ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1172 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 23421 - 23440 จากข้อมูลทั้งหมด 124231 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
23421 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ | อื่นๆ | 04/08/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๕๘ และรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยมอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) รับข้อสังเกตดังกล่าวประสานกับคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป และให้เสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ในส่วนที่เกี่ยวกับการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัวผู้ที่ถูกปล่อยชั่วคราว หลักเกณฑ์การบังคับคดีผู้ประกัน และการอุทธรณ์คำสั่งศาลที่ไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว) ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน ๒. อนุมัติให้ถอนร่างพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ตำรวจกองประจำการ) ออกจากการพิจารณาของคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และมอบให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวไปตรวจพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง โดยให้รับข้อสังเกตของคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติไปประกอบการพิจารณา และให้เชิญผู้แทนคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติและผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติร่วมพิจารณาด้วย และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
23422 | ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ในส่วนที่เกี่ยวกับการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัวผู้ที่ถูกปล่อยชั่วคราว หลักเกณฑ์การบังคับคดีผู้ประกัน และการอุทธรณ์คำสั่งศาลที่ไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว) | นร | 04/08/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๕๘ และให้เสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ในส่วนที่เกี่ยวกับการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัวผู้ที่ถูกปล่อยชั่วคราว หลักเกณฑ์การบังคับคดีผู้ประกัน และการอุทธรณ์คำสั่งศาลที่ไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว) ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน
|
|||||||||||||||||||||
23423 | ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเดือนพฤษภาคม 2558 | อก | 28/07/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาวะอุตสาหกรรมเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๘ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๘ เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมาร้อยละ ๙.๔ แต่ลดลงร้อยละ ๗.๖ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อุตสาหกรรมสำคัญที่ลดลง อาทิ Hard Disk Drive รถยนต์ โทรทัศน์ เบียร์ และเครื่องประดับ โดยกลุ่มที่ผลิตเพื่อตอบสนองในประเทศ (สัดส่วนส่งออกน้อยกว่าร้อยละ ๓๐) ยังคงขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ ๑.๔๓ อาทิ การกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม การเปิดปิดโรงงาน มีโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการ จำนวน ๓๗๓ ราย เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน ๒๕๕๘ ร้อยละ ๖.๙ และโรงงานที่ปิดดำเนินกิจการ จำนวน ๑๒๖ ราย มากกว่าเดือนเมษายน ๒๕๕๘ ร้อยละ ๔๓.๑๘ การขอรับการส่งเสริมการลงทุน มีจำนวนโครงการที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI ทั้งสิ้น ๓๐๖ โครงการ เงินลงทุน ๔๘,๒๕๐ ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ ๓๕.๐๓ และ ๘๓.๘ ตามลำดับ การนำเข้าเครื่องจักรอุตสาหกรรมและเครื่องมือกล มีมูลค่า ๑,๐๑๖ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวร้อยละ ๑๕.๓ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน การใช้ไฟฟ้าของภาคอุตสาหกรรมการผลิต มีปริมาณทั้งหมด จำนวน ๑๐,๖๑๐.๘ ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมง เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๒.๕ จากเดือนเมษายน ๒๕๕๘ (๙,๔๒๗.๗ ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมง) และเพิ่มขึ้นร้อยละ ๒.๓ จากช่วงเดียวกันของปี ๒๕๕๗ (๑๐,๓๒๗.๙ ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมง) ๒. ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมของไทยเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๘ เปรียบเทียบกับประเทศสำคัญในเอเชีย การผลิตในภาคอุตสาหกรรมไทยเมื่อพิจารณาจากดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (Manufacturing Production Index : MPI) เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ติดลบหรือหดตัวร้อยละ ๗.๖ อุตสาหกรรมสำคัญที่ส่งผลให้การผลิตลดลง คือ Hard Disk Drive รถยนต์ โทรทัศน์ เบียร์ และเครื่องประดับ เป็นต้น โดยการผลิตในภาคอุตสาหกรรมประเทศเกาหลีใต้และไต้หวัน หดตัวร้อยละ ๒.๘ และร้อยละ ๒.๖ ตามลำดับ สำหรับข้อมูลการผลิตในภาคอุตสาหกรรมประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซีย ประจำเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๘ ยังไม่มีการเผยแพร่ แต่ยังมีแนวโน้มขยายตัวเป็นบวกต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้า โดยในเดือนเมษายน ๒๕๕๘ การผลิตภาคอุตสาหกรรมขยายตัวร้อยละ ๔.๑ และ ๕.๘ ตามลำดับ
|
|||||||||||||||||||||
23424 | ผลการประชุมผู้นำลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น ครั้งที่ 7 (7th Mekong - Japan Summit) และกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง | กต | 28/07/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมผู้นำลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น ครั้งที่ ๗ (7th Mekong-Japan Summit) ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ ๓-๔ กรกฎาคม ๒๕๕๘ และมอบหมายส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุมดังกล่าว ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ประเด็นภายใต้การประชุมผู้นำลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น ครั้งที่ ๗ (7th Mekong-Japan Summit) ได้แก่ การจัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจผลักดันและขับเคลื่อนการปฏิบัติงานด้านเศรษฐกิจในภาพรวมทั้งในประเทศและต่างประเทศให้เป็นแนวทางเดียวกัน การขับเคลื่อนความร่วมมือภายใต้กรอบลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น การพัฒนาความเชื่อมโยงในอนุภูมิภาค การส่งเสริมการลงทุนในลักษณะ “บวกหนึ่ง” การพัฒนาและสนับสนุนการลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย การยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในอนุภูมิภาค และการผลักดันโครงการต่าง ๆ ภายใต้ความร่วมมือลุ่มน้ำโขง-ญี่ปุ่นด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม (MJ-CI) การฝึกอบรมพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานในอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพ การจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษในบริเวณชายแดน และการสนับสนุนโครงการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในด้านต่าง ๆ การจัดประชุม Green Mekong Forum รวมทั้งการส่งเสริมความร่วมมือภายใต้กรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น และการสร้างเครือข่ายกับเอกชนประเทศสมาชิกทั้งในระดับประเทศและท้องถิ่น ๑.๒ ประเด็นภายใต้การหารือทวิภาคี ได้แก่ การค้าสินค้าเกษตร โครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนและโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย ความร่วมมือเพื่อยกระดับขีดความสามารถของไทย และความร่วมมือด้านพลังงาน ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการแก้ไขจำนวนเงินกู้สำหรับการพัฒนาเส้นทางบ้านพุน้ำร้อน-ทวาย เพื่อเชื่อมโยงเขตเศรษฐกิจทวายเข้ากับกรุงเทพฯ ในส่วนของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านอุตสาหกรรมและขนส่ง จากเดิม “โดยไทยได้เห็นชอบวงเงินกู้ จำนวน ๔,๘๐๐ ล้านบาท” แก้ไขเป็น “โดยไทยได้เห็นชอบวงเงินกู้ จำนวน ๔,๕๐๐ ล้านบาท” และให้กระทรวงคมนาคมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นหน่วยงานรายงานความคืบหน้าของโครงการความร่วมมือระบบรางไทย-ญี่ปุ่น และโครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายระหว่างไทย เมียนมา และญี่ปุ่น ตามลำดับให้คณะรัฐมนตรีทราบโดยตรง ไปดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
23425 | การเดินทางเยือนสหรัฐอเมริกาของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ | กต | 28/07/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการเยือนสหรัฐอเมริกาของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นประธานในกิจกรรมเผยแพร่วัฒนธรรมโขน ที่กระทรวงการต่างประเทศจัดขึ้น ณ นครนิวยอร์ก ในระหว่างที่ ๗-๘ กรกฎาคม ๒๕๕๘ อันเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมเพื่อการรณรงค์การสมัครรับเลือกตั้งการเป็นสมาชิกไม่ถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Security Council : UNSC) วาระปี ค.ศ. ๒๐๑๗-๒๐๑๘ ของไทย ซึ่งงานดังกล่าวมีกิจกรรมที่สำคัญ ได้แก่ การเผยแพร่วัฒนธรรมโขนที่ The Plaza สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ การแสดงโขนที่ Carnegie Hall การแสดงนิทรรศการศิลป์แผ่นดิน และการรณรงค์การสมัครรับเลือกตั้งการเป็นสมาชิกไม่ถาวรคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ๒. ผลที่ได้รับจากการจัดกิจกรรมเผยแพร่วัฒนธรรมโขนในครั้งนี้ประสบความสำเร็จอย่างดียิ่งและได้รับความสนใจและความชื่นชมจากผู้เข้าร่วมชมการแสดงอย่างล้นหลาม นอกจากนี้ ผู้เข้าร่วมงานยังได้แสดงความประทับใจในความสวยงามและความประณีตของงานฝีมือจากศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ โดยมีผู้สนใจสอบถามรายละเอียดผลงานและชื่นชมวิถีชีวิตชาวไทยและความสามารถด้านศิลปหัตถกรรมจากภูมิปัญญาชาวบ้าน ๓. รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้พบปะเอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรของประเทศต่าง ๆ ซึ่งมีอิทธิพลในการกำหนดการลงคะแนนเสียงในการเลือกตั้งสมาชิกไม่ถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงฯ ของประเทศตนและหลายคนน่าจะเป็นผู้ลงคะแนนด้วยตนเองในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในปีหน้า โดยได้เน้นย้ำว่า ประเทศไทยมีศักยภาพและความพร้อมในการทำหน้าที่นี้ อีกทั้งยังสามารถเป็นสะพานเชื่อมในการปฏิสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มประเทศสมาชิกเพื่อส่งเสริมความร่วมมือและการพัฒนาที่ยั่งยืนในมิติต่าง ๆ และในโอกาสนี้ได้เชิญให้เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรเข้าร่วมกิจกรรมการเยือนประเทศไทยของเอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรของประเทศกลุ่มเป้าหมาย (Special Visit) ในครั้งต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
23426 | ผลการประชุมผู้นำยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี - เจ้าพระยา - แม่โขง (Ayeywady - Chao Phraya - Mekong Economic Cooperation Strategy : ACMECS) ครั้งที่ 6 | กต | 28/07/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมผู้นำยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง (Ayeywady-Chao Phraya-Mekong Economic Cooperation Strategy : ACMECS) ครั้งที่ ๖ ระหว่างวันที่ ๒๒-๒๓ มิถุนายน ๒๕๕๘ ณ กรุงเนปิดอว์ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และมอบหมายส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุมในประเด็นการขับเคลื่อนความร่วมมือภายใต้กรอบ ACMECS การอำนวยความสะดวกการค้าการลงทุน อุตสาหกรรม เกษตร/การค้าสินค้าเกษตร การเชื่อมโยงคมนาคม การท่องเที่ยว สาธารณสุข การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษข้ามพรมแดนและการจัดตั้งเมืองคู่แฝด การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และการส่งเสริมการเข้ามามีส่วนของภาคเอกชน ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมเกี่ยวกับข้อเสนอของเวียดนามในเรื่องการขอให้ไทยช่วยถ่ายทอดเทคโนโลยีการแปรรูปอาหาร รวมทั้งข้อเสนอให้มีการจัดการประชุมระดับรัฐมนตรีในเรื่องดังกล่าว โดยที่ข้อเสนอฯ เป็นความร่วมมือในระดับปฏิบัติ จึงเห็นควรมีการดำเนินการในระดับคณะทำงานที่เกี่ยวข้องภายใต้กรอบ ACMES ซึ่งอาจเป็นการดำเนินการภายใต้คณะทำงานด้านการเกษตรหรือคณะทำงานด้านอุตสาหกรรมและพลังงาน โดยในชั้นต้น อาจขอให้ฝ่ายเวียดนามจัดทำรายละเอียดข้อเสนอความร่วมมือเพื่อนำเสนอต่อคณะทำงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาความเป็นไปได้ในการให้ความร่วมมือดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
23427 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันและก่อสร้างหอพักแพทย์และพยาบาล โรงพยาบาลราชวิถี ด้วยเงินบำรุง | สธ | 28/07/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติก่อหนี้ผูกพันและก่อสร้างหอพักแพทย์และพยาบาล โรงพยาบาลราชวิถี ด้วยเงินบำรุง ในวงเงิน ๔๒๕,๘๘๘,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
23428 | ร่างกรอบการเจรจาความตกลงการค้าเสรีไทย - ปากีสถาน และไทย - ตุรกี | พณ | 28/07/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบทั้ง ๓ ข้อ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ความเห็นชอบร่างกรอบการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (Free Trade Agreement : FTA) ไทย-ปากีสถาน และ FTA ไทย-ตุรกี เพื่อเป็นการสร้างโอกาสให้แก่ไทยในการขยายการค้าและการลงทุนไปยังตลาดใหม่ในเอเชียใต้และประเทศในกลุ่มตะวันออกกลาง มีสาระสำคัญครอบคลุมประเด็นการค้าสินค้า พิธีการศุลกากร กฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า มาตรการปกป้องและมาตรการเยียวยาด้านการค้า มาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช อุปสรรคทางเทคนิคต่อการค้า การระงับข้อพิพาทระหว่างรัฐ ความร่วมมือและการอำนวยความสะดวกทางการค้า ความโปร่งใส และเรื่องอื่น ๆ ที่จะเป็นประโยชน์กับประเทศไทยในภาพรวม ๑.๒ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นผู้ประกาศเปิดเจรจา FTA ไทย-ปากีสถาน กับฝ่ายปากีสถาน ณ สาธารณรัฐอิลสามปากีสถาน ๑.๓ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นผู้ประกาศเปิดเจรจา FTA ไทย-ตุรกี กับฝ่ายตุรกี ณ สาธารณรัฐตุรกี ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า ในการจัดทำความตกลงการค้าดังกล่าว นอกจากผลกระทบของผู้ประกอบการแล้ว ควรคำนึงถึงผลกระทบต่อประชาชนในด้านต่าง ๆ รวมทั้งด้านสุขภาพด้วย นอกจากนี้ ในประเด็นกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้าเห็นควรคำนึงถึงประเด็นการส่งเสริมการใช้ทรัพยากรและการสร้างมูลค่าเพิ่มในภูมิภาค เพื่อรักษาการเป็นฐานการผลิตอุตสาหกรรมสำคัญของไทย รวมทั้งควรให้ความสำคัญกับการหารือกับภาคเอกชนในรายละเอียดของการตกลงกันในรายสินค้าจากร่างกรอบการเจรจาฯ เช่น กฎว่าด้วยแหล่งกำเนิดสินค้า ประเภทสินค้าที่เป็น Negative List หรือรายการสินค้าอ่อนไหว รวมทั้งกรอบเวลาในการลดภาษีและอัตราการลดภาษี เป็นต้น ตลอดจนการประชาสัมพันธ์สถานะการจัดทำความตกลงฯ ให้ผู้ประกอบการทราบ เพื่อส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากความตกลงฯ และให้ผู้ประกอบการได้เตรียมพร้อมในการศึกษาข้อมูลและลู่ทางการลงทุน เช่น กฎหมายเกี่ยวกับการกีดกันทางการค้า มาตรฐานสินค้าระหว่างประเทศ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||
23429 | รายงานการดำเนินงานของคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ครั้งที่ 25 (การประชุมครั้งที่ 95/2558 ถึงครั้งที่ 99/2558) | นร04 | 28/07/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการดำเนินงานของคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ครั้งที่ ๒๕ (การประชุมครั้งที่ ๙๕/๒๕๕๘ ถึงครั้งที่ ๙๙/๒๕๕๘) ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
23430 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สว | 28/07/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ดังนี้ ๑.๑ ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวมีเจตนารมณ์เพื่อคุ้มครองการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กในทุกรูปแบบเพื่อให้สอดคล้องกับอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก อีกทั้งการกระทำความผิดเกี่ยวกับสื่อสามกอนาจารเด็กในประเทศต้นทาง อาทิ สหรัฐอเมริกา แคนาดา อังกฤษ และญี่ปุ่น มีกฎหมายกำหนดอัตราโทษที่สูง ดังนั้น เพื่อให้การบัญญัติเหตุผลในการร่างกฎหมายมีความครอบคลุมกับสภาพปัญหาและเป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย เห็นควรแก้ไขเหตุผลประกอบร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว เป็นดังนี้ "โดยที่การครอบครองสื่อลามกอนาจารเด็กเป็นการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของเด็กตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก และเป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กและส่งผลกระทบต่อสวัสดิภาพของเด็ก ประกอบกับความผิดเกี่ยวกับการค้าหรือทำให้แพร่หลายซึ่งวัตถุหรือสิ่งลามกไม่ได้แยกประเภทระหว่างสื่อลามกอนาจารผู้ใหญ่กับลื่อลามกอนาจารเด็กไว้ทั้งที่ลักษณะความผิดมีความร้ายแรงแตกต่างกัน ดังนั้น เพื่อให้เด็กได้รับการคุ้มครองและป้องกันจากการถูกล่วงละเมิดทางเพศมากขึ้น สมควรกำหนดให้ความผิดเกี่ยวกับการค้าหรือทำให้แพร่หลายซึ่งวัตถุหรือสิ่งลามกที่เป็นสื่อลามกอนาจารเด็กเป็นความผิดที่ผู้กระทำต้องได้รับโทษหนักขึ้น รวมทั้งกำหนดให้การครอบครองและส่งต่อซึ่งสื่อลามกอนาจารเด็กเป็นความผิด จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้" ๑.๒ เมื่อร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ประกาศใช้เป็นกฎหมายจะส่งผลกระทบต่อประชาชน จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐในฐานะที่เป็นผู้บังคับใช้กฎหมายต้องดำเนินภารกิจสำคัญสองประการ คือ ประการหนึ่ง ในส่วนของ "เจ้าหน้าที่รัฐ" โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คือ กระทรวงยุติธรรมและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต้องบูรณาการร่วมกันในการกำหนดแผนงานและแนวทางจัดเตรียมความพร้อมและจัดทำคู่มือการปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนเร่งรัดการจัดฝึกอบรมให้ความรู้ความเข้าใจเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติให้มีความพร้อมในการบังคับใช้กฎหมายได้ทันทีและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ประการที่สอง ในส่วนของ "ประชาชน" ทั้งในประเทศและต่างประเทศซึ่งต้องปฏิบัติตามกฎหมายนั้น หน่วยงานรัฐต้องเร่งรัดการประชาสัมพันธ์เผยแพร่ข้อมูลที่เกี่ยวข้องให้ประชาชนรับทราบอย่างทั่วถึง เพื่อให้ประชาชนเตรียมตัวก่อนที่กฎหมายจะมีผลใช้บังคับ ๒. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีนำเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติที่แก้ไขเพิ่มเติมตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ตามข้อ ๑.๑ เป็นเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ในการประกาศราชกิจจานุเบกษาต่อไป ๓. ให้กระทรวงยุติธรรมและสำนักงานตำรวจแห่งชาติรับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ตามข้อ ๒ ไปพิจารณาว่าสมควรจะดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมการวิสามัญฯ ได้หรือไม่ ประการใดก่อน โดยให้กระทรวงยุติธรรมเป็นหน่วยงานกลางในการรวบรวมผลการดำเนินการ แล้วแจ้งผลการดำเนินการดังกล่าวให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทราบภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
23431 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการการคมนาคมพิจารณาร่างพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสร้างกิจการรถไฟฟ้า โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงแบริ่ง - สมุทรปราการ ในท้องที่อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ พ.ศ. .... | สว | 28/07/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการการคมนาคมพิจารณาร่างพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสร้างกิจการรถไฟฟ้า โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ ในท้องที่อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ พ.ศ. .... ที่เห็นว่า การพิจารณารายละเอียดการเวนคืนที่ดินตามร่างพระราชบัญญัตินี้ มีการเวนคืนที่ดินของประชาชนบางแปลงเนื้อที่เพียงเล็กน้อย ดังนั้น ในการดำเนินโครงการอื่น ๆ ครั้งต่อไปเห็นควรให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยพิจารณาใช้เทคนิคการออกแบบและก่อสร้างเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนในลักษณะดังกล่าว และให้กระทรวงคมนาคมรับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการฯ ไปพิจารณาว่าสมควรจะดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการฯ ได้หรือไม่ประการใดก่อน แล้วแจ้งผลการดำเนินการดังกล่าวให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทราบภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
23432 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สว | 28/07/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ว่า ๑.๑ สมควรที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะทำการหารือและทบทวนกลไกต่าง ๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบันและบูรณาการการทำงานร่วมกัน เพื่อแก้ไขปัญหาของผู้พิการ ผู้ทุพพลภาพ คนชรา หรือผู้สูงอายุ ในการเข้าถึงและใช้ประโยชน์สิ่งอำนวยความสะดวกอันเป็นสาธารณะ รวมถึงการสร้างจิตสำนึกให้แก่ผู้ที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนในการปฏิบัติตามกฎกระทรวงกำหนดสิ่งอำนวยความสะดวกในอาคารสำหรับผู้พิการหรือทุพพลภาพ และคนชรา พ.ศ. ๒๕๔๘ และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ๑.๒ สมควรที่จะพิจารณาปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ โดยเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมหรือรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้นให้มีความทันสมัยและสอดคล้องกับสภาพสังคมและเศรษฐกิจในปัจจุบัน ๑.๓ สมควรแก้ไขเพิ่มเติมวิธีการขออนุญาตตามมาตรา ๒๑ แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ ให้เป็นไปในแนวทางเดียวกันกับร่างพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ฉบับนี้ ในเรื่องการให้ข้อมูลและแจ้งสิทธิในการแสดงความคิดเห็นต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่นแก่บุคคลที่อยู่บริเวณข้างเคียงเกี่ยวกับการก่อสร้าง ดัดแปลง พร้อมแสดงเอกสารและหลักฐานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้บุคคลที่อยู่บริเวณข้างเคียงรับรู้ข้อมูลและแสดงความคิดเห็นเพื่อให้นำมาใช้ประกอบการพิจารณาของเจ้าพนักงานท้องถิ่น ๑.๔ สมควรทบทวนบทบาทและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการควบคุมอาคารซึ่งมีอำนาจหน้าที่กำกับดูแลและตรวจสอบการปฏิบัติงานของเจ้าพนักงานท้องถิ่นให้มีความชัดเจนและเหมาะสมกับโครงสร้างของภาครัฐที่มีการปฏิรูปและสภาพสังคมในปัจจุบัน ๑.๕ สมควรที่กรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย ในฐานะหน่วยงานผู้รับผิดชอบกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร กฎหมายว่าด้วยการผังเมือง จะทำการหารือและบูรณาการการทำงานร่วมกันกับราชการส่วนท้องถิ่นซึ่งเป็นผู้มีอำนาจอนุญาตก่อสร้าง ดัดแปลง รื้อถอน หรือเคลื่อนย้ายอาคารในเขตท้องที่ที่รับผิดชอบ ในการกำหนดวิธีการหรือกลไกที่เหมาะสม เพื่อสนับสนุนการทำงานให้แก่ราชการส่วนท้องถิ่น และรองรับกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดที่จะมีการประกาศใช้บังคับต่อไป ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการฯ ไปพิจารณาว่าจะสมควรดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการฯ ได้หรือไม่ประการใดก่อน โดยให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานกลางในการรวบรวมผลการดำเนินการ แล้วแจ้งผลการดำเนินการดังกล่าวให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทราบภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
23433 | ขอความเห็นชอบกิจกรรมสวนสนามทางเรือนานาชาติ พุทธศักราช 2560 | กห | 28/07/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้กองทัพเรือจัดกิจกรรมสวนสนามทางเรือนานาชาติ พุทธศักราช ๒๕๖๐ และบรรจุเป็นกิจกรรมหลักระดับประเทศ ในแผนงานการจัดกิจกรรมสวนสนามทางเรือนานาชาติ เนื่องในโอกาสครบรอบ ๕๐ ปี การก่อตั้งอาเซียน เพื่อเป็นการส่งเสริมความร่วมมือที่สำคัญระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนในระดับกองทัพเรือ นอกจากนั้น ยังเป็นการส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศไทยในฐานะประเทศสมาชิกอาเซียนผู้ร่วมก่อตั้งและมีบทบาทนำในอาเซียนมาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งเป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์และความร่วมมือในระดับประเทศ กองทัพ และกองทัพเรือประเทศสมาชิกอาเซียน ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ของกองทัพเรือ มาดำเนินการในโอกาสแรก ส่วนค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ให้กองทัพเรือเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีเพื่อรองรับการจัดกิจกรรมดังกล่าวตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณและคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐที่เห็นควรให้กองทัพเรือประสานงานกับกระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดการบูรณาการในการจัดกิจกรรมร่วมกันอย่างเหมาะสมและชัดเจนเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ มีข้อห่วงใยในการจัดกิจกรรมสวนสนามทางเรือนานาชาติฯ ซึ่งอาจมีบางประเทศในอาเซียนที่มีสมรรถนะทางเรือต่ำ ดังนั้น กิจกรรมสวนสนามทางเรือนานาชาติฯ จึงไม่ควรเป็นการแข่งขันในแสนยานุภาพทางทะเลของประเทศต่าง ๆ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
23434 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. .... | พม | 28/07/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. .... ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอว่า การจัดทำทะเบียนฐานข้อมูลของสามีและภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายซึ่งประสงค์จะมีบุตรโดยใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์รวมทั้งหญิงที่รับตั้งครรภ์แทนให้สอดคล้องกับข้อมูลของแพทยสภา เป็นภารกิจที่ซ้ำซ้อนกับหน่วยงานอื่น ประกอบกับมาตรา ๓๐ แห่งพระราชบัญญัติคุมครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. ๒๕๕๘ ไม่ได้กำหนดให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์มีหน้าที่รับจดทะเบียนและตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการรับตั้งครรภ์แทน เพียงแต่กำหนดให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองเด็กเป็นส่วนหนึ่งของบุคคลที่สามารถยื่นคำร้องขอต่อศาลเพื่อให้มีการตั้งผู้ปกครองได้ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
23435 | ร่างพระราชบัญญัติราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ พ.ศ. .... | ศธ | 28/07/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการรวมสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ และสถาบันบัณฑิตศึกษาจุฬาภรณ์มาจัดตั้งเป็น “ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์” ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นสถาบันการวิจัยและวิชาการ และจัดการศึกษาชั้นสูงทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สิ่งแวดล้อม การแพทย์ และการสาธารณสุข รวมถึงให้บริการทางการแพทย์แก่ประชาชนและเพื่อให้สามารถดำเนินงานได้อย่างมีเอกภาพและประสิทธิภาพ เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนและประเทศชาติ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ๒. ให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับกรณีการกู้ยืมเงิน ตามร่างมาตรา ๑๕ (๔) กรณีการจัดสรรเงินอุดหนุนทั่วไป ตามร่างมาตรา ๑๖ วรรคสอง และการปรับปรุงร่างในหมวด ๔ การบัญชีและการตรวจสอบ มาตรา ๔๔ และมาตรา ๔๕ รวมทั้งการตัดโอนหน่วยงานภายใต้มูลนิธิจุฬาภรณ์มาจัดตั้งเป็นราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ และการให้นายกรัฐมนตรีรักษาการตามร่างพระราชบัญญัตินี้ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งร่างพระราชบัญญัติฯ ให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรนำจุดเด่นของสถาบันบัณฑิตศึกษาจุฬาภรณ์ที่เป็นสถาบันอุดมศึกษาที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางที่เน้นการผลิตและพัฒนากำลังคนชั้นสูงโดยเฉพาะการต่อยอดการพัฒนาบุคลากรชั้นสูง และควรให้ความสำคัญกับการสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับสถานพยาบาลและสถาบันผลิตแพทย์ในสังกัดอื่น ๆ เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และเทคโนโลยีด้านการแพทย์ การกำหนดให้รัฐมนตรีเป็นผู้ดูแลและกำกับทั่วไป และการติดตามประเมินผลการจัดการเรียนการสอนและการประกันคุณภาพการจัดการศึกษาให้เป็นไปในรูปแบบเดียวกันกับมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐอื่น ๆ รวมถึงการจัดสรรงบประมาณในระยะต่อไปตามความจำเป็นและความเหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
23436 | แนวทางการพัฒนาท่าเทียบเรือสำราญ (Yacht) และท่าเทียบเรือโดยสารเพื่อการท่องเที่ยวขนาดใหญ่ (Cruise) | คค | 28/07/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบทั้ง ๓ ข้อ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบความก้าวหน้าในการพิจารณาแนวทางการพัฒนาท่าเทียบเรือสำราญ (Yacht) โดย (๑) ศึกษาเพื่อกำหนดพื้นที่ที่มีความเหมาะสมจะพัฒนาเป็นท่าเทียบเรือ Yacht เพิ่มเติม พร้อมทั้งรับฟังความเห็นจากประชาชนในพื้นที่และทดสอบตลาด (๒) ปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย/ระเบียบที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จภายในปี ๒๕๕๘ และ (๓) จัดมหกรรมเรือ Yacht ณ จังหวัดภูเก็ต ระหว่างเดือนธันวาคม ๒๕๕๘-มกราคม ๒๕๕๙ และแนวทางการพัฒนาท่าเทียบเรือโดยสารเพื่อการท่องเที่ยวขนาดใหญ่ (Cruise) โดยระยะแรก (ปี ๒๕๕๘) พัฒนาท่าเรือเดิมให้มีศักยภาพ (ท่าเรือกรุงเทพและท่าเรือแหลมฉบัง และท่าเรือน้ำลึกภูเก็ต) และระยะที่ ๒ (ปี ๒๕๕๘-๒๕๖๕) พัฒนาท่าเทียบเรือ Cruise แห่งใหม่ ที่จังหวัดกระบี่ และอำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็น Home Port ของเรือ Cruise ในภูมิภาค ๑.๒ เห็นชอบแผนปฏิบัติการ (Action Plan) ในการพัฒนาท่าเทียบเรือสำราญ (Yacht) และท่าเทียบเรือโดยสารเพื่อการท่องเที่ยวขนาดใหญ่ (Cruise) โดยแผนเริ่มจากปี ๒๕๕๘ สิ้นสุดในปี ๒๕๖๑ มีหน่วยงานที่รับผิดชอบ คือ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กรมเจ้าท่า การท่าเรือแห่งประเทศไทย กรมธนารักษ์ ผู้บริหารท่าเรือ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จังหวัด ท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๑.๓ มอบหมายกระทรวงการคลัง โดยกรมธนารักษ์เร่งพิจารณาหาผู้ประกอบการท่าเรือน้ำลึกภูเก็ตเพื่อให้สามารถปรับปรุงท่าเรือน้ำลึกภูเก็ตให้มีความพร้อมในการรองรับเรือโดยสารเพื่อการท่องเที่ยวขนาดใหญ่ (Cruise) ได้โดยเร็ว ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการทบทวนความเหมาะสมในการเลือกพื้นที่พัฒนาท่าเรือดังกล่าว กระทรวงคมนาคม โดยกรมเจ้าท่าควรให้ความสำคัญกับผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด รวมทั้งจัดทำแผนการการบริหารจัดการเกี่ยวกับการจำกัดและบำบัดของเสียจากเรือ และเตรียมความพร้อมให้กับเจ้าท่าในการกำกับดูแลเพื่อรองรับจำนวนท่าเรือและเรือสำราญที่จะเพิ่มขึ้นด้วย นอกจากนี้ ควรศึกษาทางเลือกและรูปแบบการลงทุนให้ชัดเจน โดยอาจพิจารณามาตรการส่งเสริมให้เอกชน และ/หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีศักยภาพเป็นผู้พัฒนาและดำเนินงานท่าเทียบเรือสำราญ (Yacht) ตลอดจนการให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการลงทุนและดำเนินการท่าเทียบเรือโดยสารเพื่อการท่องเที่ยวขนาดใหญ่ (Cruise) และเห็นควรมอบหมายกระทรวงการคลัง โดยกรมธนารักษ์ พิจารณาความเหมาะสมบทบาทของท่าเรือน้ำลึกภูเก็ตในการรองรับเรือโดยสารเพื่อการท่องเที่ยวขนาดใหญ่ (Cruise) รวมทั้งเร่งพิจารณาหาผู้ประกอบการท่าเรือน้ำลึกภูเก็ต โดยปฏิบัติให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ในการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการการพัฒนาท่าเทียบเรือสำราญ (Yacht) และเรือโดยสารเพื่อการท่องเที่ยวขนาดใหญ่ (Cruise) ให้กระทรวงคมนาคมสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนในพื้นที่ที่จะพัฒนาเป็นท่าเทียบเรือ รวมทั้งให้พิจารณาจัดทำแผนการส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยเรือสำราญ (Yacht) และเรือโดยสารเพื่อการท่องเที่ยวขนาดใหญ่ (Cruise) ให้เชื่อมโยงกับแม่น้ำเจ้าพระยาด้วย |
|||||||||||||||||||||
23437 | ผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี ไทย - รัสเซีย ครั้งที่ 6 และผลการเยือนสหพันธรัฐรัสเซียอย่างเป็นทางการของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ | กต | 28/07/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี ไทย-รัสเซีย ครั้งที่ ๖ และผลการเยือนสหพันธรัฐรัสเซียอย่างเป็นทางการของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ระหว่างวันที่ ๑๓-๑๙ กรกฎาคม ๒๕๕๘ และมอบหมายให้หน่วยงานที่มีภารกิจเกี่ยวเนื่องตามนัยสรุปประเด็นสำคัญสำหรับติดตามผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมฯ และสรุปการติดตามผลการเยือนฯ ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปในโอกาสแรก ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ สรุปประเด็นสำคัญสำหรับติดตามผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมฯ ได้แก่ ประเด็นด้านการเมือง ด้านเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุน ด้านอุตสาหกรรม ด้านพลังงาน ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ด้านการเกษตร ความร่วมมือด้านการศึกษา ด้านวัฒนธรรม ด้านการท่องเที่ยว ด้านสิ่งแวดล้อม และประเด็นอื่น ๆ เกี่ยวกับความร่วมมือด้านสุขาภิบาลและสภาวะแวดล้อมอันปลอดโรคระบาด และการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย-รัสเซีย ๑.๒ สรุปการติดตามผลการเยือนฯ ได้แก่ การแลกเปลี่ยนการเยือนระดับสูง แผนการหารือระหว่างกระทรวงการต่างประเทศไทยและรัสเซีย ความตกลงที่ยังอยู่ระหว่างการเจรจา ความร่วมมือด้านความมั่นคง การจัดหาสินค้ายุทโธปกรณ์ การส่งออกยางพาราของไทย การจัดหาสินค้าอุตสาหกรรม การลงทุนหรือการลงทุนร่วมกันด้านศูนย์ซ่อมบำรุง การประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี ไทย-รัสเซีย การฉลองครบรอบ ๑๒๐ ปีความสัมพันธ์ไทย-รัสเซีย การจัดตั้งศูนย์ไทยศึกษาและห้องไทยในรัสเซีย การจัดตั้งศูนย์วัฒนธรรมรัสเซียและสารสนเทศ รวมทั้งความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว และการจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการลดค่าบริการการใช้โครงข่ายโทรคมนาคมข้ามประเทศ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงคมนาคมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นต้น รับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการแก้ไขข้อความในบันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมฯ ฉบับภาษาไทย ประเด็นความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ข้อ ๓๑ บรรทัดที่ ๒ จาก “สถาบันเทคโนโลยีแห่งชาติ” เป็น “สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ” และให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงวัฒนธรรมในการจัดตั้งศูนย์วัฒนธรรมรัสเซียและสารสนเทศ นอกจากนี้ ให้กระทรวงคมนาคมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักรับผิดชอบโดยเฉพาะในส่วนโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบราง ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักรับผิดชอบในส่วนโครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย และโครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษของไทย รวมทั้งให้กระทรวงคมนาคมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นหน่วยงานรายงานความคืบหน้าของโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบราง โครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย และโครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษของไทย ให้คณะรัฐมนตรีทราบโดยตรง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
23438 | การให้การยอมรับพิธีสารแก้ไขความตกลงมาร์ราเกชจัดตั้งองค์การการค้าโลกเพื่อผนวกความตกลงว่าด้วยการอำนวยความสะดวกทางการค้าเข้าเป็นส่วนหนึ่งของความตกลงองค์การการค้าโลก | พณ | 28/07/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการยอมรับพิธีสารแก้ไขความตกลงมาร์ราเกซจัดตั้งองค์การการค้าโลก (Protocol Amending the Marrakesh Establishing the World Trade Organization) เพื่อผนวกความตกลงว่าด้วยการอำนวยความสะดวกทางการค้า (Agreement on Trade Facilitation : TFA) เข้าเป็นส่วนหนึ่งของความตกลงองค์การการค้าโลก ซึ่งจะส่งผลทำให้ไทยผูกพันตามความตกลง TFA จะส่งผลดีต่อไทย เนื่องจากความตกลง TFA จะช่วยลดต้นทุน ระยะเวลา และปัญหาในการค้าสินค้าระหว่างประเทศ และนำเสนอต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาให้ความเห็นชอบ ๑.๒ มอบหมายกระทรวงการต่างประเทศดำเนินการจัดทำตราสารการยอมรับ (Instrument of Acceptance) หลังจากที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติให้ความเห็นชอบเพื่อให้กระทรวงพาณิชย์นำส่งไปยังองค์การการค้าโลก ๑.๓ เห็นชอบการแจ้งบทบัญญัติที่ไทยพร้อมปฏิบัติได้ทันทีที่ความตกลง TFA มีผลใช้บังคับ (Category A) รวม ๑๓๑ บทบัญญัติ และให้กระทรวงพาณิชย์แจ้งไปองค์การการค้าโลก ๑.๔ เห็นชอบระยะเวลาปรับตัวสำหรับบทบัญญัติที่ต้องใช้เวลาในการปรับตัว (Category B) รวม ๑๒ บทบัญญัติ และให้กระทรวงพาณิชย์แจ้งไปยังองค์การการค้าโลกตามกำหนดเวลาที่ระบุไว้ในความตกลง TFA ๒. ให้นำพิธีสารแก้ไขความตกลงมาร์ราเกซจัดตั้งองค์การการค้าโลก บทบัญญัติที่ไทยพร้อมปฏิบัติได้ทันทีที่ความตกลงว่าด้วยการอำนวยความสะดวกทางการค้ามีผลใช้บังคับ (Category A) และบทบัญญัติที่ไทยต้องการระยะเวลาปรับตัวก่อนการปฏิบัติ (Category B) และระยะเวลาที่ต้องใช้ในการปรับตัว สำหรับความตกลง TFA ภายใต้องค์การการค้าโลก เสนอคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อให้ความเห็นชอบต่อไป ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์แจ้งบทบัญญัติที่ไทยพร้อมปฏิบัติได้ทันทีที่ความตกลงว่าด้วยการอำนวยความสะดวกทางการค้ามีผลใช้บังคับ (Category A) และบทบัญญัติที่ไทยต้องการระยะเวลาปรับตัวก่อนการปฏิบัติ (Category B) และระยะเวลาที่ต้องใช้ในการปรับตัว สำหรับความตกลง TFA ภายใต้องค์การการค้าโลก ต่อองค์การการค้าโลกเมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติให้ความเห็นชอบบทบัญญัติทั้ง ๒ ฉบับดังกล่าวแล้ว และให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ให้กระทรวงพาณิชย์ทำหน้าที่เป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักในการประสานงานและบูรณาการการดำเนินงานกับหน่วยงานปฏิบัติที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง เพื่อแจ้งข้อมูลความคืบหน้าภายใต้พิธีสารฯ รวมทั้งประเมินปัญหาอุปสรรคและผลการดำเนินงานเป็นระยะเพื่อให้หน่วยงานสามารถดำเนินการตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดได้ทัน ตลอดจนประเมินผลกระทบการดำเนินงานตามบทบัญญัติที่มีผลใช้บังคับแล้ว ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
23439 | การจ้างข้าราชการภายหลังครบเกษียณอายุราชการเป็นลูกจ้างชั่วคราวกรณีพิเศษ | กต | 28/07/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการจ้างนายเฉลิมพล ทันจิตต์ เป็นลูกจ้างชั่วคราวกรณีพิเศษ ภายหลังครบเกษียณอายุราชการ เป็นเวลา ๑ เดือน ตั้งแต่วันที่ ๑-๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๘ โดยให้ได้รับค่าจ้างเท่ากับเงินเพิ่มพิเศษสำหรับข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหน้าที่ประจำอยู่ในต่างประเทศ รวมถึงสิทธิประโยชน์อื่น ๆ ที่ได้รับตามตำแหน่งเอกอัครราชทูต ส่วนค่าย้ายถิ่นที่อยู่และค่าพาหนะเดินทางกลับประเทศไทยให้เป็นไปตามสิทธิที่พึงได้รับจากการพ้นหน้าที่ราชการต่างประเทศตามปกติ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒. สำหรับงบประมาณให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ มาดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||
23440 | แจ้งผลการดำเนินการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ กรณีที่มีวงเงินรวมตั้งแต่ 1,000 ล้านบาท ขึ้นไป รายการก่อสร้างอาคารพิเคราะห์บำบัดโรคและบริการพร้อมระบบสาธารณูปการของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง | ศธ | 28/07/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่กระทรวงศึกษาธิการรายงานผลการดำเนินการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ กรณีที่มีวงเงินรวมตั้งแต่ ๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไป รายการก่อสร้างอาคารพิเคราะห์บำบัดโรคและบริการ พร้อมระบบสาธารณูปการ ของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง โดยได้ดำเนินการจัดจ้างก่อสร้างอาคารดังกล่าวโดยวิธีประกวดราคาด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ในวงเงิน ๑,๒๔๙,๘๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งสำนักงบประมาณเห็นชอบความเหมาะสมของราคาค่าก่อสร้าง โดยให้ใช้จ่ายจากเงินงบประมาณ จำนวน ๑,๐๓๑,๐๘๕,๐๐๐ บาท และใช้เงินนอกงบประมาณสมทบ จำนวน ๒๑๘,๗๑๕,๐๐๐ บาท โดยในส่วนของเงินงบประมาณให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ จำนวน ๑๑๗,๕๖๒,๕๐๐ บาท ที่ได้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายให้แล้ว ส่วนที่เหลืออีกจำนวน ๙๑๓,๕๒๒,๕๐๐ บาท ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙-พ.ศ. ๒๕๖๑ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการกำกับ ติดตามการดำเนินงานให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดเพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากอาคารเรียนได้ตามวัตถุประสงค์ทั้งในการจัดการเรียนการสอนและการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ที่เอื้อต่อการศึกษาและเรียนรู้ของผู้เรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
.....