไปนอกราชอาณาจักร
ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ
ที่เห็นควรพิจารณาเรื่องการจัดทำระบบตรวจสอบย้อนกลับที่มาของสินค้าจากไม้ที่ขออนุญาตส่งออกไปนอกราชอาณาจักร
เพื่อสนับสนุนสินค้าที่ปลดจากการตัดไม้ทำลายป่า
โดยสอดดคล้องกับมาตรการของประเทศคู่ค้า เช่น สหภาพยุโรป ภายใต้นโยบาย European Union Deforestation Regulation เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 140 | รายงานสรุปผลการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ ประจำปี 2566 | นร.11 สศช | 06/08/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ
ประจำปี ๒๕๖๖ ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะสำนักงานเลขานุการของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติและคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติเสนอ
โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้ ๑. การประมินผลในภาพรวมทั้ง ๖ มิติ โดยภาพรวมปรับตัวดีขึ้น
เช่น ความอยู่ดีมีสุขของคนไทยและสังคมไทยมีพัฒนาการที่ดีขึ้น
เนื่องจากไทยสามารถปรับตัวต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด ๑๙
ได้ดีขึ้น และความเท่าเทียมและความเสมอภาคของสังคมในภาพรวมปรับตัวดีขึ้น โดยความก้าวหน้าทางสังคมในปี
๒๕๖๖ ไทยจัดอยู่ในอันดับที่ ๕๘ จาก ๑๗๐ ประเทศ ดีขึ้นจากอันดับที่ ๗๑
ของปีที่ผ่านมา ๒. การประเมินผลรายยุทธศาสตร์ชาติทั้ง ๖ ด้าน
โดยส่วนใหญ่ปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น เช่น ขีดความสามารถในการแข่งขัน
การพัฒนาเศรษฐกิจและการกระจายรายได้ของไทยมีการพัฒนาที่ดีขึ้น
โดยอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยอยู่ในอันดับที่ ๓๐ ดีขึ้นจากอันดับที่
๓๓ จากปีที่ผ่านมา และการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม
สถานการณ์ด้านความเหลื่อมล้ำของไทยดีขึ้นจากการพัฒนาในระยะที่ผ่านมามีความก้าวหน้าในการลดสัดส่วนความยากจน ๓ ประเด็นท้าทายที่ส่งผลต่อการบรรลุเป้าหมาย เช่น
หน่วยงานของรัฐอาจยังไม่ได้นำผลการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผล อาทิ รายงานสรุปผลการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ
รายงานผลสัมฤทธิ์ของแผนระดับที่ ๓ ไปใช้ประกอบการปรับปรุงการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องในทุกขั้นตอน
ทำให้ในกระบวนการจัดสรรงบประมาณ อาจยังไม่สอดคล้องกับช่องว่างในการพัฒนาประเทศ ๔. ข้อเสนอแนะเพื่อการดำเนินการในระยะต่อไป เช่น ทุกหน่วยงานของรัฐต้องให้ความสำคัญในการนำเข้าทุกข้อมูลของแผนระดับที่
๓ ในระบบ eMENSCR ให้ครบถ้วน พร้อมทั้งการรายงานผลสัมฤทธิ์
ผลการดำเนินงานตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดอย่างเคร่งครัด เพื่อให้หน่วยงานและภาคีการพัฒนาที่เกี่ยวข้องมีข้อมูลที่ครอบคลุมทุกการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ชาติของหน่วยงานของรัฐไปใช้ประกอบการวิเคราะห์การดำเนินงานต่าง
ๆ ที่เกี่ยวข้องได้ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
