ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 45 จากทั้งหมด 252 หน้า แสดงรายการที่ 881 - 900 จากข้อมูลทั้งหมด 5030 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
881 | โครงการปรับปรุงและขยายระบบส่งไฟฟ้าที่เสื่อมสภาพตามอายุการใช้งานระยะที่ 2 | พน | 15/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานกรรมการ ในการประชุมครั้งที่ ๑๔/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๕๕ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ดำเนินโครงการปรับปรุงและขยายระบบส่งไฟฟ้าที่เสื่อมสภาพตามอายุการใช้งานระยะที่ ๒ ในวงเงินลงทุน จำนวน ๒๑,๙๐๐ ล้านบาท โดยปรับปรุงในส่วนของสถานีไฟฟ้าแรงสูง (สฟ.) และระบบส่งไฟฟ้าร่วมกัน รวมทั้งสิ้น ๓๑ โครงการย่อย ประกอบด้วย งานปรับปรุงและขยาย สฟ. จำนวน ๑๙ สฟ. รวม ๑๙ โครงการย่อย งานปรับปรุงและขยายสายส่ง ๑๑ แนวสาย รวม ๑๑ โครงการย่อย และงานปรับปรุงและขยายระบบส่งไฟฟ้าเบ็ดเตล็ด จำนวน ๑ โครงการ ระยะเวลาดำเนินการประมาณ ๖ ปี ๔ เดือน นับตั้งแต่เริ่มศึกษาเตรียมงานจนก่อสร้างแล้วเสร็จ (มิถุนายน ๒๕๕๔-กันยายน ๒๕๖๐) ๑.๒ เห็นชอบให้อนุมัติการเบิกจ่ายเงินงบประมาณลงทุนประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ สำหรับโครงการฯ จำนวน ๑๑.๒ ล้านบาท ๒. ให้ กฟผ. รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการบริหารจัดการการจัดซื้อที่ดินให้รอบคอบเพื่อลดการลงทุนที่ซ้ำซ้อนและผลกระทบที่อาจมีต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อมโดยรวม การบริหารจัดการเรื่องการเงินและการลงทุนให้เหมาะสม รอบคอบและมีประสิทธิภาพ การให้ความสำคัญกับการวางแผนทางการเงินขององค์กรในระยะยาว เพื่อตอบสนองการลงทุนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต การกำหนดเป้าหมายของดัชนีชี้วัดที่สะท้อนถึงความเชื่อถือได้และความมั่นคงของระบบไฟฟ้าเพื่อใช้เป็น Benchmark เปรียบเทียบโครงการในแต่ละระยะ การประสานงานกับผู้เกี่ยวข้องเกี่ยวกับแผนการดับไฟฟ้า (Planned Outage) ในพื้นที่เพื่อซ่อมบำรุงและกำหนดมาตรการรองรับกรณีฉุกเฉิน การพิจารณาศึกษาข้อดีและข้อจำกัดของรูปแบบเทคโนโลยีด้านสถานีไฟฟ้าแรงสูง รวมถึงสถานีไฟฟ้าแบบใช้ฉนวนอากาศและแบบใช้ฉนวนก๊าซเพื่อใช้เป็นแนวทางของโครงการในระยะต่อไป และเตรียมการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment : EIA) สำหรับแนวสายส่งในระยะต่อไปที่ต้องผ่านพื้นที่ลุ่มน้ำ 1A และ 1B รวมทั้งศึกษาทางเลือกแนวสายส่งอื่นเพื่อหลีกเลี่ยงพื้นที่ลุ่มน้ำดังกล่าว เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงมหาดไทย โดยการไฟฟ้านครหลวง รับไปหารือร่วมกับกระทรวงพลังงาน โดย กฟผ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อบูรณาการการแก้ไขปัญหาไฟฟ้าดับและการสูญเสียพลังงานไฟฟ้าในระบบสายส่ง เพื่อให้การแก้ไขปัญหาดังกล่าว รวมทั้งการให้บริการไฟฟ้าแก่ประชาชนมีประสิทธิภาพและรวดเร็วยิ่งขึ้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
882 | ผลการคัดเลือกเอกชนลงทุนงานระบบรถไฟฟ้าและรับจ้างดำเนินกิจการโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่ - บางซื่อ (สถานีคลองบางไผ่ - สถานีเตาปูน) งานสัญญาที่ 4 | คค | 08/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๕ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ และให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จโดยเร็วต่อไป ดังนี้
๑. ให้คณะกรรมการพิจารณาคัดเลือกเอกชนร่วมงานหรือดำเนินการตามมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ รับความเห็นและข้อสังเกตของคณะกรรมการกลั่นกรองฯ และกระทรวงคมนาคมในประเด็นต่างๆ ไปประกอบการเจรจาต่อรองกับบริษัท รถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BMCL) ซึ่งเป็นผู้เสนอราคาต่ำที่สุด เพื่อให้ได้ข้อเสนอที่มีภาระค่าใช้จ่ายทั้งในส่วนของเงินลงทุนเบื้องต้น (ค่างานระยะที่ ๑) รวมกับภาระค่าเดินรถ (ค่างานระยะที่ ๒) ในราคาที่ต่ำลง ซึ่งจะช่วยลดภาระทางการเงินของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ในประเด็นสำคัญ ได้แก่ ๑.๑ เจรจาต่อรองค่างานระบบขบวนรถไฟฟ้าให้ต่ำลง ๑.๒ เจรจาต่อรองค่าใช้จ่ายในการเดินรถและบำรุงรักษาให้อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับต้นทุนการเดินรถและบำรุงรักษาของผู้ให้บริการเดินรถในปัจจุบัน ๑.๓ เจรจากำหนดอัตราผลกำไรที่เหมาะสม เนื่องจากสัมปทานรูปแบบ PPP Gross Cost มีความแตกต่างจาก PPP Net Cost ที่ผู้รับสัมปทานต้องรับความเสี่ยงทางด้านปริมาณผู้โดยสารและรายได้ค่าโดยสารของโครงการทั้งหมด ๑.๔ เจรจาพิจารณาปรับลดรายการค่าใช้จ่ายที่เป็นความรับผิดชอบของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยโดยตรงออกไป ๑.๕ เจรจาต่อรองอัตราดอกเบี้ยและพิจารณาเปรียบเทียบความเสี่ยงของอัตราดอกเบี้ยระหว่างอัตราดอกเบี้ยคงที่และอัตราดอกเบี้ยลอยตัว รวมทั้งผลกระทบต่อภาระทางการเงินของภาครัฐ ๑.๖ พิจารณาความเหมาะสมของแนวทางการจ่ายคืนค่าลงทุนระบบไฟฟ้าและรถไฟฟ้าให้กับเอกชนผู้รับสัมปทาน โดยให้เปรียบเทียบภาระทางการเงินระหว่างกรณีที่กำหนดระยะเวลาจ่ายคืนค่าลงทุนระบบไฟฟ้าและรถไฟฟ้าเวลา ๑๐ ปีตามที่เสนอกับกรณีที่รัฐจัดหาแหล่งเงินที่มีต้นทุนทางการเงินต่ำกว่า ทั้งนี้ ให้คณะกรรมการฯ ตามมาตรา ๑๓ เร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลา ๓๐ วันนับจากคณะรัฐมนตรีมีมติมอบหมาย รวมทั้งให้การ รฟม. และกระทรวงคมนาคมเร่งหารือในประเด็นที่เกี่ยวกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อประกอบการเจรจาต่อรองกับเอกชนผู้เสนอราคาต่ำสุด ได้แก่ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ๒. ให้กระทรวงคมนาคม และ รฟม. เร่งพิจารณาเสนอรูปแบบการให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนสำหรับการเดินรถ ช่วงบางซื่อ-เตาปูน ที่เหมาะสม ระหว่าง PPP Gross Cost และ PPP Net Cost เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีตามขั้นตอนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
883 | พิจารณาอนุมัติกรอบวงเงินลงทุนและจัดหาแหล่งเงินเพิ่มเติม สำหรับโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ - รังสิต | คค | 08/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๕ [เรื่อง ขออนุมัติกรอบวงเงินลงทุนและจัดหาแหล่งเงินเพิ่มเติม สำหรับโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ-รังสิต] เฉพาะในส่วนที่กำหนดว่า ภายหลังจากได้ผลการประกวดราคาในสัญญา ที่ ๒ และ ๓ แล้ว ให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งเพื่อพิจารณาวงเงินลงทุนรวมทั้ง ๓ สัญญา ในคราวเดียวกัน ๒. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานกรรมการ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๕ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เสนอ ดังนี้ ๒.๑ รับทราบสถานะการดำเนินการประกวดราคาโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ-รังสิต ในสัญญาที่ ๑ (งานก่อสร้างงานโยธาสถานีกลางบางซื่อและศูนย์ซ่อมบำรุง) สัญญาที่ ๒ (งานก่อสร้างงานโยธา ทางยกระดับและสถานีช่วงบางซื่อ-รังสิต) และสัญญาที่ ๓ (งานออกแบบจัดหาและติดตั้งระบบ E&M ช่วงบางซื่อ-รังสิต) ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒.๒ เห็นชอบให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ปรับกรอบวงเงินลงทุนด้านงานโยธาของโครงการฯ ของสัญญาที่ ๒ เพิ่มเติมจากจำนวน ๑๙,๓๑๔ ล้านบาท เป็น ๒๑,๒๓๕.๔๔ ล้านบาท และให้ รฟท. ดำเนินการโครงการฯ เพื่อนำไปสู่การก่อสร้างงานโยธาในสัญญาที่ ๑ และ ๒ ตามลำดับขั้นตอนการดำเนินโครงการต่อไป พร้อมทั้งเห็นชอบให้ รฟท. ดำเนินการกู้เงินภายในประเทศเพื่อใช้ในการดำเนินโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ-รังสิต ในส่วนของงานสัญญาที่ ๑ จำนวน ๒,๘๕๔.๔๘ ล้านบาท และสัญญาที่ ๒ จำนวน ๒,๐๓๒.๑๗ ล้านบาท ทั้งนี้ ให้ รฟท. และกระทรวงคมนาคมเร่งจัดทำข้อมูลประกอบการพิจารณาเรื่องดังกล่าวของคณะรัฐมนตรี ได้แก่ ๒.๒.๑ แผนการดำเนินงานของโครงการฯ ทั้งในด้านการก่อสร้างงานโยธา (สัญญาที่ ๑ และ ๒) และการจัดหาระบบไฟฟ้าและรถไฟฟ้า (สัญญาที่ ๓) รวมทั้งแนวทางการแก้ไขปัญหาการประกวดราคาของสัญญาที่ ๓ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนของการดำเนินการก่อสร้างงานโยธา (งานสัญญาที่ ๑ และ ๒) และสร้างความเชื่อมั่นว่า รฟท. จะสามารถจัดหารถไฟฟ้ามาให้บริการประชาชนได้ทันทีที่การก่อสร้างงานโยธาแล้วเสร็จ ๒.๒.๒ เร่งจัดทำรายงานการประมาณการวงเงินเบิกจ่ายของโครงการฯ เสนอสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะพิจารณาตามขั้นตอน เนื่องจากปัจจุบันคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะได้มีมติเห็นชอบแผนก่อหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ แล้ว ๓. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. รับข้อสังเกตของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการแก้ปัญหางานรื้อย้ายสาธารณูปโภคก่อนส่งมอบพื้นที่ให้แก่ผู้รับเหมาก่อสร้าง และความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการจัดทำแผนการใช้จ่ายเงินกู้ให้เหมาะสมและสอดคล้องกับแผนการปฏิบัติงานและวงเงินก่อสร้างตามสัญญา เพื่อให้การใช้จ่ายเงินกู้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและมิให้เกิดภาระงบประมาณรายจ่ายที่รัฐบาลจะต้องรับภาระการชำระหนี้เงินกู้เพิ่มขึ้นในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
884 | การดำเนินการตามมติคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช | กษ | 25/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืชเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบแนวทางและมาตรการการเปิดตลาดนำเข้าเมล็ดถั่วเหลือง ปี ๒๕๕๕-๒๕๕๖ ไม่จำกัดปริมาณและช่วงเวลานำเข้า อัตราภาษีในโควตาร้อยละ ๐ อัตราภาษีนอกโควตาร้อยละ ๘๐ และแนวทางการบริหารการนำเข้าเมล็ดถั่วเหลือง ปี ๒๕๕๕-๒๕๕๖ ตามกรอบองค์การการค้าโลก (WTO) กรอบการค้าเสรี AFTA และ FTA ซึ่งมีผู้มีสิทธินำเข้า ๗ สมาคม ๙ บริษัท และให้ผู้มีสิทธินำเข้าให้การสนับสนุนและส่งเสริมการผลิตถั่วเหลืองภายในประเทศ โดย ๑.๑.๑ รับซื้อผลผลิตเมล็ดถั่วเหลืองที่ผลิตได้ภายในประเทศในราคาตามกลไกตลาด แต่ไม่ต่ำกว่าราคาขั้นต่ำตามชั้นคุณภาพ ๑.๑.๒ ผู้มีสิทธินำเข้าให้ความร่วมมือรับซื้อเมล็ดถั่วเหลืองภายในประเทศและการใช้เมล็ดถั่วเหลืองนำเข้าตามนโยบายเป็นลายลักษณ์อักษรกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงพาณิชย์ ๑.๑.๓ ให้คณะอนุกรรมการกำกับ ดูแลเมล็ดถั่วเหลือง ทำหน้าที่กำกับดูแลการรับซื้อเมล็ดถั่วเหลืองที่ผลิตได้ภายในประเทศ การนำเข้า และการใช้เมล็ดถั่วเหลืองนำเข้า ให้เป็นไปตามมาตรการและนโยบาย ๑.๒ เห็นชอบเพิ่มผู้แทนเกษตรกรผู้ปลูกมะพร้าวร่วมเป็นกรรมการในคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช จำนวน ๑ คน และให้ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืชดำเนินการต่อไป ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการสนับสนุนการเกษตรทฤษฎีใหม่ (โดยมีการปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์หลายชนิดแบบผสมผสาน) ตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อลดผลกระทบจากราคาผลผลิตทางการเกษตรที่ผันผวน การสนับสนุนการพัฒนาทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อใช้ในการลดต้นทุนการผลิตทางการเกษตร การสร้างองค์ความรู้ การบริหารจัดการ ต่อยอด และการพัฒนาด้านพันธุวิศวกรรมเพื่อเพิ่มผลผลิตต่อไร่ การแปรรูปผลิตภัณฑ์ที่ต่อเนื่องของพืชน้ำมันและน้ำมันพืชเพื่อเพิ่มมูลค่า การศึกษาแนวทางการขยายพื้นที่เพาะปลูกและเพิ่มผลผลิตถั่วเหลืองให้เพียงพอกับความต้องการใช้ภายในประเทศเพื่อลดปริมาณการนำเข้า รวมทั้งการเร่งวิจัยพัฒนาพันธุ์และส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกถั่วเหลืองเป็นพืชหมุนเวียนหลังการเก็บเกี่ยวข้าว เพื่อสร้างทางเลือกให้เกษตรกรมีรายได้เสริมหลังการทำนา และช่วยปรับปรุงบำรุงดินให้มีความอุดมสมบูรณ์ ตลอดจนส่งเสริมให้มีการนำถั่วเหลืองไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่มีมูลค่ามากขึ้น เช่น นมถั่วเหลือง เป็นต้น และนำกากถั่วเหลืองที่เหลือมาใช้เลี้ยงสัตว์ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
885 | ขอความเห็นชอบให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคกู้เงินระยะสั้นประเภทกู้เบิกเงินเกินบัญชี (O/D) | มท | 18/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามความเห็นของกระทรวงการคลังที่ให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) มีวงเงินกู้ระยะสั้นประเภทกู้เบิกเงินเกินบัญชี (O/D) กับธนาคารที่มีเงื่อนไขเหมาะสมที่สุด วงเงิน ๔,๕๐๐ ล้านบาท อายุ ๑ ปี ตั้งแต่เดือนมกราคม-ธันวาคม ๒๕๕๖ โดยกระทรวงการคลังไม่ค้ำประกัน เพื่อเสริมสภาพคล่องในกรณีที่มีความจำเป็นเร่งด่วน ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ซึ่งมีประเด็นสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ ประมาณการเงินสดปี พ.ศ. ๒๕๕๖ กฟภ. มีความต้องการเงินทุนหมุนเวียนเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเดือนมิถุนายน ๒๕๕๖ มีความต้องการเงินทุนหมุนเวียนประมาณ ๘๘๐ ล้านบาท ๑.๒ กฟภ. มีลูกหนี้ค่าไฟฟ้าค้างชำระสะสมของส่วนราชการเพียงวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๕ เป็นเงินประมาณ ๓,๔๗๐ ล้านบาท เนื่องจากส่วนราชการมีงบประมาณค่าสาธารณูปโภคไม่เพียงพอกับการใช้ไฟฟ้าจริง ๑.๓ คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๔ [เรื่อง มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ ๖/๒๕๕๔ (ครั้งที่ ๑๓๙)] เห็นชอบอัตราค่าบริการจากมาตรการค่าไฟฟ้าฟรีสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัย ซึ่งติดตั้งมิเตอร์ไฟฟ้าขนาด ๕ (๑๕) แอมแปร์ และใช้ไฟฟ้าไม่เกิน ๕๐ หน่วยต่อเดือน ให้มีผลบังคับใช้สำหรับการเรียกเก็บเงินค่าไฟฟ้าตั้งแต่รอบเดือนมิถุนายน ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับกรณีที่ กฟภ. มีลูกหนี้ค่าไฟฟ้าค้างชำระที่เป็นส่วนราชการ หากส่วนราชการดังกล่าวมีงบประมาณเหลือจ่ายหรือมีงบประมาณเพียงพอที่จะโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณ ก็เห็นสมควรให้โอนไปชำระหนี้ค่าสาธารณูปโภคเป็นลำดับแรกอย่างเคร่งครัด และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๕๕ [เรื่อง ขอความเห็นชอบให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคกู้เงินระยะสั้นประเภทกู้เบิกเงินเกินบัญชี (O/D)] ในการพิจารณาหาแนวทางและมาตรการแก้ไขปัญหาหนี้ค่าสาธารณูปโภคค้างชำระของส่วนราชการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อลดความเสี่ยงและบรรเทาผลกระทบต่อฐานะการเงินของ กฟภ. ในระยะยาว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
886 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2555 | ทส | 11/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ ๓/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๕๕ จำนวน ๒ เรื่อง ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. ที่ประชุมมีมติเกี่ยวกับโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวอ่อนส่วนต่อขยาย ช่วงสมุทรปราการ (บางปิ้ง)-บางปู ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ๑.๑ ให้ รฟม. ดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด ตามที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวอ่อนส่วนต่อขยาย ช่วงสมุทรปราการ (บางปิ้ง)-บางปู ของ รฟม. ซึ่งผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านคมนาคมของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมกับเอกชน ในการประชุมครั้งที่ ๑๓/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๕๔ และตามความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ๑.๒ หาก รฟม. มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการหรือมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างจากที่ได้เสนอไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวอ่อนส่วนต่อขยาย ช่วงสมุทรปราการ (บางปิ้ง)-บางปู ของ รฟม. ตามที่คณะกรรมการผู้ชำนาญการฯ ได้ให้ความเห็นชอบแล้ว ให้แจ้งหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ในการอนุมัติหรืออนุญาตเป็นผู้พิจารณา หากหน่วยงานดังกล่าวเห็นว่าการแก้ไขเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการหรือมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมดังกล่าวไม่กระทบต่อสาระสำคัญของการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม และเป็นมาตรการที่เกิดผลดีต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่า หรือเทียบเท่ามาตรการที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่ผ่านการพิจารณาให้ความเห็นชอบจากคณะกรรมการผู้ชำนาญการฯ แล้ว ให้หน่วยงานที่มีอำนาจอนุมัติหรืออนุญาตรับพิจารณาการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงดังกล่าวให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในกฎหมายนั้น ๆ พร้อมกับสำเนาเรื่องแจ้งสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อทราบ หากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวอาจกระทบต่อสาระสำคัญของการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ให้จัดส่งรายงานการปรับปรุงแก้ไขรายละเอียดโครงการ หรือมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม ให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อเสนอคณะกรรมการผู้ชำนาญการฯ ให้ความเห็นชอบก่อนการเปลี่ยนแปลงหรือปรับปรุงแก้ไข ๑.๓ ให้ รฟม. นำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณาตามมาตรา ๔๗ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ๑.๔ ให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจรควบคุม กำกับดูแลการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสีเขียวอ่อน ส่วนต่อขยาย ช่วงสมุทรปราการ (บางปิ้ง)-บางปู ของ รฟม. ให้เป็นไปตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด และรายงานเสนอสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทุก ๖ เดือน ๒. ที่ประชุมมีมติเกี่ยวกับโครงการศึกษาและออกแบบรายละเอียดรถไฟฟ้าชานเมืองร่วมกับรถไฟทางไกลเชื่อมต่อระบบขนส่งมวลชนในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล สายตลิ่งชัน-นครปฐม ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ๒.๑ ให้ รฟท. ดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด ตามที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการศึกษาและออกแบบรายละเอียดระบบรถไฟฟ้าชานเมืองร่วมกับรถไฟทางไกลเชื่อมต่อระบบขนส่งมวลชนในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล สายตลิ่งชัน-นครปฐม ของ รฟท. ซึ่งผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านคมนาคมของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมกับเอกชน ในการประชุมครั้งที่ ๑๙/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๕๔ และตามความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ๒.๒ ให้ รฟท. นำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณาตามมาตรา ๔๗ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ต่อไป ๒.๓ ให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร ควบคุม กำกับดูแลการดำเนินโครงการศึกษาและออกแบบรายละเอียดระบบรถไฟฟ้าชานเมืองร่วมกับรถไฟทางไกลเชื่อมต่อระบบขนส่งมวลชนในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล สายตลิ่งชัน-นครปฐม ของ รฟท. ให้เป็นไปตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด และรายงานเสนอสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทุก ๖ เดือน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
887 | แนวทางการจัดอัตรากำลังและการบริหารจัดการในภารกิจบริการด้านสุขภาพ | นร | 11/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบข้อเสนอการจัดอัตรากำลังและการบริหารจัดการในภารกิจบริการด้านสุขภาพของกระทรวงสาธารณสุข ตามมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๕๕ โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จัดสรรอัตราข้าราชการเพิ่มใหม่ซึ่งรวมถึงพยาบาล และบุคลากรทางสาธารณสุขให้แก่กระทรวงสาธารณสุข จำนวน ๕,๔๙๙ อัตรา โดยรวมกับอัตราว่างที่มีอยู่ในปัจจุบัน จำนวน ๒,๐๔๘ อัตรา เป็นจำนวนทั้งสิ้นสำหรับกระทรวงสาธารณสุข ๗,๕๔๗ อัตรา และเพิ่มเติมอัตราที่จะใช้บรรจุนักศึกษาวิชาแพทยศาสตร์ ทันตแพทยศาสตร์ และเภสัชศาสตร์ ที่จะสำเร็จการศึกษาในเดือนเมษายน ๒๕๕๖ อีกจำนวน ๒,๙๔๗ อัตรา รวมเป็นการบรรจุทั้งสิ้น ๑๐,๔๙๔ อัตรา โดยให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการบรรจุบุคคลเข้ารับราชการให้ดำรงตำแหน่งในอัตราที่ได้รับอนุมัติ โดยยึดหลักคุณธรรมและเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่ ก.พ. กำหนด ทั้งนี้ ให้ยกเลิกการยุบเลิกตำแหน่งเกษียณอายุราชการในสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ และ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง โครงการผลิตพยาบาลวิชาชีพเพิ่มเพื่อแก้ปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้) และวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๕ (เรื่อง อนุมัติกำหนดตำแหน่งเพิ่มใหม่) ตามที่ประธานกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐเสนอ ๒. ส่วนงบประมาณในการดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยงบประมาณที่จะใช้ในการรองรับการบรรจุข้าราชการเพิ่มใหม่ จำนวน ๘,๔๔๖ อัตรา โดยการบรรจุข้าราชการเพิ่มใหม่ จำนวน ๕,๔๙๙ อัตรา เริ่มตั้งแต่เดือนมกราคม ๒๕๕๖ (ระยะเวลา ๙ เดือน) และอัตราที่จะใช้บรรจุนักศึกษาวิชาแพทยศาสตร์ ทันตแพทยศาสตร์ และเภสัชศาสตร์ ที่จะสำเร็จการศึกษาในเดือนเมษายน ๒๕๕๖ จำนวน ๒,๙๔๗ อัตรา เริ่มตั้งแต่เดือนเมษายน ๒๕๕๖ (ระยะเวลา ๖ เดือน) ประมาณการค่าใช้จ่ายงบประมาณ จำนวนทั้งสิ้น ๑,๑๓๒ ล้านบาท นั้น ให้สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขเจียดจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ รายการผูกพันที่ดำเนินการล่าช้า/คาดว่าจะเบิกจ่ายไม่ทัน จำนวน ๖๐๐ ล้านบาท ส่วนที่เหลือให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๕๓๒ ล้านบาท ทั้งนี้ ให้สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป ๓. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) เป็นเจ้าภาพรวบรวมและศึกษาภาพรวมความต้องการอัตรากำลังของส่วนราชการทั้งระบบ ทั้งในส่วนราชการที่อยู่ภายใต้กำกับดูแลของฝ่ายบริหาร และองค์กรตามรัฐธรรมนูญ ส่วนสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้รวบรวมเสนอรองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) กระทรวงกลาโหม กระทรวงศึกษาธิการ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้รวบรวมเสนอรัฐมนตรีเจ้าสังกัด แล้วส่งให้รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ และแก้ไขปัญหาการขาดแคลนอัตรากำลังของส่วนราชการทั้งระบบต่อไป โดยมีผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ เลขาธิการ ก.พ. อธิบดีกรมบัญชีกลาง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นคณะทำงาน โดยให้เลขาธิการ ก.พ. เป็นฝ่ายเลขานุการ และให้สำนักงาน ก.พ. เป็นเจ้าภาพเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวมถึงองค์กรตามรัฐธรรมนูญ เช่น ศาล สำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อมาประชุมปรึกษาร่วมกันก่อน แล้วจัดทำข้อมูลการวิเคราะห์อัตรากำลังในภาพรวมและข้อเสนอในการแก้ไขปัญหาอัตรากำลังคนและการบริหารจัดการโดยคำนึงถึงสัดส่วนให้เหมาะสมกับภารกิจของแต่ละหน่วยงาน รวมถึงงบประมาณโดยรวมของประเทศด้วย ทั้งนี้ ให้เร่งรัดการดำเนินการให้แล้วเสร็จแล้วเสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณาภายในวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๕๖ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
888 | การปรับปรุงหลักเกณฑ์ แนวทาง และวิธีปฏิบัติในการเปิดเผยราคากลางงานก่อสร้างของทางราชการ | กค | 04/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบการปรับปรุงหลักเกณฑ์ แนวทาง และวิธีปฏิบัติในการเปิดเผยราคากลางงานก่อสร้างของทางราชการ ตามมติคณะกรรมการกำกับหลักเกณฑ์และตรวจสอบราคากลางงานก่อสร้าง ในการประชุมเมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๕ และการกำหนดเงื่อนไขรายละเอียดราคากลางงานก่อสร้างในเอกสารสอบราคา เอกสารประกวดราคา หรือเอกสารประกวดราคาด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ตามมติคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ เมื่อวันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ หลักเกณฑ์ แนวทาง และวิธีปฏิบัติในการเปิดเผยราคากลางก่อสร้างของทางราชการ ให้นำรายละเอียดการคำนวณราคากลางตาม BOQ. (Bill of Quantities) ซึ่งเป็นรายงานการคำนวณราคากลางที่ผู้มีหน้าที่คำนวณราคากลางได้จัดทำขึ้นตามข้อกำหนดตามหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างและที่หัวหน้าส่วนราชการได้ให้ความเห็นชอบแล้วไปประกาศเปิดเผย โดยปรับปรุงแนวทางและวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้าง ในส่วนของการเปิดเผยราคากลาง (ข้อ ๒๐) จากที่กำหนดไว้เดิมเป็น “๒๐. ในการจ้างก่อสร้างทุกครั้ง ให้หน่วยงานที่จะมีการจ้างก่อสร้างประกาศเปิดเผยข้อมูลราคากลาง ทางเว็บไซต์ของหน่วยงาน และเว็บไซต์ของกรมบัญชีกลาง (www.gprocurement.go.th) โดยแนบรายละเอียดการคำนวณราคากลางตาม BOQ. (Bill of Quantities) ซึ่งผู้มีหน้าที่คำนวณราคากลางได้จัดทำขึ้นตามหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างและหัวหน้าส่วนราชการได้ให้ความเห็นชอบแล้วเป็นเอกสารหรือเอกสารทางอิเล็กทรอนิกส์ (CD-ROM) เพื่อให้ผู้สนใจสามารถตรวจดูและหรือดาวน์โหลดไปตรวจดูได้พร้อมกับการประกาศสอบราคา ประกาศประกวดราคา หรือตามที่กำหนดสำหรับการจัดจ้างก่อสร้างด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์หรือการจัดจ้างก่อสร้างด้วยวิธีการอื่น ทั้งนี้ รายละเอียดการคำนวณราคากลางตาม BOQ. (Bill of Quantities) ที่ต้องประกาศเปิดเผยดังกล่าว ให้หมายถึงรายละเอียดการคำนวณราคากลางตามแบบฟอร์ม ได้แก่ กรณีงานก่อสร้างอาคาร หมายถึง แบบฟอร์ม ปร. ๔, ปร. ๔ (พ), ปร. ๕ (ก). ปร. ๕ (ข) และ ปร. ๖ กรณีงานก่อสร้างทาง สะพาน และท่อเหลี่ยม หมายถึง แบบฟอร์มสรุปราคากลางงานก่อสร้างทาง สะพาน และท่อเหลี่ยม และกรณีงานก่อสร้างชลประทาน หมายถึง แบบฟอร์มสรุปราคากลางงานก่อสร้างชลประทาน” ๑.๒ การกำหนดเงื่อนไขรายละเอียดราคากลางงานก่อสร้างในเอกสารสอบราคา เอกสารประกวดราคา หรือเอกสารประกวดราคาด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ๑.๒.๑ การจ้างก่อสร้างตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ให้นำรายละเอียดการคำนวณราคากลางตาม BOQ. (Bill of Quantities) ตามแบบฟอร์มข้างต้น กำหนดไว้ในตัวอย่างเอกสารประกวดราคาจ้างในส่วนของเอกสารแนบท้ายเอกสารประกวดราคา โดยกำหนดเพิ่มเติมเป็น “ข้อ ๑.๘ รายละเอียดการคำนวณราคากลางงานก่อสร้างตาม BOQ. (Bill of Quantities) (รายละเอียดการคำนวณราคากลางงานก่อสร้างเป็นการเปิดเผยเพื่อให้ผู้ประสงค์จะเสนอราคาได้รู้ข้อมูลได้เท่าเทียมกันและเพื่อให้ประชาชนเข้าตรวจดูได้) ข้อ ๑.๙ ...” ทั้งนี้ ให้นำหลักเกณฑ์ดังกล่าวไปกำหนดไว้ในเอกสารสอบราคาจ้างด้วย ๑.๒.๒ การจ้างก่อสร้างตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๔๙ ให้นำรายละเอียดการคำนวณราคากลางตาม BOQ. (Bill of Quantities) ตามแบบฟอร์มข้างต้นกำหนดไว้ในตัวอย่างเอกสารประกวดราคาจ้างด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ในส่วนของเอกสารแนบท้ายเอกสารประกวดราคาจ้างด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์โดยกำหนดเพิ่มเติมเป็น “ข้อ ๑.๑๐ รายละเอียดการคำนวณราคากลางงานก่อสร้างตาม BOQ. (Bill of Quantities) (รายละเอียดการคำนวณราคากลางงานก่อสร้างเป็นการเปิดเผยเพื่อให้ผู้ประสงค์จะเสนอราคาได้รู้ข้อมูลได้เท่าเทียมกัน และเพื่อให้ประชาชนเข้าตรวจดูได้) ข้อ ๑.๑๑ ...ฯลฯ...” โดยให้กำหนดรายละเอียดการคำนวณราคากลางงานก่อสร้างดังกล่าวในขั้นตอนของการจัดทำเอกสารประกาศเชิญชวน ๑.๒.๓ สำหรับการเปิดเผยข้อมูลราคากลางงานก่อสร้างที่เว็บไซต์ศูนย์ข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ (www.gprocurement.go.th) ให้ปฏิบัติตามคู่มือการเปิดเผยข้อมูลราคากลางงานก่อสร้างในระบบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-GP) ซึ่งสามารถดาวน์โหลดได้ที่เว็บไซต์ www.gprocurement.go.th หัวข้อข่าวจัดซื้อจัดจ้างและหัวข้อดาวน์โหลดแนะนำ ๒. รับทราบความคืบหน้าเกี่ยวกับการดำเนินการปรับปรุงหลักเกณฑ์ แนวทาง และวิธีปฏิบัติในการเปิดเผยราคากลางงานก่อสร้างของทางราชการ ตามที่ปลัดกระทรวงการคลัง และรองปลัดกระทรวงการคลัง (นางสาวสุภา ปิยะจิตติ) รายงาน ๓. คณะรัฐมนตรียืนยันการดำเนินนโยบายป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐอย่างจริงจังเพื่อสร้างความโปร่งใสในการปฏิบัติราชการและให้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๕๕ [เรื่อง การทบทวนมติคณะรัฐมนตรี (เรื่อง การให้หน่วยงานของรัฐดำเนินการจัดทำข้อมูลรายละเอียดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างโดยเฉพาะราคากลางและการคำนวณราคากลางไว้ในระบบข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าตรวจดูได้และการกำหนดมาตรการที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม)] และให้รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) พร้อมด้วยปลัดกระทรวงการคลัง ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ และเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาเข้าหารือกับประธานกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อชี้แจงทำความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการที่รัฐบาลได้ดำเนินการไปแล้ว รวมทั้งปัญหาอุปสรรคต่างๆ ที่เกิดขึ้น และพิจารณาแนวทางที่จะร่วมกันดำเนินการต่อไป เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐ และให้รายงานผลการหารือต่อคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
889 | ขออนุมัติเปิดตลาดนำเข้านมผงขาดมันเนยปี 2555 เพิ่มเติม | กษ | 20/11/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบเปิดตลาดนำเข้านมผงขาดมันเนย ปี ๒๕๕๕ เพิ่มเติม ในอัตราภาษีร้อยละ ๕ เท่ากับอัตราภาษีในโควตาที่เก็บจริงในปัจจุบัน จำนวน ๖,๘๔๐.๓๖ ตัน สำหรับผู้ประกอบการกลุ่มนิติบุคคลที่ ๒ ที่ได้รับโควตาไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้ประกอบการที่ได้รับความเดือดร้อนจากการขาดแคลนวัตถุดิบเพื่อใช้ในการผลิต โดยจัดให้แก่ผู้ประกอบการที่มีการขอหนังสือรับรองการนำเข้านมผงขาดมันเนยตามโควตาเดิมจากกรมการค้าต่างประเทศแล้วไม่น้อยกว่าร้อยละ ๘๐ ขึ้นไป โดยผู้ประกอบการนำเข้าให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ และจะต้องไม่กระทบต่อมาตรการและปริมาณการรับซื้อน้ำนมโคจากเกษตรกรตามนโยบายของรัฐบาลด้วย ตามมติคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์ ในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำกับดูแลการนำเข้านมผงขาดมันเนย ปี ๒๕๕๕ เพิ่มเติม มิให้กระทบต่อมาตรการและปริมาณการรับซื้อน้ำนมโคจากเกษตรกรตามนโยบายของรัฐบาล ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรคำนึงว่าการเปิดตลาดนำเข้านมผงขาดมันเนย ปี ๒๕๕๕ เพิ่มเติม ดังกล่าว จะไม่ขัดต่อพันธกรณีภายใต้กรอบความตกลงขององค์การการค้าโลก (World Trade Organization : WTO) และตามความตกลงการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย (Thailand-Australia Free Trade Agreement : TAFTA) รวมทั้งพิจารณาทบทวนการจัดสรรโควตาการนำเข้านมผงขาดมันเนยให้มีสัดส่วนที่เหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ความต้องการใช้ของภาคอุตสาหกรรมในปัจจุบัน สำหรับในระยะยาว ควรเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เพิ่มคุณภาพและมูลค่าของผลิตภัณฑ์นม ตลอดจนส่งเสริมและสนับสนุนให้ภาคเอกชนลงทุนในการผลิตอุตสาหกรรมแปรรูปน้ำนมดิบที่มีอยู่ในประเทศให้มากขึ้น รวมทั้งเร่งประชาสัมพันธ์การดื่มนมแท้ให้กับผู้บริโภค และขยายการส่งออกตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
890 | การสนับสนุนมาตรการผลักดันการจัดสิ่งอำนวยความสะดวกให้คนพิการและทุกคนในสังคมเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้ | พม | 20/11/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการสนับสนุนมาตรการผลักดันการจัดสิ่งอำนวยความสะดวกให้คนพิการและทุกคนในสังคมเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้ ตามมติคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ โดย ๑.๑ ให้สำนักงบประมาณสนับสนุนงบประมาณสำหรับการก่อสร้างอาคารใหม่ของหน่วยงานหรืออาคารเก่าต้องปรับปรุง หรือจัดทำสิ่งอำนวยความสะดวกให้คนพิการและทุกคนในสังคมเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้ของหน่วยงานราชการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๒ (เรื่อง ขอมติคณะรัฐมนตรีให้หน่วยงานราชการสำรวจและจัดทำสิ่งอำนวยความสะดวกให้คนพิการเข้าถึงได้) โดยจัดสิ่งอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐานสำหรับคนพิการ ไม่น้อยกว่า ๕ ประเภท ได้แก่ ทางลาด ห้องน้ำ ที่จอดรถ ป้ายและสัญลักษณ์และบริการข้อมูลข่าวสาร ตามที่หน่วยงานขอรับการสนับสนุน ทั้งนี้ การประมาณการงบประมาณสำหรับการจัดทำสิ่งอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐานสำหรับคนพิการ ครบทั้ง ๕ ประเภท แห่งละ ๓๐๐,๐๐๐ บาท ๑.๒ ให้ทุกหน่วยงานกำหนดเป้าหมายการจัดทำสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการจนถึงปี พ.ศ. ๒๕๕๘ และดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน (ASEAN Community) ๑.๓ ให้ทุกหน่วยงานรายงานผลการดำเนินงานทุกรอบ ๖ เดือน พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลความจำเป็นกรณีไม่สามารถดำเนินการให้เป็นไปตามเป้าหมายที่หน่วยงานกำหนดไว้ได้ โดยให้สำนักงานส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นผู้รวบรวมรายงานผลการดำเนินงานเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และสำนักงานตำรวจแห่งชาติกำหนดเป้าหมาย แผนการดำเนินงาน และแผนการใช้จ่ายเงินในการจัดทำสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการเพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน (ASEAN Community) และเสนอแผนดังกล่าวในที่ประชุมเชิงปฏิบัติการการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ปี พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อเป็นกรอบการจัดสรรงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และหน่วยงานดังกล่าวรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรขยายนิยามของ “หน่วยงานราชการ” ให้หมายรวมถึงหน่วยงานภาครัฐอื่น ๆ ด้วย เช่น กระทรวง ทบวง กรม หรือหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นซึ่งมีฐานะเทียบเท่ากรม เป็นต้น เพื่อประโชนต่อคนพิการ และสนับสนุนงบประมาณสำหรับการจัดการสิ่งอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐานสำหรับคนพิการ ครบ ๕ ประเภท ให้ครอบคลุมถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกประเภท รวมทั้งกำหนดเป้าหมายและรายงานผลการดำเนินงานทุกรอบ ๖ เดือน โดยดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน (ASEAN Community) เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
891 | โครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลังปี 2555/56 | พณ | 20/11/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานกรรมการ ในการประชุมครั้งที่ ๑๖/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติเป้าหมายการรับจำนำมันสำปะหลัง ในจำนวน ๑๐ ล้านตัน เช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา และให้ปรับลดวงเงินค่าใช้จ่ายลงตามสัดส่วนของปริมาณเป้าหมายที่ลดลง โดยให้ใช้งบประมาณจากกรอบวงเงินเดิม ๔๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๕๕ (เรื่อง โครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๔/๕๕) ซึ่งหากมีความจำเป็นสามารถขอขยายเพิ่มเติมในภายหลัง เพื่อไม่ให้กรอบวงเงินค่าใช้จ่ายสูงเกินไปและส่งผลต่อกรอบวงเงินของสินค้าเกษตรชนิดอื่น ประกอบกับราคามันสำปะหลังในปัจจุบันอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับราคารับจำนำ ทั้งนี้ ควรดำเนินการรับจำนำเมื่อราคามันสำปะหลังลดต่ำกว่าเกณฑ์ราคาที่กำหนด ตามความเห็นของคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร ๑.๒ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการ ๑.๒.๑ ปรับลดวงเงินจ่ายขาด จำนวน ๕,๒๒๓.๐๕๖ ล้านบาท ให้สอดคล้องกับปริมาณเป้าหมาย รวมทั้งปรับลดค่าแปรสภาพให้สอดคล้องกับการนำผลผลิตหัวมันสำปะหลังสดไปผลิตเป็นเอทานอลโดยตรง โดยอัตราค่าใช้จ่ายจ่ายขาดของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ที่ตั้งงบประมาณรองรับการดำเนินโครงการรับจำนำผลผลิตทางการเกษตร ปีการผลิต ๒๕๕๕/๕๖ ไว้แล้ว โดยให้มีค่าใช้จ่ายต่อหน่วย (Unit Cost) ในอัตราเดียวกับการดำเนินโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๔/๕๕ ต้นทุนเงิน ในอัตรา FDR+1 และค่าบริหารโครงการ ในอัตราร้อยละ ๒.๒๕ ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์ปรับระยะเวลาดำเนินโครงการให้สอดคล้องกับระยะเวลาดำเนินการจริง ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๑.๒.๒ นำส่งเงินจากการจำหน่ายสินค้าตามโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลังเพื่อชำระหนี้ให้แก่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ในทันทีและ/หรือภายใน ๓ วันทำการ โดยยึดแนวทางการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง การจัดหาเงินทุนเพื่อดำเนินการโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร) ๑.๒.๓ จัดทำข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับปริมาณสต็อกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง และแผนการระบายมันสำปะหลัง รวมทั้งร่วมกับกระทรวงพลังงานในการจัดทำแผนการใช้มันสำปะหลังในการผลิตเอทานอล ๑.๓ ให้กระทรวงพลังงานจัดประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง ผู้ประกอบการด้านการพลังงาน เพื่อหารือแนวทางการพัฒนาศักยภาพการแข่งขันและการส่งออกเอทานอลของประเทศ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการลดภาระการรับจำนำมันสำปะหลังของประเทศ ๒. ให้เริ่มดำเนินโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ตั้งแต่วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๕-๓๑ มีนาคม ๒๕๕๖ สำหรับราคารับจำนำให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่คณะกรรมการนโยบายมันสำปะหลังได้กำหนดไว้ (ราคารับจำนำหัวมันสดที่มีเชื้อแป้งร้อยละ ๒๕ ในเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ กำหนดไว้กิโลกรัมละ ๒.๖๐ บาท) ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์ปรับลดวงเงินค่าใช้จ่ายลงตามสัดส่วนของปริมาณเป้าหมายการรับจำนำที่ลดลง ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยให้ใช้เงินในกรอบวงเงิน จำนวน ๔๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ที่ได้รับอนุมัติไว้แล้วตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๕๕ (เรื่อง โครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลังปี ๒๕๕๔/๕๕) และให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณจัดทำแผนการบริหารเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินโครงการและแผนการบริหารจัดการสต็อก (stock) มันสำปะหลังอย่างเป็นระบบ รวมทั้งตรวจสอบปริมาณมันสำปะหลังที่รับจำนำไว้เดิมและที่ระบายไปแล้ว และต้องรายงานผลความคืบหน้าในการดำเนินการระบายมันสำปะหลัง ปริมาณ และมูลค่าสินค้าคงเหลือให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นรายไตรมาสในแนวทางเดียวกับการดำเนินการเรื่อง ข้าว ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง รายงานผลการดำเนินการโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ และพิจารณาปริมาณและวงเงินโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๕/๕๖) ด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
892 | โครงการพัฒนาระบบส่งไฟฟ้าบริเวณจังหวัดเลย หนองบัวลำภู และขอนแก่น เพื่อรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการใน สปป.ลาว ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย | พน | 12/11/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานกรรมการ ในการประชุมครั้งที่ ๑๔/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๕๕ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ดำเนินโครงการพัฒนาระบบส่งไฟฟ้าบริเวณจังหวัดเลย หนองบัวลำภู และขอนแก่น เพื่อรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ของ กฟผ. วงเงินลงทุนรวม ๑๒,๐๖๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ เนื่องจากโครงการดังกล่าวได้มีการลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าแล้วและมีความจำเป็นต้องเร่งดำเนินการเพื่อให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญา อีกทั้งโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนไซยะบุรีได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมาธิการลุ่มน้ำโขง (Mekong River Commission : MRC) ตามกระบวนการข้อตกลงของประเทศสมาชิกในลุ่มแม่น้ำโขงแล้ว ๒. สำหรับการก่อสร้างสายส่งไฟฟ้าในช่วงจากชายแดนไทย-ลาว ถึงสถานีไฟฟ้าเลย ๒ ซึ่งมีความจำเป็นต้องพาดผ่านพื้นที่ป่าอนุรักษ์เพิ่มเติม (ป่า C) เป็นระยะทางรวมประมาณ ๑๗ กิโลเมตร ให้ กฟผ. ดำเนินการได้เมื่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น (Initial Environmental Examination : IEE) ได้รับความเห็นชอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว ๓. เนื่องจากเวียดนามและกัมพูชายังมีความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบสิ่งแวดล้อม และต้องการให้มีการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมเพิ่มเติม ดังนั้น เพื่อเป็นการรักษาความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศเพื่อนบ้านในลุ่มแม่น้ำโขง และในขณะเดียวกันเพื่อให้สามารถดำเนินโครงการพัฒนาระบบส่งไฟฟ้าฯ ได้แล้วเสร็จทันตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญา จึงเห็นควรให้ กฟผ. พิจารณาปรับแผนการดำเนินงานโครงการพัฒนาระบบส่งไฟฟ้าฯ ให้มีความกระชับมากขึ้น เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
893 | ขออนุมัติการซื้อหุ้นเพิ่มทุนของบรรษัทประกันต่อแห่งเอเชียโดยรัฐบาลไทย | กค | 12/11/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานกรรมการ ในการประชุมครั้งที่ ๑๖/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ที่เห็นชอบและอนุมัติในหลักการซื้อหุ้นเพิ่มทุนของบรรษัทประกันต่อแห่งเอเชียโดยรัฐบาลไทยในระยะแรก จำนวน ๓.๑๘ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามสัดส่วนการถือหุ้นเดิมของรัฐบาลไทย โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น (ประมาณ ๑๐๒ ล้านบาท จากอัตราแลกเปลี่ยนโดยประมาณ ๑ ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ ๓๒ บาท เบิกจ่ายตามจริง ณ วันเบิกจ่าย) ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นที่ต้องซื้อหุ้นเพิ่มทุนเพิ่มเติมอีกครั้ง ให้กระทรวงการคลังพิจารณาหาแหล่งเงินอื่นที่ไม่ใช่เงินงบประมาณก่อนเป็นลำดับแรก
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
894 | การบริหารโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) | กค | 12/11/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานกรรมการ ในการประชุมครั้งที่ ๑๔/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๕๕ ดังนี้
๑. รับทราบผลการพิจารณาของสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ สำนักงบประมาณ และการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เกี่ยวกับความเหมาะสมและความจำเป็นของโครงการ ของ รฟท. เรียงตามลำดับความสำคัญ ได้แก่ โครงการปรับปรุงทางรถไฟที่ไม่ปลอดภัย ของ รฟท. กระทรวงคมนาคม โครงการติดตั้งเครื่องกั้นเสมอระดับและปรับปรุงเครื่องกั้น จำนวน ๑๐๕ แห่ง และงานติดตั้งรั้วสองข้างทางตามแนวเขตทางรถไฟ จำนวน ๑๗ รายการ โดย ๑.๑ โครงการปรับปรุงทางรถไฟที่ไม่ปลอดภัย เห็นควรสนับสนุนการดำเนินโครงการฯ ที่เหลืออยู่ จำนวน ๑๒ สายทาง เนื่องจากมีความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ด้านโลจิสติกส์เพื่อสนับสนุนการขนส่งสินค้าทางรางและการพัฒนาทางคู่ (Double Track) รวมถึงความสอดคล้องกับการปรับปรุงโครงข่ายหลักซึ่งสภาพทางและอายุการใช้งานของสายทางทุกสายทางอยู่ในสภาพที่ไม่ปลอดภัย ๑.๒ โครงการติดตั้งเครื่องกั้นเสมอระดับและปรับปรุงเครื่องกั้น จำนวน ๑๐๕ แห่ง เห็นควรสนับสนุนโครงการฯ เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการเดินรถ และลดอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น โดยแผนงานที่ รฟท. เสนอมาอยู่ในเส้นทางสายหลักที่มีปริมาณการจราจรตัดผ่านหนาแน่น ๑.๓ งานติดตั้งรั้วสองข้างทางตามแนวเขตทางรถไฟ จำนวน ๑๗ รายการ เป็นงานที่มีความจำเป็นที่จะต้องเร่งดำเนินการควบคู่ไปกับการพัฒนาและปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานของรางรถไฟ เพื่อรองรับการลงทุนในส่วนของระบบราง โดยการติดตั้งรั้วในเขตสายทางรถไฟจะช่วยลดอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากทางลักผ่านและเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการด้านการขนส่งผู้โดยสารและขนส่งสินค้าให้รวดเร็วและตรงเวลามากขึ้น ๒. อนุมัติให้ดำเนินโครงการและอนุมัติการจัดสรรวงเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) ตามข้อเสนอของคณะกรรมการกลั่นกรองและบริหารโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด ได้แก่ ๒.๑ โครงการปรับปรุงทางรถไฟที่ไม่ปลอดภัย ของ รฟท. กระทรวงคมนาคม จำนวน ๔ สายทาง ระยะทาง ๒๖๕ กิโลเมตร ได้แก่ ระหว่างสถานีคลองรังสิต-ชุมทางบ้านภาชี ระยะทาง ๑๒๐ กิโลเมตร ระหว่างชุมทางบ้านภาชี-มาบกะเบา (เดิม) ระยะทาง ๔๔ กิโลเมตร ระหว่างชุมทางศรีราชา-ชุมทางเขาชีจรรย์-สัตหีบ ระยะทาง ๖๖ กิโลเมตร และระหว่างชุมทางเขาชุมทอง-นครศรีธรรมราช ระยะทาง ๓๕ กิโลเมตร วงเงินรวมทั้งสิ้น ๒,๙๓๙.๒๕๒๓ ล้านบาท ๒.๒ โครงการติดตั้งเครื่องกั้นเสมอระดับและปรับปรุงเครื่องกั้น จำนวน ๑๐๕ แห่ง วงเงิน ๑๙๕.๔๒ ล้านบาท ๒.๓ โครงการ GFMIS-SOE ส่วนขยาย (ระยะที่ ๒) ของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กระทรวงการคลัง วงเงิน ๘๗ ล้านบาท ๓. อนุมัติให้ รฟท. ดำเนินโครงการ และอนุมัติให้กระทรวงการคลังกู้เงินในประเทศ และให้ รฟท. กู้เงินต่อจากกระทรวงการคลังเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับโครงการปรับปรุงทางรถไฟที่ไม่ปลอดภัยในสายทางที่ยังไม่ได้รับการจัดสรรแหล่งเงินลงทุน จำนวน ๘ สายทาง ระยะทาง ๘๔๙ กิโลเมตร รวมวงเงิน ๘,๘๗๔.๖๒ ล้านบาท และให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีเป็นงบชำระหนี้ให้แก่ รฟท. เพื่อใช้ชำระหนี้คืนแก่แหล่งเงินกู้โดยตรงทั้งในส่วนเงินต้น ดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวข้อง ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กระทรวงการคลังจะได้ตกลงกับ รฟท. ต่อไป ส่วนงานติดตั้งรั้วสองข้างทางตามแนวเขตทางรถไฟ จำนวน ๑๗ รายการ วงเงิน ๓,๐๔๖.๑๓ ล้านบาท ให้มีการทบทวนความเหมาะสมของโครงการให้รอบคอบและนำเสนอคณะกรรมการกลั่นกรองฯ คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
895 | ขออนุมัติการดำเนินโครงการบำบัดน้ำเสียรวม พื้นที่เทศบาลนครอ้อมน้อย จังหวัดสมุทรสาคร | ทส | 06/11/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๕ (ฝ่ายการเกษตรและการท่องเที่ยว) ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๕ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายชุมพล ศิลปอาชา) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๕ (ฝ่ายการเกษตรและการท่องเที่ยว) เสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ๑.๑ เห็นชอบโครงการบำบัดน้ำเสียเทศบาลนครอ้อมน้อย จังหวัดสมุทรสาคร โดยให้องค์การจัดการน้ำเสีย (อจน.) ลงทุนเฉพาะในระยะที่ ๑ วงเงินลงทุน ๒,๗๕๐.๖๓ ล้านบาทก่อน ส่วนการลงทุนในระยะที่ ๒ ซึ่งเป็นการผูกพันงบประมาณระยะยาวถึงปี พ.ศ. ๒๕๗๓ ควรประเมินผลการดำเนินการในระยะที่ ๑ รวมทั้งศึกษาทบทวนข้อสมมติต่าง ๆ ก่อนเสนอขออนุมัติตามขั้นตอนต่อไป โดยให้ปรับลดระยะเวลาในการบริหารจัดการเดินระบบบำบัดจาก ๒๕ ปี เป็น ๑๕ ปี เพื่อเร่งถ่ายโอนภารกิจให้เทศบาลนครอ้อมน้อย ๑.๒ ให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรสาคร และเทศบาลนครอ้อมน้อย ร่วมลงทุนในโครงการฯ เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับโครงการฯ ทำให้เกิดการมีส่วนร่วมและสร้างความเป็นเจ้าของโครงการฯ โดยให้ อจน. เร่งเจรจาและจัดทำข้อตกลงเรื่องสัดส่วนการร่วมลงทุนกับองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) และเทศบาลนครอ้อมน้อยโดยเร็ว โดยเงินร่วมลงทุนดังกล่าว ให้หักจากเงินอุดหนุนประจำปีที่จัดสรรให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ทั้งสอง ๑.๓ ให้ อจน. เร่งประสานเทศบาลนครอ้อมน้อยให้มีการตราเทศบัญญัติในการจัดเก็บค่าบริการบำบัดน้ำเสียและค่าบริการระบายน้ำทิ้งให้แล้วเสร็จก่อนเริ่มดำเนินโครงการฯ รวมทั้งจัดทำข้อตกลงกับเทศบาลนครอ้อมน้อยให้รับภาระค่าบริการบำบัดน้ำเสียและค่าบริการระบายน้ำทิ้งส่วนที่ไม่สามารถจัดเก็บได้ตามเป้าหมาย โดยต้องมีการตกลงในเงื่อนไขต่าง ๆ ให้ชัดเจนพร้อมทั้งปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ๑.๔ ให้ อจน เพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บรายได้จากการให้บริการจัดการน้ำเสียและเร่งสร้างความเข้าใจให้กับประชาชนและโรงงานอุตสาหกรรมในพื้นที่เพื่อลดการต่อต้านในการจัดเก็บค่าบริการและเพื่อลดภาระจากการพึ่งพาเงินงบประมาณแผ่นดิน และให้ อจน. จัดเตรียมแผนและดำเนินการถ่ายทอดเทคโนโลยีและความรู้ให้กับเทศบาลนครอ้อมน้อยในการบริหารจัดการระบบบำบัดน้ำเสีย เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของเทศบาลนครอ้อมน้อยให้พร้อมรับถ่ายโอนภารกิจได้ภายในระยะเวลาของโครงการฯ ๑.๕ ให้ อจน. ร่วมมือกับกรมโรงงานอุตสาหกรรม สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด และกรมควบคุมมลพิษ ในการติดตามตรวจสอบและบังคับใช้พระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ และพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ อย่างเคร่งครัด เพื่อควบคุมและป้องกันการลักลอบระบายมลพิษลงสู่แหล่งน้ำสาธารณะ และร่วมกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเพื่อขอความร่วมมือโรงงานอุตสาหกรรมในการจัดการน้ำเสียโรงงานและการชำระค่าบริการบำบัดน้ำเสีย ๒. เห็นควรกำหนดเป็นเงื่อนไขในการอนุมัติโครงการ ให้เทศบาลนครอ้อมน้อยต้องรับผิดชอบในการสมทบเงินค่าใช้จ่ายในการเดินระบบและบำรุงรักษาระบบบำบัดน้ำเสีย หากการจัดเก็บค่าบริการบำบัดน้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรมและชุมชนได้ไม่เพียงพอ รวมทั้งให้มีการตกลงในเงื่อนไขต่าง ๆ ให้ชัดเจนก่อนเริ่มดำเนินโครงการฯ ๓. สำหรับการก่อสร้างระบบบำบัดน้ำเสียในระยะที่ ๒ หรือระยะต่อไป ให้พิจารณาจากความต้องการและความจำเป็นโดยพิจารณาจากความรุนแรงของปัญหาหรือปริมาณน้ำเสียที่เกิดขึ้นว่ามีมากน้อยเพียงใด หากปริมาณน้ำเสียมีมากขึ้นจึงค่อยพิจารณาขยายระบบต่อไป โดยคำนึงถึงความต่อเนื่องในการดำเนินการบำบัดน้ำเสียและระยะเวลาในการก่อสร้าง ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการขาดช่วงในการบำบัดน้ำเสีย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
896 | ขออนุมัติจ่ายค่าตอบแทนพิเศษให้แก่พนักงานที่ได้รับเงินเดือนเต็มขั้นของโรงงานไพ่ กรมสรรพสามิต | กค | 06/11/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษให้แก่พนักงานที่ได้รับเงินเดือนเต็มขั้นของโรงงานไพ่ กรมสรรพสามิต ตามมติคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ในการประชุมเมื่อวันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๕๕ โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยมีหลักเกณฑ์การจ่ายค่าตอบแทนพิเศษ ดังนี้ ๑.๑ กรณีได้รับการประเมินให้เลื่อนขั้นเงินเดือนประจำปีอยู่ในเกณฑ์หนึ่งขั้นให้เบิกจ่ายค่าตอบแทนพิเศษในอัตราร้อยละ ๒ ของเงินเดือนเต็มขั้นสูงของระดับหรือตำแหน่ง ๑.๒ กรณีได้รับการประเมินให้เลื่อนขั้นเงินเดือนประจำปีอยู่ในเกณฑ์หนึ่งขั้นครึ่งให้เบิกจ่ายค่าตอบแทนพิเศษในอัตราร้อยละ ๔ ของเงินเดือนเต็มขั้นสูงของระดับหรือตำแหน่ง (โดยมีสัดส่วนของผู้ที่ได้รับเป็นจำนวนร้อยละ ๒๕ ของผู้ที่มีเงินเดือนเต็มขั้น) ๑.๓ กรณีได้รับการประเมินให้เลื่อนขั้นเงินเดือนประจำปีอยู่ในเกณฑ์สองขั้นให้เบิกจ่ายค่าตอบแทนพิเศษในอัตราร้อยละ ๖ ของเงินเดือนเต็มขั้นสูงของระดับหรือตำแหน่ง (โดยมีสัดส่วนของผู้ที่ได้รับเป็นจำนวนร้อยละ ๑๐ ของผู้ที่มีเงินเดือนเต็มขั้น) ๑.๔ กรณีได้รับการประเมินให้เลื่อนขั้นเงินเดือนประจำปีอยู่ในเกณฑ์ครึ่งขั้นหรือไม่ได้รับการประเมินให้เลื่อนขั้นเงินเดือนประจำปี ให้เบิกจ่ายเงินเดือนในอัตราสูงของระดับหรือตำแหน่งเดิม ทั้งนี้ การจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษนี้ไม่ถือเป็นเงินเดือนหรือค่าจ้าง มีลักษณะเป็นการชั่วคราว รวมทั้งไม่เป็นฐานการคำนวณสิทธิประโยชน์อื่น ๆ แก่พนักงานและลูกจ้าง ๒. ให้โรงงานไพ่ กรมสรรพสามิต รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรจัดทำแผนการจัดหารายได้เพิ่มและลดค่าใช้จ่ายเพื่อรองรับการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจและการแข่งขันจากการเปิดเสรีในอุตสาหกรรมไพ่เมื่อเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
897 | มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2555 (ครั้งที่ 143) | พน | 22/10/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบ เห็นชอบ และอนุมัติตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๕๕ (ครั้งที่ ๑๔๓) เมื่อวันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบแผนการจัดหาก๊าซธรรมชาติระยะยาว (พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๗๓) [แผนการจัดหาก๊าซธรรมชาติและแผนการจัดหาก๊าซธรรมชาติจากการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (ระยะยาว) ในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๗๓] รวมทั้งร่างสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติเหลว (SPA) กับบริษัท Qatar Liquefied Gas Company Limited ประเทศกาตาร์ และหลักเกณฑ์การการจัดหา LNG ระยะยาว ทั้งนี้ ในร่างสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติเหลว (SPA) ให้บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ลงนามในสัญญาซื้อขายในปริมาณ ๒ ล้านตันต่อปี ภายหลังจากที่ร่างสัญญาดังกล่าวผ่านการตรวจพิจารณาจากสำนักงานอัยการสูงสุด ๑.๒ เห็นชอบการเลื่อนกำหนดการยกเลิกน้ำมันเบนซิน ๙๑ ออกไปอีก ๓ เดือน จากวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ ไปเป็นวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ โดยให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานปรับส่วนต่างราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล ๙๑ กับน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 ให้มากขึ้น เพื่อจูงใจให้ประชาชนหันมาใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 ให้มากขึ้น และให้กระทรวงพลังงานเร่งประชาสัมพันธ์รณรงค์ให้เกิดการยอมรับการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอลในกลุ่มผู้ใช้รถยนต์และรถจักรยานยนต์ให้มากขึ้น รวมทั้งให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพลังงาน และกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกันกำหนดทิศทางเกี่ยวกับพืชเกษตรที่สามารถนำมาเป็นพลังงานได้ โดยพิจารณาถึงศักยภาพและความเป็นไปได้ในการผลิต ๑.๓ เห็นชอบแผนการจัดหาก๊าซธรรมชาติและแผนการจัดหาก๊าซธรรมชาติจากการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (ระยะสั้น) ในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๙ โดยให้กระทรวงพลังงานจัดทำแผนรองรับกรณีไม่สามารถจัดหาก๊าซธรรมชาติได้ตามแผนการจัดหาก๊าซธรรมชาติระยะยาว (พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๗๓) ๑.๔ เห็นชอบโครงการ LNG Receiving Terminal ระยะที่ ๒ วงเงินลงทุนรวม ๒๑,๔๐๐ ล้านบาท รวมทั้งแผนแม่บทระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ ฉบับที่ ๓ พ.ศ. ๒๕๔๔-๒๕๕๔ (ปรับปรุงเพิ่มเติม) ครั้งที่ ๒ ซึ่งมีวงเงินลงทุนรวมเพิ่มขึ้นจากเดิมที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้แล้วอีก ๑๗,๗๐๐ ล้านบาท รวมเป็นเงิน ๒๑๗,๓๗๒ ล้านบาท ๑.๕ เห็นชอบร่างสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติเหลว (SPA) กับบริษัท Qatar Liquefied Gas Company Limited ประเทศกาตาร์ โดยให้ใช้เงื่อนไขการระงับข้อพิพาทโดยวิธีการอนุญาโตตุลาการ ๑.๖ อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดเครื่องจักร อุปกรณ์ประสิทธิภาพสูงและวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน จำนวน ๑๑ ฉบับ (๑๑ ผลิตภัณฑ์) มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดค่ากำลังไฟฟ้าขณะรอใช้งาน ค่ากำลังไฟฟ้าขณะปิดเครื่อง และค่าประสิทธิภาพพลังงาน สำหรับผลิตภัณฑ์จำนวน ๑๑ ผลิตภัณฑ์ ที่มีประสิทธิภาพสูง เพื่อประโยชน์ในการอนุรักษ์พลังงานและเพื่อให้ผู้บริโภคสามารถเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพสูง อันเป็นการประหยัดพลังงานของประเทศ รวมทั้งเป็นการช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานอัยการสูงสุด เกี่ยวกับการจัดหาก๊าซธรรมชาติจากแหล่งก๊าซธรรมชาติในพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนไทย-กัมพูชา ควรเตรียมการดำเนินการเป็นการล่วงหน้า เนื่องจากต้องมีระยะเวลาสำหรับการดำเนินการตั้งแต่การทำความตกลงระหว่างประเทศจนถึงการนำก๊าซธรรมชาติมาใช้งานไม่น้อยกว่า ๑๐ ปี รวมทั้งควรมีแผนรองรับในกรณีที่ไม่สามารถจัดหาก๊าซธรรมชาติได้ตามแผนจัดหาก๊าซธรรมชาติระยะยาวดังกล่าว ส่วนการกำหนดเวลายกเลิกน้ำมันเบนซิน ๙๑ กระทรวงพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเร่งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชนมีระยะเวลาเพียงพอในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
898 | โครงการก่อสร้างสายเคเบิลใต้น้ำไปยังเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี | มท | 22/10/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานกรรมการ ในการประชุมครั้งที่ ๑๓/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๕๕ ดังนี้
๑. เห็นชอบการดำเนินโครงการก่อสร้างสายเคเบิลใต้น้ำไปยังเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี วงเงินลงทุนรวม ๑,๐๙๔ ล้านบาท แบ่งเป็นเงินกู้ในประเทศ ๘๒๐ ล้านบาท และเงินรายได้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) วงเงิน ๒๗๔ ล้านบาท และให้ กฟภ. กู้เงินในประเทศภายในกรอบวงเงิน ๘๒๐ ล้านบาท เพื่อเป็นเงินลงทุนของโครงการฯ โดยให้ กฟภ. ดำเนินการกู้เงินตามความจำเป็นจนกว่างานจะแล้วเสร็จ และให้รับความเห็นของคณะกรรมการกลั่นกรองฯ และหน่วยงานต่าง ๆ ที่เห็นควรพิจารณาความเป็นไปได้ในการให้รัฐวิสาหกิจในสังกัดของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเข้ามาร่วมลงทุนเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มของโครงการฯ และลดความซ้ำซ้อนในการลงทุน สำหรับในขั้นตอนการวิเคราะห์ผลตอบแทนของโครงการฯ ยังไม่ได้รวมถึงรายได้อื่น เช่น การให้เช่าสายเคเบิลใต้น้ำ เนื่องจากไม่ได้เป็นภารกิจหลักของ กฟภ. อีกทั้งยังเป็นรายรับที่ไม่แน่นอน ซึ่งในระยะต่อไปหากมีผู้มาขอเช่าใช้ประโยชน์จากสายเคเบิลใต้น้ำจะทำให้ผลตอบแทนทางการเงินเพิ่มขึ้นได้ในอนาคต นอกจากนี้ เห็นควรพิจารณาดำเนินโครงการฯ ให้มีผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและคุณภาพสิ่งแวดล้อมในบริเวณแนวสายเคเบิลใต้น้ำ และพื้นที่ใกล้เคียงน้อยที่สุด และปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบต่อแนวปะการังอย่างเคร่งครัด ไปดำเนินการด้วย ๒. เห็นชอบการผ่อนผันการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๓๕ (เรื่อง แผนแม่บทการจัดการปะการังของประเทศในการดำเนินโครงการก่อสร้างสายเคเบิลใต้น้ำไปยังเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี) ทั้งนี้ ให้ กฟภ. หารือกับสำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม และให้ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด เพื่อหลีกเลี่ยงการสร้างผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นต่อทรัพยากรธรรมชาติและคุณภาพสิ่งแวดล้อมในบริเวณแนวสายเคเบิลใต้น้ำและพื้นที่ใกล้เคียงให้มากที่สุด |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
899 | นโยบายและมาตรการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปี 2556 | พณ | 22/10/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการกำหนดนโยบายและมาตรการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี ๒๕๕๖ ตามมติคณะกรรมการนโยบายอาหาร ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ (ครั้งที่ ๗๔) เมื่อวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๕๕ ที่มีมติเห็นชอบการกำหนดนโยบายและมาตรการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ การนำเข้าตามความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน (ASEAN Free Trade Area : AFTA) และโครงการลงทุนเกษตรแบบมีสัญญากับประเทศเพื่อนบ้าน (Contract Farming) ภายใต้ยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิระวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง (Ayerawady-chao Phraya-Mekong Economic Cooperation Strategy : ACMECS) ภาษีร้อยละ ๐ กำหนดมาตรการบริหารนำเข้าโดยให้องค์การคลังสินค้า (อคส.) นำเข้าได้ตลอดทั้งปี โดยให้ อคส. จัดทำแผนการจัดซื้อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ด้านการผลิต การตลาด ภาวะราคาและความต้องการใช้ เพื่อไม่ให้กระทบต่อราคาผลผลิตในประเทศ และให้ผู้นำเข้าทั่วไปนำเข้าได้ช่วงเดือนมีนาคม-กรกฎาคม และต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดมาตรฐานควบคุมการนำเข้าตามพระราชบัญญัติควบคุมคุณภาพอาหารสัตว์ พ.ศ. ๒๕๒๕ ๑.๒ การนำเข้าตามความตกลงองค์การการค้าโลก (World Trade Organization : WTO) ภาษีนำเข้าในโควตาร้อยละ ๒๐ ปริมาณโควตา ๕๔,๗๐๐ ตัน โดยให้ อคส. เป็นผู้นำเข้าไม่จำกัดช่วงเวลานำเข้า ภาษีนำเข้านอกโควตาร้อยละ ๗๓ และค่าธรรมเนียมพิเศษตันละ ๑๘๐ บาท ๑.๓ การนำเข้าตามความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น ไทย-นิวซีแลนด์ (Thailand-New Zealand Closer Economic Partnership : TNZCEP) ภาษีร้อยละ ๐ ยกเว้นการกำหนดปริมาณนำเข้า ไม่ต้องขออนุญาตนำเข้าและไม่ต้องปฏิบัติตามมาตรการในการจัดระเบียบการนำเข้า ๑.๔ การนำเข้าตามความตกลงการค้าเสรี ไทย-ออสเตรเลีย (Thailand-Australia Free Trade Agreement : TAFTA) ภาษีในโควตาร้อยละ ๙.๓๓ ปริมาณโควตา ๘,๐๘๑.๖๘ ตัน การบริหารการนำเข้าตาม WTO ภาษีนอกโควตาร้อยละ ๖๕.๗ ๑.๕ การนำเข้าตามความตกลงการค้าเสรีไทย-ญี่ปุ่น (Japan-Thailand Economic Partnership Agreement : JTEPA) ภาษีในโควตาร้อยละ ๐ ปริมาณโควตาและการบริหารการนำเข้าตาม WTO ภาษีนอกโควตาร้อยละ ๗๓ ๑.๖ การนำเข้าตามความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-ญี่ปุ่น (ASEAN-Japan Comprehensive Economic Partnership : AJCEP) ๑ มกราคม-๓๑ มีนาคม ๒๕๕๖ ภาษีในโควตาร้อยละ ๑๐.๙๐ และ ๑ เมษายน-๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ ภาษีในโควตาร้อยละ ๙.๑๐ ปริมาณโควตาและการบริหารการนำเข้าตาม WTO ภาษีนอกโควตาร้อยละ ๗๓ ๑.๗ การนำเข้าตามความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-เกาหลี (ASEAN-Korea Free Trade Agreement : AKFTA) ภาษีในโควตาร้อยละ ๖.๖๗ ปริมาณโควตาและการบริหารการนำเข้าตาม WTO ภาษีนอกโควตาร้อยละ ๗๓ ๑.๘ การนำเข้าทั่วไป (ประเทศนอกข้อตกลง) ภาษีนำเข้ากิโลกรัมละ ๒.๗๕ บาท ค่าธรรมเนียมพิเศษตันละ ๑,๐๐๐ บาท ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ตรวจสอบ บริหารจัดการสต๊อค (stock) และดำเนินการระบายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้เหมาะสมเป็นประโยชน์สูงสุด และไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อราคาผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ภายในประเทศ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง กรอบการระบายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ตามโครงการแทรกแซงตลาดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และขอยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๕๒ สำหรับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์) ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรทบทวนและขยายกำหนดช่วงระยะเวลาการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากประเทศเพื่อนบ้านโดยผู้นำเข้าทั่วไป สำหรับปี ๒๕๕๖ เพิ่มเติมจากเดิมที่กำหนดไว้เฉพาะช่วงเดือนมีนาคม-กรกฎาคม เพื่อลดต้นทุนในการผลิตอาหารสัตว์ของไทย และเมื่อ อคส. จัดทำแผนการจัดซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เสร็จแล้ว ให้แจ้งจังหวัดเพื่อประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรในพื้นที่ทราบ โดยการจัดทำแผนการจัดซื้อและการดำเนินการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ดังกล่าว ให้พิจารณาดำเนินการอย่างรอบคอบ โดยรับฟังความคิดเห็นจากผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องให้ครบถ้วนเพื่อใช้ประกอบการพิจารณาดำเนินการ นอกจากนี้ ควรติดตามผลการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากต่างประเทศอย่างใกล้ชิด เพื่อให้สามารถบริหารจัดการราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศไม่ให้ตกต่ำ รวมทั้งมีมาตรการเข้มงวดต่อการลักลอบนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์อย่างผิดกฎหมายของประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบกับเกษตรกรภายในประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
900 | การปรับปรุงค่าตอบแทนข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ (ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา) | ศธ | 22/10/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานกรรมการ ในการประชุมครั้งที่ ๑๔/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๕๕ ดังนี้
๑. เห็นชอบการปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุตามคุณวุฒิการศึกษาของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕ ๒. เห็นชอบการปรับเงินเดือนชดเชยผู้ได้รับผลกระทบจากการปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุใหม่ โดยให้มีผลใช้บังคับพร้อมกับการปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุด้วย ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕ ๓. เห็นชอบหลักเกณฑ์และวิธีการกำหนดอัตราเงินเดือนสำหรับคุณวุฒิที่คณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) รับรอง เพื่อการบรรจุและแต่งตั้งเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา |