ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1180 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 23581 - 23600 จากข้อมูลทั้งหมด 123961 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
23581 | การช่วยเหลืออพยพคนไทยออกจากประเทศเยเมน | กต | 16/06/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานในการช่วยเหลืออพยพคนไทยออกจากประเทศเยเมน ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงการต่างประเทศได้จัดตั้งศูนย์บัญชาการเพื่อช่วยเหลือคนไทยในเยเมน ณ กระทรวงการต่างประเทศ ถนนศรีอยุธยา ศูนย์ปฏิบัติการย่อยที่กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ กรมการกงสุล และศูนย์ปฏิบัติการล่วงหน้า ณ เมือง Salalah สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมัสกัต ประเทศโอมาน เพื่อร่วมปฏิบัติภารกิจสนับสนุนการอพยพนักศึกษาและคนไทยออกจากประเทศเยเมน โดย ณ วันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ ได้ช่วยเหลือนักศึกษาและคนไทยที่สมัครใจออกจากประเทศเยเมน จำนวน ๑๒๙ คน และมีรายงานการแจ้งกลับในวันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๕๘ จำนวน ๒๐ คน ทั้งนี้ มีนักศึกษาและคนไทยแจ้งไม่ประสงค์จะอพยพออกจากประเทศเยเมน จำนวน ๔๔ คน ซึ่งศูนย์ปฏิบัติการล่วงหน้าฯ ได้ติดต่อประสานงานกับนักศึกษาดังกล่าวอย่างใกล้ชิด และโดยที่เริ่มเข้าสู่เดือนรอมฎอม รวมทั้งพื้นที่ที่นักศึกษาที่แสดงความประสงค์จะยังคงพำนักอยู่ในเยเมนต่อไปนั้น อยู่ในบริเวณพื้นที่ที่ไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการสู้รบ ทางศูนย์ปฏิบัติการล่วงหน้าฯ จึงได้เคลื่อนย้ายการปฏิบัติงานดังกล่าวมายังสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมัสกัต (ซึ่งมีระยะห่าง ๑,๐๐๐ กิโลเมตร ใช้เวลาบิน ๑ ชั่วโมง) โดยสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมัสกัต และกรมการกงสุลจะเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์ในเยเมน รวมทั้งติดต่อกับกลุ่มนักศึกษา/คนไทยอย่างใกล้ชิด และพร้อมจะเข้าช่วยเหลืออพยพคนไทยเหล่านั้นทันที หากสถานการณ์การสู้รบในเยเมนทวีความรุนแรง ๒. ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน กระทรวงการต่างประเทศมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพื่อช่วยเหลืออพยพคนไทยออกจากประเทศเยเมน รวมทั้งสิ้นเป็นเงิน ๕,๕๓๑,๒๑๙.๗๑ บาท (ข้อมูล ณ วันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๕๘) คงเหลืองบประมาณ จำนวน ๓๖,๗๑๓,๒๘๐.๒๙ บาท |
||||||||||||||||||||||||
23582 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทบริหารระดับสูง (สำนักนายกรัฐมนตรี) (นางหิรัญญา สุจินัย) | นร | 16/06/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนางหิรัญญา สุจินัย ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
23583 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงคมนาคม) (นายสมชาย พิพุธวัฒน์ และนางปาริชาต คชรัตน์) | คค | 16/06/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงคมนาคม ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๒ ราย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อสับเปลี่ยนหมุนเวียน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้
๑. นายสมชาย พิพุธวัฒน์ ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. นางปาริชาต คชรัตน์ ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมการบินพลเรือน
|
||||||||||||||||||||||||
23584 | ขออนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (จำนวน 3 คน 1. นายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ฯลฯ) | ยธ | 16/06/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด จำนวน ๓ คน โดยมีวาระการดำรงตำแหน่ง ๒ ปี ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๖ มิถุนายน ๒๕๕๘) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. นายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ๒. นายชาติชาย สุทธิกลม ๓. นายอมรวิชช์ นาครทรรพ
|
||||||||||||||||||||||||
23585 | ขออนุมัติการประชุมเชิงปฏิบัติการและนิทรรศการระหว่างประเทศเพื่อผลักดันแนวปฏิบัติสหประชาชาติว่าด้วยการพัฒนาทางเลือกสู่การปฏิบัติ (International Seminar Workshop on the Implementation of United Nations Guiding Principles on Alternative Development - UNGPs on AD หรือ International Conference on Alternative Development2 : ICAD2) | ยธ | 16/06/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบและอนุมัติให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (สำนักงาน ป.ป.ส.) เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการและนิทรรศการระหว่างประเทศเพื่อผลักดันแนวปฏิบัติสหประชาชาติว่าด้วยการพัฒนาทางเลือกสู่การปฏิบัติ (International Seminar Workshop on the Implementation of United Nations Guiding Principles on Alternative Development-UNGPs on AD หรือ International Conference on Alternative Development 2 : ICAD2) ในระหว่างวันที่ ๑๙-๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ๑.๒ อนุมัติงบประมาณในการจัดประชุมฯ ในครั้งนี้ จำนวน ๔๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ๒. สำหรับงบประมาณในการจัดประชุมฯ ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ รองรับไว้แล้ว จำนวน ๑๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท และที่ได้เสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ไว้อีก จำนวน ๑๘,๐๐๐,๐๐๐ บาท และงบประมาณจากกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติด จำนวน ๑๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
||||||||||||||||||||||||
23586 | ขออนุมัติดำเนินการต่อโครงการ/รายการรายจ่ายลงทุนที่มีงบประมาณ ตั้งแต่ 50 ล้านบาทขึ้นไป ปีงบประมาณ 2558 | สลธ.คสช. | 16/06/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐเสนอ ดังนี้
๑. ให้ส่วนราชการที่มีความพร้อมผูกพันงบประมาณภายในเดือนมิถุนายน ๒๕๕๘ จำนวน ๕๙ โครงการ/รายการ วงเงิน ๑๐,๓๑๔.๐๔ ล้านบาท ดำเนินการผูกพันงบประมาณ โดยไม่ต้องดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง รายงานสถานภาพ ภาพรวมด้านงบประมาณ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘) ใหม่อีกครั้ง ๒. สำหรับโครงการ/รายการที่มีการลงนามในสัญญาแล้ว และการโอนงบประมาณเบิกจ่ายแทนแต่ดำเนินการในระบบไม่สมบูรณ์ ให้ส่วนราชการดำเนินการให้ครบถ้วนสมบูรณ์ภายในเดือนมิถุนายน ๒๕๕๘ ๓. สำหรับโครงการ/รายการที่ไม่พร้อมลงนามภายในเดือนมิถุนายน ๒๕๕๘ จำนวน ๓๘ โครงการ/รายการ วงเงิน ๔,๗๖๐.๑๙ ล้านบาท เป็นโครงการ/รายการที่ไม่สามารถเริ่มดำเนินการหรือก่อหนี้ได้ทันภายในระยะเวลาตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ (เรื่อง มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ เพิ่มเติม) และวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๕๘ (เรื่อง รายงานสถานภาพ ภาพรวมด้านงบประมาณ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘) จะต้องปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๕๘
|
||||||||||||||||||||||||
23587 | ผลการเยือนสิงคโปร์อย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี | กต | 16/06/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการเยือนสิงคโปร์อย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ ๑๑-๑๒ มิถุนายน ๒๕๕๘ และมอบหมายส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการเยือนต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. ความสัมพันธ์ทวิภาคี ได้แก่ การติดตามการทาบทามการเยือนไทยอย่างเป็นทางการของประธานาธิบดีในฐานะพระราชอาคันตุกะของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในโอกาสครบรอบ ๕๐ ปีการสถาปนาความสัมพันธ์ การเตรียมการเข้าร่วมงานเฉลิมการครบรอบ ๕๐ ปีการสถาปนาประเทศสิงคโปร์ของนายกรัฐมนตรีในฐานะผู้แทนพระองค์ และหัวหน้ารัฐบาลวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๕๘ และการเป็นเจ้าภาพการประชุมกรอบความร่วมมือทวิภาคี ได้แก่ Civil Service Exchange Program (CSEP) ครั้งที่ ๑๒ และการประชุม Singapore-Thailand Enhanced Economic Relationship (STEER) ครั้งที่ ๔ ในปี ๒๕๕๘ ๒. การค้าและการลงทุน ได้แก่ การเชิญชวนภาคเอกชนสิงคโปร์ร่วมลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษ โดยเฉพาะภาคบริการและโลจิสติกส์ และโครงการโครงสร้างพื้นฐานเพื่อส่งเสริมความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจและคมนาคม การดำเนินการตามความตกลงว่าด้วยการยกเว้นภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงรัษฎากรในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้ระหว่างไทยกับสิงคโปร์ ฉบับแก้ไข การดำเนินการตามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่าง Singapore Manufacturing Federation (SMF) กับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย การดำเนินการตามบันทึกความเข้าใจสำหรับความร่วมมือด้านการแลกเปลี่ยนข้อมูล ประสบการณ์และการเข้าร่วมกิจกรรมด้านการผลิตและการตลาดสินค้าประเภท Digital Content ระหว่างสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) กับ Media Development Authority (MDA) การอำนวยความสะดวกการลงทุนในศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานในประเทศไทย เช่น ท่าอากาศยานอู่ตะเภา และการกำหนดสัดส่วนถือกรรมสิทธิ์ในธุรกิจดังกล่าว การกระตุ้นบทบาทของสภาธุรกิจไทย-สิงคโปร์ การเพิ่มคลื่นความถี่ของสัญญาณโทรศัพท์มือถือ และการพิจารณาปรับปรุงกฎระเบียบเกี่ยวกับการเพิ่มทุนของธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศในไทย ๓. การศึกษา เทคโนโลยีสารสนเทศและทรัพยากรมนุษย์ ได้แก่ การเรียนรู้แนวปฏิบัติที่ดีด้านการศึกษา และการเรียนรู้ด้านเศรษฐกิจดิจิทัลของสิงคโปร์เพื่อนำมาปรับใช้ในการจัดตั้งกระทรวงดิจิทัลของไทย ๔. การท่องเที่ยว ได้แก่ การดำเนินการตามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างไทยกับสิงคโปร์ และการกำหนดจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวในสถานที่ต่าง ๆ ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และในประเทศไทย เช่น ภูเก็ต กระบี่ สงขลา พัทยา เกาะสมุย เป็นต้น ๕. ความมั่นคงและการทหาร ได้แก่ การพิจารณาให้สิงคโปร์ใช้พื้นที่ในไทยเพื่อการจัดเก็บยุทโธปกรณ์ และการส่งเสริมความร่วมมือด้าน cyber security ๖. อาเซียน ได้แก่ การร่วมมือกับสิงคโปร์ผ่านโครงการ Initiative for ASEAN Integration (IAI) เพื่อยกระดับการพัฒนาในภูมิภาคให้มีความใกล้เคียงกัน และการประสานสิงคโปร์เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ด้านการบริหารจัดการและการตลาดเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาราคาสินค้าเกษตรที่ตกต่ำ (ข้าวและยางพารา) ๗. สถานการณ์ในทะเลจีนใต้ ได้แก่ สนับสนุนสิงคโปร์ในการทำหน้าที่ประเทศผู้ประสานงานอาเซียน-จีนต่อจากไทยในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๘ และสนับสนุนให้อาเซียนและจีนเร่งรัดการดำเนินมาตรการเร่งด่วนควบคู่ไปกับการจัดทำแนวปฏิบัติในทะเลจีนใต้ให้เสร็จโดยเร็ว ๘. สถานการณ์ในภูมิภาค ได้แก่ การร่วมมือในการแก้ไขปัญหาภัยคุกคามด้านดิจิทัลและไซเบอร์ รวมทั้งสื่อออนไลน์
|
||||||||||||||||||||||||
23588 | ผลการเดินทางไปราชการ ณ สาธารณรัฐอิตาลี | กษ | 16/06/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการเดินทางไปราชการ ณ สาธารณรัฐอิตาลี ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การเข้าร่วมกิจกรรมพิเศษ “Recognizing notable and outstanding progress in fighting hunger” เมื่อวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๕๘ องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (Food and Agriculture Organization : FAO) ได้จัดพิธีมอบรางวัล (Achievement Award) ให้กับประเทศไทยและประเทศอื่น ๆ รวม ๗๒ ประเทศ เพื่อเชิดชูเกียรติประเทศเหล่านี้ที่บรรลุเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ (Millennium Development Goals : MDGs) โดยประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในประเทศที่บรรลุทั้งเป้าหมาย MDG 1.C และเป้าหมายของการประชุมอาหารโลก (World Food Summit : WFS) ซึ่งจัดประชุมไปเมื่อปี ๒๕๓๙ (ค.ศ. ๑๙๙๖) ๒. การประชุมสมัชชาองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO Conference) ครั้งที่ ๓๙ จัดขึ้นเมื่อวันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๕๘ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้กล่าวถ้อยแถลงมีสาระสำคัญเกี่ยวกับความก้าวหน้าของประเทศไทยในด้านการเกษตรและการพัฒนาชนบท การดำเนินการเพื่อความมั่นคงอาหาร โดยได้เน้นเรื่องการพัฒนาการเกษตรโดยความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน เรื่องมาตรฐานสินค้าเกษตร และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมควบคู่ไปกับการพัฒนาการเกษตรและชนบท ซึ่งมาตรการเหล่านี้ทำให้ประเทศไทยยังดำรงความเป็นประเทศเกษตรกรรมที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจส่วนรวมของประเทศ รวมทั้งการพัฒนาชนบทอย่างต่อเนื่องต่อไป ๓. การหารือทวิภาคีกับผู้อำนวยการองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ เมื่อวันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๕๘ โดยได้หารือเรื่อง FAO ขอให้ประเทศไทยเข้าเป็นสมาชิกสนธิสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยทรัพยากรพันธุกรรมพืชเพื่ออาหารและการเกษตร (The International Treaty on Plant Genetic Resource for Food and Agriculture : ITPGRFA) รวมทั้งการนำเรื่อง Agreement on Port State Measure ซึ่งเป็นมาตรฐานของ FAO มาใช้เป็นหลักการในการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมายในประเทศไทย
|
||||||||||||||||||||||||
23589 | รายงานสถานภาพ ภาพรวมด้านงบประมาณ ปีงบประมาณ 2558 | นร | 16/06/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานสถานภาพ ภาพรวมด้านงบประมาณ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗-๑๒ มิถุนายน ๒๕๕๘ มีการเบิกจ่ายเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจแล้วทั้งสิ้น ๒,๒๑๙,๘๗๘ ล้านบาท (รวมเงินลงทุนของรัฐวิสาหกิจและเงินทุนหมุนเวียนที่ไม่ได้เบิกจ่ายจากเงินงบประมาณ) เพิ่มขึ้นจากวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๘ จำนวน ๘๖,๗๑๗ ล้านบาท ตามที่สำนักงบประมาณและกระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) เสนอ ๒. เห็นชอบแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการใช้จ่ายงบประมาณ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง รายงานสถานภาพ ภาพรวมด้านงบประมาณ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘) ตามที่สำนักงบประมาณและกระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) เสนอ ดังนี้ ๒.๑ กรณีโครงการ/รายการซึ่งรัฐมนตรีที่รับผิดชอบและกำกับดูแลการปฏิบัติราชการพิจารณาให้ความเห็นชอบแล้วตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ (เรื่อง มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ เพิ่มเติม) และวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๕๘ (เรื่อง รายงานสถานภาพ ภาพรวมด้านงบประมาณ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘) และได้เริ่มดำเนินงานหรือดำเนินการตั้งแต่ขั้นตอนประกาศเชิญชวน แต่ยังไม่สามารถก่อหนี้ผูกพันได้ทันภายในเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๘ สามารถดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง ให้หน่วยงานดำเนินโครงการ/รายการต่อไปได้ โดยไม่ต้องเสนอรัฐมนตรีที่รับผิดชอบและกำกับดูแลการปฏิบัติราชการพิจารณาใหม่อีกครั้ง และเร่งรัดให้เริ่มดำเนินงานหรือก่อหนี้ผูกพันให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๘ ๒.๒ กรณีโครงการ/รายการอื่น ๆ ที่ยังไม่ได้เสนอให้รัฐมนตรีที่รับผิดชอบและกำกับดูแลการปฏิบัติราชการพิจารณา ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานอื่น และผู้ว่าราชการจังหวัด ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๕๘ อย่างเคร่งครัดต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
23590 | แนวทางปฏิบัติกรณีการขออนุมัติใช้เงินงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายชดใช้เงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน | นร07 | 16/06/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการแนวทางปฏิบัติกรณีการขออนุมัติใช้เงินงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายชดใช้เงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน ให้ส่วนราชการเสนอเรื่องต่อรัฐมนตรีเจ้าสังกัดพิจารณาเห็นชอบก่อน เพื่อให้ส่วนราชการถือปฏิบัติต่อไป ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
23591 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ | นร | 16/06/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๕๘ และรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยมอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) รับข้อสังเกตดังกล่าวประสานกับคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป ๒. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) เป็นผู้ชี้แจงและประสานเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ..) พุทธศักราช .... ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ในวันพฤหัสบดีที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๕๘
|
||||||||||||||||||||||||
23592 | สถานการณ์น้ำท่วมกรุงเทพมหานคร | มท | 16/06/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยรายงานว่า ในช่วงวันที่ ๗-๘ มิถุนายน ๒๕๕๘ เกิดฝนตกหนักในพื้นที่กรุงเทพมหานครเกินกว่า ๑๐๐ มิลลิเมตร มากกว่าค่าเฉลี่ยร้อยละ ๑๕๖.๖ ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมในหลายพื้นที่ เช่น ถนนอโศกมนตรี ถนนสุขุมวิท ถนนลาดพร้าว โดยมีฝนตกเฉลี่ยสูงสุดในเขตคลองเตย ๑๔๑ มิลลิเมตร ซึ่งส่งผลกระทบต่อการสัญจรของประชาชนเป็นจำนวนมาก กระทรวงมหาดไทยจึงได้ดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ ๑.๑ ประชุมมอบหมายหน้าที่ โดยให้กรุงเทพมหานครดูแลเรื่องระบบระบายน้ำ สำนักงานตำรวจแห่งชาติดูแลเรื่องการจราจร กองทัพบกและกระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย/อาสาสมัคร) ดูแลเรื่องการจัดหากำลังพลเพื่อช่วยเข็นรถ ซ่อมรถ กรณีที่รถเกิดอุบัติเหตุหรือรถเสีย กระทรวงศึกษาธิการ (สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา) ดูแลเรื่องช่างซ่อมรถพร้อมเครื่องมือ และการไฟฟ้านครหลวงเตรียมความพร้อมกรณีเกิดไฟฟ้าดับบริเวณจุดสูบน้ำ ทั้งนี้ ให้ทุกหน่วยพร้อมปฏิบัติงานตลอด ๒๔ ชั่วโมง ๑.๒ กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจัดตั้งศูนย์ประสานการปฏิบัติการช่วยเหลือประชาชนกรณีน้ำท่วมในพื้นที่กรุงเทพมหานคร โดยศูนย์ประสานการปฏิบัติการฯ ได้ประสานกรุงเทพมหานคร กองทัพบก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่ และให้เขตต่าง ๆ บริหารจัดการพื้นที่ของตนเองมิให้มีขยะขนาดใหญ่มากีดขวางเส้นทางของอุโมงค์ระบายน้ำ พร้อมส่งกำลังเจ้าหน้าที่เพื่อสนับสนุนการแก้ไขปัญหาจราจรบริเวณอุโมงค์ดินแดง รวมทั้งอำนวยความสะดวกและให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชน ๑.๓ ประสานการปฏิบัติงานกับเจ้าหน้าที่การไฟฟ้านครหลวงเร่งซ่อมแซมไฟฟ้าให้ใช้การได้โดยเร็วเพื่อให้เครื่องสูบน้ำสามารถทำงานได้ตามปกติ ๒. มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยประสานกรุงเทพมหานครและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดูแลเรื่องการระบายน้ำในช่วงที่มีฝนตกเพื่อไม่ให้เกิดกรณีน้ำท่วมขังบริเวณเส้นทางสัญจรและบ้านเรือนของประชาชน โดยตรวจสอบดูแลเครื่องมือต่าง ๆ เครื่องสูบน้ำให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอ เป็นต้น พิจารณาหามาตรการหรือจัดให้มีระบบสำรองเพื่อรองรับเหตุกรณีไฟฟ้าดับ รวมทั้งดูแลเรื่องการจัดเก็บขยะโดยเฉพาะบริเวณแนวเขตเครื่องสูบน้ำและอุโมงค์ระบายน้ำเพื่อไม่ให้ขยะกีดขวางหรืออุดตันเครื่องสูบน้ำและอุโมงค์ระบายน้ำ
|
||||||||||||||||||||||||
23593 | มาตรการช่วยเหลือเยียวยาสำหรับผู้ประสบปัญหาภัยแล้ง | กษ | 16/06/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงมหาดไทยร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเสนอมาตรการช่วยเหลือเยียวยาสำหรับผู้ประสบปัญหาภัยแล้งให้คณะกรรมการรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจพิจารณาในวันพุธที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๘
|
||||||||||||||||||||||||
23594 | การจัดทำแผนงานเกี่ยวกับการเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคมและการลงทุนด้านคมนาคมขนส่ง | นร04 | 16/06/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้กระทรวงคมนาคม กระทรวงการคลัง และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติร่วมกันดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (๙ มิถุนายน ๒๕๕๘) เกี่ยวกับการจัดทำแผนการเชื่อมโยงเส้นทางและการลงทุน แผนการดำเนินงานของแต่ละโครงการ ตามห้วงเวลา และแผนการจัดหาเงินลงทุน (Financing) และรูปแบบการลงทุน เพื่อเสนอคณะกรรมการรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจพิจารณาในวันพุธที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๘
|
||||||||||||||||||||||||
23595 | การให้พนักงานอัยการเป็นผู้แก้ต่างดคีให้แก่เจ้าหน้าที่ของรัฐ | นร05 | 16/06/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการและมอบให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมรับความเห็นของคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการให้พนักงานอัยการเป็นผู้แก้ต่างคดีให้แก่เจ้าหน้าที่ของรัฐประสานกับสำนักงานอัยการสูงสุดต่อไป ดังนี้
๑. ปัจจุบันพนักงานอัยการมีอำนาจหน้าที่ในการรับแก้ต่างในคดีแพ่ง คดีปกครอง หรือคดีอาญาให้แก่ส่วนราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐตามพระราชบัญญัติองค์กรอัยการและพนักงานอัยการ พ.ศ. ๒๕๕๓ และมติคณะรัฐมนตรี (๑๒ ธันวาคม ๒๕๔๙) อยู่แล้ว แต่พนักงานอัยการจะไม่รับแก้ต่างให้แก่เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ซึ่งถูกหน่วยงานของรัฐ เช่น คณะกรรมการ ป.ป.ช. ฟ้องคดีในกรณีที่พนักงานอัยการรับดำเนินการฟ้องคดีแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้น ๒. ที่ผ่านมาปรากฏว่า มีเจ้าหน้าที่ของรัฐถูกฟ้องคดีอันเนื่องมาจากการปฏิบัติหน้าที่ทางราชการโดยไม่ใช่พนักงานอัยการเป็นผู้ดำเนินการฟ้องคดี เช่น กรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช. ดำเนินการฟ้องคดีเอง เพราะพนักงานอัยการมีความเห็นไม่ควรฟ้อง เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ถูกฟ้องคดีจึงต้องว่าจ้างทนายความในการแก้ต่างคดีด้วยตนเอง นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ของรัฐที่ได้ปฏิบัติตามหน้าที่ทางราชการย่อมได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ อยู่แล้ว ดังนั้น เพื่อเป็นการคุ้มครองสิทธิของเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ถูกฟ้องคดีอันเนื่องมาจากการปฏิบัติหน้าที่ทางราชการในกรณีดังกล่าว เห็นควรประสานกับสำนักงานอัยการสูงสุดให้พนักงานอัยการพิจารณารับแก้ต่างให้แก่เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ถูกฟ้องคดีในกรณีตามข้อ ๑ และข้อ ๒ ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
23596 | รายงานความก้าวหน้าโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ณ พื้นที่ราชพัสดุ ถนนทหาร (เกียกกาย) | มท | 16/06/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความก้าวหน้าโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ณ พื้นที่ราชพัสดุ ถนนทหาร (เกียกกาย) ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลงานสะสมที่ทำได้ คิดเป็นร้อยละ ๑๐.๔๗ ล่าช้ากว่าแผนร้อยละ ๖๒.๓๘ ๒. การส่งมอบพื้นที่ก่อสร้าง ปัจจุบันได้ส่งมอบพื้นที่ก่อสร้างอาคารหลักทั้งหมดแล้วตั้งแต่วันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๕๗ โดยเหลือพื้นที่ที่ยังไม่ได้ส่งมอบอีกประมาณ ๒๐ ไร่ ซึ่งเป็นพื้นที่ในส่วนของงานปรับภูมิทัศน์ ๓. การขนย้ายดินออกจากพื้นที่ก่อสร้าง จากปริมาณดินทั้งหมด ๑,๐๔๓,๖๙๐ ลูกบาศก์เมตร ขนดินออกจากพื้นที่ได้แล้ว ๗๖๓,๒๓๐ ลูกบาศก์เมตร เหลือดินในพื้นที่ต้องขนออก ๒๘๐,๔๖๐ ลูกบาศก์เมตร ๔. ปัญหา/อุปสรรคในการดำเนินงาน ได้แก่ ปัญหาอุปสรรคในเรื่องการมอบพื้นที่ยังส่งมอบไม่ได้ตามสัญญาก่อสร้างกระทบกับแผนงานก่อสร้าง ปัญหากรณีผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโครงการฯ ในพื้นที่ชุมชนบ้านพักองค์การทอผ้าร้องเรียนไปยังคณะรักษาความสงบแห่งชาติและนายกรัฐมนตรีเพื่อขอรับการชดเชยที่อยู่อาศัยเพิ่มเติม และปัญหากรณีชาวบ้านรุกล้ำเข้ามาในพื้นที่การก่อสร้างอาคารรัฐสภาบริเวณก่อสร้างเขื่อนริมแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นอุปสรรคต่องานก่อสร้างเขื่อนริมแม่น้ำ
|
||||||||||||||||||||||||
23597 | การดำเนินงานด้านผังเมืองกับการพัฒนาอุตสาหกรรม | มท | 16/06/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบการชี้แจงกรณีสื่อมวลชนเสนอข่าวเกี่ยวกับการพัฒนาอุตสาหกรรมและกฎหมายผังเมือง ตามที่กระทรวงมหาดไทยรายงาน สรุปได้ว่า เนื่องจากมีการนำเสนอข่าวที่มีเนื้อหากล่าวถึงการลดพื้นที่อุตสาหกรรมของผังเมืองรวมบริเวณอุตสาหกรรมหลักและชุมชน จังหวัดระยอง (ผังมาบตาพุด) ทำให้ไม่สามารถขยายการลงทุนของภาคอุตสาหกรรม และการกำหนดเป็นที่ดินประเภทชนบทและเกษตรกรรม (สีเขียว) ทำให้ไม่สามารถสร้างเตาเผาขยะผลิตไฟฟ้าขององค์การบริหารส่วนจังหวัดระยองกับกลุ่มบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้ รวมทั้งมีข้อเสนอให้เตาเผาขยะสามารถสร้างในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศได้โดยไม่ติดกฎหมายผังเมือง จึงมีความจำเป็นที่ต้องสร้างความเข้าใจต่อประเด็นปัญหาที่เกี่ยวข้องเพื่อไม่ให้ส่งผลด้านการลงทุนอันจะกระทบต่อระบบเศรษฐกิจในภาพรวม โดยมีประเด็นการดำเนินงานที่ควรชี้แจงให้ทราบ ๓ ประเด็น ดังนี้ ๑.๑ ประเด็นไม่สามารถดำเนินการก่อสร้างโรงงานผลิตพลังงานไฟฟ้าและการกำจัดขยะได้ในกรณีของผังเมืองรวมจังหวัดที่ได้มีการประกาศใช้บังคับไปแล้ว จำนวน ๑๙ จังหวัด ๑.๒ ประเด็นการลดพื้นที่อุตสาหกรรมของผังเมืองรวมบริเวณอุตสาหกรรมหลักและชุมชน จังหวัดระยอง (ผังมาบตาพุด) ๑.๓ ประเด็นไม่สามารถดำเนินการก่อสร้างเตาเผาขยะขององค์การบริหารส่วนจังหวัดระยอง ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสร้างการรับรู้เกี่ยวกับความจำเป็นและประโยชน์ในการก่อสร้างเตาเผาขยะและโรงงานผลิตพลังงานไฟฟ้าจากขยะให้กับประชาชนได้รับทราบเพื่อไม่ให้เกิดการต่อต้านและคัดค้านจากประชาชนในพื้นที่ต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
23598 | ผลการประชุมความร่วมมือระบบรางระดับรัฐมนตรี ระหว่างกระทรวงคมนาคมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน การขนส่ง และการท่องเที่ยวแห่งญี่ปุ่น | คค | 16/06/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมความร่วมมือระบบรางระดับรัฐมนตรีระหว่างกระทรวงคมนาคมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน การขนส่ง และการท่องเที่ยวแห่งญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ ๒๖-๒๗ พฤษภาคม ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. ผลการหารือระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงที่ดินฯ ของญี่ปุ่น ๑.๑ การก่อสร้างโครงการรถไฟความเร็วสูง เส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ทั้งสองฝ่ายจะร่วมมือกันในการดำเนินโครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง เส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ โดยใช้เทคโนโลยีชินคันเซ็นของญี่ปุ่น ๑.๒ การพัฒนาเส้นทางแนวเศรษฐกิจด้านใต้ เส้นทางกาญจนบุรี-กรุงเทพฯ-แหลมฉบัง กรุงเทพฯ-อรัญประเทศ อยู่ในแผนงานที่ทั้งสองฝ่ายจะร่วมมือกันต่อไป ซึ่งนอกจากจะเป็นเส้นทางเชื่อมต่อการเดินทางของประชาชนแล้ว ยังเป็นการเชื่อมต่อพื้นที่ระหว่างทวาย-กาญจนบุรี-กรุงเทพฯ-อรัญประเทศ และต่อไปยังเวียดนาม ๑.๓ การพัฒนาเส้นทางแม่สอด-มุกดาหาร (Upper East-West Corridor) ทั้งสองฝ่ายจะหารือร่วมกันเกี่ยวกับการศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาระบบรถไฟในเส้นทางแม่สอด-มุกดาหาร ตามแนวเศรษฐกิจด้านตะวันออก-ตะวันตก ๑.๔ โครงการรถไฟฟ้าในเขตเมือง ฝ่ายญี่ปุ่นจะเร่งดำเนินการส่งมอบขบวนรถไฟฟ้าสายสีม่วง (บางใหญ่-บางซื่อ) ๓ ขบวนแรก ในปลายเดือนกันยายน ๒๕๕๘ และจะส่งมอบครบทั้ง ๒๑ ขบวนภายในปีนี้ โดยจะเริ่มทดสอบระบบและทดลองการเดินรถก่อนเปิดให้บริการประชาชนได้ในกลางปี ๒๕๕๙ ๑.๕ ความร่วมมือด้านการขนส่งทางอากาศ ทั้งสองฝ่ายรับทราบว่า กรมการบินพลเรือน และสำนักการบินพลเรือนญี่ปุ่น (Japan Civil Aviation Bureau : JCAB) ได้ตกลงกันเพื่อประกันความปลอดภัยในการเดินอากาศระหว่างประเทศ โดย JCAB จะอนุญาตให้สายการบินของไทยที่ทำการบินแบบประจำและสายการบินที่ให้บริการแบบเช่าเหมาลำ สามารถทำการบินไปยังญี่ปุ่นได้ภายใต้บันทึกความเข้าใจระหว่างกรมการบินพลเรือนและ JCAB ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๕๘ ๒. การลงนามบันทึกความร่วมมือด้านระบบรางระหว่างกระทรวงคมนาคมแห่งราชอาณาจักรไทย และกระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน การขนส่งและการท่องเที่ยวแห่งญี่ปุ่น รัฐมนตรีทั้งสองได้ร่วมลงนามบันทึกความร่วมมือด้านระบบราง โดยทั้งสองกระทรวงจะร่วมกันพัฒนารถไฟความเร็วสูงเส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ และการพัฒนาและ/หรือปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟในเส้นทางแนวเศรษฐกิจด้านใต้ (กาญจนบุรี-กรุงเทพฯ-แหลมฉบัง กรุงเทพฯ-อรัญประเทศ) รวมทั้งจะหารือร่วมกันเกี่ยวกับการศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาระบบรถไฟในเส้นทางแม่สอด-มุกดาหาร ตามแนวระเบียงเศรษฐกิจด้านตะวันออก-ตะวันตก ตลอดจนการศึกษาการพัฒนาระบบขนส่งสินค้าทางรางของไทย และศึกษาความเหมาะสมเส้นทางกรุงเทพฯ-ระยอง ซึ่งทั้งสองฝ่ายจะจัดตั้งคณะกรรมการบริหารร่วมระดับรัฐมนตรีเพื่อกำกับการดำเนินงานตามบันทึกความร่วมมือฉบับนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงที่ดินฯ ของญี่ปุ่น จะเป็นประธานร่วม และจะจัดตั้งคณะทำงานเพื่อดำเนินงานร่วมกัน ประกอบด้วย (๑) คณะทำงานโครงการรถไฟความเร็วสูง เส้นทาง กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ (๒) คณะทำงาน เส้นทาง กาญจนบุรี-กรุงเทพฯ กรุงเทพฯ-ฉะเชิงเทรา-อรัญประเทศ กรุงเทพฯ-ฉะเชิงเทรา-แหลมฉบัง และ (๓) คณะทำงานด้านการเงินและรูปแบบการลงทุน
|
||||||||||||||||||||||||
23599 | รายงานผลการดำเนินงานโครงการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยเพื่อคนยากจนที่บุกรุกที่ดินสาธารณะจังหวัดปทุมธานี "ปทุมธานีโมเดล" | พม | 16/06/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินงานโครงการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยเพื่อคนยากจนที่บุกรุกที่ดินสาธารณะจังหวัดปทุมธานี “ปทุมธานีโมเดล” ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ คณะทำงานตรวจสอบการเปลี่ยนสภาพที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินใช้ในการแก้ไขปัญหาคนยากจนบุกรุกที่สาธารณะได้นำเสนอรูปแผนที่คลองเชียงรากใหญ่ จำลองจากระวางแผนที่ (ไม่ได้รังวัดหน้างานจริง) เนื้อที่โดยประมาณ ๔๒-๑-๓๘.๖ ไร่ ไว้สำหรับจัดสรรให้กับประชาชนและมีการจัดทีมลงสำรวจข้อมูลผู้เดือดร้อนรายครัวเรือน จับพิกัด GPS จำนวน ๑๐ ชุมชน ๑,๐๖๐ ครัวเรือน และประสานคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการผังเมือง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อออกแบบแนวทางการพัฒนาที่อยู่อาศัย โดยได้เปิดเวทีประชาพิจารณ์ทำความเข้าใจเกี่ยวกับนโยบายการพัฒนาชุมชนริมคลองให้กับประชาชนกลุ่มเป้าหมาย จำนวน ๓๖๔ ครัวเรือน รวมทั้งได้จัดกิจกรรมแถลงข่าวเปิดตัวโครงการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยเพื่อคนยากจนที่บุกรุกที่ดินสาธารณะจังหวัดปทุมธานี “ปทุมธานีโมเดล” เพื่อสร้างความเข้าใจให้กับประชาชนที่บุกรุกที่ดินสาธารณะ เผยแพร่ ประชาสัมพันธ์โครงการ และสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน ซึ่งได้มีการลงนามบันทึกความร่วมมือระหว่างหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างเจตนารมณ์ร่วมกันในการดำเนินงานโครงการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยเพื่อรองรับนโยบายรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาการบุกรุกคลองตามมาตรการจัดระเบียบแก้ไขปัญหาชุมชนแออัด และการก่อสร้างที่อยู่อาศัยรุกล้ำลำคลองและการระบายน้ำ ๑.๒ ในระยะต่อไป จะดำเนินการเรื่องที่ดินเพื่อให้สามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการจัดสรรที่อยู่อาศัย ลงพื้นที่ทำความเข้าใจรายชุมชน/จัดตั้งกลุ่มออมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัยระยะแรก จำนวน ๓๖๔ ครัวเรือน ในพื้นที่เทศบาลท่าโขลง จำนวน ๕ ชุมชน ได้แก่ ชุมชนวัดบางขัน ชุมชนบัวหลวง ชุมชนวันครู ชุมชนคุณหญิงส้มจีน และชุมชนท่าโขลง และในส่วนพื้นที่เทศบาลคลองหลวง จะมีการเปิดเวทีประชุมประชาพิจารณ์ เพื่อทำความเข้าใจร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการจัดทำข้อมูลผู้เดือดร้อนเพิ่มเติม เพื่อนำไปสู่การพิจารณาสิทธิในการพัฒนาที่อยู่อาศัยในพื้นที่ปทุมธานีโมเดลต่อไป ๒. มอบหมายให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยเพื่อคนยากจนที่บุกรุกพื้นที่สาธารณะในภาพรวมทั้งประเทศ โดยยึดหลักการจัดหาที่อยู่อาศัยตามความต้องการของชุมชนเพื่อให้มีที่อยู่อาศัยที่ดีขึ้นและเหมาะสม ซึ่งอาจพิจารณาถึงความเป็นไปได้ที่ชุมชนจะสามารถอยู่อาศัยในพื้นที่เดิม โดยในเขตกรุงเทพมหานคร เช่น ชุมชนที่อาศัยอยู่บริเวณพื้นที่ริมคลองอาจสร้างอาคารสูงในพื้นที่เดิมเพื่อเป็นที่อยู่อาศัย และนำพื้นที่ที่เหลือไปใช้เพื่อเป็นสาธารณประโยชน์ เช่น สวนสาธารณะ ลานกีฬา ร้านอาหาร สถานที่พักผ่อนในชุมชม เป็นต้น ส่วนในต่างจังหวัดควรดำเนินการในพื้นที่ใกล้เขตเศรษฐกิจพิเศษเป็นลำดับแรก และบริเวณพื้นที่เลียบทางรถไฟที่จะก่อสร้าง ตามแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๕ และแผนปฏิบัติการด้านคมนาคมขนส่งระยะเร่งด่วน พ.ศ. ๒๕๕๘ รวมทั้งในการก่อสร้างที่อยู่อาศัย อาจดำเนินการโดยให้ภาคเอกชนร่วมดำเนินการ และพิจารณาปรับปรุงที่อยู่อาศัยที่ยังจำหน่ายไม่หมดของบริษัทเอกชน เพื่อนำมาดำเนินการกับที่อยู่อาศัยในโครงการของรัฐ เช่น โครงการบ้านเอื้ออาทรที่ยังจำหน่ายไม่หมด (ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๕๘) ทั้งนี้ ให้เสนอแผนดังกล่าวให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาภายในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๘ และเร่งรัดดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน ๑-๒ ปี
|
||||||||||||||||||||||||
23600 | สรุปผลการดำเนินการลดค่าเช่านา ปีการผลิต 2557/58 และแนวทางการดำเนินการควบคุมค่าเช่านา ปีการผลิต 2558/59 | มท | 16/06/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้
๑. สรุปผลการดำเนินการลดค่าเช่านา ปีการผลิต ๒๕๕๗/๕๘ ๑.๑ ผู้เช่านา จำนวน ๓๘๐,๙๖๕ ราย ๑.๒ ผู้ให้เช่านา จำนวน ๔๑๑,๕๑๙ ราย ๑.๓ อัตราค่าเช่านาต่อไร่ที่คณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบล (คชก. ตำบล) ประกาศลด สรุปผลรายภาค ได้แก่ ภาคกลาง จากเดิมไร่ละ ๑,๐๐๐-๒,๐๐๐ บาท เหลือไร่ละ ๑,๐๐๐-๑,๕๐๐ บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จากเดิมไร่ละ ๑,๐๐๐-๑,๒๐๐ บาท เหลือไร่ละ ๘๐๐-๑,๒๐๐ บาท ภาคเหนือ จากเดิมไร่ละ ๑,๐๐๐-๑,๘๐๐ บาท เหลือไร่ละ ๘๐๐-๑,๒๐๐ บาท และภาคใต้ จากเดิมไร่ละ ๑,๐๐๐ บาท เหลือไร่ละ ๘๐๐ บาท ๑.๔ สามารถเจรจาเพื่อลดค่าเช่านาลงได้ทุกราย จำนวน ๓๘๐,๙๖๕ ราย ๑.๕ สามารถลดค่าเช่านาลงได้ เฉลี่ยไร่ละ ๒๐๐-๘๑๖ บาท ๑.๖ เกษตรกรได้รับการลดค่าเช่านาลงเฉลี่ยรายละ ๖๓๑-๒๒,๒๓๘ บาท ๑.๗ จำนวนเงินที่สามารถเจรจาลดค่าเช่านาลงได้ ๓๔๒,๑๓๙,๓๐๘ บาท ๒. แนวทางการดำเนินการควบคุมค่าเช่านา ปีการผลิต ๒๕๕๘/๕๙ ๒.๑ แจ้งจังหวัดให้จัดประชุมนายอำเภอและเกษตรอำเภอเพื่อทบทวนผลการดำเนินการควบคุมค่าเช่านา ในฤดูการผลิตที่ผ่านมา หากพบว่าในพื้นที่ยังมีการเรียกเก็บค่าเช่านาไม่เป็นไปตามอัตรา คชก. ตำบลที่คณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลกำหนด ให้จังหวัดกำหนดมาตรการควบคุมค่าเช่านาให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๒๔ ๒.๒ ทบทวนบัญชีรายชื่อผู้เช่านาและผู้ให้เช่านาให้เป็นปัจจุบัน ๒.๓ ตรวจสอบการจ่ายค่าเช่านาในรอบปีที่ผ่านมา (ฤดูการผลิต ๒๕๕๗/๕๘) หากพบว่ามีการเรียกเก็บค่าเช่านาเกินกว่าที่ คชก. ตำบล กำหนด ให้ คชก. ตำบลแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ให้เช่าทุกราย ๒.๔ แจ้งให้ผู้เช่านาและผู้ให้เช่านาทราบอัตราค่าเช่าขั้นสูงที่ คชก. ตำบล กำหนด ในฤดูการผลิตปี ๒๕๕๘/๕๙ และแจ้งบทกำหนดโทษ หากมีการเรียกหรือรับค่าเช่านาเกินกว่าอัตราขั้นสูงที่ คชก. ตำบล กำหนด จะต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ๒.๕ กำหนดช่องทางการร้องเรียน ร้องทุกข์และประชาสัมพันธ์ให้แก่ผู้เช่านาและผู้ให้เช่านาทราบทุกราย ๒.๖ ดำเนินการควบคุมค่าเช่านาทุกรายในพื้นที่ให้มีการเช่านาในอัตราที่เหมาะสม และไม่เกินอัตราค่าเช่าขั้นสูงที่ คชก. ตำบล กำหนด ๒.๗ มอบหมายให้ คชก. ตำบล ชุดปฏิบัติการประจำตำบล กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และคณะกรรมการหมู่บ้าน ติดตามตรวจสอบและควบคุมการเช่านาในพื้นที่ให้เกิดความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย พร้อมจัดทำป้ายแสดงอัตราค่าเช่านาประจำตำบลให้ประชาชนทราบอย่างน้อย จำนวน ๑ ป้าย
|
.....