ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1175 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 23481 - 23500 จากข้อมูลทั้งหมด 123963 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
23481 | รายงานการเดินทางไปราชการต่างประเทศ เพื่อเข้าร่วมการประชุมระดับนโยบายด้านคนพิการและผู้สูงอายุ ณ ประเทศญี่ปุ่น | พม | 23/06/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการเดินทางไปราชการต่างประเทศ เพื่อเข้าร่วมการประชุมระดับนโยบายด้านคนพิการและผู้สูงอายุ ณ ประเทศญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ ๑๒-๑๖ พฤษภาคม ๒๕๕๘ ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุมร่วมกับองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (JICA) ในประเด็นผู้สูงอายุและคนพิการ ซึ่งประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่นได้มีความร่วมมือด้านการเตรียมความพร้อมสำหรับผู้สูงอายุระยะยาว ทั้งนี้ ควรมีการศึกษาแนวทางด้านการแก้ปัญหาวัยแรงงานและวัยเด็กที่ลดน้อยลง รวมถึงการขยายระยะเวลาเกษียณอายุราชการ สำหรับประเด็นคนพิการเห็นควรมีความร่วมมือในประเด็นการจัดสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับคนทั้งมวล (Universal Design) การสนับสนุนการจ้างงานคนพิการ และการจัดการสถานการณ์ภัยพิบัติสำหรับคนพิการ ๒. การประชุมร่วมกับนาย Yasuhisa Shiozaki รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการ โดยเสนอให้มีการแลกเปลี่ยนบุคลากรเพื่อให้ได้รับการฝึกอบรมและพัฒนาองค์ความรู้ระหว่างกันด้านผู้สูงอายุและคนพิการ ๓. การประชุมร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการ โดยเสนอให้มีความร่วมมือด้านการพัฒนาองค์ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายเพื่อคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิคนพิการ และดำเนินการเพื่อรองรับสถานการณ์สังคมผู้สูงอายุ รวมถึงการจัดระบบสวัสดิการสำหรับผู้สูงอายุและคนพิการ ๔. การประชุมร่วมกับองค์กร Red Cross General Welfare Center ได้มีการศึกษารูปแบบและแนวทางการจัดบริการสวัสดิการด้านสังคมสำหรับดูแลผู้สูงอายุในระยะยาว ตลอดจนบทบาทของศูนย์ดูแลผู้สูงอายุและคนพิการดำเนินการร่วมกับกลไกระดับท้องถิ่นและชุมชน รวมถึงการศึกษาสิ่งอำนวยความสะดวกให้กับคนพิการและคนทั้งมวล ๕. การประชุมร่วมกับบริษัท ISF Net ศึกษาการฝึกอบรมทักษะวิชาชีพการเตรียมความพร้อมคนพิการเข้าสู่ตลาดแรงงาน รูปแบบและแนวทางการจ้างงานคนพิการและงานที่เหมาะสมกับความพิการแต่ละประเภท เช่น การประกอบอาหารโดยคนพิการทางสติปัญญา
|
||||||||||||||||||||||||
23482 | สรุปผลการประชุมสภารัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (สภาซีเมค) ครั้งที่ 48 | ศธ | 23/06/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมสภารัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (สภาซีเมค) ครั้งที่ ๔๘ (48th Seameo Council Conference : SEAMEC) ระหว่างวันที่ ๖-๙ พฤษภาคม ๒๕๕๘ ณ จังหวัดชลบุรี ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุมเต็มคณะ (Plenary Session) ในระหว่างพิธีเปิดการประชุมเต็มคณะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการของไทยได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานสภาซีเมคและประธานการประชุมสภาซีเมค ครั้งที่ ๔๘ มีวาระ ๒ ปี สำหรับสาระสำคัญของการประชุมเต็มคณะ คือ ที่ประชุมรับทราบความก้าวหน้าและติดตามผลการดำเนินโครงการและกิจกรรมของซีมีโอและศูนย์ระดับภูมิภาค เห็นชอบสถานะและการใช้ประโยชน์จากเงินบริจาคโดยสมาชิกสมทบและประเทศไทยมอบให้แก่สำนักงานเลขาธิการซีมีโอ รวมถึงสถานะของเงินกองทุนเพื่อการพัฒนาการศึกษาของซีมีโอ พิจารณาอนุมัติงบประมาณราย ๓ ปี ของซีมีโอ (๒๕๕๘/๒๕๕๙-๒๕๖๐/๒๕๖๑) รับทราบความก้าวหน้าการดำเนินการร่วมกับองค์การระหว่างประเทศ ภาคีเครือข่าย และหุ้นส่วนความร่วมมือ อาทิ การดำเนินโครงการตามแผนยุทธศาสตร์ ๑๐ ปีของซีมีโอ การประชุมการศึกษาและการพัฒนาระดับภูมิภาคว่าด้วยวาระการศึกษาภายหลังปี ๒๕๕๘ การดำเนินโครงการ SEAMEO College การดำเนินงานพัฒนาตามข้อเสนอแนะที่ได้จากการประชุมหารือเชิงยุทธศาสตร์ระดับรัฐมนตรีศึกษาของซีมีโอ การประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยการเสริมสร้างสมรรถนะขององค์การซีมีโอ และการดำเนินกิจกรรมระดับภูมิภาคในโอกาสครบรอบ ๕๐ ปี องค์การซีมีโอ เป็นต้น ๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการในฐานะประธานสภาซีเมคได้กล่าวนำในการประชุมโต๊ะกลมระดับรัฐมนตรี หัวข้อ ซีมีโอในทศวรรษหน้า (Ministerial Round-table Meeting on SEAMEO in the Next Decade) เกี่ยวกับความมุ่งมั่นขององค์การซีมีโอในการพัฒนาและปรับเปลี่ยนแนวทางการทำงานให้ก้าวทันกระแสโลกมาโดยตลอด รวมทั้งพยายามกำหนดวิสัยทัศน์ในการมองไปข้างหน้า และในการประชุมครั้งนี้ได้อ้างอิงตาม ๗ ประเด็นของที่ประชุมหารือเชิงยุทธศาสตร์ระดับรัฐมนตรีศึกษาของซีมีโอ เมื่อเดือนกันยายน ๒๕๕๗ ที่ สปป.ลาว ทั้งนี้ ที่ประชุมโต๊ะกลมฯ มีข้อเสนอแนะ ๕ ประเด็น ได้แก่ (๑) การใช้ประโยชน์จากศูนย์ระดับภูมิภาคของซีมีโอ จำนวน ๒๑ แห่ง (๒) การเชื่อมโยง ๗ ประเด็นระดับภูมิภาคไปสู่การให้การศึกษาเพื่อการเป็นพลเมืองโลกที่มีคุณภาพ (๓) การสนับสนุนการพัฒนาครูและการสร้างมาตรฐานสมรรถนะของครูโดยใช้เวทีการพระราชทานรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรีเนื่องในโอกาสวันครูโลกเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ร่วมกัน (๔) การสนับสนุนการเคลื่อนย้ายแลกเปลี่ยนด้านความรู้และทักษะฝีมือในทุกระดับ และ (๕) การส่งเสริมบทบาทสถาบันครอบครัวในการจัดการศึกษา นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการของไทยได้กล่าวเน้นย้ำถึงการลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา การพัฒนาคุณภาพครู และการส่งเสริมการฝึกอบรมในสายอาชีพเพื่อพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศให้สามารถเตรียมความพร้อมสู่การมีงานทำในตลาดโลก ๓. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้ประชุมหารือทวิภาคีกับ ๕ ประเทศ ได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซีย สปป.ลาว อินโดนีเซีย และติมอร์-เลสเต ซึ่งเน้นส่งเสริมการจัดอาชีวศึกษาและมองว่าประเทศไทยควรเป็นศูนย์กลางในการจัดอาชีวศึกษาโดยมีความร่วมมือกับภาคเอกชน และจากการหารือครั้งนี้ทำให้ประเทศต่าง ๆ ให้ความสนใจที่จะเข้ามาศึกษาดูงานเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์และความรู้ด้านการจัดอาชีวศึกษาของไทย รวมถึงมาเลเซียซึ่งให้ความสนใจมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐหรือมหาวิทยาลัยนอกระบบของไทย โดยขอศึกษาดูงานที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
|
||||||||||||||||||||||||
23483 | รายงานผลการประชุม 22nd Intergovernmental Meeting of the Coordinating Body on the Seas of East Asia (COBSEA IGM) | ทส | 23/06/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมระหว่างรัฐบาลของสมาชิกองค์กรสิ่งแวดล้อมทางทะเลของภูมิภาคเอเชียตะวันออก สมัยที่ ๒๒ (22nd Intergovernmental Meeting of the Coordinating Body on the Seas of East Asia : COBSEA IGM) ระหว่างวันที่ ๒๗-๒๘ เมษายน ๒๕๕๘ ณ กรุงเทพมหานคร ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมได้มีการพิจารณาในหัวข้อ (๑) การรายงานผลการดำเนินกิจกรรมของ COBSEA ระหว่างปี ค.ศ. ๒๐๑๓-๒๐๑๔ (๒) ประเทศที่ตั้งสำนักเลขาธิการ COBSEA (๓) แผนงานและงบประมาณของ COBSEA สำหรับปี ค.ศ. ๒๐๑๕-๒๐๑๖ (๔) สถานะปัจจุบันของโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนสิ่งแวดล้อมโลก ซึ่งประกอบด้วยโครงการ Implementing the Strategic Action Programme for the South China Sea และโครงการ Establishment and Operation of a Regional System of Fisheries Refugia in the South China Sea and Gulf of Thailand และ (๕) ร่างระเบียบทางการเงิน (Financial rules and procedures for COBSEA) ๒. การพิจารณาประเทศที่ตั้งสำนักเลขาธิการ COBSEA ที่ประชุมได้ใช้วิธีการลงคะแนนเสียงลับ โดยผลการลงคะแนนเสียง ครั้งที่ ๑ ประเทศไทยได้รับคะแนนเสียง ๔ คะแนน สาธารณรัฐประชาชนจีนได้รับคะแนนเสียง ๓ คะแนน และสาธารณรัฐเกาหลีได้รับคะแนนเสียง ๑ คะแนน และเนื่องจากไม่มีประเทศที่ได้รับคะแนนเสียงแบบเด็ดขาด จึงต้องมีการลงคะแนนเสียงครั้งที่ ๒ ซึ่งผลการลงคะแนนเสียงครั้งที่ ๒ ประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีนได้รับคะแนนเสียงเท่ากัน คือ ๔ คะแนน ด้วยการลงคะแนนเสียงที่เท่ากันของทั้ง ๒ ประเทศ จึงจำเป็นต้องให้ประธานการประชุมจับสลากรายชื่อประเทศที่จะได้รับเลือกให้เป็นประเทศที่ตั้งสำนักเลขาธิการ COBSEA ซึ่งประเทศไทยได้รับคัดเลือกให้เป็นเจ้าภาพสำนักเลขาธิการ COBSEA จากผลการจับสลากดังกล่าว ๓. จากการที่ประเทศสมาชิกยังไม่ได้ยืนยันการเพิ่มเงินสนับสนุนครบตามจำนวนที่ได้ตกลงในที่ประชุมระหว่างรัฐบาลของ COBSEA สมัยที่ ๒๑ ประเทศสมาชิกจึงต้องร่วมกันหาแนวทางแก้ไขเพื่อให้ COBSEA มีงบประมาณในการสนับสนุนการดำเนินงานที่เพียงพอและมีสถานะทางการเงินที่เข้มแข็งต่อไป โดยที่ประชุมขอให้ประเทศสมาชิกพิจารณาเพิ่มเงินสนับสนุนอย่างน้อยตามจำนวนที่ระบุในมติที่ประชุมระหว่างรัฐบาลของ COBSEA สมัยที่ ๒๑ ๔. ที่ประชุมได้กำหนดจัดประชุม Extra-ordinary Intergovernmental Meeting of COBSEA ครั้งที่ ๒ ประมาณต้นปี พ.ศ. ๒๕๕๙ และการประชุม 23rd Intergovernmental Meeting of COBSEA ในปี พ.ศ. ๒๕๖๐ โดยโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Environment Programme : UNEP) จะประสานกับประเทศสมาชิกเพื่อพิจารณารับเป็นประเทศเจ้าภาพในการจัดประชุมทั้งสองรายการดังกล่าวต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
23484 | รายงานการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือนเมษายน ปี 2558 | พณ | 23/06/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือนเมษายน ปี ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
๑. สถานการณ์การค้าระหว่างประเทศของไทย การส่งออกเดือนเมษายน ๒๕๕๘ สถานการณ์ในภาพรวมส่งสัญญาณการฟื้นตัวที่ดีขึ้น โดยชะลอตัวในอัตราที่ลดลงและยังคงรักษาส่วนแบ่งการตลาด (Market Share) ในตลาดสำคัญไว้ได้ โดยมูลค่าการค้าระหว่างประเทศในรูปของเงินดอลลาร์สหรัฐ การส่งออกเดือนเมษายน ๒๕๕๘ มีมูลค่า ๑๖,๙๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ ๑.๗๐ การนำเข้ามีมูลค่า ๑๗,๔๒๓ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ ๖.๘๔ ส่วนมูลค่าการค้าระหว่างประเทศในรูปของเงินบาท การส่งออกเดือนเมษายน ๒๕๕๘ มีมูลค่า ๕๔๘,๔๖๑ ล้านบาท ลดลงร้อยละ ๐.๕๐ การนำเข้ามีมูลค่า ๕๗๒,๒๘๔ ล้านบาท ลดลงร้อยละ ๕.๖๖ สำหรับการส่งออกสินค้าเกษตร/อุตสาหกรรมเกษตรเดือนเมษายน ๒๕๕๘ ลดลงร้อยละ ๓.๙ ตามทิศทางของราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลกที่ยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมเดือนเมษายน ๒๕๕๘ ลดลงร้อยละ ๐.๓ จากปัจจัยหลักคือ ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ยังคงปรับตัวลดลง ๒. ปัจจัยที่มีผลต่อการส่งออกของไทย การส่งออกของไทยที่ยังคงหดตัวเกิดจากภาพรวมเศรษฐกิจโลกและตลาดคู่ค้าหลักในปัจจุบันที่ชะลอตัว เนื่องจากกำลังซื้อในตลาดโลกยังคงลดลง โดยเฉพาะสหภาพยุโรป จีน ญี่ปุ่น และอาเซียนที่มีมูลค่าการนำเข้ารวมจากทั่วโลกลดลงอย่างมากส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทย ๓. แนวโน้มการส่งออกของไทยไตรมาส ๒ ของปี ๒๕๕๘ แบ่งสถานการณ์เป็น ๓ กลุ่ม คือ (๑) สินค้าที่ขยายตัวในช่วงไตรมาส ๑ ของปี ๒๕๕๗ และคาดว่ามีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องในช่วงไตรมาส ๒ ของปี ๒๕๕๘ ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ อัญมณีและเครื่องประดับ ไม่รวมทองคำ แผงวงจรไฟฟ้า เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบอื่น ๆ จักรยานยนต์อุปกรณ์และส่วนประกอบ ไก่สดแช่แข็งและแปรรูป น้ำตาลทราย และปูนซีเมนต์ เป็นต้น (๒) สินค้าที่เริ่มปรับตัวดีขึ้นและมีสัญญาณการกลับมาฟื้นตัวในช่วงไตรมาส ๒ ของปี ๒๕๕๘ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ไก่แปรรูป และทองคำ เป็นต้น และ (๓) สินค้าที่มีแนวโน้มชะลอตัว ได้แก่ ยางพารา เคมีภัณฑ์ เม็ดและผลิตภัณฑ์พลาสติก น้ำมันสำเร็จรูป ผลิตภัณฑ์ยาง และอาหารทะเลแช่แข็งและแปรรูป
|
||||||||||||||||||||||||
23485 | แผนปฏิบัติการเกี่ยวกับการคุ้มครองและส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น | วธ | 23/06/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแผนปฏิบัติการเกี่ยวกับการคุ้มครองและส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ ดังนี้
๑. แผนปฏิบัติการโครงการสืบทอดประเพณี ส่งเสริมค่านิยมและความเป็นไทย วงเงินงบประมาณจำนวน ๑๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยจัดทำโครงการสืบทอดและส่งเสริมมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่ได้รับการขึ้นทะเบียนแล้ว ด้วยการให้งบสนับสนุนทุกจังหวัดในการจัดกิจกรรมที่จะอนุรักษ์ ถ่ายทอด หรือเผยแพร่รายการมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่ขึ้นทะเบียนแล้วในจังหวัดของตนให้เด็ก เยาวชน และชุมชนได้ตระหนักถึงความสำคัญและมีส่วนร่วมในการสืบทอดมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมดังกล่าวให้สืบเนื่องต่อไป อีกทั้งเพื่อให้เกิดความเชื่อมโยงเป็นเครือข่ายกับภาครัฐและนำไปสู่การพัฒนามรดกภูมิปัญญาเหล่านี้ให้เป็นทุนทางวัฒนธรรมที่มีคุณค่าและเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจต่อไป ๒. แผนปฏิบัติการโครงการเงินอุดหนุนในการดำเนินงานจัดเก็บข้อมูลมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม วงเงินงบประมาณจำนวน ๑๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยจัดทำโครงการจัดเก็บข้อมูลมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมด้วยการให้งบอุดหนุนในการเก็บข้อมูลภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่ได้รับการขึ้นทะเบียนแล้วหรือที่ใกล้จะสูญหาย โดยสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชนและผู้ปฏิบัติ สืบทอด โดยมีนักวิชาการเป็นหลัก เพื่อจัดทำเป็นฐานข้อมูลมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่สำคัญของประเทศ ๓. แผนปฏิบัติการโครงการปกป้องมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม วงเงินงบประมาณจำนวน ๑๕,๘๓๕,๐๐๐ บาท มีกิจกรรมที่สำคัญ ประกอบด้วย (๑) การขึ้นทะเบียนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมเพื่อเก็บรวบรวมและขึ้นทะเบียนรายชื่อมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่มีอัตลักษณ์โดดเด่นทั้งในระดับชุมชนและระดับประเทศของไทย และ (๒) การคัดเลือกชุมชน/หน่วยงานที่มีการสืบสานมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมดีเด่น (Best Practice) เพื่อเป็นการให้กำลังใจและยกย่องชุมชน/หน่วยงานดีเด่นให้เป็นแบบอย่างแก่ชุมชน/หน่วยงานอื่นในเรื่องการบริหารจัดการที่เป็นระบบและมีผลต่อการสืบทอดดำรงอยู่ของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมในชุมชนนั้น
|
||||||||||||||||||||||||
23486 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างและขยายทางหลวงท้องถิ่น สายเชื่อมระหว่างถนนดำรงรักษ์กับถนนบำรุงเมือง สายเชื่อมระหว่างสายเชื่อมดังกล่าวกับถนนจักรพรรดิพงษ์ และ ตรอกโรงเลี้ยงเด็ก พ.ศ. .... | มท | 23/06/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างและขยายทางหลวงท้องถิ่น สายเชื่อมระหว่างถนนดำรงรักษ์กับถนนบำรุงเมือง สายเชื่อมระหว่างสายเชื่อมดังกล่าวกับถนนจักรพรรดิพงษ์ และตรอกโรงเลี้ยงเด็ก พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างและขยายทางหลวงท้องถิ่น สายเชื่อมระหว่างถนนดำรงรักษ์กับถนนบำรุงเมือง สายเชื่อมระหว่างสายเชื่อมดังกล่าวกับถนนจักรพรรดิพงษ์ และตรอกโรงเลี้ยงเด็ก ในท้องที่แขวงคลองมหานาค เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. มอบให้กระทรวงมหาดไทยรับไปดำเนินการในการกำหนดเงินค่าทดแทนให้แก่เจ้าของและผู้ครอบครองนั้น ไม่สามารถคำนวณเงินค่าทดแทนย้อนหลังไปถึงวันตราพระราชกฤษฎีกาฉบับแรกได้ เพราะจะก่อให้เกิดการกำหนดราคาที่ไม่เป็นธรรมแก่ผู้ถูกเวนคืนอันเป็นการขัดต่อบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๐ ตามข้อสังเกตของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
23487 | ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัย ราชภัฏกำแพงเพชร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ศธ | 23/06/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดปริญญาในสาขาวิชาและอักษรย่อสำหรับสาขาวิชา รวมทั้งสีประจำสาขาวิชา ของสาขาวิชานิเทศศาสตร์และสาขาวิชาสถาปัตยกรรมศาสตร์ เพิ่มขึ้น ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
23488 | ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัย ราชภัฏพิบูลสงคราม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ศธ | 23/06/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดปริญญาในสาขาวิชาและอักษรย่อสำหรับสาขานิเทศศาสตร์ สาขาวิชารัฐศาสตร์ และสาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ เพิ่มขึ้น ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
23489 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดอุทัยธานี พ.ศ. .... | มท | 23/06/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดอุทัยธานี พ.ศ. .... มีสาระสำคัญให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่จังหวัดอุทัยธานี เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา และการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
23490 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมและยกเว้นค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับบัตรประจำตัวประชาชน พ.ศ. .... | มท | 23/06/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมและยกเว้นค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับบัตรประจำตัวประชาชน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการออกบัตรใหม่ กรณีบัตรหายหรือถูกทำลาย บัตรชำรุดในสาระสำคัญ หรือแก้ไขชื่อตัว ชื่อสกุล หรือชื่อตัวและชื่อสกุลในทะเบียนบ้าน หรือย้ายที่อยู่ จากเดิมฉบับละ ๒๐ บาท เป็นฉบับละ ๑๐๐ บาท เพื่อให้สอดคล้องกับค่าใช้จ่ายในการผลิตและจัดทำบัตรประจำตัวประชาชนที่สูงขึ้น รวมทั้งให้อธิบดีกรมการปกครองมีอำนาจพิจารณาประกาศให้เขตท้องที่ใดท้องที่หนึ่งในเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินเป็นเขตยกเว้นค่าธรรมเนียมดังกล่าว ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
23491 | รายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง สิทธิในกระบวนการยุติธรรม กรณีคำร้องที่มีการกล่าวอ้างว่ามีการกระทำทรมานและการปฏิบัติหรือการลงโทษอื่นที่ไร้มนุษยธรรมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ | สม | 23/06/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง สิทธิในกระบวนการยุติธรรม กรณีคำร้องที่มีการกล่าวอ้างว่ามีการกระทำทรมานและการปฏิบัติหรือการลงโทษอื่นที่ไร้มนุษยธรรมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเสนอ โดยมีข้อเสนอแนะนโยบาย ดังนี้ ๑.๑ ควรกำชับให้กับเจ้าหน้าที่ในระดับปฏิบัติ ปฏิบัติหน้าที่โดยยึดถือมาตรการการแก้ไขปัญหาที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเคยเสนอไว้ตามรายงานผลการตรวจสอบที่ ๒๗๕-๓๐๘/๒๕๕๓ ลงวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๕๓ (๓๔ คำร้อง) และรายงานผลการตรวจสอบที่ ๖๗-๘๙/๒๕๕๕ ลงวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ (๒๓ คำร้อง) อย่างเคร่งครัด ๑.๒ ควรประสานความร่วมมือจากแพทย์ของโรงพยาบาลรัฐประจำจังหวัดให้เป็นผู้ทำหน้าที่ตรวจร่างกายและจัดทำบันทึกการตรวจร่างกายไว้เป็นหลักฐานก่อนเพื่อแสดงความโปร่งใส โดยดำเนินการก่อนที่จะมีการควบคุมตัวผู้ที่ถูกเชิญตัวมาซักถาม ๑.๓ ควรเร่งรัดการอนุวัติกฎหมายภายในให้เป็นไปตามอนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการประติบัติหรือการลงโทษอื่นที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรมหรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี และอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการป้องกันบุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญโดยถูกบังคับเพื่อป้องกันการทรมานและการลงโทษและการปฏิบัติอย่างทารุณ ผิดมนุษย์หรือลดทอนความเป็นมนุษย์อย่างครอบคลุมและครบถ้วน ๑.๔ ควรร่วมกันพัฒนาระบบการเข้าเยี่ยมสถานที่ซึ่งทำให้บุคคลเสื่อมเสียซึ่งอิสรภาพเพื่อป้องกันการทรมานและการลงโทษและการปฏิบัติอย่างทารุณ ผิดมนุษย์หรือลดทอนความเป็นมนุษย์ ๒. ให้กระทรวงกลาโหม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร รับข้อเสนอแนะนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมายของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติดังกล่าวไปพิจารณาว่าสมควรจะดำเนินการตามข้อเสนอแนะนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมายฯ ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้หรือไม่ประการใดก่อน โดยให้กระทรวงกลาโหมเป็นหน่วยงานกลางในการรวบรวมผลการดำเนินการแล้วแจ้งผลการดำเนินการดังกล่าวให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
23492 | รายงานผลการพิจารณาคำร้องที่ขอให้เสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง สิทธิชุมชน กรณีขอให้พิจารณาตรวจสอบความถูกต้องในการออกประกาศกำหนดประเภทโครงการหรือกิจการที่อาจมีผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อมทรัพยากรธรรมชาติ และสุขภาพ ตามมาตรา 67 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 และติดตามตรวจสอบความคืบหน้า ในการดำเนินงานของรัฐบาลและความจริงจังในการแก้ไขปัญหาผลกระทบจากการพัฒนาอุตสาหกรรมที่มาบตาพุดและจังหวัดระยอง | สม | 23/06/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง สิทธิชุมชน กรณีขอให้พิจารณาตรวจสอบความถูกต้องในการออกประกาศกำหนดประเภทโครงการหรือกิจการที่อาจมีผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ และสุขภาพ ตามมาตรา ๖๗ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ และติดตามตรวจสอบความคืบหน้าในการดำเนินงานของรัฐบาลและความจริงจังในการแก้ไขปัญหาผลกระทบจากการพัฒนาอุตสาหกรรมที่มาบตาพุดและจังหวัดระยอง และผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ซึ่งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติ) ได้ประชุมเรื่อง การพิจารณารายงานผลการพิจารณาคำร้องที่ขอให้เสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง สิทธิชุมชนฯ เมื่อวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๕๘ โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๑๑ กระทรวง เข้าร่วมประชุม โดยรับข้อเสนอแนะและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมายของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนไปเป็นแนวทางปฏิบัติแล้ว และได้รายงานผลการพิจารณาเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมายดังกล่าว พร้อมกับผลการพิจารณาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
23493 | ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | คค | 23/06/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขปรับปรุงพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๐ โดยเพิ่มวัตถุประสงค์ในการเวนคืนและให้รัฐสามารถนำที่ดินที่เหลือจากการใช้ตามวัตถุประสงค์ของการเวนคืนไปใช้ในเพื่อแก้ไขปัญหาทางสังคมหรือเพื่อประโยชน์ด้านสวัสดิการของรัฐ การยื่นคำร้องขอรังวัดต่อเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายที่ดินแทนเจ้าของหรือผู้ครอบครองได้ การให้กรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ตกเป็นของเจ้าหน้าที่นับแต่วันที่เจ้าของหรือผู้ครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมายได้รับเงินค่าทดแทนที่เจ้าหน้าที่ได้วางไว้ เพิ่มเติมให้ผู้อยู่อาศัยหรือประกอบการค้าขาย หรือการงานอยู่ในอสังหาริมทรัพย์ที่ถูกเวนคืนมีสิทธิการได้รับค่าทดแทน กำหนดระยะเวลาการยื่นคำร้องและพิจารณาคำร้อง และสิทธิในการอุทธรณ์เกี่ยวกับการร้องขอจัดให้ซื้อโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างส่วนที่เหลือจากการเวนคืนซึ่งใช้การไม่ได้ หรือที่ดินส่วนที่เหลืออยู่จากการเวนคืน ปรับปรุงหลักเกณฑ์ในการกำหนดค่าทดแทนเพื่อให้เป็นธรรมมากขึ้น ตลอดจนการขยายระยะเวลาการยื่นอุทธรณ์การได้รับเงินค่าทดแทนและการพิจารณาอุทธรณ์ รวมทั้งการขยายระยะเวลาการฟ้องคดีในกรณีที่ผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนไม่พอใจคำวินิจฉัยอุทธรณ์ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ๒. ให้ตัดคำว่า “ใช้การไม่ได้” ในร่างมาตรา ๘ แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา ๒๐ ออก เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในการตีความของหน่วยงานที่ต้องปฏิบัติในการเวนคืน แล้วส่งร่างพระราชบัญญัติฯ ให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
23494 | การจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดตั้งมหาวิทยาลัยนาลันทา | กต | 23/06/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๘ มาตรา ๔ (๙) โดยให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ (เรื่อง ร่างเอกสารที่จะมีการรับรองหรือลงนามระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๒๓ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง) ซึ่งได้เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดตั้งมหาวิทยาลัยนาลันทา แต่ต่อมาประเทศอินเดียได้ขอแก้ไขบันทึกความเข้าใจในประเด็นการระงับข้อพิพาท โดยเพิ่มเนื้อหา ข้อ ๘ เรื่อง การระงับข้อพิพาท ซึ่งระบุว่า ข้อพิพาทอันเกิดจากการตีความและการปฏิบัติใช้ของบันทึกความเข้าใจฉบับนี้ ให้แก้ไขด้วยการหารือ กระทรวงการต่างประเทศจึงได้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติบันทึกความเข้าใจที่ปรับใหม่ โดยคณะรัฐมนตรีไม่ขัดข้องในการปรับแก้ไขและอนุมัติการจัดทำบันทึกความเข้าใจฯ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒. อนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดตั้งมหาวิทยาลัยนาลันทา โดยหากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงถ้อยคำของบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญเพื่อให้สอดคล้องกับผลประโยชน์และนโยบายของไทย ก็ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ |
||||||||||||||||||||||||
23495 | ร่างความตกลงระหว่างองค์การสวนสัตว์แห่งราชอาณาจักรไทย และสมาคมอนุรักษ์สัตว์ป่าแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน เรื่อง การขยายเวลาความร่วมมือในด้านการวิจัยและอนุรักษ์หมีแพนด้า | ทส | 23/06/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบและอนุมัติการจัดทำความตกลงระหว่างองค์การสวนสัตว์แห่งราชอาณาจักรไทย และสมาคมอนุรักษ์สัตว์ป่าแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน เรื่อง การขยายเวลาความร่วมมือในด้านการวิจัยและอนุรักษ์หมีแพนด้า โดยร่างความตกลงฯ มีความมุ่งหมายที่จะส่งเสริมให้ความร่วมมือระหว่างไทยและจีนในการวิจัยและอนุรักษ์หมีแพนด้าดำเนินการต่อไป โดยขยายเวลาการอาศัยอยู่ของหมีแพนด้า “ช่วงช่วง” และ “หลินฮุ่ย” ในประเทศไทยตั้งแต่เดือนตุลาคม ๒๕๕๖ เป็นต้นไป จนถึงวันที่โครงการความร่วมมือในการอนุรักษ์และวิจัยรอบใหม่จะเริ่มต้น หรือจนถึงเดือนตุลาคม ๒๕๖๖ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขถ้อยคำในร่างความตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหารือร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศพิจารณาดำเนินการโดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง ๑.๒ เห็นชอบให้ประธานกรรมการองค์การสวนสัตว์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามความตกลงฯ ๑.๓ มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้ประธานกรรมการองค์การสวนสัตว์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายที่ฝ่ายไทยต้องสนับสนุนเงินเพื่อเป็นกองทุนสำหรับการอนุรักษ์หมีแพนด้าของสาธารณรัฐประชาชนจีนตามข้อตกลงฯ ปีละ ๕๐๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ จำนวน ๒ ปี รวมทั้งสิ้น ๑,๐๐๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๕๘ ที่องค์การสวนสัตว์ได้รับการจัดสรรงบประมาณไว้แล้ว ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการจัดทำความตกลงฯ หากมีการจัดทำเป็นคู่ฉบับภาษาอังกฤษและภาษาจีน ก็ควรยืนยันให้มีการจัดทำความตกลงฯ เป็นคู่ฉบับภาษาไทยด้วย รวมทั้งเห็นควรเร่งดำเนินการจัดทำความตกลงฯ โดยเร็ว เนื่องจากรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนได้มอบหมีแพนด้า (Giant Panda) ให้ประเทศไทยในฐานะทูตสันถวไมตรีเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศประกอบกับความตกลงฯ ฉบับเดิมได้สิ้นสุดลงตั้งแต่เดือนตุลาคม ๒๕๕๖ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
23496 | ท่าทีไทยสำหรับการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้าระหว่างไทย - มาเลเซีย ครั้งที่ 2 | พณ | 23/06/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการต่อประเด็นความร่วมมือทางเศรษฐกิจการค้าสำหรับการหารือกับมาเลเซีย ได้แก่ การตั้งเป้าหมายการค้าสองฝ่าย การส่งเสริมการค้าชายแดน การลดอุปสรรคทางการค้าและการอำนวยความสะดวกทางการค้า ความร่วมมือเรื่องเขตเศรษฐกิจพิเศษ ความร่วมมือด้านฮาลาล ความร่วมมือด้านยางพารา และความร่วมมือภาคเอกชน และมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ใช้เป็นกรอบการหารือสำหรับการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint Trade Committee : JTC) ไทย-มาเลเซีย ครั้งที่ ๒ ระหว่างวันที่ ๒๘-๒๙ มิถุนายน ๒๕๕๘ ณ กรุงเทพมหานคร ๑.๒ หากในการประชุมดังกล่าวมีผลให้มีการตกลงเรื่องความร่วมมือด้านเศรษฐกิจการค้าในประเด็นอื่น ๆ อันจะเป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจการค้าสองฝ่ายระหว่างไทย-มาเลเซีย ให้กระทรวงพาณิชย์และคณะผู้แทนไทยที่เข้าร่วมการประชุมดังกล่าวสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ๑.๓ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายรับรองผลการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint Trade Committee : JTC) ไทย-มาเลเซีย ครั้งที่ ๒ รวมถึงเอกสารอื่น ๆ ที่เป็นผลจากการหารือขยายความร่วมมือเฉพาะด้าน (หากมี) ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงคมนาคม กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรผลักดันการดำเนินการในประเด็นความร่วมมือด้านการขนส่งทางถนนระหว่างไทย-มาเลเซีย เพื่อให้การแก้ไขปัญหาการขนส่งทางถนนระหว่างสองประเทศลุล่วงโดยเร็ว และเห็นควรจัดตั้งคณะทำงานร่วมกันเพียงคณะเดียวเพื่อลดขั้นตอน ความซ้ำซ้อนในการดำเนินงาน และเพื่อขจัดความล่าช้าในการพิจารณาประเด็นต่าง ๆ เพื่อให้ได้ข้อสรุปจากทั้งฝ่ายไทยและมาเลเซีย รวมทั้งควรมีการพิจารณาการส่งเสริม สนับสนุนให้ครอบคลุมในเรื่องต่าง ๆ ที่นอกเหนือจากสินค้าฮาลาล เช่น การทำธุรกิจฮาลาล การบริการฮาลาล และผลักดันความร่วมมือด้านยางพาราให้เกิดผลในทางปฏิบัติอย่างจริงจังในด้านการส่งเสริมการสร้างเครือข่ายและการผลิตระหว่างกัน การทำวิจัยร่วมกันเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ยางพารา และการสร้างเสริมความเข้าใจระหว่างไทยและมาเลเซียให้เป็นพันธมิตรทางการค้าการผลิตมากกว่าคู่แข่งทางการค้า นอกจากนี้ ควรให้ข้อมูลความก้าวหน้าในการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษของไทยบริเวณชายแดนไทยกับมาเลเซีย ได้แก่ เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษสงขลา เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษนราธิวาส และเชิญชวนนักลงทุนมาเลเซียที่สนใจมาร่วมลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษดังกล่าว พร้อมทั้งติดตามความก้าวหน้าในการจัดทำข้อเสนอการจัดตั้งแนวพื้นที่ยางพารา (Rubber Corridor) เชื่อมโยงระหว่างสามประเทศตามแนวพื้นที่เศรษฐกิจ IMT-GT จากฝ่ายมาเลเซียเพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านยางพารา และพิจารณาเพิ่มความร่วมมือด้านอื่น ๆ ที่จะส่งผลต่อการเพิ่มมูลค่าการค้าทั้งของไทยและมาเลเซีย เช่น ความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างไทยและมาเลเซีย เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
23497 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 ของการรถไฟแห่งประเทศไทย | คค | 23/06/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปลี่ยนแปลงชื่อและเป้าหมายโครงการ จากเดิม โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงสุราษฎร์ธานี-ปาดังเบเซาร์ รายการค่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อศึกษาความเหมาะสม สำรวจ ออกแบบรายละเอียดและจัดทำรายงานการวิเคราะห์สิ่งแวดล้อม เป็น โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงสุราษฎร์ธานี-ชุมทางหาดใหญ่-สงขลา รายการค่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อศึกษาความเหมาะสม สำรวจ ออกแบบรายละเอียดและจัดทำรายงานการวิเคราะห์สิ่งแวดล้อม สำหรับงบประมาณในการดำเนินโครงการฯ ให้ รฟท. เปลี่ยนแปลงรายการผูกพันข้ามปีงบประมาณตามนัยข้อ ๗ (๓) ของระเบียบการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๓๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ภายในกรอบวงเงิน ๒๗๖,๘๐๐,๐๐๐ บาท ตามผลการจัดหา ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ให้ รฟท. ถือปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีให้ถูกต้องครบถ้วน และติดตามการดำเนินโครงการฯ เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณเป็นไปตามแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปี และให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงข่ายรถไฟและสิ่งอำนวยความสะดวกตามแนวเส้นทางให้สามารถเชื่อมโยงการขนส่งสินค้าทางรถไฟไปยังท่าเรือน้ำลึกในจังหวัดสงขลา รวมทั้งประสานกับสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร เพื่อพิจารณาความเหมาะสมของรูปแบบการเชื่อมโยงโครงข่ายและการเดินรถไฟทั้ง ๒ เส้นทางร่วมกัน เพื่อให้การเดินทางและขนส่งสินค้าระหว่างพื้นที่ดังกล่าวเป็นไปอย่างสะดวกและเกิดการใช้ประโยชน์โครงข่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ในการเสนอโครงการต่าง ๆ ในโอกาสต่อไป ให้กระทรวงคมนาคมตรวจสอบความพร้อมของโครงการที่อยู่ในความรับผิดชอบให้ละเอียดรอบคอบก่อนเสนอขออนุมัติดำเนินโครงการเพื่อมิให้เกิดปัญหาความซ้ำซ้อนของโครงการในลักษณะนี้อีก |
||||||||||||||||||||||||
23498 | การก่อหนี้ผูกพันค่าก่อสร้างศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษานครพนม จังหวัดนครพนม | ศธ | 23/06/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ยกเลิกโครงการก่อสร้างศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษานครพนม จังหวัดนครพนม โดยมีวงเงินค่าก่อสร้าง จำนวน ๓๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ๑.๒ โอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณที่ได้รับในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๕๘ จำนวน ๖๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ประกอบด้วย งบประมาณกันเหลื่อมปี พ.ศ. ๒๕๕๗ จำนวน ๔๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท และงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๘ จำนวน ๑๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท ไปเพื่อจัดซื้อครุภัณฑ์ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา จำนวน ๑๔ รายการ จำนวนเงิน ๔๖,๔๓๗,๐๐๐ บาท และปรับปรุงสิ่งก่อสร้างของศูนย์วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมเพื่อการศึกษาร้อยเอ็ด จำนวน ๔ รายการ จำนวนเงิน ๑๒,๔๗๒,๐๐๐ บาท ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการจัดหาครุภัณฑ์และดำเนินการปรับปรุงสิ่งก่อสร้างดังกล่าว ให้สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน และขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป ทั้งนี้ รายการที่ดำเนินการใหม่จะต้องมีความพร้อมและสามารถก่อหนี้ผูกพันได้ภายในวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๘ ไปประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
23499 | การให้ความช่วยเหลือเกษตรกรที่ยังไม่ได้เข้าร่วมมาตรการเพิ่มรายได้ให้แก่ผู้มีรายได้น้อยกรณีเกษตรกรภาคใต้ที่เพาะปลูกในช่วงเวลาหลังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ 3 เดือน และกรณีรายชื่อเกษตรกรตกหล่น | กษ | 23/06/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติขยายระยะเวลาให้เกษตรกรในจังหวัดภาคใต้ที่มีการเพาะปลูกข้าวในช่วงหลังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ในระยะ ๓ เดือน (ตุลาคม-ธันวาคม ๒๕๕๗) ที่ขึ้นทะเบียนไว้กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จำนวน ๓๗,๔๐๒ ครัวเรือน สามารถเข้าร่วมมาตรการเพิ่มรายได้ให้แก่ผู้มีรายได้น้อยได้ สำหรับกรณีเกษตรกรที่รายชื่อตกหล่น จำนวน ๒,๐๙๑ ครัวเรือน ซึ่งยังไม่สามารถเข้าร่วมมาตรการฯ ได้ ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ตรวจสอบข้อมูลเกษตรกรกลุ่มดังกล่าวให้ถูกต้อง เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดก่อนแล้วจ่ายเงินช่วยเหลือเฉพาะเกษตรกรรายที่มีผลการตรวจสอบถูกต้องเท่านั้น ๒. ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานผลการดำเนินงานตามมาตรการเพิ่มรายได้ให้แก่ผู้มีรายได้น้อยว่า เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของมาตรการและมีผลเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศหรือไม่อย่างไร ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทยเร่งดำเนินการตามมาตรการฯ ให้ครบทุกพื้นที่โดยเร็ว โดยให้ตรวจสอบบัญชีการดำเนินการให้ถูกต้อง ครบถ้วน และให้กระทรวงการคลัง โดย ธ.ก.ส. ขออนุมัติตั้งงบประมาณชดใช้คืนเงินตามที่จ่ายจริงพร้อมดอกเบี้ยให้ครบถ้วนต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงการคลัง โดย ธ.ก.ส. รับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐที่เห็นควรดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย มติคณะรัฐมนตรี และระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง อย่างโปร่งใส เป็นธรรม และสามารถตรวจสอบได้ รวมทั้งเข้มงวดกับการตรวจสอบและรับรองสิทธิ และข้อมูลการใช้สิทธิอย่างละเอียดและรอบคอบ โดยจะต้องเป็นเกษตรกรที่ได้ขึ้นทะเบียนกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และเปิดบัญชีกับ ธ.ก.ส. ไว้แล้ว เพื่อไม่ให้เกิดความคลาดเคลื่อนในการดำเนินงานในภายหลัง และเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวได้อย่างถูกต้องและครบถ้วน ทั้งนี้ หากตรวจพบว่ามีการแจ้งข้อมูลเท็จ และรับเงินเกินสิทธิ์ ให้คณะกรรมการบริหารมาตรการเพิ่มรายได้ให้แก่ผู้มีรายได้น้อย ระดับจังหวัด เป็นผู้ดำเนินการแจ้งความและดำเนินคดีจนกว่าคดีเป็นที่สุด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
23500 | ขอความเห็นชอบหลักการกรณีที่องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ และหน่วยงานที่ไม่อยู่ภายใต้กำกับของฝ่ายบริหาร เสนอเรื่องขออนุมัติงบกลาง รายการ เงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นให้สำนักงบประมาณพิจารณาดำเนินการ | นร05 | 23/06/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการกรณีที่องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ และหน่วยงานที่ไม่อยู่ภายใต้กำกับของฝ่ายบริหาร เสนอเรื่องขออนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นให้สำนักงบประมาณพิจารณาดำเนินการ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. ในกรณีที่องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ องค์กรอื่นตามรัฐธรรมนูญหรือหน่วยงานที่ไม่ได้อยู่ในบังคับบัญชาหรือกำกับดูแลของฝ่ายบริหาร เสนอเรื่องขออนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งเรื่องดังกล่าวให้สำนักงบประมาณพิจารณาดำเนินการนัยมติคณะรัฐมนตรี (๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๘) ก่อนเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป ๒. มอบให้สำนักงบประมาณกำหนดแนวทางปฏิบัติในเรื่องนี้ให้ชัดเจนต่อไป แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรี เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติต่อไป
|
.....