ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1180 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 23581 - 23600 จากข้อมูลทั้งหมด 124231 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
23581 | การแต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ | นร05 | 14/07/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้แต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธานกรรมการ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมเป็นรองประธานกรรมการ และรองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นกรรมการและเลขานุการ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ โดยให้เพิ่มรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นรองประธานกรรมการ และให้เพิ่มนางพรรณี สถาวโรดม (ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง) ปลัดกระทรวงแรงงาน ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และเลขานุการคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เป็นกรรมการ ๒. เห็นชอบกรอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๕๙ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ และให้คณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศนำกรอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๕๙ ไปจัดทำเป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในรายละเอียดเสนอคณะกรรมการรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจพิจารณาโดยด่วนต่อไป ๓. ให้ทุกส่วนราชการดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีในการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ ให้รัฐมนตรีทุกกระทรวงกำกับดูแลการดำเนินงานในความรับผิดชอบให้เป็นไปตามแผนและระยะเวลาที่กำหนดควบคู่ไปกับการทำงานของคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ รวมทั้งจัดทำแผนการใช้จ่ายงบประมาณให้ชัดเจนว่า แต่ละโครงการใช้เงินประเภทใด (เงินงบประมาณแผ่นดินหรือเงินกู้) จำนวนเท่าใด ในช่วงรัฐบาลนี้ (พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๕๙) หรือในระยะต่อไปที่จะส่งต่อให้รัฐบาลหน้า รวมทั้งพิจารณาว่าโครงการใดสามารถให้ภาคเอกชนเข้าร่วมลงทุนในกิจการของรัฐได้
|
||||||||||||||||||||||||
23582 | ร่างพระราชบัญญัติกำลังพลสำรอง พ.ศ. .... (สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ) | นร | 14/07/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๕๘ และให้เสนอร่างพระราชบัญญัติกำลังพลสำรอง พ.ศ. .... ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน
|
||||||||||||||||||||||||
23583 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานในเขตโครงการชลประทานจันทบุรี เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... | กษ | 14/07/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานในเขตโครงการชลประทานจันทบุรี เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ทางน้ำชลประทานในเขตโครงการชลประทานจันทบุรี เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
23584 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. .... | พม | 14/07/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. .... และผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ โดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้นำหลักเรื่องความรวดเร็วในการวินิจฉัยคำร้องการอำนวยความสะดวกในการยื่นคำขอ ไปกำหนดในร่างระเบียบคณะกรรมการส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการในการยื่นคำร้องการพิจารณา และการวินิจฉัยการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ พ.ศ. .... และร่างประกาศกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว เรื่อง กำหนดแบบคำขอรับการชดเชยและเยียวยาในความเสียหายจากการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ พ.ศ. .... ในส่วนกฎหมายเกี่ยวกับการคุกคามทางเพศนั้น ได้มีพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๒) พ.ศ. ๒๕๕๘ ซึ่งได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วเมื่อวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ โดยกำหนดความผิดเกี่ยวกับการคุกคามทางเพศไว้แล้ว ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
23585 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติหอพัก พ.ศ. .... | พม | 14/07/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติหอพัก พ.ศ. .... ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการนิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป ดังนี้
๑. กระทรวงมหาดไทยได้ดำเนินการตามข้อสังเกต โดยขอให้จังหวัดแจ้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตจังหวัดเตรียมการดำเนินการตามพระราชบัญญัติหอพัก พ.ศ. ๒๕๕๘ และให้จัดเตรียมโครงสร้าง อัตรากำลัง บุคลากร และงบประมาณที่จะปฏิบัติภารกิจหอพักอย่างเพียงพอแล้ว ๒. กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้ดำเนินกาาตามข้อสังเกต โดย ๒.๑ จัดทำข้อมูลถ่ายโอนภารกิจ ตลอดจนบรรดาทะเบียน ข้อมูล และเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการกำกับดูแลกิจการหอพักที่ต่อใบอนุญาตและไม่ได้ต่อใบอนุญาต โดยได้จำแนกตามเขตพื้นที่ต่าง ๆ ของกรุงเทพมหานครไว้เรียบร้อยแล้ว เพื่อถ่ายโอนภารกิจหอพักให้กรุงเทพมหานคร ๒.๒ ประสานให้สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดดำเนินการจัดส่งฐานข้อมูลการจดทะเบียนหอพักตามพระราชบัญญัติหอพัก พ.ศ. ๒๕๐๗ มาให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เบื้องต้นแล้ว ซึ่งขณะนี้ได้รับข้อมูลเบื้องต้นจากจังหวัดต่าง ๆ แล้ว จำนวน ๕๖ จังหวัด ๒.๓ จัดทำคู่มือการจดทะเบียน ขั้นตอนวิธีการและรวบรวมบรรดากฎหมาย กฎ ระเบียบ คำสั่ง แนวปฏิบัติ แนวคำวินิจฉัย ตลอดจนปัญหาอุปสรรค และแบบพิมพ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติราชการ การกำกับดูแลกิจการหอพัก ซึ่งสามารถใช้ปฏิบัติภารกิจทีไดรับการถ่ายโอนภารกิจหอพักได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๒.๔ กำหนดแผนการปฏิบัติงานเพื่อเตรียมความพร้อมในการดำเนินงานและจัดฝึกอบรมให้ความรู้ ความเข้าใจแก่ผู้บริหาร ข้าราชการ และพนักงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในระดับจังหวัด (ครู ก.) เพื่อให้ได้รับความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมาย กฎ ระเบียบ และวิธีการในการปฏิบัติงานราชการกำกับดูแลกิจการหอพัก และสามารถปฏิบัติภารกิจที่ได้รับการถ่ายโอนอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้ง นำไปขยายผลให้แก่พนักงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในระดับพื้นที่ต่อไป โดยมีกรมกิจการเด็กและเยาวชน สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด เป็นพี่เลี้ยง ๒.๕ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จะทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงให้ความช่วยเหลือสนับสนุน ให้คำปรึกษา แนะนำ และช่วยแก้ไขปัญหาให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ๒.๖ การดำเนินงานอื่น ๆ จะปฏิบัติตามขั้นตอนการกระจายอำนาจ ตาแมผนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
|
||||||||||||||||||||||||
23586 | รายงานสถานการณ์และความคืบหน้ามาตรการป้องกันควบคุมการระบาดของโรคทางเดินหายใจตะวันออกกลางหรือโรคเมอร์ส (Middle East Respiratory Syndrome : MERS) | สธ | 14/07/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงสาธารณสุขรายงานสถานการณ์และความคืบหน้ามาตรการป้องกันควบคุมการระบาดของโรคทางเดินหายใจตะวันออกกลางหรือโรคเมอร์ส (Middle East Respiratory Syndrome : MERS) โดยประเทศไทยยังคงมีความเสี่ยงเช่นเดียวกับประเทศต่าง ๆ ต่อการระบาดของโรค จึงได้ดำเนินมาตรการในการตรวจจับการระบาดของโรคในกลุ่มเสี่ยงเพื่อการควบคุมที่รวดเร็ว เน้นการเฝ้าระวังที่โรงพยาบาลรวมทั้งป้องกันการแพร่กระจายเชื้อในสถานพยาบาล เพื่อให้การป้องกันควบคุมโรคมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยการบูรณาการเตรียมความพร้อมป้องกันควบคุมโรคเมอร์สในทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน
|
||||||||||||||||||||||||
23587 | ท่าทีไทยสำหรับการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้าระหว่างไทยกับเวียดนาม ครั้งที่ 2 | พณ | 14/07/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑ เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการต่อประเด็นความร่วมมือทางเศรษฐกิจการค้าสำหรับการหารือกับเวียดนาม มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการตั้งเป้าหมายการค้าสองฝ่าย ความร่วมมือด้านสินค้าเกษตร ความร่วมมือในการเชื่อมโยงการคมนาคมระหว่างกัน ความร่วมมือด้านการธนาคาร ความร่วมมือด้านทรัพย์สินทางปัญญา ความร่วมมือด้านการส่งเสริมและอำนวยความสะดวกทางการค้าและการลงทุน ความร่วมมือภาครัฐ-เอกชน และการจัดทำแผนปฏิบัติการความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนระหว่างไทย-เวียดนาม ปี ๒๕๕๘-๒๕๖๓ โดยมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ใช้เป็นกรอบการหารือสำหรับการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint Trade Committee : JTC) ไทย-เวียดนาม ครั้งที่ ๒ ๑.๒ หากในการประชุมดังกล่าวมีผลให้มีการตกลงเรื่องความร่วมมือด้านเศรษฐกิจการค้าในประเด็นอื่น ๆ อันจะเป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจการค้าสองฝ่ายระหว่างไทยกับเวียดนาม โดยไม่มีการจัดทำเป็นความตกลงหรือหนังสือสัญญาขึ้นมา ให้กระทรวงพาณิชย์และคณะผู้แทนไทยที่เข้าร่วมการประชุมดังกล่าวสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ๑.๓ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายรับรองผลการประชุม JTC ไทย-เวียดนาม ครั้งที่ ๒ รวมถึงเอกสารอื่น ๆ ที่เป็นผลจากการหารือขยายความร่วมมือเฉพาะด้าน (หากมี) ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรหยิบยกประเด็นการผลักดันให้มีการร่างบทเพิ่มเติมของบันทึกความเข้าใจระหว่างไทย-ลาว-เวียดนาม ในการเริ่มใช้ความตกลงว่าด้วยการอำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าและผู้โดยสาร ภายใต้ความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS Cross Border Transport Agreement : GMS CBTA) เพื่อให้ครอบคลุมเส้นทางหมายเลข ๘ และ ๑๒ โดยเสนอให้เป็นผลการหารือร่วมกันระหว่างฝ่ายไทยและเวียดนาม เพื่อให้ฝ่ายลาวเห็นความสำคัญและผลประโยชน์จากการควบรวมทั้ง ๒ เส้นทางดังกล่าวเข้าไว้ในบันทึกความเข้าใจฯ ระหว่างไทย-ลาว-เวียดนาม รวมทั้งให้นำประเด็นความร่วมมือเศรษฐกิจและการค้าจากส่วนราชการและภาคเอกชนไทยที่ประสงค์จะผลักดันสำหรับการประชุม JTC ไทย-เวียดนาม ครั้งที่ ๒ รวมเข้าไว้ในแผนปฏิบัติการความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนระหว่างไทย-เวียดนาม ปี ๒๕๕๘-๒๕๖๓ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
23588 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ กรณีการเช่าบ้านพักข้าราชการที่ประจำการในต่างประเทศ | กษ | 14/07/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙-พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามนัยมาตรา ๒๓ วรรคสี่ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม รายการค่าเช่าบ้านพักข้าราชการของสำนักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศ ประจำกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เป็นกรณีเฉพาะราย ในวงเงินผูกพันตลอดระยะเวลาสัญญาเช่าทั้งสิ้น ๗,๐๑๔,๙๐๐ บาท หรือ ๒๔,๘๔๐,๐๐๐ เยน อัตราแลกเปลี่ยน ๑๐๐ เยน เท่ากับ ๒๘.๒๔ บาท หรือไม่เกินวงเงินตามสกุลเงินท้องถิ่น กรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยน โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ รายการค่าเช่าบ้านของข้าราชการในต่างประเทศที่เสนอตั้งงบประมาณรองรับไว้แล้ว จำนวน ๒,๓๓๘,๓๐๐ บาท และผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐-พ.ศ. ๒๕๖๑ จำนวน ๔,๖๗๖,๖๐๐ บาท ทั้งนี้ การเช่าบ้านพักในต่างประเทศดังกล่าว ให้สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐเกี่ยวกับการดำเนินการทุกขั้นตอนการปฏิบัติต้องมีความโปร่งใส และตรวจสอบได้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
23589 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พร้อมทั้งเปลี่ยนแปลงรายละเอียดในการดำเนินงานก่อสร้างทำนบดินหัวงานและอาคารประกอบ โครงการอ่างเก็บน้ำ คลองกะทะ จังหวัดภูเก็ต | กษ | 14/07/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการก่อสร้างทำนบดินหัวงานและอาคารประกอบ โครงการอ่างเก็บน้ำคลองกะทะ จังหวัดภูเก็ต ตามนัยมาตรา ๒๓ วรรคสี่ ของพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ๑.๒ ให้เพิ่มวงเงินค่าจ้างก่อสร้างทำนบดินหัวงานและอาคารประกอบ โครงการอ่างเก็บน้ำคลองกะทะ จังหวัดภูเก็ต จากกรอบวงเงินกู้ที่ได้รับจัดสรรไว้เดิม ๔๔๙,๐๐๐,๐๐๐ บาท เป็นวงเงินรวม ๔๘๐,๓๘๖,๐๖๗.๘๐ บาท ๑.๓ ให้ขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการก่อสร้างทำนบดินหัวงานและอาคารประกอบ โครงการอ่างเก็บน้ำคลองกะทะ จังหวัดภูเก็ต จากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๕๗ เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๖๐ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐเกี่ยวกับการดำเนินโครงการพัฒนาแหล่งน้ำในโอกาสต่อไป ควรมีการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการอย่างละเอียดรอบคอบทั้งในแง่การออกแบบ แหล่งวัตถุดิบ ลักษณะภูมิประเทศ รวมถึงการทำความเข้าใจกับประชาชนและชุมชนถึงข้อดีและข้อเสียจากการก่อสร้างก่อนการดำเนินการ เพื่อให้การดำเนินโครงการสามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว บรรลุตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ อย่างไรก็ตาม การดำเนินโครงการดังกล่าวได้มีการขออนุมัติให้ขยายระยะในการก่อสร้างครั้งนี้เป็นครั้งที่สามแล้ว และที่ผ่านมาบริษัทผู้รับจ้างไม่สามารถดำเนินการก่อสร้างให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่อนุมัติให้ขยายออกไป ทำให้ทางราชการเสียประโยชน์ จึงเห็นควรพิจารณาดำเนินการตามข้อตกลงของสัญญาเลขที่ กจ. ๑๑/๒๕๕๓ (กสพ.๒) ข้อ ๑๗ ค่าปรับ และ/หรือ ข้อ ๑๙ การกำหนดค่าเสียหาย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
23590 | ขอถอนร่างกฎกระทรวงว่าด้วยโรคระบาดสัตว์เพิ่มเติม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กษ | 14/07/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ถอนร่างกฎกระทรวงว่าด้วยโรคระบาดสัตว์เพิ่มเติม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
23591 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข) (นางสาวพรรณทิพย์ ตียพันธ์) | สธ | 14/07/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือน สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน ๒ ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้
๑. นางสาวพรรณทิพย์ ตียพันธ์ ดำรงตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์การแพทย์ (พิษวิทยา) (นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ทรงคุณวุฒิ) กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ตั้งแต่วันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๗ ๒. นางสลักจิต ชุติพงษ์วิเวท ดำรงตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์การแพทย์ (ภูมิคุ้มกันวิทยา) (นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ทรงคุณวุฒิ) กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ตั้งแต่วันที่ ๗ เมษายน ๒๕๕๘
|
||||||||||||||||||||||||
23592 | รายงานผลการประชุมสภากระบวนการยุติธรรมสำหรับเด็กและเยาวชนภาคพื้นเอเซีย - แปซิฟิก ครั้งที่ 2 | ยธ | 14/07/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงยุติธรรมรายงานผลการประชุมสภากระบวนการยุติธรรมสำหรับเด็กและเยาวชนภาคพื้นเอเชีย-แปซิฟิก ครั้งที่ ๒ จัดขึ้นระหว่างวันที่ ๕-๘ พฤษภาคม ๒๕๕๘ ณ จังหวัดภูเก็ต สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุมสภากระบวนการยุติธรรมฯ เป็นการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการ และเชิงวิชาการ โดยมีผู้แทนที่ปฏิบัติงานด้านกระบวนการยุติธรรมเด็กและเยาวชนในประเทศภูมิภาคอาเซียน ๑๐ ประเทศ และผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญในงานด้านกระบวนการยุติธรรมเด็กและเยาวชนจากนานาชาติเข้าร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้แนวทางการปฏิบัติที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ รวมไปถึงการกำหนดนโยบายที่สอดรับกันระหว่างประเทศในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งจะก่อให้เกิดการประสานความร่วมมือในการดูแลเด็กและเยาวชนระหว่างประเทศในภูมิภาคอาเซียนและยกระดับมาตรฐานการปฏิบัติต่อเด็กและเยาวชนของไทยและของภูมิภาคร่วมกันต่อไป ๒. ผลการประชุม ประกอบด้วย (๑) ผลการประชุมเชิงปฏิบัติการ ใน ๓ หัวข้อหลัก ได้แก่ ยุทธศาสตร์และมาตรการในการป้องกันและตอบสนองต่อความรุนแรงที่กระทำต่อเด็กและเยาวชนที่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม การหันเหคดีและมาตรการทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับเด็กและเยาวชนที่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม และกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์สำหรับเด็กและเยาวชน และ (๒) ผลการประชุมเชิงวิชาการ มีการดำเนินการในลักษณะของการประชุมเชิงวิชาการ โดยให้ผู้เข้าร่วมประชุมได้ร่วมแลกเปลี่ยนและนำองค์ความรู้ที่มีและที่ได้จากการประชุมเชิงปฏิบัติการมาดำเนินการโดยมุ่งเน้นให้เกิดนโยบายเพื่อสร้างแนวทางในการพัฒนายุทธศาสตร์และการปฏิบัติงานด้านมาตรฐานสิทธิเด็กและเยาวชนในภูมิภาค
|
||||||||||||||||||||||||
23593 | การดำเนินการหลังคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กรณีการดำเนินงานให้เป็นไปตามสัญญาดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ | ทก | 14/07/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการดำเนินการหลังคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองกรณีการดำเนินงานให้เป็นไปตามสัญญาดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กรณีการจัดสร้างและจัดส่งดาวเทียมไทยคม ๖ ตามสัญญาดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ ได้ให้บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) จัดให้มีดาวเทียมสำรองของดาวเทียมไทยคม ๓ ตามข้อกำหนดของสัญญาดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ และให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรับดาวเทียมไทยคม ๖ ไว้ตามข้อกำหนดของสัญญาฯ ข้อ ๑๕ การโอนกรรมสิทธิ์การส่งมอบและรับมอบทรัพย์สิน ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารได้ลงนามในหนังสือรับมอบและโอนกรรมสิทธิ์เรียบร้อยแล้ว ๒. กรณีอนุมัติให้ใช้เงินค่าสินไหมทดแทนของดาวเทียมไทยคม ๓ ที่ได้รับความเสียหาย จำนวน ๖,๗๖๕,๒๙๙ ดอลลาร์สหรัฐ สำนักงานอัยการสูงสุดเห็นว่าคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายคือ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และบริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) ได้ปฏิบัติถูกต้องตามสัญญาแล้ว จึงไม่มีเรื่องที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารจะต้องดำเนินการเรียกเงินคืนหักกลบลบหนี้หรือเรียกดอกเบี้ยระหว่างกันแต่อย่างใด ดังนั้น ในชั้นนี้จึงเห็นว่ากรณีดังกล่าวเป็นอันยุติตามความเห็นของสำนักงานอัยการสูงสุดแล้ว
|
||||||||||||||||||||||||
23594 | แนวทางการดำเนินงานและปฏิทินโอนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 | นร | 14/07/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๑.๑ แนวทางการพิจารณาโอนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นรายงานข้อมูลงบประมาณรายจ่ายลงทุน ๑.๑.๑ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น ตรวจสอบการดำเนินการแต่ละรายการอีกครั้งหนึ่ง เพื่อยืนยันว่าจะสามารถลงนามจัดซื้อจัดจ้างได้ภายในวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๘ หรือไม่สามารถลงนามจัดซื้อจัดจ้างได้ภายในวันดังกล่าว และแจ้งผลการตรวจสอบข้อมูลให้สำนักงบประมาณ ภายในวันที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๕๘ ๑.๑.๒ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น ที่สามารถลงนามจัดซื้อจัดจ้างได้ภายในวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๘ ดำเนินการบันทึกข้อมูลในระบบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ (e-GP) ของกรมบัญชีกลางให้แล้วเสร็จ ภายในวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๘ เพื่อยืนยันว่ามีการจัดซื้อจัดจ้างภายในวันดังกล่าว หากดำเนินการภายหลังจะถือว่ามีการจัดซื้อจัดจ้างภายหลังวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๘ ซึ่งไม่เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๕๘ ที่กำหนดไว้ ๑.๒ ปฏิทินโอนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ๒. ให้ส่วนราชการดำเนินการตามที่นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการว่า กรณีที่ส่วนราชการดำเนินการผูกพันงบประมาณไม่ทันภายในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๘ โดยลงนามสัญญาไม่ได้ และกรณีที่ไม่มีเหตุผลสมควรในการขอขยายเวลาก่อหนี้ผูกพัน ให้พิจารณายกเลิกรายการนั้น เพื่อนำงบประมาณรายการนั้นไปใช้ในรายการตามนโยบายสำคัญเร่งด่วนของรัฐบาลต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
23595 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 14/07/2558 | |||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ ให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเสนอแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินของประชาชนทั้งระบบ ได้แก่ หนี้สินเกษตรกร หนี้สินประชาชนผู้มีรายได้น้อย และหนี้สินครูและบุคลากรทางการศึกษา เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา พร้อมกรอบแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้ทั้งระบบต่อไป ๑.๒ ขณะนี้รัฐบาลมีแผนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะเพื่อเป็นการพัฒนาประเทศหลายโครงการ โดยใช้เงินกู้ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งรัฐบาลมีนโยบายเกี่ยวกับการลงทุนดังกล่าวให้ดำเนินการในลักษณะที่ไม่เป็นภาระหนี้สาธารณะของประเทศ โดยให้มีภาคเอกชนเข้ามาร่วมลงทุน ประกอบกับคณะรัฐมนตรีได้มีมติ (๒๖ พฤษภาคม ๒๕๕๘) เห็นชอบร่างแผนยุทธศาสตร์การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๒ ที่ได้มีการกำหนดกิจการประเภทต่าง ๆ ที่ควรให้เอกชนมีส่วนร่วมในการลงทุนไว้ด้วย นั้น จึงให้ทุกส่วนราชการพิจารณาแนวทางให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการลงทุนในกิจการของรัฐ โดยอาจจะกำหนดแนวทางการจัดหาแหล่งเงินทุนในรูปแบบการให้เอกชนร่วมลงทุน (Public Private Partnership : PPP) ทั้งเอกชนภายในประเทศและเอกชนภายนอกประเทศ เพื่อให้สอดคล้องตามนโยบายของรัฐบาลและมติคณะรัฐมนตรีข้างต้น ๒. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๒.๑ ให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีลงพื้นที่ที่รับผิดชอบเพื่อสร้างความเข้าใจและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่มีผลกระทบต่อประชาชน เช่น การใช้พื้นที่เพื่อการจัดการขยะตามนโยบายรัฐบาล การก่อสร้างท่าเรือปากบารา ผลกระทบที่เกิดจากการทำเหมืองแร่โพแทช การทำเหมืองแร่ลิกไนต์ การปรับโครงสร้างราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) การแก้ไขการทำประมงผิดกฎหมาย ปัญหาจากภาวะภัยแล้ง ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ ประชาชนมีรายได้ไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพ โดยให้ความสำคัญกับการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับความเดือดร้อน จากนั้นให้เสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาโดยด่วน โดยให้คำนึงถึงการแก้ไขปัญหาทั้งระยะสั้นและระยะยาว เช่น การสร้างงานสร้างอาชีพ การช่วยเหลือดูแลความเสียหาย การพักชำระหนี้ ทั้งนี้ ให้แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน ๒๕๕๘ ๒.๒ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงสาธารณสุข ร่วมกันพิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหาเด็กในพื้นที่ภาคใต้ที่มีสุขภาพร่างกายไม่แข็งแรง ซึ่งอาจมีสาเหตุจากฐานะทางเศรษฐกิจ การเข้าถึงบริการสาธารณสุข และครอบครัวมีบุตรจำนวนมาก พร้อมทั้งสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับประโยชน์และความสำคัญของการวางแผนครอบครัว ๒.๓ ให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) จัดทำข้อเสนอแนวทางการปฏิรูปตำรวจ เช่น การแบ่งอำนาจการสืบสวนสอบสวนคดีประเภทต่าง ๆ ระหว่างส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ทั้งนี้ ข้อเสนอดังกล่าวต้องสอดคล้องกับช่วงเวลาตาม Road Map ของรัฐบาล โดยต้องระบุให้ชัดเจนว่าประเด็นใดที่ต้องดำเนินการเร่งด่วนและต้องแล้วเสร็จภายในรัฐบาลนี้ (พ.ศ. ๒๕๕๙) และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาภายในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๘
|
||||||||||||||||||||||||
23596 | ร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวกับระบบการอุทธรณ์และฎีกา รวม 9 ฉบับ | อื่นๆ | 14/07/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๕๘ และให้เสนอร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวกับระบบการอุทธรณ์และฎีกา รวม ๙ ฉบับ ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน ดังนี้
๑. ร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ พ.ศ. .... ๒. ร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์การอุทธรณ์และฎีกา) ๓. ร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์การอุทธรณ์และฎีกา) ๔. ร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์การอุทธรณ์และฎีกา) ๕. ร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับการอุทธรณ์และฎีกา) ๖. ร่างพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์การอุทธรณ์และฎีกา) ๗. ร่างพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์การอุทธรณ์และฎีกา) ๘. ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระธรรมนูญศาลยุติธรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๙. ร่างพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
|
||||||||||||||||||||||||
23597 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข) (นางสลักจิต ชุติพงษ์วิเวท) | สธ | 14/07/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือน สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน ๒ ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้
๑. นางสาวพรรณทิพย์ ตียพันธ์ ดำรงตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์การแพทย์ (พิษวิทยา) (นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ทรงคุณวุฒิ) กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ตั้งแต่วันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๗ ๒. นางสลักจิต ชุติพงษ์วิเวท ดำรงตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์การแพทย์ (ภูมิคุ้มกันวิทยา) (นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ทรงคุณวุฒิ) กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ตั้งแต่วันที่ ๗ เมษายน ๒๕๕๘
|
||||||||||||||||||||||||
23598 | ขออนุมัติดำเนินโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางใหญ่ - กาญจนบุรี ของกรมทางหลวง | คค | 14/07/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมชี้แจงว่า จากผลการศึกษาโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางใหญ่-กาญจนบุรี ระบุว่าโครงการมีผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ (EIRR) สูง จากการเชื่อมโยงระหว่างเมือง การลดปัญหาการจราจรติดขัด การเพิ่มของมูลค่าที่ดินตลอดแนวโครงการ แต่เป็นโครงการที่มีผลตอบแทนทางการเงิน (FIRR) ต่ำ จึงทำให้เอกชนไม่สนใจที่จะร่วมลงทุนในโครงการ ซึ่งสอดคล้องกับความเห็นของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติว่า โครงการมีผลตอบแทนทางเศรษฐกิจสังคมมากกว่า ประกอบกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังยืนยันว่า หนี้สาธารณะในปัจจุบันอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้เพราะไม่เกินกรอบวินัยการเงินการคลัง โดยมีสัดส่วนหนี้ต่างประเทศต่อหนี้สาธารณะอยู่ที่ร้อยละ ๕.๘๗ เท่านั้น ๒. อนุมัติให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) ดำเนินโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางใหญ่-กาญจนบุรี วงเงินลงทุนรวม ๕๕,๖๒๐ ล้านบาท ประกอบด้วย การดำเนินโครงการก่อสร้างฯ ด้วยวิธีการประกวดราคาจ้างเหมาก่อสร้าง วงเงินค่าก่อสร้าง ๕๐,๒๐๐ ล้านบาท โดยให้กระทรวงการคลังดำเนินการระดมทุนจากแหล่งเงินทุนภายในประเทศที่เหมาะสมเพื่อใช้ในการดำเนินโครงการ และค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน วงเงิน ๕,๔๒๐ ล้านบาท สำนักงบประมาณได้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ไว้แล้ว จำนวน ๕๐๐ ล้านบาท ส่วนที่เหลือให้กรมทางหลวงเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ในการดำเนินโครงการระยะที่ ๑ ให้กำหนดระยะเวลาตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๐ ส่วนการดำเนินโครงการในส่วนที่เหลือให้กำหนดเป็นระยะที่ ๒ ต่อไป ๓. โดยที่โครงการตามที่กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) เสนอในครั้งนี้ คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติได้พิจารณาเห็นชอบรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมแล้ว เมื่อปี ๒๕๔๑ ซึ่งระยะเวลาได้ผ่านมาแล้ว ๑๗ ปี อาจทำให้สภาพแวดล้อมในพื้นที่ดำเนินโครงการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ดังนั้น ให้กรมทางหลวงตรวจสอบสภาพพื้นที่ดังกล่าว และหากมีความจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการ และ/หรือมาตรการป้องกันแก้ไขผลกระทบและมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม ให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) เสนอรายละเอียดของการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการตามขั้นตอนก่อนดำเนินการต่อไป ๔. ให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐเกี่ยวกับการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด การกำหนดอัตราค่าผ่านทางที่เหมาะสม ตลอดจนเร่งพัฒนาระบบเก็บค่าผ่านทางอัตโนมัติ รวมทั้งการศึกษาเปรียบเทียบต้นทุน O&M ของโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองในระยะยาวระหว่างกรณีกรมทางหลวงดำเนินการ O&M เอง กับกรณีการให้เอกชนเป็นผู้ดำเนินการ O&M เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ ในการดำเนินโครงการดังกล่าวให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป และให้กระทรวงคมนาคมรับข้อสังเกตของนายกรัฐมนตรีที่เห็นว่า การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานโครงการอื่น ๆ ของกระทรวงคมนาคมควรดำเนินการในลักษณะที่ไม่เป็นภาระหนี้สาธารณะของประเทศ โดยให้มีการร่วมลงทุนจากภาคเอกชน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๕. ให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) ร่วมกับคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาแนวทางการจัดทำระบบการกักเก็บน้ำ และการส่งน้ำควบคู่กับการดำเนินโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษดังกล่าว เช่น การสร้างท่อส่งน้ำขนาดใหญ่ใต้พื้นที่โครงการ แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
23599 | (ร่าง) แผนแม่บทรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. 2558 - 2593 | ทส | 14/07/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบ (ร่าง) แผนแม่บทรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๙๓ จัดทำขึ้นเพื่อให้ประเทศมีกรอบแนวทางในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศอย่างเป็นรูปธรรมและเกิดผลสัมฤทธิ์ และสามารถนำพาประเทศสู่การเป็นสังคมคาร์บอนต่ำภายในปี พ.ศ. ๒๕๙๓ โดย (ร่าง) แผนแม่บทฯ กำหนดแนวทางการดำเนินงานใน ๓ เรื่อง ได้แก่ (๑) ด้านการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Adaptation) (๒) ด้านการลดก๊าซเรือนกระจกและส่งเสริมการเติบโตที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ (Mitigation) และ (๓) ด้านการสร้างขีดความสามารถด้านการบริหารจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Capacity building) และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปเป็นกรอบในการดำเนินงานและกรอบในการจัดตั้งงบประมาณรองรับต่อไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำ (ร่าง) แผนแม่บทฯ ไปเป็นกรอบในการจัดทำแผนยุทธศาสตร์เฉพาะเรื่องหรือเฉพาะรายสาขา หรือแผนปฏิบัติการ (Action Plan) ในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยเฉพาะในเรื่องที่มีความสำคัญหรือจำเป็นในระยะเร่งด่วน เช่น เรื่องการบริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการ เพื่อการป้องกันอุทกภัยและภัยแล้ง การจัดการความเสี่ยงในภาคเกษตรและการสร้างความพร้อมในการรับมือและปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของเกษตรกร และการวางแผนป้องกันเมืองและพื้นที่ชายฝั่ง เป็นต้น โดยกำหนดกรอบระยะเวลาของการจัดทำแผนยุทธศาสตร์เฉพาะเรื่อง หรือเฉพาะรายสาขา หรือแผนปฏิบัติการ (Action Plan) ให้สอดคล้องกับระยะเวลาของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
23600 | รายงานความก้าวหน้าโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ณ พื้นที่ราชพัสดุ ถนนทหาร (เกียกกาย) | มท | 14/07/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความก้าวหน้าโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ณ พื้นที่ราชพัสดุ ถนนทหาร (เกียกกาย) (ข้อมูล ณ วันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๘) ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลงานสะสมที่ทำได้ร้อยละ ๑๑.๒๕ ล่าช้ากว่าแผนร้อยละ ๖๕.๓๐ โดยมีความก้าวหน้าในงานก่อสร้างชั้นใต้ดิน ได้แก่ งานขุดและขนดิน งานประกอบโครงสร้างเสาเหล็ก งานฐานราก งานพื้นและเสาชั้น B2 งานติดตั้งเสาเหล็กชั้น B1 ๒. การส่งมอบพื้นที่ก่อสร้าง ยังไม่มีการส่งมอบพื้นที่เพิ่มเติม โดยได้ส่งมอบพื้นที่ก่อสร้างอาคารแล้ว ๑๐๒-๓-๗๖ ไร่ (คิดเป็นร้อยละ ๘๓.๕) ครอบคลุมพื้นที่ก่อสร้างอาคารหลักทั้งหมด เหลือพื้นที่ยังไม่ได้ส่งมอบ ๒๐-๐-๖๐ ไร่ ๓. การขนย้ายดินออกจากพื้นที่ก่อสร้าง ได้ขนย้ายดินออกจากพื้นที่ ๗๗๗,๒๒๘ ลูกบาศก์เมตร (ร้อยละ ๗๕.๒๕) เหลือดินในพื้นที่ต้องขนออก ๒๕๕,๕๙๐ ลูกบาศก์เมตร (ร้อยละ ๒๔.๗๕) ๔. ปัญหา/อุปสรรค ได้แก่ ปัญหาเรื่องการส่งมอบพื้นที่ที่เหลือยังส่งมอบไม่ได้ตามสัญญาก่อสร้าง ปัญหากรณีผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโครงการฯ ในพื้นที่ชุมชนบ้านพักองค์การทอผ้าร้องเรียนไปยังคณะรักษาความสงบแห่งชาติและนายกรัฐมนตรีเพื่อขอรับการชดเชยที่อยู่อาศัยเพิ่มเติม และปัญหากรณีชาวบ้านรุกล้ำเข้ามาในพื้นที่การก่อสร้างบริเวณก่อสร้างเขื่อนริมแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นอุปสรรคต่องานก่อสร้างเขื่อนริมแม่น้ำ
|
.....