ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 2 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 21 - 40 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 21 | การปรับขยายเพดานอัตราเงินเดือนขั้นสูงสุดของบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด | ดศ. | 01/07/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับขยายเพดานอัตราค่าจ้างขั้นสูงของพนักงานบริษัท
ไปรษณีย์ไทย จำกัด (ปณท.) ตามมติคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์
(ครรส.) ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๖๗ เมื่อวันที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๖๗ และความเห็นของสำนักงาน
ก.พ. โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑ กรกฎาคม ๒๕๖๘) เห็นชอบ ดังนี้ ๑)
ระดับ ๑๒ จากอัตรา ๑๑๓,๕๒๐ บาท ขยายเป็นอัตรา ๑๔๒,๘๓๐ บาท ๒) ระดับ ๑๑ จากอัตรา ๑๐๘,๘๑๐ บาท
ขยายเป็นอัตรา ๑๓๓,๗๗๐ บาท และ ๓) ระดับ ๑๐ จากอัตรา ๑๐๔,๓๑๐ บาท ขยายเป็นอัตรา ๑๒๔,๗๗๐ บาท เพื่อให้การปรับปรุงบัญชีโครงสร้างอัตราเงินเดือนค่าจ้างพนักงาน
ปณท เป็นไปตามมาตรา ๑๓ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ.
๒๕๔๓ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและบริษัท
ไปรษณีย์ไทย จำกัด รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงาน ก.พ.ร.
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย เช่น สำนักงบประมาณ เห็นควรพิจารณาค่าใช้จ่ายบุคลากรให้มีความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ
โดยคำนึงถึงสถานะทางการเงินและผลดำเนินงานของหน่วยงานอย่างรอบคอบ มีการจัดทำแผนเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานหรือเพิ่มรายได้อย่างต่อเนื่อง
รวมทั้งแผนบริหารความเสี่ยง เพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในทุกมิติ
เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อภาระงบประมาณและเงินนำส่งรายได้แผ่นดิน รวมถึงฐานะทางการเงินในอนาคต
โดยคำนึงถึงหลักความคุ้มค่าและประหยัดในการใช้จ่ายงบประมาณพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ อย่างเคร่งครัดด้วย สำนักงาน ก.พ.ร. เห็นว่า
เพื่อให้การขยายเพดานอัตราเงินเดือนครั้งนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อค่าใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐในภาพรวม
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมควรกำกับให้บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด
ปฏิบัติตามแผนการจัดหารายได้ แผนการประหยัดค่าใช้จ่าย
และแผนการบริหารความเสี่ยงทางการเงินจากการปรับปรุงอัตราเงินเดือนของพนักงานอย่างเคร่งครัด
และกำหนดตัวชี้วัดเพื่อติดตามประเมินผลสำเร็จของแผนดังกล่าว เช่น
กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น เพื่อให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพ
และสามารถเพิ่มรายได้เพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 22 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมรถยนต์ขนาดใหญ่ที่ใช้เครื่องยนต์แบบจุดระเบิดด้วยประกายไฟต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... | อก. | 24/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมรถยนต์ขนาดใหญ่ที่ใช้เครื่องยนต์แบบจุดระเบิดด้วยประกายไฟต้องเป็นไปตามมาตรฐาน
พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมรถยนต์ขนาดใหญ่ที่ใช้เครื่องยนต์แบบจุดระเบิดด้วยประกายไฟต้องเป็นไปตามมาตรฐานเลขที่
มอก. ๓๐๔๔ - ๒๕๖๓ โดยเป็นการปรับปรุงมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมดังกล่าว
เพื่อให้สอดคล้องกับการพัฒนาเทคโนโลยีและเป็นไปตามมาตรฐานระดับสากล
รวมทั้งให้สอดคล้องกับแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลภาวะด้านฝุ่นละออง”
ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 23 | การปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2568 ครั้งที่ 2 | กค. | 24/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ
ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๘ ครั้งที่ ๒ ซึ่งเป็นวงเงินคงเดิมจากการปรับปรุงแผนฯ
ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๘ ครั้งที่ ๑ ประกอบด้วย ๑) แผนการก่อหนี้ใหม่ วงเงิน ๑,๒๒๑,๓๒๒.๒๔ ล้านบาท ๒)
แผนการบริหารหนี้เดิม วงเงิน ๑,๗๔๐,๕๕๒.๙๖
ล้านบาท และ ๓) แผนการชำระหนี้ วงเงิน ๔๘๙,๓๘๐.๖๕ ล้านบาท
ตามที่คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเสนอ ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
ดังนี้ สำนักงบประมาณ เห็นว่ากระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรกำกับ
ติดตาม และเร่งรัดหน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการและเบิกจ่ายเงินกู้ให้สอดคล้องและบรรลุวัตถุประสงค์ตามแผนที่กำหนดไว้
เพื่อให้การใช้จ่ายเงินกู้เป็นไปอย่างโปร่งใส คุ้มค่า ประหยัด
เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศอย่างแท้จริง สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการจัดหาเงินกู้และชำระค่าใช้จ่ายของผู้รับจ้างตามข้อผูกพันของสัญญาตามคำพิพากษาของศาลปกครองกลางโดยเร็วเพื่อลดความเสียหายที่เกิดขึ้นกับภาครัฐ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 24 | ร่างประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง ห้ามตั้งหรือขยายโรงงานผลิตเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตหรือเหล็กแท่งเล็กสำหรับเหล็กเส้นเสริมคอนกรีต ทุกขนาด ทุกท้องที่ในราชอาณาจักร พ.ศ. .... | อก. | 17/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม
เรื่อง
ห้ามตั้งหรือขยายโรงงานผลิตเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตหรือเหล็กแท่งเล็กสำหรับเหล็กเส้นเสริมคอนกรีต
ทุกขนาด ทุกท้องที่ในราชอาณาจักร พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการขยายระยะเวลาการห้ามตั้งหรือขยายโรงงานผลิตเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตหรือเหล็กแท่งเล็กสำหรับเหล็กเส้นเสริมคอนกรีต
ทุกขนาด ทุกท้องที่ในราชอาณาจักร ออกไปอีก เป็นระยะเวลา ๕ ปี ตั้งแต่วันที่ ๑๐
มกราคม ๒๕๖๘ ถึงวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๗๓ (เดิมสิ้นสุดการใช้บังคับเมื่อวันที่ ๙
มกราคม ๒๕๖๘) โดยขยายมาตรการควบคุมกำลังการผลิตเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตและเหล็กแท่งเล็กสำหรับเหล็กเส้นเสริมคอนกรีต
เพื่อแก้ไขปัญหากำลังการผลิตเกินความต้องการบริโภค (Over Supply) และปัญหาการใช้อัตรากำลังการผลิตต่ำ
(Under Utilization) อันเป็นการรักษาเสถียรภาพของอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศและส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจและการจ้างงานในประเทศ
ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมาย และร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยไปประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เห็นว่าคณะรัฐมนตรีอาจพิจารณาอนุมัติหลักการของร่างประกาศดังกล่าวได้
และมีข้อสังเกตว่าการกำหนดให้ร่างประกาศฯ ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันสิ้นสุดกำหนดระยะเวลาการใช้บังคับของประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมฯ
พ.ศ. ๒๕๖๒ และมีระยะเวลาบังคับใช้ ๕ ปี นับแต่วันที่ประกาศนี้มีผลใช้บังคับ (ร่างข้อ
๔) ซึ่งมีผลทำให้ร่างประกาศฯ ใช้บังคับย้อนหลังตั้งแต่วันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๖๘ เป็นกรณีที่กำหนดวันใช้บังคับให้ต่อเนื่องจากประกาศเดิมที่สิ้นผลใช้บังคับไปแล้วย่อมไม่อาจกระทำได้
เนื่องจากจะทำให้ประกาศฉบับใหม่มีผลย้อนหลังเป็นโทษหรือเป็นผลร้ายแก่ผู้อยู่ในบังคับของประกาศที่จะต้องถูกกระทบต่อเสรีภาพในการประกอบอาชีพของบุคคล สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เห็นควรพิจารณากำหนดข้อยกเว้นในการใช้มาตรการดังกล่าวในกรณีของการปรับปรุงกระบวนการผลิต
๒.
ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรคาดการณ์ความต้องการเหล็กดังกล่าวในระยะต่อไป
เพื่อกำหนดแนวทางในการพัฒนาอุตสาหกรรมเหล็กเส้นดังกล่าวให้เหมาะสมควบคู่ไปกับการกำหนดมาตรการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยให้สามารถแข่งขันได้
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 25 | โครงการปรับปรุงและขยายระบบจำหน่ายพลังไฟฟ้า ระยะที่ 13 ส่วนที่ 2 ของการไฟฟ้านครหลวง | มท. | 17/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้การไฟฟ้านครหลวงดำเนินการตามโครงการปรับปรุงและขยายระบบจำหน่ายพลังไฟฟ้า
ระยะที่ ๑๓ ส่วนที่ ๒ วงเงินลงทุนรวม ๖๘,๗๘๓.๙ ล้านบาท ประกอบด้วย เงินกู้ในประเทศ จำนวน ๕๐,๙๐๐
ล้านบาท และเงินรายได้ของการไฟฟ้านครหลวง จำนวน ๑๗,๘๘๓.๙
ล้านบาท ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ให้กระทรวงมหาดไทย (การไฟฟ้านครหลวง)
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน
สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (หนังสือสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ด่วนที่สุด ที่ นร ๑๑๐๖/๑๐๓๖๓ ลงวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๖๗)
คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (หนังสือสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ด่วนที่สุด
ที่ สกพ ๕๕๐๒/๑๓๒๕๘ ลงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๗) และสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
เช่น กระทรวงพลังงาน เห็นว่าในการดำเนินการปรับปรุงและขยายระบบจำหน่ายพลังไฟฟ้าของการไฟฟ้านครหลวงในอนาคต
การไฟฟ้านครหลวงอาจพิจารณาจัดทำแนวทางหรือโปรแกรมสำหรับการประเมินสภาพอุปกรณ์ต่าง
ๆ ในระบบจำหน่ายไฟฟ้าของการไฟฟ้านครหลวง เพื่อใช้ประกอบการวางแผนการบำรุงรักษา
ปรับปรุง และก่อสร้างสายจำหน่ายและสถานีไฟฟ้าได้อย่างเป็นระบบ สำนักงบประมาณ เห็นว่าการไฟฟ้านครหลวงควรมีมาตรการควบคุมและเร่งรัดการดำเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์ของแผนงานตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดเพื่อไม่ให้เกิดความล่าช้า
และควรจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงเพื่อรองรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินงานตามแผนงาน
รวมทั้งปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน
อย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใสและตรวจสอบได้ ตลอดจนดำเนินการก่อหนี้และบริหารหนี้ในทุกมิติให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 26 | แนวทางปฏิบัติเพื่อลดขั้นตอน และเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ มาตราส่วน 1 : 4000 (One Map) | สคทช | 04/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแนวทางปฏิบัติเพื่อลดขั้นตอน
และเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ
มาตราส่วน ๑ : ๔๐๐๐ (One
Map) เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นแนวทางปฏิบัติต่อไป และขอยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี
เมื่อวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ และเมื่อวันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๖๕ เฉพาะกรณีการดำเนินการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ
มาตราส่วน ๑ : ๔๐๐๐ (แผนที่ One Map)
และมอบหมายกรมธนารักษ์ กรมที่ดิน กรมป่าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่า
และพันธุ์พืช กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรมพัฒนาที่ดิน สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กรมส่งเสริมสหกรณ์ กรมการปกครอง กรมแผนที่ทหาร สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ
สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (สคทช.)
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติให้เป็นไปตามแนวทางปฏิบัติเพื่อลดขั้นตอน
และเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานปรับปรุงแผนที่ One Map ตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติเสนอ ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
ข้อสังเกตของกระทรวงมหาดไทย และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
รวมทั้งข้อเสนอแนะของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เห็นควรมีการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานภาครัฐอื่น
เช่น สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) เป็นต้น เพื่อร่วมดำเนินการพิจารณาแนวทางการจัดทำแผนที่ดิจิทัล
และนำเทคโนโลยีดาวเทียมมาใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดทำแผนที่แนบท้ายกฎหมาย
รวมถึงลดระยะเวลาการดำเนินงานในอนาคตด้วย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เห็นว่าเนื่องจากแผนที่ท้ายถือเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายที่ใช้เป็นการแสดงแนวเขตที่ดินที่ประสงค์จะดำเนินการตามกฎหมายในเรื่องนั้น
ๆ ว่า แนวเขตที่ดินที่จะดำเนินการตั้งอยู่บริเวณใด โดยแสดงจุดยึดโยงต่าง ๆ
เพื่อให้ทราบที่ตั้งของแนวเขตที่ดินที่ชัดเจนขึ้น ด้วยเหตุนี้ในการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายเพื่อให้แนวเขตที่ดินตามแผนที่ท้ายสอดคล้องกับผลการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐฯ
อาจส่งผลกระทบต่อท้องที่ที่กำหนดไว้ในแผนที่ท้ายกฎหมาย
รวมทั้งอาจมีรายละเอียดเกี่ยวกับจุดยึดโยงที่แตกต่างจากที่กำหนดไว้เดิมตามสภาพของข้อเท็จจริงที่อาจเปลี่ยนแปลงไป
ดังนั้น
หน่วยงานของรัฐผู้เสนอร่างกฎหมายจำเป็นต้องพิจารณาความถูกต้องของท้องที่การปกครองและแนวเขตการปกครองด้วย
เพื่อมิให้เกิดข้อโต้แย้งขึ้นในภายหลัง |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 27 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข การส่งหรือนำซากดึกดำบรรพ์ที่พบในราชอาณาจักรออกนอกราชอาณาจักร พ.ศ. .... | ทส. | 04/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไข การส่งหรือนำซากดึกดำบรรพ์ที่พบในราชอาณาจักรออกนอกราชอาณาจักร
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขในการส่งหรือนำซากดึกดำบรรพ์ (เช่น
ซากดึกดำบรรพ์ที่ยังติดอยู่ในหินเพื่อการศึกษาวิจัย) หรือซากดึกดำบรรพ์ที่ได้ถูกแปรสภาพหรือเปลี่ยนแปลงเป็นรูปลักษณะอื่น
(เช่น ซากดึกดำบรรพ์ที่ถูกกรอหินที่ติดอยู่กับชิ้นตัวอย่างซากดึกดำบรรพ์ออกเพื่อนำไปศึกษาวิจัย)
ซึ่งพบในราชอาณาจักรออกนอกราชอาณาจักรให้มีความทันสมัย
เหมาะสมกับสภาพสังคมและเทคโนโลยีในปัจจุบัน เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชน
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 28 | ขออนุมัติการจัดทำและลงนามร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ว่าด้วยกรรมสิทธิ์ การใช้ การบริหาร และการบำรุงรักษา สะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 5 (บึงกาฬ-บอลิคำไซ) | คค. | 04/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการจัดทำและลงนามร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
(สปป.ลาว) ว่าด้วยกรรมสิทธิ์ การใช้ การบริหาร และการบำรุงรักษาสะพานมิตรภาพไทย-ลาว
แห่งที่ ๕ (บึงกาฬ-บอลิคำไซ) และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย
เป็นผู้ลงนามฝ่ายไทย และมีอำนาจแต่งตั้งคณะกรรมาธิการบริหาร (ฝ่ายไทย) ตามนัยข้อ ๔
ของร่างความตกลงฯ รวมทั้งให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคนนาคม หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย
สำหรับการลงนามดังกล่าว โดยร่างความตกลงฯ มีสาระสำคัญเป็นการสนับสนุนการเชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคมขนส่งระหว่างราชอาณาจักรไทยและ
สปป.ลาว และส่งเสริมการค้าชายแดน การท่องเที่ยว และเศรษฐกิจระหว่างประเทศ
รวมถึงกำหนดกฎเกณฑ์ การบริหารและบำรุงรักษาสะพานไว้อย่างชัดเจน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างความตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้
ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 29 | รายงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 | สผผ. | 20/05/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗
ซึ่งมีสาระสำคัญครอบคลุมการดำเนินงานเกี่ยวกับการรับเรื่องร้องเรียน การพิจารณาตรวจสอบ
แสวงหาข้อเท็จจริงจนมีคำวินิจฉัย หรือมีข้อเสนอแนะต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้มีการปรับปรุงกฎหมาย
กฎ หรือคำสั่ง หรือขั้นตอนใด ๆ ที่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนหรือไม่เป็นธรรมแก่ประชาชน
โดยมีผลการดำเนินงาน เช่น ๑) ประเด็นเรื่องร้องเรียน ๕,๓๑๖ เรื่อง ได้แก่ เรื่องร้องเรียนเรื่องที่ดำเนินการแล้วเสร็จ
๓,๑๙๙ เรื่อง เรื่องร้องเรียนที่อยู่ระหว่างดำเนินการ ๒,๑๑๗ เรื่อง และ ๒) การตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐ เช่น
ปัญหาการติดตั้งโซลาร์เซลล์บนหลังคา แนวทางในการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่น
ศิลปะและวัฒนธรรมของหน่วยงานของรัฐ เป็นต้น ตามที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 30 | ขอความเห็นชอบและอนุมัติให้ลงนามร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามกับกระทรวงพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทยว่าด้วยความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการค้า ที่ปรับปรุงใหม่ | พณ. | 13/05/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามกับกระทรวงพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทยว่าด้วยความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการค้า
ที่ปรับปรุงใหม่ และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามกับกระทรวงพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทยว่าด้วยความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการค้า
ที่ปรับปรุงใหม่ โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงถ้อยคำในบันทึกความเข้าใจฯ
ฉบับปัจจุบันเพื่อให้มีความทันสมัยและเหมาะสมกับบริบทในปัจจุบัน
เนื่องจากมีการปรับชื่อหน่วยงานของเวียดนามที่รับผิดชอบภารกิจด้านความร่วมมือทางการค้าทวิภาคีกับไทย
การปรับปีเป้าหมายของวิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียนจากปี ค.ศ. ๒๐๒๕ เป็นปี ค.ศ. ๒๐๔๕
รวมถึงการปรับถ้อยคำเพื่อให้สะท้อนถึงการประกาศยกระดับความสัมพันธ์ทวิภาคี
เป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์รอบด้านในปี ๒๕๖๘ ณ ประเทศเวียดนาม ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ
(หนังสือกระทรวงการต่างประเทศ ด่วนที่สุด ที่ กต ๐๘๐๔/๓๕๒ ลงวันที่ ๒ พฤษภาคม
๒๕๖๘) และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
ดังนี้ กระทรวงการต่างประเทศ เห็นว่าร่างบันทึกความเข้าใจฯ
ไม่เป็นสนธิสัญญาภายใต้บังคับของกฎหมายระหว่างประเทศและไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา
๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่มีผลผูกพันรัฐบาลไทย
ควรเสนอเรื่องดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรีตามมาตรา ๔ (๗) ของพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี
พ.ศ. ๒๕๔๘ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นว่าการขับเคลื่อนความร่วมมือภายใต้บันทึกความเข้าใจฯ ควรให้ครอบคลุมความร่วมมือในการป้องกันการสวมสิทธิการส่งออกสินค้าของประเทศที่สาม
(Transshipment หรือ Origin
Fraud) โดยเฉพาะการแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับผู้ต้องสงสัยและรูปแบบการกระทำความผิด
รวมถึงการเฝ้าระวังแนวโน้มการกระทำความผิดในรูปแบบใหม่
อันจะช่วยลดผลกระทบจากนโยบายการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกาในปัจจุบันและส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและเป็นประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองประเทศต่อไป ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามกับกระทรวงพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทยว่าด้วยความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการค้า
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 31 | ทิศทางการวิจัยทางการศึกษาของชาติ พ.ศ. 2568-2570 | ศธ. | 13/05/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบทิศทางการวิจัยทางการศึกษาของชาติ พ.ศ.
๒๕๖๘ - ๒๕๗๐ และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งหน่วยงานให้ทุนและหน่วยงานทำวิจัยนำทิศทางการวิจัยทางการศึกษาของชาติ
พ.ศ. ๒๕๖๘ - ๒๕๗๐
ไปใช้เป็นกรอบในการพิจารณาให้ทุนและจัดทำงานวิจัยทางการศึกษาตามภารกิจของแต่ละหน่วยงาน
ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้กระทรวงศึกษาธิการ สภาการศึกษา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
กระทรวงแรงงาน สำนักงบประมาณ สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน)
และกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ข้อเสนอแนะของกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งข้อสังเกตของธนาคารแห่งประเทศไทยไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เห็นควรให้มีการติดตามและประเมินผลที่เชื่อมโยงกับตัวชี้วัดสากลด้านความสามารถในการแข่งขันด้านการศึกษาและภาพรวมของประเทศ
และให้ความสำคัญต่อการพัฒนาทักษะกำลังคนที่มุ่งเน้นทักษะดิจิทัลเพื่อพัฒนาคุณภาพแรงงานให้ตรงกับความต้องการของตลาดและสร้างพลเมืองดิจิทัล กระทรวงแรงงาน เห็นควรให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ระหว่างการศึกษาและตลาดแรงงานอย่างเป็นระบบ
โดยเฉพาะการพัฒนาแรงงานให้มีทักษะสอดคล้องกับความต้องการของอุตสาหกรรม
เพื่อให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจและการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการให้ความสำคัญกับการปรับปรุงพัฒนาหลักสูตร
รูปแบบ แนวทาง การจัดการศึกษา และการจัดการเรียนการสอน ให้ชัดเจน เหมาะสม
และมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับสภาพการณ์ปัจจุบัน รวมทั้งมีการประเมินผลและการกำหนดตัวชี้วัดในเรื่องต่าง
ๆ ที่น่าเชื่อถือและเป็นที่ยอมรับตามมาตรฐานสากล เช่น การประเมินจากโปรแกรมการประเมินสมรรถนะนักเรียนตามมาตรฐานสากล
(Programme for International Student
Assessment : PISA)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 32 | ผลการพิจารณา เรื่อง ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการร่วมกันเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติมาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา | ปปท. | 06/05/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณา เรื่อง
ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการร่วมกันเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติมาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา
ซึ่งได้พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว โดยสรุปความคิดเห็นและข้อเสนอแนะเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาสำหรับหน่วยงานที่รับผิดชอบในการยกร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเขตอำนาจการพิจารณาคดีประพฤติมิชอบ
ดังนี้ ๑) สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานศาลยุติธรรม และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
มีความเห็นสอดคล้องกันว่าการปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเขตอำนาจการพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบเพื่อให้ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบมีเขตอำนาจพิจารณาคดีที่ปัจจุบันอยู่ในเขตอำนาจศาลทหารมีความเหมาะสมแล้วเพื่อให้การพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบที่ใช้ระบบไต่สวนมีมาตรฐานการพิจารณาเดียวกัน
๒) กระทรวงกลาโหม เห็นว่าการให้ศาลทหารมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบแก่บุคคลที่อยู่ในเขตอำนาจศาลทหารมีความเหมาะสมแล้ว
เนื่องจากศาลทหารได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพในการดำเนินคดีทุจริตและประพฤติมิชอบให้มีมาตรฐานเช่นเดียวกับการพิจารณาคดีในระบบไต่สวนของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบแล้ว
และ ๓) สำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่มีความเห็นหรือข้อสังเกตเพิ่มเติม ตามที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐเสนอ
และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรและสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 33 | ผลการพิจารณาข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติยกเลิกคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 14/2559 เรื่อง คณะกรรมการที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้และการกำหนดอำนาจหน้าที่ของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ลงวันที่ 4 เมษายน พุทธศักราช 2559 พ.ศ. .... | สผ. | 06/05/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณาข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติยกเลิกคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
ที่ ๑๔/๒๕๕๙ เรื่อง คณะกรรมการที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้และการกำหนดอำนาจหน้าที่ของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร
ลงวันที่ ๔ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๙ ของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้
(ศอ.บต.) ได้พิจารณาข้อสังเกตร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว
โดยสรุปผลการดำเนินงานได้ ดังนี้ ๑) การสนับสนุนให้ ศอ.บต. จัดโครงสร้างองค์กร
มอบหมายผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงานที่มีความรู้และเข้าใจกระบวนการทำงานของประชาชน
และจัดสรรทรัพยากรที่จำเป็น ๒)
การพิจารณาเสนอชื่อสมาชิกสภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ตามพระราชบัญญัติการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้
พ.ศ. ๒๕๕๓ ๓) การเร่งรัดจัดทำระเบียบที่จำเป็นและสำคัญต่อการปฏิบัติหน้าที่ของสภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้
๔) การปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ.
๒๕๕๓ และ ๕)
การสนับสนุนให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติกำหนดให้มีผู้แทนจากสภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้มีส่วนร่วมเป็นองค์ประกอบของคณะพูดคุยสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ในทุกระดับ
ตามที่ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้เสนอ
และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 34 | ขอความเห็นชอบร่างแถลงการณ์รัฐมนตรีการค้าเอเปคประจำปี 2568 และเอกสารที่เกี่ยวข้อง | พณ. | 06/05/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างแถลงการณ์รัฐมนตรีการค้าเอเปค
ประจำปี ๒๕๖๘ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง จำนวน ๒ ฉบับ และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองแถลงการณ์ฯ
และเอกสารที่เกี่ยวข้อง โดย ๑) ร่างแถลงการณ์ฯ มีสาระสำคัญ เช่น การปฏิบัติตามวิสัยทัศน์ปุตราจายา
ค.ศ. ๒๐๔๐ และเอกสารผลลัพธ์การประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคในปีต่าง ๆ
ความสำคัญของระบบการค้าพหุภาคีภายใต้กฎเกณฑ์ขององค์การการค้าโลก (WTO) และการเตรียมการสำหรับการประชุมรัฐมนตรี
WTO สมัยสามัญ ครั้งที่ ๑๔ การส่งเสริมขีดความสามารถภาคบริการของเอเปค
และการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับสตรี และวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อมและรายย่อย
เป็นต้น และ ๒) ร่างแถลงการณ์รัฐมนตรีการค้าเอเปคที่สนับสนุนแถลงการณ์ร่วมว่าด้วยการอำนวยความสะดวกทางการลงทุนเพื่อการพัฒนา
(ภาคผนวกของร่างแถลงการณ์ ) มีสาระสำคัญเป็นการเน้นย้ำบทบาทของการปรับปรุงสภาพแวดล้อมทางการลงทุนและการดำเนินธุรกิจ
การสนับสนุนให้สมาชิก WTO หาข้อยุติในการผนวกแถลงการณ์ร่วมดังกล่าวเข้าไว้ในกรอบกฎหมายของ
WTO และการส่งเสริมความร่วมมือเพื่อให้ประเทศกำลังพัฒนาและประเทศพัฒนาน้อยที่สุดสามารถปฏิบัติตามแถลงการณ์ร่วมดังกล่าว
รวมถึงให้สมาชิก WTO อื่น พิจารณาเข้าร่วมแถลงการณ์ร่วมดังกล่าวมากขึ้น
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์ฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ไห้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
และให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ ที่เห็นว่าร่างแถลงการณ์ฯ
และเอกสารที่เกี่ยวข้องดังกล่าว ไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
และโดยที่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่มีผลผูกพันรัฐบาลไทย
จึงเข้าลักษณะ ตามมาตรา ๔ (๗) แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องฯ พ.ศ ๒๕๔๘ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 35 | ร่างกฎกระทรวงการส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานในต่างประเทศ พ.ศ. .... | รง. | 06/05/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานในต่างประเทศ
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงหลักเกณฑ์ วิธีการ กำหนดเวลา
และอัตราการส่งเงินเข้ากองทุน เพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานในต่างประเทศ
ให้มีความเหมาะสมกับสภาพการณ์ในปัจจุบัน ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร.
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ สำนักงาน ก.พ.ร. เห็นควรประชาสัมพันธ์การดำเนินการตามร่างกฎกระทรวงนี้ให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องรับทราบเพื่อเตรียมความพร้อมในการปฏิบัติเมื่อร่างกฎกระทรวงนี้มีผลใช้บังคับต่อไป สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรศึกษาการประมาณการรายจ่ายที่คาดว่าจะเกิดขึ้นหากจะมีการกำหนดสิทธิประโยชน์ต่าง
ๆ ของกองทุนฯ เพิ่มเติมในอนาคต รวมทั้งพิจารณาแนวทางในการจัดหารายได้ของกองทุนฯ
ให้มีเสถียรภาพและเกิดความยั่งยืนในระยะยาว และควรประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการสมัครสมาชิกกองทุนฯ
โดยใช้ช่องทางอิเล็กทรอนิกส์เป็นหลัก
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 36 | ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 | มท. | 06/05/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ.
....) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงกฎกระทรวง
ฉบับที่ ๑๑ (พ.ศ. ๒๕๒๘) และยกเลิกกฎกระทรวง ฉบับที่ ๖๕ (พ.ศ. ๒๕๕๘)
ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒
เพื่อให้การติดตั้งแผงเซลล์แสงอาทิตย์บนหลังคาของอาคารที่ไม่ใช่อาคารอยู่อาศัยไม่เป็นการดัดแปลงอาคารที่ต้องยื่นขออนุญาตดัดแปลงอาคาร
ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงพลังงานและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงพลังงาน เห็นควรมีการกำหนดแนวทางสำหรับการติดตั้งแผงเซลล์แสงอาทิตย์ของระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาให้มีความชัดเจน
เพื่อป้องกันการตีความที่คลาดเคลื่อน
และควรมีมาตรการการบริหารจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์
เพื่อลดการสร้างมลพิษสู่สิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เห็นว่าร่างกฎกระทรวงดังกล่าว
มีการตัดข้อความ “โดยต้องมีผลการตรวจสอบความมั่นคงแข็งแรงที่กระทำและรับรองโดยวิศวกรโยธาตามกฎหมายว่าด้วยวิศวกรว่าสามารถติดตั้งได้อย่างปลอดภัยและแจ้งให้พนักงานท้องถิ่นทราบก่อนดำเนินการ”
ออก จากกฎกระทรวง ฉบับที่ ๖๕ (พ.ศ. ๒๕๕๘) ซึ่งความปลอดภัยในการติดตั้งแผงเซลล์แสงอาทิตย์บนอาคารเป็นสิ่งสำคัญ
ควรให้มีการตรวจสอบความแข็งแรงหรือต้องติดตั้งโดยผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้หรือผ่านการอบรมแล้ว
รวมทั้งควรคำนึงถึงการติดตั้งแผงเซลล์แสงอาทิตย์ที่อาจส่งผลกระทบกับอาคารข้างเคียง
เช่น แสงอาทิตย์ความร้อน เป็นต้น
๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงพลังงาน เห็นว่าการปรับปรุงข้อกำหนดสำหรับการติดตั้งแผงเซลล์แสงอาทิตย์ของระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาของอาคารที่ไม่ถือเป็นการดัดแปลงอาคารให้ครอบคลุมอาคารประเภทอื่น
ๆ
จะเป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนในการผลิตไฟฟ้าและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามนโยบายของกระทรวงพลังงาน
ควรมีการกำหนดแนวทางสำหรับการติดตั้งแผงเซลล์แสงอาทิตย์ของระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาให้มีความชัดเจน
เพื่อป้องกันการตีความที่คลาดเคลื่อน
และควรมีมาตรการการบริหารจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์
เพื่อลดการสร้างมลพิษสู่สิ่งแวดล้อม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 37 | การเข้าร่วมงาน International Horticultural Expo 2027 | กต. | 29/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบและอนุมัติในหลักการให้ประเทศไทยเข้าร่วมงาน International Horticultural Expo 2027
ระหว่างวันที่ ๑๙ มีนาคม - ๒๖ กันยายน ๒๕๗๐ ณ เมืองโยโกฮามา ประเทศญี่ปุ่น
โดยมอบหมายให้กรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
เป็นหน่วยงานเจ้าภาพหลักรับผิดชอบการเข้าร่วมงานดังกล่าว และให้อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร
โดยตำแหน่งเป็น Commissioner General of Section (CG)
ของประเทศไทย เป็นผู้ลงนามในสัญญาต่าง ๆ สำหรับการเข้าร่วมงาน International
Horticultural Expo 2027 ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ทั้งนี้
ในส่วนของกรอบวงเงินสำหรับการเข้าร่วมการจัดงาน
มอบหมายให้สำนักงบประมาณรับไปพิจารณาทบทวนอีกครั้งหนึ่งให้เหมาะสม คุ้มค่า
และเกิดประโยชน์สูงสุด ก่อนดำเนินการตามขั้นตอนต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมส่งเสริมการเกษตร)
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงการคลัง เห็นควรให้ความสำคัญกับการควบคุม
และกำกับดูแลการเข้าร่วมการจัดงานให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นควรประเมินผลสัมฤทธิ์โครงการให้ครอบคลุมทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วนและเป็นประโยชน์ต่อการปรับปรุงโครงการในอนาคต
ทั้งนี้ ในส่วนของกรอบงบประมาณในการดำเนินการ จำนวนเงินทั้งสิ้น ๔๙๗,๔๙๑,๐๐๐ บาท ตั้งแต่ปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๙ - พ.ศ. ๒๕๗๑ เพื่อใช้จัดงาน International Horticultural Expo 2027
ให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณเพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณเป็นไปอย่างเหมาะสมและถูกต้องตามกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 38 | ร่างถ้อยแถลงร่วมกลไกการหารือด้านพลังงานและอุตสาหกรรม (Joint Statement of the Energy and Industry Dialogue) | อก. | 22/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างถ้อยแถลงร่วมกลไกการหารือด้านพลังงานและอุตสาหกรรม
(Joint Statement of the Energy and Industry
Dialogue) และอนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
(หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย) ร่วมให้การรับรองร่างถ้อยแถลงร่วมฯ ดังกล่าว โดยร่างถ้อยแถลงร่วมฯ
มีสาระสำคัญเพื่อเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันภาคอุตสาหกรรมในการเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานแห่งอนาคต
และสังคมภายใต้ความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างทั้งสองประเทศ ได้แก่ ๑)
ส่งเสริมแนวทางที่หลากหลาย (Promotion of Multi-Pathway) เพื่อตระหนักว่าไทยส่งเสริมเป็นศูนย์กลางการผลิตและส่งออกยานยนต์แห่งอนาคต
เสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันสาขาอุตสาหกรรมยานยนต์แห่งอนาคตของไทย
โดยการลดปริมาณคาร์บอนในกระบวนการผลิตในห่วงโซ่อุปทานของยานยนต์ประเภทต่าง ๆ
และการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตและความยืดหยุ่นของห่วงโซ่อุปทาน
รวมทั้งการส่งเสริมการใช้เชื้อเพลิงที่ลดคาร์บอน ๒) การส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน
(Promotion of Circular Economy) เพื่อการส่งเสริมการสร้างระบบนิเวศสำหรับการกำจัดเศษและรีไซเคิลรถยนต์เก่าได้อย่างทันท่วงที
และ ๓) การดูแลรักษาและพัฒนาห่วงโซ่อุปทานและทรัพยากรบุคคลให้สามารถแข่งขันได้
รวมถึงการสนับสนุน SMEs โดยเน้นย้ำถึงที่มาของความสามารถในการแข่งขันในอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทย
ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างถ้อยแถลงร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
และให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรให้กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการได้ตามความเหมาะสม และให้รวบรวมผลการปรับแก้ร่างถ้อยแถลงร่วมฯ
และผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้อง รายงานต่อคณะรัฐมนตรีทราบในคราวเดียวกัน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 39 | การปรับปรุงแก้ไขหลักเกณฑ์การจ่ายเงินช่วยเหลือเยียวยาด้านที่พักอาศัยให้แก่ผู้ประสบภัยพิบัติ | นร. | 22/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า สืบเนื่องจากสถานการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นเมื่อปลายเดือนมีนาคม
๒๕๖๘ ที่ผ่านมา มีข้อร้องเรียนจากหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องว่า
หลักเกณฑ์การจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน
พ.ศ. ๒๕๖๒ ที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันอาจไม่เหมาะสมและสอดคล้องกับความเดือดร้อนและความเสียหายของที่พักอาศัยที่ผู้ประสบภัยพิบัติได้รับจริงจากสถานการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นดังกล่าว
จึงขอมอบหมายให้กระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) รับเรื่องนี้ไปหารือร่วมกับสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
กระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมโยธาธิการและผังเมือง
และกรุงเทพมทานคร) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาความเหมาะสมและเป็นไปได้ในการปรับปรุงแก้ไขระเบียบหรือหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องให้มีความยึดหยุ่นและสามารถจ่ายเงินช่วยเหลือเยียวยาแก่ผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวให้เหมาะสมสอดคล้องกับความเดือดร้อนและความเสียหายของที่พักอาศัยที่เกิดขึ้นจริงได้มากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้
เงินช่วยเหลือเยียวยาดังกล่าวถือว่าเป็นคนละส่วนและไม่ซ้ำซ้อนกับเงินสินไหมที่ผู้ประสบภัยอาจได้รับจากบริษัทประกันภัยอยู่แล้ว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 40 | ข้อเสนอแนะของคณะกรรมการพัฒนากฎหมาย เรื่อง การปรับปรุงพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 | นร.09 | 22/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบข้อเสนอแนะของคณะกรรมการพัฒนากฎหมาย
เรื่อง การปรับปรุงพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๔๒ เพื่อลดอุปสรรคในการประกอบอาชีพของประชาชน
ส่งเสริมการพัฒนาทางเศรษฐกิจ การค้าการลงทุน
และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ยุทธศาสตร์ชาติ และนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ ทั้งนี้
ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงการคลัง เห็นควรคำนึงถึงประเภทธุรกิจและสัดส่วนการลงทุนที่เหมาะสม
รวมถึงระดับการพัฒนาของแต่ละประเภทธุรกิจภายในประเทศ และพิจารณาถึงกฎหมายที่เกี่ยวกับการประกอบธุรกิจของธุรกิจแต่ละประเภท
เพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายและหลักเกณฑ์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
โดยเฉพาะหลักเกณฑ์ที่ได้มีการกำหนดไว้เกี่ยวกับการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวประกอบการพิจารณาในเรื่องดังกล่าวด้วย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรพิจารณาปรับปรุงพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว
พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยเฉพาะในประเด็นที่มีความสำคัญ อาทิ การทบทวนองค์ประกอบของคณะกรรมการการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวให้มีความสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและสถานการณ์ปัจจุบัน
และควรให้ความสำคัญกับการอำนวยความสะดวกและลดข้อจำกัดในการเข้าสู่ธุรกิจสำหรับผู้ประกอบการชาวต่างชาติอย่างครบวงจร
ตามแนวทางการประเมิน Business Ready (B-Ready) ของธนาคารโลก
ครอบคลุมการให้บริการในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ตั้งแต่กระบวนการขออนุมัติ/อนุญาต
และชำระค่าธรรมเนียม
โดยเชื่อมโยงกับระบบให้บริการภาครัฐแบบเบ็ดเสร็จทางอิเล็กทรอนิกส์ (Biz
Portal) ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ
และสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) และเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการสามารถติดตามความก้าวหน้าได้ด้วยตนเอง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
