ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 47 จากทั้งหมด 252 หน้า แสดงรายการที่ 921 - 940 จากข้อมูลทั้งหมด 5030 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
921 | ปรับปรุงหลักเกณฑ์มาตรการสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย | กค | 07/08/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๙/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ โดยคณะกรรมการกลั่นกรองฯ มีมติเห็นชอบการปรับปรุงหลักเกณฑ์มาตรการสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ผ่านมาตรการสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการ SMEs ผ่านกลไกการค้ำประกันในลักษณะ Portfolio Guarantee Scheme ของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (มาตรการ PGS) และสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำโดยความร่วมมือของธนาคารออมสิน (Soft Loan ออมสิน) ดังนี้
๑. กลุ่มเป้าหมายเป็น SMEs ที่ประกอบธุรกิจทุกประเภทที่อยู่ในพื้นที่ประสบอุทกภัย ตามประกาศของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย หรือเป็น SMEs ที่ได้รับผลกระทบทางอ้อม โดยจะต้องมียอดการสั่งซื้อหรือยอดขายกับคู่ค้าในพื้นที่ประสบอุทกภัยไม่น้อยกว่าร้อยละ ๒๕ โดยธนาคารจะต้องเป็นผู้รับรองและยืนยัน ๒. วงเงินค้ำประกันสูงสุดทุกประเภท/วงเงินให้สินเชื่อสูงสุดทุกประเภทรวมกันไม่เกิน ๓๐ ล้านบาทต่อรายต่อสถาบันการเงิน โดยสินเชื่อที่ได้รับจากสถาบันการเงินต้องเป็นสินเชื่อใหม่ และต้องไม่นำไปชำระหนี้เดิมกับสถาบันการเงินผู้ให้กู้ ๓. ระยะเวลารับคำขอ ภายในวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๕ |
||||||||||||||||||
922 | ขอปิดเส้นทางจราจรในทางหลวงหมายเลข 3259 (กม. 15-กม. 30) ช่วงผ่านเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤาไน บางช่วงเวลา | ทส | 07/08/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๕ (ฝ่ายการเกษตรและการท่องเที่ยว) ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายชุมพล ศิลปอาชา) เป็นประธานกรรมการ ซึ่งเห็นชอบข้อเสนอให้มีการปิดถนนสาย ๓๒๕๙ ระหว่าง กม. ๑๕-กม. ๓๐ โดยแบ่งเป็น ๒ ช่วงเวลา คือ ช่วงที่หนึ่ง ระหว่างเดือนมกราคม-เมษายน ปิดระหว่างเวลา ๒๑.๐๐ น. -๐๕.๐๐ น. และช่วงที่สอง ระหว่างเดือนพฤษภาคม-ธันวาคม ปิดระหว่างเวลา ๑๘.๐๐ น.-๐๖.๐๐ น. โดยมอบให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) รับไปดำเนินการเพื่อประกาศปิดเส้นทางการจราจรถนนสาย ๓๒๕๙ ระหว่าง กม. ๑๕-กม. ๓๐ ในช่วงเวลาดังกล่าว ให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติทางหลวง พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๒๘ ต่อไป
|
||||||||||||||||||
923 | การปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุ และการเลื่อนชั้นเงินเดือนเพื่อชดเชยผู้ได้รับผลกระทบของกระทรวงกลาโหม | กห | 07/08/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายความมั่นคงและโครงสร้างพื้นฐาน) ในการประชุมครั้งที่ ๗/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) ประธานกรรมการกลั่นกรองฯ เสนอ โดยคณะกรรมการกลั่นกรองฯ มีมติอนุมัติในหลักการร่างกฎกระทรวง และร่างคำสั่ง จำนวน ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการบรรจุบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการทหารและการให้ได้รับเงินเดือน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... โดยให้เพิ่มเติมความข้อ ๔ ในร่างกฎกระทรวงฯ เพื่อให้การบรรจุพลทหารประจำการ (พลอาสาสมัคร) ซึ่งเลื่อนฐานะเป็นนายทหารประทวนได้รับเงินเดือนระดับ ป.๑ ในชั้นที่มีอัตราเงินเดือนใกล้เคียงที่เท่ากัน หรือสูงกว่าอัตราเงินเดือนเดิมที่ได้รับอยู่ก่อนการเลื่อนฐานะเป็นนายทหารประทวนแล้วแต่กรณี ตามที่ผู้แทนกระทรวงกลาโหมเสนอขอเพิ่มเติม ทั้งนี้ สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวงฯ มีดังนี้ ๑.๑ ให้ยกเลิกบัญชีคุณวุฒิและอัตราเงินเดือนของบุคคลที่ได้รับการบรรจุเข้ารับราชการเป็นข้าราชการทหาร ท้ายกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการบรรจุบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการทหารและการให้ได้รับเงินเดือน พ.ศ. ๒๕๕๕ และให้ใช้บัญชีคุณวุฒิและอัตราเงินเดือนของบุคคลที่ได้รับการบรรจุเข้ารับราชการเป็นข้าราชการทหารท้ายกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการบรรจุบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการทหารและการให้ได้รับเงินเดือน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... แทน ๑.๒ กำหนดการให้ได้รับเงินเดือนของบุคคลที่ได้รับการบรรจุเข้ารับราชการเป็นข้าราชการทหารให้เป็นไปตามคุณวุฒิและอัตราเงินเดือนตามบัญชีคุณวุฒิและอัตราเงินเดือนของบุคคลที่ได้รับการบรรจุเข้ารับราชการเป็นข้าราชการท้ายกฎกระทรวง ดังนี้ ตารางอัตราเงินเดือน ณ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ ให้ใช้ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ และตารางอัตราเงินเดือน ณ ๑ มกราคม ๒๕๕๗ ให้ใช้ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๗ ๒. อนุมัติในหลักการร่างคำสั่งกระทรวงกลาโหม เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการเลื่อนชั้นเงินเดือนตามคุณวุฒิที่บรรจุเข้ารับราชการเป็นข้าราชการทหาร มีสาระสำคัญคือ กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการเลื่อนชั้นเงินเดือน ตามคุณวุฒิที่บรรจุเข้ารับราชการเป็นข้าราชการทหารเพื่อชดเชยแก่ข้าราชการทหารผู้ได้รับผลกระทบจากการปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุ ซึ่งเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๕ โดยให้มีผลใช้บังคับ ณ วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ และวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๗ เป็นต้นไป ๓. ให้กระทรวงกลาโหมรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ สำนักงบประมาณได้เสนอตั้งงบประมาณรองรับไว้แล้ว ส่วนในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ให้กระทรวงกลาโหมเสนอขอตั้งงบประมาณรองรับตามความจำเป็นต่อไป และเนื่องจากกระทรวงกลาโหมมีกำลังพลที่อยู่ในเกณฑ์ดำเนินการปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุและการเลื่อนขั้นเงินเดือนเพื่อชดเชย ผู้ได้รับผลกระทบเป็นจำนวนมาก ซึ่งจำเป็นต้องมีการประมาณการด้านงบประมาณรายจ่ายที่เพิ่มขึ้น จึงเห็นควรหารือกับสำนักประมาณและกรมบัญชีกลางเพื่อไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
924 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) ครั้งที่ 3/2555 | นร | 30/07/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบเรื่องเพื่อทราบ จำนวน ๔ เรื่อง ตามมติคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๕๕ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) ประธาน กพต. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เรื่อง การบูรณาการเป้าหมายยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ๑.๒ เรื่อง ผลการเยือนจังหวัดชายแดนภาคใต้ของที่ปรึกษาและผู้แทนพิเศษ OIC ๑.๓ เรื่อง ผลการดำเนินงานแก้ไขปัญหาด้านการศึกษาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ๑.๔ เรื่อง การพัฒนาระบบการควบคุมดูแลผู้ต้องขังในเรือนจำ/ทัณฑสถานจังหวัดชายแดนภาคใต้ตามวิธีปฏิบัติศาสนาอิสลาม ๒. เห็นชอบในหลักการเรื่องเพื่อพิจารณาตามมติ กพต. ดังนี้ ๒.๑ เรื่อง การปรับปรุงหลักเกณฑ์การจ่ายเงินช่วยเหลือประชาชนที่เสียชีวิตและทุพพลภาพจากเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และขอรับการจัดสรรงบประมาณจากเงินงบกลางปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๘ เนื่องจากคณะกรรมการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบสืบเนื่องจากความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเป็นประธานกรรมการได้เสนอเรื่องการปรับปรุงหลักเกณฑ์ การจ่ายเงินช่วยเหลือประชาชนที่เสียชีวิตและทุพพลภาพจากเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ไปเพื่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้ว จึงเห็นควรให้เป็นไปตามผลการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีต่อไป และรับทราบมติการประชุมคณะกรรมการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ สืบเนื่องจากความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยให้คณะกรรมการเยียวยาฯ นำความเห็นของกระทรวงสาธารณสุข กรณีนายสมชาย นีละไพจิตร ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๒.๒ เรื่อง การแก้ไขเพิ่มเติมการจ่ายเงินยังชีพรายเดือนผู้พิการที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ รับทราบตามมติ กพต. ๒.๓ สำหรับการดำเนินงานตามภารกิจของหน่วยงานต่าง ๆ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ เห็นชอบให้เพิ่มวงเงินงบประมาณทั้งสิ้น ๑๖๘,๐๕๖,๐๐๐ บาท ส่วนการเพิ่มกรอบอัตรากำลังสมาชิกกองอาสารักษาดินแดนให้แก่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส และอำเภอเมือง อำเภอสะบ้าย้อย อำเภอเทพา อำเภอจะนะ อำเภอนาทวี ของจังหวัดสงขลา จำนวน ๒,๗๐๐ อัตรา ให้กรมการปกครองจัดทำแผนเพื่อขออนุมัติเพิ่มกรอบอัตรากำลังต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒.๔ เรื่อง การพิจารณากำหนดวันหยุดราชการประจำปีเพิ่มเติม และเรื่อง การทำบันทึกความเข้าใจ (MOU) ความร่วมมือว่าด้วยทุนการศึกษาระหว่างศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) กับองค์กร Muhammadiyah ให้ ศอ.บต. จัดทำรายละเอียดเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง |
||||||||||||||||||
925 | แนวทางการจ่ายค่าชดเชยให้กับผู้อำนวยการ เจ้าหน้าที่และลูกจ้างขององค์การมหาชน | นร | 24/07/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแนวทางการจ่ายค่าชดเชยให้กับผู้อำนวยการ เจ้าหน้าที่และลูกจ้างขององค์การมหาชน ตามมติคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ในการประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ผู้อำนวยการ กรณีเลิกจ้าง ให้จ่ายค่าชดเชยโดยระบุในสัญญาจ้างหรือระเบียบข้อบังคับ ๑.๒ ผู้อำนวยการ กรณีสิ้นสุดสัญญาจ้าง ไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยโดยระบุในสัญญาจ้าง ๑.๓ เจ้าหน้าที่หรือลูกจ้าง กรณีเลิกจ้าง ให้จ่ายค่าชดเชยโดยระบุในสัญญาจ้างหรือระเบียบข้อบังคับ ๑.๔ ลูกจ้างโครงการ กรณีเลิกจ้าง ไม่มีการจ่ายค่าชดเชย ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นด้วยกับหลักการของการกำหนดแนวทางการจ่ายค่าชดเชยตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ซึ่งเป็นการวางหลักเกณฑ์ในการจ่ายค่าชดเชยแก่ผู้อำนวยการ เจ้าหน้าที่และลูกจ้างขององค์การมหาชนให้สอดคล้องกัน อย่างไรก็ตาม การจ่ายเงินจำนวนนี้เป็นเรื่องสิทธิประโยชน์อย่างอื่นจึงไม่ควรใช้คำว่าเงินค่าชดเชย ซึ่งอาจจะเกิดความสับสนว่าเป็นการจ่ายเงินตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ และอาจเป็นเหตุให้มีการฟ้องเรียกร้องในภายหลังขึ้นได้ ๓. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน กระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเพิ่มเติมเงื่อนไขการจ่ายค่าชดเชยให้กับผู้อำนวยการ เจ้าหน้าที่และลูกจ้างขององค์การมหาชนกรณีที่ไม่ได้กระทำความผิด การกำหนดระเบียบหรือข้อบังคับเกี่ยวกับการจ่ายค่าชดเชยเพื่อรองรับการจ่ายค่าชดเชยตามสัญญาจ้างขององค์การมหาชนต้องเป็นไปตามมาตรา ๓๘ แห่งพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่ต้องไม่ต่ำกว่าที่กำหนดในกฎหมายแรงงานซึ่งเป็นกฎหมายที่กำหนดมาตรฐานขั้นต่ำในการจ้างงาน การทบทวนการกำหนดค่าตอบแทนของผู้อำนวยการองค์การมหาชนให้เหมาะสมเพื่อให้ได้รับสิทธิประโยชน์เท่าเทียมกับเจ้าหน้าที่และลูกจ้างขององค์การมหาชน รวมถึงการทบทวนโครงสร้างค่าตอบแทนของผู้อำนวยการองค์การมหาชนเพื่อเป็นสิ่งจูงใจในการสรรหาบุคคลเพื่อดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการองค์การมหาชน การเพิ่มแนวปฏิบัติในกรณีเลิกจ้างผู้อำนวยการ ในส่วนของนิยาม “การเลิกจ้างผู้อำนวยการ” หมายความว่า การกระทำใดที่องค์การมหาชนไม่ใช้ผู้อำนวยการทำงานต่อไปและไม่จ่ายค่าจ้างให้ ด้วยเหตุที่องค์การมหาชนถูกยุบเลิกและไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ หรือเหตุอื่นที่มิได้เป็นความผิดของผู้อำนวยการหรือเหตุอื่นที่กำหนดในสัญญาจ้าง และเพิ่มเป็นข้อ ๔ ว่า ภายหลังคณะรัฐมนตรีเห็นชอบแล้ว แต่องค์การมหาชนยังไม่ได้แก้ไขสัญญาจ้างผู้อำนวยการ หากมีการเลิกจ้างผู้อำนวยการให้อนุโลมชดเชยในอัตราเทียบเคียงตามที่กำหนดในกฎหมายแรงงาน หรือตามอัตราที่คณะกรรมการองค์การมหาชนให้ความเห็นชอบ รวมทั้งการกำหนดแนวทางการจ่ายค่าชดเชยให้กับผู้อำนวยการ เจ้าหน้าที่และลูกจ้างขององค์การมหาชนโดยรวมที่สามารถประยุกต์ใช้ได้กับองค์การมหาชนทุกแห่ง เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและลดการพิพาทกรณีการเลิกจ้างงาน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||
926 | การกำหนดค่าตอบแทนกรรมการในคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) | ยธ | 24/07/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายกระบวนการยุติธรรม กฎหมาย แรงงาน และประชาสัมพันธ์) ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) ประธานกรรมการกลั่นกรองฯ เสนอ โดยคณะกรรมการกลั่นกรองฯ มีมติให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๔๗ [เรื่อง การกำหนดค่าตอบแทนกรรมการในคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) และอนุกรรมการ] ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และกำหนดค่าตอบแทนกรรมการใน กคพ. และคณะอนุกรรมการ ตามความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงาน ก.พ. ดังนี้
๑. กระทรวงการคลังพิจารณาเห็นว่า การปฏิบัติหน้าที่ของ กคพ. มีลักษณะเป็นการประชุมคณะกรรมการเช่นเดียวกับคณะกรรมการตามพระราชกฤษฎีกาเบี้ยประชุมกรรมการ พ.ศ. ๒๕๔๗ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ที่พิจารณาว่าหากอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการชุดใดสมควรได้รับเบี้ยประชุมรายเดือนและมีองค์ประกอบของคณะกรรมการโดยมีนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการ ให้ได้รับเบี้ยประชุมไม่เกินเดือนละ ๗,๕๐๐ บาท รองประธานกรรมการไม่เกินเดือนละ ๖,๗๕๐ บาท และกรรมการไม่เกินเดือนละ ๖,๐๐๐ บาท คณะอนุกรรมการได้รับในอัตราไม่เกินกึ่งหนึ่งของอัตราที่คณะกรรมการมีสิทธิได้รับ จึงเห็นควรให้ กคพ. และคณะอนุกรรมการใน กคพ. ได้รับค่าตอบแทน ดังนี้ ๑.๑ ประธานกรรมการให้ได้รับค่าตอบแทนในอัตราเดือนละ ๗,๕๐๐ บาท กรรมการอื่นให้ได้รับค่าตอบแทนในอัตราเดือนละ ๖,๐๐๐ บาท ๑.๒ ประธานคณะอนุกรรมการให้ได้รับค่าตอบแทนในอัตราเดือนละ ๓,๗๕๐ บาท อนุกรรมการให้ได้รับค่าตอบแทนในอัตราเดือนละ ๓,๐๐๐ บาท ทั้งนี้ ให้ได้รับค่าตอบแทนเฉพาะในเดือนที่ได้เข้าร่วมประชุม ๒. สำนักงาน ก.พ. พิจารณาเห็นว่า การกำหนดอัตราเบี้ยประชุมหรือค่าตอบแทนของ กคพ. ควรเปรียบเทียบและยึดโยงกับคณะกรรมการที่มีองค์ประกอบคล้ายคลึงกัน และสอดคล้องกับแนวทางตามพระราชกฤษฎีกาเบี้ยประชุมกรรมการ พ.ศ. ๒๕๔๗ และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยกำหนดอัตราค่าเบี้ยประชุม ดังนี้ ๒.๑ กำหนดอัตราเบี้ยประชุม กคพ. โดยเทียบเคียงกับคณะกรรมการที่นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีเป็นประธาน โดยกำหนดให้ประธานกรรมการได้รับเบี้ยประชุมในอัตราเดือนละ ๗,๕๐๐ บาท กรรมการได้รับเบี้ยประชุมในอัตราเดือนละ ๖,๐๐๐ บาท ทั้งนี้ กรรมการมีสิทธิได้รับเบี้ยประชุมเป็นรายเดือนเฉพาะในเดือนที่ได้ร่วมประชุม ๒.๒ กำหนดอัตราเบี้ยประชุมของคณะอนุกรรมการที่ได้รับการแต่งตั้งจาก กคพ. โดยกำหนดให้ประธานอนุกรรมการได้รับเบี้ยประชุมเดือนละ ๓,๗๕๐ บาท อนุกรรมการได้รับเบี้ยประชุมเดือนละ ๓,๐๐๐ บาท ทั้งนี้ อนุกรรมการมีสิทธิได้รับเบี้ยประชุมเป็นรายเดือนเฉพาะเดือนที่ได้ร่วมประชุม |
||||||||||||||||||
927 | การกำหนดค่าตอบแทนอนุกรรมการ และที่ปรึกษาคณะกรรมการ ในคณะกรรมการอิสระว่าด้วยการส่งเสริมหลักนิติธรรมแห่งชาติ | ยธ | 24/07/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายกระบวนการยุติธรรม กฎหมาย แรงงาน และประชาสัมพันธ์) ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) ประธานกรรมการกลั่นกรองฯ เสนอ โดยคณะกรรมการกลั่นกรองฯ มีมติเห็นชอบตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้
๑. เห็นชอบการกำหนดค่าตอบแทนอนุกรรมการ และที่ปรึกษาคณะกรรมการ ในคณะกรรมการอิสระว่าด้วยการส่งเสริมหลักนิติธรรมแห่งชาติ (คอ.นธ.) ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ซึ่งอัตราค่าตอบแทนที่กำหนดขึ้นดังกล่าวสอดคล้องกับอัตราค่าตอบแทนของคณะกรรมการอื่น ๆ ที่มีอำนาจหน้าที่และภารกิจใกล้เคียงกันของกระทรวงยุติธรรม และอัตราเบี้ยประชุมตามประกาศกระทรวงการคลัง โดยค่าตอบแทนอนุกรรมการ และที่ปรึกษาคณะกรรมการ ใน คอ.นธ. ที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ มีดังนี้ ๑.๑ ประธานอนุกรรมการให้ได้รับค่าตอบแทนเป็นรายเดือน ในอัตราเดือนละ ๕,๐๐๐ บาท เฉพาะเดือนที่มีการประชุม หากเดือนใดไม่มีการประชุมหรือมีการประชุมแต่ไม่เข้าร่วมประชุม ให้งดจ่าย ๑.๒ อนุกรรมการให้ได้รับค่าตอบแทนเป็นรายเดือน ในอัตราเดือนละ ๔,๐๐๐ บาท เฉพาะเดือนที่มีการประชุม หากเดือนใดไม่มีการประชุมหรือมีการประชุมแต่ไม่ได้เข้าร่วมประชุม ให้งดจ่าย ๑.๓ เลขานุการให้ได้รับค่าตอบแทนเป็นรายครั้ง ในอัตราครั้งละ ๕๐๐ บาท โดยได้รับค่าตอบแทนเพียงครั้งเดียวในหนึ่งวัน ทั้งนี้ อนุกรรมการผู้ใดเป็นเลขานุการด้วยให้เบิกค่าตอบแทนได้เพียงตำแหน่งเดียว ๑.๔ ผู้ช่วยเลขานุการให้ได้รับค่าตอบแทนเป็นรายครั้ง ในอัตราครั้งละ ๕๐๐ บาท โดยได้รับค่าตอบแทนเพียงครั้งเดียวในหนึ่งวัน ทั้งนี้ อนุกรรมการผู้ใดเป็นผู้ช่วยเลขานุการด้วยให้เบิกค่าตอบแทนได้เพียงตำแหน่งเดียว ๑.๕ ที่ปรึกษา คอ.นธ. ที่ คอ.นธ. แต่งตั้งและมอบหมายให้ดำเนินการ ให้ได้รับค่าตอบแทนในอัตราเหมาจ่ายรายเดือน เดือนละ ๘,๐๐๐ บาท ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ได้มีการแต่งตั้ง ๒. สำหรับงบประมาณเพื่อเบิกจ่ายเป็นค่าตอบแทนดังกล่าว รวมทั้งภารกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ให้สำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรมใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ รายการค่าใช้จ่ายในการสนับสนุนการดำเนินงานของคณะกรรมการอิสระว่าด้วยหลักนิติธรรมแห่งชาติ (คอ.นธ.) ที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณแล้ว |
||||||||||||||||||
928 | กรอบระยะเวลาการพิจารณาให้ความช่วยเหลือเกษตรกรของ คชก. | พณ | 24/07/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบกรอบระยะเวลาการพิจารณาให้ความช่วยเหลือเกษตรกรของคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) ตามที่รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรเสนอ ดังนี้
๑. การประเมินสถานการณ์สินค้า ๑.๑ สินค้าเกษตรที่มีคณะกรรมการเฉพาะ ให้คณะกรรมการประเมินสถานการณ์แนวโน้มราคาสินค้าเกษตรที่รับผิดชอบและสภาพปัญหา รวมทั้งเสนอแนวทางป้องกันและมาตรการดำเนินการแก้ไขปัญหาก่อนผลผลิตออกสู่ตลาดไม่น้อยกว่า ๒ เดือน แล้วนำเสนอ คชก. โดยเร็วต่อไป ๑.๒ สินค้าเกษตรที่ไม่มีคณะกรรมการกำกับดูแลเฉพาะ และประสงค์จะของบประมาณสนับสนุนจากภาครัฐ ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบประเมินสถานการณ์แนวโน้มราคาและสภาพปัญหา พร้อมทั้งจัดทำมาตรการป้องกัน/แก้ไขปัญหาก่อนผลผลิตออกสู่ตลาดไม่น้อยกว่า ๒ เดือน แล้วนำ เสนอ คชก. พิจารณาโดยเร็วต่อไป ๒. การพิจารณาของ คชก. ให้ฝ่ายเลขานุการ คชก. พิจารณาตรวจสอบรายละเอียดข้อมูลโครงการที่จำเป็นให้ครบถ้วนก่อนเสนอประธาน คชก. พิจารณากำหนดวัน เวลา ประชุม คชก. โดยเร็ว ทั้งนี้ ให้ฝ่ายเลขานุการสรุปมติคณะกรรมการ และแจ้งมติให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบภายใน ๓ วันทำการ ๓. การดำเนินการตามมติ คชก. ให้หน่วยงานที่ได้รับอนุมัติโครงการจาก คชก. เตรียมความพร้อมเพื่อสามารถดำเนินการตามมติ คชก. ได้ทันที โดยให้สามารถดำเนินการได้ภายใน ๗ วันทำการนับตั้งแต่ได้รับแจ้งมติ คชก. จากฝ่ายเลขานุการ ดังนี้ ๓.๑ เปิดบัญชีธนาคาร พร้อมทั้งประสานกรมบัญชีกลางในการรับโอนเงิน ๓.๒ เตรียมแผนการดำเนินการตามโครงการเพื่อให้สามารถช่วยเหลือเกษตรกรได้โดยเร็ว ๓.๓ จัดสรรและโอนเงินให้หน่วยงานดำเนินการในระดับพื้นที่ เพื่อให้หน่วยงานในท้องถิ่นและเกษตรกรดำเนินการได้โดยเร็ว และสามารถช่วยเหลือเกษตรกรได้ทันเหตุการณ์
|
||||||||||||||||||
929 | การดำเนินการก่อสร้างระบบป้องกันน้ำท่วมนิคมอุตสาหกรรม ที่การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ดำเนินการเอง | อก | 24/07/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๘/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๕๕ รวมทั้งผลการหารือของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการดำเนินการก่อสร้างระบบป้องกันน้ำท่วมนิคมอุตสาหกรรมที่การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ดำเนินการเอง ซึ่งประธานกรรมการกลั่นกรองฯ คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เห็นชอบแล้ว ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานกรรมการกลั่นกรองฯ เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการขอเพิ่มเติมงบประมาณลงทุนประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ (ครั้งที่ ๒) เพื่อก่อสร้างระบบป้องกันน้ำท่วมในนิคมอุตสาหกรรมของ กนอ. รวม ๖ แห่ง ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง นิคมอุตสาหกรรมบางชัน นิคมอุตสาหกรรมบางปู นิคมอุตสาหกรรมสมุทรสาคร นิคมอุตสาหกรรมบางพลี และนิคมอุตสาหกรรมพิจิตร วงเงิน ๓,๕๔๖.๒๔ ล้านบาท โดยให้กู้ยืมเงินจากธนาคารออมสิน จำนวน ๓,๕๔๖.๒๔ ล้านบาท ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๐.๐๑ ต่อปี ระยะเวลา ๑๕ ปี และให้จ่ายเฉพาะดอกเบี้ยโดยไม่ต้องจ่ายคืนเงินต้นใน ๕ ปีแรก ๑.๒ ให้ กนอ. พิจารณานำเงินส่งเป็นรายได้แผ่นดินตามปกติ โดยไม่ต้องหักยอดเงินต้นและดอกเบี้ยที่จะต้องชำระคืนในแต่ละปีออก ๑.๓ ให้ กนอ. รับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการพิจารณาเก็บค่าบริการส่วนกลาง ไปดำเนินการต่อไป ๑.๔ ให้ กนอ. จัดทำรายละเอียดผลกระทบที่เกิดขึ้นเสนอคณะกรรมการจัดทำบันทึกข้อตกลงและประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจพิจารณาต่อไป ๑.๕ ให้ กนอ. รับภาระภาษีโรงเรือน ภาษีบำรุงท้องที่หรือภาษีอื่นใดที่หน่วยงานท้องถิ่นจัดเก็บ เนื่องจากการประมาณการภาระภาษีอยู่ในระดับที่ฐานะทางการเงินของ กนอ. สามารถรองรับได้ ๒. ในกรณีที่การดำเนินการโครงการก่อสร้างระบบป้องกันน้ำท่วมนิคมอุตสาหกรรมที่ กนอ. ดำเนินการเอง ส่งผลกระทบต่อต้นทุนของ กนอ. ให้คณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยพิจารณาปรับอัตราค่าบริการส่วนกลางจากผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม โดยให้มีผลกระทบต่อผู้ประกอบการน้อยที่สุด |
||||||||||||||||||
930 | การปรับปรุงแก้ไขประกาศกระทรวงพาณิชย์เกี่ยวกับการกำหนดรายชื่อประเทศภาคีแห่งอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองลิขสิทธิ์หรืออนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิของนักแสดง | พณ | 10/07/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์เกี่ยวกับการกำหนดรายชื่อประเภทภาคีแห่งอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองลิขสิทธิ์หรืออนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิของนักแสดง ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างประกาศฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. ยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การกำหนดรายชื่อประเทศภาคีแห่งอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองลิขสิทธิ์หรืออนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิของนักแสดง ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๔๘ ๒. เพิ่มเติมรายชื่อของประเทศภาคีอนุสัญญาให้เป็นปัจจุบัน ดังนี้ ๒.๑ อนุสัญญากรุงเบิร์นว่าด้วยการคุ้มครองงานวรรณกรรมและศิลปกรรม ตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ฯ ฉบับเดิมมีภาคี ๑๕๙ ประเทศ ปัจจุบันเพิ่มขึ้นจำนวน ๖ ประเทศ ๒.๒ ความตกลงว่าด้วยสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาที่เกี่ยวกับการค้า ตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ฯ ฉบับเดิมมีภาคี ๑๔๘ ประเทศ ปัจจุบันเพิ่มขึ้นจำนวน ๖ ประเทศ ๓. ปรับปรุงแก้ไขรายชื่อประเทศให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงชื่อประเทศหลายประเทศและตัวสะกดตามประกาศราชบัณฑิตยสถาน เรื่อง กำหนดชื่อประเทศ ดินแดน เขตการปกครอง และเมืองหลวง ลงวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๔ และมติคณะกรรมการจัดทำพจนานุกรมชื่อภูมิศาสตร์สากลแห่งราชบัณฑิตยสถานที่ได้ดำเนินการตรวจสอบแก้ไขและมีมติรับรองชื่อประเทศทั้งหมดเป็นปัจจุบันแล้ว ดังนี้ ๓.๑ อนุสัญญากรุงเบิร์นว่าด้วยการคุ้มครองงานวรรณกรรมและศิลปกรรม ตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ฯ ฉบับเดิม ปรับปรุงแก้ไขจำนวน ๒๔ ประเทศ ๓.๒ ความตกลงว่าด้วยสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาที่เกี่ยวกับการค้า ตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ฯ ฉบับเดิม ปรับปรุงแก้ไขจำนวน ๒๖ ประเทศ
|
||||||||||||||||||
931 | การจ่ายเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวของลูกจ้างรัฐวิสาหกิจ | รง | 10/07/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการจ่ายเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวของลูกจ้างรัฐวิสาหกิจ ตามมติคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๑ (เรื่อง การจ่ายเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวของลูกจ้างรัฐวิสาหกิจ) ๑.๒ กำหนดเป็นขอบเขตสภาพการจ้างที่เกี่ยวกับการเงิน ตามมาตรา ๑๓ (๒) แห่งพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓ ที่ให้รัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งสามารถดำเนินการเองได้เมื่อคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจนั้นเห็นชอบแล้ว ในเรื่องการจ่ายเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวของลูกจ้างรัฐวิสาหกิจ โดยหลักเกณฑ์การจ่าย อัตราการจ่าย และระยะเวลาบังคับใช้ ให้เป็นไปตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวของทางราชการโดยอนุโลม และใช้เงินงบประมาณของแต่ละรัฐวิสาหกิจเอง ทั้งนี้ การจ่ายเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวดังกล่าวไม่ถือเป็นค่าจ้างและมีลักษณะการจ่ายเป็นการชั่วคราว รวมทั้งไม่เป็นฐานในการคำนวณสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ แก่ลูกจ้าง อนึ่ง หากคณะรัฐมนตรีมีมติยกเลิกการจ่ายเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวของทางราชการ ให้รัฐวิสาหกิจยกเลิกการจ่ายเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวแก่ลูกจ้างด้วย ๒. ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการกำหนดแนวทางมาตรการในการเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของลูกจ้างรัฐวิสาหกิจในกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||
932 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2555 | ทส | 10/07/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๕ จำนวน ๑๕ เรื่อง ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการบังคับใช้ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง ขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงฯ ในท้องที่จังหวัดพังงา ร่างประกาศกระทรวงฯ เรื่องขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงฯ ในท้องที่จังหวัดกระบี่ และร่างประกาศกระทรวงฯ เรื่อง ขยายเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงฯ ในบริเวณพื้นที่จังหวัดกระบี่ พ.ศ. ๒๕๕๓ รวม ๓ ฉบับ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนำร่างประกาศกระทรวงฯ ทั้ง ๓ ฉบับ เสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ โดยเร่งรัดดำเนินการนำเสนอให้ทันกำหนดการบังคับใช้ ๒. เห็นชอบแนวทาง/มาตรการในการสนับสนุนเงินกู้จากกองทุนสิ่งแวดล้อมเพื่อช่วยเหลือกลุ่มผู้รับบริการจากกองทุนฯ ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ตามความเห็นของคณะกรรมการกองทุนสิ่งแวดล้อม ในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๕๔ และครั้งที่ ๖/๒๕๕๔ และเห็นชอบร่างประกาศคณะกรรมการกองทุนสิ่งแวดล้อม เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไขการพิจารณาให้กู้ยืมเงิน อัตราดอกเบี้ย ระยะเวลาการปลอดการชำระคืนเงินต้น และระยะเวลาชำระหนี้เงินกู้ยืม เพื่อบรรเทาผลกระทบจากเหตุอุทกภัย พ.ศ. ๒๕๕๔ รวมทั้งให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนำร่างประกาศคณะกรรมการกองทุนสิ่งแวดล้อมฯ เสนอประธานกรรมการกองทุนสิ่งแวดล้อม และประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ๓. เห็นชอบสรุปผลการวิเคราะห์แผนปฏิบัติการเพื่อการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมในระดับจังหวัด ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ประกอบด้วยโครงการด้านการจัดการมลพิษสิ่งแวดล้อมที่ขอรับการสนับสนุนงบประมาณ จำนวน ๓๑ โครงการ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๒,๖๘๔,๐๖๙,๑๑๖ ล้านบาท ตามความเห็นของคณะอนุกรรมการกำกับการจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมในระดับจังหวัด โดยให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนำโครงการที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อขอตั้งงบประมาณแผ่นดิน หมวดเงินอุดหนุนเฉพาะกิจ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ และให้สำนักงบประมาณให้การสนับสนุนงบประมาณต่อไป และให้การประปานครหลวงและการประปาส่วนภูมิภาคเร่งรัดดำเนินงานตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๓ เรื่อง การปรับแก้พระราชบัญญัติการประปานครหลวงและพระราชบัญญัติการประปาส่วนภูมิภาคเพื่อให้มีอำนาจและหน้าที่ในการจัดเก็บค่าบริการบำบัดน้ำเสีย รวมทั้งให้กรมโยธาธิการและผังเมืองจัดทำคำขอตั้งงบประมาณเพื่อซ่อมแซมระบบรวบรวมและบำบัดน้ำเสียที่ยังชำรุดเสียหาย และไม่สามารถส่งมอบให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) จำนวน ๔ แห่ง ได้แก่ เทศบาลนครพิษณุโลก เทศบาลเมืองสระบุรี เทศบาลเมืองชุมพร และเทศบาลเมืองปัตตานี เพื่อให้ระบบอยู่ในสภาพที่ดีพร้อมใช้งาน ก่อนส่งมอบให้ อปท. และให้สำนักงบประมาณสนับสนุนงบประมาณดังกล่าวด้วย ๔. เห็นชอบ (ร่าง) แผนปฏิบัติการการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ และแต่งตั้งคณะทำงานติดตามผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการฯ เพื่อกำกับ ติดตาม ประสานงาน และจัดทำรายงานผลการดำเนินงานในแต่ละปี ๕. ให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการภายใต้พระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. ๒๕๓๕ เพื่อกำหนดให้ผู้ประกอบกิจการเลี้ยงสุกร การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ และการแกะล้างวัตถุดิบสัตว์น้ำ (แปรรูปสัตว์น้ำเบื้องต้น) ตามหลักเกณฑ์ของกิจการที่เสนอให้มีการกำหนดเงื่อนไขด้านการจัดการน้ำเสียและของเสีย และการประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพอื่น ๆ เสนอแนวทางการจัดการน้ำเสียและของเสียต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่นในการยื่นขอหรือต่อใบอนุญาตการประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ตามพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. ๒๕๓๕ โดยให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมควบคุมมลพิษตรวจสอบหลักเกณฑ์ของกิจการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดที่เสนอให้มีการกำหนดเงื่อนไขด้านการจัดการน้ำเสียและของเสีย ตามความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ก่อนให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการต่อไป ๖. เห็นชอบการยกร่างกฎหมายเพื่อให้ อปท. มีอำนาจหน้าที่ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมตามความในมาตรา ๒๙๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมควบคุมมลพิษจัดทำเรื่องเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณามอบให้กรมควบคุมมลพิษเป็นหน่วยงานรับผิดชอบในการยกร่างกฎหมายดังกล่าว โดยในการรับฟังความคิดเห็นต่อร่างกฎหมายควรเปิดโอกาสให้ อปท. และรัฐวิสาหกิจ เข้ามามีส่วนร่วมด้วย ๗. ให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการออกกฎกระทรวงการสาธารณสุขว่าด้วยการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมกำจัดมูลฝอยและของเสียอันตรายของชุมชน ตามพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. ๒๕๓๕ และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๐ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อเป็นกฎหมายรองรับการดำเนินงานของท้องถิ่นต่อไป และให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการออกกฎระเบียบ มาตรการ และเกณฑ์การปฏิบัติตามพระราชบัญญัติฯ เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของ อปท. ในเรื่องการจัดการมูลฝอย การควบคุมมลพิษจากการประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ และเหตุเดือดร้อนรำคาญด้านมลพิษ และร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสริมสร้างสมรรถนะให้กับ อปท. ในการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติฯ นอกจากนี้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงมหาดไทยเสนอสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการกำหนดยุทธศาสตร์สิ่งแวดล้อม (ด้านสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม) เป็นตัวชี้วัดร่วมระหว่างกระทรวงที่มีเป้าหมายร่วมกัน (Joint KPI) โดยเริ่มในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ๘. เห็นชอบรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการก่อสร้างท่าเรือชายฝั่งที่จังหวัดตรัง ของกรมเจ้าท่า โดยให้กรมเจ้าท่าปฏิบัติตามมาตรการป้องกันแก้ไขและลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อแหล่งหญ้าทะเล พะยูน และปะการัง ใกล้แนวเส้นทางเดินเรืออย่างเคร่งครัด รวมทั้งเพิ่มเติมมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพน้ำทะเลบริเวณแหล่งหญ้าทะเล พะยูน และแนวปะการัง ตลอดอายุโครงการ ตามความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ๙. เห็นชอบรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองสายนครปฐม - ชะอำ ของกรมทางหลวง โดยให้กรมทางหลวงพิจารณาออกแบบรายละเอียดโครงสร้างระบบระบายน้ำของโครงการให้สามารถรองรับปริมาณน้ำที่จะไหลผ่านบริเวณแนวเส้นทางโครงการเพื่อป้องกันปัญหาอุทกภัยที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ตามความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ๑๐. เห็นชอบรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการก่อสร้างสายส่งไฟฟ้าระบบ ๑๑๕ กิโลโวลต์ อำเภอเขาค้อ - อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค โดยให้ดำเนินการตามมาตรการป้องกันแก้ไขและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามที่กำหนดไว้ในรายงานฯ ๑๑. เห็นชอบรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการระบบขนส่งมวลชนสายสีชมพู ของสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) โดยให้ดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามที่กำหนดไว้ในรายงานฯ และให้นำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณาตามมาตรา ๔๗ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ต่อไป ๑๒. เห็นชอบรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงรังสิต - มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) โดยให้ รฟท. นำข้อมูลอุทกภัยที่เกิดขึ้นล่าสุดในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ มาใช้ประกอบการพิจารณาออกแบบรายละเอียดโครงการฯ เพื่อลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมให้เป็นไปตามข้อสังเกตของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ และดำเนินการตามมาตรการป้องกันแก้ไขและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามที่กำหนดไว้ในรายงานฯ และให้นำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรี เพื่อประกอบการพิจารณาตามมาตรา ๔๗ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ต่อไป ๑๓. เห็นชอบรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการศึกษารูปแบบที่เหมาะสมของระบบรถไฟสายสีแดงผ่านบริเวณสถานีรถไฟจิตรลดา และการออกแบบรายละเอียดระบบรถไฟฟ้าสายสีแดง ช่วงบางซื่อ - พญาไท - มักกะสัน ของ รฟท. โดยให้ รฟท. นำข้อมูลอุทกภัยที่เกิดขึ้นล่าสุดในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ มาใช้ประกอบการพิจารณาออกแบบรายละเอียดโครงการฯ เพื่อลดผลกระทบสิ่แวดล้อมจากการดำเนินโครงการฯ ให้เป็นไปตามข้อสังเกตของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ และดำเนินการตามมาตรการป้องกันแก้ไขและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามที่กำหนดไว้ในรายงานฯ และให้นำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรี เพื่อประกอบการพิจารณาตามมาตรา ๔๗ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ต่อไป ๑๔. เห็นชอบรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแ
|
||||||||||||||||||
933 | การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2554 กรณีการปรับอัตราค่าจ้างของลูกจ้างรัฐวิสาหกิจ | รง | 10/07/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานกรรมการ ในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๕๕ ดังนี้
๑. ยืนยันตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๕๔ กรณีการปรับอัตราค่าจ้างของลูกจ้างรัฐวิสาหกิจ เนื่องจากมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวมีเจตนารมณ์เพื่อช่วยเหลือค่าครองชีพของผู้มีรายได้น้อยเป็นหลัก ๒. ให้มีการปรับโครงสร้างเงินเดือนพนักงานและลูกจ้างรัฐวิสาหกิจให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจ ทั้งนี้ ควรนำผลการศึกษาการปรับโครงสร้างเงินเดือนพนักงานและลูกจ้างรัฐวิสาหกิจทั้งระบบมาประกอบการพิจารณาด้วย |
||||||||||||||||||
934 | การกำหนดค่าตอบแทนคณะกรรมการต่างๆ ตามพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. 2527 | อก | 10/07/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานกรรมการ ในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๕๕ ที่เห็นชอบการกำหนดค่าตอบแทนการประชุมคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย โดยให้ประธานกรรมการได้รับค่าตอบแทนเป็นรายเดือนในอัตราไม่เกินเดือนละ ๖,๒๕๐ บาท และกรรมการไม่เกินเดือนละ ๕,๐๐๐ บาท ทั้งนี้ ให้ได้รับเฉพาะเดือนที่ได้เข้าร่วมประชุม ๒. เห็นชอบในหลักการร่างประกาศคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย เรื่อง กำหนดค่าตอบแทนการประชุมคณะกรรมการต่าง ๆ ตามพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. ๒๕๒๗ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดค่าตอบแทนการประชุมคณะกรรมการต่าง ๆ ตามพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. ๒๕๒๗ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้แก้ไขค่าตอบแทนการประชุมคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
||||||||||||||||||
935 | ขออนุมัติตั้งงบประมาณชดเชยเพื่อชำระเงินคืนกองทุนสงเคราะห์เกษตรกรโครงการแก้ไขปัญหาเมล็ดพันธุ์หญ้าล้นตลาด ปี พ.ศ. 2550 | กษ | 10/07/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้กรมปศุสัตว์ขยายระยะเวลาชำระคืนเงินกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร โครงการแก้ไขปัญหาเมล็ดพันธุ์หญ้าล้นตลาดปี พ.ศ. ๒๕๕๐ ออกไปจนกว่ากรมปศุสัตว์จะได้รับการจัดสรรงบประมาณชดเชยเพื่อชำระคืนเงินกองทุนฯ เป็นกรณีพิเศษ ตามมติคณะกรรมการสงเคราะห์เกษตรกร ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๔ สำหรับงบประมาณเพื่อชำระคืนเงินกองทุนฯ สำนักงบประมาณได้เสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ รองรับไว้แล้ว ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมปศุสัตว์) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรจัดเตรียมแนวทางในการบริหารจัดการเมล็ดพันธุ์หญ้าที่เหลืออยู่ไปใช้ประโยชน์ในภารกิจของกรมปศุสัตว์ให้เกิดประโยชน์สูงสุดตามขั้นตอนและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมปศุสัตว์) รับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาดำเนินการด้วยว่า ในการดำเนินโครงการในลักษณะนี้ในครั้งต่อไป กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมปศุสัตว์) ควรพิจารณาวางแผนและเตรียมการดำเนินการล่วงหน้าเพื่อมิให้เกิดปัญหาเมล็ดพันธุ์ตกค้างจนเสื่อมสภาพอีก |
||||||||||||||||||
936 | ขออนุมัติดำเนินโครงการก่อสร้างทางคู่ในเส้นทางรถไฟสายชายฝั่งทะเลตะวันออก ช่วงฉะเชิงเทรา - คลองสิบเก้า - แก่งคอย พร้อมทางคู่เลี่ยงเมือง (Chord Line) จำนวน 3 แห่ง ของการรถไฟแห่งประเทศไทย | คค | 10/07/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานกรรมการ ในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๕๕ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ดำเนินการโครงการก่อสร้างทางคู่ในเส้นทางรถไฟสายชายฝั่งทะเลตะวันออก ช่วงฉะเชิงเทรา คลองสิบเก้า แก่งคอย พร้อมทางคู่เลี่ยงเมือง (Chord Lines) จำนวน ๓ แห่ง ที่ชุมทางฉะเชิงเทรา ชุมทางแก่งคอย และชุมทางบ้านภาชี วงเงินโครงการรวม ๑๑,๓๔๘.๓๕ ล้านบาท ๑.๒ เห็นชอบให้กระทรวงการคลังจัดหาแหล่งเงินกู้และค้ำประกันเงินกู้ภายในประเทศให้ รฟท. ในการดำเนินโครงการทางคู่ในเส้นทางรถไฟฯ ทั้งในส่วนของค่าเวนคืนที่ดินและรื้อย้ายสิ่งปลูกสร้าง ค่าดำเนินการประกวดราคา ค่าก่อสร้าง และค่าจ้างที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้าง วงเงินรวม ๑๑,๓๔๘.๓๕ ล้านบาท และให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีให้กระทรวงการคลัง เพื่อชดใช้เงินต้นพร้อมดอกเบี้ยตามความเหมาะสมต่อไป ทั้งนี้ หากการดำเนินโครงการมีภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากต้นทุนค่าวัสดุ อุปกรณ์การก่อสร้างที่เพิ่มสูงขึ้น ให้ รฟท. โดยกระทรวงคมนาคมนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาตามความจำเป็นต่อไป ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. ประสานการดำเนินโครงการก่อสร้างทางคู่ในเส้นทางรถไฟฯ กับคณะกรรมการบริหาจัดการน้ำและอุทกภัย เพื่อมิให้เกิดปัญหาการก่อสร้างกีดขวางทางไหลของน้ำด้วย |
||||||||||||||||||
937 | ขออนุมัติกู้เงินในประเทศเพื่อการลงทุน ปีงบประมาณ 2555 และปีงบประมาณ 2556 | มท | 10/07/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานกรรมการ ในการประชุมครั้งที่ ๖/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ดังนี้
๑. อนุมัติให้การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) กู้เงินในประเทศปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ภายในกรอบวงเงิน ๙๐๐.๐๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ สำหรับใช้เป็นแหล่งเงินลงทุนของโครงการต่อเนื่อง ๑ โครงการ คือ แผนปรับปรุงและขยายระบบจำหน่ายพลังไฟฟ้า ฉบับที่ ๑๐ ปี พ.ศ. ๒๕๕๑ - ๒๕๕๔ โดยให้พิจารณากู้เงินเพื่อนำมาลงทุนตามความจำเป็นโดยคำนึงถึงผลกระทบต่อฐานะการเงินขององค์กรในระยะยาวด้วย ๒. สำหรับการกู้เงินในประเทศของ กฟน. ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ เพื่อใช้เป็นแหล่งเงินลงทุนของแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและระบบสื่อสาร (ICT) ปี พ.ศ. ๒๕๕๑ - ๒๕๕๔ แผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและระบบการสื่อสาร (ICT) ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ แผนปรับปรุงและขยายระบบจำหน่ายพลังไฟฟ้า ฉบับที่ ๑๐ ปี พ.ศ. ๒๕๕๑ - ๒๕๕๔ และแผนปรับปรุงและขยายระบบจำหน่ายพลังไฟฟ้า ฉบับที่ ๑๑ ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ ซึ่งเป็นแผนงานและโครงการที่ได้รับอนุมัติลงทุนไว้แล้ว เห็นควรให้ กฟน. กู้เงินได้ภายหลังจากแผนการลงทุนดังกล่าวบรรจุอยู่ในกรอบแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ และคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ แล้ว |
||||||||||||||||||
938 | โครงการโรงไฟฟ้าพระนครเหนือ ชุดที่ 2 ของ กฟผ. | พน | 10/07/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานกรรมการ ในการประชุมครั้งที่ ๖/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบโครงการโรงไฟฟ้าพระนครเหนือ ชุดที่ ๒ ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ในวงเงิน ๒๒,๗๕๒.๑๐ ล้านบาท ประกอบด้วย เงินตราต่างประเทศ จำนวน ๑๕,๑๒๖.๔๐ ล้านบาท และเงินบาท จำนวน ๗,๖๒๕.๗๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ เพื่อรองรับความต้องการไฟฟ้าที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นได้อย่างเพียงพอ มั่นคง และสอดคล้องกับแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๗๓ (แผน PDP 2010) โดยสถานที่ตั้งโครงการจะอยู่ภายในบริเวณโรงไฟฟ้าพระนครเหนือ ตำบลบางกรวย อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี พื้นที่รวมประมาณ ๑๑๒ ไร่ ชนิดและขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้า เป็นโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมกังหันแก๊สแบบ Single Shaft Combined Cycle ใช้ผลิตพลังงานไฟฟ้าฐาน ประกอบด้วย หน่วยการผลิตไฟฟ้า ๒ หน่วย หน่วยละ ๔๕๐ เมกะวัตต์ รวมขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้าสุทธิประมาณ ๙๐๐ เมกะวัตต์ ทั้งนี้ ให้ กฟผ. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานเกี่ยวกับการปรับปรุงการเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าฯ ให้สอดคล้องกับกำลังการผลิตตามแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทยในขั้นตอนของการจัดทำแผนฯ ในอนาคต ประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไป ๑.๒ ให้ กฟผ. และรัฐวิสาหกิจอื่น ๆ พิจารณาความเหมาะสมของการใช้แหล่งเงินทุนภายในประเทศเป็นอันดับแรกก่อน เนื่องจากระบบสถาบันการเงินในประเทศในปัจจุบันยังมีสภาพคล่องอยู่ในระบบค่อนข้างสูง จึงไม่มีความจำเป็นจะต้องจัดหาแหล่งเงินทุนจากต่างประเทศในส่วนของการนำเข้าอุปกรณ์จากต่างประเทศ ๑.๓ ให้ กฟผ. ดำเนินการโครงการโรงไฟฟ้าพระนครเหนือ ชุดที่ ๒ ได้ เมื่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติให้ความเห็นชอบรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมแล้ว ๒. ให้ กฟผ. รับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการทำความเข้าใจด้านสังคมกับชุมชนในพื้นที่เพื่อให้มีทัศนคติและยอมรับการดำเนินงานของโครงการเพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคในการดำเนินโครงการในระยะต่อไปและความปลอดภัยในการดำเนินงานอย่างเข้มงวด การพิจารณาหามาตรการป้องกันและรองรับความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์อุทกภัยที่อาจเกิดขึ้นได้ในช่วงฤดูฝน เนื่องจากพื้นที่ตั้งของโรงไฟฟ้าพระนครเหนือ ชุดที่ ๒ อยู่ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา การให้ความสำคัญกับระบบตรวจสอบผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมต่อชุมชนอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะคุณภาพน้ำทิ้งจากโรงไฟฟ้าฯ การดำเนินการด้านความรับผิดชอบต่อสังคม (Corporate Social Responsibility : CSR) ในพื้นที่โครงการอย่างต่อเนื่อง การถ่ายทอดองค์ความรู้เรื่องกระบวนการมีส่วนร่วมและการดำเนินงานชุมชนสัมพันธ์ให้กับผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน การเร่งสร้างความรู้ความเข้าใจแก่เยาวชน ประชาชน และชุมชนในด้านการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากแหล่งต่าง ๆ ตลอดจนข้อดีข้อเสียของแต่ละแหล่งผลิตพลังงานเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ประชาชนและชุมชน การเตรียมแผนการพัฒนาโรงไฟฟ้าฯ ในระยะยาวและการพิจารณาทางเลือกของแหล่งเชื้อเพลิงที่เหมาะสมเพื่อรองรับความต้องการไฟฟ้าที่มีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และรักษาความมั่นคงของระบบผลิตไฟฟ้าของประเทศในอนาคต รวมทั้งการกำหนดกลไกและเครื่องมือในการติดตามประเมินผลที่เชื่อมโยงกับการป้องกันทุจริตของโครงการภาครัฐ เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าในการดำเนินโครงการและป้องกันปัญหาการทุจริต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
939 | ขออนุมัติปรับกรอบวงเงินลงทุนและจัดหาแหล่งเงินเพิ่มเติม สำหรับโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ - รังสิต | คค | 03/07/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานกรรมการ ในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๕๕ ดังนี้
๑. รับทราบสถานะการดำเนินการประกวดราคาโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ - รังสิต ในสัญญาที่ ๑ - ๓ โดยกิจการร่วมค้า STEC - UNIQ (SU) เป็นผู้เสนอราคาต่ำสุดในสัญญาที่ ๑ (งานก่อสร้างงานโยธาสถานีกลางบางซื่อและศูนย์ซ่อมบำรุง) ๒. เห็นชอบการปรับกรอบวงเงินลงทุนด้านงานโยธาของโครงการระบบรถไฟฟ้าชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ - รังสิต จำนวน ๗๔,๗๙๘,๒๕๙,๓๒๕ บาท โดยปรับกรอบวงเงินในสัญญาที่ ๑ เพิ่มเติมจากจำนวน ๒๗,๑๓๗,๐๐๐,๐๐๐ บาท เป็น ๒๙,๘๒๘,๒๕๙,๓๒๕ บาท สำหรับสัญญาที่ ๒ และ ๓ ให้คงตามกรอบวงเงินลงทุนเดิมที่เคยได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี และภายหลังจากได้ผลการประกวดราคาในสัญญาที่ ๒ และ ๓ แล้ว ให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งเพื่อพิจารณาวงเงินลงทุนรวมทั้ง ๓ สัญญาในคราวเดียวกัน ทั้งนี้ กรอบวงเงินลงทุนรวมของทั้งโครงการจะต้องอยู่ในระดับที่สมเหตุสมผลและไม่สูงกว่าจุดคุ้มทุน ๓. ให้การรถไฟแห่งประเทศไทยจัดทำรายละเอียดของการปรับเพิ่มวงเงินในสัญญาที่ ๑ แยกเป็นรายการ พร้อมทั้งระบุเหตุผลในการขอปรับเพิ่มวงเงินให้ชัดเจน เพื่อจะได้พิจารณาแหล่งเงินที่เหมาะสมสำหรับการดำเนินโครงการต่อไป |
||||||||||||||||||
940 | มติคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก เรื่องการเสนอวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อบรรจุไว้ในบัญชีรายชื่อเบื้องต้น (Tentative List) ของศูนย์มรดกโลก | ทส | 03/07/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมติคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๕๕ ที่เห็นชอบการเสนอวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดนครศรีธรรมราช ต่อศูนย์มรดกโลก ณ กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส เพื่อบรรจุในบัญชีรายชื่อเบื้องต้น (Tentative List) ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) ประธานกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลกเสนอ
|
.....