ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 42 จากทั้งหมด 252 หน้า แสดงรายการที่ 821 - 840 จากข้อมูลทั้งหมด 5030 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
821 | ขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่ของห้างหุ้นส่วนจำกัด พลัดแอกอุตสาหกรรมเหมืองแร่ ที่จังหวัดสระบุรี | อก | 18/06/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๓๓ (เรื่อง การอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้) และวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ [เรื่อง มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำภาคตะวันตก ภาคกลาง และลุ่มน้ำป่าสัก และการกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือส่วนอื่น ๆ (ลุ่มน้ำชายแดน)] เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูน (เพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง) ของห้างหุ้นส่วนจำกัด พลัดแอกอุตสาหกรรมเหมืองแร่ ตามคำขอที่ ๑/๒๕๕๑ (ประทานบัตรที่ ๒๘๖๐๘/๑๕๓๖๐) ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เห็นว่า กระทรวงอุตสาหกรรมควรพิจารณาดำเนินการตามระเบียบ/ข้อกฎหมายด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบ ทั้งนี้ หลังจากได้รับการต่ออายุประทานบัตรแล้ว ให้ผู้ถือประทานบัตรดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด และจะต้องปฏิบัติตามข้อเสนอแนะมาตรการการใช้ที่ดินในเขตลุ่มน้ำภาคตะวันตก ภาคกลาง และลุ่มน้ำป่าสัก ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ โดยเคร่งครัด รวมทั้งควรนำมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่เสนอไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมไปกำหนดเป็นเงื่อนไขในการต่ออายุประทานบัตร ทั้งนี้ ก่อนการอนุญาตสัมปทาน ให้กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมตรวจสอบการฟื้นฟูสภาพพื้นที่ที่ผ่านการทำเหมือง ให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างครบถ้วน และเนื่องจากการทำเหมืองหินเป็นกิจกรรมที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่อย่างมาก ทั้งมลพิษทางเสียง มลพิษทางอากาศ ฝุ่นละออง และแรงสั่นสะเทือน จึงเห็นควรให้เพิ่มวงเงินกองทุนฟื้นฟูสภาพแวดล้อมของพื้นที่ทำเหมืองและกองทุนเฝ้าระวังสุขภาพและการพัฒนาชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากการทำเหมือง โดยกำหนดอัตราส่วนที่เหมาะสมกับผลประโยชน์ตอบแทนทางเศรษฐกิจที่ได้รับ รวมทั้งให้ชุมชน โรงเรียน วัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีส่วนในการบริหารจัดการกองทุนนี้ร่วมกัน และเห็นควรให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ตั้งโครงการและพื้นที่ใกล้เคียงซึ่งอาจได้รับผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขอนามัยของประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมติดตาม และตรวจสอบเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและมลพิษตามอำนาจหน้าที่ที่ได้รับการถ่ายโอนมา ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
822 | ขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่ของนายมนู เลขะกุล ที่จังหวัดยะลา | อก | 18/06/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๓๒ (เรื่อง มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำภาคใต้ และข้อเสนอแนะมาตรการการใช้ที่ดินในเขตลุ่มน้ำ) และวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๓๓ (เรื่อง การอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้) เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูน (เพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง) ของนายมนู เลขะกุล ตามคำขอที่ ๑/๒๕๔๘ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวัฒนธรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นว่ากระทรวงอุตสาหกรรมควรพิจารณาดำเนินการตามระเบียบ/ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบ ทั้งนี้ หลังจากได้รับประทานบัตรแล้ว ให้ผู้ถือประทานบัตรดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัดต่อไป และจะต้องปฏิบัติตามข้อเสนอแนะมาตรการการใช้ที่ดินในเขตลุ่มน้ำภาคใต้ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๓๒ โดยเคร่งครัด และเห็นควรให้กระทรวงอุตสาหกรรมนำมาตรการสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมดังกล่าวไปกำหนดเป็นเงื่อนไขในการให้ต่ออายุประทานบัตรเหมืองแร่ด้วย รวมทั้งเห็นว่าในการใช้พื้นที่เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่ฯ ควรให้กระทำได้ในเขตพื้นที่ประทานบัตรเดิมตามแนวเขตเส้นชั้นระดับความสูง (Contour Line) ของเขายะลาที่ชั้นความสูง ๒๐๐ เมตรจากระดับน้ำทะเล และเห็นควรให้กระทรวงอุตสาหกรรมนำมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม มาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม และแผนการฟื้นฟูสภาพพื้นที่การทำเหมือง รวมทั้งแผนการใช้วัตถุระเบิดในการทำเหมือง ข้อตกลงเกี่ยวกับการจ่ายเงินเข้ากองทุนและปฏิบัติตามเงื่อนไขของกรมศิลปากรไปกำหนดเป็นเงื่อนไขแนบท้ายใบอนุญาตประทานบัตรเหมืองแร่ และติดตามกำกับดูแลการดำเนินการในพื้นที่ขอประทานบัตรให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่ได้กำหนดไว้ และให้ผู้ถือประทานบัตรปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ ก่อนการอนุญาตสัมปทานเห็นควรให้กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และผู้แทนชุมชนในพื้นที่ดังกล่าว ตรวจสอบการฟื้นฟูสภาพพื้นที่ที่ผ่านการทำเหมือง ให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างครบถ้วน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
823 | ขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บีเอ็ม เพื่อทำเหมืองแร่ของบริษัท หินอ่อน จำกัด ที่จังหวัดสระบุรี | อก | 18/06/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บีเอ็ม ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๓๓ (เรื่อง การอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้) และวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ [เรื่อง มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำภาคตะวันตก ภาคกลาง และลุ่มน้ำป่าสัก และการกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือส่วนอื่น ๆ (ลุ่มน้ำชายแดน)] เพื่อทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูน (เพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง) ของบริษัท หินอ่อน จำกัด ตามคำขอที่ ๕/๒๕๔๖ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เห็นว่ากระทรวงอุตสาหกรรมควรพิจารณาดำเนินการตามระเบียบ/ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบ ทั้งนี้ หลังจากได้รับประทานบัตรแล้วให้ผู้ถือประทานบัตรดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด และจะต้องปฏิบัติตามข้อเสนอแนะมาตรการใช้ที่ดินในเขตลุ่มน้ำภาคตะวันตก ภาคกลาง และลุ่มน้ำป่าสัก ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ โดยเคร่งครัด รวมทั้งควรนำมาตรการป้องกันผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมไปกำหนดเป็นเงื่อนไขในการอนุญาตประทานบัตรเหมืองแร่ด้วย ทั้งนี้ ก่อนการอนุญาตสัมปทาน ให้กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และผู้แทนชุมชนในพื้นที่ดังกล่าว ตรวจสอบการฟื้นฟูสภาพพื้นที่ที่ผ่านการทำเหมือง ให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างครบถ้วน และเนื่องจากการทำเหมืองหินเป็นกิจกรรมที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่อย่างมาก ทั้งมลพิษทางเสียง มลพิษทางอากาศ ฝุ่นละออง แรงสั่นสะเทือน จึงเห็นควรให้เพิ่มวงเงินกองทุนฟื้นฟูสภาพแวดล้อมของพื้นที่ทำเหมืองและกองทุนเฝ้าระวังสุขภาพและการพัฒนาชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากการทำเหมือง โดยกำหนดอัตราส่วนให้เหมาะสมกับผลประโยชน์ตอบแทนทางเศรษฐกิจที่ได้รับ รวมทั้งให้ชุมชน โรงเรียน วัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการกองทุนนี้ร่วมกัน และเห็นควรให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ตั้งโครงการและพื้นที่ใกล้เคียงซึ่งอาจได้รับผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขอนามัยของประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมติดตาม และตรวจสอบเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและมลพิษตามอำนาจหน้าที่ที่ได้รับการถ่ายโอนมา ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
824 | การลาไปช่วยเหลือภริยาที่คลอดบุตรของลูกจ้างรัฐวิสาหกิจ | รง | 18/06/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการกำหนดขอบเขตสภาพการจ้างที่เกี่ยวกับการเงินตามพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓ มาตรา ๑๓ (๒) ที่ให้รัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งสามารถดำเนินการเองได้เมื่อคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจนั้นเห็นชอบแล้ว ในเรื่องการลาไปช่วยเหลือภริยาที่คลอดบุตร ตามมติคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ครั้งที่ ๓/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ดังนี้
๑. ลูกจ้างซึ่งประสงค์จะลาไปช่วยเหลือภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายที่คลอดบุตรให้เสนอหรือจัดส่งใบลาต่อผู้บังคับบัญชาตามลำดับจนถึงผู้มีอำนาจอนุญาตก่อนหรือในวันที่ลาภายใน ๙๐ วัน นับแต่วันที่คลอดบุตร และให้มีสิทธิลาไปช่วยเหลือภริยาที่คลอดบุตรครั้งหนึ่งติดต่อกันได้ไม่เกิน ๑๕ วันทำงาน นายจ้างอาจให้แสดงหลักฐานประกอบการพิจารณาอนุญาตด้วยก็ได้ ๒. ลูกจ้างซึ่งลาไปช่วยเหลือภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายที่คลอดบุตรภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ภริยาคลอดบุตรให้ได้รับเงินเดือนระหว่างลาได้ไม่เกิน ๑๕ วันทำงาน แต่ถ้าเป็นการลาเมื่อพ้น ๓๐ วัน นับแต่วันที่ภริยาคลอดบุตรไม่ให้ได้รับเงินเดือนระหว่างลา เว้นแต่ผู้บริหารสูงสุดเห็นสมควรจะให้จ่ายค่าจ้างระหว่างลานั้นก็ได้ แต่ไม่เกิน ๑๕ วันทำงาน |
|||||||||||||||||||||||||||
825 | ขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บีเอ็ม เพื่อทำเหมืองแร่ของบริษัท หินอ่อน จำกัด ที่จังหวัดสระบุรี (เพื่อทำปูนขาว) | อก | 18/06/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บีเอ็ม ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๓๓ (เรื่อง การอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้) และวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ [เรื่อง มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำภาคตะวันตก ภาคกลาง และลุ่มน้ำป่าสัก และการกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือส่วนอื่น ๆ (ลุ่มน้ำชายแดน)] เพื่อทำเหมืองแร่หินอ่อนและหินอุตสาหกรรมชนิดหินปูน (เพื่อทำปูนขาว) ของบริษัท หินอ่อน จำกัด ตามคำขอที่ ๑/๒๕๔๙ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เห็นว่ากระทรวงอุตสาหกรรมควรพิจารณาดำเนินการตามระเบียบ/ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบ ทั้งนี้ หลังจากได้รับประทานบัตรแล้วให้ผู้ถือประทานบัตรดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด และจะต้องปฏิบัติตามข้อเสนอแนะมาตรการใช้ที่ดินในเขตลุ่มน้ำภาคตะวันตก ภาคกลาง และลุ่มน้ำป่าสัก ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ โดยเคร่งครัด รวมทั้งควรนำมาตรการป้องกันผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมไปกำหนดเป็นเงื่อนไขในการอนุญาตประทานบัตรเหมืองแร่ด้วย ทั้งนี้ ก่อนการอนุญาตสัมปทาน ให้กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และผู้แทนชุมชนในพื้นที่ดังกล่าว ตรวจสอบการฟื้นฟูสภาพพื้นที่ที่ผ่านการทำเหมือง ให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างครบถ้วน และเนื่องจากการทำเหมืองหินเป็นกิจกรรมที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่อย่างมาก ทั้งมลพิษทางเสียง มลพิษทางอากาศ ฝุ่นละออง แรงสั่นสะเทือน จึงเห็นควรให้เพิ่มวงเงินกองทุนฟื้นฟูสภาพแวดล้อมของพื้นที่ทำเหมืองและกองทุนเฝ้าระวังสุขภาพและการพัฒนาชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากการทำเหมือง โดยกำหนดอัตราส่วนให้เหมาะสมกับผลประโยชน์ตอบแทนทางเศรษฐกิจที่ได้รับ รวมทั้งให้ชุมชน โรงเรียน วัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการกองทุนนี้ร่วมกัน และเพื่อมิให้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ตั้งโครงการควรให้ผู้ที่ได้รับสัมปทานบัตรดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ตามรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด และให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งเป็นที่ตั้งโครงการ และพื้นที่ใกล้เคียงเข้ามามีส่วนร่วมติดตาม และตรวจสอบการดำเนินงานของบริษัท หินอ่อน จำกัด อย่างต่อเนื่องตามอำนาจหน้าที่ที่ได้รับการถ่ายโอนจากส่วนราชการ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
826 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง ขอเงินงบกลางช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยพิบัติด้านการเกษตร ปี 2555 กรณีพิเศษ | กค | 10/06/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๑๓/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๕๖ ที่เห็นชอบการขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง ขอเงินงบกลางช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยพิบัติด้านการเกษตร ปี ๒๕๕๕ กรณีพิเศษ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยให้ใช้อัตราการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยพิบัติตามที่คณะกรรมการกลั่นกรองฯ เห็นชอบ เพื่อให้เกิดความคล่องตัวและไม่เป็นอุปสรรคในการปฏิบัติงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้แก่ ข้าว ๑,๑๑๓ บาทต่อไร่ พืชไร่ ๑,๑๔๘ บาทต่อไร่ พืชสวนและอื่น ๆ ๑,๖๙๐ บาทต่อไร่ สำหรับกรณีพืชสวนและอื่น ๆ ที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติทำให้ชะงักการเจริญเติบโตแต่ไม่ตายและยังอยู่ในสภาพฟื้นฟูให้กลับสู่สภาพเดิมได้ ให้ช่วยเหลือเฉพาะค่าปุ๋ย ๕๐% ในอัตราไร่ละ ๖๐๕ บาท ส่วนการช่วยเหลือด้านประมงและด้านปศุสัตว์ ให้ใช้อัตราตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาเสนอคณะรัฐมนตรี ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
827 | มาตรการให้ความช่วยเหลือด้านหนี้สินของสมาชิกสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรที่ประสบอุทกภัย ปี 2554 | กษ | 10/06/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๑๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบมาตรการให้ความช่วยเหลือด้านหนี้สินของสมาชิกสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรที่ประสบอุทกภัยปี ๒๕๕๔ โดยกรณีสมาชิกเสียชีวิต ให้จำหน่ายหนี้ออกจากบัญชีของสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรเป็นสูญ รัฐบาลรับภาระชำระหนี้ให้แทน ส่วนกรณีสมาชิกที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยแต่ไม่เสียชีวิต หนี้เงินกู้ที่มีอยู่เดิมก่อนประสบภัย ให้สหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรพักการชำระหนี้เงินกู้เป็นเวลา ๓ ปี นับตั้งแต่วันที่ประสบอุทกภัย โดยงดคิดดอกเบี้ย รัฐบาลชดเชยดอกเบี้ยให้ตามอัตราที่สหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรเรียกเก็บจากสมาชิก สำหรับเงินกู้สัญญาใหม่เพื่อการฟื้นฟูอาชีพและพัฒนาคุณภาพชีวิต สัญญา/รายละไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท รัฐบาลชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้ให้ร้อยละ ๓ ต่อปี เป็นเวลาไม่เกิน ๓ ปี ๑.๒ เห็นชอบกรอบวงเงินงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ จำนวน ๗๑๕ ล้านบาทเพื่อจ่ายชดเชยดอกเบี้ยการพักชำระหนี้เดิมก่อนเกิดอุทกภัย และลดภาระหนี้เงินกู้ใหม่เพื่อฟื้นฟูการประกอบอาชีพให้สมาชิกที่ประสบอุทกภัยปี ๒๕๕๔ เป็นปีที่ ๓ ของการดำเนินตามมาตรการ ๑.๓ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกรมส่งเสริมสหกรณ์รับความเห็นของประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรในระยะต่อไป ควรให้สหกรณ์/กลุ่มสหกรณ์มีส่วนร่วมรับผิดชอบ โดยอาจพิจารณาจัดตั้งกองทุนร่วมกันเพื่อสะสมเงินทุนที่นำมาใช้ดูแลสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรในกรณีที่ได้รับความเดือดร้อน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒. สำหรับงบประมาณในการให้ความช่วยเหลือด้านหนี้สินของสมาชิกสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรที่ประสบอุทกภัย วงเงินรวม ๗๑๕ ล้านบาท ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ตามขั้นตอนต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
828 | โครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต 2555/56 ครั้งที่ 2 | พณ | 10/06/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๑๓/๒๕๕๖ เมื่อวันศุกร์ที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๕๖ ที่เห็นควรเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณามติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๖ (เรื่อง วงเงินรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๕/๕๖ ครั้งที่ ๒) ให้ครอบคลุมข้อเสนอเดิมของกระทรวงพาณิชย์ เพื่อให้การบริหารเงินในการดำเนินโครงการมีประสิทธิภาพ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ กรณีมีความจำเป็นให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สำรองจ่ายไปก่อนระหว่างรอเงินจากการระบายผลิตผล หรือเงินจากแหล่งอื่น ๆ โดยให้กระทรวงพาณิชย์ตกลงกับ ธ.ก.ส. เป็นคราว ๆ ไป โดย ธ.ก.ส. จะได้รับอัตราชดเชยต้นทุนเงินและค่าบริหารโครงการในอัตราเดิมตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง รายงานผลการดำเนินการโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ และพิจารณาปริมาณและวงเงินโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๕/๕๖) ทั้งนี้ ณ วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ กระทรวงพาณิชย์ต้องดำเนินการให้มีการใช้เงินในกรอบวงเงินหมุนเวียนของโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ และ ๒๕๕๕/๕๖ ไม่เกินจำนวน ๕๐๐,๐๐๐ ล้านบาท โดยเป็นเงินทุนของ ธ.ก.ส. จำนวน ๙๐,๐๐๐ ล้านบาท และเงินกู้ที่กระทรวงการคลังจัดหาให้ จำนวน ๔๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๒ เงินที่ได้จากการระบายผลิตผลทางการเกษตรตั้งแต่ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ เป็นต้นไป ให้นำไปชำระคืน ธ.ก.ส. จำนวน ๙๐,๐๐๐ ล้านบาท ให้เสร็จสิ้นก่อน แล้วจึงชำระคืนเงินกู้สถาบันการเงินที่กระทรวงการคลังจัดหาและค้ำประกันที่ครบกำหนดในปีงบประมาณ ๒๕๕๖ โดยเงินทุนของ ธ.ก.ส. จำนวน ๙๐,๐๐๐ ล้านบาท ที่ได้รับชำระคืน สามารถนำมาใช้หมุนเวียนสำหรับการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๕/๕๖ ได้ด้วย ๑.๓ ให้กระทรวงการคลังรับภาระชำระคืนต้นเงิน ดอกเบี้ย จากการกู้ยืมเงินค่าใช้จ่ายต่าง ๆ และผลขาดทุนที่เกิดขึ้นทั้งหมดของการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๕/๕๖ ทั้งในส่วนที่กระทรวงการคลังจัดหาให้ ใช้ และส่วนที่ใช้เงินทุนของ ธ.ก.ส. ๑.๔ ในกรณีที่กรอบปริมาณการรับจำนำภายใต้โครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๕/๕๖ ครั้งที่ ๑ เกินกว่ากรอบที่คณะรัฐมนตรีได้เคยอนุมัติไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์เสนอขอขยายกรอบปริมาณและกรอบวงเงินในการดำเนินโครงการดังกล่าวต่อคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ เพื่อพิจารณาและเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบต่อไป ทั้งนี้ การขยายกรอบปริมาณและกรอบวงเงินดังกล่าวเมื่อรวมกับประมาณการกรอบปริมาณและกรอบวงเงินของโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๕/๕๖ ครั้งที่ ๒ ต้องไม่เกินกรอบปริมาณและกรอบวงเงินของโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๕/๕๖ ที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้ ๑.๕ ให้ ธ.ก.ส. แยกการดำเนินงานโครงการออกจากการดำเนินงานปกติ เป็นบัญชีธุรกรรมนโยบายรัฐ (Public Service Account : PSA) และบันทึกเป็นภาระผูกพันนอกงบประมาณ เพื่อทราบผลกระทบการดำเนินโครงการและขอชดเชยความสูญเสียที่อาจจะเกิดขึ้น นอกจากนั้น ให้ ธ.ก.ส. ไม่ต้องรวมผลการดำเนินโครงการจากเงินทุนที่ได้จากการกู้ยืมจากสถาบันการเงินต่าง ๆ เป็นสินทรัพย์เสี่ยง (Capital Adequacy Ratio : CAR) ที่ใช้ในการคำนวณสัดส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงตามที่กำหนดในกฎกระทรวงว่าด้วยเงินกองทุนของ ธ.ก.ส. ๑.๖ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงพาณิชย์วางระบบการกำกับติดตามการดำเนินงานของโครงการรับจำนำข้าวเปลือกในทุกขั้นตอน โดยเฉพาะให้องค์การตลาดเพื่อเกษตรกรและองค์การคลังสินค้าดำเนินการและควบคุมการออกใบประทวนอย่างรัดกุม รวมทั้งให้ ธ.ก.ส. ตรวจสอบปริมาณและคุณภาพสินค้าให้เป็นไปตามใบประทวนที่ได้รับ ๒. อนุมัติตามมติคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ที่ให้รวมปริมาณรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๖ ที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไปแล้ว ครั้งที่ ๑ เมื่อวันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๕๕ จำนวน ๑๕ ล้านตัน และที่อนุมัติครั้งที่ ๒ เมื่อวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๖ จำนวน ๗ ล้านตัน เข้าด้วยกัน รวมเป็นจำนวน ๒๒ ล้านตัน |
|||||||||||||||||||||||||||
829 | การพิจารณาทบทวนมาตรการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2556 | พณ | 04/06/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการกำหนดมาตรการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี ๒๕๕๖ ตามมติคณะกรรมการนโยบายอาหาร เมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ประธานกรรมการนโยบายอาหารเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ขยายระยะเวลาการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี ๒๕๕๖ ของผู้นำเข้าทั่วไป ภายใต้ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) และโครงการลงทุนเกษตรแบบมีสัญญากับประเทศเพื่อนบ้าน (Contract Farming) ภายใต้ยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง (Ayeyawady-Chao Phraya-Mekong Economic Cooperation Strategy : ACMECS) ออกไปอีก ๑ เดือน จากเดือนมีนาคม-กรกฎาคม ๒๕๕๖ เป็นเดือนมีนาคม-สิงหาคม ๒๕๕๖ อัตราภาษีร้อยละ ๐ กำหนดมาตรการบริหารการนำเข้า โดยให้องค์การคลังสินค้า (อคส.) นำเข้าได้ตลอดทั้งปี โดยให้จัดทำแผนการจัดซื้อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ด้านการผลิต การตลาด ภาวะราคา และความต้องการใช้ เพื่อไม่ให้กระทบต่อผลผลิตในประเทศ สำหรับผู้นำเข้าทั่วไปนำเข้าได้ช่วงเดือนมีนาคม-สิงหาคม ๒๕๕๖ และต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดมาตรฐานควบคุมการนำเข้าตามพระราชบัญญัติควบคุมคุณภาพอาหารสัตว์ พ.ศ. ๒๕๒๕ ๑.๒ ให้คงมาตรการบริหารการนำเข้าภายใต้ความตกลงการค้าอื่น ๆ ได้แก่ การนำเข้าตามความตกลงองค์การการค้าโลก (World Trade Organization : WTO) ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น ไทย-นิวซีแลนด์ (Thailand-New Zealand Closer Economic Partnership : TNZCEP) ความตกลงการค้าเสรี ไทย-ออสเตรเลีย (Thailand-Australia Free Trade Agreement : TAFTA) ความตกลงการค้าเสรีไทย-ญี่ปุ่น (Japan-Thailand Economic Partnership Agreement : JTEPA) ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-ญี่ปุ่น (ASEAN-Japan Comprehensive Economic Partnership : AJCEP) ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-เกาหลี (ASEAN-Korea Free Trade Agreement : AKFTA) และการนำเข้าทั่วไป (ประเทศนอกข้อตกลง) ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง นโยบายและมาตรการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปี ๒๕๕๖) ซึ่งเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายอาหาร เมื่อวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๕๕ ๑.๓ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ทั้งทางด้านมาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช (The Application of Sanitary and Phytosantary Measures : SPS) และเอกสารที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้กรมปศุสัตว์ กรมการค้าต่างประเทศประสานข้อมูลรายชื่อผู้ขออนุญาตนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ระหว่างกัน เพื่อติดตามกำกับดูแล การนำเข้าได้อย่างทั่วถึงและสร้างความมั่นใจแก่อุตสาหกรรมการเลี้ยงสัตว์ภายในประเทศ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ต้องดำเนินการอย่างรอบคอบและระมัดระวัง เนื่องจากในเดือนสิงหาคม ผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จะออกสู่ตลาดมาก การดำเนินงานควรเน้นให้มีการประชาสัมพันธ์ให้ครอบคลุมทุกภาคส่วนทั้งภายในประเทศ และต่างประเทศ โดยเฉพาะราชอาณาจักรกัมพูชา เพื่อให้การดำเนินการไม่เกิดการร้องเรียนในภายหลัง การจัดทำแผนการจัดซื้อและการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของ อคส. ให้พิจารณาดำเนินการอย่างรอบคอบ โดยรับฟังความคิดเห็นจากผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องให้ครบถ้วนเพื่อใช้ประกอบการพิจารณาดำเนินการ และให้เข้มงวดกับกระบวนการตรวจสอบคุณภาพการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ รวมทั้งการติดตามสถานการณ์ราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศอย่างใกล้ชิด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการอย่างเคร่งครัดในการบริหารจัดการปริมาณและช่วงเวลาการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้เหมาะสม โดยไม่ส่งผลกระทบต่อปริมาณและราคาของสินค้าเกษตรภายในประเทศของไทย ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๕๖ [เรื่อง แผนการลงทุนเกษตรแบบมีสัญญากับประเทศเพื่อนบ้าน (Contract Farming) ภายใต้ยุทธศาสตร์อิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง (ACMECS) ประจำปี ๒๕๕๖] |
|||||||||||||||||||||||||||
830 | ร่างระเบียบคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม ว่าด้วยการจ่ายเงินเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราวข้าราชการตุลาการและดะโต๊ะยุติธรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ศย | 04/06/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๑๒/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๖ เกี่ยวกับการเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราวข้าราชการตุลาการและดะโต๊ะยุติธรรมตามร่างระเบียบคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม ว่าด้วยการจ่ายเงินเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราวข้าราชการตุลาการและดะโต๊ะยุติธรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และขออนุมัติใช้งบกลาง สำหรับรายการเงินเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราวของข้าราชการตุลาการและดะโต๊ะยุติธรรม ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ โดยคณะกรรมการกลั่นกรองฯ มีประเด็นอภิปรายและมติ ดังนี้ ๑.๑ โครงสร้างเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการศาลยุติธรรมไม่มีการปรับมาเป็นระยะเวลา ๑๖ ปี โดยการปรับครั้งล่าสุดมีขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๓ ดังนั้น คณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม (ก.บ.ศ.) จึงได้มีการพิจารณาทบทวนโครงสร้างบัญชีเงินเดือนเพื่อขอปรับค่าครองชีพชั่วคราวให้สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจและอัตราค่าตอบแทนของบุคลากรสำนักงานอัยการสูงสุด และกรมสอบสวนคดีพิเศษ ที่อยู่ในระดับเดียวกัน โดยผู้พิพากษาชั้นต้น (ชั้น ๒) ปรับเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราว เป็น ๕,๐๐๐ บาทต่อเดือน ผู้พิพากษาประจำศาล ปรับเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราว เป็น ๑๖,๓๓๐ บาทต่อเดือน ผู้ช่วยผู้พิพากษา ปรับเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราว เป็น ๑๗,๔๔๐ บาทต่อเดือน และดะโต๊ะยุติธรรม ปรับเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราว เป็น ๑๖,๓๓๐ บาทต่อเดือน ๑.๒ ที่ประชุมพิจารณาถึงความจำเป็นและความเหมาะสมของโครงสร้างเงินเดือนใหม่ ประกอบกับตามการเพิ่มเงินค่าครองชีพชั่วคราวของข้าราชการตุลาการและดะโต๊ะยุติธรรมตามร่างระเบียบคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม ว่าด้วยการจ่ายเงินเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราวข้าราชการตุลาการและดะโต๊ะยุติธรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายสำหรับรายการเงินเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราวของข้าราชการตุลาการและดะโต๊ะยุติธรรม จำนวน ๑๔๔,๔๖๑,๑๐๔ บาท จึงเห็นควรให้สำนักงานศาลยุติธรรมพิจารณาใช้เงินเหลือจ่ายของหน่วยงานที่ได้รับจัดสรรไปแล้ว ทั้งนี้ หากเงินเหลือจ่ายของหน่วยงานที่ได้รับจัดสรรไปตามปีงบประมาณ ไม่เพียงพอสำหรับรายการเงินเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราวข้าราชการตุลาการและดะโต๊ะยุติธรรม ให้ทำเรื่องขอจัดสรรเงินงบกลางต่อไป ๒. ให้สำนักงานศาลยุติธรรมพิจารณาใช้เงินเหลือจ่ายของหน่วยงานที่ได้รับจัดสรรไปแล้ว หากไม่เพียงพอให้เบิกจ่ายจากงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น โดยทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
831 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการรับรองและเสริมสร้างสิทธิชุมชนในการจัดการที่ดินของชุมชน พ.ศ. .... | นร01 | 28/05/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายกระบวนการยุติธรรม กฎหมาย ความมั่นคง การพัฒนาสังคม และแรงงาน) ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ที่เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการรับรองและเสริมสร้างสิทธิชุมชนในการจัดการที่ดินของชุมชน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ปรับปรุงระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการจัดให้มีโฉนดชุมชน พ.ศ. ๒๕๕๓ เพื่อให้ประชาชนที่รวมตัวกันเป็นชุมชนอย่างต่อเนื่อง มีสิทธิได้รับหนังสืออนุญาตให้ใช้ประโยชน์ในที่ดินของรัฐที่ชุมชนได้ครอบครองใช้ประโยชน์ เพื่อสร้างความมั่นคงในการอยู่อาศัยและการใช้ประโยชน์ในที่ดินของชุมชน รวมทั้งเสริมสร้างชุมชนให้เกิดความเข้มแข็งและมีการพัฒนาอย่างยั่งยืน ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (คณะกรรมการประสานงานเพื่อจัดให้มีโฉนดชุมชน) เสนอ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายกระบวนการยุติธรรม กฎหมาย ความมั่นคง การพัฒนาสังคม และแรงงาน) เสนอ และให้ส่งร่างระเบียบฯ ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. สำหรับพื้นที่ที่เกิดปัญหาข้อเรียกร้องเกี่ยวกับที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยของประชาชน ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเมื่อผลการพิจารณาของคณะกรรมการแก้ไขปัญหาของขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรมและคณะกรรมการบูรณาการการบริหารจัดการที่ดินเชิงระบบเป็นที่ยุติแล้ว |
|||||||||||||||||||||||||||
832 | ผลการพิจารณาคำร้องที่ขอให้เสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย | สม | 21/05/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบข้อเสนอแนะเชิงนโยบายตามมติคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ในคราวประชุมครั้งที่ ๖/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ กระทรวงศึกษาธิการควรมีการกำหนดนโยบายในการพัฒนาด้านการจัดการศึกษาโดยครอบครัวให้มีความชัดเจน รวมทั้งควรมีการเชื่อมโยงการศึกษาทั้ง ๓ ระบบ คือ การศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัยให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ๑.๒ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ควรเร่งรัดในการจัดทำคู่มือการดำเนินงานการจัดการศึกษาโดยครอบครัวให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ทั้งนี้ ต้องคำนึงถึงการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน โดยหลังจากที่ได้มีการใช้คู่มือฯ ดังกล่าวแล้ว ควรมีการรับฟังปัญหาจากการใช้คู่มือฯ และการประเมินผลร่วมกันของผู้ที่เกี่ยวข้อง ๑.๓ สพฐ. ควรเร่งรัดการดำเนินการตามที่ได้จัดทำแผนพัฒนาการศึกษาโดยครอบครัวเป็น ๒ ระยะ คือ การดำเนินงานระยะยาว และการดำเนินงานในปีงบประมาณถัดไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามประเด็นปัญหาที่ได้มีการวิเคราะห์และได้กำหนดเป้าหมายเพื่อการจัดทำแผนงานการพัฒนาระบบการจัดการศึกษาโดยครอบครัวไว้แล้ว ๑.๔ สพฐ. ควรเร่งประสานงานและหารือไปยังหน่วยบัญชาการรักษาดินแดนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหาประเด็นการเรียนวิชาทหารหรือการเรียนรักษาดินแดน (รด.) โดยเฉพาะปัญหาการแก้ไขกฎหมายเพื่อให้มีการกำหนดหลักเกณฑ์และให้สิทธิกับผู้เรียนจากการศึกษาโดยครอบครัว ผู้เรียนจากการศึกษานอกโรงเรียน (กศน.) ผู้เรียนจากการศึกษาทางเลือก และผู้เรียนจากการศึกษาตามอัธยาศัย ในการสมัครเป็นนักศึกษาวิชาทหาร ๑.๕ สพฐ. ควรมีการประชาสัมพันธ์เพื่อให้ผู้จัดการศึกษาโดยครอบครัว ผู้ที่เกี่ยวข้อง และประชาชนทั่วไปได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับการจัดการศึกษาโดยครอบครัวและเป็นการส่งเสริมให้มีความเข้าใจที่ตรงกัน รวมทั้งการจัดอบรมและให้ความรู้กับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในเรื่องการจัดการศึกษาโดยครอบครัว ๑.๖ สพฐ. ควรหารือไปยังกรมบัญชีกลางและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายงบประมาณ งบเงินอุดหนุนการจัดการศึกษาโดยครอบครัวของผู้ร้องที่ ๒ (ตามคำร้องที่ ๑๖๒/๒๕๕๕) เพื่อให้เกิดความชัดเจนและเป็นแนวทางในการปฏิบัติต่อไป ๑.๗ สพฐ. ควรมีการชี้แจงทำความเข้าใจกับผู้จัดการศึกษาโดยครอบครัว เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกันและเกิดความคล่องตัวในการปฏิบัติงานร่วมกันระหว่างผู้จัดการศึกษาโดยครอบครัว ผู้เรียนจากการจัดการศึกษาโดยครอบครัว และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง อีกทั้งยังเป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีและการมีทัศนคติที่ดีต่อกันในการดำเนินงานต่อไปในอนาคต ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการ โดย สพฐ. รับข้อเสนอแนะเชิงนโยบายของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ รวมทั้งความเห็นของกระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรให้กระทรวงศึกษาธิการได้พิจารณาดำเนินการเพื่อรองรับให้ผู้เรียนจากการศึกษาโดยครอบครัว ผู้เรียนจาก กศน. ผู้เรียนจากการศึกษาทางเลือก และผู้เรียนจากการศึกษาตามอัธยาศัย สามารถเข้าสังกัดสถานศึกษาวิชาทหารในเขตพื้นที่ได้ สำหรับการดำเนินการตามข้อเสนอแนะฯ ข้อที่ ๑.๖ ซึ่งกระทรวงการคลังได้กำหนดหลักเกณฑ์ในการปฏิบัติสำหรับส่วนราชการไว้แล้ว หากกระทรวงศึกษาธิการได้ดำเนินการตามข้อเสนอแนะฯ จะก่อให้เกิดแนวทางการดำเนินการที่ชัดเจนเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ในการที่จะได้รับเงินอุดหนุนดังกล่าว และเห็นควรส่งเสริมการจัดการศึกษาทางเลือกอย่างจริงจัง โดยเฉพาะการผลักดันพระราชบัญญัติการศึกษาทางเลือก ตลอดจนการเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาจัดการศึกษาและการเรียนรู้ที่หลากหลายและเหมาะสม โดยเน้นให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้ รวมทั้งควรมีระบบข้อมูลการจัดการศึกษาโดยครอบครัวที่ทันสมัย และมีการติดตามประเมินผลการจัดการศึกษาอย่างเป็นระยะและมีความต่อเนื่อง |
|||||||||||||||||||||||||||
833 | โครงการเพิ่มการผลิตและพัฒนาการจัดการศึกษา สาขาวิชาพยาบาลศาสตร์ ปีการศึกษา 2557 - 2560 | ศธ | 14/05/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๕ (ฝ่ายสังคม) ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๕ (ฝ่ายสังคม) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการดำเนินโครงการเพิ่มการผลิตและพัฒนาการจัดการศึกษา สาขาวิชาพยาบาลศาสตร์ ปีการศึกษา ๒๕๕๗-๒๕๖๐ เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนพยาบาล รวมทั้งรองรับการขยายศักยภาพให้บริการด้านสาธารณสุขของประเทศในทุกภาคส่วน โดยมีระยะเวลาการรับนักศึกษาพยาบาลเข้าร่วมโครงการ จำนวน ๔ รุ่น ตั้งแต่ปีการศึกษา ๒๕๕๗-๒๕๖๐ และมีเป้าหมายการผลิตพยาบาลเพิ่ม คือ ในระยะ ๑๐ ปี ข้างหน้า อัตราส่วนพยาบาลวิชาชีพต่อประชากรในภาพรวมเท่ากับพยาบาล ๑ คน ต่อประชากร ๔๐๐ คน จำนวนผลิตพยาบาลในช่วงปี ๒๕๕๗-๒๕๖๐ เป้าหมายการรับนักศึกษาพยาบาลทั้งหมด จำนวน ๒๗,๙๖๐ คน งบประมาณที่ขอรับการสนับสนุนรวมทั้งสิ้น ๗,๓๔๘.๑๐ ล้านบาท แบ่งเป็น งบดำเนินการ จำนวน ๓๗.๑ ล้านบาท เพื่อการผลิตพยาบาลวิชาชีพเพิ่มในอัตราเหมาจ่ายรายหัว คนละ ๑๑๐,๐๐๐ บาทต่อคนต่อปี (ครอบคลุมงบดำเนินการ งบจ้างอาจารย์เพิ่ม และงบพัฒนาอาจารย์) รวมงบประมาณดำเนินการทั้งสิ้น ๔,๔๕๖.๓๒ ล้านบาท และงบลงทุน เพื่อการผลิตพยาบาลเพิ่ม ในวงเงิน ๒,๘๙๑.๗๘ ล้านบาท ๑.๒ ให้กระทรวงศึกษาธิการรับข้อสังเกตของสำนักงาน ก.พ. และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการเตรียมแผนรองรับการบรรจุและวางระบบบริหารจัดการอัตรากำลังให้มีการกระจายพยาบาลไปสู่ชนบทและพื้นที่ห่างไกลเพื่อให้ประชาชนได้รับการบริการสุขภาพอย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกัน และเร่งหามาตรการธำรงรักษาพยาบาลวิชาชีพไว้ในระบบควบคู่ไปกับการผลิตพยาบาล รวมทั้งให้ความสำคัญในการพัฒนาคุณภาพมาตรฐานของสถาบันผลิตพยาบาลครอบคลุมอาจารย์พยาบาล โครงสร้างพื้นฐาน และทรัพยากรต่าง ๆ ให้เพียงพอในการจัดการเรียนการสอนที่คำนึงถึงการใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่า และกำกับติดตามคุณภาพการผลิตพยาบาลของสถาบันการศึกษาเอกชนให้มีมาตรฐาน นอกจากนี้ ควรศึกษาความต้องการพยาบาลวิชาชีพในระยะยาวของประเทศ เพื่อให้การผลิตบัณฑิตสาขาวิชาพยาบาลมีความสอดคล้องกับความต้องการพยาบาลวิชาชีพในภาพรวม สามารถรองรับนโยบายการพัฒนาสถานีอนามัยให้เป็นโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล และการเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ (Medical Hub) ได้อย่างยั่งยืน ไปพิจารณาประกอบการดำเนินโครงการ ๑.๓ สำหรับงบลงทุน ให้สถาบันการศึกษาพยาบาลแต่ละแห่งจัดทำแผนความต้องการงบลงทุน โดยคำนึงถึงความจำเป็นอย่างแท้จริงและจัดลำดับความสำคัญเพื่อให้การสนับสนุนสอดคล้องกับความเร่งด่วนและไม่เป็นภาระงบประมาณที่เพิ่มมากขึ้นเกินสมควร และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอน ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. โดยที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง แนวทางการจัดอัตรากำลังและการบริหารจัดการในภารกิจบริการด้านสุขภาพ) ตั้งคณะทำงานขึ้นคณะหนึ่งและมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) เป็นเจ้าภาพรวบรวมและศึกษาความต้องการอัตรากำลังของส่วนราชการในอนาคตทั้งระบบ จึงให้กระทรวงสาธารณสุขจัดทำแผนอัตรากำลังด้านสาธารณสุขในอนาคตร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แล้วนำเสนอคณะทำงานชุดดังกล่าวพิจารณา โดยให้ยึดแนวทางตามกรอบยุทธศาสตร์ประเทศ (Country Strategy) (การประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ วันจันทร์ที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๕๖ และครั้งที่ ๒/๒๕๕๖ วันพฤหัสบดีที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖) ในประเด็นการเป็นศูนย์กลางบริการด้านสุขภาพ (Medical Hub) และให้คำนึงถึงการกระจายตัวของบุคลากรด้านสาธารณสุขกับสัดส่วนของประชากรและโครงสร้างของประชากรที่มีอายุเฉลี่ยสูงขึ้นประกอบด้วย รวมทั้งให้มีการพัฒนาบุคลากรที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยอาจปรับเปลี่ยนกระบวนการและวิธีการปฏิบัติงานให้สามารถปฏิบัติงานได้หลากหลาย (Multi-task) |
|||||||||||||||||||||||||||
834 | การขออนุมัติงบประมาณในการเข้าร่วมงาน Universal Exhibition Milano 2015 | กษ | 07/05/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๙/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๖ ที่เห็นชอบกรอบวงเงินงบประมาณการจัดงาน Universal Exhibition Milano 2015 (Expo Milano 2015) ณ เมืองมิลาน สาธารณรัฐอิตาลี ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ วงเงินรวม ๘๓๐,๙๓๕,๖๐๐ บาท โดยใช้จ่ายตามรายการและก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ ประกอบด้วย ค่าใช้จ่ายในการบริหารโครงการ วงเงิน ๕๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท ค่าใช้จ่ายในการจ้างที่ปรึกษาดูแล ควบคุมงาน ออกแบบ ก่อสร้าง และการจัดการนิทรรศการ ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๙ วงเงิน ๓๙,๐๔๕,๖๐๐ บาท และค่าใช้จ่ายในการจ้างออกแบบ ก่อสร้าง ตกแต่งอาคารจัดนิทรรศการ รื้อถอน และการจัดการนิทรรศการ ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๙ ในวงเงิน ๗๓๖,๘๙๐,๐๐๐ บาท ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงพาณิชย์ เป็นต้น เพื่อจัดทำแผนงานโครงการในการเข้าร่วมงานดังกล่าว โดยเน้นการประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวและการเร่งรัดการผลิตสินค้าเพื่อส่งเสริมการส่งออกของประเทศ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ OTOP
|
|||||||||||||||||||||||||||
835 | การขอรับการจัดสรรงบประมาณเพื่อเบิกจ่ายเงินปรับเพิ่มตามคุณวุฒิให้กับพนักงานมหาวิทยาลัยที่ได้รับการบรรจุแต่งตั้งก่อนวันที่ 1 มกราคม 2555 | ศธ | 07/05/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๙/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๖ ที่เห็นชอบตามข้อเสนอของกระทรวงศึกษาธิการที่ขอให้นำเรื่องการขอรับการจัดสรรงบประมาณเพื่อเบิกจ่ายเงินปรับเพิ่มตามคุณวุฒิให้กับพนักงานมหาวิทยาลัยที่ได้รับการบรรจุแต่งตั้งก่อนวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕ เพื่อพิจารณาอนุมัติวงเงินงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อเบิกจ่ายเงินปรับเพิ่มตามคุณวุฒิในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ เป็นจำนวนเงิน ๓,๐๑๔,๘๓๖,๒๙๐ บาท ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ เป็นจำนวนเงิน ๔,๒๖๐,๙๖๙,๐๑๐ บาท และปี พ.ศ. ๒๕๕๗ เป็นจำนวนเงิน ๔,๕๑๖,๖๒๗,๑๔๐ บาท รวมเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น ๑๑,๗๙๒,๔๓๒,๔๔๐ บาท ให้แก่พนักงานมหาวิทยาลัยจำนวน ๕๔,๘๐๑ คน ที่ได้รับการบรรจุแต่งตั้งก่อนวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยเงินปรับเพิ่มคุณวุฒิในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม-๓๐ กันยายน ๒๕๕๕ และเงินปรับเพิ่มคุณวุฒิในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕-๓๐ กันยายน ๒๕๕๖ ให้สถาบันอุดมศึกษา ๗๙ แห่ง ทบทวนเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปีที่หมดความจำเป็นของปีงบประมาณที่ผ่านมา หรือปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ หรือใช้เงินเหลือจ่ายจากรายการที่ดำเนินการบรรลุวัตถุประสงค์แล้วมาดำเนินการ โดยขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณต่อไป สำหรับเงินปรับเพิ่มคุณวุฒิในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๖-๓๐ กันยายน ๒๕๕๗ ให้สถาบันอุดมศึกษา ๗๙ แห่ง ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
836 | ร่างแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการไทย (พ.ศ. 2556 - พ.ศ. 2561) | นร12 | 23/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๖ ที่เห็นชอบแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการไทย (พ.ศ. ๒๕๕๖-พ.ศ. ๒๕๖๑) และให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐนำแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการไทย (พ.ศ. ๒๕๕๖-พ.ศ. ๒๕๖๑) ใช้เป็นกรอบแนวทางในการดำเนินภารกิจของหน่วยงานต่อไป ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ โดยแบ่งประเด็นยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการไทยได้เป็น ๗ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ๑.๑ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ การสร้างความเป็นเลิศในการให้บริการประชาชน ประกอบด้วยกลยุทธ์การพัฒนาระบบการให้บริการประชาชน เสริมสร้างวัฒนธรรมการให้บริการที่เป็นเลิศ และพัฒนาระบบการจัดการข้อร้องเรียนและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน ๑.๒ ยุทธศาสตร์ที่ ๒ การพัฒนาองค์การให้มีขีดสมรรถนะสูงและทันสมัย บุคลากรมีความเป็นมืออาชีพ ประกอบด้วยกลยุทธ์การพัฒนาหน่วยงานของรัฐให้มีขีดสมรรถนะสูง พัฒนาระบบบริหารจัดการกำลังคนและพัฒนาบุคลากรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพระบบราชการ เพิ่มผลิตภาพในการปฏิบัติราชการ โดยการลดต้นทุนและส่งเสริมนวัตกรรม และสร้างความรับผิดชอบต่อสังคมและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน ๑.๓ ยุทธศาสตร์ที่ ๓ การเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารสินทรัพย์ของภาครัฐให้เกิดประโยชน์สูงสุด ประกอบด้วยกลยุทธ์การบริหารสินทรัพย์ของภาครัฐอย่างครบวงจรเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ คุ้มค่า และสะท้อนต้นทุนที่แท้จริงของภาครัฐ ๑.๔ ยุทธศาสตร์ที่ ๔ การวางระบบการบริหารงานราชการแบบบูรณาการ ประกอบด้วยกลยุทธ์การออกแบบและพัฒนาระบบการบริหารงานแบบบูรณาการ และปรับปรุงความสัมพันธ์และประสานความร่วมมือระหว่างราชการบริหารส่วนกลาง ส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่น ๑.๕ ยุทธศาสตร์ที่ ๕ การส่งเสริมระบบการบริหารกิจการบ้านเมืองแบบร่วมมือกันระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคประชาชน ประกอบด้วยกลยุทธ์การทบทวนภารกิจและอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐให้เหมาะสม ถ่ายโอนภารกิจงานและกิจกรรมที่ภาครัฐไม่จำเป็นต้องปฏิบัติเองให้ภาคส่วนต่าง ๆ และส่งเสริมการบริหารราชการระบบเปิดและการสร้างเครือข่าย ๑.๖ ยุทธศาสตร์ที่ ๖ การยกระดับความโปร่งใสและสร้างความเชื่อมั่นศรัทธาในการบริหารราชการแผ่นดิน ประกอบด้วยกลยุทธ์การส่งเสริมและวางกลไกสร้างความโปร่งใสในการปฏิบัติราชการ ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์และมาตรการในการต่อต้านคอร์รัปชัน ๑.๗ ยุทธศาสตร์ที่ ๗ การสร้างความพร้อมของระบบราชการไทยเพื่อเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียน ประกอบด้วยกลยุทธ์การพัฒนาระบบบริหารงานของหน่วยงานที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์เพื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียน และเสริมสร้างเครือข่ายความร่วมมือเพื่อยกระดับธรรมาภิบาลในภาครัฐของประเทศสมาชิกอาเซียน ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีที่เห็นควรมีแผนในด้านการส่งเสริมการแลกเปลี่ยนบุคลากรภาครัฐและภาคเอกชน (Talent mobility) ซึ่งสามารถเชื่อมโยงได้ทั้งสองทางจากภาครัฐไปสู่ภาคเอกชนและจากภาคเอกชนไปสู่ภาครัฐ ควรมีการฝึกอบรมบุคลากรในสายงานประเภทบริหารและสายงานประเภทวิชาการให้มีความรู้ความเข้าใจในงานของอีกสายงานด้วย ควรมีแผนในด้านการบริหารจัดการกำลังคนภาครัฐเพื่อทดแทนบุคลากรที่จะพ้นไปจากระบบราชการในอนาคต ทั้งจำนวนกำลังคนและสมรรถนะที่ต้องการ เช่น แผนการสืบทอดตำแหน่ง (Succession plan) และความก้าวหน้าในอาชีพ (Career path) เป็นต้น รวมทั้งควรให้ความสำคัญกับการนำวิธีการบริหารจัดการภาครัฐสมัยใหม่ หรือรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (e-government) และการนำเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเข้ามาใช้ในการให้บริการประชาชน (e-service) เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการ |
|||||||||||||||||||||||||||
837 | โครงการปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าบริเวณภาคตะวันออกเพื่อเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้า | พน | 23/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๘/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ๑.๑ เห็นชอบโครงการปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าบริเวณภาคตะวันออกเพื่อเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้า มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้าทำให้ระบบไฟฟ้ามีขีดความสามารถรองรับไฟฟ้าเพิ่มขึ้น และแก้ไขข้อจำกัดด้านระดับกระแสลัดวงจรในระยะยาว โดยการปรับปรุงระบบไฟฟ้าในเขตจังหวัดระยอง ฉะเชิงเทรา และชลบุรี แบ่งเป็น ๒ ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ ๑ ระบบภาคตะวันออกตอนบน และส่วนที่ ๒ ระบบภาคตะวันออกตอนล่าง โดยก่อสร้างสายส่ง รื้อสาย ย้ายสาย เชื่อมต่อสายส่ง ปรับปรุงการจัดวางสายส่งใหม่ ก่อสร้างและขยายสถานีไฟฟ้าแรงสูง จัดซื้อที่ดินเพื่อก่อสร้างสถานีไฟฟ้าแรงสูง รวมทั้งเพิ่มเติมระบบสื่อสารที่เกี่ยวข้อง และงานปรับปรุงระบบเบ็ดเตล็ด วงเงินลงทุนรวม ๑๒,๐๐๐ ล้านบาท ประกอบด้วย ค่าใช้จ่ายอุปกรณ์นำเข้าจากต่างประเทศ จำนวน ๒,๙๘๐ ล้านบาท และค่าใช้จ่ายเพื่อซื้ออุปกรณ์ในประเทศและการก่อสร้าง จำนวน ๙,๐๒๐ ล้านบาท ๑.๒ อนุมัติการเบิกจ่ายงบประมาณลงทุนประจำปี ๒๕๕๖ สำหรับโครงการฯ จำนวน ๓.๖ ล้านบาท ๒. ให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) รับข้อสังเกตของคณะกรรมการกลั่นกรองฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่เห็นควรพิจารณาความเหมาะสมของการใช้แหล่งเงินกู้ภายในประเทศเป็นอันดับแรกก่อน เพื่อช่วยดูดซับสภาพคล่องในระบบการเงินภายในประเทศที่ยังอยู่ในเกณฑ์สูง และควรติดตามการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน (Independent Power Producer : IPP) เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการวางแผนดำเนินโครงการฯ ให้สอดคล้องและเหมาะสมกับสถานการณ์การรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน รวมทั้งควรบริหารและควบคุมการดำเนินโครงการฯ ให้มีต้นทุนการดำเนินงานที่ประหยัดมากที่สุด และจัดให้มีกระบวนการการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ที่แนวสายส่งพาดผ่าน เพื่อสร้างความเข้าใจกับประชาชนในการดำเนินงานโครงการฯ นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญกับการวางแผนทางการเงินขององค์กรในระยะยาวเพื่อตอบสนองการลงทุนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยพิจารณาผสมผสานรูปแบบ วิธีการ และเครื่องมือทางการเงินสำหรับการระดมทุนเพื่อให้มีต้นทุนทางการเงินที่เหมาะสม และควรเพิ่มช่องทางให้โรงงานผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนขนาดเล็ก (Very Small Power Producer : VSPP) ได้มีโอกาสเชื่อมต่อกับระบบไฟฟ้าตามโครงการฯ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
838 | มาตรการการบรรเทาผลกระทบจากการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำและเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) | อก | 23/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๗/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลกระทบจากการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ โดยกลุ่มผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบซึ่งมีต้นทุนรวมเพิ่มขึ้นคือ กลุ่มผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่ม กลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม กลุ่มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มอุตสาหกรรมแก้ว เซรามิก ซีเมนต์ กลุ่มอุตสาหกรรมการพิมพ์ กลุ่มอุตสาหกรรมไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ และกลุ่มอุตสาหกรรมรองเท้าและเครื่องหนัง สำหรับการดำเนินงานเพื่อช่วยเหลือและเพิ่มศักยภาพผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) กระทรวงอุตสาหกรรมได้ดำเนินงานเพื่อช่วยเหลือและเพิ่มศักยภาพของผู้ประกอบการ จำนวน ๔ มาตรการ ได้แก่ (๑) มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพ ผลิตภาพการผลิต และพัฒนานวัตกรรมไปสู่การผลิตเชิงพาณิชย์ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มของผลิตภัณฑ์ เพิ่มรายได้ และยกระดับศักยภาพในการแข่งขัน ประกอบด้วย โครงการภายใต้แผนแม่บทการเพิ่มประสิทธิภาพและผลิตภาพของภาคอุตสาหกรรม และแผนแม่บทโครงสร้างพื้นฐานทางปัญญา ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๑-๒๕๕๕ รวม ๑๔๙ โครงการ (๒) มาตรการสินเชื่อเพื่อพัฒนาผลิตภาพการผลิต โดยธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (๓) มาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปีให้กับกิจการโรงงานจำพวกที่ ๒ และ ๓ และ (๔) มาตรการส่งเสริมการลงทุนแก่ SMEs เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และลดต้นทุน ๒. เห็นชอบให้กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการตามมาตรการบรรเทาผลกระทบจากการปรับอัตรา ค่าจ้างขั้นต่ำและเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) เฉพาะมาตรการที่กระทรวงอุตสาหกรรมสามารถดำเนินการได้เอง ได้แก่ มาตรการเร่งด่วนเพื่อบรรเทาผลกระทบผู้ประกอบการ SMEs ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบมากจากการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ประกอบด้วย โครงการคลินิกอุตสาหกรรมเพื่อบรรเทาผลกระทบจากการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ โครงการอัดฉีดเงินทุนหมุนเวียนสำหรับ SMEs มาตรการด้านการส่งเสริมการลงทุน และการยกเว้นค่าบริการในการต่อใบอนุญาตและค่าบริการออกหนังสือรับรองสิทธิประโยชน์ทางภาษีทางอิเล็กทรอนิกส์ในปี ๒๕๕๖-๒๕๕๗ ๓. สำหรับมาตรการที่กระทรวงอุตสาหกรรมจะต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนดำเนินการนั้น ให้คณะกรรมการพิจารณาให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมพิจารณา ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ได้แก่ มาตรการเร่งด่วนเพื่อบรรเทาผลกระทบผู้ประกอบการ SMEs ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบมากจากการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ประกอบด้วย โครงการเงินร่วมลงทุนเพื่อพัฒนาเครื่องจักร (Venture Capital) และการยกเว้นค่าธรรมเนียมและค่าบริการรายปี และโครงการสนับสนุนการปรับปรุง/ฟื้นฟูสภาพเครื่องจักร การใช้พลังงานทดแทน และการประหยัดพลังงานแก่ SMEs (Machine Fund for SMEs) ๔. เห็นชอบกรอบแผนแม่บทการเพิ่มประสิทธิภาพ ผลิตภาพ และโครงสร้างพื้นฐานทางปัญญาของภาคอุตสาหกรรม (พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๑) (การเพิ่มประสิทธิภาพและผลิตภาพด้วยความรู้และปัญญา) เพื่อยกระดับโครงสร้างการผลิตด้วยการเพิ่มผลิตภาพการผลิต พัฒนานวัตกรรมไปสู่การผลิตเชิงพาณิชย์ และเพิ่มรายได้ด้วยการสร้างมูลค่าเพิ่มของผลิตภัณฑ์ และยกระดับศักยภาพในการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการ SMEs โดยให้กระทรวงอุตสาหกรรมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินงานต่อไป ๕. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นควรประเมินผลการดำเนินงานของมาตรการดังกล่าวว่าสามารถช่วยบรรเทาผลกระทบจากการปรับเพิ่มอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ และเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบการ SMEs ได้อย่างไร เพื่อให้สามารถปรับปรุงมาตรการให้สอดคล้องกับความต้องการที่แท้จริงของผู้ประกอบการ SMEs ไปดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
839 | ขออนุมัติกู้เงินค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินโครงการทางพิเศษสายศรีรัช - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร วงเงิน 7,824 ล้านบาท ของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย | คค | 23/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๗/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๕๖ ที่เห็นชอบให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) กู้เงินค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินโครงการทางพิเศษสายศรีรัช-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร ในปีงบประมาณ ๒๕๕๖ จำนวน ๓,๙๑๐ ล้านบาท โดยให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาแหล่งเงินกู้ วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงินที่เหมาะสม ตลอดจนความจำเป็นในการค้ำประกันการกู้เงินดังกล่าว และให้สำนักงบประมาณตั้งงบประมาณเพื่อชำระคืนเงินต้น ดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการกู้เงินดังกล่าวตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ สำหรับวงเงินค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินโครงการฯ ในส่วนที่เหลือ ให้ กทพ. เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามแผนการดำเนินงานและแผนเบิกจ่ายเป็นลำดับแรกต่อไป ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
840 | ร่างพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 23/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๗/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการร่างพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ มีสาระสำคัญคือ การแก้ไขปัญหาสมาชิก กบข. ในเรื่องบำนาญ โดย ๑.๑.๑ ข้าราชการ (สมาชิก กบข. ซึ่งเข้ารับราชการก่อนวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๔๐ และสมัครเป็นสมาชิก กบข.) ๑.๑.๑.๑ สมาชิก กบข. ซึ่งประสงค์จะกลับไปใช้สิทธิในบำเหน็จบำนาญตามพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. ๒๔๙๔ ให้แสดงความประสงค์ได้ตั้งแต่วันที่กฎหมายมีผลใช้บังคับ จนถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๗ และให้ถือว่าสมาชิกภาพของสมาชิกผู้นั้นสิ้นสุดลง ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ ๑.๑.๑.๒ ผู้ซึ่งจะต้องออกจากราชการไม่ว่ากรณีใด ๆ ยกเว้นกรณีถึงแก่ความตาย ก่อนวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ ให้สมาชิกภาพของสมาชิกผู้นั้นสิ้นสุดลงเมื่อวันออกจากราชการ ๑.๑.๑.๓ การแสดงความประสงค์ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ หรือวันออกจากราชการ และให้มีสิทธิได้รับบำเหน็จบำนาญตามพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. ๒๔๙๔ ทั้งนี้ การแสดงความประสงค์ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กระทรวงการคลังกำหนด ๑.๑.๑.๔ ข้าราชการตามข้อ ๑.๑.๑.๑-๑.๑.๑.๓ ไม่มีสิทธิได้รับเงินประเดิม เงินชดเชย เงินสมทบ และผลประโยชน์ของเงินดังกล่าว โดยให้ กบข. ส่งเงินดังกล่าวเข้าบัญชีเงินสำรอง สำหรับเงินสะสมและผลประโยชน์ของเงินดังกล่าว กบข. จะจ่ายคืนให้แก่ข้าราชการผู้นั้น ๑.๑.๑.๕ การส่งเงินเข้าบัญชีเงินสำรองและการจ่ายคืนเงินสะสมและผลประโยชน์ให้เป็นไปตามที่ กบข. กำหนด โดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลังซึ่งจะกำหนดให้ กบข. นำเงินประเดิม เงินสมทบ เงินชดเชย และผลประโยชน์ของเงินดังกล่าวที่ได้รับคืนจากสมาชิกส่งเข้าบัญชีเงินสำรอง ทั้งนี้ กบข. จะต้องจัดทำรายงานการนำเงินประเดิม เงินชดเชย เงินสมทบ และผลประโยชน์ของเงินดังกล่าวส่งเข้าบัญชีเงินสำรองต่อกรมบัญชีกลางตามวิธีการที่กระทรวงการคลังกำหนด ซึ่งจะกำหนดรายละเอียดข้อมูลที่ กบข. จะต้องรายงานให้กรมบัญชีกลางทราบ ๑.๑.๑.๖ หากข้าราชการซึ่งได้แสดงความประสงค์ไว้แล้วถึงแก่ความตายก่อนวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ หรือก่อนวันออกจากราชการ ให้ถือว่าการแสดงความประสงค์นั้นไม่มีผลใช้บังคับ ๑.๑.๒ ผู้รับบำนาญ (สมาชิก กบข. ซึ่งเข้ารับราชการก่อนวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๔๐ และสมัครเป็นสมาชิก กบข. แต่ได้ออกจากราชการแล้ว) ๑.๑.๒.๑ หากประสงค์จะขอกลับไปรับบำนาญตามสูตรเดิม (พระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. ๒๔๙๔) ให้แสดงความประสงค์ได้ตั้งแต่วันที่กฎหมายมีผลใช้บังคับ จนถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๗ และผู้รับบำนาญจะต้องคืนเงินก่อน (เงินประเดิม เงินชดเชย เงินสมทบ และผลประโยชน์ของเงินดังกล่าว) ที่ได้รับไปแล้วแก่ทางราชการโดยผู้รับบำนาญจะได้รับบำนาญตามสูตรเดิม ตั้งแต่วันที่ออกจากราชการจนถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๗ โดยวิธีหักกลบลบกัน ๑.๑.๒.๒ การหักกลบลบกัน หากมีกรณีที่ผู้รับบำนาญต้องคืนเงิน ให้ผู้รับบำนาญคืนเงินแก่ส่วนราชการผู้เบิกภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๗ เพื่อนำส่งให้กรมบัญชีกลาง โดยเงินที่ส่วนราชการได้รับคืน ไม่เป็นรายได้ที่ต้องนำส่งคลังตามกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลังและกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ หากมีกรณีที่ต้องคืนเงินให้ผู้รับบำนาญ กรมบัญชีกลางจะคืนเงินให้ผู้รับบำนาญ หากมีเงินเหลือ จะนำส่งเข้าบัญชีเงินสำรอง ๑.๑.๒.๓ ผู้รับบำนาญที่ได้แสดงความประสงค์แล้ว เป็นผู้รับบำนาญตามพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. ๒๔๙๔ ตั้งแต่วันที่ออกจากราชการ แต่หากผู้รับบำนาญมีกรณีที่ต้องคืนเงิน ให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๗ จึงจะได้รับสิทธิดังกล่าว ๑.๑.๒.๔ หากผู้รับบำนาญซึ่งได้แสดงความประสงค์ไว้แล้วถึงแก่ความตายก่อนวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ ให้ถือว่าการแสดงความประสงค์นั้นไม่มีผลใช้บังคับ และหากมีกรณีต้องคืนเงิน ให้ส่วนราชการผู้เบิกแจ้งกรมบัญชีกลางเพื่อถอนเงินที่ผู้รับบำนาญคืนให้แก่ส่วนราชการผู้เบิก เพื่อคืนให้แก่ผู้มีสิทธิรับมรดกของผู้รับบำนาญตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กระทรวงการคลังกำหนด โดยหลักเกณฑ์และวิธีการที่กระทรวงการคลังกำหนด จะกำหนดเรื่องการดำเนินการถอนเงินคืนให้แก่ผู้มีสิทธิรับมรดกของผู้รับบำนาญที่ตายไปก่อนกฎหมายมีผลใช้บังคับ ๑.๒ เห็นชอบให้ยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินสะสมและผลประโยชน์ของเงินดังกล่าว รวมทั้งเงินบำนาญส่วนเพิ่ม จากการดำเนินการตามแนวทางที่ให้ข้าราชการและผู้รับบำนาญ ซึ่งเป็นสมาชิก กบข. โดยสมัครใจสามารถเลือกกลับไปรับบำนาญตามระบบเดิม ทั้งนี้ เพื่อเป็นการให้ความช่วยเหลือและลดภาระให้แก่ข้าราชการและผู้รับบำนาญ ๒. ให้ส่งร่างพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วเสนอคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป |
.....