ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 3 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 41 - 60 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 41 | การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2567 เรื่อง มาตรการส่งเสริมงานศิลปะและรถยนต์โบราณ (Classic Cars) | กค. | 22/04/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบการทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒
มีนาคม ๒๕๖๗ [เรื่อง มาตรการส่งเสริมงานศิลปะและรถยนต์โบราณ (Classic Cars)] ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒.
อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขบัญชีท้ายกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต พ.ศ. ๒๕๖๐
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ๒๓) พ.ศ.
๒๕๖๕ โดยกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับสินค้ารถยนต์โบราณ ในอัตราภาษีตามมูลค่าร้อยละ
๔๕ ข้องราคาขายปลีกแนะนำ และเห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง
การลดอัตราอากรและยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา ๑๒ แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร
พ.ศ. ๒๕๓๐ (ฉบับที่ ..) มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นอากรขาเข้าสำหรับรถยนต์โบราณ ที่นำเข้ามาแบบสำเร็จรูปทั้งคัน
(Completely Built Up : CBU) ตามที่กรมสรรพสามิตประกาศกำหนด รวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้พิจารณาในประเด็นความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
และให้รับความเห็นของกระทรวงวัฒนธรรมไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. รับทราบการดำเนินมาตรการส่งเสริมงานศิลปะและรถยนต์โบราณ
(Classic Cars) ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๔. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงวัฒนธรรมและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงวัฒนธรรม เห็นว่าการเรียกชื่อ รถโบราณ VINTAGE CARS กับ รถคลาสสิค CLASSIC CARS จะสื่อความหมายที่ต่างกัน
และอาจจะต้องมีการพิจารณาการกำหนดชื่อภาษาไทยและภาษาอังกฤษให้ชัดเจน ในกรณีแยกประเภทรถยนต์ใช้แล้วในช่วงอายุที่แตกต่างกันให้เป็นไปตามนิยาม
หลักเกณฑ์และเงื่อนไขของพิกัดอัตราศุลกากรแต่ละประเภท
เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคหรือประเด็นปัญหาเกี่ยวกับกฎหมายการนำเข้าส่งออกของแต่ละประเทศ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลและทำประมาณการการสูญเสียรายได้จากอากรศุลกากรที่คาดว่าจะเก็บได้จากการนำเข้ารถยนต์โบราณ
(Classic Cars) เทียบกับกรณีไม่มีการดำเนินมาตรการให้ครบถ้วนตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 42 | ร่างพระราชบัญญัติอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน พ.ศ. .... | สธ. | 08/04/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีกฎหมายว่าด้วยอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน
(อสม.) เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้ อสม. เป็นกำลังสำคัญสำหรับการดูแลสุขภาพของประชาชนในชุมชนตามหลักการสาธารณสุขมูลฐาน
และยกระดับทักษะและขีดความสามารถของ อสม. ให้ดำเนินการตามหลักการดังกล่าวได้สัมฤทธิ์ผล
ตลอดจนเสริมสร้างเครือข่ายการประสานงานบริหารกิจการ อสม.
และดำเนินกิจกรรมด้านสุขภาพภายในชุมชนให้เป็นไปอย่างมีระบบ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับความเห็นของกระทรวงยุติธรรม สำนักงาน
ก.พ.ร. สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และกรุงเทพมหานครไปประกอบการพิจารณาด้วย เช่น กระทรวงยุติธรรม เห็นว่าการกำหนดให้มีคณะกรรมการส่งเสริมและสนับสนุนอาสาสมัครประจำหมู่บ้าน
จำนวน ๔ คณะ (คณะกรรมการระดับประเทศ ระดับเขตสุขภาพ ระดับจังหวัด และกรุงเทพมหานคร)
และคณะกรรมการอาสาสมัครสาธารณสุขอื่น
อาจต้องพิจารณาเหตุผลและความจำเป็นตามแนวทางมติคณะรัฐมนตรี (๕ ตุลาคม ๒๕๖๔) เรื่อง
แนวทางการใช้ระบบคณะกรรมการเพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลประกอบด้วย สำนักงาน ก.พ.ร. เห็นว่ากระทรวงสาธารณสุขควรใช้มาตรการทางการบริหารเป็นลำดับแรก
เช่น การปรับปรุงระเบียบกระทรวงสาธารณสุขว่าด้วยอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน
พ.ศ. ๒๕๕๔ ให้ครอบคลุมประเด็นการบูรณาการและขับเคลื่อนการทำงานระหว่างหน่วยงาน
คณะกรรมการภายในกระทรวงสาธารณสุข ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา
และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว
ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ๓.
ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงการคลัง เห็นควรคำนึงถึงประเด็นความคุ้มค่า
ต้นทุน และผลประโยชน์ เสถียรภาพและความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม
ตลอดจนความยั่งยืนทางการคลังของรัฐเพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของบทบัญญัติมาตรา ๗
แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 43 | ขออนุมัติดำเนินโครงการก่อสร้างสะพานคู่ขนานข้ามแม่น้ำโก-ลก ที่ อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส เชื่อมระหว่างอำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส และเมืองรันเตาปันยัง รัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย พร้อมจัดทำและลงนามร่างความตกลงว่าด้วยการก่อสร้าง | คค. | 08/04/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. อนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้กรมทางหลวงดำเนินโครงการก่อสร้างสะพานคู่ขนานข้ามแม่น้ำโก
- ลก ที่ อำเภอสุไหงโก - ลก จังหวัดนราธิวาส โดยใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปี สำหรับวงเงินลงทุนที่ฝ่ายไทยต้องรับผิดชอบ
จำนวนรวมทั้งสิ้น ๒๙๒.๖๕๐ ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ ๓๖ เดือน
ตามแผนการใช้จ่ายเงินที่เสนอ ๑.๒
อนุมัติการจัดทำและลงนามร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลมาเลเซียว่าด้วยการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโก - ลก แห่งที่สอง
และการปรับปรุงสะพานเดิมเชื่อมระหว่างอำเภอสุไหงโก - ลก จังหวัดนราธิวาส
ประเทศไทย และเมืองรันเตาปันยัง รัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย ๑.๓
อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทยและมีอำนาจแต่งตั้งคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องตามร่างความตกลงว่าด้วยการก่อสร้าง ๑.๔
อนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศ จัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
หรือผู้ที่ได้รับหมาย ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ
ที่เห็นว่าร่างความตกลงฯ เป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศ
และเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๖๐
ที่จะต้องได้รับความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีก่อนการลงนามและการดำเนินการให้มีผลผูกพัน
แต่ไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘ วรรคสองของรัฐธรรมนูญฯ
ที่จะต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา กรณีนี้จึงเข้าลักษณะเรื่องที่สามารถนำเสนอคณะรัฐมนตรีได้
ตามนัย มาตรา ๔ (๗) แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี
พ.ศ. ๒๕๔๘ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างความตกลงฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย ๒. ในส่วนของรายละเอียดและการใช้จ่ายงบประมาณในการดำเนินโครงการก่อสร้างสะพานคู่ขนานข้ามแม่น้ำโก
- ลก ที่ อำเภอสุไหงโก - ลก จังหวัดนราธิวาส เชื่อมระหว่างอำเภอสุไหงโก - ลก จังหวัดนราธิวาส
และเมืองรันเตาปันยัง รัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย ภายในกรอบวงเงินรวม ๒๙๒.๖๕
ล้านบาท ให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง)
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เห็นควรดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม
และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่ระบุไว้ในรายงานฯ อย่างเคร่งครัด สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรให้กระทรวงคมนาคม
โดยกรมทางหลวง หารือกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการปฏิบัติตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 44 | (ร่าง) ข้อเสนอการเพิ่มประสิทธิภาพการกักเก็บน้ำในแหล่งน้ำนอกเขตชลประทาน | สกช. | 08/04/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบข้อเสนอการเพิ่มประสิทธิภาพการกักเก็บน้ำในแหล่งน้ำนอกเขตชลประทาน
มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยการบรรเทาปัญหาการขาดแคลนน้ำภาคเกษตรกรรมของเกษตรกรทั่วประเทศ
ซึ่งประกอบด้วย ๒ แนวทางหลัก ดังนี้ (๑)
การเพิ่มประสิทธิภาพการกักเก็บน้ำในแหล่งน้ำนอกเขตชลประทาน
และการปรับปรุงแหล่งน้ำในไร่นานอกเขตชลประทานร่วมกับการจัดทำธนาคารน้ำใต้ดิน
โดยมีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมพัฒนาที่ดิน)
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมทรัพยากรน้ำบาดาล) และกระทรวงมหาดไทย
(กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นและกรมโยธาธิการและผังเมือง) เป็นหน่วยงานรับผิดชอบ
และ (๒) การทำฝายชะลอน้ำเพื่อกักเก็บน้ำและเพิ่มความชุ่มชื่น
และส่งเสริมการทำฝายแหล่งต้นน้ำเพื่อเป็นการเติมน้ำเข้าสู่ระบบธนาคารน้ำใต้ดินเพื่อเพิ่มปริมาณน้ำใต้ดินให้เกิดความสมดุล
โดยมีกระทรวงมหาดไทย (กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นและกรมโยธาธิการและผังเมือง)
และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมป่าไม้) เป็นหน่วยงานรับผิดชอบ ๒. มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงมหาดไทยรับเรื่องดังกล่าวไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
โดยให้รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เห็นว่า
ควรหารือการดำเนินงานร่วมกับกรมทรัพยากรน้ำบาดาลในการคัดเลือกพื้นที่นำร่องเพื่อทดสอบประสิทธิภาพของแหล่งน้ำ
และมีการติดตามประเมินผลด้านวิชาการก่อนขยายผลขับเคลื่อนการดำเนินงานในภาพรวม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเห็นว่า
การทำฝายแหล่งต้นน้ำควรคำนึงถึงการเลือกใช้วัสดุก่อสร้างที่อาศัยธรรมชาติเป็นพื้นฐาน
เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบต่อระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมบนแหล่งต้นน้ำในระยะยาว
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเห็นว่า
การจัดสรรงบประมาณเห็นควรให้เป็นไปตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒
รวมถึงกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกขั้นตอนอย่างเคร่งครัด
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 45 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณในการปรับปรุงสถานที่ฝึกซ้อม/แข่งขัน (กีฬาทางน้ำ) ภายในสนามกีฬาหัวหมาก เพื่อเตรียมความพร้อมในการเป็นเจ้าภาพการจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 พ.ศ. 2568 (ค.ศ. 2025) และกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 13 พ.ศ. 2568 (ค.ศ. 2025) จากงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น | กก. | 08/04/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘
งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน ๓๒๐,๒๖๘,๐๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงสถานที่ฝึกซ้อม/แข่งขัน
(กีฬาทางน้ำ) ภายในสนามกีฬาหัวหมาก
เพื่อเตรียมความพร้อมในการเป็นเจ้าภาพการจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ ๓๓
พ.ศ. ๒๕๖๘ (ค.ศ. ๒๐๒๕) และกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ ๑๓ พ.ศ. ๒๕๖๘ (ค.ศ. ๒๐๒๕)
ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ
และให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับความเห็นของสำนักงบประมาณ (หนังสือสำนักงบประมาณ
ที่ นร ๑๗๑๓/๓๖๕๗ ลงวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๖๘) และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ สำนักงบประมาณ เห็นควรให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
โดยการกีฬาแห่งประเทศไทยนำเรื่องดังกล่าวเสนอขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรี
โดยเสนอผ่านรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีเจ้าสังกัดหรือรัฐมนตรีที่กำกับดูแล
แล้วแต่กรณี ตามนัยระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
พ.ศ. ๒๕๖๒ ข้อ ๙ (๓) และเมื่อได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีแล้ว ขอให้การกีฬาแห่งประเทศไทยจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
พร้อมรายละเอียดประกอบ เพื่อขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรจัดทำแผนบริหารจัดการปรับปรุงสถานที่อย่างรัดกุมและมีขั้นตอนการดำเนินงานที่ชัดเจน
ตลอดจนต้องมีการกำกับและควบคุมการดำเนินงานอย่างใกล้ชิด เพื่อให้มั่นใจว่าสามารถปรับปรุงสนามแข่งขันให้ได้มาตรฐานแล้วเสร็จก่อนการแข่งขัน
และเปิดใช้งานได้ตามกำหนดแนวทางการบริหารจัดการพื้นที่บริเวณสนามแข่งขันให้ครอบคลุมการพัฒนากีฬาทางน้ำในทุกมิติ
โดยเฉพาะการกำหนดนโยบายและแผนการสนับสนุนงบประมาณที่ชัดเจนสำหรับพัฒนาพื้นที่ให้เป็นศูนย์ฝึกอบรมกีฬาระดับนานาชาติ
รองรับกิจกรรมกีฬาและนันทนาการที่มีความหลากหลาย รวมทั้งพัฒนาแนวทางความร่วมมือกับภาคเอกชนในการประชาสัมพันธ์และสร้างรายได้เพื่อให้การดำเนินงานด้านการกีฬามีความยั่งยืนและก่อให้เกิดประโยชน์ทางตรงต่อมูลค่าทางเศรษฐกิจของประเทศได้มากขึ้นต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 46 | การปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 | นร.07 | 01/04/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๙ และให้สำนักงบประมาณนำการปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๙ ที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี (ตามข้อ ๑)
ไปดำเนินการรับฟังความคิดเห็นการจัดทำร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๙ ให้สอดคล้องกับบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐
มาตรา ๗๗ วรรคสอง ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 47 | การปรับเพิ่มค่าตอบแทนครูและค่าบริหารจัดการของโรงเรียนเอกชนในระบบและนอกระบบที่สอนศาสนาอิสลามใน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ | ศธ. | 01/04/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการการปรับเพิ่มค่าตอบแทนครูและค่าบริหารจัดการของโรงเรียนเอกชนในระบบและนอกระบบที่สอนศาสนาอิสลามใน
๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส สตูล และสงขลา (เฉพาะอำเภอจะนะ
เทพา นาทวี และสะบ้าย้อย) ของกระทรวงศึกษาธิการ ทั้งนี้ การปรับเพิ่มค่าตอบแทนครูและค่าบริหารจัดการของโรงเรียนเอกชนในระบบและนอกระบบที่สอนศาสนาอิสลามใน ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้
จะต้องใช้งบประมาณเพิ่มขึ้น รวมทั้งสิ้นปีละ ๑๖๙,๙๕๐,๐๐๐ บาท ให้กระทรวงศึกษาธิการ
(สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน) รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เหมาะสม
ชัดเจน ก่อนดำเนินการต่อไป ดังนี้ สำนักงบประมาณ เห็นควรให้กระทรวงศึกษาธิการพิจารณาถึงความซ้ำซ้อนกับงบประมาณที่ได้รับจัดสรร
และกำหนดให้มีการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้สถานศึกษาในสังกัดมีการปรับปรุงคุณภาพการศึกษา
พร้อมรายงานผลให้คณะรัฐมนตรีทราบเพื่อนำมาประกอบการจัดสรรงบประมาณในระยะต่อไป
รวมทั้งปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี
และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง
ตลอดจนมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกขั้นตอน
โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญด้วย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นว่าการปรับเพิ่มอัตราค่าตอบแทนครูสอนศาสนาของโรงเรียนเอกชนในระบบและนอกระบบที่สอนศาสนาอิสลาม
สถาบันศึกษาปอเนาะ และศูนย์การศึกษาอิสลามประจำมัสยิด (ตาดีกา) ใน ๕
จังหวัดชายแดนภาคใต้ของครูสอนทุกกลุ่มให้เป็นอัตราเดียวกัน
เพื่อไม่ให้เกิดความเหลื่อมล้ำกันระหว่างครูสอนศาสนากลุ่มต่าง ๆ และปรับเพิ่มค่าบริหารจัดการโดยคำนึงถึงความจำเป็นและเหมาะสม
ซึ่งการใช้จ่ายค่าบริหารจัดการส่วนใหญ่ยังคงเป็นค่าอุปโภคบริโภค
ค่าบริหารจัดการสำนักงาน ค่าใช้จ่ายสำหรับลงทะเบียนผู้เรียน
และค่าใช้จ่ายในการออกหลักฐานการสำเร็จการศึกษาตามหลักสูตร และอาจปรับเพิ่มอัตราค่าบริหารจัดการให้โรงเรียนเอกชนนอกระบบที่สอนศาสนาอิสลามทุกประเภทให้ได้รับจัดสรรในอัตราสูงสุดที่มีผลบังคับใช้อยู่ในปัจจุบัน
เพื่อบรรเทาความเหลื่อมล้ำในการจัดสรรเงินอุดหนุน |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 48 | (ร่าง) แผนการจัดการศึกษาสำหรับคนพิการ ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2566-2570) | ศธ. | 01/04/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี
คณะที่ ๔ (ด้านพลังงาน อุตสาหกรรม และการพัฒนาคุณภาพชีวิต) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี
(นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค) เป็นประธานกรรมการ ในคราวประชุม ครั้งที่ ๑/๒๕๖๘
เมื่อวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบแผนการจัดการศึกษาสำหรับคนพิการ ฉบับที่ ๔ (พ.ศ. ๒๕๖๖-๒๕๗๐)
เพื่อเป็นกรอบแนวทางและการกำหนดมาตรการพัฒนาการจัดการศึกษาสำหรับคนพิการสำหรับประเทศไทยที่ครอบคลุมและมีคุณภาพในทุกมิติ
โดยให้กระทรวงศึกษาธิการปรับปรุงแผนฯ ตามความเห็นของหน่วยงาน ดังนี้
๑.๑ ควรเพิ่มเติมประเด็นเชิงยุทธศาสตร์ในแต่ละแนวทาง ดังนี้ ๑.๑.๑
การลดโอกาสที่คนพิการจะหลุดออกจากระบบการศึกษา
โดยเฉพาะในช่วงระยะเปลี่ยนผ่านจากประถมศึกษาสู่มัธยมศึกษาตอนต้น ๑.๑.๒
การพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนการสอน เช่น การจัดทำแผน IEP สำหรับขอรับการสนับสนุนอุปกรณ์ สื่อ
และเครื่องมือในการจัดการเรียนการสอนคนพิการในทุกสังกัด
การนำผลการทดสอบระดับเชาว์ปัญญามาเชื่อมโยงกับการจัดรูปแบบการศึกษาของคนพิการในระดับการศึกษาต่าง
ๆ การพัฒนาทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่ ๒๑ เป็นต้น ๑.๑.๓
การสร้างโอกาสในการเข้าสู่ตลาดงาน เช่น การแนะแนวอาชีพแก่นักเรียนพิการ
การสร้างความร่วมมือกับสถานประกอบการเพื่อสร้างโอกาสการฝึกงานและทำงานจริง
การส่งเสริมการจ้างงานที่เป็นธรรมและสนับสนุนธุรกิจที่ดำเนินงานโดยคนพิการหรือจ้างงานคนพิการ
เป็นต้น ๑.๑.๔
การปรับสภาพแวดล้อมของสถานศึกษาและสถานที่ทำงาน เช่น ทางลาด สภาพห้องน้ำ
ให้เอื้อต่อการใช้ชีวิตของคนพิการ เป็นต้น ๑.๑.๕ การส่งเสริมให้คนพิการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเกี่ยวกับชีวิตของตนเองและการพัฒนาสังคม
เช่น การส่งเสริมการให้ความรู้เรื่องสิทธิของคนพิการ
การสนับสนุนให้คนพิการมีสิทธิเลือกในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตนเอง อาทิ การศึกษา
การทำงาน การใช้ชีวิตประจำวัน การมีความร่วมมือขององค์กรคนพิการกับภาคส่วนต่าง ๆ
การสนับสนุนให้คนพิการเข้าร่วมกระบวนการกำหนดนโยบาย เป็นต้น
๑.๒ ควรมีการกำหนดค่าเป้าหมายของตัวชี้วัดในแต่ละปีให้ชัดเจนพร้อมกำหนดค่าฐาน
(base
line) ในการคำนวณ
โดยเฉพาะตัวชี้วัดภาพรวมของแผนที่กำหนดค่าเพียงเพิ่มขึ้น
และตัวชี้วัดรายยุทธศาสตร์ที่กำหนดค่าเป้าหมายว่า “มี”
พร้อมทั้งเพิ่มเติมตัวชี้วัดเชิงผลลัพธ์ อาทิ (๑) ตัวชี้วัดที่สะท้อนผลสัมฤทธิ์ของการศึกษาคนพิการในระดับต่าง
ๆ (๒) อัตราการเข้าสู่ตลาดงานหลังมีการ upskill/reskill (๓)
คุณภาพของสถานศึกษาคนพิการทั้งในด้านสัดส่วนครู หลักสูตร/สื่อการเรียน
เทคโนโลยีในการสนับสนุนการเรียนการสอน การทำแผน IEP สภาพแวดล้อมทางกายภาพ
บริการช่วยเหลือต่าง ๆ ๒.
กระทรวงศึกษาธิการควรพิจารณาให้มีการจัดทำแผนการศึกษาให้ครอบคลุมกลุ่มเด็กเปราะบางและด้อยโอกาสในทุกกลุ่ม
อาทิ กลุ่มเด็กกำพร้า กลุ่มเด็กในครัวเรือนยากจนนอกจากกลุ่มเด็กพิการ
โดยพิจารณาใช้กลไกของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาในการเสาะแสวงหาและช่วยเหลือสนับสนุนผ่านการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง
อาทิ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
กระทรวงมหาดไทยเพื่อให้แผนการจัดการศึกษาครอบคลุมเด็กทุกคนอย่างเสมอภาค |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 49 | รายงานผลการลงพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่เพื่อรับฟังข้อเรียกร้องแนวทางการแก้ไขปัญหาด้านที่ดินทำกินของกลุ่มผู้ชุมนุม สมัชชาชุมชนคนอยู่กับป่า และสหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ | นร. | 01/04/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายประเสริฐ
จันทรรวงทอง) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
รายงานว่าเมื่อวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๖๘
ได้ลงพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่เพื่อรับฟังข้อเรียกร้องแนวทางการแก้ไขปัญหาด้านที่ดินทำกินของกลุ่มผู้ชุมนุม
สมัชชาชุมชนคนอยู่กับป่า และสหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ
โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมด้วย ได้แก่
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช)
กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ มีผู้เข้าร่วมประมาณ ๓,๐๐๐ คน โดยมีผลการหารือในประเด็นต่าง ๆ
ที่ขอให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบและมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการต่อไป
สรุปได้ดังนี้ ข้อเรียกร้องที่ ๑
การเร่งรัดให้ดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อนำไปสู่การปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๖๒ และพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. ๒๕๖๒ ทั้งฉบับโดยเร่งด่วน
โดยขอให้มีสัดส่วนของกรรมการระหว่างภาครัฐและภาคประชาชนที่เท่ากัน
และในระหว่างการดำเนินการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องขอให้ยุติการเตรียมประกาศพื้นที่ป่าอนุรักษ์เพิ่ม
จำนวน ๒๓ แห่ง จนกว่าจะมีการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จ ผลการหารือ (๑)
คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติจะเร่งรัดดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายใน
๓๐ วัน โดยจะพิจารณากำหนดสัดส่วนของกรรมการจากหน่วยงานของภาครัฐที่เกี่ยวข้อง และจากภาคประชาชนให้เหมาะสม (๒) รับข้อเรียกร้องที่ขอให้ยุติการดำเนินการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อวิถีชีวิตและละเมิดสิทธิชุมชนในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ที่ยังไม่ได้ประกาศบังคับใช้เพื่อนำไปหารือร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมต่อไป (๓)
รับข้อเรียกร้องที่ขอให้ยุติการเตรียมประกาศพื้นที่ป่าอนุรักษ์เพิ่ม จำนวน ๒๓ แห่ง
จนกว่าจะมีการปรับแก้ไขกฎหมายจนแล้วเสร็จไปประสานหารือร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อชะลอการประกาศเขตพื้นที่อนุรักษ์ที่ยังไม่ได้ผ่านการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ
มาตราส่วน ๑ : ๔๐๐๐ (One Map) และจะพิจารณาให้มีกระบวนการการมีส่วนร่วมของประชาชนที่ได้รับผลกระทบ
ข้อเรียกร้องที่ ๒
การเร่งรัดการพิสูจน์สิทธิในที่ดินของราษฎรให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๑๑ พฤษภาคม ๒๕๔๒ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๗ ผลการหารือ รับข้อเรียกร้องดังกล่าวและได้สั่งการให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติดำเนินการมอบหมายให้คณะอนุกรรมการศึกษาและปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๖๒ และพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. ๒๕๖๒
รับไปดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจต่อไป ทั้งนี้ ในส่วนของการสำรวจการถือครองที่ดินของกลุ่มบุคคลตามติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๙ ตุลาคม ๒๕๖๗ เพื่อให้ได้รับสิทธิในการจัดที่ดินทำกิน ที่อยู่อาศัยนั้น
ได้ประสานให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณาสั่งการให้กรมป่าไม้เร่งรัดดำเนินการในเรื่องนี้โดยเร็วต่อไป
ข้อเรียกร้องที่ ๓ ขอให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสุริยะ
จึงรุ่งเรืองกิจ) ในฐานะกำกับดูแลสำนักงานโฉนดชุมชน
เร่งรัดการลงนามในคำสั่งแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการประสานงานเพื่อจัดให้มีโฉนดชุมชนตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจัดให้มีโฉนดชุมชน
พ.ศ. ๒๕๕๓ ผลการหารือ รับข้อเรียกร้องในเรื่องนี้เพื่อไปประสานกับรองนายกรัฐมนตรี
(นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ) ต่อไป
ข้อเรียกร้องที่ ๔
การเร่งติดตามและผลักดันการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๖๗ เพื่อเร่งรัดการแก้ไขปัญหาสัญชาติและสถานะบุคคลให้แก่บุคคลที่อพยพเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยเป็นเวลานาน
รวม ๔๘๙,๕๓๑ คน ผลการหารือ รับเรื่องนี้ไปประสานหารือกับรองนายกรัฐมนตรี
(นายอนุทิน ชาญวีรกูล) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เพื่อเร่งรัดการดำเนินการออกประกาศกระทรวงมหาดไทยที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้อง
ครบถ้วนตามข้อเท็จจริงโดยเร็วต่อไป
ข้อเรียกร้องที่ ๕
การให้คณะอนุกรรมการอิสระเพื่อศึกษากำหนดแนวทาง
มาตรการเร่งรัดการปรับปรุงแนวเขตที่ดินของรัฐ (One
Map) และแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการประกาศแนวเขตอุทยานแห่งชาติทับลาน
ตามคำสั่งคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ที่ ๑/๒๕๖๘ ลงวันที่ ๒๗
กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘ รับกรณีปัญหาของผู้ที่ถูกดำเนินคดีด้านที่ดินป่าไม้ของสมัชชาชุมชนคนอยู่กับป่าและสหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือไปพิจารณาแก้ไขปัญหาตามหน้าที่และอำนาจของคณะอนุกรรมการฯ ผลการหารือ มอบหมายให้รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง
(นายสมคิด เชื้อคง) ในฐานะประธานอนุกรรมการฯ
รับเรื่องนี้ไปพิจารณาแก้ไขปัญหาตามหน้าที่และอำนาจของคณะอนุกรรมการฯ และเมื่อคณะอนุกรรมการฯ
มีมติเป็นประการใดจะได้ประสานหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และเร่งรัดดำเนินการตามขั้นตอนในการเสนอการออกร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ราษฎร
ซึ่งได้รับความเสียหายหรือได้รับผลกระทบจากการดำเนินการตามนโยบายของรัฐ พ.ศ. ....
ต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 50 | รายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 | สงป. | 27/03/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๙ ของหน่วยรับงบประมาณ และแนวทางการปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๙ รวมทั้งการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๔๗
เรื่อง หลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐ
และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๖๘ เรื่อง การแต่งตั้งคณะกรรมการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐ
และรับทราบผลการพิจารณาคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๙ รายการผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่หนึ่งพันล้านบาทขึ้นไป
ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการบริหารการคลังและงบประมาณรายจ่ายอย่างมีประสิทธิภาพและรัดกุม
ทั้งในด้านการบริหารการจัดเก็บรายได้ให้ได้ตามเป้าหมายและการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายเพื่อลดแรงกดดันจากการเพิ่มขึ้นของภาระหนี้สาธารณะ
เพื่อให้มีกรอบวงเงินงบประมาณที่เพียงพอสำหรับการรองรับความเสี่ยงจากมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ
และความเสี่ยงจากความผันผวนของระบบเศรษฐกิจและการค้าโลก ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 51 | ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พ.ศ. .... | นร.09 | 27/03/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการ
สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงการแบ่งส่วนราชการ และหน้าที่และอำนาจของสำนักงานปลัดกระทรวง
กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
เพื่อให้สอดคล้องกับภารกิจและสภาพของงานที่เปลี่ยนแปลงไป
อันจะทำให้การปฏิบัติภารกิจตามหน้าที่และอำนาจมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลยิ่งขึ้น และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งร่างกฎกระทรวงดังกล่าวไปยังกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
เพื่อนำเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพิจารณาลงนาม และประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 52 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเตารีดไฟฟ้าต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... | อก. | 27/03/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเตารีดไฟฟ้าต้องเป็นไปตามมาตรฐาน
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเตารีดไฟฟ้าตามมาตรฐาน
เลขที่ มอก. ๓๖๖-๒๕๔๗
โดยเป็นการยกเลิกมาตรฐานเดิมและกำหนดมาตรฐานใหม่ให้เป็นไปตามมาตรฐานเลขที่ มอก.
๖๐๓๓๕ เล่ม ๒ (๓)-๒๕๖๗
เพื่อความปลอดภัยหรือเพื่อป้องกันความเสียหายอันอาจจะเกิดแก่ประชาชนหรือแก่กิจการอุตสาหกรรม
หรือเศรษฐกิจของประเทศ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 53 | มติการประชุมคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2567 | 27/03/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี
คณะที่ ๕ (ด้านเศรษฐกิจและการเกษตร) ในคราวประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๖๘ เมื่อวันที่ ๑๔
มีนาคม ๒๕๖๘ ดังนี้ ๑.
เห็นควรรับทราบมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๗ เมื่อวันที่
๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗ ๒.
เห็นควรให้ความเห็นชอบการปรับปรุงรายละเอียดของประเภทยานยนต์และคุณสมบัติของรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าที่เข้าร่วมมาตรการ
EV3.5 โดยให้เพิ่มเติมประเภทรถยนต์ไฟฟ้าที่ได้รับสิทธิตามมาตรการ
EV3.5 เป็น “รถยนต์นั่งหรือรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่ง ไม่เกิน
๑๐ คน” โดยใช้หลักการเกี่ยวกับคุณลักษณะและคุณสมบัติ จำนวนเงินอุดหนุน
และการผลิตชดเชยเช่นเดียวกับรถยนต์นั่ง
และให้เพิ่มเติมคุณลักษณะและคุณสมบัติสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า ประเภทรถจักรยานยนต์ ๓. สำหรับมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (EV3) และเป็นรุ่นที่มีแต่ AC Charge (การชาร์จแบบกระแสสลับหรือการชาร์จกับไฟบ้าน)
ที่ผลิตในประเทศหรือนำเข้ามาในประเทศภายในปี ๒๕๖๗ สามารถเข้าร่วมมาตรการ FV3.5 ได้ ตลอดจนสามารถโอนสิทธิมายังมาตรการ EV3.5
ได้นั้น เห็นควรมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำเรื่องดังกล่าวกลับไปทบทวนความเหมาะสมอีกครั้งหนึ่ง ๔.
เห็นควรมอบหมายให้กรมสรรพสามิตดำเนินการแก้ไขหรือเพิ่มเติมประกาศที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ ให้คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ กระทรวงการคลัง
กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
รวมทั้งความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย เช่น สำนักงบประมาณ เห็นว่ามาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่
(รถโดยสารและรถบรรทุก) ซึ่งจะใช้มาตรการทางภาษี
โดยให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสามารถหักเป็นค่าใช้จ่ายในการซื้อรถโดยสารไฟฟ้าและรถบรรทุกไฟฟ้ามาใช้งาน
จะกระทบต่อการจัดเก็บรายได้ของภาครัฐ
ควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการโดยคำนึงถึงความยั่งยืนทางการคลังของประเทศ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรเร่งสร้างความร่วมมือทางด้านการค้าและการลงทุนกับประเทศผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าชั้นนำในตลาดปัจจุบัน
อาทิ จีน ยุโรป และสหรัฐอเมริกา เพื่อสร้างพันธมิตรทางการค้าที่แข็งแกร่ง และเพื่อประโยชน์ในการเข้าถึงเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่จะสามารถนำมาต่อยอดองค์ความรู้และพัฒนาการผลิตของไทยในอนาคตให้เท่าทันกับประเทศผู้นำต่าง
ๆ เช่น การแลกเปลี่ยนแรงงานที่มีทักษะ โดยอาจพิจารณาเจรจาขอให้มีการฝึกทักษะแรงงานไทยที่โรงงานบริษัทหลักในต่างประเทศ
เป็นต้น |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 54 | ร่างพระราชบัญญัติภาพยนตร์ พ.ศ. .... | วธ. | 27/03/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติภาพยนตร์ พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยภาพยนตร์และวีดิทัศน์
เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมภาพยนตร์
และให้มีมาตรการการกำกับดูแลที่เหมาะสมและสอดคล้องกับบริบทสังคมและเทคโนโลยีของภาพยนตร์ในปัจจุบัน
รวมทั้งส่งเสริมให้อุตสาหกรรมภาพยนตร์เป็น Soft Power ของประเทศที่สามารถเติบโตและแข่งขันกับนานาประเทศได้ ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน สำนักงาน ก.พ.ร.
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง
กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ
และสำนักงานอัยการสูงสุดไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา
ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป เช่น กระทรวงแรงงาน เห็นว่ามาตรา ๑๑ (๕)
กำหนดให้มีคณะกรรมการส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์แห่งชาติประกอบด้วย
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจำนวนไม่เกิน ๗ คน ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งจากผู้ทรงคุณวุฒิด้านภาพยนตร์ด้านสื่อสารมวลชน
ด้านสื่อมัลติมีเดีย และด้านการตลาดแต่ไม่มีผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในสื่อที่เกี่ยวกับเด็กและเยาวชนโดยเฉพาะที่จะเข้ามาแสดงมุมมองของเด็กและเยาวชนเพื่อให้ได้รับข้อมูลอย่างเหมาะสม
ซึ่งไม่สอดคล้องตามมาตรา ๗ ที่ให้ความสำคัญในการคุ้มครองผู้บริโภค โดยเฉพาะกลุ่มเด็กและเยาวชน สำนักงาน ก.พ.ร. เห็นควรจัดให้มีหลักเกณฑ์การพิจารณาที่ชัดเจนเพื่อลดการใช้ดุลยพินิจในการตรวจพิจารณาบทภาพยนตร์
เค้าโครง และเรื่องย่อของภาพยนตร์และลดอุปสรรคต่อการถ่ายทำภาพยนตร์ตามบทต้นฉบับ
นอกจากนี้ อาจกำหนดให้มีระเบียบเกี่ยวกับการจัดเก็บค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวข้องกับการถ่ายทำภาพยนตร์
(Rate Card) เช่น ค่าใช้สถานที่
ค่าทีมงานในการอำนวยความสะดวก เพื่อให้เป็นมาตรฐานเกิดความโปร่งใส
และให้ผู้ประกอบการสามารถคำนวณต้นทุนได้อย่างชัดเจน รวมถึงพิจารณาส่งเสริมการจัดตั้งศูนย์ประสานงานการถ่ายทำภาพยนตร์ในภูมิภาคเพื่ออำนวยความสะดวกในการขออนุญาตใช้พื้นที่เพื่อถ่ายทำภาพยนตร์
ณ จุดเดียว ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง
กรอบระยะเวลา
และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว
ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ ๓. ให้กระทรวงวัฒนธรรมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ และสำนักงาน ก.พ.ร. ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เห็นควรพิจารณาให้มีกลไกการถ่วงดุลอำนาจของรัฐมนตรีในการสั่งยุบคณะกรรมการบริหารสภาอุตสาหกรรมภาพยนตร์แห่งประเทศไทย
หรือไล่สมาชิกคนใดคนหนึ่งออก (มาตรา ๓๘) ควรส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยในเชิงรุก
เช่น การจัดตั้งกองทุนภาพยนตร์แห่งชาติ สนับสนุนภาพยนตร์ไทยที่มีคุณภาพ
สนับสนุนสถาบันภาพยนตร์แห่งชาติให้คล้ายกับสถาบันภาพยนตร์อังกฤษ (The British Film Institute : BFI) หรือสถาบันภาพยนตร์อเมริกัน
(American Film Institute : AFI) และให้สิทธิพิเศษทางภาษีสำหรับผู้สร้างภาพยนตร์ไทยที่สามารถนำผลงานออกสู่ตลาดโลก
เป็นต้น |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 55 | ข้อเสนอการปรับปรุงกฎหมายเพื่อความสะดวกในการประกอบธุรกิจ | นร.12 | 27/03/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบข้อเสนอการปรับปรุงกฎหมายเพื่อความสะดวกในการประกอบธุรกิจ และมอบหมายหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบดำเนินการภายในระยะเวลาที่กำหนด
รวมทั้งให้รายงานความคืบหน้าการดำเนินการให้คณะกรรมการปรับปรุงกฎหมายเพื่อความสะดวกในการประกอบธุรกิจทราบต่อไป
และรับทราบรายงานสรุปผลการดำเนินการของคณะกรรมการปรับปรุงกฎหมายเพื่อความสะดวกในการประกอบธุรกิจ
(คปธ.) ตามที่คณะกรรมการปรับปรุงกฎหมายเพื่อความสะดวกในการประกอบธุรกิจเสนอ ทั้งนี้
ให้รับความเห็นของกระทรวงมหาดไทยและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปประกอบการพิจารณาด้วย
ดังนี้ กระทรวงมหาดไทย เห็นว่าหากมีการกำหนดให้ใบอนุญาตประกอบธุรกิจโรงแรมสามารถดำเนินการชำระค่าธรรมเนียมแทนการต่ออายุใบอนุญาตได้นั้น
ควรมีข้อกำหนดให้ผู้ยื่นคำขอต่ออายุใบอนุญาตประกอบธุรกิจโรงแรมแสดงเอกสารหลักฐานต่าง
ๆ ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประกอบการพิจารณา เพื่อเป็นการรับรองและยืนยันว่าการต่ออายุใบอนุญาตดังกล่าวเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด
และหากนายทะเบียนโรงแรมตรวจสอบแล้ว ปรากฏว่าการต่ออายุใบอนุญาตดังกล่าวไม่เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด
นายทะเบียนมีอำนาจเพิกถอนใบอนุญาตดังกล่าวได้ทันที โดยไม่ต้องดำเนินการคืนค่าธรรมเนียมใด
ๆ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นควรคำนึงถึงความปลอดภัยและมาตรฐานของโรงแรมเป็นสำคัญ
โดยเฉพาะการกำหนดเกณฑ์การตรวจสอบมาตรฐานภายใต้กรอบระยะเวลาที่เหมาะสมก่อนอนุมัติการชำระค่าธรรมเนียมของธุรกิจโรงแรมต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 56 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดตัวผู้ออกบัตรและแบบบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ พ.ศ. .... | นร. | 18/03/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดตัวผู้ออกบัตรและแบบบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงผู้มีอำนาจในการออกบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่และแบบบัตรดังกล่าวตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค
พ.ศ. ๒๕๒๒ เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการออกบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่
อันจะทำให้พนักงานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานได้อย่างทั่วถึง ตามที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 57 | ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยเครื่องแบบและการแต่งกายลูกเสือ พ.ศ. .... | ศธ. | 18/03/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงว่าด้วยเครื่องแบบและการแต่งกายลูกเสือ
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงเครื่องแบบและการแต่งกายลูกเสือให้เหมาะสมยิ่งขึ้น
อาทิ กำหนดประเภทเครื่องแบบลูกเสือ ส่วนประกอบของเครื่องแบบลูกเสือแต่ละประเภท
โอกาสในการแต่งเครื่องแบบแต่ละประเภท ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทยและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงมหาดไทย เห็นควรให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการตามระเบียบ
และกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรกำหนดแนวทางปฏิบัติในโอกาสการเข้าร่วมงานพิธีการลูกเสือให้ชัดเจน
โดยพิจารณาจากความสมัครใจและความพร้อมของครู ผู้ปกครองและนักเรียนเป็นสำคัญ
เพื่อไม่ให้เป็นภาระต่อผู้ปกครอง และนักเรียนที่มีรายได้น้อย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 58 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าทรงแบนรีดร้อน สำหรับงานโครงสร้างทั่วไป ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... | อก. | 18/03/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าทรงแบนรีดร้อน
สำหรับงานโครงสร้างทั่วไป ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าทรงแบนรีดร้อน
สำหรับงานโครงสร้างทั่วไป ตามมาตรฐานเลขที่ มอก. ๑๔๗๙ - ๒๕๕๘ โดยเป็นการยกเลิกมาตรฐานเดิมและกำหนดมาตรฐานใหม่ให้เป็นไปตามมาตรฐานเลขที่
มอก. ๑๔๗๙ - ๒๕๖๖ เพื่อให้สอดคล้องกับการพัฒนาเทคโนโลยี
รวมทั้งการทำและการใช้ภายในประเทศ และมีข้อกำหนดเพื่อควบคุมคุณภาพผลิตภัณฑ์ที่ดีและรัดกุมมากยิ่งขึ้น
ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 59 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่แขวงบางซื่อ เขตบางซื่อ แขวงถนนนครไชยศรี แขวงวชิรพยาบาล แขวงดุสิต เขตดุสิต แขวงวัดสามพระยา แขวงบางขุนพรหม แขวงบ้านพานถม แขวงชนะสงคราม แขวงตลาดยอด แขวงบวรนิเวศ แขวงวังบูรพาภิรมย์ แขวงสำราญราษฎร์ เขตพระนคร แขวงวัดโสมนัส แขวงบ้านบาตร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย แขวงสัมพันธวงศ์ แขวงจักรวรรดิ เขตสัมพันธวงศ์ แขวงวัดกัลยาณ์ แขวงหิรัญรูจี แขวงบางยี่เรือ แขวงบุคคโล แขวงสำเหร่ แขวงดาวคะนอง เขตธนบุรี แขวงสมเด็จเจ้าพระยา แขวงคลองสาน แขวงคลองต้นไทร เขตคลองสาน แขวงบางค้อ แขวงจอมทอง แขวงบางมด เขตจอมทอง แขวงบางปะกอก แขวงราษฎร์บูรณะ เขตราษฎร์บูรณะ แขวงบางมด เขตทุ่งครุ กรุงเทพมหานคร และตำบลบางพึ่ง ตำบลบางครุ อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ พ.ศ. .... และร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะดำเนินการเพื่อกิจการขนส่งมวลชน ในท้องที่แขวงบางซื่อ เขตบางซื่อ แขวงถนนนครไชยศรี แขวงวชิรพยาบาล แขวงดุสิต เขตดุสิต แขวงวัดสามพระยา แขวงบางขุนพรหม แขวงบ้านพานถม แขวงชนะสงคราม แขวงตลาดยอด แขวงบวรนิเวศ แขวงวังบูรพาภิรมย์ แขวงสำราญราษฎร์ เขตพระนคร แขวงวัดโสมนัส แขวงบ้านบาตร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย แขวงสัมพันธวงศ์ แขวงจักรวรรดิ เขตสัมพันธวงศ์ แขวงวัดกัลยาณ์ แขวงหิรัญรูจี แขวงบางยี่เรือ แขวงบุคคโล แขวงสำเหร่ แขวงดาวคะนอง เขตธนบุรี แขวงสมเด็จเจ้าพระยา แขวงคลองสาน แขวงคลองต้นไทร เขตคลองสาน แขวงบางค้อ แขวงจอมทอง แขวงบางมด เขตจอมทอง แขวงบางปะกอก แขวงราษฎร์บูรณะ เขตราษฎร์บูรณะ แขวงบางมด เขตทุ่งครุ กรุงเทพมหานคร และตำบลบางพึ่ง ตำบลบางครุ อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ | คค. | 18/03/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวรวม ๒
ฉบับ ได้แก่ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน และร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะดำเนินการเพื่อกิจการขนส่งมวลชน ในท้องที่แขวงบางซื่อ
เขตบางซื่อ แขวงถนนนครไชยศรี แขวงวชิรพยาบาล แขวงดุสิต เขตดุสิต
แขวงวัดสามพระยา แขวงบางขุนพรหม แขวงบ้านพานถม แขวงชนะสงคราม แขวงตลาดยอด
แขวงบวรนิเวศ แขวงวังบูรพาภิรมย์ แขวงสำราญราษฎร์ เขตพระนคร แขวงวัดโสมนัส แขวงบ้านบาตร
เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย แขวงสัมพันธวงศ์
แขวงจักรวรรดิ เขตสัมพันธวงศ์ แขวงวัดกัลยาณ์ แขวงหิรัญรูจี แขวงบางยี่เรือ
แขวงบุคคโล แขวงสำเหร่ แขวงดาวคะนอง เขตธนบุรี แขวงสมเด็จเจ้าพระยา
แขวงคลองสาน แขวงคลองต้นไทร เขตคลองสาน แขวงบางค้อ แขวงจอมทอง แขวงบางมด เขตจอมทอง
แขวงบางปะกอก แขวงราษฎร์บูรณะ เขตราษฎร์บูรณะ แขวงบางมด เขตทุ่งครุ กรุงเทพมหานคร
และตำบลบางพึ่ง ตำบลบางครุ อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน
และกำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะดำเนินการเพื่อกิจการขนส่งมวลชน
ในท้องที่แขวงบางซื่อ เขตบางซื่อ แขวงถนนนครไชยศรี แขวงวชิรพยาบาล แขวงดุสิต
เขตดุสิต แขวงวัดสามพระยา แขวงบางขุนพรหม แขวงบ้านพานถม แขวงชนะสงคราม แขวงตลาดยอด
แขวงบวรนิเวศ แขวงวังบูรพาภิรมย์ แขวงสำราญราษฎร์ แขวงจักรวรรดิ เขตสัมพันธวงศ์
แขวงวัดกัลยาณ์ แขวงหิรัญรูจี แขวงบางยี่เรือ แขวงบุคคโล แขวงสำเหร่ แขวงดาวคะนอง
เขตธนบุรี แขวงสมเด็จเจ้าพระยา แขวงคลองสาน แขวงคลองต้นไทร เขตคลองสาน แขวงบางค้อ
แขวงจอมทอง แขวงบางมด เขตจอมทอง แขวงบางปะกอก แขวงราษฎร์บูรณะ เขตราษฎร์บูรณะ
แขวงบางมด เขตทุ่งครุ กรุงเทพมหานคร และตำบลบางพึ่ง ตำบลบางครุ อำเภอพระประแดง
จังหวัดสมุทรปราการ เพื่อดำเนินกิจการรถไฟฟ้า ในส่วนที่เกี่ยวกับการจัดสร้างโครงการขนส่งด้วยระบบรถไฟฟ้า
สถานที่จอดรถสำหรับผู้โดยสาร และกิจการอื่นที่เกี่ยวเนื่องกับกิจการรถไฟฟ้า
และเพื่อประโยชน์ในการดำเนินการเพื่อกิจการขนส่งมวลชนตามโครงการรถไฟฟ้า สายสีม่วง
ช่วงเตาปูน - ราษฎร์บูรณะ (วงแหวนกาญจนาภิเษก) ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
โดยให้นำความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๑) ไปประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เห็นว่ากรณีโครงการฯ
มีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติแล้ว
ต้องดำเนินการตามที่ระบุไว้ในมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม
ของรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรมอบหมายให้กระทรวงคมนาคม
กำกับให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยเร่งจัดทำรายงานการศึกษาและวิเคราะห์โครงการตามพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน
พ.ศ. ๒๕๖๒ โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน - ราษฎร์บูรณะ (วงแหวนกาญจนาภิเษก)
โดยทำการปรับปรุงตามความเห็นของหน่วยงานและคณะทำงานตามมาตรา ๒๖ แห่งพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน
พ.ศ. ๒๕๖๒ เพื่อให้รายงานดังกล่าวมีความครบถ้วน สมบูรณ์และเสนอขออนุมัติตามขั้นตอนของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ซึ่งจะช่วยให้สามารถคัดเลือกเอกชนและสามารถเปิดให้บริการโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง
ช่วงเตาปูน - ราษฎร์บูรณะ (วงแหวนกาญจนาภิเษก) ได้ทันทีที่การก่อสร้างโครงการดังกล่าวแล้วเสร็จตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ในปี
๒๕๗๑ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 60 | การปรับปรุงปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 | นร.07 | 18/03/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับปรุงปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๙ ที่สำนักงบประมาณเสนอ โดยให้ปรับปรุงกำหนดวันดำเนินการให้สอดคล้องกับการเลื่อนวันประชุมคณะรัฐมนตรีเป็นวันพฤหัสบดีที่
๒๗ มีนาคม ๒๕๖๘ เป็นดังนี้ ๑. วันเสาร์ที่ ๑ กุมภาพันธ์
๒๕๖๘ - วันศุกร์ที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๘ สำนักงบประมาณพิจารณารายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๙ และนำเสนอคณะรัฐมนตรี ๒. วันพฤหัสบดีที่ ๒๗ มีนาคม
๒๕๖๘ คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๙ พร้อมแนวทางการปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๙ ๓. วันพฤหัสบดีที่ ๒๗ มีนาคม
๒๕๖๘ - วันศุกร์ที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๖๘
สำนักงบประมาณพิจารณาการปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๙ และนำเสนอคณะรัฐมนตรี
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
