ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 44 จากทั้งหมด 252 หน้า แสดงรายการที่ 861 - 880 จากข้อมูลทั้งหมด 5030 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
861 | การดำเนินการโครงการก่อสร้างระบบจำหน่ายด้วยสายเคเบิลใต้น้ำไปยังเกาะต่าง ๆ ที่มีไฟฟ้าใช้แล้ว (เกาะมุกด์ เกาะสุกร และเกาะลิบง จังหวัดตรัง) | มท | 05/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๕ (ฝ่ายการเกษตร และการท่องเที่ยว) ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๕ ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายชุมพล ศิลปอาชา) ในขณะนั้น เป็นประธานกรรมการ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ผ่อนผันการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ และเห็นชอบการขอผ่อนผันการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๓๔ วันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๔๓ และวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๔๓ เรื่อง ป่าชายเลนในการดำเนินการโครงการก่อสร้างระบบจำหน่ายด้วยสายเคเบิลใต้น้ำไปยังเกาะต่าง ๆ ที่มีไฟฟ้าใช้แล้ว (เกาะมุกด์ เกาะสุกร และเกาะลิบง จังหวัดตรัง) ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่ได้รับบริการด้านสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานที่จะช่วยให้ประชาชนได้รับประโยชน์จากการมีไฟฟ้าใช้และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ ๒. ให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคดำเนินการมาตรการลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามรายงานการศึกษาวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (Initial Environmental Examination : IEE) อย่างเคร่งครัด เพื่อมิให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทางทะเล โดยเฉพาะแหล่งหญ้าทะเล รวมทั้งระบบนิเวศป่าชายเลนในพื้นที่ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
862 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการวางหลักทรัพย์ จำนวนและมูลค่าของหลักทรัพย์ และกำหนดอัตราค่าใช้จ่ายเบื้องต้นที่ผู้ได้รับใบอนุญาต ประกอบการขนส่งจะต้องรับผิดชอบเนื่องจากการขนส่ง พ.ศ. .... | คค | 05/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ที่เห็นชอบและอนุมัติในหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการวางหลักทรัพย์ จำนวนและมูลค่าของหลักทรัพย์ และกำหนดอัตราค่าใช้จ่ายเบื้องต้นที่ผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบการขนส่งต้องรับผิดชอบ พ.ศ. .... ของกระทรวงคมนาคม ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. กำหนดให้ยกเลิกกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔๖ (พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ ๒. กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและระยะเวลาการยื่นคำขอวางหลักทรัพย์สำหรับการชดใช้ค่าเสียหายที่เป็นค่าใช้จ่ายเบื้องต้นสำหรับประกันความเสียหายอันเกิดแก่ชีวิตหรือร่างกายของบุคคลภายนอกตามแบบที่กรมการขนส่งทางบกกำหนดต่อนายทะเบียน กรณีวางหลักทรัพย์เป็นเงินสดหรือพันธบัตรรัฐบาลไทยหรือทั้งสองอย่างรวมกันให้ยื่นต่อนายทะเบียนผู้ออกใบอนุญาตประกอบการขนส่ง กรณีวางหลักทรัพย์เป็นสัญญาประกันภัยและกรมธรรม์ประกันภัยให้ยื่นต่อนายทะเบียนผู้รับดำเนินการทางทะเบียน ๓. กำหนดจำนวนหรือมูลค่าของหลักทรัพย์ โดยผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบการขนส่งประจำทาง ผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบการขนส่งไม่ประจำทาง และผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบการขนส่งส่วนบุคคล ต้องวางหลักทรัพย์มีจำนวนหรือมูลค่าสามหมื่นห้าพันบาทสำหรับรถคันที่หนึ่ง และคันละห้าร้อยบาทสำหรับรถคันต่อ ๆ ไป แต่เมื่อรวมกันแล้วทั้งหมดไม่เกินสามแสนบาท ส่วนผู้ได้รับอนุญาตประกอบการขนส่งโดยรถขนาดเล็กต้องวางหลักทรัพย์มีจำนวนหรือมูลค่าสามหมื่นห้าพันบาทสำหรับรถคันที่หนึ่ง และคันละสองร้อยบาทสำหรับรถคันต่อ ๆ ไป แต่เมื่อรวมกันแล้วทั้งหมดไม่เกินสองแสนบาท ๔. กำหนดให้ในกรณีที่ผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบการขนส่งใช้สัญญาประกันภัยและกรมธรรม์ประกันภัยวางเป็นหลักทรัพย์สัญญาประกันภัยและกรมธรรม์ประกันภัยต้องมีระยะเวลาความคุ้มครองสิ้นสุดอย่างน้อยในวันสิ้นอายุภาษีประจำปีของปีถัดไป และจำนวนเงินเอาประกันภัยสำหรับความเสียหายแก่ชีวิตและร่างกายของบุคคลภายนอกเนื่องจากการขนส่งโดยรถของตนแต่ละครั้งอย่างน้อยต้องไม่ต่ำกว่าจำนวนเงินที่กำหนดไว้ตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ ๕. กำหนดค่าใช้จ่ายเบื้องต้นที่ผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบการขนส่งจะต้องจ่ายให้แก่ผู้เสียหาย หรือทายาทในกรณีวางหลักทรัพย์เป็นเงินสดหรือพันธบัตรรัฐบาลไทย หรือทั้งสองอย่างรวมกัน โดยผู้เสียหายมิได้ถึงแก่ความตาย ให้จ่ายค่ารักษาพยาบาลรวมทั้งค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ระหว่างการรักษาพยาบาลตามจำนวนเงินที่ผู้เสียหายได้แสดงหลักฐานการใช้จ่ายไปจริง แต่ไม่เกินหนึ่งหมื่นห้าพันบาท ส่วนผู้เสียหายถึงแก่ความตายในทันที ให้จ่ายค่าปลงศพแก่ทายาทจำนวนสามหมื่นห้าพันบาท สำหรับผู้เสียหายมิได้ถึงแก่ความตายในทันที ให้จ่ายค่ารักษาพยาบาล รวมทั้งค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ระหว่างการรักษาพยาบาลตามจำนวนเงินที่ผู้เสียหายได้แสดงหลักฐานการใช้จ่ายไปจริง แต่ไม่เกินหนึ่งหมื่นห้าพันบาท และค่าปลงศพจำนวนสามหมื่นห้าพันบาท ทั้งนี้ การวางหลักทรัพย์เป็นสัญญาประกันภัยและกรมธรรม์ประกันภัย ค่าใช้จ่ายเบื้องต้นให้เป็นไปตามความคุ้มครองที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
863 | ขออนุมัติดำเนินโครงการควบคุมและกำจัดศัตรูมะพร้าว (หนอนหัวดำ) แบบครอบคลุมพื้นที่ | กษ | 05/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้ดำเนินโครงการควบคุมและกำจัดศัตรูมะพร้าว (หนอนหัวดำ) แบบครอบคลุมพื้นที่ เพื่อกำจัดศัตรูมะพร้าว (หนอนหัวดำ) โดยมีวัตถุประสงค์ของโครงการฯ เพื่อตัดวงจรการระบาด ลดความรุนแรงและผลกระทบต่อผลผลิตจากการทำลายของหนอนหัวดำและควบคุมไม่ให้แพร่กระจายไปยังพื้นที่ที่ไม่มีการระบาด และเพื่อสร้างความเข้มแข็งด้านการควบคุมและกำจัดหนอนหัวดำให้กับเกษตรกรในพื้นที่ระบาดโดยผ่านกลไกศูนย์จัดการศัตรูพืชชุมชน เป้าหมายการดำเนินงาน จังหวัดที่มีพื้นที่การระบาดของหนอนหัวดำ ๑๕ จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี ราชบุรี สมุทรสาคร ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง สมุทรปราการ นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี และภูเก็ต ทั้งนี้ ระยะเวลาดำเนินโครงการฯ ตั้งแต่เดือนธันวาคม ๒๕๕๕ ถึงเดือนกันยายน ๒๕๕๖ ๑.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณากำหนดมาตรการในการกำกับดูแลและควบคุมการใช้สารเคมีให้ชัดเจนและรัดกุม พร้อมทั้งสนับสนุนการใช้ศัตรูธรรมชาติควบคู่กันไป เพื่อสร้างความยั่งยืนในการแก้ปัญหาสารเคมีตกค้างในมะพร้าว ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ และให้รายงานผลการดำเนินงานต่อคณะรัฐมนตรีอย่างต่อเนื่อง ๒. สำหรับงบประมาณค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ในวงเงิน ๒๑,๑๒๐,๐๐๐ บาท เพื่อใช้ในการควบคุมและกำจัดศัตรูมะพร้าว โดยใช้ศัตรูธรรมชาติควบคุมหนอนหัวดำ โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ขอทำความตกลงในรายละเอียดงบประมาณกับสำนักงบประมาณต่อไป สำหรับวงเงินส่วนที่เหลือในส่วนที่เป็นค่าใช้จ่ายในการฉีดสารเคมีเข้าลำต้นกำจัดหนอนหัวดำ จำนวน ๓๖๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท หากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เห็นว่ายังมีความจำเป็นต้องใช้สารเคมีฉีดเข้าลำต้น ก็เห็นควรให้มีการจัดทำประชาพิจารณ์เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากหน่วยงานทางวิชาการที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรม รวมทั้งเกษตรกรชาวสวนมะพร้าวเพื่อพิจารณาถึงผลดี ผลเสีย และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นให้ได้ข้อยุติก่อน ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
864 | ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานของสำนักงานเลขานุการเครือข่ายมหาวิทยาลัยอาเซียน พ.ศ. .... | ศธ | 05/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ที่เห็นชอบในหลักการร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานของสำนักงานเลขานุการเครือข่ายมหาวิทยาลัยอาเซียน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้จัดตั้งสำนักงานเลขานุการเครือข่ายมหาวิทยาลัยอาเซียน โดยให้กระทรวงศึกษาธิการปรับปรุงร่างพระราชบัญญัติฯ โดยตัดมาตรา ๕ มาตรา ๖ (๑) (๒) ที่ระบุเอกสิทธิ์ด้านการยกเว้นภาษีอากร และมาตรา ๖ (๓) ที่ระบุให้ยกเว้นการปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนคนต่างด้าว ออก เนื่องจากการยกเว้นดังกล่าวอยู่นอกเหนือข้อผูกพันตามกฎบัตรเครือข่ายมหาวิทยาลัยอาเซียน และนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ๒. ให้ส่งร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานของสำนักงานเลขานุการเครือข่ายมหาวิทยาลัยอาเซียน พ.ศ. .... ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาให้สอดคล้องกับกฎบัตรเครือข่ายมหาวิทยาลัยอาเซียน โดยให้ตัดมาตรา ๕ มาตรา ๖ (๑) (๒) และ (๓) ออก แล้วเสนอคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
865 | การขอปรับปรุงสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลของ กฟผ. | พน | 05/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการปรับปรุงสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) โดยให้มีผลใช้บังคับเมื่อคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแล้ว ตามมติคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (ครส.) ในการประชุมครั้งที่ ๑๐/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การตรวจมะเร็งเต้านม โดยการทำ Mammogram และการ Ultrasound ในรายการตรวจสุขภาพประจำปี สำหรับผู้ปฏิบัติงานที่มีอายุ ๔๐ ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ในวงเงินเท่าที่จ่ายจริงไม่เกินครั้งละ ๑,๗๐๐ บาท โดยผู้ที่อายุ ๔๐ ปีบริบูรณ์ขึ้นไป แต่ยังไม่ครบ ๕๐ ปี ให้ได้รับการตรวจทุก ๑ ปี ส่วนผู้ที่อายุ ๕๐ ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ให้ได้รับการตรวจทุก ๒ ปี ยกเว้นกรณีมีข้อบ่งชี้ให้ตรวจทุกปี ๑.๒ การเบิกค่ารักษาพยาบาลประเภทผู้ป่วยนอกของโรงพยาบาลและคลินิกเอกชน สำหรับผู้ปฏิบัติงาน คู่สมรส บุตร และบิดามารดา ได้เท่าที่จ่ายจริงไม่เกินครั้งละ ๑,๐๐๐ บาท แต่รวมกันไม่เกินปีละ ๓,๖๐๐ บาท ๒. ให้กระทรวงพลังงาน กระทรวงแรงงาน และ ครส. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการปรับปรุงสวัสดิการการตรวจมะเร็งเต้านมโดยการทำ Mammogram และการ Ultrasound ในรายการตรวจสุขภาพประจำปี ควรกำหนดเป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งค่าตรวจและเงื่อนไขการตรวจสำหรับหน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจ ส่วนการปรับปรุงสภาพการจ้างเกี่ยวกับการเบิกค่ารักษาพยาบาลประเภทผู้ป่วยนอกของสถานพยาบาลและคลินิกเอกชน จะต้องตรวจสอบการเบิกจ่ายเงินดังกล่าวและบริหารจัดการลดค่าใช้จ่ายในส่วนที่ควบคุมได้ รวมทั้งมีแนวทางในการเพิ่มรายได้เพื่อให้ครอบคลุมรายจ่ายที่เพิ่มขึ้น โดยอาจพิจารณากำหนดเป็นเงื่อนไขให้คงสัดส่วนของรายจ่ายด้านบุคลากรต่อรายได้ให้คงอยู่ในอัตราเดิม และในกรณีผู้มีอายุก่อน ๔๐ ปี ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่มีข้อบ่งชี้ที่มีประวัติญาติสายตรงเป็นมะเร็งเต้านมก็ควรให้ทำการตรวจ Mammogram นอกจากนี้ ให้ ครส. พิจารณาการปรับเพิ่มสวัสดิการเกี่ยวกับการตรวจสุขภาพดังกล่าวให้เป็นธรรมแก่ทุกรัฐวิสาหกิจ โดยเพิ่มเติมรายการการตรวจ Mammogram ไว้ในรายการตรวจสุขภาพประจำปี ทั้งนี้ ให้พิจารณาความสามารถในการจ่ายของแต่ละรัฐวิสาหกิจประกอบด้วย และให้ กฟผ. ระบุไว้ในเงื่อนไขการเบิกค่ารักษาพยาบาลประเภทผู้ป่วยนอกของโรงพยาบาลและคลินิกเอกชนให้ชัดเจน เพื่อให้สามารถเบิกได้เฉพาะในกรณีเจ็บป่วยกะทันหัน และ/หรือ ไม่มีสถานพยาบาลของราชการอยู่ใกล้เท่านั้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
866 | การปรับปรุงกรอบวงเงินลงทุนของแผนพัฒนาระบบไฟฟ้าในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 (พ.ศ. 2550 - 2554) ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค | มท | 05/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบการปรับปรุงกรอบวงเงินลงทุนของแผนพัฒนาระบบไฟฟ้า ในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๐ (พ.ศ. ๒๕๕๐-๒๕๕๔) ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) จากเงินลงทุนเดิม จำนวน ๖๗,๑๒๐.๐๐ ล้านบาท เป็น จำนวน ๙๐,๙๘๒.๔๑ ล้านบาท ประกอบด้วย การลงทุนของ กฟภ. จำนวน ๘๙,๖๒๒.๙๑ ล้านบาท และการลงทุนด้านการพัฒนาพลังงานทดแทนของบริษัท พีอีเอ เอ็นคอม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ในกรอบวงเงิน ๑,๓๕๙.๕๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ๒. ให้ กฟภ. รับข้อสังเกตของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการปรับเลื่อนโครงการ/แผนงานของ กฟภ. ที่อยู่ระหว่างการศึกษาความเหมาะสม จำนวน ๒ โครงการ/แผนงาน ได้แก่ โครงการเพิ่มประสิทธิภาพระบบศูนย์สั่งจ่ายไฟ และแผนงานการจ่ายไฟด้วยพลังงานทดแทนบนอาคารสำนักงาน และแผนงานติดตั้งโคมไฟถนน รวมทั้งแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาและลงทุนด้านพลังงานหมุนเวียน ๕ ปี ของบริษัท พีอีเอฯ ซึ่งมีแผนที่จะลงทุนในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๙ ไปรวมในแผนพัฒนาระบบไฟฟ้า ในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๙ และพิจารณาวางแผนการลงทุนให้มีความสอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาประเทศตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจฯ ที่ให้ความสำคัญกับประเด็นทางด้านสิ่งแวดล้อม ชุมชน และการพัฒนาประเทศบนเส้นทางสีเขียว (Green Growth) และการสนับสนุนด้านการวิจัยและพัฒนาเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยในระยะยาว การจัดหาแหล่งเงินทุน โดยพิจารณาทางเลือกในการลงทุนอื่นนอกเหนือจากการกู้เงินเพื่อการลงทุนตามขั้นตอนปกติ เช่น การระดมเงินทุนจากภาคเอกชน และการระดมทุนผ่านกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) เป็นต้น เพื่อลดสัดส่วนหนี้สาธารณะของประเทศ การกำกับดูแลการดำเนินงานของบริษัท พีอีเอฯ ในเรื่องการร่วมทุน โดยให้กระทรวงการคลังเป็นผู้กำกับดูแลตามหลักเกณฑ์การจัดตั้ง/ร่วมทุนและกำกับดูแลบริษัทในเครือของรัฐวิสาหกิจ รวมทั้งกฎหมายและระเบียบอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การดำเนินงานร่วมทุนของบริษัทเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ การทบทวนแผนการลงทุนเพื่อพัฒนาระบบไฟฟ้าในช่วงครึ่งระยะเวลาดำเนินการตามแผนพัฒนาระบบไฟฟ้าฯ (Midterm Review) เพื่อให้มีความสอดคล้องและทันกับสถานการณ์การลงทุนในช่วงเวลานั้น ๆ การให้ความสำคัญในการติดตามประเมินผลการลงทุนโครงการต่าง ๆ และหาแนวทางการแก้ปัญหาที่เป็นอุปสรรคในการดำเนินโครงการในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งทำให้การดำเนินโครงการมีความล่าช้า โดยเฉพาะโครงการที่มีวงเงินลงทุนสูง เพื่อให้สามารถวางแผนและดำเนินการลงทุนตามแผนพัฒนาระบบไฟฟ้าในระยะต่อไปได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
867 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2556 | ทส | 27/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๗ มกราคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ปรับปรุงเพิ่มเติมข้อความ นิยาม “อุตสาหกรรมเหล็ก หรือเหล็กกล้า” ในประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดประเภทและขนาดของโครงการหรือกิจการซึ่งต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม และหลักเกณฑ์ วิธีการ ระเบียบปฏิบัติ และแนวทางการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และมอบให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจัดทำประกาศกระทรวงฯ ให้สอดคล้องกับการแก้ไขเพิ่มเติมบทนิยามดังกล่าว พร้อมกับให้นำเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณาลงนามต่อไป ๒. เห็นชอบความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านการพัฒนาโครงการของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมกับเอกชน ต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการโรงไฟฟ้าพระนครเหนือ ชุดที่ ๒ ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี โดยให้ กฟผ. ดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด ตามที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมฯ รวมทั้งให้นำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณา ตามมาตรา ๔๗ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
868 | ขอขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าลำตะคองชลภาวัฒนา เครื่องที่ 3 - 4 | พน | 27/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ซึ่งเห็นชอบการขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าลำตะคองชลภาวัฒนา เครื่องที่ ๓-๔ จากเดิม กำหนดแล้วเสร็จประมาณเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๔๕ เป็น กำหนดดำเนินงานตั้งแต่เดือนเมษายน ๒๕๕๗-กันยายน ๒๕๖๐ โดยใช้กรอบวงเงินเดิมที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยเคยได้รับอนุมัติโครงการฯ สำหรับเครื่องที่ ๑-๒ และเครื่องที่ ๓-๔ ไปแล้ว เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๗ จำนวน ๒๑,๘๐๐ ล้านบาท เพื่อเสริมความมั่นคงของระบบไฟฟ้าในช่วงที่มีความต้องการไฟฟ้าสูง (Peak Period) ตามข้อเสนอของกระทรวงพลังงาน ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
869 | แผนพัฒนาจังหวัด แผนพัฒนากลุ่มจังหวัด 4 ปี (พ.ศ. 2557 - 2560) | นร12 | 27/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการแผนพัฒนาจังหวัด จำนวน ๗๖ จังหวัด ที่มุ่งการพัฒนาจังหวัดแบบองค์รวมที่ครอบคลุมทุกมิติ ในด้านเศรษฐกิจ สังคม ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมและความมั่นคง เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต สร้างโอกาสและอาชีพซึ่งตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนในจังหวัด และแผนพัฒนากลุ่มจังหวัด ๔ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๐) จำนวน ๑๘ กลุ่มจังหวัด ที่มุ่งเน้นการพัฒนาด้านเศรษฐกิจและสังคมเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของกลุ่มจังหวัดและนำไปสู่การกระตุ้นให้เกิดการลงทุนของภาคเอกชนและสร้างรายได้ให้กลุ่มจังหวัด ตามมติคณะกรรมการนโยบายการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ (ก.น.จ.) ในการประชุมเมื่อวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ตามที่เลขาธิการ ก.พ.ร. กรรมการและเลขานุการ ก.น.จ. เสนอ ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้จังหวัดและกลุ่มจังหวัดประสานกับส่วนราชการต่าง ๆ เพื่อนำข้อมูลโครงการภายใต้แผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัดและกลุ่มจังหวัดไปประกอบการพิจารณาในการจัดทำคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ของส่วนราชการ ไปดำเนินการด้วย และให้สำนักงาน ก.พ.ร. ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาทบทวนและเร่งปรับแผนพัฒนาจังหวัดและแผนพัฒนากลุ่มจังหวัดให้เชื่อมโยงและสอดคล้องกับแผนการบริหารจัดการน้ำที่ได้ดำเนินการตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ และแผนเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง ที่ได้ดำเนินการตามพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง พ.ศ. .... เมื่อได้มีการดำเนินการตามกฎหมายดังกล่าวแล้ว รวมทั้งให้สอดคล้องกับแผนการกำหนดเขตสินค้าเกษตร (Zoning) ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบอีกครั้งหนึ่ง |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
870 | มติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 5 พ.ศ. 2555 เรื่อง การจัดการปัญหาหมอกควันที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ | สช | 19/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบมติคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) ประธานกรรมการสุขภาพแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบต่อมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ ๕ เรื่อง การแก้ปัญหาหมอกควันที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ โดยให้นำมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษจากหมอกควันภาคเหนือตอนบนปี ๒๕๕๖ และการดำเนินการตามมาตรการป้องกันไฟป่าและหมอกควันประจำปี ๒๕๕๖ เพิ่มเติม ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ มกราคม ๒๕๕๖ และ ๒๑ มกราคม ๒๕๕๖ พิจารณาประกอบเพื่อให้สอดคล้องกัน และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการต่อไป ๑.๒ รับทราบการประสานความร่วมมือด้านงบประมาณของรองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (นายประดิษฐ สินธวณรงค์) กับสำนักงานกองทุนสิ่งแวดล้อม และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ในการจัดการปัญหาหมอกควันที่รัฐบาลกำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้ ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับมติคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๕๖ ไปพิจารณาตามอำนาจหน้าที่ ภายใต้กฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และให้รับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่เห็นควรสร้างแนวกันไฟโดยปลูกพืชที่เหมาะสม เช่น พืชที่อุ้มน้ำมาก ๆ เพื่อลดความรุนแรงของไฟป่า การถ่ายทอดองค์ความรู้ทางด้านสุขภาพทั้งการป้องกันปัญหาทางสุขภาพที่เกิดจากหมอกควันและการรักษาเมื่อเกิดปัญหาทางสุขภาพที่เกิดจากหมอกควัน การสำรวจและวิจัยอย่างเร่งด่วนเพื่อให้ทราบข้อมูลสาเหตุปัญหาที่แท้จริงในระดับพื้นที่ และการประสานความร่วมมือกับท้องถิ่นซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบดูแลระดับพื้นที่ที่ประสบปัญหาและมีความสามารถในการสร้างความมีส่วนร่วมและเป็นที่ยอมรับของชุมชนเพื่อให้เกิดการจัดการปัญหาไฟป่าและหมอกควันที่ยั่งยืน สำหรับมาตรการลดการเผาและการไม่ให้มีการเผา โดยเน้นการควบคุมปราบปรามอย่างเข้มงวด อาจกระทบต่อบางพื้นที่และป่าบางประเภทที่มีความจำเป็นต้องใช้วิธี “ชิงเผา” เพื่อกำจัดเชื้อเพลิงและป้องกันการลุกลามของไฟป่าอย่างรุนแรง จึงเห็นควรมุ่งเน้นการบริหารจัดการช่วงเวลาในการเผา และวิธีการใช้ไฟให้สอดคล้องกับระบบนิเวศน์ของแต่ละพื้นที่ รวมทั้งควรเร่งศึกษาวิจัยนวัตกรรมทางเทคโนโลยีทดแทนการเผาที่มีประสิทธิภาพมากกว่า เพื่อชักจูงให้เกษตรกรมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างสมัครใจ ไปประกอบการพิจารณาต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
871 | การขับเคลื่อนการพัฒนาตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง | นร01 | 19/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการขับเคลื่อนการพัฒนาตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ตามมติคณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๕๖ และครั้งที่ ๒/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีดำเนินการ ๑.๑ บริหารจัดการงานโครงการเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับชุมชนตามวัตถุประสงค์เดิมที่ได้รับจัดสรรงบประมาณไปยังหมู่บ้าน/ชุมชน แต่ยังดำเนินการไม่แล้วเสร็จ ทั้งเรื่องการเปลี่ยนแปลงโครงการ การแก้ไขปัญหาเรื่องร้องเรียน และอื่นๆ โดยใช้ระเบียบคณะกรรมการบริหารโครงการเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับชุมชนว่าด้วยแนวทางการบริหารโครงการเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับชุมชน พ.ศ. ๒๕๕๓ เป็นแนวทางดำเนินงานให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ๑.๒ ดำเนินการตรวจสอบติดตามเงินคงค้างในบัญชีของหมู่บ้าน/ชุมชน ที่อยู่ในบัญชีที่สาขาของธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ทั่วประเทศ ตามโครงการพัฒนาศักยภาพของหมู่บ้าน/ชุมชน (SML) ปี พ.ศ. ๒๕๔๘ โครงการพัฒนาหมู่บ้าน/ชุมชนตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง (พพพ.) โครงการพัฒนาศักยภาพของหมู่บ้านและชุมชน (SML) ตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ปี พ.ศ. ๒๕๕๑ และโครงการเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับชุมชน หากหมดความจำเป็น ให้ดึงเงินจากบัญชีเหล่านั้น นำส่งคืนคลังเป็นรายได้แผ่นดินต่อไป ๑.๓ โครงการที่หมู่บ้าน/ชุมชนที่ได้ทำประชาคมเสนอโครงการและผ่านการพิจารณาอนุมัติโครงการและงบประมาณจากคณะอนุกรรมการกลั่นกรองโครงการระดับจังหวัด ก่อนสิ้นสุดวาระ (วันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๕๔ ซึ่งเป็นวันที่รัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภา) จำนวน ๒,๐๑๓ หมู่บ้าน/ชุมชน ๒,๕๔๑ โครงการ เงินงบประมาณ ๖๒๘,๕๐๓,๙๕๘ บาท ซึ่งเห็นว่าผ่านกระบวนการและขั้นตอนต่างๆ ครบถ้วนแล้ว เพียงแต่ยังไม่ได้จัดสรรโอนเงินเข้าบัญชีให้แก่หมู่บ้าน/ชุมชน เนื่องจากต้องตรวจสอบข้อมูลให้ครบถ้วน ถูกต้อง ก่อนการโอนเงิน เห็นควรนำโครงการดังกล่าวพิจารณากลั่นกรองความเหมาะสมอีกครั้งหนึ่งโดยคณะกรรมการ/คณะอนุกรรมการที่จะจัดตั้งขึ้น เพื่อดำเนินโครงการขับเคลื่อนการพัฒนาตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวทางที่ปรับปรุงใหม่ ๒. เห็นชอบสนับสนุนโครงการปลูกป่า สร้างคน บนวิถีพอเพียง รักษาต้นน้ำ บรรเทาอุทกภัย ของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ ในวงเงินงบประมาณ ๑,๐๑๙,๒๗๕,๔๐๐ บาท ระยะเวลาดำเนินการ ๕ ปี ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๐ และให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีนำเงินงบประมาณที่เหลือจากโครงการเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับชุมชนที่มีอยู่เดิมสนับสนุนโครงการดังกล่าว ซึ่งมีแผนดำเนินการต่อเนื่อง ๕ ปี โดยจัดสรรเป็นรายปี ปีแรกสนับสนุนงบประมาณ ๑๔๔,๒๓๕,๐๐๐ บาท สำหรับปีต่อไปให้จัดทำแผนงาน/กิจกรรมเพื่อขอรับการสนับสนุนเป็นรายปีต่อเนื่องจนครบ ๕ ปี ๓. เห็นชอบให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารโครงการขับเคลื่อนการพัฒนาตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โดยมีรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) เป็นประธาน ทำหน้าที่บริหารโครงการขับเคลื่อนการพัฒนาตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง โดยนำเงินงบประมาณที่เหลือจากโครงการเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับชุมชนที่มีอยู่เดิมมาบริหารจัดการ และปรับเปลี่ยนการดำเนินงานของโครงการดังกล่าวให้ขยายวัตถุประสงค์ไปดำเนินงานสนับสนุนโครงการตามแนวพระราชดำริ และโครงการตามนโยบายของรัฐบาล เช่น สนับสนุนการปลูกพืชเกษตรที่เหมาะสมและเป็นการพัฒนาแบบบูรณาการการทำงานระหว่างหน่วยงานภาครัฐ องค์กรภาคเอกชน มูลนิธิ สมาคม สหกรณ์การเกษตร และภาคประชาชน โดยยึดพื้นที่และประชาชนเป็นหลัก เพื่อนำไปสู่การพัฒนาอย่างมีคุณภาพ สมดุล ยั่งยืน และมีภูมิคุ้มกันตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
872 | การร่วมทุนโครงการไฟฟ้าพลังน้ำน้ำเงี้ยบ 1 สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ของบริษัท กฟผ. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด | พน | 12/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ โดย ๑.๑ เห็นชอบการลงทุนของบริษัท กฟผ. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ในโครงการไฟฟ้าพลังน้ำน้ำเงี้ยบ ๑ พร้อมอนุมัติวงเงินการเบิกจ่ายงบประมาณลงทุนตามสัดส่วนการถือหุ้นร้อยละ ๓๐ จำนวน ๗๙ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ ๒,๔๓๘ ล้านบาท (อัตราแลกเปลี่ยน ๓๑ บาท ต่อ ๑ ดอลลาร์สหรัฐ) ๑.๒ เห็นชอบการร่วมทุนและอนุมัติให้จัดตั้งบริษัทร่วมทุนของโครงการไฟฟ้าพลังน้ำน้ำเงี้ยบ ๑ ในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ของบริษัท กฟผ. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ๑.๓ เห็นชอบให้สัญญาผู้ถือหุ้น (Shareholders Agreement) ที่ผ่านการตรวจพิจารณาจากสำนักงานอัยการสูงสุดแล้ว รวมทั้งเอกสารอื่นที่เกี่ยวข้องกับการร่วมทุนในโครงการไฟฟ้าพลังน้ำน้ำเงี้ยบ ๑ ใช้เงื่อนไขการระงับข้อพิพาทระหว่างคู่สัญญา โดยวิธีอนุญาโตตุลาการ ๒. ให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยและบริษัท กฟผ. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด จัดทำข้อมูลเกี่ยวกับการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีต่อไป ๓. ให้ บริษัท กฟผ. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เห็นควรมีการจัดทำแผนบริหารโครงการด้านการระบายน้ำที่เหมาะสม เนื่องจากการเก็บกักน้ำจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศทางน้ำ ทั้งบริเวณเหนือเขื่อนและใต้เขื่อน ซึ่งอาจมีผลทำให้คุณภาพน้ำเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงแรกที่มีการกักเก็บน้ำซึ่งระดับน้ำที่สูงเกิดภาวะน้ำนิ่งจะทำให้เกิดการหมักน้ำเสียของอินทรีย์วัตถุต่าง ๆ ส่งผลให้คุณภาพน้ำเสื่อมโทรมลงได้ และในกรณีลำน้ำใต้เขื่อนบางบริเวณอาจมีปริมาณน้ำเสีย หรือเกิดภาวะน้ำนิ่งทำให้เกิดภาวะน้ำเสียได้ หากมีการระบายลงสู่แหล่งน้ำต่าง ๆ เช่น แม่น้ำโขง อาจส่งผลกระทบต่อการใช้น้ำของประชาชนไทยในบริเวณนั้นได้ รวมทั้งต้องมีการติดตามตรวจสอบคุณภาพน้ำอย่างต่อเนื่อง เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการวางแผนจัดการคุณภาพน้ำ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
873 | รายงานผลการตรวจสอบงบการเงินของกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 และ 2553 | กษ | 05/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับรายงานผลการตรวจสอบงบการเงินของกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ และ ๒๕๕๓ ซึ่งผ่านการตรวจสอบและรับรองจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินแล้ว โดยถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามหลักเกณฑ์ในการจัดทำงบการเงิน และข้อเสนอแนะประกอบการสอบบัญชี ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ และ ๒๕๕๓ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้เสนอสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาทราบต่อไป สรุปได้ ดังนี้
๑. รายงานงบการเงินของกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๒ และ ๒๕๕๑ ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๒ และ ๒๕๕๑ ประกอบด้วย ๑.๑ สินทรัพย์หมุนเวียน ปี ๒๕๕๑ รวม ๕,๑๒๖,๐๘๘,๐๙๗.๔๗ บาท ปี ๒๕๕๒ รวม ๕,๒๓๖,๐๔๘,๓๓๖.๙๐ บาท ๑.๒ สินทรัพย์ไม่หมุนเวียน ปี ๒๕๕๑ รวม ๓,๕๙๒,๒๓๒,๙๒๓.๘๒ บาท ปี ๒๕๕๒ รวม ๓,๕๒๘,๘๑๐,๗๐๗.๔๒ บาท ๑.๓ รวมสินทรัพย์ ปี ๒๕๕๑ รวม ๘,๗๑๘,๓๒๑,๐๒๑.๒๙ บาท ปี ๒๕๕๒ รวม ๘,๗๖๔,๘๕๙,๐๔๔.๓๒ บาท ๑.๔ หนี้สินหมุนเวียน ปี ๒๕๕๑ รวม ๒,๒๐๐.๐๐ บาท ปี ๒๕๕๒ รวม ๑,๔๐๔.๐๐ บาท ๑.๕ รวมสินทรัพย์สุทธิ/ส่วนทุน ปี ๒๕๕๑ รวม ๘,๗๑๘,๓๑๘,๘๒๑.๒๙ บาท ปี ๒๕๕๒ รวม ๘,๗๖๔,๘๕๗,๖๔๐.๓๒ บาท ๒. รายงานงบการเงินของกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๓ และ ๒๕๕๒ ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๓ และ ๒๕๕๒ ประกอบด้วย ๒.๑ สินทรัพย์หมุนเวียน ปี ๒๕๕๒ รวม ๕,๒๓๖,๐๔๘,๓๓๖.๙๐ บาท ปี ๒๕๕๓ รวม ๕,๒๐๐,๗๙๒,๙๐๓.๓๕ บาท ๒.๒ สินทรัพย์ไม่หมุนเวียน ปี ๒๕๕๒ รวม ๓,๕๒๘,๘๑๐,๗๐๗.๔๒ บาท ปี ๒๕๕๓ รวม ๓,๕๙๐,๓๙๔,๗๓๔.๙๘ บาท ๒.๓ รวมสินทรัพย์ ปี ๒๕๕๒ รวม ๘,๗๖๔,๘๕๙,๐๔๔.๓๒ บาท ปี ๒๕๕๓ รวม ๘,๗๙๑,๑๘๗,๖๓๘.๓๓ บาท ๒.๔ หนี้สินหมุนเวียน ปี ๒๕๕๒ รวม ๑,๔๐๔.๐๐ บาท ปี ๒๕๕๓ รวม ๒,๓๔๐.๐๐ บาท ๒.๕ รวมสินทรัพย์สุทธิ/ส่วนทุน ปี ๒๕๕๒ รวม ๘,๗๖๔,๘๕๗,๖๔๐.๔๐ บาท ปี ๒๕๕๓ รวม ๘,๗๙๑,๑๘๕,๒๙๘.๓๓ บาท ๓. ข้อเสนอแนะประกอบการสอบบัญชีประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๒ และ ๒๕๕๓ โดยให้กองทุนสงเคราะห์เกษตรกรดำเนินการ ดังนี้ ๓.๑ รายได้ค้างรับ ให้แจ้งเรื่องการติดตามเงินกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร ให้สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อดำเนินการเร่งรัดและติดตามเงินรายได้ค้างรับดังกล่าวจากองค์การตลาดเพื่อเกษตรกรต่อไป ๓.๒ ลูกหนี้ระยะสั้น ให้เร่งรัดหน่วยงานที่ค้างชำระหนี้รีบดำเนินการนำเงินส่งคืนกองทุนฯ โดยเร็ว ในกรณีที่พบปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินงานหรือคาดว่าไม่สามารถชำระหนี้คืนเงินกองทุนฯ ได้ภายในกำหนดให้รายงานให้คณะกรรมการสงเคราะห์เกษตรกรทราบโดยด่วน ตามระเบียบคณะกรรมการสงเคราะห์เกษตรกร พ.ศ. ๒๕๔๘ ข้อ ๖.๒ (๑) และข้อ ๑๒ เพื่อกำหนดมาตรการในการเร่งรัดหนี้ต่อไป ๓.๓ ลูกหนี้ระยะยาว ซึ่งเป็นลูกหนี้ค้างชำระเป็นเวลานานเกินกว่า ๑๐ ปี ให้เร่งรัดหน่วยงานที่ค้างชำระหนี้รีบดำเนินการนำเงินส่งคืนกองทุนฯ โดยเร็ว ในกรณีที่พบปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินงานหรือคาดว่าไม่สามารถชำระหนี้คืนเงินกองทุนได้ภายในกำหนด ให้รายงานให้คณะกรรมการสงเคราะห์เกษตรกรทราบโดยด่วน ตามระเบียบคณะกรรมการสงเคราะห์เกษตรกร พ.ศ. ๒๕๔๘ ข้อ ๖.๒ (๑) และข้อ ๑๒ เพื่อกำหนดมาตรการในการเร่งรัดหนี้ต่อไป และขอให้เร่งรัดส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเจ้าของโครงการรีบดำเนินการยื่นเรื่องขอปิดโครงการพร้อมเอกสารตามมติคณะกรรมการสงเคราะห์เกษตรกรโดยด่วนเพื่อไม่ให้เป็นภาระต่อกองทุนฯ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
874 | ผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ครั้งที่ 11/2555 | นร11 | 05/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ครั้งที่ ๑๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๕๕ ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมเห็นชอบแผนงานการจัดทำยุทธศาสตร์และแผนงานบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ลุ่มน้ำตะวันออก ๙ จังหวัด เพื่อฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ ของคณะอนุกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์และบริหารทรัพยากรน้ำ ลุ่มน้ำตะวันออก ๙ จังหวัด เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ(อยอ.) และอนุมัติค่าใช้จ่ายเพื่อใช้ในการดำเนินการ จำนวน ๖.๕๓ ล้านบาท จากค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของสำนักงาน กยอ. โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ไปพลางก่อน ทั้งนี้ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจัดสรรงบประมาณและโอนเงินค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อเบิกจ่ายเงินงบประมาณแทนกันต่อไป ๒. ที่ประชุมรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการร่วมระดับสูงและคณะกรรมการประสานงานระหว่างไทย-เมียนมาร์ เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง ครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ โดยมีความเห็นเพิ่มเติมว่า ควรดำเนินกระบวนการเพื่อสร้างการยอมรับจากเมียนมาร์และนานาประเทศ และแสดงให้เห็นว่าประเทศไทยสามารถให้ความช่วยเหลือสนับสนุนการดำเนินโครงการของเมียนมาร์ให้บรรลุเป้าหมายได้ การให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบโครงข่ายถนนรองรับการพัฒนาโครงการ โดยแนวทางการลงทุนควรพิจารณาแหล่งเงินลงทุนในรูปแบบเงินกู้ระยะยาวจากแหล่งเงินทุนที่ได้รับประโยชน์จากการมีโครงการ การสนับสนุนความน่าเชื่อถือของเมียนมาร์ในการจัดหาแหล่งเงินทุนเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรองรับโครงการและให้เมียนมาร์ในฐานะเจ้าของโครงการเป็นผู้ตัดสินใจเลือกแหล่งเงินทุนหรือประเทศผู้ร่วมลงทุนในระยะยาว นอกจากนี้ ภาคเอกชนไทยควรให้ความสำคัญในการสร้างความเข้าใจกับภาคเอกชนเมียนมาร์ถึงผลการพัฒนาที่จะมีต่อการจ้างงาน การสร้างรายได้ และมูลค่าเพิ่มจากการให้บริการต่อเนื่องของโครงการ โดยการลงทุนในด้านต่างๆ ควรอยู่ในรูปของการร่วมทุนของทั้งสองฝ่าย รวมทั้งประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจถึงผลกระทบในวงกว้างของโครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง ๓. ที่ประชุมรับทราบผลการตรวจติดตามสถานการณ์น้ำในพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา สมุทรปราการ และชลบุรี ของ อยอ. ซึ่งผลการติดตามสถานการณ์ในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการพบว่า คลองประเวศบุรีรมย์ซึ่งเป็นคลองที่รับน้ำจากกรุงเทพฯ จังหวัดสมุทรปราการจะรับน้ำจากคลองดังกล่าวเข้าสู่ลำคลองสายหลักของจังหวัด ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เฝ้าระวังสถานการณ์น้ำอยู่ตลอด ๒๔ ชั่วโมง ส่วนพื้นที่คลองพระองค์ไชยานุชิตจากบริเวณสถานีสูบน้ำประเวศบุรีรมย์ถึงสถานีสูบน้ำชลหารพิจิตร ๑ และ ๒ เนื่องจากเป็นพื้นที่ปลายน้ำจึงมีวัชพืชลอยตามน้ำมาติดในพื้นที่คลองอยู่เสมอ รวมทั้งมีการบุกรุกพื้นที่คลองเพื่อสร้างที่อยู่อาศัยและปลูกพืชผักในลำคลอง ทำให้การระบายน้ำในบางช่วงยังไม่รวดเร็วเท่าที่ควร ๔. ที่ประชุมรับทราบความคืบหน้าการดำเนินงานเพื่อฟื้นฟูนิคมอุตสาหกรรม ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งผลการสำรวจสถานะผู้ประกอบการในนิคม/เขต/สวนอุตสาหกรรม ณ วันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๕๕ มีผู้ประกอบการเปิดดำเนินการเต็มกำลังการผลิต จำนวน ๔๗๐ ราย เปิดดำเนินการบางส่วน จำนวน ๒๑๗ ราย และยังไม่เปิดดำเนินการ ๑๕๒ ราย จากจำนวนผู้ประกอบการทั้งสิ้น ๘๓๙ ราย ๕. ที่ประชุมรับทราบมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เมื่อวันที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๕๕ ที่ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) ดำเนินการจัดทำแผนยุทธศาสตร์ความหลากหลายทางชีวภาพและปรับปรุงโครงการแม่บทประเทศไทย : การจัดระบบบัญชีรายการทรัพยากรพันธุกรรมที่ทรงคุณค่าการใช้ประโยชน์ และการจัดทำระบบฐานข้อมูลเพื่อการบริหารจัดการด้านการเก็บรักษา การปกป้องคุ้มครอง และการให้บริการของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้แล้วเสร็จภายใน ๑ เดือน ซึ่งหากกรอบงบประมาณไม่เปลี่ยนแปลงมากเกินไปกว่าที่ได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุม กยอ. ครั้งที่ ๘/๒๕๕๕ จำนวน ๓๐๐.๐๔ ล้านบาท ให้ดำเนินการนำเสนอคณะรัฐมนตรี ทั้งนี้ หากมากกว่ากรอบงบประมาณที่ได้รับความเห็นชอบ ให้ กยอ. ดำเนินการพิจารณาทบทวนตามขั้นตอนอีกครั้ง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
875 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2555 | ทส | 29/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ โดยที่ประชุมมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ขยายช่วงเวลาของกรอบทิศทางการสนับสนุนเงินกองทุนสิ่งแวดล้อมตามมาตรา ๒๓ (๔) แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ในช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔-๒๕๕๕ ออกไปอีกเป็นระยะเวลา ๑ ปี เพื่อใช้สำหรับเป็นกรอบทิศทางในการสนับสนุนเงินกองทุนสิ่งแวดล้อมในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติที่เห็นควรนำประเด็นการแก้ไขปัญหาการชะล้างพังทลายของดิน และการให้ความสำคัญกับประเด็นด้านนวัตกรรมและการส่งเสริมการวิจัยที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมไปพิจารณาปรับปรุงกรอบทิศทางฯ และดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ๒. เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมในบริเวณท้องที่ตำบลตลิ่งงาม ตำบลบ่อผุด ตำบลมะเร็ต ตำบลแม่น้ำ อำเภอเกาะสมุย และตำบลเกาะพะงัน ตำบลบ้านใต้ ตำบลเกาะเต่า อำเภอเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี พ.ศ. .... และให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนำร่างประกาศกระทรวงฯ เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบ ๓. เห็นชอบความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านคมนาคมของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมกับเอกชน ต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการศึกษาความเหมาะสมและสำรวจออกแบบเพื่อก่อสร้างเขื่อนกันทรายและคลื่น บริเวณปากร่องน้ำคลองท่าเสม็ด ตำบลสะพลี อำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร ของกรมเจ้าท่า โดยให้ดำเนินการตามมาตรการป้องกันแก้ไขและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการฯ และนำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณาต่อไป ๔. เห็นชอบความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านการพัฒนาโครงการของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมกับเอกชน ต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากขยะมูลฝอยประเภทโรงไฟฟ้าพลังความร้อนที่มีกำลังการผลิตไฟฟ้าตั้งแต่ ๑๐ เมกะวัตต์ขึ้นไป ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดนนทบุรี โดยให้ดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม ตามที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการฯ และนำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณาต่อไป ๕. เห็นชอบความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านคมนาคมของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมกับเอกชน ต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการระบบขนส่งทางรถไฟเชื่อมท่าอากาศยานกรุงเทพ-ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ช่วงพญาไท-บางซื่อ-ดอนเมือง) ของการรถไฟแห่งประเทศไทย เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีต่อไป โดยให้ดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการฯ และนำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป ๖. เห็นชอบความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านคมนาคมของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมกับเอกชน ต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางซื่อ-สามเสน ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) โดยให้ดำเนินการตามมาตรการที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการฯ และนำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณาต่อไป ๗. เห็นชอบความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านเหมืองแร่และอุตสาหกรรมถลุงหรือแต่งแร่ ต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูนเพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง ของนายสุรศักดิ์ เหมาะประสิทธิ์ คำขอประทานบัตรที่ ๓/๒๕๔๙ ตั้งอยู่ที่หมู่ที่ ๑๑ ตำบลบ่อทอง อำเภอทองแสนขันธ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาการขออนุมัติผ่อนผันการเข้าทำประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติประเภทป่าเพื่อการอนุรักษ์พื้นที่คุณภาพลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เพื่อการทำเหมืองแร่ ของคณะรัฐมนตรี โดยให้ผู้ขออนุญาตดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม ตามที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการฯ และให้กระทรวงอุตสาหกรรมโดยกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ นำมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเรื่องดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติต่อไป ทั้งนี้ กรณีที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เอ เพื่อดำเนินโครงการฯ ให้กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ กระทรวงอุตสาหกรรม และกรมป่าไม้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะหน่วยงานซึ่งมีอำนาจตามกฎหมายในการพิจารณาสั่งอนุญาตหรือต่ออายุใบอนุญาตนำมาตรการที่เสนอไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการฯ ไปกำหนดเป็นเงื่อนไขในการสั่งอนุญาตหรือต่ออายุใบอนุญาต โดยให้ถือว่าเป็นเงื่อนไขที่กำหนดตามกฎหมาย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
876 | ขออนุมัติเพิ่มเติมมติคณะรัฐมนตรีที่เห็นชอบและอนุมัติให้กรมเจ้าท่าดำเนินโครงการก่อสร้างท่าเทียบเรืออเนกประสงค์คลองใหญ่ จังหวัดตราด โดยอนุมัติยกเว้นการไม่ปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับพื้นที่ป่าชายเลนเพื่อกรมเจ้าท่าเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าชายเลน เป็นการถาวรในการก่อสร้างท่าเทียบเรืออเนกประสงค์คลองใหญ่ จังหวัดตราด | คค | 29/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) (เดิม) ในการประชุมครั้งที่ ๑๕/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๕ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้เพิ่มเติมมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๕๒ (เรื่อง ขอความเห็นชอบในหลักการโครงการก่อสร้างท่าเทียบเรืออเนกประสงค์คลองใหญ่จังหวัดตราด) ที่เห็นชอบในหลักการและอนุมัติให้กรมเจ้าท่าดำเนินโครงการท่าเทียบเรืออเนกประสงค์คลองใหญ่ จังหวัดตราด โดยอนุมัติให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๓๔ วันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๔๓ และวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๔๓ ที่ห้ามมิให้อนุญาตการใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าชายเลนในทุกกรณีฯ เพื่อกรมเจ้าท่าเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าชายเลน จำนวน ๑ ไร่ ๓ งาน ๖ ตารางวา ที่อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าสนอ่อน-ป่าคลองใหญ่-ป่าคลองมะขาม เพื่อใช้ประโยชน์ในการพัฒนาท่าเทียบเรืออเนกประสงค์คลองใหญ่ จังหวัดตราด เป็นการถาวร ๑.๒ ให้กระทรวงคมนาคมจัดทำรายงานการปฏิบัติตามมาตรการป้องกัน แก้ไข และติดตามผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการ ทั้งในระหว่างการก่อสร้างและเมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จ พร้อมทั้งกำหนดเงื่อนไขให้ผู้รับเหมาก่อสร้างและหน่วยงานผู้บริหารท่าเรือถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดต่อไป ๒. ในกรณีที่การดำเนินการโครงการใด ๆ ของหน่วยงานของรัฐ มีความจำเป็นต้องเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่า และจะต้องมีการปลูกป่าทดแทนเพื่อการอนุรักษ์หรือรักษาสภาพแวดล้อมของพื้นที่ด้วย ให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรร/อนุมัติงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการปลูกป่าทดแทนให้กับหน่วยงานของรัฐเจ้าของโครงการหรือหน่วยงานของรัฐที่เป็นผู้ดำเนินการปลูกป่าตามเงื่อนไขและหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติกำหนด โดยถือเป็นค่าใช้จ่ายส่วนหนึ่งของโครงการนั้น ๆ ด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
877 | ขอความเห็นชอบการดำเนินโครงการ 1 อำเภอ 1 ทุน รุ่นที่ 4 | ศธ | 21/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๕ (ฝ่ายสังคม) ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๕๖ ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) เป็นประธานกรรมการ ที่เห็นชอบการดำเนินโครงการ ๑ อำเภอ ๑ ทุน รุ่นที่ ๔ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของคณะกรรมการฯ เกี่ยวกับการดำเนินโครงการฯ ในกลุ่มเป้าหมายนักเรียนทุนประเภทที่ ๒ ที่เป็นนักเรียนที่มีผลการเรียนดี ไม่จำกัดรายได้ของครอบครัวและศึกษาในสาขาขาดแคลนเน้นด้านวิทยาศาสตร์ โดยพิจารณาเชื่อมโยงกับการดำเนินการของกองทุนเพื่อการศึกษา (กรอ.) ในการให้ทุนการศึกษาแบบต้องใช้คืนให้แก่นักศึกษาที่ศึกษาในสาขาที่เป็นความต้องการหลักต่อการพัฒนาประเทศ การสนับสนุนทุนการศึกษาสำหรับผู้เรียนดีทางด้านวิทยาศาสตร์ที่มีอยู่เพื่อให้การผลิตและพัฒนากำลังคนด้านวิทยาศาสตร์สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาประเทศและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน การกำหนดแนวทาง/มาตรการในการคัดเลือกหรือเตรียมความพร้อมนักเรียนที่มีศักยภาพให้สามารถเข้ารับการศึกษาจนสำเร็จหลักสูตรและสร้างแรงจูงใจให้นักเรียนทุนเข้าศึกษาต่อในประเทศมากขึ้น และจัดทำฐานข้อมูลการติดตามนักเรียนทุนและประเมินผลการดำเนินโครงการฯ อย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงาน ก.พ. สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการจัดสรรให้ผู้รับทุนไปศึกษาในแต่ละประเทศและสาขาวิชาควรคำนึงถึงโอกาสในการสำเร็จการศึกษาของผู้รับทุนเป็นสำคัญ และกำหนดสัดส่วนจำนวนนักเรียนที่จะไปศึกษาในแต่ละประเทศเพื่อให้การดูแลจัดการศึกษาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งจัดทำแผนรองรับการเข้าทำงานทั้งในภาครัฐและเอกชนสำหรับผู้รับทุนที่สำเร็จการศึกษาแล้ว เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย และให้กระทรวงศึกษาธิการได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ (เรื่อง การปรับปรุงแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ และมาตรการอื่นที่เกี่ยวข้อง) เป็นกรณีพิเศษเฉพาะรายด้วย ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้ ๓.๑ กระบวนการคัดเลือกผู้รับทุน ให้กระทรวงศึกษาธิการเริ่มคัดเลือกนักเรียนทุนจากนักเรียนที่เรียนอยู่ในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ หรือมัธยมศึกษาปีที่ ๕ เพื่อให้ผู้รับทุนมีเวลาเตรียมความพร้อมในเรื่องที่เกี่ยวข้องอย่างเพียงพอในการไปศึกษาในต่างประเทศ เช่น การใช้ภาษา การใช้ชีวิตในต่างประเทศ เป็นต้น ๓.๒ ให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ สำนักงาน ก.พ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดให้มีกิจกรรมเข้าค่ายเป็นระยะๆ เพื่ออบรมให้ผู้รับทุนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการศึกษาและการใช้ชีวิตในต่างประเทศปลูกฝังจิตสำนึกด้านคุณธรรม จริยธรรม ความกตัญญู ความรับผิดชอบต่อสังคม รวมทั้งให้มีความผูกพันกับภาครัฐ ตลอดจนรับฟังปัญหาของผู้รับทุนเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้ทันการณ์ ทั้งนี้ ในช่วงระหว่างการรับทุน หากผู้รับทุนต้องการหางานทำเพื่อให้มีรายได้ระหว่างเรียน ให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาจัดหางานให้ด้วย ๓.๓ เมื่อผู้รับทุนสำเร็จการศึกษาแล้ว ในระหว่างที่ยังไม่มีงานทำ ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาจัดหางานให้ทำชั่วคราวไปพลางก่อน |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
878 | การปรับปรุงระบบการบริหารโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง | กษ | 21/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้องค์การสวนยาง (อ.ส.ย.) เบิกจ่ายเงินกู้จากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ในวงเงิน ๕,๐๐๐ ล้านบาท เพื่อใช้ดำเนินโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง [ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๕๕ (เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาราคายางพารา)] ๑.๒ ให้ยกเว้นการค้ำประกันเงินกู้ของ อ.ส.ย. กับ ธ.ก.ส. เพื่อไม่ให้เป็นการซ้ำซ้อน เนื่องจากกระทรวงการคลังได้ค้ำประกันเงินกู้ระหว่าง ธ.ก.ส. กับสถาบันการเงินแหล่งเงินกู้แล้ว ๑.๓ ให้ อ.ส.ย. ส่งรายงานผลการดำเนินงานตามโครงการฯ [ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๕๕ (เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาราคายางพารา)] ให้คณะรัฐมนตรีประกอบการพิจารณาต่อไป ๒. ให้ ธ.ก.ส. สำรองจ่ายเงินกู้ให้แก่ อ.ส.ย. ไปก่อนตามแผนธุรกิจที่ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการบริหารโครงการแล้ว โดยชดเชยต้นทุนเงินให้ ธ.ก.ส. ในอัตรา FDR+1 เช่นเดียวกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๕๕ (เรื่อง การรักษาเสถียรภาพราคายาง) ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงบประมาณที่ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำกับและติดตามการดำเนินโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายางให้เหมาะสมและสอดคล้องกับภาวะตลาด เพื่อมิให้เกิดภาระงบประมาณในภาพรวมที่รัฐจะต้องชดเชยผลการขาดทุนจากการรับซื้อยางตามโครงการฯ ไปดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
879 | การกำหนดสินค้าและบริการควบคุมตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 | พณ | 21/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการกำหนดสินค้า จำนวน ๔๐ รายการ และบริการ จำนวน ๓ รายการ รวม ๔๓ รายการ ตามมติคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ เป็นสินค้าและบริการควบคุมในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ คงรายการสินค้าและบริการควบคุมเดิม จำนวน ๔๒ รายการ ๑.๑.๑ หมวดอาหาร จำนวน ๑๔ รายการ คือ กระเทียม ข้าวเปลือก ข้าวสาร ข้าวโพด มันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์ ไข่ไก่ สุกร เนื้อสุกร น้ำตาลทราย น้ำมันและไขมันที่ได้จากพืชหรือสัตว์ทั้งที่บริโภคได้หรือไม่ได้ ครีมเทียมข้นหวาน นมข้น นมคืนรูป นมแปลง ไขมัน นมผง นมสด แป้งสาลี อาหารในภาชนะบรรจุที่ปิดสนิท อาหารกึ่งสำเร็จรูปบรรจุภาชนะผนึก ๑.๑.๒ หมวดสินค้าอุปโภคบริโภคประจำวัน จำนวน ๓ รายการ คือ ผงซักฟอก ผ้าอนามัย กระดาษชำระ กระดาษเช็ดหน้า ๑.๑.๓ หมวดปัจจัยทางการเกษตร จำนวน ๙ รายการ คือ ปุ๋ย ยาป้องกันหรือกำจัดศัตรูพืชหรือโรคพืช หัวอาหารสัตว์ อาหารสัตว์ เครื่องสูบน้ำ รถไถนา รถเกี่ยวข้าว เครื่องวัดความชื้นข้าว เครื่องตรวจสอบคุณภาพข้าว เครื่องชั่งวัดอัตราส่วนร้อยละของแป้งในหัวมัน ๑.๑.๔ หมวดวัสดุก่อสร้าง จำนวน ๓ รายการ คือ ปูนซีเมนต์ เหล็กเส้น เหล็กโครงสร้างรูปพรรณ เหล็กแผ่น สายไฟฟ้า ๑.๑.๕ หมวดกระดาษและผลิตภัณฑ์ จำนวน ๓ รายการ คือ กระดาษทำลูกฟูก กระดาษเหนียว กระดาษพิมพ์และเขียน เยื่อกระดาษ ๑.๑.๖ หมวดบริภัณฑ์ขนส่ง จำนวน ๓ รายการ คือ แบตเตอรี่รถยนต์ ยางรถจักรยานยนต์ ยางรถยนต์ รถจักรยานยนต์ รถยนต์นั่ง รถยนต์บรรทุก ๑.๑.๗ หมวดผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม จำนวน ๓ รายการ คือ ก๊าซปิโตรเลียมเหลว น้ำมันเชื้อเพลิง เม็ดพลาสติก ๑.๑.๘ หมวดยารักษาโรค จำนวน ๑ รายการ คือ ยารักษาโรค ๑.๑.๙ หมวดอื่น ๆ จำนวน ๑ รายการ คือ เครื่องแบบนักเรียน ๑.๑.๑๐ หมวดบริการ จำนวน ๓ รายการ คือ การให้สิทธิในการเผยแพร่งานลิขสิทธิ์เพลงเพื่อการค้า บริการรับฝากสินค้าหรือบริการให้เช่าสถานที่เก็บสินค้า บริการทางการเกษตร (ค่าจ้าง เก็บเกี่ยวข้าวและผลผลิตทางการเกษตรอื่น ๆ ค่าจ้างนวดข้าว ค่าจ้างสีข้าว เป็นต้น) ๑.๒ เพิ่มรายการสินค้าควบคุม จำนวน ๑ รายการ คือ ผลปาล์มน้ำมัน (เป็นรายการที่ ๔๓) ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับกรณีที่สถานการณ์ทางเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเกษตรกร กระทรวงพาณิชย์ควรพิจารณาทบทวนประกาศดังกล่าว ให้มีความเหมาะสมและเป็นธรรมต่อเกษตรกรต่อไป และควรให้ความสำคัญกับการติดตามสถานการณ์ราคาสินค้าและบริการอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะรายการสินค้าและบริการที่มีการควบคุม ซึ่งมีความผันผวนด้านราคาและปริมาณสูง เพื่อให้สามารถกำหนดมาตรการรองรับในการแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้น รวมทั้งเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ให้ทุกภาคส่วนได้รับทราบ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
880 | การผ่อนผันแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองเป็นกรณีพิเศษเพื่อดำเนินการอย่างถูกต้องตามกฎหมาย | รง | 15/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการบริหารแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๕๕ เกี่ยวกับการผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองสัญชาติพม่า ลาว และกัมพูชา อยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ เพื่อดำเนินการให้ได้รับหนังสือเดินทางชั่วคราว (Temporary Passport) หรือเอกสารรับรองบุคคล (Certificate of Identity) จากประเทศต้นทาง และได้รับอนุญาตให้เป็นผู้เดินทางเข้าประเทศอย่างถูกต้องตามกฎหมาย พร้อมกับได้รับอนุญาตทำงานเฉพาะกับนายจ้างเดิมต่อไป ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ยกเว้นในส่วนการขยายระยะเวลาการผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองสัญชาติพม่า ลาว และกัมพูชา ที่ลักลอบทำงานอยู่กับนายจ้างในประเทศไทยอยู่แล้ว รวมทั้งบุตรของแรงงานต่างด้าวดังกล่าวที่อายุไม่เกิน ๑๕ ปี อยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษเป็นเวลา ๓ เดือน นั้น ให้ขยายเป็น ๑๒๐ วัน นับตั้งแต่วันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ๒. ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการดำเนินการเกี่ยวกับบุตรของแรงงานต่างด้าวควรพิจารณาอย่างรอบคอบและครบวงจรโดยเฉพาะในเมื่อเด็กเหล่านี้จะหมดสภาพการเป็นผู้ติดตามเมื่ออายุเกิน ๑๕ ปี และจะต้องเดินทางกลับประเทศต้นทาง ในขณะที่ตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก บุคคลที่อายุต่ำกว่า ๑๘ ปียังถือเป็นเด็ก ควรมีมาตรการเตรียมพร้อมและกำหนดแนวทางการดำเนินการที่ชัดเจนสำหรับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยคำนึงถึงผลกระทบที่อาจตามมา และมิติด้านมนุษยธรรมและพันธกรณีภายใต้ตราสารระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนที่ไทยเป็นภาคี เพื่อป้องกันการถูกร้องเรียนและปัญหาในการบริหารจัดการในอนาคต รวมทั้งควรศึกษาแนวทางการกำหนดสัดส่วนความต้องการแรงงานต่างด้าวทั้งแรงงานมีฝีมือและแรงงานไร้ฝีมือในประเทศไทยต่อจำนวนแรงงานไทย (เป็นรายปี) เพื่อเป็นแนวทางในการกำหนดโควตาการนำเข้าแรงงานต่างด้าวและการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินตามมติคณะกรรมการบริหารแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง ครั้งที่ ๓/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๕๕ และเร่งรัดการพิสูจน์สัญชาติให้แก่แรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองสัญชาติพม่า ลาว และกัมพูชา ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ๔. ให้กระทรวงแรงงานและกระทรวงอุตสาหกรรมประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ รวมทั้งอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการโรงงานต่างๆ ในการพิสูจน์สัญชาติแรงงานต่างด้าว เพื่อให้การดำเนินการแล้วเสร็จโดยเร็ว |
.....