ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1179 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 23561 - 23580 จากข้อมูลทั้งหมด 124231 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
23561 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (จำนวน 22 คน 1. นายอำพน กิตติอำพน ฯลฯ) | วท | 14/07/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ จำนวน ๒๒ คน ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๔ กรกฎาคม ๒๕๕๘) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. ผู้ทรงคุณวุฒิจากหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง ๑.๑ นายอำพน กิตติอำพน ๑.๒ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ ๑.๓ นายสมศักดิ์ โชติรัตนะศิริ ๑.๔ นายเข็มชัย ชุติวงศ์ ๑.๕ นายศักรินทร์ ภูมิรัตน ๑.๖ นายสุทธิพันธ์ จิตพิมลมาศ ๑.๗ พลโท ถเกิงกานต์ ศรีอำไพ ๑.๘ นายลักษณ์ วจนานวัช ๑.๙ นายโอฬาร พิทักษ์ ๑.๑๐ นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตย์ ๑.๑๑ นายกฤษดา เรืองอารีย์รัชต์ ๒. ผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งมิใช่ข้าราชการ ๒.๑ นายพารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา ๒.๒ นายอิสระ ว่องกุศลกิจ ๒.๓ นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ๒.๔ นายชาติศิริ โสภณพนิช ๒.๕ นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ๒.๖ นายวีระชัย เชาว์ชาญกิจ ๒.๗ นายรุ่งโรจน์ รังสีโยภาส ๒.๘ นายอาชว์ เตาลานนท์ ๒.๙ นายชิงชัย หาญเจนลักษณ์ ๒.๑๐ นายประพันธ์ เจริญประวัติ ๒.๑๑ นายสุภัค ศิวะรักษ์
|
||||||||||||||||||||||||
23562 | รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนพฤษภาคม 2558 | นร11 | 14/07/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๘ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาพรวมสถานการณ์เศรษฐกิจไทยเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๘ ๑.๑ เศรษฐกิจไทยเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๘ เมื่อเทียบกับเดือนเมษายน ๒๕๕๘ ในด้านการผลิต ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมขยายตัวร้อยละ ๑.๔ เช่นเดียวกับดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรที่ขยายตัวร้อยละ ๐.๗ ในขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวขยายตัวร้อยละ ๔.๗ เร่งขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ ๐.๕ ในเดือนเมษายน ในด้านการใช้จ่าย ดัชนีการอุปโภคบริโภคเริ่มกลับมาขยายตัวร้อยละ ๑.๓ ในขณะที่ดัชนีการลงทุนภาคเอกชนและดัชนีปริมาณการส่งออกยังปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ๑.๒ เศรษฐกิจไทยเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๘ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เศรษฐกิจไทยยังมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง ตามการขยายตัวของจำนวนนักท่องเที่ยวและการเบิกจ่ายของภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ ในด้านการผลิต จำนวนนักท่องเที่ยวขยายตัวในเกณฑ์สูงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ ๘ (ร้อยละ ๓๘.๒) ในขณะที่ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมลดลงร้อยละ ๗.๖ ตามการลดลงของอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออก ส่วนดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรลดลงร้อยละ ๗.๓ เนื่องจากสภาพอากาศและราคาที่ไม่เอื้ออำนวย รวมทั้งการลดพื้นที่เพาะปลูก ในด้านการใช้จ่าย การลงทุนภาครัฐมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องตามความคืบหน้าของการเร่งรัดการเบิกจ่ายของภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ แต่ดัชนีปริมาณการส่งออกลดลงร้อยละ ๓.๘ ในขณะที่ดัชนีการบริโภคและดัชนีการลงทุนภาคเอกชนลดลงเล็กน้อยร้อยละ ๐.๔ และร้อยละ ๐.๔ ตามลำดับ ๑.๓ เสถียรภาพทางเศรษฐกิจอยู่ในเกณฑ์ดี อัตราเงินเฟ้อลดลงตามราคาพลังงานและราคาอาหารสด อัตราการว่างงานยังอยู่ในระดับต่ำ ดุลการค้าเกินดุล แต่ดุลบริการขาดดุล ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล ๑.๔ สถานการณ์ด้านการคลัง การจัดเก็บรายได้สุทธิลดลงเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ขณะที่การเบิกจ่ายงบประมาณประจำปีและงบประมาณกันไว้เหลื่อมปีในเดือนพฤษภาคมเพิ่มขึ้น สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๘ ยังคงอยู่ในระดับที่มั่นคง ๑.๕ สถานการณ์ด้านการเงิน อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ร้อยละ ๑.๕๐ ต่อปี เงินให้กู้ยืมภาคเอกชนยังคงขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ ๕.๓ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากการขยายตัวของสินเชื่อครัวเรือนและการขยายตัวของสินเชื่อธุรกิจ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการขยายตัวของสินเชื่อภาคการเงินและภาคอสังหาริมทรัพย์ เงินฝาก (รวมตั๋วแลกเงิน) ขยายตัวร้อยละ ๗.๖ ค่าเงินบาทเฉลี่ยในเดือนพฤษภาคมอยู่ที่ ๓๓.๕๕ บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าลงร้อยละ ๓.๒ จากเดือนก่อนหน้า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์เคลื่อนไหวผันผวน โดยปิดที่ ๑,๔๙๖.๑ จุด ลดลงจากเดือนเมษายน ร้อยละ ๒.๐ ๒. สถานการณ์เศรษฐกิจโลก ในเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๘ เศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มกลับมาฟื้นตัว เช่นเดียวกับเศรษฐกิจยุโรปและญี่ปุ่นที่ฟื้นตัวอย่างช้า ๆ เศรษฐกิจจีนและหลายประเทศในภูมิภาคเอเชียยังชะลอตัว ขณะที่เศรษฐกิจประเทศกำลังพัฒนายังอยู่ในช่วงชะลอตัว และอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำส่งผลให้ประเทศต่าง ๆ ยังคงดำเนินนโยบายการเงินผ่อนคลายอย่างต่อเนื่อง
|
||||||||||||||||||||||||
23563 | การเยือนไทยอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามและการประชุมคณะรัฐมนตรีร่วมอย่างไม่เป็นทางการ (Joint Cabinet Retreat - JCR) ไทย - เวียดนาม ครั้งที่ 3 | นร04 | 14/07/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะรัฐมนตรีร่วมไทย-เวียดนามอย่างไม่เป็นทางการ (Joint Cabinet Retreat-JCR) ครั้งที่ ๓ ในวันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๕๘ ณ ประเทศไทย ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้อนุมัติองค์ประกอบผู้เข้าร่วมการหารือทวิภาคีและการประชุมฯ โดยคณะรัฐมนตรีฝ่ายไทยที่เข้าร่วมประกอบด้วยรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นผู้แทนกล่าวในประเด็นด้านการเมืองและความมั่นคง รองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) เป็นผู้แทนกล่าวในประเด็นด้านเศรษฐกิจ และรองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ ยุทธวงศ์) เป็นผู้แทนกล่าวในประเด็นด้านสังคมและวัฒนธรรม ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศจะได้จัดเตรียมร่างคำกล่าวเป็นภาษาไทยสำหรับประเด็นทั้ง ๓ ด้าน และสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีจะมีหนังสือเชิญรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมการประชุมฯ ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ ทั้งนี้ ให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องรวบรวมเรื่องที่จะมีการหารือในการประชุมดังกล่าวเสนอนายกรัฐมนตรีโดยเร็วต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
23564 | การแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกร | มท | 14/07/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแนวทางการบูรณาการการแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกรร่วมกันระหว่างกระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงยุติธรรม กระทรวงการคลัง และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร โดยกระทรวงมหาดไทยจะจัดส่งข้อมูลหนี้สินเกษตรกรให้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ และสั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดแจ้งคณะอนุกรรมการช่วยเหลือเกษตรกรและผู้ยากจน (อชก.) ส่วนจังหวัด และคณะอนุกรรมการช่วยเหลือเกษตรกรและผู้ยากจน (อชก.) ส่วนอำเภอ ดำเนินการไกล่เกลี่ยประนอมหนี้ในแต่ละพื้นที่ตามจำนวนที่สำรวจไว้แล้ว และคัดกรองหนี้สินดังกล่าวส่งให้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้จังหวัดรายงานผลการดำเนินการทุกเดือน เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ และทุกส่วนราชการจะติดตามผลการดำเนินการอย่างจริงจัง ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทยจะรายงานผลความคืบหน้าให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะต่อไป ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
23565 | การดำเนินการตามข้อเสนอของคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) (การแก้ไขปัญหาการทำการประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม) | กษ | 14/07/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการดำเนินการของศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมาย (ศปมผ.) และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องที่ได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาไปก่อนหน้าแล้ว ได้แก่ การซักซ้อมความเข้าใจกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย การออกหน่วย mobile service อำนวยความสะดวกในการจดทะเบียนเรือ ใบอนุญาตใช้เรือ อบรมและออกใบประกาศนียบัตรนายท้ายเรือ ช่างเครื่องเรือ และใบอาชญาบัตรทำการประมง ๑.๒ เห็นชอบแนวทางดำเนินการและมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ๑.๒.๑ มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องแรงงานต่างด้าวพิจารณาแก้ไขปัญหาให้กับผู้ประกอบการประมง ทั้งเรื่องข้อกำหนดประเภทของงานที่จะให้คนต่างด้าวทำงานได้เพิ่มเติม (ช่างเครื่องมือ) และการให้บริการขยายเวลาการจดทะเบียนแรงงานประมง ๑.๒.๒ มอบหมายกระทรวงกลาโหมพิจารณาการนำทหารเกณฑ์ที่ปลดประจำการของกองทัพบกเข้ารับการฝึกอบรมเพื่อเป็นนายท้ายเรือและช่างเครื่องตามความสมัครใจเพื่อบรรเทาปัญหาการขาดแคลนแรงงานไทยและเพื่อให้สอดคล้องกับข้อกำหนดของกฎหมาย ๑.๒.๓ มอบหมายกรมประมงดำเนินการหามาตรการบรรเทาผลกระทบที่เหมาะสม ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาดำเนินการให้สอดคล้องกับมาตรการเพื่อป้องกันและขจัดการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (Illegal Unreported and Unregulated Fishing : IUU Fishing) และให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับมาตรการบรรเทาผลกระทบที่เหมาะสม ควรพิจารณาทั้งในมาตรการระยะสั้นและระยะปานกลาง โดยมาตรการในระยะสั้น ควรให้ความสำคัญกับกลุ่มชาวประมง แรงงานประมง และผู้ประกอบการด้านการประมง ที่ไม่สามารถดำเนินการตามเงื่อนไขของ ศปมผ. ได้ หรือไม่ประสงค์จะกลับคืนสู่อาชีพประมงทะเลอีก ให้ได้มีความรู้และช่องทางในการประกอบอาชีพและรายได้ทางเลือก พร้อมทั้งมีทุนสนับสนุนปัจจัยที่จำเป็นต่อการสร้างความพร้อมในการเริ่มต้นอาชีพใหม่ สำหรับมาตรการระยะปานกลาง ควรให้ความสำคัญกับการศึกษาวิจัยถึงศักยภาพทางทะเลของไทย เพื่อรับทราบถึงจำนวนเรือประมงและปริมาณและแนวทางการทำประมงที่เหมาะสม เพื่อใช้เป็นขอบเขตการดำเนินงานในการจูงใจ เพื่อลดจำนวนเรือประมงและการทำประมงทะเลทั้งระบบให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และสามารถทำการประมงได้อย่างยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
23566 | ขออนุมัติโครงการก่อสร้างอาคารโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ขนาด 400 เตียง ส่วนขยายเพิ่มเติมการให้บริการทางการแพทย์ ระยะที่ 1 และขอรับสนับสนุนงบประมาณผูกพันในลักษณะเงินอุดหนุนทั่วไป | ศธ | 14/07/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติโครงการก่อสร้างอาคารโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ขนาด ๔๐๐ เตียง ส่วนขยายเพิ่มเติมการให้บริการทางการแพทย์ ระยะที่ ๑ ภายในวงเงิน ๙,๗๑๘,๕๗๐,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ๒. สำหรับรายละเอียดงบประมาณให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยการดำเนินโครงการในเบื้องต้น สำนักงบประมาณได้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ เพื่อดำเนินโครงการดังกล่าวแล้ว จำนวน ๔๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท และหากสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาเห็นว่ามีความจำเป็นต้องดำเนินโครงการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ เพิ่มเติม ก็ให้ขอรับการจัดสรรแปรญัตติเพิ่มวงเงินก่อน และหากไม่ได้รับจัดสรร ก็ให้ขอรับการจัดสรรจากงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นตามความจำเป็นและเหมาะสม ทั้งนี้ การดำเนินโครงการดังกล่าวให้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับสถานพยาบาลและสถาบันผลิตแพทย์ในสังกัดอื่น ๆ ทั้งในด้านการให้บริการรักษาพยาบาลและการจัดการศึกษาทางการแพทย์เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และเทคโนโลยีด้านการแพทย์ให้มีความทันสมัย เกิดการพัฒนาองค์ความรู้ใหม่สู่ความเป็นเลิศ และเกิดการใช้ทรัพยากรร่วมกันอย่างคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพ ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
23567 | ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านแรงงาน (MOU) และร่างบันทึกข้อตกลงด้านการจ้างแรงงาน (Agreement) ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม | รง | 14/07/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านแรงงาน (MOU) ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม และร่างบันทึกข้อตกลงด้านการจ้างแรงงาน (Agreement) ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญครอบคลุมความร่วมมือทางวิชาการระหว่างสองประเทศในด้านแรงงาน ได้แก่ (๑) ความร่วมมือทางวิชาการ (๒) ความร่วมมือด้านการพัฒนาฝีมือแรงงาน (๓) ความร่วมมือด้านการจ้างงานระหว่างสองประเทศ (๔) ความร่วมมือด้านวิชาการอื่น ๆ ที่คู่เจรจามีความสนใจ และการจัดประชุมร่วมระหว่างสองฝ่ายทั้งระดับรัฐมนตรีและระดับหน่วยงานปฏิบัติ ทั้งนี้ เพื่อสร้างความร่วมมือด้านแรงงานและกระชับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ สำหรับบันทึกข้อตกลงฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและขยายความร่วมมือด้านกิจการก่อสร้างและประมงระหว่างไทยและเวียดนาม และจัดทำกรอบการดำเนินการเพื่ออำนวยความสะดวกในการจ้างแรงงานที่มีประสิทธิภาพ โปร่งใส และขจัดปัญหาการจ้างงานผิดกฎหมายและการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน ๑.๒ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเป็นผู้ลงนามของผู้แทนฝ่ายไทยในบันทึกความเข้าใจฯ และข้อตกลงฯ ดังกล่าว โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ทุพพลภาพและสวัสดิการสังคม เป็นผู้ลงนามของผู้แทนฝ่ายเวียดนาม ๑.๓ การนำเข้าแรงงานจากเวียดนามตามร่างบันทึกความเข้าใจฯ และร่างข้อตกลงฯ ดังกล่าว เพื่อทำงานในกิจการก่อสร้างและกิจการประมง ๒. ให้กระทรวงแรงงานรับข้อสังเกตของกระทรวงอุตสาหกรรมเกี่ยวกับบันทึกข้อตกลงฯ ควรระบุแนวทางในการป้องกันกรณีที่แรงงานชาวเวียดนามที่เข้ามาทำงานในสาขาประมงและก่อสร้างย้ายงานไปทำงานในสาขาอื่นให้ชัดเจน พร้อมบทลงโทษแรงงานและนายจ้างที่ทำตนเป็นนายหน้านำเข้าแรงงานเข้ามาเพื่อการอื่น และในการดำเนินการการจ้างงาน ควรมีการควบคุมจำนวนแรงงานนำเข้าให้ชัดเจน และจัดทำคู่มือให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนให้ชัดเจนเพื่อให้การดำเนินงานของหน่วยงานต่าง ๆ เป็นไปอย่างถูกต้องตรงกันและในทิศทางเดียวกัน รวมทั้งควรมีการตรวจสอบประวัติแรงงานชาวเวียดนาม เช่น ประวัติอาชญากรรม พร้อมทั้งมีมาตรการเพื่อลดผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นจากแรงงานชาวเวียดนามที่มีต่อประชาชน สังคม และท้องถิ่นของไทยอย่างรอบคอบ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างเอกสารดังกล่าวที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย และไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงแรงงานดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลังพร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๔. ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเป็นผู้ลงนามในเอกสารดังกล่าว |
||||||||||||||||||||||||
23568 | รายงานสถานการณ์น้ำและแนวทางการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง | นร | 14/07/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานสถานการณ์น้ำในปัจจุบัน และเห็นชอบการลดปริมาณการปล่อยน้ำจาก ๔ เขื่อนหลักในลุ่มน้ำเจ้าพระยา และแนวทางการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ตามที่ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการกำหนดนโยบายและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ประเทศไทยมีอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ จำนวน ๓๓ แห่ง ปัจจุบันมีปริมาตรน้ำในอ่างฯ ๓๒,๐๘๑ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๔๖ (ปริมาตรน้ำใช้การได้ ๘,๕๗๘ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๑๘) ลดลงเมื่อเทียบกับปี ๒๕๕๗ ที่มีปริมาตรน้ำในอ่างฯ ๓๒,๗๑๐ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๔๖ (ปริมาตรน้ำใช้การได้ ๙,๒๐๗ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๒๐) ๑.๒ สภาพน้ำในเขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ มีปริมาตรน้ำในเขื่อน ๗,๒๘๓ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๒๙ (ปริมาตรน้ำใช้การได้ ๕๘๗ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๓) ลดลงเมื่อเทียบกับปี ๒๕๕๗ ที่มีปริมาตรน้ำในเขื่อน ๗,๓๘๗ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๓๐ (ปริมาตรน้ำใช้การได้ ๖๙๑ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๔) ๑.๓ คาดการณ์ว่า ฤดูฝนในปี ๒๕๕๘ จะมีระยะเวลาสั้น ปริมาณฝนในช่วงกลางเดือนกรกฎาคมจะตกน้อยอย่างต่อเนื่อง และจะเริ่มตกชุกในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม ซึ่งอาจจะเกิดภาวะภัยแล้งอีกครั้งในช่วงปลายฤดูฝน คือ ปลายเดือนพฤศจิกายน ดังนั้น เพื่อให้ประชาชนมีน้ำอุปโภคบริโภคอย่างเพียงพอและสามารถรักษาระบบนิเวศไว้ได้ จึงเห็นควรให้ลดปริมาณการปล่อยน้ำจาก ๔ เขื่อนหลักในลุ่มน้ำเจ้าพระยา คือ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ที่เดิมปล่อยน้ำรวมกันประมาณ ๒๘ ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน ลดลงเหลือประมาณ ๑๘ ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน และขอให้หน่วยราชการที่เกี่ยวข้องและเกษตรกรเตรียมการรองรับปัญหาภัยแล้งที่อาจจะเกิดขึ้นในช่วงปลายฤดูฝนด้วย ๑.๔ โครงการบริหารจัดการน้ำปี ๒๕๕๗-๒๕๕๘ ประกอบด้วย ๕ กิจกรรม คือ การขุดลอกคูคลอง การขุดบ่อใหม่ การขุดท้องน้ำ การพัฒนาแหล่งน้ำธรรมชาติ และการพัฒนาอ่างเก็บน้ำขนาดเล็ก แบ่งเป็น ปี ๒๕๕๗ จำนวน ๒,๑๗๓ โครงการ และปี ๒๕๕๘ จำนวน ๓,๐๙๕ โครงการ ปัจจุบันดำเนินการแล้วเสร็จร้อยละ ๗๕ มีปริมาณน้ำเพิ่มขึ้น ๑,๐๖๐ ล้านลูกบาศก์เมตร ๑.๕ แนวทางการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ได้แก่ การช่วยเหลือน้ำอุปโภคบริโภค การปรับงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ เป็นการจ้างแรงงานประชาชนในพื้นที่ การขุดสระน้ำในไร่นาเพิ่มขึ้นโดยเน้นในหมู่บ้านที่ขาดแคลนน้ำ การขุดแก้มลิง/บ่อน้ำ การขุดเจาะบ่อน้ำบาดาลในหมู่บ้านแล้งและท่วมซ้ำซาก การเร่งซ่อมแซมถนนที่ทรุดจากน้ำลด และการใช้ศูนย์ดำรงธรรมในการแก้ไขปัญหาเชิงพื้นที่ตามนโยบายของรัฐบาลในด้านต่าง ๆ ๒. ให้ฝ่ายเลขานุการฯ ชี้แจงให้สาธารณชนได้รับทราบข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับสถานการณ์ดังกล่าว พร้อมทั้งแนวทางเตรียมการเพื่อป้องกันสถานการณ์น้ำขาดแคลน โดยให้ระบุรายละเอียดที่ชัดเจนของพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ำในปัจจุบัน และการลดปริมาณการปล่อยน้ำจากเขื่อนต่าง ๆ เป็นรายตำบลหรือรายอำเภอ รวมถึงแนวทางการบริหารจัดการน้ำในขณะนี้เพื่อป้องกันปัญหาน้ำขาดแคลน โดยให้ขอความร่วมมือจากประชาชนทุกภาคส่วนทั้งชุมชนเมืองและภาคเกษตรกรรมในการประหยัดการใช้น้ำในช่วงเวลานี้ และสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำในระยะต่อไปเพื่อให้สามารถเตรียมการรองรับได้อย่างเหมาะสม รวมทั้งให้หน่วยราชการที่เกี่ยวข้องเตรียมมาตรการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาภัยแล้งด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
23569 | การสร้างความเชื่อมโยงธุรกิจชุมชน ธุรกิจเพื่อสังคม วิสาหกิจเพื่อสังคม กับเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ | สลธ.คสช. | 14/07/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่สำนักเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติรายงานการสร้างความเชื่อมโยงธุรกิจชุมชน ธุรกิจเพื่อสังคม วิสาหกิจเพื่อสังคม กับเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ตามข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษเป็นแนวคิดในการขยายอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศด้วยการเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านในกรอบระเบียงเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์ในการเชื่อมโยงอาเซียน (ASEAN-connectivity) โดยอาศัยความเป็นจุดแข็งของประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางของอาเซียน กิจกรรมในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษทั้งภาคอุตสาหกรรม ภาคเกษตร และภาคบริการ นอกจากนั้นประเด็นยุทธศาสตร์ที่ ๔ ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจสู่การเติบโตอย่างมีคุณภาพและยั่งยืนได้กำหนด Roadmap ให้มีการพัฒนาศักยภาพผู้นำสหกรณ์ในเชิงธุรกิจให้ได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๓๐ ของพื้นที่นำร่องเศรษฐกิจพิเศษภายในปีงบประมาณ ๒๕๕๘ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องทำให้การพัฒนาในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษกับชุมชนมีความเชื่อมโยงกันโดยใช้ธุรกิจชุมชน (Community Business) ซึ่งเป็นการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจบนพื้นฐานของการรวมกลุ่มในชุมชนเพื่อสร้างอำนาจต่อรองทางเศรษฐกิจและนำกิจกรรมทางเศรษฐกิจของชุมชนไปลงทุนเพื่อให้ได้ผลกำไรกลับมาสู่ชุมชนภายใต้ระบบสหกรณ์ชุมชนมิใช่ระบบสหกรณ์แบบปันผลนิยม ๑.๒ เมื่อชุมชนรวมตัวกันเป็นธุรกิจชุมชน (Community Business) ได้แล้ว ต้องกำหนดกรอบและหลักเกณฑ์ในการบริหารจัดการเพื่อให้ผลกำไรกลับคืนสู่ชุมชนและสังคม รวมทั้งให้หน่วยทหารในพื้นที่เป็นแกนกลางในการรวมกลุ่มประชาชนในพื้นที่ให้เกิดธุรกิจชุมชน โดยการจัดตั้งโครงการนำร่องก่อน และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นผู้แนะนำส่งเสริมการรวมกลุ่ม ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นผู้แนะนำ ให้ความรู้ และให้ความช่วยเหลือในการทำ website และ e-Commerce ซึ่งจะทำให้แนวความคิดดังกล่าวบังเกิดผลเป็นรูปธรรม สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการสร้างความเชื่อมโยงธุรกิจชุมชน ธุรกิจเพื่อสังคม วิสาหกิจเพื่อสังคม กับเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษให้เป็นรูปธรรมโดยเร็ว ๓. ให้กระทรวงการคลังร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ไขปัญหาค่าครองชีพของประชาชนผู้มีรายได้น้อย โดยอาจใช้แนวคิดการเชื่อมโยงธุรกิจชุมชน ธุรกิจเพื่อสังคม วิสาหกิจเพื่อสังคม กับเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหา
|
||||||||||||||||||||||||
23570 | ร่างพระราชบัญญัติยกเลิกพระราชบัญญัติการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า พ.ศ. 2542 พ.ศ. .... | อื่นๆ | 14/07/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๕๘ และให้เสนอร่างพระราชบัญญัติยกเลิกพระราชบัญญัติการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า พ.ศ. ๒๕๔๒ พ.ศ. .... ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน
|
||||||||||||||||||||||||
23571 | ข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา 31 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เรื่อง รายงานผลการพิจารณาศึกษาการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา) | พศ | 14/07/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑. ผลการพิจารณาเกี่ยวกับข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา ๓๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เรื่อง รายงานผลการพิจารณาศึกษาการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา) ของสภาปฏิรูปแห่งชาติ ซึ่งมีประเด็นปฏิรูป ๔ ประเด็น ได้แก่ เรื่องทรัพย์สินของวัดหรือของพระภิกษุ เรื่องปัญหาของพระสงฆ์ที่ไม่ประพฤติ ไม่ปฏิบัติตามพระธรรมวินัยนำมาซึ่งความเสื่อมศรัทธา เรื่องการทำให้พระวินัยให้วิปริตและการประพฤติการปฏิบัติวิปริตจากพระธรรมวินัย และเรื่องของฝ่ายอาณาจักรที่จะต้องเข้าไปสนับสนุน ปกป้องคุ้มครองกิจการของฝ่ายศาสนจักร ๒. การดำเนินการของคณะสงฆ์ตามภารกิจทั้ง ๖ ด้าน คือ ด้านการปกครอง ด้านศาสนศึกษา ด้านการเผยแผ่ ด้านสาธารณูปการ ด้านการศึกษาสงเคราะห์ และด้านการสาธารณสงเคราะห์ สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ข้อเสนอของพุทธศาสนิกชน องค์กรทางพระพุทธศาสนา และนักวิชาการ โดยกำหนดแนวทางการดำเนินการ ๓ ระยะ ดังนี้ ๒.๑ ระยะที่ ๑ (มิถุนายน ๒๕๕๘ ถึงธันวาคม ๒๕๕๘) ดำเนินการปรับปรุงพัฒนาในส่วนที่ทำได้ทันที และระดมความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนในแนวทางปฏิรูปกิจพระพุทธศาสนา ๒.๒ ระยะที่ ๒ (มกราคม ๒๕๕๙ ถึงธันวาคม ๒๕๕๙) ดำเนินการตามกรอบแนวทางส่งเสริมการดำเนินงานตามภารกิจของคณะสงฆ์ทั้ง ๖ ด้านที่ได้จากการระดมความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน และขับเคลื่อนสิ่งที่ยังทำไม่เสร็จสิ้นและแนวทางที่เกิดใหม่ระหว่างดำเนินการในระยะที่ ๑ ๒.๓ ระยะที่ ๓ (มกราคม ๒๕๖๐ ถึงธันวาคม ๒๕๖๓) สรุปและประเมินผลการดำเนินการตามระยะที่ ๒ พัฒนาปรับปรุงรูปแบบแนวทางในส่วนที่ยังไม่เสร็จตามแผนและเพิ่มเติมในส่วนอื่นที่มีความจำเป็นที่อาจเกิดขึ้นภายหลัง
|
||||||||||||||||||||||||
23572 | ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานของสำนักงานวิจัยเศรษฐกิจของภูมิภาคอาเซียน +3 พ.ศ. .... (สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ) | นร | 14/07/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๕๘ และให้เสนอร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานของสำนักงานวิจัยเศรษฐกิจมหภาคของภูมิภาคอาเซียน+๓ พ.ศ. .... ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน
|
||||||||||||||||||||||||
23573 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ | นร | 14/07/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๕๘ และรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยมอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) รับข้อสังเกตของคณะกรรมการฯ ประสานกับคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป และให้เสนอร่างพระราชบัญญัติ รวม ๑๒ ฉบับ ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน ดังนี้ ๑.๑ ร่างพระราชบัญญัติยกเลิกพระราชบัญญัติการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า พ.ศ. ๒๕๔๒ พ.ศ. .... ๑.๒ ร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ พ.ศ. .... ๑.๓ ร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์การอุทธรณ์และฎีกา) ๑.๔ ร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์การอุทธรณ์และฎีกา) ๑.๕ ร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์การอุทธรณ์และฎีกา) ๑.๖ ร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับการอุทธรณ์และฎีกา) ๑.๗ ร่างพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์การอุทธรณ์และฎีกา) ๑.๘ ร่างพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์การอุทธรณ์และฎีกา) ๑.๙ ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระธรรมนูญศาลยุติธรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๑๐ ร่างพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๑๑ ร่างพระราชบัญญัติกำลังพลสำรอง พ.ศ. .... ๑.๑๒ ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานของสำนักงานวิจัยเศรษฐกิจมหภาคของภูมิภาคอาเซียน+๓ พ.ศ. .... ๒. ให้กระทรวงยุติธรรมจัดลำดับความสำคัญเร่งด่วนของร่างกฎหมายที่อยู่ระหว่างการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อจะได้เสนอต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติและมีกฎหมายเพื่อใช้บังคับต่อไป รวมทั้งพิจารณาเร่งรัดให้มีร่างกฎหมายที่เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล และ Road Map ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ แล้วรายงานให้นายกรัฐมนตรีทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
23574 | รายงานผลการดำเนินงานของกระทรวงวัฒนธรรมในการใช้มิติทางวัฒนธรรมเพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เสริมสร้างภาพลักษณ์ และเกียรติภูมิของประเทศไทยในเวทีโลก เดือนพฤษภาคม 2558 | วธ | 14/07/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานของกระทรวงวัฒนธรรมในการใช้มิติทางวัฒนธรรมเพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เสริมสร้างภาพลักษณ์ และเกียรติภูมิของประเทศไทยในเวทีโลก เดือนพฤษภาคม ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเป็นประธานเปิดการประชุมและบรรยายหัวข้อ “วัฒนธรรมไทย วัฒนธรรมอาเซียน” ในงานมหกรรมวิชาการภูมิปัญญากลุ่มชาติพันธุ์ ลุ่มน้ำโขง ๔ ชาติ ไทย ลาว เวียดนาม และจีน เมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๘ เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้วิถีชีวิตวัฒนธรรมและภูมิปัญญาลุ่มน้ำโขง ๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเป็นประธานเปิดนิทรรศการแสดงผลงานศิลปินไทย ในมหกรรมศิลปะร่วมสมัยนานาชาติ เวนิส เบียนนาเล่ ครั้งที่ ๕๖ ณ เมืองเวนิส สาธารณรัฐอิตาลี เมื่อวันที่ ๗ พฤษภาคม ๒๕๕๘ ซึ่งเป็นการจัดการแสดงผลงานของศิลปินทั่วโลก และเดินทางไปร่วมงาน “Expo Milano 2015” ณ เมืองมิลาน โดยได้เยี่ยมชมศาลาไทยซึ่งเป็น ๑ ใน ๑๕ ศาลา ที่ได้รับการจัดอันดับว่าเป็นศาลาที่สวยที่สุด ภายในศาลาไทยได้นำเสนอเรื่องราวพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เรื่องราวเกี่ยวกับอาหารไทย และองค์ความรู้ด้านการเกษตรของประเทศไทย ๓. ปลัดกระทรวงวัฒนธรรมเข้าร่วมเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ครั้งที่ ๖๘ ประจำปี ๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๑๔-๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๘ เพื่อส่งเสริมและเผยแพร่อุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทย รวมถึงผลักดันภาพยนตร์ไทย บุคลากรด้านภาพยนตร์ของไทยให้ก้าวสู่เวทีการเผยแพร่และการเจรจาธุรกิจในระดับนานาชาติ รวมทั้งประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ วัฒนธรรม และแหล่งท่องเที่ยวของประเทศไทยผ่านภาพยนตร์เรื่อง “เส้นทางรัก” หรือ “Love En Route” ๔. ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (นายพงศ์ศักติฐ์ เสมสันต์) เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมระดับโลกเพื่อเจรจาระหว่างวัฒนธรรม ครั้งที่ ๓ (World Forum on Intercultural Dialogue) หัวข้อ “Culture and sustainable development in the post-2015 development agenda” ณ สาธารณรัฐอาเซอร์ไบจาน เมื่อวันที่ ๑๘-๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๘ ๕. กระทรวงวัฒนธรรมให้การสนับสนุนสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงบูคาเรสต์ จัดส่งคณะนักแสดงสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์เข้าร่วมแสดงศิลปวัฒนธรรมไทย ในงานเทศกาลไทยเพื่อเผยแพร่วัฒนธรรมไทย การท่องเที่ยวไทย อาหาร และสินค้าอาหารไทย ประจำปี ๒๕๕๘ ณ ประเทศโรมาเนีย เมื่อวันที่ ๑๕-๒๑ พฤษภาคม ๒๕๕๘ ๖. กระทรวงวัฒนธรรมร่วมกับภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนร่วมกันจัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อให้ความช่วยเหลือประเทศเนปาล ได้แก่ การจัดจำหน่ายเสื้อภาพวาดฝีมือศิลปินแห่งชาติ โดยจัดรายการถ่ายทอดสดทางสถานีโทรทัศน์ “เช็ดน้ำตา หลั่งน้ำใจให้เนปาล” เปิดรับบริจาคจากประชาชน การจัดประมูลภาพฝีพระหัตถ์ของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และภาพศิลปกรรมและเหรียญของศิลปินแห่งชาติ รวมทั้งจำหน่ายผลงานของศิลปินและผลงานศิลปินที่ชนะเลิศการประกวดระดับชาติ โดยยอดเงินการจำหน่ายเสื้อ เงินบริจาคและการประมูลภาพ รวมทั้งสิ้น ๑๓,๕๘๙,๙๙๐ บาท และได้ส่งมอบให้รัฐบาลผ่านทางบัญชี “หัวใจไทย ส่งไปเนปาล” เมื่อวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๘
|
||||||||||||||||||||||||
23575 | การแต่งตั้งข้าราชการดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการพัฒนา (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) (สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ) (นายสมบูรณ์ วงค์กาด) | กร | 14/07/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายสมบูรณ์ วงค์กาด ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการพัฒนา (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ตั้งแต่วันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
23576 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข) (นางธีรนารถ จิวะไพศาลพงศ์) | สธ | 14/07/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนางธีรนารถ จิวะไพศาลพงศ์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์กรแพทย์ (ชีววิทยา) (นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ทรงคุณวุฒิ) กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๕๘ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
23577 | การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (สำนักนายกรัฐมนตรี) (นางอาภัสรา เฟื่องฟู) | นร06 | 14/07/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนางอาภัสรา เฟื่องฟู ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการดำเนินงานข่าวกรองในต่างประเทศ (นักการข่าวทรงคุณวุฒิ) กลุ่มงานที่ปรึกษา สำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๕๘ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่สำนักข่าวกรองแห่งชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
23578 | การนำส่งเงินตามแผนปฏิบัติการนำเงินของกองทุนหมุนเวียนที่มีสภาพคล่องส่วนเกินความจำเป็นส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน | กค | 14/07/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ชะลอการนำเรื่องที่หน่วยงานของรัฐเจ้าของทุนหมุนเวียนต่าง ๆ ที่ขอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณายกเว้นหรือลดจำนวนเงินสภาพคล่องนำส่งเป็นรายได้แผ่นดินไว้ก่อน โดยขอให้ส่งเรื่องให้กระทรวงการคลังพิจารณากลั่นกรองให้ความเห็นก่อนเสนอเรื่องให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
23579 | รายงานการดำเนินงานของคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ครั้งที่ 23 และครั้งที่ 24 (การประชุมครั้งที่ 91/2558 ถึงครั้งที่ 94/2558) | นร04 | 14/07/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการดำเนินงานของคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ครั้งที่ ๒๓ และครั้งที่ ๒๔ (การประชุมครั้งที่ ๙๑/๒๕๕๘ ถึงครั้งที่ ๙๔/๒๕๕๘) ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุมครั้งที่ ๙๑/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๕๘ ที่ประชุมได้มีการพิจารณาหารือประเด็นการของดใช้ข้อบังคับเพื่อใช้ในการปฏิบัติงานยกร่างรัฐธรรมนูญของคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๕๗ เกี่ยวกับการพิจารณาคำขอแก้ไขเพิ่มเติมร่างรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตราในส่วนของคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ๒. การประชุมครั้งที่ ๙๒/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๘ ที่ประชุมได้มีการพิจารณาหารือเกี่ยวกับแนวทางการเชิญสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ คณะรัฐมนตรีและคณะรักษาความสงบแห่งชาติมาชี้แจงประกอบการยื่นคำขอแก้ไขเพิ่มเติมร่างรัฐธรรมนูญ ๓. การประชุมครั้งที่ ๙๓/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๕๘ ที่ประชุมได้มีการพิจารณาแผนการดำเนินงานเกี่ยวกับการกำหนดวันและเวลาในการเชิญสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติผู้เสนอคำขอแก้ไขเพิ่มเติมร่างรัฐธรรมนูญ รวมทั้งคณะรัฐมนตรีซึ่งเป็นผู้มีสิทธิเสนอคำขอแก้ไขเพิ่มเติมร่างรัฐธรรมนูญตามมาตรา ๓๖ วรรคสาม ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ มาชี้แจงประกอบคำขอแก้ไขเพิ่มเติมต่อคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ โดยให้เรียงลำดับตามกลุ่มผู้มายื่นคำขอแก้ไขเพิ่มเติม ๔. การประชุมครั้งที่ ๙๔/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๕๘ ที่ประชุมมีการพิจารณาภาพรวมของคำขอแก้ไขเพิ่มเติมร่างรัฐธรรมนูญ และกำหนดให้มีการประชุมครั้งต่อไปวันอังคารที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๕๘ เวลา ๘.๓๐ น. ณ ห้องประชุมงบประมาณชั้น ๓ อาคารรัฐสภา ๓
|
||||||||||||||||||||||||
23580 | ร่างพระราชกฤษฎีกาโอนกรรมสิทธิ์ที่ธรณีสงฆ์ ในท้องที่ตำบลหนองปลาหมอ อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ของวัดลำพยอม ตำบลคุ้งพยอม อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ให้แก่กรมชลประทาน พ.ศ. .... | พศ | 14/07/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาโอนกรรมสิทธิ์ที่ธรณีสงฆ์ ในท้องที่ตำบลหนองปลาหมอ อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ของวัดลำพยอม ตำบลคุ้มพยอม อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ให้แก่กรมชลประทาน พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการโอนกรรมสิทธิ์ที่ธรณีสงฆ์ ในท้องที่ตำบลหนองปลาหมอ อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ของวัดลำพะยอม ตำบลคุ้มพยอม อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ให้แก่กรมชลประทาน เพื่อก่อสร้างคลองระบายน้ำ ๑ ขวา-๓ ขวา แม่กลอง ตามที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|