ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 41 จากทั้งหมด 252 หน้า แสดงรายการที่ 801 - 820 จากข้อมูลทั้งหมด 5030 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
801 | มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2556 (ครั้งที่ 145) | พน | 13/08/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและรับทราบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๖ (ครั้งที่ ๑๔๕) เมื่อวันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ เรื่องเพื่อพิจารณา ๕ เรื่อง ๑.๑.๑ แนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ภาคครัวเรือน ๑.๑.๑.๑ เห็นชอบให้ยกเลิกมติ กพช. เมื่อวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ที่ให้ปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือน ให้สะท้อนต้นทุนโรงแยกก๊าซธรรมชาติที่ ๒๔.๘๒ บาทต่อกิโลกรัม ภายในปี ๒๕๕๖ ๑.๑.๑.๒ เห็นชอบแนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือน โดยให้ปรับขึ้นเดือนละ ๐.๕๐ บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ ๑ กันยายน ๒๕๕๖ เป็นต้นไป จนสะท้อนต้นทุนโรงแยกก๊าซธรรมชาติที่ ๒๔.๘๒ บาทต่อกิโลกรัม ๑.๑.๑.๓ เห็นชอบเกณฑ์การช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือน โดยครัวเรือนรายได้น้อยช่วยเหลือตามการใช้จริงแต่ไม่เกิน ๑๘ กิโลกรัมต่อ ๓ เดือน ร้านค้า หาบเร่ แผงลอยอาหาร ช่วยเหลือตามการใช้จริงไม่เกิน ๑๕๐ กิโลกรัมต่อเดือน ทั้งนี้ ผู้ได้รับการช่วยเหลือสามารถเลือกใช้ถังขนาดใดก็ได้ แต่ไม่เกินขนาดถัง ๑๕ กิโลกรัม ๑.๑.๒ รายงานผลการดำเนินงานคณะกรรมการบริหารมาตรการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ๑.๑.๒.๑ รับทราบรายงานผลการดำเนินงานคณะกรรมการฯ ๑.๑.๒.๒ เห็นชอบให้กระทรวงพลังงาน กำหนดปริมาณรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในแต่ละปีให้ชัดเจน วันเริ่มต้นซื้อขายไฟฟ้าตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (SCOD) และให้มีการเปิดรับข้อเสนอขายไฟฟ้ารายใหม่โดยรับการส่งเสริมในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) ตามปริมาณรับซื้อที่จะมีการประกาศเป็นรายเชื้อเพลิงตั้งแต่ปี ๒๕๕๗ เป็นต้นไป ๑.๑.๒.๓ เห็นชอบให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ออกระเบียบการรับซื้อไฟฟ้า หลักเกณฑ์และการออกประกาศเชิญชวน รวมทั้งกำกับดูแลขั้นตอนการคัดเลือก รวมถึงการเร่งรัดให้มีการดำเนินการจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบตามเป้าหมาย และรายงานผลให้กระทรวงพลังงานทราบเป็นรายไตรมาสต่อไป ๑.๑.๒.๔ เห็นชอบให้ กฟผ. ร่วมกับ กกพ. จัดทำแนวทางแก้ไขปัญหาเพื่อรองรับการจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบของโครงการพลังงานหมุนเวียนที่มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) แล้วอย่างเร่งด่วนและรายงาน กพช. ต่อไป ๑.๑.๒.๕ เห็นชอบให้การไฟฟ้าทั้ง ๓ แห่ง [กฟผ. การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.)] จัดทำแผนการลงทุนระบบส่งไฟฟ้าและระบบจำหน่ายไฟฟ้าเพื่อรองรับโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในอนาคตของประเทศ ๑.๑.๒.๖ เห็นชอบให้ กกพ. ดำเนินการเร่งรัดออกใบอนุญาตสำหรับโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ One Stop Service และรายงานผลการดำเนินงานให้ กพช. ทราบต่อไป ๑.๑.๓ การปรับค่าเป้าหมายตามแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก ๒๕% ใน ๑๐ ปี ตามการบูรณาการยุทธศาสตร์ประเทศ (Country Strategy) เห็นชอบการปรับค่าเป้าหมายตามแผนพัฒนาฯ รวม ๓ เป้าหมาย คือ เพื่อการผลิตไฟฟ้า เพื่อผลิตความร้อน และเพื่อใช้ในการคมนาคมขนส่ง และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้ดำเนินการต่อไป ๑.๑.๔ การพิจารณาอัตราการรับซื้อไฟฟ้าในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) สำหรับโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคา (Solar PV Rooftop) ๑.๑.๔.๑ เห็นชอบให้มีการรับซื้อไฟฟ้าโครงการฯ ๑.๑.๔.๒ เห็นชอบอัตรา FiT โครงการฯ โดยมีระยะเวลาสนับสนุน ๒๕ ปี ๑.๑.๔.๓ เห็นชอบปริมาณรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการฯ ในปี ๒๕๕๖ รวมกำลังผลิตติดตั้ง 200 MWp ๑.๑.๔.๔ เห็นชอบให้ กกพ. ออกระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการฯ ตลอดจนหลักเกณฑ์และการออกประกาศเชิญชวน รวมทั้งการกำกับดูแลขั้นตอนการคัดเลือกให้เกิดความเป็นธรรม ทั้งนี้ ในการจัดทำกระบวนการขอใบอนุญาตแบบ One Stop Service ให้เป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ๑.๑.๔.๕ เห็นชอบให้การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายลดหย่อนค่าธรรมเนียมการเชื่อมโยงโครงข่ายและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องสำหรับกลุ่มบ้านอยู่อาศัย โดยให้ กกพ. ไปกำหนดอัตราการลดหย่อนค่าเชื่อมโยงที่เหมาะสมต่อไป ๑.๑.๔.๖ เห็นชอบให้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงพลังงานหารือในรายละเอียดเกี่ยวกับมาตรการสนับสนุนทางภาษีต่อไป ๑.๑.๕ โครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ชุมชน ๑.๑.๕.๑ เห็นชอบให้ดำเนินการรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการฯ โดยมีเป้าหมายกำลังการผลิตติดตั้งรวม 800 MWp ๑.๑.๕.๒ เห็นชอบอัตราการรับซื้อไฟฟ้าพิเศษสำหรับโครงการฯ ในอัตราพิเศษ แบ่งเป็น ปีที่ ๑-๓ ระบบ Feed-in Tariff อัตรา ๙.๗๕ บาทต่อหน่วย ปีที่ ๔-๑๐ ระบบ Feed-in Tariff อัตรา ๖.๕๐ บาทต่อหน่วย และปีที่ ๑๑-๒๕ ระบบ Feed-in Tariff อัตรา ๔.๕๐ บาทต่อหน่วย โดยให้มีวันจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ภายในปี ๒๕๕๗ ๑.๑.๕.๓ เห็นชอบให้กระทรวงพลังงานร่วมกับสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติดำเนินการพัฒนาโครงการฯ ตามแนวทางการดำเนินงานโครงการฯ ๑.๑.๕.๔ เห็นชอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ออกระเบียบหลักเกณฑ์ในการดำเนินการพัฒนาโครงการฯ รวมถึงดำเนินการคัดเลือกหมู่บ้านที่มีศักยภาพเพื่อสมัครเข้าร่วมโครงการฯ และรายงานผลการคัดเลือกให้ กพช. ทราบ ๑.๑.๕.๕ เห็นชอบให้ กกพ. ออกระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าต่อไป โดยพิจารณาค่าใช้จ่ายในการรับซื้อไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายที่เกิดขึ้นจากโครงการฯ ที่ต่างจากค่าซื้อไฟฟ้าเฉลี่ยจาก กฟผ. กฟน. และ กฟภ. เป็นค่าใช้จ่ายตามนโยบายภาครัฐในสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ ๑.๒ เรื่องเพื่อทราบ ๒ เรื่อง ๑.๒.๑ การกำหนดโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติจากแนวท่อสำหรับภาคขนส่ง ๑.๒.๑.๑ เห็นชอบการกำหนดโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติ ๑.๒.๑.๒ มอบ กบง. เป็นผู้พิจารณาค่าบริหารจัดการในการขายส่งก๊าซ ๑.๒.๒ แนวทางการดำเนินการเสริมสร้างความมั่นคงระบบไฟฟ้าภาคใต้ ๑.๒.๒.๑ เห็นชอบให้ กฟผ. ดำเนินการตามแนวทางการเสริมสร้างความมั่นคงระบบไฟฟ้าภาคใต้ให้ กฟผ. เพิ่มชั่วโมงการเดินเครื่องโรงไฟฟ้ากระบี่เต็มกำลังการผลิต และให้พิจารณาใช้น้ำมันปาล์มดิบในการผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้ากระบี่ในสัดส่วนร้อยละ ๑๐ ของปริมาณการใช้น้ำมันเตา เพื่อลดปัญหาด้านการขนส่งน้ำมันเตา ๑.๒.๒.๒ มอบ กกพ. กำกับดูแลการดำเนินการ ๒. ให้กระทรวงพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการดำเนินโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคา (Solar PV Rooftop) เนื่องจากการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคา ดาดฟ้า หรือส่วนหนึ่งส่วนใดบนอาคาร หรือในบริเวณพื้นที่อยู่อาศัย หากใช้เครื่องจักรที่มีกำลังแรงม้าหรือกำลังเทียบเท่าตั้งแต่ ๕ แรงม้าขึ้นไป (เทียบเท่า ๓.๗๓ กิโลวัตต์) จัดเป็นโรงงานจำพวกที่ ๓ ก่อนการก่อสร้างหรือติดตั้งเครื่องจักรเพื่อประกอบการโรงงานผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ต้องได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานก่อน และในการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคาเป็นกิจการที่ต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อชีวิต ทรัพย์สิน และความปลอดภัยของประชาชน ตลอดจนผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการจัดการของเสียอันเกิดจากเซลล์แสงอาทิตย์ที่ชำรุดเสียหายหรือหมดอายุจากการใช้งาน ดังนั้น ในกระบวนการอนุญาตจึงจำเป็นต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจริง รวมทั้งควรมีมาตรการกำกับดูแลและควบคุมผู้ผลิตและผู้จำหน่ายเซลแสงอาทิตย์ให้มีมาตรฐานและความปลอดภัยเพื่อเป็นการคุ้มครองผู้บริโภค นอกจากนี้ ควรกำหนดวิธีการและหลักเกณฑ์ในการรับข้อเสนอขายไฟฟ้าจากโครงการฯ ไว้อย่างชัดเจน เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
802 | ผลการเจรจาต่อรองกับบริษัท รถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) งานสัญญาที่ 4 โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่ - บางซื่อ (สถานีคลองบางไผ่ - สถานีเตาปูน) และความเห็นในการคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน - บางซื่อ งานสัญญาที่ 5 | คค | 13/08/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบวงเงินค่างานระบบขบวนรถไฟฟ้าในส่วนของสัญญาที่ ๔ โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ (สถานีคลองบางไผ่-สถานีเตาปูน) จำนวน ๔,๘๔๑ ล้านบาท ตามที่คณะกรรมการตามมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ ได้พิจารณาแล้วว่าเป็นวงเงินที่เหมาะสม จึงเห็นควรให้คณะกรรมการฯ แจ้งให้บริษัท รถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BMCL) พิจารณาปรับลดค่างานระบบขบวนรถไฟฟ้าตามกรอบวงเงินดังกล่าว ทั้งนี้ หาก BMCL ไม่สามารถปรับลดกรอบวงเงินดังกล่าวได้ เห็นควรให้คณะกรรมการฯ พิจารณา ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป ๑.๒ ให้คณะกรรมการฯ เจรจากับ BMCL ในการพิจารณาปรับร่างสัญญาตามความเห็นของสำนักงานอัยการสูงสุดและการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย พร้อมทั้งให้กระทรวงคมนาคมเข้าร่วมสนับสนุนข้อมูลเพื่อประกอบการเจรจาดังกล่าว ทั้งนี้ ในขั้นการพิจารณาเจรจาปรับร่างสัญญาดังกล่าวจะต้องคำนึงถึงประโยชน์ต่อภาครัฐและความเป็นธรรมระหว่างคู่สัญญาด้วย ๑.๓ เห็นชอบในหลักการให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-บางซื่อ (งานสัญญาที่ ๕) โดยเริ่มต้นจากรูปแบบ PPP Net Cost หากรูปแบบดังกล่าวไม่ประสบผลสำเร็จ ให้สามารถดำเนินการในรูปแบบ PPP Gross Cost โดยให้คณะกรรมการฯ รับไปดำเนินการตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ อย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ ในการนำเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี ให้กระทรวงคมนาคมแยกการนำเสนอเรื่องงานสัญญาที่ ๕ ออกจากการพิจารณาผลการเจรจาต่อรองกับ BMCL งานสัญญาที่ ๔ โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ (สถานีคลองบางไผ่-สถานีเตาปูน) และนำเสนอทั้ง ๒ เรื่องต่อคณะรัฐมนตรีในคราวเดียวกัน เนื่องจากเป็นเรื่องที่มีความต่อเนื่องกัน ๒. ให้กระทรวงคมนาคมนำเสนอร่างสัญญาที่ได้พิจารณาดำเนินการตามข้อสังเกตของสำนักงานอัยการสูงสุดให้คณะรัฐมนตรีทราบต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
803 | ขออนุมัติดำเนินโครงการอีกครั้งหนึ่ง พร้อมขอยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีกรณีจำนวนเงินงบประมาณในปีแรกไม่ต่ำกว่าร้อยละ 20 และขออนุมัติขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ กรณีวงเงินการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีเกิน 1,000 ล้านบาท โครงการก่อสร้างอุโมงค์ระบายน้ำใต้คลองบางซื่อ จากคลองลาดพร้าวถึงแม่น้ำเจ้าพระยา | มท | 13/08/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินโครงการก่อสร้างอุโมงค์ระบายน้ำใต้คลองบางซื่อ จากคลองลาดพร้าวถึงแม่น้ำเจ้าพระยา วงเงินโครงการทั้งสิ้น ๒,๔๘๓,๕๔๘,๐๐๐ บาท โดยแบ่งเป็นวงเงินค่าก่อสร้าง จำนวน ๒,๔๔๒,๔๐๐,๐๐๐ บาท และวงเงินค่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อบริหารและควบคุมงานโครงการ จำนวน ๔๑,๑๔๘,๐๐๐ บาท ซึ่งรัฐบาลจะสนับสนุนงบประมาณอุดหนุนวงเงินค่าก่อสร้างในอัตราร้อยละ ๕๐ (๑,๒๒๑,๒๐๐,๐๐๐ บาท) และใช้เงินงบประมาณของกรุงเทพมหานคร ร้อยละ ๕๐ ส่วนงบประมาณค่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อควบคุมงานโครงการฯ จำนวน ๔๑,๑๔๘,๐๐๐ บาท ให้กรุงเทพมหานครใช้จ่ายจากรายได้ของกรุงเทพมหานครเอง ทั้งนี้ ในส่วนของเงินงบประมาณที่สำนักงบประมาณได้จัดสรรให้กรุงเทพมหานครไปแล้วในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑ และ พ.ศ. ๒๕๕๒ จำนวน ๕๐๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท ให้นำมาหักออกจากเงินอุดหนุนที่รัฐบาลจะให้การสนับสนุน ๑.๒ ให้ยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ (เรื่อง การปรับปรุงหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ) กรณีเงินงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรในปีแรกต่ำกว่าร้อยละ ๒๐ ของวงเงินงบประมาณทั้งสิ้น และให้ขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณของโครงการฯ เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑-๒๕๕๙ ๑.๓ ในกรณีการเสนอโครงการลงทุนแก้ไขปัญหาการระบายน้ำในอนาคต ให้กรุงเทพมหานครเสนอแผนทางเลือกในการดำเนินการเอง อาทิ แผนพัฒนาขุดลอกคูคลอง รวมทั้งแนวทางการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้อาศัยริมคลอง โดยระบุวิธีการ งบประมาณ ระยะเวลาดำเนินการ ควบคู่กับการเสนอโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการระบายน้ำ เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีด้วย ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย กรุงเทพมหานคร นำโครงการก่อสร้างอุโมงค์ระบายน้ำใต้คลองบางซื่อ จากคลองลาดพร้าวถึงแม่น้ำเจ้าพระยา หารือกับคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยเพื่อพิจารณาในรายละเอียดของการดำเนินโครงการของกรุงเทพมหานครให้สามารถเชื่อมโยงและบูรณาการในการระบายน้ำเพื่อป้องกันอุทกภัยตามแผนบริหารจัดการน้ำของคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย โดยยึดหลักของประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน |
||||||||||||||||||||||||||||||
804 | ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การคลังสินค้า พ.ศ. .... | พณ | 30/07/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานกรรมการ ในการประชุมครั้งที่ ๙/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๖ ที่เห็นควรให้นำร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การคลังสินค้า พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา ทั้งนี้ การดำเนินการถือหุ้น หรือเข้าไปเป็นหุ้นส่วน ร่วมลงทุน หรือเข้าร่วมกิจการกับนิติบุคคลอื่น ตามร่างมาตรา ๓๐ (๕) นั้น องค์การคลังสินค้าต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อนดำเนินการทุกครั้ง ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ และให้ส่งร่างพระราชกฤษฎีกาฯ ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง โดยให้แก้ไขร่างมาตรา ๓๐ (๕) ตามความเห็นของคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||
805 | การคุ้มครองประกันสังคมแก่แรงงานนอกระบบ | รง | 19/07/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๑๔/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๖ ที่เห็นชอบในการอนุมัติเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เป็นค่าใช้จ่ายสมทบเพื่อช่วยเหลือและบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายแรงงานนอกระบบที่สมัครเข้าเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา ๔๐ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ในวงเงินไม่เกิน ๑๖๙,๙๔๙,๕๐๐ บาท ประกอบด้วย ค่าใช้จ่ายค้างจ่ายในเดือนเมษายน ๒๕๕๖ จำนวน ๑๘,๐๐๐,๐๐๐ บาท และค่าใช้จ่ายสำหรับช่วงเดือนพฤษภาคม-กันยายน ๒๕๕๖ (ระยะเวลา ๕ เดือน) ในวงเงิน ๑๕๑,๙๔๙,๕๐๐ บาท ทั้งนี้ หากงบประมาณที่จัดสรรไว้มีไม่เพียงพอ ให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ที่ได้เสนอตั้งงบประมาณให้สำนักงานประกันสังคมไว้รองรับค่าใช้จ่ายในการบรรเทาภาระของผู้ประกันตนตามมาตรา ๔๐ ไว้แล้ว ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
806 | รายงานการประเมินผลการปฏิบัติงานตามคำรับรองการปฏิบัติงานขององค์การมหาชน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | นร12 | 19/07/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบการประเมินผลการปฏิบัติงานตามคำรับรองการปฏิบัติงานขององค์การมหาชน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามมติคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๕๖ ๑.๒ เห็นชอบแผนการพัฒนาและปรับปรุงสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) (สคพ.) และความเห็นของคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ตามมติคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ทั้งนี้ ก.พ.ร. มีความเห็นต่อแผนการพัฒนาและปรับปรุง สคพ. ดังนี้ ๑.๒.๑ แผนการพัฒนาและปรับปรุง สคพ. พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๙ (ฉบับปรับปรุง) มีความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์จัดตั้งตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๔๔ และแผนยุทธศาสตร์ สคพ. ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔-๒๕๕๗ สาระสำคัญของผลสัมฤทธิ์ตามแผนการพัฒนาและปรับปรุง สคพ. และแผนยุทธศาสตร์ สคพ. เป็นประเด็นเดียวกัน แต่ในแผนการพัฒนาและปรับปรุง สคพ. จัดมิติในการปฏิบัติงานเป็น ๔ มิติ เพื่อให้มีความสอดคล้องกับมิติการประเมินผลการปฏิบัติงานของสำนักงาน ก.พ.ร. และเพื่อประโยชน์ในการกำหนดตัวชี้วัดของ สคพ. ๑.๒.๒ สคพ. ต้องนำตัวชี้วัดต่าง ๆ ในแผนการพัฒนาฯ มาพิจารณาเป็นตัวชี้วัดตามคำรับรองการปฏิบัติงานของ สคพ. ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๕๙ โดยจะต้องปรับปรุงตัวชี้วัดให้มีความท้าทาย ทันสมัย และเหมาะสมตามระยะเวลาที่ผ่านไป โดยมอบให้สำนักงาน ก.พ.ร. ติดตามและประเมินผลการดำเนินงานตามคำรับรองการปฏิบัติงานดังกล่าว ๑.๒.๓ สคพ. จะต้องบริหารจัดการภารกิจที่อาจมีความซ้ำซ้อนกับหน่วยงานอื่น ๆ เช่น การวิจัยต่าง ๆ โดยใช้ยุทธศาสตร์ “ร่วมมือ” เพื่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นของกระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับแผนพัฒนาและปรับปรุง สคพ. ควรปรับปรุงให้มีตัวชี้วัดเชิงคุณภาพมากขึ้นและเป็นตัวชี้วัดที่มีความท้าทาย รวมทั้งพัฒนาการบริหารจัดการภายในเพื่อผลักดันให้การปฏิบัติงาน สคพ. เป็นที่ยอมรับในระดับสากล และเห็นควรปรับแก้ไขข้อมูลรายงานการประเมินผลการปฏิบัติงานฯ เกี่ยวกับการกำหนดให้มีแผนทิศทาง กลยุทธ์ นโยบายและเป้าหมาย ในส่วนของสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ จากข้อความเดิม “... ทิศทาง กลยุทธ์ นโยบายและเป้าหมายของโรงเรียน ...” เป็น “... ทิศทาง กลยุทธ์ นโยบายและเป้าหมายของสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ ...” เพื่อให้ถูกต้องตามข้อเท็จจริง นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการองค์ความรู้และการเผยแพร่ข้อมูลการค้าการลงทุนเพื่อการสนับสนุนกรอบความร่วมมือระหว่างประเทศที่มีเป้าหมายชัดเจนและเน้นการนำผลงานไปต่อยอดและใช้ประโยชน์อย่างสร้างสรรค์ โดยนำจุดเน้นดังกล่าวมาประกอบการปรับปรุงกระบวนการดำเนินงานภายในองค์กรให้มีประสิทธิภาพและสอดรับกันด้วย เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
807 | สรุปรายงานการประเมินผลหน่วยงานของรัฐ ที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 | นร12 | 19/07/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบสรุปรายงานการประเมินผลหน่วยงานของรัฐที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๑๓ หน่วย ประกอบด้วย สรุปผลการประเมินในภาพรวม ซึ่งหน่วยงานของรัฐฯ มีผลงานบรรลุผลสัมฤทธิ์ตามวัตถุประสงค์การจัดตั้งและพันธกิจที่ได้รับมอบหมาย คะแนนรวมของแต่ละแห่งค่อนข้างสูงกว่าเป้าหมาย (คะแนน ๓.๕๕๘๕-๔.๗๐๑๔ จากคะแนนเต็ม ๕ คะแนน) ผลงานที่สำคัญของหน่วยงานของรัฐฯ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ และผลการศึกษาของสำนักงาน ก.พ.ร. และให้หน่วยงานของรัฐฯ แจ้งรายงานผลการประเมินให้รัฐมนตรีผู้กำกับดูแลทราบ ๑.๒ ให้สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติปรับกำหนดการประเมินให้สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง สรุปรายงานการประเมินผลองค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔) เพื่อให้สามารถจัดส่งรายงานให้สำนักงาน ก.พ.ร. ได้ตามกำหนด ๑.๓ ให้หน่วยงานของรัฐฯ รายงานการประเมินผลการปฏิบัติงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ไปยังสำนักงาน ก.พ.ร. เพื่อให้คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการประมวลรายงานการประเมินผลการปฏิบัติงานของหน่วยงานของรัฐฯ ในภาพรวมเสนอต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ เกี่ยวกับผลการวิจัยที่สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ควรเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ผลงานให้มากกว่าที่ผ่านมา เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหรือผู้สนใจนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างจริงจัง และให้สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติเร่งจัดทำรายงานการประเมินผลตนเอง และจัดส่งรายงานให้สำนักงาน ก.พ.ร. ได้ตามเวลาที่กำหนด นอกจากนี้ ควรพิจารณาความเป็นไปได้ในการเชื่อมโยงผลการประเมินหน่วยงานของรัฐที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะกับการได้รับจัดสรรงบประมาณ เพื่อหน่วยงานของรัฐดังกล่าวจะได้ให้ความสำคัญกับการปฏิบัติภารกิจให้บรรลุผลสัมฤทธิ์ตามวัตถุประสงค์การจัดตั้งและพันธกิจที่ได้รับมอบหมายอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งให้ความสำคัญ/น้ำหนักในการกำหนดตัวชี้วัดที่แสดงถึงความสำเร็จของการบรรลุวัตถุประสงค์การให้บริการประชาชน/กลุ่มเป้าหมายตามภารกิจการจัดตั้งของแต่ละหน่วยงาน ตลอดจนสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลและยุทธศาสตร์ของประเทศ (Country Strategy) เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. ไปหารือร่วมกับกระทรวงการคลังและกระทรวงสาธารณสุขเพื่อพิจารณาหาวิธีการประเมินผลที่เหมาะสม เพื่อให้สามารถส่งรายงานการประเมินผลได้ตามกำหนด และโดยที่มีบางหน่วยงานมีระบบการประเมินผลของตนเอง ซึ่งอาจทำให้เกิดความไม่เป็นธรรม หรือเกิดผลประโยชน์ทับซ้อนได้ ดังนั้น ในระยะยาวให้สำนักงาน ก.พ.ร. ไปพิจารณาทบทวนวิธีการประเมินผลให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||
808 | ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตกรณีการใช้นโยบายราคาเพื่อแก้ปัญหาสินค้าเกษตรที่เน่าเสียเร็ว | ปช | 19/07/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๙/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริต กรณีการใช้นโยบายราคาเพื่อแก้ปัญหาสินค้าเกษตรที่เน่าเสียเร็ว ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. เสนอ ๑.๑.๑ รัฐบาลต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วนและรอบคอบว่า สมควรดำเนินนโยบายแทรกแซงราคา เพื่อแก้ปัญหาสินค้าเกษตรที่เน่าเสียเร็ว โดยการรับซื้อมาเก็บไว้เองหรือไม่ เนื่องจากสินค้าเกษตรเหล่านี้จะสูญเสียง่าย และก่อให้เกิดความเสียหายอย่างมาก ๑.๑.๒ หากรัฐบาลจะดำเนินนโยบายแทรกแซงราคา แนวทางที่ควรจะดำเนินการ คือ การให้สินเชื่อแก่เกษตรกรในช่วงต้นฤดูการผลิตอย่างเพียงพอที่จะทำให้เกษตรกรสามารถอยู่ได้ตลอดฤดูการผลิต และให้เกษตรกรเป็นผู้เก็บรักษาผลผลิตทางการเกษตรระหว่างรอการจำหน่ายเอง โดยให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรเป็นหน่วยงานหลักรับผิดชอบดำเนินการให้เป็นไปตามนโยบาย ด้วยกลไกของธนาคาร เนื่องจากมีระบบบัญชีที่ต่อเนื่องและมีวินัยทางการเงินที่เคร่งครัด ตรวจสอบได้ แต่หากรัฐบาลมีความจำเป็นจะต้องดำเนินนโยบายแทรกแซงราคา เพื่อแก้ไขปัญหาสินเค้าเน่าเสียเร็ว โดยการนำเงินงบประมาณไปใช้ในการรับซื้อสินค้าเกษตรไว้เอง ก็ควรที่จะมีมาตรการ หรือกลไกในการควบคุม กำกับ ดูแลให้รัดกุมมิให้เกิดปัญหาเช่นเดียวกับกรณีแก้ไขปัญหาราคาหอมแดงฤดูการผลิตปี ๒๕๕๔/๕๕ ที่มีการปล่อยปละละเลยให้บุคคลอื่นที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้ามามีอำนาจในการบริหารจัดการ รวมทั้งมีการนำหอมแดงที่ได้รับซื้อไว้แล้วกลับมาหมุนเวียนขายให้กับทางราชการซ้ำอีก ๑.๑.๓ รัฐบาลต้องเร่งแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน โดยดำเนินการตามนโยบายที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา ตามนโยบายเร่งด่วนที่จะเริ่มดำเนินการในปีแรก คือ การให้เกษตรกรเข้าถึงแหล่งเงินทุน การเพิ่มประสิทธิภาพของกลไกตลาด การจัดทำระบบทะเบียนครัวเรือนเกษตรกรให้สมบูรณ์ และนโยบายหลักในการบริหารประเทศที่จะดำเนินการภายในช่วงระยะ ๔ ปี ของรัฐบาลในส่วนของนโยบายปรับโครงสร้างเศรษฐกิจภาคเกษตร โดยเสริมสร้างความเข้มแข็งให้เกษตรกรด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพการเพาะปลูก ลดต้นทุนการผลิต พัฒนาระบบการผลิตที่เป็นขั้นตอน มีการวางแผนการผลิตและการจำหน่ายล่วงหน้าที่แม่นยำ ส่งเสริมการผลิตนอกฤดูกาล การแปรรูป ส่งเสริมการตลาด และเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในตลาดโลก ๑.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงพาณิชย์ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการกำกับดูแลสินค้าเกษตรร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ป.ป.ช. และความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาดำเนินการ และเมื่อได้ข้อสรุปแล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๑.๓ ในระหว่างนี้หากมีความจำเป็นต้องดำเนินโครงการยกระดับราคาสินค้าเกษตร ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการด้วยความรอบคอบและสอดคล้องกับข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ๑.๔ ให้กระทรวงพาณิชย์ในฐานะที่กำกับดูแลองค์การคลังสินค้าดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีพนักงานองค์การคลังสินค้าถูกกล่าวหาร้องเรียนว่า ร่วมกันทุจริตในโครงการแก้ไขปัญหาราคาหอมแดง ฤดูการผลิตปี ๒๕๕๔/๒๕๕๕ ในจังหวัดศรีสะเกษ และหากพบว่ามีความผิดจริงตามที่ถูกกล่าวหาร้องเรียนให้ดำเนินการลงโทษตามกฎหมายอย่างจริงจัง แล้วรายงานผลการดำเนินการให้คณะรัฐมนตรีทราบโดยเร็วและอย่างต่อเนื่อง ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาตรวจสอบการดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎระเบียบของทางราชการ หากพบว่ามีการดำเนินการที่ผิดระเบียบและขั้นตอนที่ทางราชการกำหนด ก็ให้ดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดและรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||
809 | มาตรการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ | อก | 09/07/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการดำเนินการตามมติคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน เมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๕๕ ที่ให้ขยายพื้นที่ตามมาตรการส่งเสริมการลงทุนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ จากเดิม ๓ จังหวัด คือ จังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ออกไปอีกเป็น ๔ จังหวัด คือ จังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส และสตูล และ ๔ อำเภอของจังหวัดสงขลา ได้แก่ อำเภอจะนะ นาทวี สะบ้าย้อย และเทพา รวมทั้งขยายเวลามาตรการส่งเสริมการลงทุนในจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นพิเศษ จากเดิมสิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ ออกไปอีก ๒ ปี สิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ กระทรวงอุตสาหกรรมได้ประชุมหารือกับศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เมื่อวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๕ และวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ เกี่ยวกับแนวทางบูรณาการในการพัฒนาอุตสาหกรรมในจังหวัดชายแดนภาคใต้เพื่อให้การส่งเสริมการลงทุนมีประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น โดย ศอ.บต. ได้ขอให้ปรับปรุงสิทธิและประโยชน์ รวมทั้งเงื่อนไขส่งเสริมการลงทุนพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้จูงใจมากขึ้น เช่น ขอให้ผู้ประกอบการที่จะขยายกิจการและใช้เครื่องจักรเดิมมาดำเนินการสามารถขอรับการส่งเสริมการลงทุนได้ ขอผ่อนผันให้สถานประกอบการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนใช้แรงงานต่างด้าวไร้ฝีมือได้ เป็นต้น ๑.๒ คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนได้พิจารณาข้อสรุปจากการหารือระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรม และ ศอ.บต. ในคราวประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๕๖ แล้ว มีมติให้ปรับปรุงหลักเกณฑ์ส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ ๑.๒.๑ ลดมูลค่าเงินลงทุนไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียนขั้นต่ำจาก ๑ ล้านบาท ลดลงเหลือ ๕๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อให้กิจการขนาดเล็กสามารถขอรับการส่งเสริมได้ ๑.๒.๒ อนุญาตให้นำเครื่องจักรใช้แล้วในประเทศมาใช้ในโครงการที่ขอรับการส่งเสริมได้มีมูลค่าไม่เกิน ๑๐ ล้านบาท และจะต้องลงทุนในเครื่องจักรใหม่มีมูลค่าไม่น้อยกว่า ๑ ใน ๔ ของมูลค่าเครื่องจักรใช้แล้ว เพื่อให้ผู้ประกอบการไม่ต้องลงทุนใหม่ทั้งหมด สามารถนำโครงการเก่ามาขอรับการส่งเสริมโดยลงทุนเพิ่มบางส่วน ๑.๒.๓ กำหนดให้กิจการตั้งในพื้นที่คลัสเตอร์สำหรับรองรับการลงทุนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนกำหนด ให้ได้รับสิทธิและประโยชน์ด้านภาษีอากรเป็นพิเศษเช่นเดียวกับกรณีตั้งในนิคมหรือเขตอุตสาหกรรมเท่านั้น เพื่อกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาพื้นที่รองรับการลงทุนในรูปแบบอื่น ๆ เพิ่มเติมจากรูปแบบนิคมและเขตอุตสาหกรรม ๑.๒.๔ การอนุญาตให้ใช้แรงงานต่างด้าวไร้ฝีมือในโครงการที่ได้รับการส่งเสริมกรณีเป็นกิจการนิคมหรือเขตอุตสาหกรรม และกิจการที่ตั้งในนิคมหรือเขตอุตสาหกรรมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือในพื้นที่คลัสเตอร์สำหรับรองรับการลงทุนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนกำหนด โดยจะพิจารณาอนุญาตเป็นราย ๆ ไป เพื่อปรับปรุงหลักเกณฑ์ให้เอื้ออำนวยต่อการลงทุนมากยิ่งขึ้น ซึ่งตามหลักเกณฑ์ปกติแล้วจะไม่อนุมัติให้โครงการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนใช้แรงงานต่างด้าวไร้ฝีมือ แม้จะเป็นแรงงานที่ถูกกฎหมายก็ตาม ๑.๓ คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนได้ออกประกาศที่ ๖/๒๕๕๖ เรื่อง นโยบายส่งเสริมการลงทุนเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ลงวันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ตามมติคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนข้างต้น ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นควรมีการประเมินผลความคุ้มค่าและผลกระทบจากการดำเนินงานตามมาตรการดังกล่าว และข้อเสนอของกระทรวงมหาดไทยที่ให้มีการติดตามผลการดำเนินงานตามนโยบายดังกล่าวและประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการไปลงทุนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้มากขึ้น และจัดทำรายงานเสนอคณะรัฐมนตรีและแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบด้วย สำหรับกรณีการอนุญาตให้ใช้แรงงานต่างด้าวไร้ฝีมือเข้าไปทำงานในสถานประกอบการขอให้ตรวจสอบให้เป็นไปตามระเบียบข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
810 | มติคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ครั้งที่ 5/2556 | กค | 09/07/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๖ เกี่ยวกับการกำหนดระยะเวลาการก่อหนี้ให้แก่หน่วยงานที่ขอผ่อนผันตามหลักเกณฑ์การพิจารณาผ่อนผันโครงการภายใต้งบประมาณรายจ่ายลงทุน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ที่ไม่สามารถก่อหนี้ได้ภายในวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. รายการที่ขอผ่อนผันตามหลักเกณฑ์จำนวน ๑,๒๓๗ รายการ เป็นเงิน ๓๑,๓๙๒.๓๕ ล้านบาท ที่กรมบัญชีกลางอนุมัติไปแล้วให้ก่อหนี้ภายในวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๖ ให้ขยายระยะเวลาเป็นวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ประกอบด้วย ๑.๑ รายการที่ประกวดราคาแล้วอย่างน้อยหนึ่งครั้งแต่ยังไม่ได้ผู้รับจ้างทำให้ต้องดำเนินการประกวดราคาใหม่ หรือบางส่วนอยู่ระหว่างขออนุมัติคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ (กวพ.อ.) เพื่อจัดซื้อจัดจ้างวิธีอื่น จำนวน ๓๘๕ รายการ จำนวนเงิน ๕,๐๘๕.๒๙ ล้านบาท ๑.๒ โครงการผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีผลการจัดซื้อจัดจ้างแล้วต้องเสนอสำนักงบประมาณพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนลงนามในสัญญา จำนวน ๒๖๑ รายการ จำนวนเงิน ๔,๖๗๖.๒๕ ล้านบาท ๑.๓ รายการที่อยู่ระหว่างปรับปรุง TOR (ข้อกำหนดของผู้ว่าจ้าง) หรือแก้ไขแบบรูปรายการก่อสร้างตามมติคณะรัฐมนตรี จำนวน ๓๓ รายการ จำนวนเงิน ๔,๕๓๐.๒๓ ล้านบาท ๑.๔ รายการที่ได้ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างแล้วแต่งบประมาณไม่เพียงพอ และอยู่ระหว่างการโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณ เปลี่ยนแปลงสถานที่ดำเนินการ และเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการ จำนวน ๑๐๗ รายการ จำนวนเงิน ๘๑๐.๓๓ ล้านบาท ๑.๕ รายการที่ได้ผลการจัดซื้อจัดจ้างแล้วแต่ต้องรอผลจากผู้มีอำนาจอนุมัติจัดซื้อจัดจ้างตามระเบียบพัสดุ จำนวน ๑,๒๓๗ รายการ เป็นเงิน ๓๑,๓๙๒.๓๕ ล้านบาท ที่กรมบัญชีกลางอนุมัติไปแล้วให้ก่อหนี้ภายในวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๖ ให้ขยายระยะเวลาเป็นวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๖ จำนวน ๔๕๑ รายการ จำนวนเงิน ๑๖,๒๙๐.๒๕ ล้านบาท ๒. รายการที่ขอผ่อนผันตามเหลักเกณฑ์รายการที่ดำเนินการเอง (ไม่ต้องจัดซื้อจัดจ้าง) ให้ขยายเวลาถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๖ และรายการที่ขอผ่อนผันตามหลักเกณฑ์รายการที่ได้รับจัดสรรงบประมาณแล้วแต่ยังไม่เริ่มดำเนินการ รายการที่อยู่ระหว่างดำเนินการจัดซื้อจัดจ้าง รายการที่จัดสรรต่อไปให้หน่วยงานอื่น/หน่วยงานอื่นเบิกจ่ายแทนกัน และรายการกรณีอื่น ๆ ให้ขยายระยะเวลาถึงวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ยกเว้นรายการต่อไปนี้ให้ขยายระยะเวลาถึงวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๖ ประกอบด้วย ๒.๑ เงินอุดหนุนสำหรับพัฒนาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกรณีเร่งด่วน จำนวน ๑๘,๕๐๖.๐๙ ล้านบาท ๒.๒ งบจังหวัด/กลุ่มจังหวัด จำนวน ๓,๒๖๓.๘๕ ล้านบาท ๒.๓ โครงการที่ดำเนินการเพื่อประโยชน์สาธารณชนในวงกว้างมอบให้สำนักงบประมาณพิจารณาโครงการดังกล่าว ๓. หน่วยงานที่ไม่แจ้งขอผ่อนผันการก่อหนี้รายจ่ายลงทุน จำนวน ๑๒ หน่วยงาน ได้แก่ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ มหาวิทยาลัยศิลปากร มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ สถาบันการบินพลเรือน การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ และจังหวัดเพชรบูรณ์ ให้ขยายระยะเวลาถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๖ ๔. คณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐจะไม่มีการพิจารณาผ่อนผันอีก เมื่อพ้นระยะเวลาผ่อนผันข้างต้น หากหน่วยงานมีความจำเป็นต้องใช้งบประมาณรายจ่ายลงทุน ให้ดำเนินการขอช่องทางอื่นต่อไป ๕. หน่วยงานต้องดำเนินการโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายลงทุนภายใน ๑ เดือน หลังจากเวลาที่กำหนดผ่อนผันให้ก่อหนี้ดังกล่าวข้างต้น และเบิกจ่ายให้เสร็จสิ้นภายในเดือนกันยายน ๒๕๕๖ สำหรับรายการที่ดำเนินการเอง (ไม่ต้องจัดซื้อจัดจ้าง) ให้ดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายในเดือนกันยายน ๒๕๕๖
|
||||||||||||||||||||||||||||||
811 | ขอความร่วมมือสนับสนุนกิจกรรม "งดดื่มสุราแห่งชาติ ทำความดีถวายในหลวง" ในช่วงเข้าพรรษา | สธ | 09/07/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๕๖ เกี่ยวกับการสนับสนุนกิจกรรม “งดดื่มสุราแห่งชาติ ทำความดีถวายในหลวง” ในช่วงเข้าพรรษา ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) ประธานกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบการกำหนดคำขวัญ “วันงดดื่มสุราแห่งชาติ” ในทุก ๆ ปี ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเริ่มจาก ปี ๒๕๕๖ เป็นต้นไป โดยกระทรวงสาธารณสุขกำหนดคำขวัญวันงดดื่มสุราแห่งชาติประจำปี และเสนอผ่านสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เพื่อนายกรัฐมนตรีพิจารณาและประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยประสานผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดสั่งการให้หน่วยงานในพื้นที่รับผิดชอบ จัดให้มีกิจกรรมวันงดดื่มสุราแห่งชาติ เป็นประจำทุกปี โดยจัดให้มีการลงนามปฏิญาณตนงดดื่มสุราในช่วงเข้าพรรษา และกิจกรรมอื่นตามที่เห็นสมควร ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการประสานผู้บริหารสถานศึกษาทั้งภาครัฐและเอกชนทุกแห่ง จัดให้มีกิจกรรมวันงดดื่มสุราแห่งชาติ เป็นประจำทุกปี โดยจัดให้มีการลงนามปฏิญาณตนงดดื่มสุราในช่วงเข้าพรรษา พร้อมประชาสัมพันธ์ให้เห็นความสำคัญของวันเข้าพรรษา วันงดดื่มสุราแห่งชาติ รวมถึงโทษ พิษ ภัย และผลกระทบจากการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และกิจกรรมอื่นตามที่เห็นสมควร ๔. ให้กระทรวงแรงงานประสานกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานขอความร่วมมือไปยังผู้ประกอบการ จัดให้มีการลงนามปฏิญาณตนงดดื่มสุราในช่วงเข้าพรรษา ให้กับลูกจ้าง พนักงาน เจ้าหน้าที่ ๕. ให้กระทรวงวัฒนธรรมประสานกรมการศาสนาในการขอความร่วมมือผู้นำศาสนาต่าง ๆ ที่ต้องการเข้าร่วมปฏิญาณตนงดดื่มสุรา ทำความดีถวายในหลวง ๖. ให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติประสานขอความร่วมมือสำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคมกำหนดแนวทางให้พระสงฆ์ถือปฏิบัติในการประชาสัมพันธ์ให้กับประชาชน ลด ละ เลิก การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และประสานสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด ขอความร่วมมือให้วัดเป็นศูนย์กลางการลงนามปฏิญาณตนงดดื่มสุราในช่วงเข้าพรรษา ๗. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ประสานสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (พมจ.) ขอความร่วมมืออาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ในการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนร่วมลงนามปฏิญาณตนงดดื่มสุราในช่วงเข้าพรรษา ๘. ให้ทุกกระทรวงจัดกิจกรรมวันงดดื่มสุราแห่งชาติ ในช่วงเทศกาลเข้าพรรษาของทุกปี ตามบริบทของตนเอง
|
||||||||||||||||||||||||||||||
812 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณเกินกว่าที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติและอนุมัติให้ก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีวงเงินรวม ตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป รายการค่าก่อสร้างอาคารศูนย์การแพทย์พร้อมระบบสาธารณูปการ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ | ศธ | 02/07/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในคราวประชุมครั้งที่ ๙/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๖ ที่เห็นชอบการขออนุมัติเพิ่มวงเงินและขยายระยะเวลาการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณเกินกว่าที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติและอนุมัติให้ก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีวงเงินรวมตั้งแต่ ๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไป รายการค่าก่อสร้างอาคารศูนย์การแพทย์พร้อมระบบสาธารณูปการ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้
๑. เพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการค่าก่อสร้างศูนย์การแพทย์พร้อมระบบสาธารณูปการ จากเดิม ภายในวงเงิน ๑,๖๘๒,๓๐๐,๐๐๐ บาท เป็น ภายในวงเงิน ๒,๑๕๘,๐๐๐,๐๐๐ บาท ๒. ขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการค่าก่อสร้างศูนย์การแพทย์พร้อมระบบสาธารณูปการ จากเดิม ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔-๒๕๕๗ เป็น ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔-๒๕๖๐ ๓. ก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการค่าก่อสร้างศูนย์การแพทย์พร้อมระบบสาธารณูปการ ที่มีวงเงินรวมตั้งแต่ ๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไป |
||||||||||||||||||||||||||||||
813 | ผลการพิจารณาคำร้องที่ขอให้เสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย | สม | 02/07/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบข้อเสนอแนะเชิงนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย ตามมติคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๘/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ กระทรวงกลาโหม ควรมีการระบุรายละเอียดข้อบังคับกระทรวงกลาโหมว่าด้วยเงินเบี้ยหวัด พ.ศ. ๒๔๙๕ ข้อ ๘ (๓) และข้อ ๑๐ ในเอกสารการขอรับเงินเบี้ยหวัด เพื่อประชาสัมพันธ์ให้ข้าราชการทหารที่ลาออกได้รับทราบข้อบังคับดังกล่าวถึงกรณีการงดเบี้ยหวัด และหน้าที่ของข้าราชการที่ลาออกต้องรายงานให้ผู้บังคับบัญชาต้นสังกัด และต้องแจ้งให้ส่วนราชการเดิมที่เบิกจ่ายเบี้ยหวัดของตนทราบ ทั้งนี้ เพื่อมิให้เกิดการเบิกจ่ายที่ซ้ำซ้อนและมีการเรียกเก็บเงินคืนย้อนหลัง อันเนื่องมาจากส่วนราชการเดิมได้รับข้อมูลที่คลาดเคลื่อน ๑.๒ กระทรวงมหาดไทย ควรมีการสำรวจข้อมูลและรายละเอียดของข้าราชการที่ได้รับผลกระทบจากพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๕๔๓ และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และเร่งรัดการศึกษาข้อมูลตามที่คณะกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการส่วนท้องถิ่น (ก.บ.ท.) ในการประชุมครั้งที่ ๑๐/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ได้มีมติให้จัดทำรายละเอียดเกี่ยวกับโครงการว่าจ้างศึกษาในการพิจารณาทบทวนพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๐๐ และที่แก้ไขเพิ่มเติม เพื่อให้ข้าราชการส่วนท้องถิ่นได้รับสิทธิประโยชน์เช่นเดียวกับข้าราชการพลเรือน และข้าราชการประเภทอื่น รวมทั้งมิให้เกิดการลักลั่นและเกิดความไม่เป็นธรรมกับข้าราชการไทยในภาพรวมทั้งระบบต่อไป ๑.๓ กรมบัญชีกลาง ควรพิจารณาหามาตรการในการป้องกันปัญหากรณีการเบิกจ่ายเงินเบี้ยหวัด บำนาญ เงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัด (ช.ค.บ.) และการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลตามสิทธิของผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัวตามพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล พ.ศ. ๒๕๕๓ โดยการพัฒนาระบบเทคโนโลยีให้มีประสิทธิภาพในการตรวจสอบข้อมูลของทหารซึ่งได้รับเบี้ยหวัด และได้รับการบรรจุเข้ารับราชการในกรม กอง กระทรวง ที่บรรจุใหม่ จะต้องไม่ใช้สิทธิในการเบิกจ่ายเงินที่ซ้ำซ้อนกัน และควรมีการจัดทำฐานข้อมูลรวมทั้งเชื่อมโยงข้อมูลร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานต่อไป ๒. ให้กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) รับข้อเสนอแนะเชิงนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมายของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติไปประกอบการพิจารณาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ของหน่วยงาน โดยอยู่ในกรอบของกฎหมายและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. เนื่องจากความเห็นของกระทรวงสาธารณสุขที่ได้ดำเนินการเกี่ยวกับสวัสดิการการรักษาพยาบาลของข้าราชการส่วนท้องถิ่นแล้ว มีรายละเอียดและข้อมูลที่ยังไม่ชัดเจนเกี่ยวกับปัญหาอุปสรรคในการปฏิบัติ แนวทางการดำเนินการในการประสานงานกับกระทรวงมหาดไทย รวมถึงการจัดตั้งกองทุนสวัสดิการที่เกี่ยวข้อง จึงมอบให้กระทรวงสาธารณสุขรับไปประสานงานกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำรายละเอียดของการดำเนินการดังกล่าว แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีทราบอีกครั้งหนึ่ง |
||||||||||||||||||||||||||||||
814 | การปรับเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวของสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน | มท | 02/07/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๑๒/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบการปรับเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวของสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน ให้สอดคล้องกับระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวของข้าราชการและลูกจ้างชั่วคราวของส่วนราชการ (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๕๕ ๑.๑ ปรับเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวรวมกับเงินค่าตอบแทน จาก ๘,๒๐๐ บาท เป็น ๘,๖๑๐ บาท ตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๔ ๑.๒ ปรับเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวรวมกับเงินค่าตอบแทน จาก ๘,๖๑๐ บาท เป็น ๙,๐๐๐ บาท ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ๒. สำหรับงบประมาณที่จำเป็นต้องจ่ายเป็นเงินเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราวนั้น ให้กรมการปกครองพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ได้รับการจัดสรร และขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลังปรับแก้ระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินค่าตอบแทน เงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวและเงินช่วยเหลือสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน กระทรวงมหาดไทย พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม เพื่อให้สอดรับกับข้อเสนอของกระทรวงมหาดไทยในครั้งนี้ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
815 | แผนแม่บทสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล | คค | 02/07/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๑๒/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้
๑. รับทราบแผนแม่บทสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยแผนแม่บทฯ จัดทำขึ้นเพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นกรอบแนวทางในการพัฒนาสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เพื่อแก้ไขปัญหาจราจร และเพื่อให้การเดินทางระหว่างพื้นที่สองฝั่งของแม่น้ำเจ้าพระยามีความสะดวกมากขึ้น โดยเป็นแผนการดำเนินงานเพื่อพัฒนาโครงการสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ในช่วงระยะเวลา ๒๐ ปี จาก พ.ศ. ๒๕๕๕ ถึง พ.ศ. ๒๕๗๔ ประกอบด้วย แผนดำเนินงานระยะ ๑๐ ปีแรก (ปัจจุบัน-พ.ศ. ๒๕๖๔) จำนวน ๙ โครงการ งบประมาณดำเนินงาน ๔๘,๙๕๐ ล้านบาท ได้แก่ โครงการสะพานเกียกกาย โครงการสะพานพระราม ๒ โครงการสะพานสมุทรปราการ โครงการสะพานปทุมธานี ๓ โครงการสะพานลาดหญ้า-มหาพฤฒาราม โครงการสะพานสามโคก โครงการสะพานท่าน้ำนนท์ โครงการสะพานถนนจันทน์-เจริญนคร และโครงการสะพานราชวงศ์-ดินแดง และแผนดำเนินงานระยะ ๑๐ ปีหลัง (พ.ศ. ๒๕๖๕-๒๕๗๔) ได้แก่ โครงการสะพานสนามบินน้ำ งบประมาณดำเนินงาน ๑,๕๘๐ ล้านบาท ๒. ให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไปประกอบการดำเนินงานอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะประเด็นเรื่องผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม การรับฟังความคิดเห็นของประชาชน รวมทั้งการเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการโครงการด้วย สำหรับประเด็นความเห็นประกอบด้วย เห็นควรให้หน่วยงานที่รับผิดชอบตรวจสอบกับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดประเภทและขนาดของโครงการหรือกิจการซึ่งต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม และหลักเกณฑ์ วิธีการ ระเบียบปฏิบัติ และแนวทางการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ลงวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๕ ว่าเข้าข่ายจะต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ลำดับที่ ๒๐ ทางหลวงหรือถนน ซึ่งหมายความว่าด้วยทางหลวงหรือไม่ โดยเฉพาะลำดับที่ ๒๐.๗ พื้นที่ที่ตั้งอยู่ใกล้โบราณสถาน แหล่งโบราณคดี แหล่งประวัติศาสตร์ หรืออุทยานประวัติศาสตร์ตามกฎหมายว่าด้วยโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติในระยะทาง ๒ กิโลเมตร และอาจต้องมีการรับฟังความเห็นจากประชาชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ และควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการตามรายละเอียดที่กำหนดไว้ในแผนแม่บทฯ พร้อมทั้งมีการศึกษาติดตามข้อมูลที่เป็นองค์ประกอบสำคัญในการจัดทำแผนให้เป็นปัจจุบันเสมอ เพื่อปรับแผนการดำเนินงานให้มีความสอดคล้องและทันต่อสถานการณ์ด้านการคมนาคมและการขนส่งที่มีการเปลี่ยนแปลงในแต่ละช่วงเวลา รวมทั้งให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนและการจัดทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม และให้ความสำคัญกับการบูรณาการแผนงาน/โครงการในพื้นที่ร่วมกัน เพื่อลดผลกระทบต่อประชาชนตามแนวสายทาง และเพื่อให้การลงทุนของภาครัฐเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยการออกแบบสถาปัตยกรรมและวิศวกรรมของสะพานควรพิจารณาให้มีความสอดคล้องกับสภาพพื้นที่และมีเอกลักษณ์ เพื่อให้สามารถพัฒนาโดยรอบโครงการเป็นแหล่งท่องเที่ยวหรือพื้นที่สันทนาการของประชาชนแห่งใหม่ของกรุงเทพมหานคร ตลอดจนการกำหนดรูปแบบทางวิศวกรรมของสะพานที่จะช่วยลดการกีดขวางลำน้ำเพื่อสนับสนุนการขนส่งทางน้ำภายในประเทศ |
||||||||||||||||||||||||||||||
816 | โครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต 2555/56 | พณ | 02/07/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ทำหน้าที่ประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบราคา ปริมาณ วงเงินการรับจำนำข้าวเปลือกของเกษตรกรและระยะเวลาการรับจำนำโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๕/๕๖ ตามมติคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๖/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ทั้งนี้ โดยยังคงอยู่ในกรอบรวมของปริมาณการรับจำนำข้าวเปลือกและกรอบวงเงินในการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๕๖ (เรื่อง โครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๕/๕๖ ครั้งที่ ๒) โดย ณ วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ โครงการรับจำนำข้าวเปลือกต้องอยู่ในกรอบวงเงิน ๕๐๐,๐๐๐ ล้านบาท ๒. เห็นชอบมาตรการการป้องกันการทุจริตโครงการรับจำนำข้าวที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานต่าง ๆ และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความร่วมมือปฏิบัติงานอย่างเคร่งครัด ตามมติคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๖/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๖ และให้รายงานผลการดำเนินการต่อคณะรัฐมนตรีภายในระยะเวลาที่กำหนด ๓. เห็นชอบแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพการเพาะปลูกข้าวเพื่อลดต้นทุนการผลิตข้าวและเพิ่มรายได้ให้แก่ชาวนา (zoning) ตามมติคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๖/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับไปประสานงานกับกระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการจัดหาพื้นที่เพาะปลูกพืชพลังงานทดแทน เช่น อ้อย ปาล์มน้ำมัน และหญ้าเนเปียร์ (napier) เป็นต้น ให้แก่เกษตรกรที่ประสงค์จะปรับเปลี่ยนการเพาะปลูกเพื่อเพิ่มรายได้ของตนเอง และให้กระทรวงพลังงานเร่งรัดการดำเนินการเพื่อให้มีการจัดตั้งสถานประกอบการเพื่อรองรับผลิตผลจากพืชพลังงานทดแทนดังกล่าวโดยเร็วต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
817 | ขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่ของห้างหุ้นส่วนจำกัด เจริญผลการศิลา ที่จังหวัดชุมพร | อก | 25/06/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๓๒ (เรื่อง มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำภาคใต้ และข้อเสนอแนะมาตรการการใช้ที่ดินในเขตลุ่มน้ำ) และวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๓๓ (เรื่อง การอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้) เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูน (เพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง) ของห้างหุ้นส่วนจำกัด เจริญผลการศิลา ตามคำขอที่ ๒/๒๕๕๑ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรให้กระทรวงอุตสาหกรรมพิจารณาดำเนินการตามระเบียบ/ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบ และปฏิบัติตามข้อเสนอแนะมาตรการใช้ที่ดินในเขตลุ่มน้ำภาคใต้ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๓๒ อย่างเคร่งครัด รวมทั้งนำมาตรการป้องกันผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม ที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูนเพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้างของห้างหุ้นส่วนจำกัด เจริญผลการศิลา คำขอต่ออายุประทานบัตรที่ ๒/๒๕๕๑ ไปกำหนดเป็นเงื่อนไขในการให้ต่ออายุประทานบัตรเหมืองแร่ พร้อมทั้งเห็นควรให้กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมติดตามตรวจสอบและควบคุมการนำมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ไปปฏิบัติ และการดำเนินงานของกองทุนฯ รวมทั้งการฟื้นฟูสภาพพื้นที่ที่ผ่านการทำเหมือง ให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างครบถ้วน โดยให้ชุมชน โรงเรียน วัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีส่วนร่วมในการติดตามตรวจสอบและบริหารจัดการกองทุนฯ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
818 | ขออนุมัติการปรับโครงสร้างหนี้ของบริษัท ห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จำกัด | กค | 18/06/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๑๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ที่เห็นชอบการอนุมัติปรับโครงสร้างหนี้ของบริษัท ห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จำกัด ในการขยายระยะเวลาการชำระหนี้เงินยืมในส่วนของเงินต้นคงค้าง จำนวน ๑,๓๖๙ ล้านบาท ออกไปอีก ๑๕ ปี (จนถึงปี พ.ศ. ๒๕๖๙) โดยคิดดอกเบี้ยในอัตราคงที่ร้อยละ ๓.๗๘ ต่อปี ซึ่งเท่ากับอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอายุ ๑๕ ปี ณ ปัจจุบัน และให้บริษัทฯ เริ่มชำระคืนเงินต้นเมื่อมีกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมและค่าจัดจำหน่าย (EBITDA : Earning Before Interest Taxes Depreciation and Amortization) และมีสภาพคล่องเพียงพอในการดำเนินกิจการเพื่อให้บริษัทฯ สามารถชำระหนี้เงินยืมในส่วนของเงินต้นคงค้างได้ทั้งหมดต่อไป ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงอุตสาหกรรมในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่เรียกประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ เพื่อบริหารจัดการเกี่ยวกับการชำระหนี้ของบริษัทฯ รวมทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานของบริษัทฯ ด้วย ๒. สำหรับการคิดเบี้ยปรับการผิดนัดชำระหนี้เงินต้นค้างชำระให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐพิจารณาเลือกใช้บริการทดสอบคุณภาพมาตรฐานสินค้าและบริการอื่น ๆ ของบริษัทฯ เป็นลำดับแรก เพื่อสนับสนุนการดำเนินกิจการของบริษัทฯ ให้มีสภาพคล่องและเพียงพอต่อการชำระหนี้ได้ต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||
819 | โครงการก่อสร้างสายส่งไฟฟ้าระบบ 115 กิโลโวลต์ อำเภอเขาค้อ - อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ | มท | 18/06/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๑๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ที่เห็นชอบให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ดำเนินโครงการก่อสร้างสายส่งไฟฟ้าระบบ ๑๑๕ กิโลโวลต์ อำเภอเขาค้อ-อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ และผ่อนผันการเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๒๙ เรื่อง มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำยม และน่าน และข้อเสนอแนะมาตรการใช้ที่ดินในเขตลุ่มน้ำ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ เรื่อง มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำ ภาคตะวันตก ภาคกลาง และลุ่มน้ำป่าสัก และการกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือส่วนอื่น ๆ (ลุ่มน้ำชายแดน) ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยให้ กฟภ. รับข้อสังเกตของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะประเด็นการดำเนินการตามมาตรการป้องกัน แก้ไข และลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม และการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
820 | ขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่ของห้างหุ้นส่วนจำกัด ศิลาทองวิเชียร ที่จังหวัดเพชรบูรณ์ | อก | 18/06/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๓๓ (เรื่อง การอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้) และวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ [เรื่อง มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำภาคตะวันตก ภาคกลาง และลุ่มน้ำป่าสัก และการกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือส่วนอื่น ๆ (ลุ่มน้ำชายแดน)] เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูน (เพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง) ของห้างหุ้นส่วนจำกัด ศิลาทองวิเชียร ตามคำขอที่ ๑/๒๕๕๑ (ประทานบัตรที่ ๒๕๖๑๕/๑๕๔๑๑) ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เห็นว่า กระทรวงอุตสาหกรรมควรพิจารณาดำเนินการตามระเบียบ/ข้อกฎหมายด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบ ทั้งนี้ หลังจากได้รับการต่ออายุประทานบัตรแล้ว ให้ผู้ถือประทานบัตรดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด และจะต้องปฏิบัติตามข้อเสนอแนะมาตรการการใช้ที่ดินในเขตลุ่มน้ำภาคตะวันตก ภาคกลาง และลุ่มน้ำป่าสัก ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ โดยเคร่งครัด รวมทั้งควรนำมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่เสนอไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมไปกำหนดเป็นเงื่อนไขในการต่ออายุประทานบัตร ทั้งนี้ ก่อนการอนุญาตสัมปทาน ให้กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และผู้แทนชุมชนในพื้นที่ดังกล่าวตรวจสอบการฟื้นฟูสภาพพื้นที่ที่ผ่านการทำเหมือง ให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างครบถ้วน และเนื่องจากการทำเหมืองหินเป็นกิจกรรมที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่อย่างมาก ทั้งมลพิษทางเสียง มลพิษทางอากาศ ฝุ่นละออง และแรงสั่นสะเทือน จึงเห็นควรให้เพิ่มวงเงินกองทุนฟื้นฟูสภาพแวดล้อมของพื้นที่ทำเหมืองและกองทุนเฝ้าระวังสุขภาพและการพัฒนาชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากการทำเหมือง โดยกำหนดอัตราส่วนที่เหมาะสมกับผลประโยชน์ตอบแทนทางเศรษฐกิจที่ได้รับ รวมทั้งให้ชุมชน โรงเรียน วัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีส่วนในการบริหารจัดการกองทุนนี้ร่วมกัน และเห็นควรให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ตั้งโครงการและพื้นที่ใกล้เคียงซึ่งอาจได้รับผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขอนามัยของประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมติดตาม และตรวจสอบเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและมลพิษตามอำนาจหน้าที่ที่ได้รับการถ่ายโอนมา ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย |
.....