ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 50 จากทั้งหมด 252 หน้า แสดงรายการที่ 981 - 1000 จากข้อมูลทั้งหมด 5030 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
981 | การช่วยเหลือเกษตรกรที่ปลูกข้าวนาปี ครั้งที่ 2 เพื่อเข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2554/55 การขยายระยะเวลาการช่วยเหลือเยียวยาเกษตรกรที่ปลูกข้าว และการช่วยเหลือเกษตรกรที่ปลูกข้าวนาปีที่มีนาหลายแปลงสามารถใช้สิทธิรับเงินเยียวยาและการจำนำข้าวในที่นาคนละแปลง | กษ | 28/02/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยคณะกรรมการฯ มีมติ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการช่วยเหลือเยียวยาเกษตรกรที่ปลูกข้าว ตั้งแต่วันที่ ๑ มีนาคม - ๓๐ เมษายน ๒๕๕๔ ซึ่งเก็บเกี่ยวและขายข้าวแล้วตั้งแต่วันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๕๔ - ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๔ ในอัตราตันละ ๑,๔๓๗ บาท ในวงเงินงบประมาณ ๕๗.๙๔ ล้านบาท โดยการช่วยเหลือเยียวยาที่คณะรัฐมนตรีมีมติไปแล้ว และที่จะอนุมัติเพิ่มเติม ให้พิจารณาช่วยเหลือเกษตรกรเป็นรายแปลง โดยการช่วยเหลือเยียวยารายแปลงดังกล่าวต้องไม่ซ้ำซ้อนกับโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ ๑.๒ เห็นชอบให้เกษตรกรที่ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ ใหม่ เป็นครั้งที่ ๒ และยกเลิกการใช้สิทธิการช่วยเหลือเยียวยา ให้สามารถใช้สิทธิเข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ ได้ โดยให้เกษตรกรใช้ใบรับรองเดิมที่ขึ้นทะเบียนผู้ปลูกข้าวรอบที่ ๑ ไว้แล้ว โดยให้กำนันหรือผู้ใหญ่บ้าน และตัวเกษตรกรเองรับรองว่าเป็นข้าวที่เกษตรกรเพาะปลูกจริงตามพื้นที่ที่ปลูกใหม่ในครั้งที่ ๒ และให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) หักเงินจากบัญชีเกษตรกรที่ได้รับการช่วยเหลือเยียวยาก่อนจ่ายเงินจำนำข้าวเปลือกตามที่เกษตรกรยินยอม ๑.๓ เห็นชอบให้ ธ.ก.ส. จ่ายเงินให้แก่เกษตรกร จำนวน ๑๑,๗๐๑ ราย ที่มีที่นาหลายแปลง ซึ่งมีการเก็บเกี่ยวข้าวในเดือนสิงหาคม - กันยายน ๒๕๕๔ และเดือนตุลาคม ๒๕๕๔ เป็นต้นไป โดยแปลงที่เก็บเกี่ยวข้าวในช่วงเดือนสิงหาคม - กันยายน ๒๕๕๔ เกษตรกรแจ้งความประสงค์เข้าร่วมโครงการช่วยเหลือเยียวยา ส่วนแปลงที่เก็บเกี่ยวข้าวในช่วงเดือนตุลาคม ๒๕๕๔ เป็นต้นไป ได้นำผลผลิตเข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี โดยเป็นที่นาคนละแปลงและไม่ซ้ำซ้อนกัน สำหรับเกษตรกร จำนวน ๓,๓๐๘ ราย ที่มีที่นาหลายแปลงแต่เก็บเกี่ยวข้าวในช่วงเดือนสิงหาคม - กันยายน ๒๕๕๔ ทั้งหมดที่ ธ.ก.ส. แจ้งว่ามีชื่อเข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ให้ ธ.ก.ส. ตรวจสอบข้อมูลอีกครั้งหนึ่ง ถ้าเกษตรกรได้เข้าร่วมโครงการรับจำนำแล้ว ไม่ควรจ่ายเงินช่วยเหลือเยียวยา เนื่องจากเป็นที่นาแปลงเดียวกัน ทั้งนี้ ให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณเพื่อชำระคืนต้นทุนเงินและดอกเบี้ยให้ ธ.ก.ส. ให้ครบถ้วนต่อไป ๑.๔ อนุมัติในหลักการให้เกษตรกรใช้สิทธิเข้าร่วมโครงการช่วยเหลือเยียวยาและโครงการรับจำนำได้ กรณีเป็นที่นาคนละแปลง ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมส่งเสริมการเกษตร) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการสำรวจเกษตรกรที่มีที่นาหลายแปลงซึ่งได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ทั้งประเทศ เพื่อให้การเยียวยาช่วยเหลือเกษตรกรมีความทั่วถึงและเป็นระบบ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ส่วนการจัดสรรงบประมาณเพื่อชำระหนี้คืนต้นทุนเงินและดอกเบี้ยให้ ธ.ก.ส. ให้ใช้หลักเกณฑ์เดียวกับโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ ในครั้งที่ ๑ และครั้งที่ ๒ โดยค่าบริหารโครงการฯ ของ ธ.ก.ส. ในอัตราร้อยละ ๒.๕ ต่อปี และค่าชดเชยต้นทุนเงินของ ธ.ก.ส. ในอัตราดอกเบี้ย FDR + 1 ซึ่งในปัจจุบันเท่ากับร้อยละ ๓.๔ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์กำกับติดตามการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการตรวจสอบข้อมูลการขึ้นทะเบียนผู้ปลูกข้าวและพื้นที่ปลูกข้าวให้ถูกต้องและไม่เกิดปัญหาการใช้สิทธิซ้ำซ้อน รวมทั้งให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานเกี่ยวข้องรายงานยอดวงเงินที่จะต้องใช้สำหรับการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรในครั้งนี้ให้นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีทราบด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
982 | การเปิดตลาดสินค้าเกษตรตามข้อผูกพันองค์การการค้าโลก (WTO) | กษ | 28/02/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการเปิดตลาดสินค้าเกษตร (สินค้าหอมหัวใหญ่ เมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่ และมันฝรั่ง) ตามมติคณะกรรมการนโยบายและแผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ ในการประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๔ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประธานกรรมการนโยบายและแผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ สินค้าหอมหัวใหญ่ ตามข้อผูกพันองค์การการค้าโลก ให้เปิดตลาดนำเข้าปี ๒๕๕๕ - ปี ๒๕๕๗ ปริมาณในโควตาปีละ ๖๐๐ ตัน อัตราภาษีในโควตาร้อยละ ๒๗ และอัตราภาษีนอกโควตาร้อยละ ๑๔๒ ๑.๒ สินค้าเมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่ ตามข้อผูกพันองค์การการค้าโลก ให้เปิดตลาดนำเข้าปี ๒๕๕๕ - ปี ๒๕๕๗ ปริมาณในโควตาร้อยละ ๓.๑๕ ตัน อัตราภาษีในโควตาร้อยละ ๐ และอัตราภาษีนอกโควตาร้อยละ ๒๑๘ ๑.๓ สินค้ามันฝรั่ง ตามข้อผูกพันองค์การการค้าโลก ให้เปิดตลาดนำเข้าปี ๒๕๕๕ - ปี ๒๕๕๗ โดยหัวพันธุ์มันฝรั่ง ให้เปิดตลาดไม่จำกัดจำนวน อัตราภาษีในโควตาร้อยละ ๐ (ตามข้อผูกพันร้อยละ ๒๗) และอัตราภาษีนอกโควตาร้อยละ ๑๒๕ ส่วนหัวมันฝรั่งสดเพื่อแปรรูป ให้เปิดตลาดปริมาณในโควตาปีละ ๓๖,๐๐๐ ตัน อัตราภาษีในโควตาร้อยละ ๒๗ และนอกโควตาร้อยละ ๑๒๕ ๒. เห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอเพิ่มเติม ๒.๑ ขอแก้ไขหนังสือคณะกรรมการนโยบายและแผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ ด่วนที่สุด ที่ กษ ๑๓๐๔/๒๗๐ ลงวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ดังนี้ ๒.๑.๑ หน้า ๒ ข้อ ๓.๓ (๓) จากเดิม “(๓) ราคาขายหัวพันธุ์มันฝรั่งพันธุ์โรงงานไม่เกินกิโลกรัมละ ๓๕ บาท โดยกำหนดราคารับซื้อขั้นต่ำในฤดูแล้ง กิโลกรัมละ ๘.๙๐ บาท และฤดูฝน กิโลกรัมละ ๑๔.๐๐ บาท” เป็น “(๓) ราคาขายหัวพันธุ์มันฝรั่งพันธุ์โรงงานไม่เกินกิโลกรัมละ ๓๕ บาท โดยกำหนดราคารับซื้อขั้นต่ำในฤดูแล้ง กิโลกรัมละ ๙.๙๐ บาท และฤดูฝน กิโลกรัมละ ๑๔.๐๐ บาท” ๒.๑.๒ หน้า ๓ ข้อ ๓.๔ (๒) จากเดิม “(๒) ทำสัญญารับซื้อผลผลิตหัวมันฝรั่งสดจากเกษตรกร โดยกำหนดราคารับซื้อขั้นต่ำในฤดูฝน (ก.ค. - ธ.ค.) กิโลกรัมละ ๑๔ บาท และฤดูแล้ง (ม.ค. - มิ.ย.) กิโลกรัมละ ๘.๙๐ บาท” เป็น “(๒) ทำสัญญารับซื้อผลผลิตหัวมันฝรั่งสดจากเกษตรกร โดยกำหนดราคารับซื้อขั้นต่ำในฤดูฝน (ก.ค. - ธ.ค.) กิโลกรัมละ ๑๔ บาท และฤดูแล้ง (ม.ค. - มิ.ย.) กิโลกรัมละ ๙.๙๐ บาท” ๒.๒ การเปิดตลาดสินค้าเกษตร (สินค้าหอมหัวใหญ่ เมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่ และมันฝรั่ง) ตามที่ได้เสนอในครั้งนี้ ขอเปลี่ยนแปลงให้เปิดตลาดนำเข้าปี ๒๕๕๕ - ปี ๒๕๕๗ เป็นไปตามเดิมที่ได้เปิดนำเข้าปี ๒๕๕๒ - ปี ๒๕๕๔ โดยในส่วนของสินค้าหอมหัวใหญ่ที่เสนอขอเปิดตลาดนำเข้าปี ๒๕๕๕ - ปี ๒๕๕๗ ปริมาณในโควตาปีละ ๖๐๐ ตัน นั้น ให้เปลี่ยนเป็นไปตามเดิมที่เปิดตลาดนำเข้าตามข้อผูกพันฯ ในโควตาปีละ ๓๖๕ ตัน |
||||||||||||||||||||||||||||||
983 | มาตรการและแนวทางการเร่งรัดติดตามการใช้จ่ายเงินประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | กค | 28/02/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการและแนวทางการเร่งรัดติดตามการใช้จ่ายเงินประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามมติคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานกรรมการ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. มาตรการเร่งรัดการใช้จ่ายเงิน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ๑.๑ การเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายลงทุนไม่น้อยกว่าร้อยละ ๗๒ ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายลงทุนของแต่ละหน่วยงาน ๑.๒ การเบิกจ่ายงบประมาณในภาพรวมไม่น้อยกว่าร้อยละ ๙๓ ของวงเงินงบประมาณรายจ่าย จำนวน ๒,๓๘๐,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๓ การเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาอุทกภัยจากเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปีของส่วนราชการ รวมทั้งงบกลาง รายการสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ที่กันไว้เบิกเหลื่อมปีไม่น้อยกว่าร้อยละ ๑๐๐ ของวงเงินที่ได้รับอนุมัติ ๑.๔ ให้ส่วนราชการ และรัฐวิสาหกิจ เร่งรัดการก่อหนี้ผูกพันรายลงทุนทั้งในส่วนของโครงการปีเดียวและโครงการผูกพันให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลา ๓ เดือน หลังจากได้รับจัดสรรงบประมาณ ๑.๕ ให้หน่วยงานที่ได้รับจัดสรรเงินโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ เร่งรัดการดำเนินงานและการเบิกจ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ๑.๖ ให้นำผลการเบิกจ่ายเงินตามเป้าหมายที่คณะรัฐมนตรีกำหนดเป็นตัวชี้วัดในคำรับรองการปฏิบัติราชการของส่วนราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ๒. แนวทางการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๒.๑ ส่วนราชการ จังหวัด และรัฐวิสาหกิจ ๒.๑.๑ ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจถือปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘ โดยเร่งดำเนินการโอนจัดสรรงบประมาณรายจ่ายของแผนงบประมาณ แผนงบประมาณในเชิงบูรณาการ ผลผลิตหรือโครงการ ประเภทงบรายจ่าย และรายการในงบรายจ่ายที่ต้องดำเนินการในเขตพื้นที่จังหวัด ยกเว้นงบบุคลากรประเภทเงินเดือนและค่าจ้างประจำ ไปยังสำนักเบิกส่วนภูมิภาคนั้น ๆ อย่างช้าไม่เกิน ๑๕ วัน นับตั้งแต่วันที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณ ๒.๑.๒ ให้ส่วนราชการและจังหวัดทำแผนการใช้จ่ายเงินงบประมาณตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่สำนักงบประมาณกำหนด ภายใต้วงเงินงบประมาณที่ได้รับตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ให้สำนักงบประมาณพิจารณาก่อนพระราชบัญญัติฯ ประกาศใช้ ประมาณ ๑๕ วัน ๒.๑.๓ ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเร่งรัดการดำเนินโครงการ/รายการ ในการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย ที่ใช้จ่ายจากเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ และค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาอุทกภัย จากเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปี เพื่อให้เป็นไปตามแผนปฏิบัติงาน และแผนการใช้จ่ายเงินของแต่ละหน่วยงาน ๒.๑.๔ การโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ให้ส่วนราชการเร่งดำเนินการ กรณีรายการโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณที่ต้องทำความตกลงกับสำนักงบประมาณ โดยส่งเรื่องให้สำนักงบประมาณ ภายในวันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๕๕ ๒.๑.๕ การเร่งรัดติดตามการใช้จ่ายเงิน ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดกำกับหน่วยงานในสังกัดให้ปฏิบัติตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินอย่างเคร่งครัด และให้ส่วนราชการ จังหวัด และรัฐวิสาหกิจแต่งตั้งคณะกรรมการหรือคณะทำงานในการเร่งรัดการใช้จ่ายเงินในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ พร้อมทั้งรายงานปัญหาอุปสรรคจากการดำเนินงานที่ไม่เป็นไปตามแผน หรือการปรับแผนต่อคณะกรรมการหรือคณะทำงานดังกล่าวอย่างช้าก่อนสิ้นไตรมาส รวมทั้งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมอบหมายให้คลังจังหวัดดำเนินการเร่งรัดการใช้จ่ายเงินของหน่วยงานในจังหวัดเพื่อให้เป็นไปตามแผนการใช้จ่ายเงิน ๒.๒ หน่วยงานกลาง ๒.๒.๑ ให้กรมบัญชีกลางรายงานผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นรายไตรมาส ๒.๒.๒ ให้กระทรวงมหาดไทย โดยกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น รายงานผลการใช้จ่ายเงินและปัญหาอุปสรรคขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พร้อมทั้งแนวทางแก้ไขปัญหาให้คณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐเป็นรายไตรมาส ๒.๒.๓ ให้นำผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณและแผนการใช้จ่ายเงินเป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการงบประมาณ เร่งรัดการปฏิบัติงานและการเบิกจ่ายเงินงบประมาณ รวมทั้งนำผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณเทียบกับแผนการใช้จ่ายเงินให้สำนักงบประมาณใช้ประกอบการพิจารณาจัดสรรงบประมาณในปีต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||
984 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2554 | ทส | 22/02/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานมติการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ ๓/๒๕๕๔ จำนวน ๘ เรื่อง ดังนี้
๑. การปรับแก้ไขขอบเขตพื้นที่ที่ให้ใช้ประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณพื้นที่อำเภอบางละมุง และอำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี พ.ศ. ๒๕๕๓ ที่ประชุมมีมติ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการปรับแก้ไขมาตรการข้อ ๓ (๒) ของประกาศกระทรวงฯ เป็น “๓ (๒) พื้นที่ภายในแนวเขตควบคุมอาคารที่อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒ แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๓ ตามขอบเขตพื้นที่ที่เคยใช้กฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี พ.ศ. ๒๕๔๖” ๑.๒ เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณพื้นที่อำเภอบางละมุง และอำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี พ.ศ. ๒๕๕๓ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. .... และให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) นำร่างประกาศกระทรวงฯ เสนอคณะรัฐมนตรีตามที่กำหนดไว้ในมาตรา ๕๕ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ต่อไป ๒. การปรับปรุงประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ ระเบียบปฏิบัติและแนวทางในการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมสำหรับโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ ที่ประชุมมีมติ ๒.๑ เห็นชอบการยกเลิกข้อ ๑.๒ ของประกาศกระทรวงฯ ลงวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๕๒ และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ และดำเนินการออกประกาศกระทรวงฯ ต่อไป ๒.๒ เห็นชอบการยกเลิกคำสั่งคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ที่ ๑๑/๒๕๕๓ ลงวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๕๓ เรื่อง แต่งตั้งคณะอนุกรรมการวินิจฉัยข้อร้องเรียนสำหรับโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ ๒.๓ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดย สผ. พิจารณาแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพิ่มเติมภายใต้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ทำหน้าที่ให้ความเห็นทางวิชาการ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณากำหนดประเภทและขนาดของโครงการหรือกิจการซึ่งต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ประเภทและขนาดของโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ และนำเสนอคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติพิจารณาให้ความเห็นชอบ และเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมลงนามในประกาศกระทรวงฯ ตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป ๓. ร่างแผนจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบในหลักการ (ร่าง) แผนฯ โดยให้กรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติจัดส่งข้อคิดเห็นเพิ่มเติมให้ สผ. เพื่อนำไปพิจารณาปรับปรุง (ร่าง) แผนฯ ให้เกิดความสมบูรณ์ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ และประกาศในราชกิจจานุเบกษาเพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป ๔. ร่างแผนจัดการมลพิษ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ ที่ประชุมมีมติให้กรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติจัดส่งข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่าง ๆ ให้ สผ. ภายใน ๒ สัปดาห์ เพื่อประสานให้กรมควบคุมมลพิษปรับแก้ไขร่างแผนฯ ให้เกิดความสมบูรณ์ และนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป ๕. กรอบการเจรจาของประเทศไทยสำหรับการประชุมคณะกรรมการเจรจาระหว่างรัฐบาลในการพัฒนามาตรการทางกฎหมายระหว่างประเทศด้านการจัดการสารปรอท ที่ประชุมมีมติเห็นชอบกรอบการเจรจาฯ โดยให้กรมควบคุมมลพิษปรับแก้ไขประเด็นหลักภายใต้กรอบการเจรจาฯ ข้อ ๓ เป็น “การคำนึงถึงหลักการความรับผิดชอบร่วมกันในระดับที่แตกต่างโดยคำนึงถึงศักยภาพของแต่ละประเทศ (Common but Differentiated Responsibilities and Respective Capabilities)” และตัดคำว่า “หลักการอื่นที่สอดคล้องกับพันธกรณีตามอนุสัญญา สนธิสัญญา หรือข้อตกลงระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเป็นภาคี” และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมควบคุมมลพิษ นำกรอบการเจรจาฯ ที่ปรับแก้ไขแล้วเสนอคณะรัฐมนตรีและรัฐสภาเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ เพื่อให้เป็นไปตามมาตรา ๑๙๐ วรรคสองของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ๖. การกำหนดอัตราค่าบริการกำจัดขยะมูลฝอยของเทศบาลเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม เทศบาลเมืองบ้านพรุ จังหวัดสงขลา เทศบาลเมืองแสนสุข จังหวัดชลบุรี เทศบาลตำบลบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา เทศบาลเมืองยโสธร จังหวัดยโสธร เทศบาลเมืองเบตง จังหวัดยะลา เทศบาลนครพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี ที่ประชุมมีมติ ๖.๑ เห็นชอบอัตราค่าบริการกำจัดขยะมูลฝอยของเทศบาลเมืองบ้านพรุ เทศบาลเมืองแสนสุข เทศบาลตำบลบางคล้า เทศบาลเมืองยโสธร เทศบาลเมืองเบตง เทศบาลนครพระนครศรีอยุธยา และเมืองพัทยา เป็นอัตราค่าบริการแบบขั้นต่ำ - ขั้นสูง รวมทั้งอัตราค่าบริการกำจัดขยะมูลฝอยของเทศบาลเมืองนครพนม เป็นอัตราค่าบริการแบบอัตราเดียว ๖.๒ ให้เทศบาลเมืองบ้านพรุ เทศบาลเมืองแสนสุข เทศบาลตำบลบางคล้า เทศบาลเมืองยโสธร เทศบาลเมืองเบตง เทศบาลเมืองนครพนม เทศบาลนครพระนครศรีอยุธยา และเมืองพัทยา ดำเนินการสร้างความรู้ความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่เกี่ยวกับการจัดเก็บอัตราค่าบริการกำจัดขยะมูลฝอย ๗. โครงการระบบรถไฟรางคู่เพื่อการขนส่งและการจัดการโลจิสติกส์ (ระยะที่ ๑) แนวเส้นทางมาบกะเบา - ชุมทางถนนจิระ ของสำนักงาน นโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ที่ประชุมมีมติเห็นชอบแนวเส้นทางรถไฟทางเลือกที่ ๑/๓ ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น โครงการระบบรถไฟรางคู่เพื่อการขนส่งและการจัดการโลจิสติกส์ (ระยะที่ ๑)ฯ ตามความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านคมนาคมของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมกับเอกชน และให้รับข้อเสนอแนะของคณะกรรมมการผู้ชำนาญการฯ ในประเด็นการออกแบบทางหนีภัยภายในอุโมงค์และการกู้ภัยในกรณีเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน การออกแบบปล่องระบายอากาศให้สอดคล้องกับสภาพสิ่งแวดล้อมด้านบนของอุโมงค์ และการออกแบบสะพานรถไฟให้มีสถาปัตยกรรมที่สวยงาม รวมทั้งข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติในประเด็นการบริหารจัดการชุมชนที่อาศัยอยู่ตามแนวเส้นทางโครงการฯ เพื่อป้องกันปัญหาการบุกรุกพื้นที่ การจัดให้มีทางข้ามทางรถไฟบริเวณที่มีชุมชนอยู่หนาแน่น และการกำหนดความกว้างของขนาดรางรถไฟให้เกิดความชัดเจนโดยคำนึงถึงโครงข่ายทางรถไฟในภูมิภาคต่อไปด้วย ๘. โครงการระบบรถไฟฟ้ารางคู่เพื่อการขนส่งและการจัดการโลจิสติกส์ (ระยะที่ ๑) แนวเส้นทางนครปฐม - ชุมทางหนองปลาดุก - หัวหิน ของ สนข. ที่ประชุมมีมติเห็นชอบกับแนวเส้นทางรถไฟในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น โครงการระบบรถไฟรางคู่เพื่อการขนส่งและการจัดการโลจิสติกส์ (ระยะที่ ๑)ฯ ตามความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการฯ และรับข้อเสนอแนะของคณะกรรมการผู้ชำนาญการฯ ในประเด็นการออกแบบสถานีหัวหินที่เป็นสถานีใหม่ให้มีสถาปัตยกรรมที่แสดงเอกลักษณ์ของท้องถิ่น และไม่บดบังหรือลดความสวยงามและความสง่างามของสถานีรถไฟหัวหินเดิม และให้ความสำคัญกับการออกแบบแนวเส้นทางรถไฟเพื่อลดผลกระทบต่อการระบายน้ำ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
985 | โครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลังปี 2554/55 | พณ | 22/02/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
๑. รับทราบมติคณะกรรมการนโยบายมันสำปะหลัง ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ดังนี้ ๑.๑ ให้ขยายระยะเวลาการขึ้นทะเบียนและออกหนังสือรับรองเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังปี ๒๕๕๔/๕๕ ออกไปจนถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๕ ๑.๒ เกษตรกรที่เพาะปลูกในพื้นที่ที่นอกเหนือจากพื้นที่ที่มีเอกสารสิทธิ์ ให้ขึ้นทะเบียนได้เฉพาะเกษตรกรที่เคยขึ้นทะเบียนในปี ๒๕๕๒/๕๓ โดยไม่เกินพื้นที่ที่เคยขึ้นทะเบียนปี ๒๕๕๒/๕๓ และไม่รับขึ้นทะเบียนรายใหม่ในพื้นที่ดังกล่าว ๒. รับทราบราคา ระยะเวลา วิธีการ หลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการดำเนินโครงการให้เงินกู้เพื่อชะลอการขุดหัวมันสำปะหลังปี ๒๕๕๔/๕๕ โดยมีรายละเอียด ดังนี้ ๒.๑ เป้าหมายการจ่ายเงินกู้ให้เกษตรกรตามโครงการให้เงินกู้เพื่อชะลอการขุดหัวมันสำปะหลังปี ๒๕๕๔/๕๕ วงเงินไม่เกิน ๙,๐๐๐ ล้านบาท โดยเกษตรกรแต่ละรายกู้เงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ไม่เกินร้อยละ ๓๐ ของมูลค่าหัวมันสด ส่วนที่ยังไม่ได้ขุดแต่ไม่เกินรายละ ๕๐,๐๐๐ บาท ทั้งนี้ การประเมินมูลค่าผลผลิตหัวมันสดส่วนที่ยังไม่ขุดให้คำนวณโดยใช้ราคาจำนำตามที่โครงการรับจำนำมันสำปะหลังกำหนดตามระยะเวลา คือ เดือนมีนาคม ๒๕๕๕ ราคากิโลกรัมละ ๒.๘๐ บาท เดือนเมษายน ๒๕๕๕ ราคากิโลกรัมละ ๒.๘๕ บาท และเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๕ ราคากิโลกรัมละ ๒.๙๐ บาท ๒.๒ ระยะเวลาดำเนินการโครงการ ให้เงินกู้ตั้งแต่เดือนมีนาคม ๒๕๕๕ - พฤษภาคม ๒๕๕๕ กำหนดระยะเวลาชำระเงินกู้เสร็จสิ้นภายใน ๓ เดือนนับถัดจากเดือนที่รับเงินกู้ ทั้งนี้ เมื่อเกษตรกรนำผลผลิตมันสำปะหลังเข้าร่วมโครงการรับจำนำมันสำปะหลังปี ๒๕๕๔/๕๕ เกษตรกรต้องยินยอมให้ธนาคารหักชำระหนี้เงินกู้ตามโครงการนี้ ๒.๓ หลักเกณฑ์การให้เงินกู้ ให้เป็นไปตามมติคณะกรรมการนโยบายมันสำปะหลัง เมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ โดยรัฐบาลชดเชยต้นทุนเงินให้แก่ ธ.ก.ส. ในอัตรา FDR + 1 (ปัจจุบันเท่ากับร้อยละ ๓.๔๐๖ ต่อปี) ระยะเวลาไม่เกิน ๔ เดือน ๓. อนุมัติค่าใช้จ่ายการดำเนินโครงการให้เงินกู้เพื่อชะลอการขุดหัวมันสำปะหลังปี ๒๕๕๔/๕๕ ให้แก่ ธ.ก.ส. ได้แก่ วงเงินชดเชยต้นทุนเงิน ๑๐๒.๑๘ ล้านบาท และค่าบริหารโครงการของ ธ.ก.ส. อัตราร้อยละ ๒.๕ ของต้นเงินคงเป็นหนี้ระยะเวลาไม่เกิน ๔ เดือน คิดเป็นวงเงินค่าบริหารโครงการ ๗๕ ล้านบาท โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ที่ตั้งไว้แล้วสำหรับดำเนินโครงการรับจำนำผลผลิตการเกษตรปี ๒๕๕๔/๕๕ หากไม่เพียงพอให้ตกลงรายละเอียดกับสำนักงบประมาณเพื่อขอใช้จ่ายจากงบกลางเพิ่มเติม ทั้งนี้ หากเกิดความเสียหายแก่ ธ.ก.ส. ในการดำเนินโครงการนี้ รัฐบาลจะดูแลชดเชยความเสียหายให้ตามที่เกิดขึ้นจริง
|
||||||||||||||||||||||||||||||
986 | การให้ความช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของชาวไร่อ้อย | อก | 22/02/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองฯ คณะที่ ๔ เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบข้อเสนอของกระทรวงอุตสาหกรรมให้กองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายกู้เงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เพื่อนำมาช่วยเหลือชาวไร่อ้อยในฤดูการผลิตปี ๒๕๕๔/๒๕๕๕ ในอัตราตันอ้อยละ ๑๕๔ บาท และเห็นชอบให้คงการปรับขึ้นราคาจำหน่ายน้ำตาลทรายภายในประเทศอีกกิโลกรัมละ ๕ บาท โดยให้นำเงินจากส่วนที่ปรับขึ้นราคาน้ำตาลทรายเป็นรายได้ของกองทุนฯ สำหรับนำไปชำระหนี้เงินกู้เพื่อเพิ่มค่าอ้อยให้กับชาวไร่อ้อย รวมทั้งให้กองทุนฯ ควบคุม ตรวจสอบ กำกับดูแล การจ่ายเงินช่วยเหลือชาวไร่อ้อยที่มีสิทธิ์ให้ถูกต้อง ครบถ้วน สมบูรณ์ ตามมติคณะกรรมการบริหารกองทุนต่อไป ๑.๒ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการตามข้อสังเกตเพิ่มเติม ดังนี้ ๑.๒.๑ ให้กองทุนฯ บันทึกบัญชีให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยเป็นลูกหนี้ของกองทุนฯ โดยมีข้อมูลลูกหนี้แยกเป็นรายให้ชัดเจน ๑.๒.๒ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมจัดระบบควบคุม ตรวจสอบ กำกับดูแลการจ่ายเงินช่วยเหลือชาวไร่อ้อยที่มีสิทธิ์ให้ถูกต้องและครบถ้วนสมบูรณ์ โดยให้มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมดำเนินการด้วย ๑.๒.๓ ในการเตรียมการสำหรับฤดูกาลผลิตหน้า ปี ๒๕๕๕/๒๕๕๖ ให้มีการทบทวนสูตรการคิดต้นทุนการผลิตและการกำหนดราคาอ้อยให้สะท้อนความเป็นจริง เพื่อบรรเทาปัญหาการเรียกร้องของชาวไร่อ้อยและเพื่อมิให้กองทุนฯ มีภาระหนี้สินมากจนเกินควรและทบทวนการปรับระบบการกำหนดราคาอ้อยและน้ำตาลทั้งระบบ ทั้งนี้ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมเร่งรัดผลการศึกษาโครงสร้างราคาอ้อยและน้ำตาลเพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน (AEC) ของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศ (TDRI) เพื่อนำมาประกอบการพิจารณากำหนดโครงสร้างราคาอ้อยและน้ำตาลให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน ๒. ให้แก้ไขข้อความของมติคณะกรรมการกลั่นกรองฯ คณะที่ ๔ ในหนังสือฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการกลั่นกรองฯ คณะที่ ๔ ด่วนที่สุด ที่ นร ๐๕๐๖ (คกก.๔)/๑๑๒ ลงวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ หน้า ๑๑ จากเดิม “... เพื่อมิให้กองทุนฯ มีภาระหนี้สินมากจนเกินควรและทบทวนการปรับระบบการกำหนดราคาอ้อยและน้ำตาลทั้งระบบ ...” เป็น “ ...เพื่อมิให้กองทุนฯ มีภาระหนี้สินจนไม่สามารถทำหน้าที่เป็นกลไกในการรักษาเสถียรภาพของระบบอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายได้อย่างมีประสิทธิภาพ และให้ดำเนินการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายทั้งระบบ ...” ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเสนอเพิ่มเติม |
||||||||||||||||||||||||||||||
987 | งบดุลและรายงานการรับจ่ายเงินกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ 2553 และ 2552 | สช | 13/02/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเสนองบดุลและรายงานการรับจ่ายเงินกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ และ พ.ศ. ๒๕๕๒ ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบรับรองแล้ว และเห็นว่า รายงานการเงินกองทุนฯ แสดงฐานะการเงิน ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๓ และ ๒๕๕๒ ผลการดำเนินงานและกระแสเงินสด สำหรับปีสิ้นสุดวันเดียวกันของแต่ละปีของกองทุนฯ ถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามหลักการบัญชีที่กระทรวงการคลังกำหนด โดยมีข้อสังเกตหมายเหตุประกอบงบการเงิน ข้อ ๑๔ เกี่ยวกับทุน จำนวน ๘๕๐,๓๖๖,๑๙๐.๖๖ บาท เบิกจ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ จำนวน ๓๐๒,๒๓๘,๐๓๙.๙๔ บาท ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๓ คงเหลือ ๕๔๘,๑๒๘,๑๕๐.๗๒ บาท ตามมติคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๙/๒๕๕๒ เมื่อวันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๕๒ เห็นชอบในหลักการใช้งบประมาณรับโอนจากกระทรวงสาธารณสุข ตามมาตรา ๖๙ แห่งพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๕ เพื่อใช้ในการพัฒนาระบบข้อมูลและเทคโนโลยีสารสนเทศ จัดหายานพาหนะและเป็นเงินกองทุนกลางสำรองกรณีมีเหตุฉุกเฉินเร่งด่วน และหมายเหตุประกอบงบการเงิน ข้อ ๑๕ เกี่ยวกับผลการดำเนินงาน คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๕๒ ให้กองทุนฯ จ่ายเงินซื้อวัคซีนไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิดเอ (เอช 1 เอ็น 1) และยา Oseltamivir ไปก่อน จำนวน ๘๕๐ ล้านบาท และให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณใช้คืน ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ กองทุนฯ ยังไม่ได้รับจัดสรรงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
988 | การแก้ไขสัญญาว่าจ้างโครงการด้านการศึกษา สาธิต และจัดทำต้นแบบในโครงการความร่วมมือด้านพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (ค่าใช้จ่ายในการจัดทำโครงการสาธิตเพื่อผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และอนุรักษ์พลังงาน) ภายใต้กรอบยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ACMECS | พน | 07/02/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายความมั่นคงและโครงสร้างพื้นฐาน) ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๕๕ ดังนี้ ๑. ข้อเสนอของกระทรวงพลังงานเกี่ยวกับการแก้ไขสัญญาว่าจ้างโครงการด้านการศึกษา สาธิต และจัดทำต้นแบบในโครงการความร่วมมือด้านพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (ค่าใช้จ่ายในการจัดทำโครงการสาธิตเพื่อผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และอนุรักษ์พลังงาน) ภายใต้กรอบยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี - เจ้าพระยา - แม่โขง (Ayeyawady - Chao Phraya - Mekong Economic Cooperation Strategy : ACMECS) โดยให้เป็นดุลยพินิจของหน่วยงาน (อธิบดี) มีอำนาจในการพิจารณาอนุมัติได้รวมถึงกรณีเรื่องอื่นที่เป็นลักษณะเช่นนี้ด้วย นั้น คณะกรรมการกลั่นกรองฯ มีมติเห็นควรให้กระทรวงพลังงาน (กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน) ดำเนินการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ ข้อ ๑๓๖ วรรคหนึ่ง ซึ่งกำหนดว่า “สัญญาหรือข้อตกลงเป็นหนังสือที่ได้ลงนามแล้วจะแก้ไขเปลี่ยนแปลงมิได้เว้นแต่การแก้ไขนั้นจะเป็นความจำเป็น โดยไม่ทำให้ทางราชการต้องเสียประโยชน์หรือเป็นการแก้ไขเพื่อประโยชน์แก่ทางราชการ ให้อยู่ในอำนาจของหัวหน้าส่วนราชการที่จะพิจารณาอนุมัติให้แก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ แต่ถ้ามีการเพิ่มวงเงินจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณหรือขอทำความตกลงในส่วนที่เงินกู้หรือเงินช่วยเหลือ แล้วแต่กรณีด้วย” และหากกรณีไม่เข้าข่ายตามข้อ ๑๓๖ วรรคหนึ่ง ก็ต้องขอยกเว้นการปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ ต่อคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ ตามข้อ ๑๒ (๒) ต่อไป ๒. ให้กระทรวงพลังงาน (กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน) รับความเห็นของสำนักงานอัยการสูงสุดที่เห็นว่า หากการแก้ไขเปลี่ยนแปลงสถานที่ติดตั้งทำให้มีความจำเป็นต้องลดปริมาณงานที่ต้องดำเนินการตามสัญญาก็ควรต้องมีการแก้ไขสัญญาเรื่องลดวงเงินให้สอดคล้องกับเนื้องานที่ปรับลดลง รวมทั้งมีการตกลงเรื่องการเพิ่มหรือลดระยะเวลาในการทำงานตามสัญญาพร้อมกันไปด้วย ทั้งนี้ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ ข้อ ๑๓๖ วรรคสอง และกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานจะต้องดำเนินการในเรื่องงบประมาณที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ตลอดจนระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป รวมทั้งให้ส่งร่างสัญญาให้สำนักงานอัยการสูงสุดพิจารณาก่อนการลงนามต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
989 | การกำหนดสินค้าและบริการควบคุมตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 | พณ | 24/01/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการกำหนดสินค้า จำนวน ๓๙ รายการ และบริการ จำนวน ๓ รายการ รวม ๔๒ รายการ ตามมติคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการในคราวประชุม ครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๕๕ เป็นสินค้าและบริการควบคุมในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ หมวดอาหาร จำนวน ๑๓ รายการ คือ กระเทียม, ข้าวเปลือก ข้าวสาร, ข้าวโพด, มันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์, ไข่ไก่, สุกร เนื้อสุกร, น้ำตาลทราย, น้ำมันและไขมันที่ได้จากพืชหรือสัตว์ทั้งที่บริโภคได้หรือไม่ได้, ครีมเทียมข้นหวาน นมข้น นมคืนรูป นมแปลง ไขมัน, นมผง นมสด, แป้งสาลี, อาหารในภาชนะบรรจุที่ปิดสนิท, อาหารกึ่งสำเร็จรูปบรรจุภาชนะผนึก ๑.๒ หมวดสินค้าอุปโภคบริโภคประจำวัน จำนวน ๓ รายการ คือ ผงซักฟอก, ผ้าอนามัย, กระดาษชำระ กระดาษเช็ดหน้า ๑.๓ หมวดปัจจัยทางการเกษตร จำนวน ๙ รายการ คือ ปุ๋ย, ยาป้องกันหรือกำจัดศัตรูพืชหรือโรคพืช, หัวอาหารสัตว์ อาหารสัตว์, เครื่องสูบน้ำ, รถไถนา, รถเกี่ยวข้าว, เครื่องวัดความชื้นข้าว, เครื่องตรวจสอบคุณภาพข้าว, เครื่องชั่งวัดอัตราส่วนร้อยละของแป้งในหัวมัน ๑.๔ หมวดวัสดุก่อสร้างจำนวน ๓ รายการ คือ ปูนซีเมนต์, เหล็กเส้น เหล็กโครงสร้างรูปพรรณ เหล็กแผ่น, สายไฟฟ้า ๑.๕ หมวดกระดาษและผลิตภัณฑ์ จำนวน ๓ รายการ คือ กระดาษทำลูกฟูก กระดาษเหนียว, กระดาษพิมพ์และเขียน, เยื่อกระดาษ ๑.๖ หมวดบริภัณฑ์ขนส่ง จำนวน ๓ รายการ คือ แบตเตอรี่รถยนต์, ยางรถจักรยานยนต์ ยางรถยนต์, รถจักรยานยนต์ รถยนต์นั่ง รถยนต์บรรทุก ๑.๗ หมวดผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม จำนวน ๓ รายการ คือ ก๊าซปิโตรเลียมเหลว, น้ำมันเชื้อเพลิง, เม็ดพลาสติก ๑.๘ หมวดยารักษาโรค จำนวน ๑ รายการ คือ ยารักษาโรค ๑.๙ หมวดอื่น ๆ จำนวน ๑ รายการ คือ เครื่องแบบนักเรียน ๑.๑๐ หมวดบริการ จำนวน ๓ รายการ ได้แก่ การให้สิทธิในการเผยแพร่งานลิขสิทธิ์เพลงเพื่อการค้า, บริการรับฝากสินค้าหรือบริการให้เช่าสถานที่เก็บสินค้า, บริการทางการเกษตร (ค่าจ้างเก็บเกี่ยวข้าวและผลผลิตทางการเกษตรอื่น ๆ ค่าจ้างนวดข้าว ค่าจ้างสีข้าว เป็นต้น) ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการตรวจสอบ กำกับ และติดตามราคาสินค้าอุปโภคบริโภคในท้องตลาดให้เป็นไปตามมติคณะกรรมการฯ อย่างเคร่งครัดและต่อเนื่องด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
990 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 1 (ฝ่ายความมั่นคงและโครงสร้างพื้นฐาน) ครั้งที่ 4/2554 (ขออนุมัติปรับโครงสร้างและอัตรากำลังข้าราชการของกระทรวงการต่างประเทศ) | กต | 15/01/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายความมั่นคงและโครงสร้างพื้นฐาน) ในการประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๕๔ ดังนี้
๑. โดยที่การจัดตั้งประชาคมอาเซียนจะบรรลุผลในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ซึ่งประเทศไทยในฐานะเป็นประเทศสมาชิกต้องเตรียมความพร้อมซึ่งถือเป็นการขยายหน่วยงานเพื่อรับผิดชอบงานตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล จึงมีมติอนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศปรับโครงสร้างเฉพาะกรมอาเซียน ตามที่กระทรวงการต่างประทศเสนอ ส่วนเรื่องอัตรากำลังให้กระทรวงการต่างประเทศส่งเรื่องให้คณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐพิจารณาจัดสรรอัตรากำลังให้ตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ๒. การจัดตั้งสำนักเขตแดนภายใต้กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย และการจัดตั้งสำนักคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศภายใต้กรมการกงสุล เห็นควรไม่อนุมัติตามนัยมติ ก.พ.ร. ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำแผนผังแสดงโครงสร้างและภารกิจหน้าที่ (work flow) ของกรมอาเซียนและกองที่เกี่ยวข้อง ให้ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการกลั่นกรองฯ เพื่อเสนอประกอบเรื่องการปรับโครงสร้างของกระทรวงการต่างประเทศด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
991 | ผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) ครั้งที่ 1/2555 | นร | 10/01/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๖ มกราคม ๒๕๕๕ ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และเลขาธิการ กยน. กรรมการและเลขานุการร่วม กยน. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการของร่างแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ เพื่อใช้เป็นกรอบหลักในการดำเนินงานด้านการแก้ไขปัญหาอุทกภัยและการบริหารจัดการน้ำของประเทศ โดยให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำความเห็นของคณะกรรมการ กยน. มาประกอบการพิจารณาปรับปรุงร่างแผนแม่บทดังกล่าวฯ รวมทั้งเพิ่มเติมวงเงินที่จำเป็นต้องจัดสรรให้แผนงานต่าง ๆ ภายใต้แผนปฏิบัติการเพื่อบรรเทาปัญหาอุทกภัยระยะเร่งด่วน และให้ประธานอนุกรรมการด้านการวางแผนและกำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาระยะเร่งด่วน และประธานอนุกรรมการด้านการวางแผนและกำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน หารือร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเพื่อหาข้อยุติกรณีที่มีความเห็นขัดแย้งเกิดขึ้น สำหรับประเด็นที่เกี่ยวข้องกับข้อกฎหมายให้หารือร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๑.๒ เห็นชอบกรอบวงเงินเพิ่มเติมสำหรับแผนงานพัฒนาคลังข้อมูล ระบบพยากรณ์ และเตือนภัย และแผนงานเผชิญเหตุเฉพาะพื้นที่ ภายใต้แผนปฏิบัติการเพื่อบรรเทาอุทกภัยระยะเร่งด่วน วงเงินรวม ๕,๕๐๐ ล้านบาท โดยใช้จากงบกลางฯ ซึ่งเป็นการเพิ่มเติมจากกรอบวงเงินเดิมที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบเมื่อวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๔ จำนวน ๑๗,๑๒๖ ล้านบาท ๑.๓ เห็นชอบร่างแผนปฏิบัติการบรรเทาอุทกภัยในพื้นที่ลุ่มน้ำแบบบูรณาการและยั่งยืน (กรณีลุ่มน้ำเจ้าพระยา) โดยมีกรอบวงเงินงบประมาณ ๓๐๐,๐๐๐ ล้านบาท และเห็นชอบในหลักการให้จัดสรรงบประมาณ จำนวน ๕๐,๐๐๐ ล้านบาท สำหรับแผนงาน/โครงการของ ๑๗ ลุ่มน้ำที่เหลือ มอบให้คณะอนุกรรมการด้านการวางแผนและกำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดทำรายละเอียดแผนงานโครงการตามที่บรรจุไว้ในแผนปฏิบัติการต่อไป ๑.๔ ในการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการเพื่อบรรเทาอุทกภัยระยะเร่งด่วน และแผนปฏิบัติการบรรเทาอุทกภัยในพื้นที่ลุ่มน้ำแบบบูรณาการและยั่งยืน (กรณีลุ่มน้ำเจ้าพระยา) หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องปฏิบัติตามขั้นตอนกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ทั้งในขั้นตอนของการอนุมัติงบประมาณ และตามบทบัญญัติของกฎหมายด้านสิ่งแวดล้อมและการมีส่วนร่วม ๒. การดำเนินการตามแผนปฏิบัติการเพื่อบรรเทาอุทกภัยเรื่องใดที่เกี่ยวข้องหรือกระทบสิทธิชุมชน เช่น การดำเนินการในพื้นที่น้ำท่วมขัง และการกำหนดแนวคันกั้นน้ำ เป็นต้น ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประสานงานและหารือการดำเนินการกับชุมชนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เป็นไปตามนัยมาตรา ๖๖ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
992 | ความคืบหน้าการเตรียมการด้านการเงินเพื่อการลงทุนวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ และเรื่อง ร่างพระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย พ.ศ. .... | นร | 10/01/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๖ มกราคม ๒๕๕๕ [เกี่ยวกับร่างแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ แผนปฏิบัติการเพื่อบรรเทาปัญหาอุทกภัยระยะเร่งด่วน และร่างแผนปฏิบัติการบรรเทาอุทกภัยในพื้นที่ลุ่มน้ำแบบบูรณาการและยั่งยืน (กรณีลุ่มน้ำเจ้าพระยา)] ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และเลขาธิการคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ กรรมการและเลขานุการร่วม คณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ เสนอ ทั้งนี้ การดำเนินการตามแผนปฏิบัติการเพื่อบรรเทาอุทกภัยเรื่องใดที่เกี่ยวข้องหรือกระทบกับสิทธิชุมชน เช่น การดำเนินการในพื้นที่น้ำท่วมขัง และการกำหนดแนวคันกั้นน้ำ เป็นต้น ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประสานงานและหารือการดำเนินการกับชุมชนที่เกี่ยวข้องด้วย เพื่อให้เป็นไปตามนัยมาตรา ๖๖ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ๒. รับทราบและเห็นชอบผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๖ มกราคม ๒๕๕๕ ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ เสนอ ๓. เห็นชอบร่างพระราชกำหนดรวม ๔ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ได้แก่ ๓.๑ ร่างพระราชกำหนดปรับปรุงการบริหารหนี้เงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน พ.ศ. .... ๓.๒ ร่างพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. .... ๓.๓ ร่างพระราชกำหนดกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ พ.ศ. .... ๓.๔ ร่างพระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย พ.ศ. .... ๔. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาแก้ไขถ้อยคำในมาตรา ๗ (๓) ของร่างพระราชกำหนดปรับปรุงการบริหารหนี้เงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน พ.ศ. .... โดยให้ตัดข้อความ “ที่ปราศจากภาระผูกพัน” แล้วให้ดำเนินการต่อไปได้ ๕. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจัดทำกรอบการใช้จ่ายเงินกู้ตามร่างพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. .... เสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อเสนอรัฐสภาเพื่อทราบก่อนเริ่มดำเนินการกู้เงินด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
993 | ผลการประชุมคณะกรรมการเพื่อให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย (กฟย.) ครั้งที่ 3/2554 | มท | 27/12/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการเพื่อให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย (กฟย.) ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๕๔ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) ประธานกรรมการ กฟย. เสนอ โดยที่ประชุมมีมติ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบโครงการจัดจ้างแรงงานเกษตรกรในหมู่บ้านหรือชุมชนที่ประสบภัย เพื่อฟื้นฟูบูรณะซ่อมสร้างชุมชน (Work for Food) ของกรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย กรอบวงเงิน ๒๘๓.๕ ล้านบาท ครอบคลุมพื้นที่ ๙ จังหวัด ๆ ละ ๗,๐๐๐ คน (ครัวเรือนละ ๑ คน ค่าจ้าง ๑๕๐ บาทต่อวัน) ระยะเวลาดำเนินการ ๒๐ วัน และสามารถขยายระยะเวลาการจ้างต่อได้อีก ๑๐ วัน พร้อมทั้งให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรมีการจัดกลุ่มประเภทแรงงาน สำรวจพื้นที่ดำเนินการ และจัดทำรายละเอียดช่วงระยะเวลาดำเนินการในแต่ละพื้นที่ให้ชัดเจนเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการวิเคราะห์โครงการฯ และตรวจสอบความพร้อมด้านต่าง ๆ ในการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยต่อไป ไปประกอบการจัดทำรายละเอียดของงบประมาณ และให้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๑.๒ เห็นชอบในหลักการของกรอบวงเงินการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยด้านการเกษตรปี ๒๕๕๔ กรณีพิเศษ เพิ่มเติม ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ วงเงิน ๑๘,๘๙๕.๙๑ ล้านบาท โดยให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณที่ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จัดทำรายละเอียดตามแบบฟอร์มโครงการของสำนักงบประมาณที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ (เรื่อง หลักเกณฑ์การวิเคราะห์โครงการเพื่อจัดลำดับความสำคัญและตรวจสอบความพร้อมด้านต่าง ๆ ในการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย) เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการวิเคราะห์โครงการและตรวจสอบความพร้อมด้านต่าง ๆ ในการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยต่อไป ไปประกอบการจัดทำรายละเอียดของงบประมาณ และให้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๑.๓ รับทราบผลการหารือตามมาตรการเร่งด่วนเพื่อช่วยเหลือโรงงานอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย ระหว่างภาคเอกชนญี่ปุ่น นำโดยนาย Setsuo luchi ประธาน JETRO ประเทศไทย และภาคเอกชนญี่ปุ่น ๖ บริษัท กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทย ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และกรมโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งภาคเอกชนญี่ปุ่นขอให้ภาครัฐพิจารณาให้ความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนในการฟื้นฟูโรงงานอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ได้แก่ การสนับสนุนน้ำบริสุทธิ์ (purified water) และน้ำสะอาด (clean water) เพื่อใช้ทำความสะอาดเครื่องจักรและโรงงานที่ประสบอุทกภัย การสนับสนุนระบบไฟฟ้าเพื่อใช้ในการซ่อมแซมและฟื้นฟูระบบการผลิต การจัดเตรียมวิศวกรไฟฟ้าเพื่อตรวจสอบด้านความปลอดภัยของระบบไฟฟ้าในโรงงานที่ประสบอุทกภัย การอำนวยความสะดวกด้านวีซ่าและใบอนุญาตทำงาน การสนับสนุนด้านการเงินสำหรับผู้ประกอบการต่างชาติที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย การเข้าถึงข้อมูลอุทกภัย มาตรการเยียวยาและการป้องกันอุทกภัยของรัฐบาล และการเตรียมการเพื่อดูแลและป้องกันโรคระบาดภายหลังน้ำลดสำหรับผู้ประกอบการและพนักงานในโรงงาน ทั้งนี้ ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงอุตสาหกรรมประสานสมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยและสภาวิศวกรในการจัดเตรียมวิศวกรไฟฟ้าเพื่อตรวจสอบด้านความปลอดภัยของระบบไฟฟ้าในโรงงานที่ประสบอุทกภัย และให้กระทรวงพาณิชย์ประสานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย และธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อกำหนดแนวทางการสนับสนุนด้านการเงินสำหรับผู้ประกอบการต่างชาติที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยภายใต้กรอบพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๔๒ ๒. สำหรับการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยด้านการเกษตรปี ๒๕๕๔ กรณีพิเศษเพิ่มเติม วงเงิน ๑๘,๘๙๕.๙๑ ล้านบาท มอบให้รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) รับไปพิจารณาในรายละเอียดร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอีกครั้งหนึ่ง เพื่อจัดลำดับความสำคัญตามความจำเป็นเร่งด่วนและตามความเสียหายที่เกิดขึ้นจริงในแต่ละจังหวัด รวมทั้งให้มีการกระจายความช่วยเหลืออย่างทั่วถึง และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์สามารถถัวจ่ายระหว่างรายการด้านพืช ด้านประมง และด้านปศุสัตว์ ส่วนความช่วยเหลือรายการใดที่ไม่เร่งด่วนและสามารถรอดำเนินการได้ ก็ให้พิจารณานำไปขอเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
994 | มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 6/2554 (ครั้งที่ 139) | พน | 27/12/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและรับทราบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๖/๒๕๕๔ (ครั้งที่ ๑๓๙) เมื่อวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้
๑. ที่ประชุมมีมติเห็นชอบเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ ๑.๑ เห็นชอบให้ยกเลิกแผนพัฒนาพลังงานทดแทน ๑๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๑ - ๒๕๖๕) และแผนอนุรักษ์พลังงาน ๒๐ ปี ตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๕๒ และวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๕๔ ตามลำดับ กับเห็นชอบนโยบายด้านพลังงานของประเทศไทย (Thailand Energy Policy) ตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๗๓) และแผนการพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก ๒๕% ใน ๑๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๖๔) ๑.๒ เห็นชอบแผนการพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก ๒๕% ใน ๑๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๖๔) (Alternative Energy Development Plan : AEDP 2012 - 2021) ซึ่งมีการกำหนดเป้าหมายการใช้พลังงานทดแทนต่อการใช้พลังงานขั้นสุดท้ายของประเทศเป็นร้อยละ ๒๕ ๑.๓ เห็นชอบแผนอนุรักษ์พลังงาน ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๗๓) ที่กระทรวงพลังงานปรับปรุงตามนโยบายของรัฐบาล เมื่อวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๕๔ ซึ่งมีเป้าหมายลดระดับการใช้พลังงานต่อผลผลิตลงร้อยละ ๒๕ ภายใน ๒๐ ปี ๑.๔ เห็นชอบการปรับปรุงมาตรการค่าไฟฟ้าฟรี โดยปรับลดจำนวนหน่วยการใช้ไฟฟ้าของครัวเรือน จากไม่เกิน ๙๐ หน่วยต่อเดือน เป็นไม่เกิน ๕๐ หน่วยต่อเดือน และกระจายภาระค่าใช้จ่ายไปยังผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทกิจการขนาดกลาง กิจการขนาดใหญ่ กิจการเฉพาะอย่าง และองค์กรที่ไม่แสวงหากำไร และให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานดำเนิการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยพิจารณาถึงวันเริ่มต้นการใช้มาตรการค่าไฟฟ้าฟรีที่ปรับปรุงใหม่ให้มีความเหมาะสม ๑.๕ เห็นชอบในหลักการให้ยกเลิกน้ำมันเบนซิน ๙๑ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ เป็นต้นไป และให้กระทรวงพลังงานรับไปแก้ไขปัญหาการผลิตและการนำเข้าน้ำมันเบนซินพื้นฐาน (G-Base) และนำเสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานพิจารณาต่อไป ๒. ที่ประชุมมีมติรับทราบแนวทางและหลักเกณฑ์ในการดำเนินโครงการแผนการฟื้นฟูเยียวยาผู้ประสบอุทกภัยหลังน้ำลด ภายในวงเงินรวม ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ของกระทรวงพลังงาน และให้กระทรวงพลังงานรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรระบุเป้าหมายหลักเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานของภาคอุตสาหกรรมและภาคครัวเรือน โดยให้ความสำคัญกับมาตรการช่วยเหลือทางการเงินหรือเงินทุนหมุนเวียนที่สามารถเพิ่มสภาพคล่องให้กับผู้ประสบภัยในการฟื้นฟู ซ่อมแซมอุปกรณ์ เครื่องจักร เครื่องใช้ไฟฟ้า ให้มีประสิทธิภาพในการประหยัดพลังงานมากขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
995 | โครงการพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าจากชีวมวลเพื่อสร้างต้นแบบโรงไฟฟ้าชีวมวลขนาด 1 เมกกะวัตต์ | วท | 27/12/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๕๔ ซึ่งเห็นชอบในหลักการโครงการพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าจากชีวมวลเพื่อสร้างต้นแบบโรงไฟฟ้าชีวมวลขนาด ๑ เมกกะวัตต์ ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ และอนุมัติงบประมาณจำนวน ๕๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อใช้เป็นงบดำเนินการในการศึกษาวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของโครงการฯ ในด้านต่าง ๆ เช่น ชนิดและความพอเพียงของชีวมวล พื้นที่ดำเนินโครงการ รูปแบบการลงทุน หลักเกณฑ์การคัดเลือกผู้เข้าร่วมโครงการ เทคโนโลยีการผลิต ความคุ้มค่าและผลตอบแทนทางด้านเศรษฐกิจ ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การมีส่วนร่วมและการยอมรับของชุมชน และรูปแบบการบริหารจัดการ เป็นต้น สำหรับงบประมาณในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าชีวมวลต้นแบบนั้น ให้พิจารณาใช้แหล่งเงินทุนอื่น ๆ ที่มีภารกิจที่สอดคล้องกับการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน ๒. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรับความเห็นของกระทรวงพลังงาน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรให้ความสำคัญในเรื่องของการจัดหาเชื้อเพลิงที่จะใช้ป้อนโรงไฟฟ้าและการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ที่ดำเนินโครงการฯ และมีการควบคุมการระบายมลพิษทางอากาศให้เป็นไปตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดมาตรฐานควบคุมการปล่อยทิ้งอากาศเสียจากโรงไฟฟ้าใหม่ และประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดให้โรงไฟฟ้าใหม่เป็นแหล่งกำเนิดมลพิษ ที่จะต้องถูกควบคุมการปล่อยทิ้งอากาศเสียออกสู่บรรยากาศอย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีประสานกับกระทรวงพลังงานและคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน เพื่อสร้างความร่วมมือในการสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีดังกล่าวอย่างเป็นรูปธรรม สอดคล้องกับแผนพัฒนาพลังงานทดแทน ๑๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๑ - ๒๕๖๕) ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย ๓. ในส่วนของงบประมาณในการดำเนินโครงการนอกเหนือจากงบประมาณในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ซึ่งสำนักงบประมาณได้ตั้งงบประมาณไว้จำนวน ๒๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีประสานงานกับกระทรวงพลังงานและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเพื่อขอใช้จ่ายเพิ่มเติมจากเงินกองทุนอนุรักษ์พลังงานหรือแหล่งทุนอื่น ๆ ที่มีวัตถุประสงค์สอดคล้องกับการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน เพื่อดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||
996 | การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม อันเนื่องมาจากเหตุการณ์อุทกภัย | กษ | 27/12/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติและเห็นชอบตามมติคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นม ในการประชุมครั้งที่ ๘/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงินไม่เกิน ๒๐๕.๕๐ ล้านบาท โดยโอนงบประมาณดังกล่าวให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เพื่อจัดซื้อนมพาสเจอร์ไรส์ ให้เด็กนักเรียนชั้นก่อนวัยเรียนถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ ในเฉพาะโรงเรียนรัฐบาลในสังกัด อปท. ของกรุงเทพมหานคร จังหวัดปทุมธานี นนทบุรี และพระนครศรีอยุธยา จำนวนนักเรียนประมาณ ๕๓๒,๕๒๑ คน ได้ดื่มเพิ่มขึ้นเป็น ๒ ถุง/วัน จากเดิมที่ได้ดื่มวันละ ๑ ถุง ตามงบประมาณปกติ ในระยะเวลาเฉพาะวันเรียนจำนวน ๖๐ วันของภาคเรียนที่ ๒/๒๕๕๔ โดยให้ อปท. ดำเนินการจัดซื้อโดยวิธีกรณีพิเศษกับองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ค.ส.) เช่นเดียวกับแนวทางปฏิบัติโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๒ (เรื่อง การทบทวนระบบบริหารจัดการนมโรงเรียน) เพื่อแก้ไขปัญหาน้ำนมโคของเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมที่ได้รับผลกระทบอันเนื่องมาจากเหตุการณ์อุทกภัย ประมาณวันละ ๘๐ ตัน จนถึงกลางเดือนมีนาคม ๒๕๕๕ ๑.๒ เห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงศึกษาธิการขอความร่วมมือกับ อปท. และโรงเรียนเอกชนทั่วประเทศ ที่ได้รับงบประมาณจัดซื้ออาหารเสริม (นม) โรงเรียน ภาคเรียนที่ ๒/๒๕๕๔ จากงบปกติที่ได้รับไปแล้ว จัดซื้ออาหารเสริม (นม) ตามที่ได้รับจัดสรรงบประมาณ จำนวน ๑๓๐ วัน ของภาคเรียนนี้ให้ครบถ้วน โดยเฉพาะในจังหวัดที่เลื่อนการเปิดภาคเรียนเนื่องจากปัญหาภาวะภัยน้ำท่วม ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้กระทบต่อการบริหารจัดการนมทั้งระบบในภาพรวม เนื่องจากผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการได้มีข้อตกลงการรับซื้อน้ำนมดิบ หรือ MOU กับเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม เพื่อจัดจำหน่ายตามสิทธิที่ได้รับในโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน ภาคเรียนที่ ๒/๒๕๕๔ ตลอดภาคเรียนไปแล้ว หากผู้ประกอบการไม่ได้จำหน่ายตามที่ได้รับจัดสรรอาจส่งผลให้เกิดปัญหาน้ำนมดิบล้นตลาดขึ้นอีก ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประสานงานกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อบูรณาการและกำกับดูแลการดำเนินการจัดซื้อและแจกจ่ายอาหารเสริมนมโรงเรียนให้แก่นักเรียนให้เป็นไปตามคุณภาพมาตรฐานและกลุ่มเป้าหมายที่กำหนด ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำกับติดตามให้ผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง ขออนุมัติเปิดตลาดนำเข้านมผงขาดมันเนย ปี ๒๕๕๔ เพิ่มเติม) ที่ให้รับซื้อน้ำนมดิบจากเกษตรกรในประเทศอย่างเคร่งครัดด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
997 | ขอความเห็นชอบการจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษสำหรับผู้ปฏิบัติงานที่มีเงินเดือนเต็มขั้น | พม | 19/12/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษสำหรับผู้ปฏิบัติงานที่มีเงินเดือนเต็มขั้นของการเคหะแห่งชาติ โดยให้มีผลสำหรับการเลื่อนเงินเดือนปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ (ผลงานปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓) เป็นต้นไป ตามมติคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ครั้งที่ ๕/๒๕๕๔ วันที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ดังนี้
๑. กรณีได้รับการประเมินผลการปฏิบัติงานในระดับ ๑ หรือได้รับการประเมินให้เลื่อนเงินเดือนหรือค่าจ้างครึ่งขั้น ให้เบิกจ่ายเงินเดือนหรือค่าจ้างในอัตราสูงสุดของตำแหน่งเดิม ๒. กรณีได้รับการประเมินผลการปฏิบัติงานในระดับ ๒ - ๓ หรือได้รับการประเมินให้เลื่อนเงินดือนหรือค่าจ้างหนึ่งขั้น ให้เบิกจ่ายค่าตอบแทนพิเศษ ร้อยละ ๒ ๓. กรณีได้รับการประเมินผลการปฏิบัติงานในระดับ ๔ หรือได้รับการประเมินให้เลื่อนเงินเดือนหรือค่าจ้างหนึ่งขั้นครึ่ง ให้เบิกจ่ายค่าตอบแทนพิเศษ ร้อยละ ๔ (โดยมีสัดส่วนของผู้ที่ได้รับเป็นจำนวนร้อยละ ๒๕ ของผู้ที่มีเงินเดือนเต็มขั้น) ๔. กรณีได้รับการประเมินผลการปฏิบัติงานในระดับ ๕ หรือได้รับการประเมินให้เลื่อนเงินเดือนหรือค่าจ้างสองขั้น ให้เบิกจ่ายค่าตอบแทนพิเศษ ร้อยละ ๖ (โดยมีสัดส่วนของผู้ที่ได้รับเป็นจำนวนร้อยละ ๑๐ ของผู้ที่มีเงินเดือนเต็มขั้น) โดยการจ่ายเงินดังกล่าวไม่ถือเป็นค่าจ้าง และมีลักษณะการจ่ายเป็นการชั่วคราว รวมทั้งไม่เป็นฐานในการคำนวณสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ แก่พนักงาน ซึ่งการเคหะแห่งชาติได้พิจารณาประเมินผลสำหรับการจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษดังกล่าวไว้แล้วเป็นเงิน ๕,๕๓๘,๓๖๐ บาท ต่อปี |
||||||||||||||||||||||||||||||
998 | การกำหนดขอบเขตสภาพการจ้างที่เกี่ยวกับการเงินสำหรับรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งที่รัฐวิสาหกิจนั้นอาจดำเนินการเองได้ ตามมาตรา 13 (2) แห่งพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2543 | รง | 19/12/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบเกี่ยวกับกรณีอัตราเบี้ยเลี้ยงและค่าเช่าที่พักประเภทเหมาจ่าย โดยปรับปรุงจากเดิมอัตราไม่เกินวันละ ๑,๐๐๐ บาท เป็น ไม่เกินวันละ ๑,๕๐๐ บาท และกรณีค่าน้ำมันเชื้อเพลิงรถยนต์ส่วนบุคคลและรถจักรยานยนต์ส่วนบุคคลในการปฏิบัติงานนอกสถานที่ ที่กำหนดให้เบิกเงินชดเชยเป็นค่าพาหนะในลักษณะเหมาจ่ายให้แก่ผู้เดินทางไปราชการ ไม่เกินอัตราที่กระทรวงการคลังกำหนด ตามมติคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ครั้งที่ ๖/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๔ เนื่องจากค่าใช้จ่ายดังกล่าวเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ไม่ถือเป็นสภาพการจ้างตามพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓ โดยเป็นการเบิกจ่ายให้แก่ลูกจ้างของรัฐวิสาหกิจในกรณีได้รับมอบหมายให้เดินทางไปปฏิบัติหน้าที่เท่านั้น ทั้งนี้ ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ๒. เห็นชอบการกำหนดขอบเขตสภาพการจ้างที่เกี่ยวกับการเงินที่รัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งอาจดำเนินการได้เองตามมาตรา ๑๓ (๒) แห่งพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓ เกี่ยวกับการปรับปรุงค่าห้องและค่าอาหารในกรณีเข้ารับการรักษาพยาบาลในสถานพยาบาล สำหรับลูกจ้างเท่าที่จ่ายจริงตามความจำเป็น แต่ไม่เกินวันละ ๑,๒๐๐ บาท และสำหรับบุคคลในครอบครัวเท่าที่จ่ายจริงตามความจำเป็น แต่ไม่เกินวันละ ๘๐๐ บาท ทั้งนี้ สิทธิสำหรับบุคคลในครอบครัวจะต้องเป็นสิทธิที่มีอยู่เดิม และการกำหนดสภาพการจ้างดังกล่าวจะต้องคำนึงถึงสถานะการเงิน ผลการดำเนินงานของกิจการ และการจัดหารายได้เพิ่มขึ้นให้ครอบคลุมรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นด้วย หรือสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายให้ครอบคลุมรายจ่ายที่จะเกิดขึ้น และขอบเขตสภาพการจ้างดังกล่าวไม่ใช่สภาพบังคับที่รัฐวิสาหกิจต้องดำเนินการ และเมื่อรัฐวิสาหกิจใดดำเนินการปรับปรุงสภาพการจ้างแล้ว ให้รัฐวิสาหกิจแจ้งการปรับปรุงดังกล่าวให้คณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ทราบ ตามมติคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ครั้งที่ ๘/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๔ ๓. ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของกระทรวงการคลังไปดำเนินการเกี่ยวกับกรณีที่รัฐวิสาหกิจใดมีการพิจารณาปรับปรุงสภาพการจ้างให้รัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งรายงานให้กระทรวงแรงงานทราบเพื่อรวบรวมเป็นฐานข้อมูลในการพิจารณาปรับปรุงสภาพการจ้างของลูกจ้างรัฐวิสาหกิจในโอกาสต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
999 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง แนวทางแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินเกษตรกรสภาประชาชน 4 ภาค (ครั้งที่ 4) | กษ | 13/12/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลความคืบหน้าเกี่ยวกับแนวทางแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินเกษตรกรสภาประชาชน ๔ ภาค (ครั้งที่ ๔) ของสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการดำเนินการแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินให้แก่เกษตรกรสภาประชาชน ๔ ภาค (ครั้งที่ ๔) ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๓ ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔ มี ดังนี้ ๑.๑ รับคำเสนอขายที่ดิน จำนวน ๒๒ จังหวัด เนื้อที่ ๓๐,๗๙๓ - ๐ - ๗๔ ไร่ ๑.๒ เกษตรกรมาตรวจสอบสิทธิ จำนวน ๑,๗๑๘ ราย มีคุณสมบัติครบ ๑,๔๘๘ ราย ๑.๓ เกษตรกรแสดงความประสงค์และพึงพอใจในที่ดิน จำนวน ๑,๐๐๒ ราย เนื้อที่ ๑๔,๒๒๘ - ๓ - ๙๕ ไร่ ๑.๔ คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินจังหวัด (คปจ.) เห็นชอบแผนการจัดซื้อที่ดิน จำนวน ๒๑ จังหวัด เกษตรกร ๙๒๘ ราย เนื้อที่ ๑๓,๑๒๙ - ๐ - ๘๘ ไร่ ๒. ส.ป.ก. ได้ดำเนินการตามแนวทางตามมติคณะกรรมการแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินเกษตรกรสภาประชาชน ๔ ภาค ในการตรวจสอบข้อมูลทะเบียนราษฎรของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ออกประกาศ ณ วันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ให้เกษตรกรแสดงตน ณ ส.ป.ก.จังหวัด ที่ประสงค์จะให้จัดซื้อที่ดิน ภายในที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๓ มีหนังสือแจ้งเกษตรกรที่ยังไม่มาแสดงตนให้มาแสดงตน และให้เจ้าหน้าที่ติดตามเกษตรกรยังภูมิลำเนา โดยในส่วนของเกษตรกรที่แสดงตนแล้วได้เร่งรัดดำเนินการเพื่อให้เกษตรกรคัดเลือกแปลงที่ดินโดยเร็ว ๓. คณะกรรมการแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินเกษตรกรสภาประชาชน ๔ ภาค ได้กำหนดให้เกษตรกรที่แสดงความประสงค์และพึงพอใจในแปลงที่ดินที่ผ่านความเห็นชอบจากอนุกรรมการและ คปจ. แล้ว ห้ามมิให้ย้ายไปขอรับการจัดที่ดินแปลงอื่น ซึ่งหากเกษตรกรยืนยันไม่ประสงค์ขอรับการจัดที่ดินแปลงเดิมที่ได้ผ่านความเห็นชอบแล้ว ถือว่าเกษตรกรรายนั้น สละสิทธิที่จะได้รับความช่วยเหลือเรื่องที่ดินทำกิน ๔. คณะกรรมการแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินเกษตรกรสภาประชาชน ๔ ภาค ได้เห็นชอบแนวทางแก้ไขปัญหาอุปสรรคข้อขัดข้องในการดำเนินงานโดยการสร้างความสามัคคี ปรองดอง และการประสานประโยชน์ร่วมกันของทุกฝ่าย/กลุ่ม ในสภาประชาชน ๔ ภาค เพื่อลดความขัดแย้งและเพื่อให้การดำเนินงานบรรลุเป้าหมายในการจัดที่ดินให้แก่สมาชิก ๕. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๓ มอบให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ส่งร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตปฏิรูปที่ดินที่ ส.ป.ก.จังหวัด จะจัดซื้อตามระเบียบคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (คปก.) ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการจัดหาที่ดินและจัดที่ดินให้แก่กลุ่มเกษตรกรที่ได้รับความช่วยเหลือเรื่องที่ดินทำกินตามมติคณะรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๕๒ ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาไปได้ก่อน แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ซึ่งจะทำให้ขั้นตอนการตราพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตปฏิรูปที่ดินลดลง ๖. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ประสานงานกระทรวงมหาดไทยเพื่อขอให้แจ้งหน่วยงานในสังกัดพิจารณาให้ความร่วมมือในการดำเนินการแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินให้แก่เกษตรกรสภาประชาชน ๔ ภาค ตามมติคณะรัฐมนตรีในการตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารสิทธิตามประมวลกฎหมายที่ดิน ตลอดจนการรังวัดสอบเขตแปลงที่ดินให้เป็นไปด้วยความรวดเร็ว |
||||||||||||||||||||||||||||||
1000 | โครงการศูนย์ประสานงานกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีประจำภูมิภาค | วท | 13/12/2554 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายสังคม) ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ที่อนุมัติในหลักการให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีดำเนินโครงการศูนย์ประสานงานกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีประจำภูมิภาค โดยการจัดตั้งศูนย์ประสานงานกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีประจำภูมิภาค ใน ๘ ภูมิภาค ได้แก่ ภาคเหนือตอนบน ภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคตะวันตก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง และภาคใต้ เพื่อทำหน้าที่ประสานดำเนินงานด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมกับหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง และประสานในเชิงพื้นที่เพื่อการกระจายตัวในการให้บริการงานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสู่ประชาชนได้มากขึ้น ระยะเวลาดำเนินงาน ๔ ปี (ตุลาคม ๒๕๕๕ ถึง กันยายน ๒๕๕๘) โดยให้ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๕๐ (เรื่อง แนวทางการจัดส่วนราชการในภูมิภาค) และให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีดำเนินการ ดังนี้
๑. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีดำเนินโครงการศูนย์ประสานงานกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีประจำภูมิภาคในลักษณะโครงการนำร่องก่อน โดยเลือกจังหวัดตัวอย่างที่มีความเหมาะสมและมีศักยภาพ รวม ๔ จังหวัด ใน ๒ ภาค โดยให้หารือในรายละเอียดการพิจารณาเลือกจังหวัดตัวอย่างกับสำนักงาน ก.พ.ร. ก่อนดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของคณะกรรมการกลั่นกรองฯ เกี่ยวกับการพิจารณาเลือกจังหวัดที่มีศักยภาพและมีความพร้อม และพิจารณาคัดเลือกบุคคลที่มีความรู้ความสามารถทางด้านวิทยาศาสตร์อย่างแท้จริงมาเป็นผู้ดูแลศูนย์ประสานงานกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีประจำภูมิภาค การประสานความร่วมมือกับสถาบันอุดมศึกษาในแต่ละภูมิภาคในการดำเนินกิจกรรมการวิจัยและพัฒนา การเผยแพร่ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมทั้งการประสานงานและเชื่อมโยงการทำงานรวมกับศูนย์อื่น ๆ ของกระทรวงสาธารณสุขในภูมิภาค เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนในการดำเนินงาน และก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย ๒. ในส่วนของการจัดสรรอัตรากำลังเพื่อดำเนินโครงการนำร่อง ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีใช้วิธีการเกลี่ยอัตรากำลังภายในหน่วยงานไปก่อน โดยให้ขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงาน ก.พ. ก่อนดำเนินการต่อไป ๓. ในส่วนของค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการนำร่อง ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีปรับแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ของสำนักงานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาใช้เพื่อการนี้ โดยให้ขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณและดำเนินการตามระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ๔. เมื่อกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีดำเนินการโครงการนำร่องไปแล้ว ให้ประเมินผลโครงการเพื่อพิจารณาความเหมาะสมคุ้มค่าของการดำเนินการเพื่อประกอบการพิจารณาขออนุมัติดำเนินโครงการในระยะต่อ ๆ ไป |