ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 8 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 141 - 160 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 141 | รายงานผลการพิจารณาต่อข้อเสนอแนะกรณีการจัดให้เด็กสมรสก่อนวัยอันควร | ยธ. | 06/08/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาในเบื้องต้นต่อข้อเสนอแนะกรณีการจัดให้เด็กสมรสก่อนวัยอันควร
โดยได้ขอความเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่เห็นด้วยในหลักการให้มีการแก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
รวมถึงกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องเพื่อปรับแก้เกณฑ์อายุขั้นต่ำในการสมรสเป็น ๑๘ ปี แต่ในประเด็นการปรับปรุงหลักเกณฑ์และข้อปฏิบัติตามหลักการศาสนาที่เกี่ยวข้องกับประเด็นการบังคับการสมรสในวัยเด็กให้ครอบคลุมทุกกรณียังมีข้อห่วงกังวลบางประการ
ซึ่งกระทรวงยุติธรรมจำเป็นต้องใช้ระยะเวลาในการศึกษาความเป็นมา สภาพปัญหา และผลกระทบอย่างรอบด้าน
รวมทั้งต้องรับฟังความคิดเห็นให้ครอบคลุมกลุ่มผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วนและจากประชาชนโดยทั่วไปด้วย
ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และแจ้งให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 142 | การปรับปรุงแนวทางปฏิบัติในการคัดเลือกข้าราชการพลเรือนสามัญขึ้นแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวง หรือหัวหน้าส่วนราชการระดับกรมที่อยู่ในบังคับบัญชาหรือรับผิดชอบการปฏิบัติราชการขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรี (ตำแหน่งระดับ 11 เดิม) | นร. | 06/08/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมติพิจารณาเห็นว่า
โดยที่แนวทางการแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือหัวหน้าส่วนราชการระดับกรมที่อยู่ในบังคับบัญชาหรือรับผิดชอบการปฏิบัติราชการขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี
หรือรัฐมนตรี (ตำแหน่งระดับ ๑๑ เดิม) ตามหนังสือสำนักงาน ก.พ. ที่ นร ๑๐๐๓/ว ๒๒
ลงวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๕๓ ได้ใช้บังคับเป็นเวลานานแล้ว
และอาจไม่เหมาะสมสอดคล้องกับแนวทางการบริหารบุคคลในปัจจุบัน
และอาจไม่สอดคล้องกับหน้าที่และอำนาจของรัฐมนตรีเจ้าสังกัดตามสายการบังคับบัญชาในการพิจารณาอนุมัติแต่งตั้งตามมาตรา
๕๗ (๑) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑
สมควรที่จะพิจารณาปรับปรุงแนวทางการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวเพื่อให้การพิจารณาแต่งตั้งหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวง
หรือหัวหน้าส่วนราชการระดับกรมที่อยู่ในบังคับบัญชาหรือรับผิดชอบการปฏิบัติราชการขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี
หรือรัฐมนตรี (ตำแหน่งระดับ ๑๑ เดิม) เป็นไปด้วยความเรียบร้อย
และทำให้การบริหารราชการแผ่นดินในภาพรวมเป็นไปอย่างต่อเนื่อง
คณะรัฐมนตรีจึงมีมติมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายพิชัย ชุณหวชิร)
ในฐานะกำกับการบริหารราชการ สั่ง และปฏิบัติราชการสำนักงาน ก.พ.
รับเรื่องนี้ไปพิจารณาดำเนินการให้ได้ข้อยุติที่เหมาะสมชัดเจนโดยด่วน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 143 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าทรงแบนรีดเย็นเคลือบสังกะสีโดยกรรมวิธีจุ่มร้อนต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... | อก. | 30/07/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าทรงแบนรีดเย็นเคลือบสังกะสีโดยกรรมวิธีจุ่มร้อนต้องเป็นไปตามมาตรฐาน
พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าทรงแบนรีดเย็นเคลือบสังกะสีโดยกรรมวิธีจุ่มร้อน
แผ่นม้วน แผ่นแถบ แผ่นตัด และแผ่นลูกฟูก ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. ๒๕๖๓
และกำหนดมาตรฐานผลิตณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าทรงแบนรีดเย็นเคลือบสังกะสีโดยกรรมวิธีจุ่มร้อนขึ้นใหม่
เพื่อให้สอดคล้องกับข้อกำหนดตามมาตรฐานอ้างอิงที่มีการปรับปรุงใหม่
และเพื่อรองรับการพัฒนาเทคโนโลยีการทำและการใช้งานภายในประเทศอย่างทั่วถึง ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ
และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 144 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมรถยนต์ขนาดเล็กที่ใช้เครื่องยนต์แบบจุดระเบิดด้วยประกายไฟต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... | อก. | 30/07/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมรถยนต์ขนาดเล็กที่ใช้เครื่องยนต์แบบจุดระเบิดด้วยประกายไฟต้องเป็นไปตามมาตรฐาน
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมรถยนต์ขนาดเล็กที่ใช้เครื่องยนต์แบบจุดระเบิดด้วยประกายไฟต้องเป็นไปตามมาตรฐานเลขที่
มอก. ๓๐๑๗ - ๒๕๖๓ โดยเป็นการปรับปรุงมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมดังกล่าว
เพื่อให้สอดคล้องกับการพัฒนาเทคโนโลยีและเป็นไปตามมาตรฐานระดับสากล
รวมทั้งให้สอดคล้องกับแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลภาวะด้านฝุ่นละออง”
ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 145 | ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (การปรับปรุงมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนเพื่อความยั่งยืนของประเทศไทย) | กค. | 30/07/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....)
ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร
(การปรับปรุงมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนเพื่อความยั่งยืนของประเทศไทย) มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนเพื่อความยั่งยืนของประเทศไทย
โดยกำหนดให้เงินได้ของบุคคลธรรมดาที่จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนใน “กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน
(Thailand ESG Fund หรือ TESG)” ในอัตราไม่เกินร้อยละ ๓๐ ของเงินได้เฉพาะส่วนที่ไม่เกิน ๓๐๐,๐๐๐ บาท สำหรับปีภาษีนั้น (จากเดิมไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐
บาท) เป็นเงินได้พึงประเมินที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้
สำหรับเงินได้ที่จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๗
ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๙ และกำหนดให้ผู้มีเงินได้ไม่ต้องนำเงินหรือผลประโยชน์ใด
ๆ ที่ได้รับเนื่องจากการขายหน่วยลงทุนคืนให้แก่ TESG มารวมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
เฉพาะกรณีที่เงินหรือผลประโยชน์ดังกล่าวคำนวณมาจากเงินได้พึงประเมินที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องนำมารวมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธธรรมดาตามที่กล่าวมา
ทั้งนี้ ต้องถือหน่วยลงทุนดังกล่าวมาแล้วไม่น้อยกว่า ๕ ปี
นับตั้งแต่วันที่ซื้อหน่วยลงทุน (จากเดิมไม่น้อยกว่า ๘ ปี
นับตั้งแต่วันที่ซื้อหน่วยลงทุน) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงการคลังพิจารณาหาแนวทางการเพิ่มรายได้ภาษี เพื่อให้การจัดเก็บภาษีเป็นไปตามเป้าหมายและเพื่อป้องกันความเสี่ยงทางการคลังในอนาคต
รวมทั้งให้รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
สำนักงบประมาณ และสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทยไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย เช่น สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นว่าในการดำเนินการควรพิจารณาดำเนินการควบคู่ไปกับการแก้ไขปัญหาธรรมาภิบาลของภาคธุรกิจในตลาดหลักทรัพย์
เพื่อสร้างความเชื่อมั่นของนักลงทุนและการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์โดยกำหนดมาตรการที่เข้มงวดในการกำกับดูแลบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ให้มีการดำเนินการตามหลักธรรมาภิบาล
เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนและสนับสนุนให้การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ไทยปรับตัวดีขึ้นได้อย่างยั่งยืน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 146 | ร่างกฎกระทรวงระบบการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อ พ.ศ. .... | พน. | 23/07/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างกฎกระทรวงระบบการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขเกี่ยวกับการประกอบกิจการระบบการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อ
เพื่อให้ครอบคลุมถึงการประกอบกิจการทั้งท่อส่งก๊าซธรรมชาติบนบกและท่อส่งก๊าซธรรมชาติในทะเล
ส่งก๊าซธรรมชาติเหลว และให้สอดคล้องกับสภาพการประกอบกิจการระบบก๊าซธรรมชาติทางท่อในปัจจุบันและเป็นตามมาตรฐานสากล
ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงพลังงานรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เห็นควรกำหนดให้ครอบคลุมถึงทรัพยากรทางทะเล
รวมทั้งอาจมีการจัดทำแผนเผชิญเหตุในกรณีที่มีการรั่วไหลของก๊าซ และน้ำมันด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 147 | (ร่าง) ข้อเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ปีก (ไก่งวง) ในประเทศไทย | กษ. | 23/07/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ (ร่าง)
ข้อเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ปีก (ไก่งวง) ในประเทศไทย และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามแนวทางดังกล่าว
ประกอบด้วย ๑) ขอให้ภาครัฐเร่งอนุญาตให้โรงฆ่าสัตว์ปีก เพิ่มชนิดสัตว์ปีก ประเภทไก่งวง
๒) สนับสนุนให้มีโรงฆ่าสัตว์ปีก (ไก่งวง)
ที่ได้รับมาตรฐานการส่งออกขนาดเล็กสำหรับเกษตรกรรายย่อยของหน่วยงานภาครัฐ ๓) กำหนดมาตรฐานสำหรับฟาร์มสัตว์ปีก
(ไก่งวง) แบบโรงเรือนยกพื้น (มาตรฐาน GAP) เพื่อเพิ่มศักยภาพในการผลิต และยกระดับมาตรฐานเพื่อการส่งออก ๔) ภาครัฐสนับสนุนการจัดทำพิธีสารว่าด้วยการส่งออกไก่งวง
และ ๕) ขอให้ภาครัฐเร่งระบายไก่งวงที่ค้างสต็อกอย่างเร่งด่วน ตามที่สภาเกษตรกรแห่งชาติเสนอ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
เช่น กระทรวงอุตสาหกรรม เห็นว่าในส่วนของไก่งวงแช่แข็งที่ค้างสต็อกและไก่งวงที่พร้อมเข้าโรงฆ่าสัตว์ปีก
อาจมีแนวทางมาตรการเพื่อระบายสต็อกที่ค้างอยู่ออกไปก่อน
แต่ทั้งนี้ในระยะยาวอาจจะต้องมีการวางแผนการผลิต การตลาด
ให้เหมาะสมต่อความต้องการของตลาดในอนาคต สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นว่ากรมปศุสัตว์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ควรเร่งประชาสัมพันธ์แนวทางการยื่นขอรับอนุญาตฆ่าไก่งวงเพิ่มเติมให้ผู้ประกอบกิจการโรงฆ่าสัตว์ทราบอย่างทั่วถึงในวงกว้าง
เพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบกิจการโรงฆ่าสัตว์ที่ยังดำเนินการไม่เต็มศักยภาพการผลิตยื่นขอรับอนุญาตฆ่าไก่งวงเพิ่มเติม
พร้อมทั้งสนับสนุนให้มีการปรับปรุง แก้ไข พัฒนา กิจการโรงฆ่าสัตว์ให้ได้มาตรฐานการส่งออกควบคู่ไปด้วย กระทรวงพาณิชย์
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรพิจารณาจัดหาช่องทางการจัดจำหน่ายและอำนวยความสะดวกในการจับคู่
(Matching) ระหว่างกลุ่มเกษตรกรและผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมต่อเนื่อง
(อาหารแปรรูปและอาหารสัตว์) เครือโรงแรม ภัตตาคาร และร้านอาหาร
เพื่ออำนวยความสะดวกในการเร่งระบายไก่งวงแช่แข็งค้างในสต๊อกเพื่อบรรเทาภาระต้นทุน ค่าใช้จ่าย
โดยการดำเนินการดังกล่าวจะต้องพิจารณาราคาในการจัดจำหน่ายไก่งวงแช่แข็งที่เหมาะสมและเป็นธรรมด้วย
รวมทั้งให้พิจารณาความเหมาะสมและความเป็นได้ในการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์ประเภทอื่นที่เป็นที่ต้องการของตลาดเพิ่มมากขึ้นด้วย
เช่น นกกระทา
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 148 | ปรับปรุงการมอบหมายผู้มีอำนาจกำกับแผนงานบูรณาการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 | นร.07 | 16/07/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการปรับปรุงการมอบหมายผู้มีอำนาจกำกับแผนงานบูรณาการ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 149 | ผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน ครั้งที่ 11 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง | กค. | 16/07/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน
ครั้งที่ ๑๑ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๑ - ๖ เมษายน ๒๕๖๗ ณ
เมืองหลวงพระบาง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยในการประชุมฯ ได้มีการรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุม
AFMGM ครั้งที่
๑๑ ซึ่งในระหว่างการประชุมได้มีการปรับปรุงร่างแถลงการณ์ร่วมดังกล่าว เช่น
การปรับรายงานประมาณการเศรษฐกิจให้สอดคล้องกับรายงานล่าสุดของสำนักงานวิจัยเศรษฐกิจมหภาคของภูมิภาคอาเซียน
+ ๓ และเพิ่มถ้อยคำสนับสนุนให้มีการหารือเพื่อผลักดันการจัดการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขอาเซียน ครั้งที่ ๒ โดยมีบางถ้อยคำแตกต่างจากฉบับร่างตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒ เมษายน ๒๕๖๖๗ เพื่อให้มีความเหมาะสม และสะท้อนข้อเท็จจริงมากขึ้น
โดยไม่กระทบสาระสำคัญ ไม่กระทบหรือขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย
และไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 150 | ร่างแผนปฏิบัติการ 5 ปี (พ.ศ. 2566-2570) สำหรับสาขาความร่วมมือด้านทรัพยากรน้ำภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง | นร.14 | 16/07/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างแผนปฏิบัติการ ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๖ - ๒๕๗๐) สำหรับสาขาความร่วมมือด้านทรัพยากรน้ำ
ภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง - ล้านช้าง และอนุมัติให้เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายให้การรับรองต่อร่างแผนปฏิบัติการ ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๖ - ๒๕๗๐)
สำหรับสาขาความร่วมมือด้านทรัพยากรน้ำ ภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง - ล้านช้าง โดยร่างแผนปฏิบัติการฯ
มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน
และเพื่อให้ประชาชนของทั้ง ๖ ประเทศสมาชิกสามารถใช้ประโยชน์ทรัพยากรน้ำในลุ่มน้ำโขง
- ล้านช้าง ผ่านการบริหารจัดการและการอนุรักษ์อย่างยั่งยืน ประกอบด้วย ๗
สาขาความร่วมมือ ดังนี้ ๑) การคุ้มครองทรัพยากรน้ำและการพัฒนาสีเขียว ๒)
การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแบบบูรณาการและการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ
๓) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำและผลประโยชน์ร่วมกัน ๔) พื้นที่ชนบท
การอนุรักษ์น้ำ และการปรับปรุงชีวิตความเป็นอยู่ ๕)
การพัฒนาไฟฟ้าพลังน้ำอย่างยั่งยืนและความมั่นคงด้านพลังงาน ๖)
ความร่วมมือแม่น้ำข้ามพรมแดนและการแบ่งปันข้อมูล และ ๗)
การประสานงานกับสาขาความร่วมมืออื่น ๆ ตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแผนปฏิบัติการฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
และให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่เห็นควรให้ดำเนินการตามกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับที่มีอยู่ในปัจจุบัน และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 151 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดโครงการอนุรักษ์และดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติภายในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าหรือเขตห้ามล่าสัตว์ป่า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ทส. | 16/07/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมถอนเรื่องนี้คืนไปก่อน
เพื่อรอการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ มาตราส่วน ๑ : ๔๐๐๐ (One Map) ให้แล้วเสร็จ
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 152 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดโครงการอนุรักษ์และดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติภายในอุทยานแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ทส. | 16/07/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมถอนเรื่องนี้คืนไปก่อน
เพื่อรอการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ มาตราส่วน ๑ : ๔๐๐๐ (One Map) ให้แล้วเสร็จ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 153 | (ร่าง) ยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการ (พ.ศ. 2567-2570) | นร.12 | 09/07/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการ
(พ.ศ. ๒๕๖๗ - ๒๕๗๐) ซึ่งจัดทำขึ้นเพื่อเป็นกรอบแนวทางในการพัฒนาระบบราชการของไทย
โดยมุ่งเน้นการเป็นรัฐบาลดิจิทัลที่มีความทันสมัย
พัฒนาประสิทธิภาพการดำเนินงานภาครัฐ และยกระดับการให้บริการประชาชน
โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้ ๑) วิสัยทัศน์ “ภาครัฐที่ทันสมัย น่าเชื่อถือ
มีประสิทธิภาพ และตอบโจทย์ประชาชน” และมีเป้าหมายสู่การเป็น “รัฐที่ล้ำหน้าและรัฐที่เปิดกว้าง”
๒) ยุทธศาสตร์ในการขับเคลื่อนการบรรลุเป้าหมายและวิสัยทัศน์ จำนวน ๓ ยุทธศาสตร์
ได้แก่ (๑) ยุทธศาสตร์การยกระดับบริการภาครัฐโดยยึดผู้รับบริการเป็นศูนย์กลาง
(๒) ยุทธศาสตร์การลดบทบาทภาครัฐและเปิดการมีส่วนร่วมกับภาคส่วนอื่น และ (๓)
ยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนผลิตภาพภาครัฐด้วยนวัตกรรมและดิจิทัล ตามที่คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการาชการเสนอ ทั้งนี้ ให้สำนักงาน ก.พ.ร.
ในฐานะฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการรับความเห็น ข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
กระทรวงพลังงาน กระทรวงสาธารณสุข สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
สำนักงาน ก.พ. สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล
(องค์การมหาชน) ไปพิจารณาประกอบการปรับปรุงแก้ไข (ร่าง)
ยุทธศาสตร์ดังกล่าวให้เหมาะสมและชัดเจนยิ่งขึ้น
ก่อนให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐนำไปใช้เป็นกรอบแนวทางในการดำเนินภารกิจของหน่วยงานต่อไป
เช่น กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
เห็นควรมีการวางระบบติดตามและประเมินผล เพื่อเป็นเครื่องมือในการติดตามตรวจสอบการดำเนินงานตามกลยุทธ์และแผนยุทธศาสตร์อันจะนำไปสู่การขับเคลื่อนการพัฒนาระบบราชการอย่างมีประสิทธิภาพ
ควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะ (Skill) และการปรับกระบวนการทางความคิด (Mindset) ของบุคลากรผู้ปฏิบัติงานให้มีความพร้อม
สามารถรองรับกระบวนการทำงานในรูปแบบใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการทบทวนและปรับปรุงกฎหมาย
กฎ และระเบียบ ให้มีความทันสมัย
และไม่เป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติงานและการพัฒนารัฐบาลดิจิทัล กระทรวงพลังงาน เห็นควรมีการกำหนดบทบาทและขอบเขตการดำเนินงานของแต่ละหน่วยงานที่ชัดเจน
เพื่อลดความซ้ำซ้อนของการดำเนินงาน
เกิดการบูรณาการร่วมกันหลายหน่วยงานอย่างมีประสิทธิภาพ
อันจะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชนอย่างแท้จริงต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 154 | การปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2567 ครั้งที่ 2 | กค. | 02/07/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ
ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๗ ครั้งที่ ๒
ตามข้อเสนอของคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ ในคราวประชุมครั้งที่
๑/๒๕๖๖ เมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๖๗ โดยมีรายละเอียดของการปรับปรุงแผนฯ ในครั้งนี้
เช่น ๑) การปรับเพิ่มวงเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๗
(เงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๖ ไปพลางก่อน) จำนวน ๒๖๙,๐๐๐ ล้านบาท ๒)
การปรับเพิ่มวงเงินปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้รัฐบาลที่ครบกำหนดในปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๘-๒๕๗๑ จำนวน ๕๐,๐๐๐ ล้านบาท และ ๓)
การปรับเพิ่มวงเงินแผนการชำระหนี้ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน
จำนวน ๒๙,๒๐๐ ล้านบาท เป็นต้น ตามที่คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเสนอ
ทั้งนี้ ในส่วนการจัดสรรงบประมาณเพื่อการชำระต้นเงินกู้ ดอกเบี้ย
และค่าใช้จ่ายในการกู้เงินของรัฐบาลและหน่วยงานของรัฐที่รัฐบาลรับภาระ ให้ดำเนินการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ และประกาศคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ เรื่อง กำหนดสัดส่วนต่าง
ๆ เพื่อเป็นกรอบวินัยการเงินการคลังของรัฐ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๖๓
ซึ่งกำหนดให้สัดส่วนงบประมาณเพื่อการชำระคืนต้นเงินกู้ของรัฐบาลและหน่วยงานของรัฐซึ่งรัฐบาลรับภาระ
ต้องตั้งไม่น้อยกว่าร้อยละสองจุดห้าแต่ไม่เกินร้อยละสี่ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี
รวมทั้งพิจารณาสถานการณ์ทางการเงิน ประมาณการรายรับ ฐานะทางการคลังของประเทศ
และภาระค่าใช้จ่ายที่จำเป็นต้องจ่ายในด้านต่าง ๆ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒.
ให้คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงพลังงาน
สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และธนาคารแห่งประเทศไทยไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย เช่น สำนักงบประมาณ เห็นควรกำกับ ติดตาม
และเร่งรัดหน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการและเบิกจ่ายเงินกู้ให้สอดคล้องและบรรลุวัตถุประสงค์ตามแผนที่กำหนดไว้
เพื่อให้การใช้จ่ายเงินกู้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ คุ้มค่า
และเกิดประสิทธิผลต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศอย่างแท้จริง |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 155 | การปรับแก้ไขตารางข้อผูกพันด้านบริการ ภายใต้องค์การการค้าโลกของไทย ที่ผูกพันวินัยในการใช้กฎระเบียบภายใน | พณ. | 25/06/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการปรับแก้ไขตารางข้อผูกพันด้านบริการ
ภายใต้องค์การการค้าโลก (WTO) ของไทย
ที่ผูกพันวินัยในการใช้กฎระเบียบภายใน
เนื่องจากอินเดียและแอฟริกาใต้ได้คัดด้านการปรับปรุงตารางข้อผูกพันฯ ดังนั้น ประเทศสมาชิกอื่น
ๆ (รวมถึงไทย) จึงได้ร่วมกันหารือกับอินเดียและแอฟริกาใต้ เพื่อให้เพิกถอนคำคัดค้านการปรับปรุงตารางข้อผูกพันฯ ซึ่งประเทศสมาชิกมีข้อสรุปร่วมกันในการปรับแก้ไขเอกสารในรูปแบบใบแก้ไขข้อผิดพลาด
(Corrigendum) มีสาระสำคัญเป็นการยืนยันความเข้าใจที่ตรงกันระหว่างประเทศสมาชิกเกี่ยวกับพันธกรณีใหม่ที่จะผูกพันเพิ่มเติม
โดยเป็นการปรับแก้ไขถ้อยคำเชิงเทคนิคในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ และไม่มีการเปลี่ยนแปลงถ้อยคำของวินัยในตารางข้อผูกพันฯ
แต่อย่างใด ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 156 | ร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวของข้าราชการและลูกจ้างประจำของส่วนราชการ พ.ศ. .... | กค. | 18/06/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวของข้าราชการและลูกจ้างประจำของส่วนราชการ
พ.ศ. .... ซึ่งเป็นการปรับปรุงระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวของข้าราชการและลูกจ้างประจำของส่วนราชการ
พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยยังคงหลักการเดิม
และปรับอัตราเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย เช่น สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ควรเร่งกำหนดแนวทางและแผนการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้
และการขยายฐานภาษีให้มีความชัดเจนและเป็นรูปธรรม
ควบคู่กับการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายของรัฐบาล
รวมทั้งให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบการประเมินผลการปฏิบัติงาน
และการปรับปรุงประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของส่วนราชการ
เพื่อให้การจ่ายค่าตอบแทนที่เพิ่มขึ้นเกิดความคุ้มค่า
และสนับสนุนการเพิ่มประสิทธิภาพของระบบราชการในระยะยาว
สำนักงบประมาณ เห็นว่าค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗
เห็นควรให้ส่วนราชการใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗
ภายใต้แผนงานบุคลากรภาครัฐของแต่ละส่วนราชการเป็นลำดับแรก
หากไม่เพียงพอให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ งบกลาง
รายการเงินเลื่อนเงินเดือนและเงินปรับวุฒิข้าราชการ
หรือรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น แล้วแต่กรณี ตามลำดับ
สำหรับค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป
ให้ส่วนราชการพิจารณาจัดทำแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อบรรจุไว้ในกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายล่วงหน้าระยะปานกลางตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 157 | ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (การปรับปรุงการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับค่าชดเชยที่ลูกจ้างได้รับจากนายจ้างกรณีถูกเลิกจ้าง) | กค. | 18/06/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....)
ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร
มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับค่าชดเชยที่ลูกจ้างได้รับจากนายจ้างกรณีลูกเลิกจ้างให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน
(ฉบับที่ ๗) พ.ศ. ๒๕๖๒
โดยปรับเพิ่มเพดานของค่าชดเชยกรณีถูกเลิกจ้างที่จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
จาก ค่าชดเชยส่วนที่ไม่เกินค่าจ้างหรือเงินเดือนค่าจ้างของการทำงาน ๓๐๐ วันสุดท้าย
แต่ไม่เกิน ๓๐๐,๐๐๐ บาท เป็น
ค่าชดเชยส่วนที่ไม่เกินค่าจ้างหรือเงินเดือนค่าจ้างของการทำงาน ๔๐๐ วันสุดท้าย
แต่ไม่เกิน ๖๐๐,๐๐๐ บาท สำหรับเงินค่าชดเชยกรณีถูกเลิกจ้างที่ได้รับตั้งแต่วันที่
๑ มกราคม ๒๕๖๖ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงแรงงาน และสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้
กระทรวงแรงงาน เห็นว่าหากร่างกฎกระทรวง ฯ
ครอบคลุมถึงกรณีการเกษียณอายุหรือสิ้นสุดสัญญาจ้าง จะทำให้ลูกจ้างกลุ่มนี้ได้รับสิทธิประโยชน์ด้วย
ซึ่งจะส่งผลให้มีขวัญกำลังใจในการทำงาน นำไปสู่การเพิ่มผลิตภาพแรงงาน
เพื่อเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 158 | การจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์-เลสเตว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราประเภทท่องเที่ยวสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดา | กต. | 18/06/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์-เลสเต
ว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราประเภทท่องเที่ยวสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดา และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมอบหมายเป็นผู้ลงนามความตกลงฯ
ทั้งนี้ ในกรณีมอบหมายผู้แทน
เห็นชอบให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนามที่ได้รับมอบหมาย
รวมทั้งให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการมีผลใช้บังคับของความตกลงฯ
โดยร่างความตกลงฯ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดาของไทยและผู้ถือหนังสือเดินทางของสาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์-เลสเต
ในการเดินทางเข้า-ออก ดินแดนของภาคีผู้ทำสัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง
สำหรับการพำนักแต่ละครั้งเป็นระยะเวลาไม่เกิน ๓๐ วัน สำหรับกรณีท่องเที่ยวเท่านั้น
โดยมีการกำหนดสิทธิและหน้าที่ระหว่างกันตามกฎหมายระหว่างประเทศ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างความตกลงฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า
ยังคงจำเป็นต้องเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์การเข้า-ออกของผู้คนที่จะเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไทย
เนื่องจากอาจมีความเสี่ยงจากกลุ่มผู้แสวงประโยชน์ในทางมิชอบ อาทิ
การพำนักเกินกำหนดระยะเวลา (Overstay) หรือการกรอกข้อมูลอันเป็นเท็จของบุคคลก่อนเข้าเมือง
ซึ่งอาจส่งผลต่อความมั่นคง
และการบริหารจัดการบุคคลที่ประสงค์เดินทางเข้ามาในประเทศไทยได้ รวมทั้งควรให้ความสำคัญกับการปรับปรุงมาตรฐานด้านการท่องเที่ยว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวและบริการสาธารณะที่สะดวกต่อการเข้าถึงและมีความเพียงพอรองรับต่อการขยายตัวของภาคการท่องเที่ยว
เพื่อให้นักท่องเที่ยวเกิดความมั่นใจและมีประสบการณ์ที่ดีในการเดินทางมายังประเทศไทย
ในขณะเดียวกันควรมุ่งเน้นการประชาสัมพันธ์ด้านการท่องเที่ยวที่มีศักยภาพของประเทศไทยให้เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวในวงกว้าง
เพื่อสร้างแรงจูงใจให้กลุ่มนักท่องเที่ยวตัดสินใจเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยมากยิ่งขึ้น
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 159 | (ร่าง) บันทึกความร่วมมือว่าด้วยกลไกเครดิตร่วมระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลญี่ปุ่น | ทส. | 18/06/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบ
(ร่าง) บันทึกความร่วมมือว่าด้วยกลไกเครดิตร่วมระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลญี่ปุ่น
พร้อมเอกสารแนบ ข้อ Attachment 1-3
และมอบหมายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือผู้แทน เป็นผู้แทนฝ่ายไทยลงนามในบันทึกความร่วมมือว่าด้วยกลไกเครดิตร่วมระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลญี่ปุ่น
โดย (ร่าง) บันทึกความร่วมมือฯ เป็นการปรับปรุงความร่วมมือทวิภาคี Joint
Crediting Mechanism (JCM) กับประเทศญี่ปุ่นที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่
๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๘ โดยยังคงมีสาระสำคัญเช่นเดิม คือ เป็นการจัดตั้งกลไก JCM เพื่อส่งเสริมให้ประเทศญี่ปุ่นสนับสนุนเงินลงทุนและเทคโนโลยีเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้กับโครงการต่าง
ๆ ที่ดำเนินการโดยภาครัฐหรือเอกชนของไทย เพื่อแลกกับการถ่ายโอนคาร์บอนเครดิตที่ลดลงจากการดำเนินโครงการให้กับประเทศญี่ปุ่น
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม
กระทรวงพลังงาน
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
เช่น กระทรวงพลังงาน
เห็นว่าการกำหนดสัดส่วนการแบ่งปันคาร์บอนเครดิตตามสัดส่วนเงินสนับสนุนจากฝ่ายญี่ปุ่นต่อเงินลงทุนในโครงการแต่ละโครงการต้องมีการพิจารณาผลการลดก๊าซเรือนกระจกที่สามารถพิสูจน์ได้อย่างชัดเจน สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นควรให้ความสำคัญกับการถ่ายทอดเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำที่ทันสมัยให้กับผู้ประกอบการที่เป็นวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
(SMEs) ที่มีศักยภาพและความพร้อมเพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยน (ร่าง)
บันทึกความร่วมมือฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 160 | ผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2566 เรื่อง การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการวางระเบียบที่เป็นเงื่อนไขหรือข้อจำกัดในการปฏิบัติงานหรือการใช้ชีวิตของประชาชน (สำนักงาน ก.พ.ร.) | นร.12 | 11/06/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓
กันยายน ๒๕๖๖ เรื่อง
การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการวางระเบียบที่เป็นเงื่อนไขหรือข้อจำกัดในการปฏิบัติงานหรือการใช้ชีวิตของประชาชน
รวมถึงการอนุมัติ อนุญาตแก่ภาคเอกชนที่สมควรให้มีผลบังคับใช้ต่อไป
โดยมีมติคณะรัฐมนตรีในความรับผิดชอบของสำนักงาน ก.พ.ร. ที่จะต้องยืนยันการคงอยู่ต่อไป
จำนวน ๔ เรื่อง ได้แก่ ๑) มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ มกราคม ๒๕๖๓ เรื่อง
แนวทางการทบทวนอัตราค่าธรรมเนียมในการอนุมัติ อนุญาตของทางราชการ ๒)
มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๖๔ เรื่อง
การขับเคลื่อนการให้บริการประชาชนผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e Service) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕ ๓)
มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๖๕ เรื่อง
การปรับปรุงระยะเวลาการพิจารณาอนุญาตและการทบทวนกฎหมายตามพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตทางราชการ
พ.ศ. ๒๕๕๘ และ ๔) มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๖๖ เรื่อง
แนวทางวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ตามพระราชบัญญัติการปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์
พ.ศ. ๒๕๖๕ ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
