ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1177 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 23521 - 23540 จากข้อมูลทั้งหมด 124231 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
23521 | การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) (สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ) (นายประสาท พาศิริ) | กร | 21/07/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายประสาท พาศิริ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ตั้งแต่วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๘ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
23522 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (สำนักนายกรัฐมนตรี) (นางสาวจินางค์กูร โรจนนันต์) | นร11 | 21/07/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนางสาวจินางค์กูร โรจนนันต์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผนงาน (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ ๙ มกราคม ๒๕๕๘ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
23523 | การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณสำหรับรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 ที่มีวงเงินรวมตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป รายการก่อสร้างสายทางเลี่ยงเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย ส่วนที่ 1 | คค | 21/07/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณสำหรับรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ที่มีวงเงินรวมตั้งแต่ ๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไป รายการก่อสร้างสายทางเลี่ยงเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย ส่วนที่ ๑ ระหว่าง กม. ๐+๐๐๐.๐๐๐-กม.๙+๐๒๕.๐๐๐ ระยะทางยาวประมาณ ๙.๐๒๕ กิโลเมตร ในวงเงิน ๙๐๒,๒๗๑,๑๑๑ บาท ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐที่เห็นว่า การกำหนดราคากลางใกล้เคียงกับวงเงินที่อนุมัติ รวมทั้งผลการดำเนินการต่ำกว่าราคากลางและวงเงินที่อนุมัติในอัตราที่น้อยมาก หากสามารถต่อรองราคากับผู้รับจ้างให้ปรับลดราคาลงอีก จะเกิดความคุ้มค่าในการดำเนินการ ทั้งนี้ การดำเนินการทุกขั้นตอนการปฏิบัติจะต้องโปร่งใสและตรวจสอบได้ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
23524 | การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณสำหรับรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 ที่มีวงเงินรวมตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป รายการโครงการบูรณะโครงข่ายสายหลักระหว่างภาค ทางหลวงหมายเลข 1 สาย ตาก - พะเยา ตอน 3 (เถิน - ลำปาง) (เป็นตอน ๆ) จังหวัดลำปาง | คค | 21/07/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบกรณีกรมทางหลวงก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณสำหรับรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ที่มีวงเงินตั้งแต่ ๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไป รายการโครงการบูรณะโครงข่ายสายหลักระหว่างภาค ทางหลวงหมายเลข ๑ สาย ตาก-พะเยา ตอน ๓ (เถิน-ลำปาง) (เป็นตอน ๆ) จังหวัดลำปาง ในวงเงินทั้งสิ้น ๑,๐๔๕,๙๗๐,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐที่เห็นว่าโครงการดังกล่าวมีผลการดำเนินการต่ำกว่าราคากลาง และต่ำกว่าวงเงินที่อนุมัติน้อยมาก จึงควรต่อรองราคาให้ลดลงอีกเพื่อให้เกิดความคุ้มค่าในการดำเนินการ ทั้งนี้ การดำเนินการทุกขั้นตอนการปฏิบัติจะต้องโปร่งใสและตรวจสอบได้ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
23525 | รายงานผลการจัดจ้างและขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการค่าก่อสร้างอาคารเฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี | สกช | 21/07/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการจัดจ้างและขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการค่าก่อสร้างอาคารเฉลิมพระเกียรติ ๖๐ พรรษา สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ตามที่สภากาชาดไทย ดังนี้
๑. สภากาชาดได้ดำเนินการจ้างโดยวิธีประกวดราคาแล้ว ในวงเงิน ๑,๔๓๙,๐๐๐,๐๐๐ บาท และสำนักงบประมาณได้พิจารณาและเห็นชอบความเหมาะสมของราคาแล้ว โดยใช้จ่ายจากเงินงบประมาณ จำนวน ๑,๑๕๑,๒๐๐,๐๐๐ บาท และเงินนอกงบประมาณสมทบ จำนวน ๒๘๗,๘๐๐,๐๐๐ บาท โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ จำนวน ๑๙๐,๔๐๐,๓๐๐ บาท ส่วนที่ขาดอีก จำนวน ๙๖๐,๗๙๙,๗๐๐ บาท ให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ๒. เนื่องจากการก่อสร้างอาคารเฉลิมพระเกียรติ ๖๐ พรรษา สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มีระยะเวลาดำเนินการก่อสร้าง ๑,๒๘๐ วัน ซึ่งมีผลทำให้ระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณเกินกว่าที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้เดิมจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘-พ.ศ. ๒๕๖๑ เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘-พ.ศ. ๒๕๖๒ สภากาชาดไทยจึงได้ขออนุมัติขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณต่อนายกรัฐมนตรีด้วยแล้ว
|
||||||||||||||||||||||||
23526 | รายงานผลการพิจารณาเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง การเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ 87 ว่าด้วยเสรีภาพในการสมาคมและการคุ้มครองสิทธิในการรวมตัว และฉบับที่ 98 ว่าด้วยสิทธิในการรวมตัวและการร่วมเจรจาต่อรอง และ การอนุวัติกฎหมายภายใน | สม | 21/07/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการพิจารณาเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง การเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ ๘๗ ว่าด้วยเสรีภาพในการสมาคมและการคุ้มครองสิทธิในการรวมตัว และฉบับที่ ๙๘ ว่าด้วยสิทธิในการรวมตัวและการร่วมเจรจาต่อรอง และการอนุวัติกฎหมายภายใน ตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ควรมีนโยบายและแผนการที่ชัดเจนในการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ ๘๗ และฉบับที่ ๙๘ โดยไม่ต้องรอให้มีการแก้ไขกฎหมายภายใน ๑.๒ ควรร่วมกันบัญญัติกฎหมายหรือปรับปรุงกฎหมายเพื่อรองรับให้คนทำงานทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นแรงงานในระบบ แรงงานนอกระบบ ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ เป็นต้น มีสิทธิและเสรีภาพในการรวมตัว การนัดหยุดงาน และการเจรจาต่อรอง ๑.๓ ควรร่วมกันจัดทำระบบการจัดเก็บข้อมูลของแรงงานข้ามชาติทุกคนที่อยู่ในประเทศไทยในระบบทะเบียนราษฎร รวมทั้งควรมีระบบอำนวยความสะดวกให้แรงงานข้ามชาติเข้าเมืองผิดกฎหมายที่มีคุณสมบัติ หลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดเป็นแรงงานข้ามชาติเข้าเมืองถูกกฎหมาย ๑.๔ ควรร่วมกันบัญญัติกฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ กำหนดเงื่อนไขในการใช้สิทธิในการรวมกลุ่มของแรงงานข้ามชาติตามหลักความจำเป็นและหลักการได้สัดส่วน ๑.๕ ควรเผยแพร่หรือส่งเสริม สนับสนุนให้องค์กรด้านแรงงานเผยแพร่และสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับอนุสัญญาทั้ง ๒ ฉบับอย่างต่อเนื่อง ทั้งต่อภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนทั่วไป ๑.๖ ควรปรับปรุงหรือแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายที่มีอยู่เพื่อให้สอดคล้องกับอนุสัญญาทั้ง ๒ ฉบับ และร่วมกันศึกษาและจัดทำกฎหมายที่มีลักษณะเป็นกฎหมายกลางของคนทำงานเกี่ยวกับสิทธิในการรวมตัว การนัดหยุดงาน และการร่วมเจรจาต่อรองที่สอดคล้องกับหลักการตามอนุสัญญาทั้ง ๒ ฉบับ ๑.๗ ควรทบทวนแก้ไขร่างพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. .... เพื่อให้สอดคล้องกับอนุสัญญาทั้ง ๒ ฉบับ อาทิ นิยามคำว่าลูกจ้าง หลักเกณฑ์การละเว้นการแทรกแซงจากเจ้าหน้าที่รัฐ สิทธิการรวมตัวเป็นสหพันธ์ สมาพันธ์ หลักเกณฑ์เกี่ยวกับสิทธินัดหยุดงาน และการเจรจาโดยสมัครใจ และการคุ้มครองผู้จัดตั้งสหภาพแรงงานและการรวมตัวต่อรอง ๒. ให้กระทรวงแรงงาน กระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย สำนักงาน ก.พ. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง) และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ รับข้อเสนอแนะนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมายของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติดังกล่าวไปพิจารณาว่าสมควรจะดำเนินการตามข้อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมายฯ ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้หรือไม่ประการใดก่อน โดยให้กระทรวงแรงงานเป็นหน่วยงานกลางในการรวบรวมผลการดำเนินการ แล้วแจ้งผลการดำเนินการดังกล่าวให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทราบภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
23527 | รายงานผลการพิจารณาเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและ การบังคับบุคคลให้สูญหาย พ.ศ. .... | สม | 21/07/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการพิจารณาเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการบังคับบุคคลให้สูญหาย พ.ศ. .... ตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ควรสนับสนุนรองรับระบบการเข้าเยี่ยมสถานที่ซึ่งทำให้บุคคลเสื่อมเสียอิสรภาพ ๑.๒ ควรพิจารณาบัญญัติคำนิยาม อำนาจหน้าที่ หลักเกณฑ์ รวมถึงกฎ ระเบียบ ข้อบังคับภายใต้ความรับผิดชอบเพื่อรองรับการทำหน้าที่ในการสอบสวนคดีทรมานและคดีบังคับบุคคลให้สูญหายของอัยการสูงสุด รวมทั้งควรจัดสรรทรัพยากรอย่างเหมาะสมและเพียงพอ ๑.๓ ควรแก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการบังคับบุคคลให้สูญหายเกี่ยวกับการลงโทษ ข้อห้ามไม่ให้หน่วยงานของรัฐส่งตัวบุคคลออกนอกราชอาณาจักร องค์ประกอบคณะกรรมการ การสืบสวนคดีทรมานและคดีบังคับบุคคลให้สูญหาย และสถานะทางกฎหมายของผู้บังคับให้สูญหาย รวมถึงพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒ พระราชบัญญัติส่งผู้ร้ายข้ามแดน พ.ศ. ๒๕๕๑ และพระราชบัญญัติความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญา พ.ศ. ๒๕๓๕ ๒. ให้กระทรวงยุติธรรม กระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รับข้อเสนอแนะนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมายฯ ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติดังกล่าวไปพิจารณาว่า สมควรจะดำเนินการตามข้อเสนอแนะนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมายของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้หรือไม่ประการใดก่อน โดยให้กระทรวงยุติธรรม (กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ) เป็นหน่วยงานกลางในการรวบรวมผลการดำเนินการ แล้วแจ้งผลการดำเนินการดังกล่าวให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทราบภายใน ๓๐ วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
23528 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลหนองกระทุ่ม ตำบลในเมือง ตำบลหนองจะบก และตำบลหมื่นไวย อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา พ.ศ. .... | คค | 21/07/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลหนองกระทุ่ม ตำบลในเมือง ตำบลหนองจะบก และตำบลหมื่นไวย อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลหนองกระทุ่ม ตำบลในเมือง ตำบลหนองจะบก และตำบลหมื่นไวย อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา เพื่อก่อสร้างและขยายทางหลวงชนบท นม. ๑๑๒๐ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
23529 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการการกฎหมาย กระบวนการยุติธรรมและกิจการตำรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สว | 21/07/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการการกฎหมาย กระบวนการยุติธรรมและกิจการตำรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอ และแจ้งข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการฯ ดังกล่าวให้สำนักงานอัยการสูงสุดทราบต่อไป ดังนี้
๑. การออกข้อบังคับของอัยการสูงสุดเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข การขออนุญาตและการอนุญาตตามมาตรา ๙ นั้น ควรให้หน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมที่เกี่ยวข้องเข้าไปมีส่วนร่วมในการนำเสนอความเห็นอย่างรอบด้าน เพื่อให้การดำเนินคดีอาญาที่อยู่ในอำนาจของศาลแขวงมีความสะดวก รวดเร็ว และคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพื่อที่จะนำตัวผู้กระทำความผิดมาฟ้องลงโทษ ๒. การออกข้อบังคับของอัยการสูงสุดดังกล่าวให้คำนึงถึงประโยชน์ต่อการตรวจสอบและการควบคุมการปฏิบัติงานของพนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการ รวมถึงกรณีอื่น ๆ เช่น กรณีคดีที่ผู้ต้องหาไม่ได้หลบหนีแต่ถูกขังในคดีอื่น ซึ่งพนักงานสอบสวนไม่สามารถส่งตัวผู้ต้องหาไปยังพนักงานอัยการพร้อมสำนวนได้ แต่ข้อบังคับของอัยการสูงสุดว่าด้วยการขออนุญาตฟ้อง พ.ศ. ๒๕๕๖ กลับกำหนดให้พนักงานสอบสวนส่งตัวผู้ต้องหาพร้อมสำนวนให้พนักงานอัยการ
|
||||||||||||||||||||||||
23530 | รายงานพิจารณาศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหากำลังการผลิตไฟฟ้าสำรองที่สูงเกินความจำเป็นและแนวทางการแก้ไขปัญหาพลังงานทดแทน | สว | 21/07/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานพิจารณาศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหากำลังการผลิตไฟฟ้าสำรองที่สูงเกินความจำเป็นและแนวทางการแก้ไขปัญหาพลังงานทดแทน ของคณะกรรมาธิการการพลังงาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เกี่ยวกับปัญหากำลังการผลิตไฟฟ้าสำรองที่สูงเกินความจำเป็น รวมทั้งปัญหาพลังงานทดแทน ได้แก่ ปัญหาจำนวนการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์มากเกินความต้องการและเกินจำนวนสายส่งที่จะรับได้ และปัญหาการจำกัดขยะ ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอ ๒. ให้กระทรวงพลังงานและกระทรวงมหาดไทยรับข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ ไปพิจารณาว่าสมควรจะดำเนินการตามรายงานและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ ได้หรือไม่ประการใดก่อน โดยให้กระทรวงพลังงานเป็นหน่วยงานกลางในการรวบรวมผลการดำเนินการ แล้วแจ้งผลการดำเนินการดังกล่าวให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทราบภายใน ๓๐ วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
23531 | ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ในงานบริการภาครัฐเพื่อป้องกันการทุจริต | ปช | 21/07/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ในงานบริการภาครัฐเพื่อป้องกันการทุจริต ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ตามที่สำนักงาน ป.ป.ช. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ มาตรการเร่งด่วน ส่งเสริมโครงการบูรณาการงานภาครัฐให้มีประสิทธิภาพของสำนักงาน ก.พ.ร. และสนับสนุนงบประมาณเพื่อให้โครงการดังกล่าวบรรลุผล โดยนำร่องในโครงการเกี่ยวกับการนำเข้า-ส่งออก [โดยเฉพาะในสินค้าส่งออกที่ส่งผลกระทบต่อยอดผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (Gross Domestic Product : GDP) ประกอบด้วย ยางพารา ข้าวทั่วไป ข้าวหอมมะลิ อาหารทะเลแช่แข็ง ชิ้นส่วนรถยนต์ และเครื่องทำความเย็นและตู้แช่แข็ง] เพื่อให้ทันต่อการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในเดือนธันวาคม ๒๕๕๘ โดยอาจบรรจุโครงการดังกล่าวเป็นมาตรการเสริมในยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระยะที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๐) ยุทธศาสตร์ที่ ๒ เรื่องบูรณาการการทำงานในการต่อต้านการทุจริตและพัฒนาเครือข่ายในประเทศ ๑.๒ มาตรการระยะยาว ส่งเสริมและสนับสนุนงบประมาณในการนำระบบอิเล็กทรอนิกส์มาใช้ในการปรับปรุงงานบริการภาครัฐโดยเฉพาะในระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการ และเพิ่มความสะดวกให้แก่ประชาชนที่รับบริการ อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มช่องทางในการติดตามตรวจสอบให้สามารถทำได้ง่ายขึ้นและลดความเสี่ยงต่อการเกิดทุจริต ๒. มอบหมายให้สำนักงาน ก.พ.ร. และกระทรวงการคลัง เป็นหน่วยงานหลักรับข้อเสนอของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม กระทรวงแรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อมาตรการในการป้องกันการทุจริตและสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล ๓. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. และกระทรวงการคลังจัดทำรายงานผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวมเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง เมื่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาและมีมติแล้ว สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจะได้แจ้งผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการของคณะรัฐมนตรีต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
23532 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ ครั้งที่ 1/2558 และครั้งที่ 2/2558 | กษ | 21/07/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ (กนย.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ และครั้งที่ ๒/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๘ และเห็นชอบผลการพิจารณาและมติ กนย. ในการประชุมดังกล่าว ตามที่คณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติเสนอ โดยมีมติรับทราบเกี่ยวกับความก้าวหน้าในการดำเนินโครงการต่าง ๆ ที่ได้ดำเนินการผ่านมาแล้ว และเห็นชอบในหลักการให้มีการดำเนินการเกี่ยวกับการจัดการด้านยางพาราภายใต้กรอบนโยบายเดิมที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบไว้แล้ว โดยมีการปรับปรุงหลักเกณฑ์ เงื่อนไขที่เป็นอุปสรรคและจุดอ่อนของโครงการต่าง ๆ ที่ได้ดำเนินการแล้ว ในปี ๒๕๕๗/๒๕๕๘ ให้สอดคล้องกับข้อเสนอของภาคเกษตรกร ภาคเอกชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อขับเคลื่อนให้มีประสิทธิภาพในปี ๒๕๕๘/๒๕๕๙ รวมทั้งได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒. ให้รองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงอุตสาหกรรม คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้แต่ละหน่วยงานเร่งดำเนินการตามที่ได้รับมอบหมายโดยเร็ว และให้สามารถเชื่อมโยงไปสู่การดำเนินการของการยางแห่งประเทศไทยซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการจัดตั้งต่อไป รวมทั้งให้การยางแห่งประเทศไทยที่จะจัดตั้งขึ้นตามร่างพระราชบัญญัติการยางแห่งประเทศไทย พ.ศ. .... มีบทบาทหลักในการบูรณาการองค์ความรู้ และข้อคิดเห็นจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดทำเป็นยุทธศาสตร์ยางพาราฉบับใหม่ที่ได้รับการยอมรับจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ภาครัฐ เอกชน และเกษตรกรนำไปขับเคลื่อนได้อย่างเป็นรูปธรรม และเกิดความยั่งยืนของการพัฒนา สำหรับโครงการแปรรูปยางพาราเป็นผลิตภัณฑ์ยางใช้ภายใน ประเทศ ให้หน่วยงานภาครัฐในทุกกระทรวงและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องสามารถอ้างอิงคุณสมบัติที่ระบุไว้ในตาม มอก. ๒๖๘๒-๒๕๕๘ เม็ดยางใช้ทำพื้นสังเคราะห์ และ มอก. ๒๖๘๓-๒๕๕๘ พื้นสังเคราะห์ เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องและตรงกัน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
23533 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการบริหารอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่า และพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (CITES) ต่อรายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการงาช้างแห่งประเทศไทยฉบับแก้ไข (Thailand's Revised National Ivory Action Plan - NIAP) | ทส | 21/07/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการพิจารณาของคณะกรรมการบริหารอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (Convention on International Trade in Endangered Species of Wild Fauna and Flora : CITES) ต่อรายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการงาช้างแห่งประเทศไทย ฉบับแก้ไข (Thailand’s Revised National Ivory Action Plan-NIAP) โดยเห็นว่า ประเทศไทยมีความก้าวหน้าในการดำเนินการตามมติที่ประชุมคณะกรรมการบริหารอนุสัญญา CITES ครั้งที่ ๖๕ [Standing Committee (SC) 65] ครบถ้วนทั้ง ๓ ประเด็นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งได้แก่ (๑) การตรากฎหมายที่เหมาะสม (๒) การตรากฎหมายหรือกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง (๓) การเพิ่มความพยายามในการติดตามและควบคุมผู้ค้างาช้าง การจัดทำข้อมูลงาช้างและการบังคับใช้กฎหมายในการปราบปรามการค้างาช้างที่ผิดกฎหมาย และประเมินว่าประเทศไทยประสบความสำเร็จอย่างเป็นที่น่าพอใจในการดำเนินการดังกล่าว ซึ่งทำให้ประเทศไทยไม่ถูกเสนอระงับการค้าซึ่งชนิดพันธุ์สัตว์ป่าและพืชป่าตามอนุสัญญา CITES จากคณะกรรมการบริหารอนุสัญญา CITES แต่ยังคงมีสถานะเป็นประเทศที่น่ากังวลอย่างมาก (Primary concern) อยู่ และยังคงต้องดำเนินการตามแผนปฏิบัติการงาช้างฯ และส่งรายงานความก้าวหน้าการดำเนินการตามแผนฯ ภายในวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๕๘ ให้สำนักเลขาธิการ CITES เพื่อเสนอให้ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารอนุสัญญา CITES ครั้งที่ ๖๖ (SC 66) ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๑-๑๕ มกราคม ๒๕๕๙ พิจารณาต่อไป ๑.๒ มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๑.๒.๑ ให้กรมการปกครองมีมาตรการทางกฎหมายในการกำหนดอายุช้างบ้านตั้งแต่แรกเกิดจนถึง ๓ เดือน ต้องจดทะเบียนทำตั๋วรูปพรรณ และให้มีมาตรการทางกฎหมายที่เข้มงวดและรัดกุมในการป้องกันไม่ให้มีการนำช้างผิดกฎหมายมาแจ้งจดทะเบียนเป็นช้างบ้าน รวมทั้งกำกับดูแลและควบคุมการตัดงาของช้างบ้านด้วย ๑.๒.๒ ให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช มีมาตรการที่เข้มงวดและรัดกุมในการตรวจสอบการแจ้งครอบครองงาช้างบ้าน เพื่อป้องกันไม่ให้มีการนำงาช้างแอฟริกามาแจ้งครอบครองเป็นงาช้างบ้าน รวมทั้งมีมาตรการที่เข้มงวดกวดขันในการกำกับดูแลและควบคุมร้านค้างาช้างให้ปฏิบัติเป็นไปตามกฎหมาย โดยหากพบการกระทำผิดให้ดำเนินการทางกฎหมายอย่างเฉียบขาดต่อไป ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการรณรงค์เพื่อให้เกิดการลดลงของปริมาณและขนาดของธุรกิจการค้างาช้างจนนำไปสู่การเลิกการค้างาช้างในที่สุด ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
23534 | ร่างแถลงการณ์ร่วมรัฐมนตรีท่องเที่ยวยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี - เจ้าพระยา - แม่โขง | กก | 21/07/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมรัฐมนตรีท่องเที่ยวยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง (ACMECS Tourism Ministers’ Joint Media Statement) มีสาระสำคัญเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (ACMECS) ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อไทยและประเทศสมาชิก ACMECS อื่น รวมทั้งให้ความสำคัญกับการเชื่อมโยงเพื่อรับรองการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน และมีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมในกลุ่มประเทศ ACMECS เพื่ออำนวยความสะดวกสำหรับการเดินทางภายในภูมิภาคและเพื่อให้อนุภูมิภาคเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวของโลก ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นผู้ร่วมรับรองเอกสารฉบับดังกล่าว ๓. หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย และไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลังพร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๔. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งรัดการเจรจาเพื่อจัดทำการตรวจลงตราเดียว (Single Visa) กับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อกระตุ้นให้เกิดการท่องเที่ยวภายในอนุภูมิภาค ACMECS อันจะเป็นการกระจายรายได้ให้กับชุมชนและท้องถิ่น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
23535 | ขออนุมัติลงนามในถ้อยแถลงร่วมของการประชุมคณะรัฐมนตรีร่วม อย่างไม่เป็นทางการไทย - เวียดนาม ครั้งที่ 3 (ขออนุมัติลงนามในร่างถ้อยแถลงร่วมและการเผยแพร่ร่างแถลงข่าวร่วมของการประชุมร่วมนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการไทย - เวียดนาม ครั้งที่ 3) | กต | 21/07/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการร่างถ้อยแถลงร่วมและแถลงข่าวร่วมของการประชุมร่วมนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการ ไทย-เวียดนาม ครั้งที่ ๓ รวมทั้งประเด็นความร่วมมือสำหรับการหารือกับฝ่ายเวียดนามใน ๔ สาขา ได้แก่ (๑) การเมืองและความมั่นคง (๒) เศรษฐกิจ (๓) สังคม วัฒนธรรมและการศึกษา และ (๔) ความร่วมมือในภูมิภาค ๑.๒ อนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ลงนามในร่างถ้อยแถลงร่วมดังกล่าวร่วมกับรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเวียดนาม และอนุมัติให้นายกรัฐมนตรีสองประเทศรับรองผลการประชุมร่วมนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการดังกล่าว ร่างถ้อยแถลงร่วมฯ และให้เผยแพร่ร่างแถลงข่าวร่วมฯ ๑.๓ หากในการประชุมร่วมนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการ ไทย-เวียดนามดังกล่าว มีความจำเป็น ต้องปรับปรุงถ้อยคำหรือสาระสำคัญของร่างถ้อยแถลงร่วมฯ และร่างแถลงข่าวร่วมฯ ซึ่งนอกเหนือจากที่ปรากฏในเอกสาร ตามที่คณะรัฐมนตรีได้เคยอนุมัติหรือเห็นชอบไปแล้ว และหากการปรับเปลี่ยนไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติหรือให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศปรับปรุงถ้อยคำของร่างถ้อยแถลงร่วมของการประชุมร่วมนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการ ไทย-เวียดนาม ครั้งที่ ๓ ในข้อ ๕.๑๖ เกี่ยวกับสถานการณ์ในทะเลจีนใต้/ทะเลตะวันออก ให้มีความเป็นกลางและไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงและความสัมพันธ์ของไทยกับต่างประเทศในอนาคต ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรให้หยิบยกประเด็นการผลักดันให้มีการร่างบทเพิ่มเติมของบันทึกความเข้าใจระหว่างไทย-ลาว-เวียดนาม ในการเริ่มใช้ความตกลงว่าด้วยการอำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าและผู้โดยสาร ณ จุดผ่านแดนมุกดาหาร-สะหวันนะเขต และจุดผ่านแดนสะหวัน-ลาวบาว เพื่อให้ครอบคลุมเส้นทางหมายเลข ๘ และ ๑๒ โดยเสนอให้เป็นผลการหารือร่วมกันระหว่างฝ่ายไทยและเวียดนาม เพื่อให้ฝ่ายลาวเห็นความสำคัญและผลประโยชน์จากการควบรวมทั้ง ๒ เส้นทางดังกล่าวเข้าไว้ในบันทึกความเข้าใจฯ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
23536 | ขออนุมัติร่างบันทึกการประชุม (Agreed Minutes) เอกสารผลลัพธ์การประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี (JC) ไทย - เมียนมาร์ ครั้งที่ 8 | กต | 21/07/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างบันทึกการประชุม (Agreed Minutes) เอกสารผลลัพธ์การประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี (JC) ไทย-เมียนมา ครั้งที่ ๘ มีสาระสำคัญเป็นการสรุปความร่วมมือทวิภาคีที่ผ่านมา และแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองในการกระชับ ส่งเสริม และขยายผลความร่วมมือในด้านต่าง ๆ ทั้งการเมืองและความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม รวมทั้งความร่วมมือทางวิชาการ ๒. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างบันทึกการประชุม ซึ่งเป็นเอกสารผลลัพธ์ดังกล่าวในส่วนที่จะเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินความสัมพันธ์ แต่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือกระทบต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย และไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยจะได้รับจากการปรับปรุงดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
|
||||||||||||||||||||||||
23537 | การแก้ไขความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสหภาพเมียนมาร์ว่าด้วยการข้ามแดนระหว่างสองประเทศ | กต | 21/07/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสหภาพเมียนมาว่าด้วยการข้ามแดนระหว่างสองประเทศ ซึ่งเป็นการจัดทำความตกลงฉบับใหม่เพื่อใช้บังคับแทนความตกลงเดิม มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์การอนุญาตและการอำนวยความสะดวกในการข้ามแดนระหว่างสองประเทศ กำหนดระยะเวลาที่อนุญาตให้พำนักสำหรับการเดินทางข้ามแดนตามประเภทของบัตรข้ามแดน และกำหนดเจ้าหน้าที่ของสองฝ่ายที่ได้รับมอบอำนาจให้ออกบัตรผ่านแดนและบัตรผ่านแดนชั่วคราว รวมทั้งกำหนดเกี่ยวกับการข้ามแดนเพื่อการทำงานแบบไป-กลับ หรือตามฤดูกาล และการข้ามแดนในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศลงนามในความตกลงฯ ๓. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างความตกลงฯ ในส่วนที่จะเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินความสัมพันธ์ แต่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือกระทบต่อผลประโยชน์ของประเทศไทยและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลังพร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับปรุงดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) |
||||||||||||||||||||||||
23538 | ขออนุมัติจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ว่าด้วยยกเว้นการตรวจลงตราผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดา | มท | 21/07/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดา และเห็นชอบร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดา (Agreement between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of the Republic of the Union of Myanmar on Visa Exemption for Holders of Ordinary Passports) โดยสาระสำคัญร่างความตกลงฯ ได้มีการปรับแก้รายละเอียดบางส่วนของร่างความตกลงฉบับเดิม อาทิ การอนุญาตให้ผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดาของแต่ละฝ่ายที่เดินทางเข้าประเทศผ่านทางท่าอากาศยานนานาชาติได้รับการยกเว้นการตรวจลงตราและพำนักในประเทศผู้รับได้เป็นเวลาไม่เกิน ๑๔ วัน รวมทั้งการปฏิเสธการเข้าเมือง การลดระยะเวลา และการบอกเลิกการอนุญาตพำนัก สามารถทำได้โดยจะแจ้งเหตุผลหรือไม่ก็ได้ เป็นต้น ทั้งนี้ ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการพิจารณาประเด็นอ่อนไหวด้านความมั่นคงและการเคลื่อนย้ายแรงงานอย่างรอบคอบโดยมีการกำหนดมาตรการรองรับประเด็นอ่อนไหวดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศลงนามในความตกลงฯ ๓. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างความตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญเพื่อให้สอดคล้องกับผลประโยชน์และนโยบายของไทย และไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลังพร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับปรุงดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) |
||||||||||||||||||||||||
23539 | การให้ความช่วยเหลือประชาชนจากเงินเชิงป้องกันหรือยับยั้งภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2556 | มท | 21/07/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบแนวทางการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาภัยแล้ง ดังนี้ ๑.๑ ยกเว้นการปฏิบัติตามระเบียบในการใช้จ่ายเงินทดรองราชการในเชิงป้องกันหรือยับยั้งภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๕๖ ข้อ ๑๘ เพื่อแก้ปัญหาความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติ เพื่อให้ผู้ว่าราชการจังหวัดแก้ไขปัญหาอย่างรวดเร็ว ครอบคลุมทุกมิติ สำหรับประชาชนทั่วประเทศ ทั้งในเขตและนอกเขตชลประทาน ตามนโยบายรัฐบาล และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ในกรณีที่มีวงเงินทดรองราชการในเชิงป้องกันหรือยับยั้งไม่พอ ให้จังหวัดสามารถขอขยายวงเงินทดรองราชการเพิ่มเติมต่อกระทรวงการคลังได้ ๑.๒ ให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยวางหลักเกณฑ์ แนวทางปฏิบัติ และติดตามผลการปฏิบัติให้เป็นรูปธรรม โปร่งใส ตรวจสอบได้ ๑.๓ ให้สำนักงบประมาณและกระทรวงการคลังดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรี ๒. ในการขอยกเว้นการปฏิบัติตามข้อ ๑๘ ของระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการตามนัยข้อ ๗ ของระเบียบฯ ที่กำหนดให้ส่วนราชการสามารถขอทำความตกลงกับกระทรวงการคลังเพื่อยกเว้นการปฏิบัติตามระเบียบฯ ได้ต่อไป ๓. ให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม คณะรักษาความสงบแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการการทำงานในการแก้ไขปัญหาภัยแล้งให้แก่ประชาชน และจัดทำมาตรการรองรับภัยแล้งในระยะต่อไปร่วมกัน รวมทั้งให้ประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนทราบผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องด้วย |
||||||||||||||||||||||||
23540 | การขุดเจาะบ่อน้ำบาดาล เพื่อแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ปี 2558 | มท | 21/07/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการให้ดำเนินโครงการขุดเจาะบ่อน้ำบาดาล เพื่อแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ปี ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการดำเนินการขุดเจาะบ่อน้ำบาดาล จำนวน ๑,๑๗๓ บ่อ แยกเป็นพื้นที่ที่มีไฟฟ้า จำนวน ๙๒๘ บ่อ และไม่มีไฟฟ้า จำนวน ๒๔๕ บ่อ ๑.๒ เห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย สามารถพิจารณาเรื่องการเปลี่ยนแปลงจุดดำเนินการได้ ตามวัตถุประสงค์เดิม โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ๑.๓ ภายหลังดำเนินการขุดเจาะบ่อน้ำบาดาลแล้ว ให้มีการจัดทำทะเบียนคุม และระบุพิกัดที่ตั้งให้ชัดเจน พร้อมทั้งส่งมอบให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ เพื่อประโยชน์ในการใช้ประโยชน์และบำรุงรักษาต่อไป ๒. สำหรับงบประมาณในการดำเนินโครงการให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ จากโครงการฟื้นฟูบูรณะแหล่งน้ำเดิมเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้งและอุทกภัย ภายใต้แผนงาน/โครงการบูรณะแหล่งน้ำเดิมเพื่อป้องกันและลดผลกระทบจากภัยแล้งและอุทกภัย ของสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ที่มีวงเงินเหลือจ่ายภายในกรอบวงเงิน ๓๗๔,๒๖๘,๗๖๙ บาท ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยจัดทำรายละเอียดค่าใช้จ่ายให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และราคามาตรฐานเดียวกับกรมทรัพยากรน้ำบาดาล กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณอีกครั้งหนึ่ง ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีพิจารณาความเป็นไปได้ในการนำเทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์มาใช้เป็นพลังงานในการสูบน้ำในพื้นที่ขุดเจาะบ่อน้ำบาดาลที่ไม่มีไฟฟ้า
|
.....