ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 46 จากทั้งหมด 252 หน้า แสดงรายการที่ 901 - 920 จากข้อมูลทั้งหมด 5030 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
901 | การจ่ายเงินช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการเก็บกักน้ำของเขื่อนภูมิพล ปี 2554 | พน | 15/10/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่กระทรวงพลังงานเสนอมติคณะกรรมการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ในการประชุมครั้งที่ ๙/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๕๕ ซึ่งเห็นชอบในหลักการให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จ่ายเงินช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการเก็บกักน้ำของเขื่อนภูมิพล ปี ๒๕๕๔ ทั้งในที่ดินที่มีเอกสารสิทธิและไม่มีเอกสารสิทธิในเขตนิคมสร้างตนเองเขื่อนภูมิพลและสหกรณ์นิคมแม่แจ่ม ที่อยู่นอกเขตหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (นสล.) และอยู่ต่ำกว่าระดับ + ๒๖๐.๐๐ ม.รทก. โดยจ่ายเงินช่วยเหลือค่าต้นไม้และพืชผลที่เสียหายในอัตราต่อต้น ตามชนิด และขนาดของต้นไม้ที่เสียหายจริง ซึ่งได้ดำเนินการสำรวจไว้แล้ว ในหลักเกณฑ์และอัตราตามบัญชีค่าทดแทนต้นไม้ของ กฟผ. ที่ใช้ในปี พ.ศ. ๒๕๔๙ โดยลดลงร้อยละ ๒๕ ใช้งบทำการของ กฟผ. วงเงินประมาณ ๔๓๐ ล้านบาท โดยมีเงื่อนไข ดังนี้ ๑.๑ การรับเงินช่วยเหลือจะต้องมีเงื่อนไขข้อตกลงที่ผูกพันตามกฎหมายว่าผู้รับเงินช่วยเหลือจะไม่เรียกร้องค่าเสียหายจากการเก็บกักน้ำของเขื่อนภูมิพลอีกต่อไป และผู้มีเอกสารสิทธิในที่ดินจะยินยอมขายที่ดินให้แก่ กฟผ. ในราคาประเมินทุนทรัพย์เพื่อเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิ ๑.๒ เกษตรกรผู้ได้รับผลกระทบที่เป็นเจ้าของต้นไม้และพืชผลที่เสียหาย ซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินที่ครอบครองอยู่โดยไม่มีเอกสารสิทธิตามประมวลกฎหมายที่ดินในเขตนิคมสร้างตนเองเขื่อนภูมิพลและสหกรณ์นิคมแม่แจ่ม เนื้อที่ประมาณ ๑,๐๐๐ ไร่ เมื่อรับเงินช่วยเหลือแล้ว ผู้ครอบครองที่ดินจะต้องสละสิทธิการครอบครองเพื่อเพิกถอนสิทธิครอบครองที่ดินคืนให้แก่รัฐสำหรับใช้เป็นเขตน้ำท่วมถึง โดยผู้ครอบครองที่ดินจะต้องทำบันทึกส่งมอบการครอบครองที่ดินให้แก่รัฐในวันที่รับเงินช่วยเหลือจาก กฟผ. ๒. ให้ กฟผ. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า กฟผ. ควรดำเนินการตามแนวทางการแก้ไขปัญหาและปฏิบัติตามเงื่อนไขในการจ่ายเงินช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบอย่างเคร่งครัด เพื่อให้เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบได้รับความช่วยเหลือโดยเร็วและเป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ไปดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
902 | การขยายปริมาณและกรอบการใช้เงินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี 2555 (กรณีพิเศษ) เพิ่มเติม | พณ | 15/10/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๕ ที่ให้ปรับปริมาณการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี ๒๕๕๕ (กรณีพิเศษ) เพิ่มเติม จากเดิมจำนวน ๑๖.๖๑๓ ล้านตัน ลงเหลือจำนวน ๑๔.๗๐ ล้านตัน (ปรับเพิ่มเติมจากที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติไว้ ๑๓.๓๑ ล้านตัน อีกจำนวน ๑.๓๙ ล้านตัน) กำหนดระยะเวลาสิ้นสุดการรับจำนำของภาคอื่น ๆ ในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๕ ส่วนภาคใต้กำหนดระยะเวลาสิ้นสุดในวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ สำหรับวงเงินสินเชื่อเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนรับจำนำในครั้งนี้ ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ใช้วงเงินที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ (เรื่อง การจัดหาเงินทุนเพื่อดำเนินการโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร) อนุมัติไปแล้ว จำนวน ๒๖๙,๑๖๐ ล้านบาท และไม่เกินกรอบวงเงินจำนวน ๔๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๕๔ (เรื่อง โครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕) อนุมัติไว้ และให้กระทรวงพาณิชย์นำเงินที่ได้จากการระบายข้าวไปเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการรับจำนำด้วย ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง รายงานผลการดำเนินการโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ และพิจารณาปริมาณและวงเงินโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๕/๕๖) ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ (ต้นทุนเงินและค่าบริหารโครงการ) ให้กระทรวงพาณิชย์ใช้หลักเกณฑ์เดิมเช่นเดียวกับโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรังปี ๒๕๕๕ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
903 | ข้อเสนอ แนวทาง มาตรการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ในรูปแบบแรงงานประมง | พม | 09/10/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ โดยคณะกรรมการฯ มีมติ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบข้อเสนอ แนวทาง มาตรการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ในรูปแบบแรงงานประมง และแนวทางการจัดตั้งศูนย์ประสานแรงงานประมง เพื่อสกัดกั้นและขจัดขบวนการการค้ามนุษย์ ในรูปแบบแรงงานประมง ประกอบด้วยประเด็นสำคัญ ๓ เรื่อง ดังนี้ ๑.๑.๑ การปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย กฎ ระเบียบ และข้อปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับตัวเรือ บุคคลบนเรือ ให้สอดคล้องกับวิธีการทำประมงของไทย ได้แก่ การปรับปรุงกฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๐ (พ.ศ. ๒๕๔๑) ออกตามความในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ ข้อ ๒ และข้อ ๔ การปรับปรุงพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ. ๒๔๕๖ มาตรา ๒๘๕-๒๙๐ ว่าด้วยการจ้างและเลิกจ้างคนทำงานบนเรือ การปรับปรุงตำแหน่งหน้าที่และเอกสารรับรองคุณสมบัติคนบนเรือให้สอดคล้องกับศักยภาพขั้นต่ำและประสบการณ์ของแรงงานไทย และการปรับปรุงวิธีการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าว ตามเงื่อนไขของบันทึกความเข้าใจทวิภาคีกับประเทศเพื่อนบ้าน ๓ สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมาร์) และคณะกรรมการบริหารแรงงานต่างด้าว ๑.๑.๒ การบังคับใช้กฎระเบียบและการตรวจสอบ ได้แก่ การดำเนินคดีกับสาย/นายหน้าที่หลอกลวงคนหางาน ตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘ การควบคุมเรือเข้า-ออกท่า การจัดระเบียบเรือประมงเข้าระบบอย่างถูกต้อง ทั้งตัวเรือ และตัวบุคคลบนเรือ การตรวจสอบเรือประมง คนทำงานบนเรือ และอุปกรณ์การทำงาน ให้เป็นไปตามกฎหมาย และกฎระเบียบต่าง ๆ การติดตั้งหรือพัฒนาระบบเพื่อใช้ในการบอกตำแหน่งเรือ/ติดตามเรือประมง การสร้างความเข้าใจในพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. ๒๕๕๑ ให้กับผู้เกี่ยวข้องในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ รูปแบบแรงงานประมง และการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศในการต่อต้านและเฝ้าระวังการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบจากการผลักดันแรงงานอพยพไปทำงานในประเทศปลายทาง ๑.๑.๓ การแก้ไขการขาดแคลนแรงงานและการบังคับใช้แรงงานที่นำไปสู่การค้ามนุษย์ ได้แก่ การทบทวนและปรับปรุงบันทึกความเข้าใจทวิภาคีกับประเทศเพื่อนบ้าน ๓ สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมาร์) เกี่ยวกับขั้นตอน ค่าธรรมเนียม และการเตรียมความพร้อมในการทำงานตามลักษณะ/สภาพงาน เพื่อให้สามารถรองรับแรงงานย้ายถิ่น การสร้างมาตรฐานลักษณะการปฏิบัติงานและการดำรงชีวิตบนเรือ/ในโรงงานอุตสาหกรรม การส่งเสริมให้มีการใช้จรรยาบรรณของผู้ประกอบการภาคประมง การส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างเทคโนโลยีลดจำนวนการใช้แรงงานบนเรือ และการจัดตั้งศูนย์ประสานแรงงานประมง เป็นโครงการนำร่อง ๗ ศูนย์ (ในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร ระยอง ตราด ชุมพร สงขลา ระนอง และสตูล) ที่จะนำแรงงานที่ถูกต้องตามกฎหมาย และได้รับอนุญาตให้ทำงานเฉพาะกิจการบนเรือประมงเท่านั้น โดยมีระบบการควบคุม ตรวจสอบ คุ้มครองแรงงาน ให้ความรู้เรื่องสิทธิที่พึงจะได้รับแก่นายจ้างและลูกจ้าง จัดทำข้อตกลงการจ้างที่ชัดเจน ฯลฯ ๑.๒ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กรมเจ้าท่า กรมการจัดหางาน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง กองบังคับการตำรวจน้ำ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์) สำนักงานอัยการสูงสุด กองทัพเรือ กรมประมง กรมสอบสวนคดีพิเศษ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เร่งดำเนินการตามข้อเสนอ แนวทาง มาตรการดังกล่าว และดำเนินการจัดตั้งศูนย์ประสานแรงงานประมง เพื่อสกัดกั้นและขจัดขบวนการการค้ามนุษย์ ทั้งนี้ ให้รับข้อสังเกต/ข้อเสนอแนะของที่ประชุมคณะกรรมการฯ ไปประกอบการดำเนินงานด้วย ๑.๓ รายงานผลการดำเนินงานและความคืบหน้าให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ทราบภายใน ๖ เดือน เพื่อรวบรวมนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงแรงงาน ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ เกี่ยวกับการดำเนินงานของกรมเจ้าท่า โดยการจัดหลักสูตรสำหรับผู้ควบคุมเรือกลประมงโดยเฉพาะให้สามารถสอบประเมินความรู้เพื่อรับประกาศนียบัตรตามข้อบังคับกรมเจ้าท่าว่าด้วยการสอบความรู้ผู้ทำการในเรือ พ.ศ. ๒๕๓๒ รวมทั้งการออกมาตรการเพื่อให้เรือประมงทะเล โดยเฉพาะเรือประมงทะเลลึกที่มีเขตการเดินเรือไปต่างประเทศมาทำสัญญาคนประจำเรือกับกรมเจ้าท่า เพื่อช่วยในการตรวจสอบติดตามข้อมูลของคนประจำเรือ ซึ่งมาตรการดังกล่าวควรมีการหารือร่วมกันระหว่างผู้ที่เกี่ยวข้องและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อกำหนดแนวทางที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน ดำเนินการได้จริง และเกิดผลในทางปฏิบัติ สำหรับการติดตั้งหรือพัฒนาระบบเพื่อใช้ในการบอกตำแหน่งเรือ/ติดตามเรือประมง โดยการใช้เทคโนโลยี Global Positioning System (GPS) ร่วมกับเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตและเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ เนื่องจากในบางพื้นที่เครือข่ายอินเทอร์เน็ตและโทรศัพท์เคลื่อนที่อาจไม่ครอบคลุม ควรมีการสนับสนุนให้เกิดการขยายบริการของเครือข่ายดังกล่าวให้ครอบคลุมในอนาคต เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์จากการติดตั้งหรือพัฒนาระบบเพื่อใช้การบอกตำแหน่งเรือ/ติดตามเรือประมงได้อย่างเต็มที่ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
904 | การจัดสรรโควตาและการจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลเกินราคา | ปช | 09/10/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานกรรมการ ในการประชุมครั้งที่ ๑๓/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๕๕ โดยคณะกรรมการกลั่นกรองฯ มีมติ ดังนี้
๑. รับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.) เกี่ยวกับการจัดสรรโควตาและการจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลเกินราคา ๑.๑ สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลต้องกำหนดนโยบายอย่างเป็นรูปธรรม โดยมีการกำหนดรูปแบบและปริมาณสลากกินแบ่งรัฐบาล รวมทั้งปริมาณเครื่องจำหน่ายอัตโนมัติให้ชัดเจน โดยไม่พิจารณาเพียงแต่ผลประโยชน์เฉพาะการเงินของรัฐเป็นหลัก และต้องประกาศให้เป็นที่รับรู้ของประชาชนโดยทั่วไป รวมถึงสำนักงานสลากฯ ต้องจัดทำการประเมินนโยบายการจำหน่ายสลากฯ ด้วยเครื่องจำหน่ายอัตโนมัติเป็นประจำทุกปี โดยองค์กรอิสระที่ไม่แสวงหากำไรและไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับสำนักงานสลากฯ ทั้งนี้ เพื่อประเมินถึงผลดีและผลเสียของนโยบายดังกล่าวอย่างหลากหลายทั้งมิติเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ๑.๒ คณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาลควรแถลงนโยบายในการกำกับการดำเนินงานของสำนักงานสลากฯ เพื่อให้เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล ควรมีตัวชี้วัดหลักที่ใช้ในการกำหนดเป้าหมายการดำเนินการของคณะกรรมการฯ รวมถึงมีการเปิดเผยหลักเกณฑ์และวิธีการในการกำหนดส่วนลดให้กับตัวแทนจำหน่าย และการดำเนินงานด้านต่าง ๆ ของสำนักงานสลากฯ เพื่อความโปร่งใสตรวจสอบได้ ๑.๓ การจัดสรรเงินที่คืนสู่สังคมควรจัดสรรให้กับชุมชนซึ่งเป็นพื้นที่จุดจำหน่ายเพื่อเป็นกองทุนรณรงค์ต่อต้านการเล่นการพนัน โดยเฉพาะป้องกันไม่ให้เด็กและเยาวชนเข้าไปเกี่ยวข้องกับการบริโภคสลากฯ ๑.๔ สำนักงานสลากฯ จะต้องออกมาตรการในการห้ามจำหน่ายสลากฯ ให้กับเด็กและเยาวชน และควรมีหลักประกันว่าไม่สามารถจำหน่ายให้กับเด็กและเยาวชนได้อย่างจริงจัง รวมทั้งกำหนดบทลงโทษตัวแทนผู้จำหน่ายให้ชัดเจนว่า หากมีการจำหน่ายสลากฯ ให้กับเด็กและเยาวชนจะมีผลอย่างไร ตลอดจนการติดตั้งเครื่องจำหน่ายสลากฯ ในที่ชุมชน จุดจำหน่ายต้องไม่อยู่ใกล้วัดและโรงเรียน ๑.๕ สำนักงานสลากฯ ต้องกำหนดเป็นมาตรการอย่างเคร่งครัดว่าการจำหน่ายสลากฯ ด้วยเครื่องจำหน่ายอัตโนมัติจะไม่นำเครือข่ายการจำหน่ายนี้ไปขยายสินค้าการพนันในรูปแบบสลากฯ อื่น ๆ ๑.๖ สำนักงานสลากฯ ต้องวางมาตรการในการตรวจสอบป้องกันไม่ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรม โดยเฉพาะผู้ที่เกี่ยวข้องกับขบวนการค้ายาเสพติดเข้ามาเป็นตัวแทนจำหน่ายสลากฯ อาจจะเป็นช่องทางในการนำเงินที่ได้จากการกระทำผิดไปฟอกเป็นเงินที่ถูกต้องตามกฎหมายได้ ๑.๗ รายได้จากการจำหน่ายสลากฯ ๓ ตัว ๒ ตัว ด้วยเครื่องจำหน่ายอัตโนมัติที่เป็นส่วนของค่าใช้จ่ายในการดำเนินการร้อยละ ๑๒ และเมื่อหลังหักส่วนลดให้ตัวแทนจำหน่ายแล้ว ควรมีการวางเป้าหมายในการนำเงินรายได้สุทธิในส่วนนี้ไปใช้ประโยชน์สาธารณะให้ชัดเจน ๒. ให้สำนักงานสลากฯ รับความเห็นและข้อเสนอแนะจากสำนักงาน ป.ป.ช. คณะกรรมการกลั่นกรองฯ และหน่วยงานที่ให้ความเห็น ไปประกอบการศึกษาการนำเครื่องจำหน่ายสลากมาใช้ในการจำหน่ายสลากฯ (On-Line) ด้วยว่า การนำเครื่องจำหน่ายอัตโนมัติมาใช้แทนการจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาล ไม่สามารถนำมาใช้แทนการจำหน่ายสลากพิเศษการกุศลได้ เนื่องจากสลากพิเศษการกุศล รวมทั้งสลาก ๒ ตัว และ ๓ ตัวไม่ได้อยู่ภายใต้พระราชบัญญัติสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล พ.ศ. ๒๕๑๗ อย่างไรก็ตาม เพื่อให้สำนักงานสลากฯ นำเครื่องจำหน่ายสลากฯ มาใช้จำหน่ายสลากพิเศษการกุศล หรือสลาก ๒ ตัว และ ๓ ตัวได้ จำเป็นจะต้องมีการแก้ไขพระราชบัญญัติสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล พ.ศ. ๒๕๑๗ ให้ครอบคลุมไปถึงการออกสลากการกุศล และสลาก ๒ ตัว และ ๓ ตัวด้วย นอกจากนี้ การออกสลากการกุศลท้ายพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. ๒๔๗๘ ยังมีประเด็นปัญหาข้อกฎหมายที่ไม่อาจดำเนินการออกสลากด้วยเครื่องจำหน่ายสลากแบบ ๖ หลักได้ โดยเฉพาะประเด็นเรื่องการออกใบอนุญาต และการจัดเก็บภาษี รวมถึงอัตราโทษในการขายสลากเกินราคาที่แตกต่างกัน การดำเนินการจำหน่ายสลากด้วยเครื่องจึงมีเฉพาะการออกสลากกินแบ่งรัฐบาลตามพระราชบัญญัติสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล พ.ศ. ๒๕๑๗ เท่านั้น |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
905 | การเลื่อนกำหนดการยกเลิกน้ำมันเบนซิน 91 | พน | 09/10/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้เลื่อนกำหนดการยกเลิกน้ำมันเบนซิน ๙๑ ออกไปอีก ๓ เดือน จากวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ ไปเป็นวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ ตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๕๕ (ครั้งที่ ๑๔๓) เมื่อวันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๕๕ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
906 | ขอความเห็นชอบให้การประปาส่วนภูมิภาค ปรับปรุงสภาพการจ้างเกี่ยวกับการเงิน | มท | 18/09/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการแรงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ในการประชุมครั้งที่ ๖/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) ปรับปรุงสภาพการจ้างที่เกี่ยวกับการเงิน ดังนี้ ๑.๑ การจ่ายเงินสวัสดิการค่าน้ำประปาให้พนักงานทุกคนในอัตราเดือนละ ๓๐๐ บาท ๑.๒ การปรับเพิ่มสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลกรณีพนักงานเบิกค่ารักษาพยาบาลในสถานพยาบาลเอกชน (ประเภทผู้ป่วยใน) กำหนดให้เบิกได้เท่าที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน ๑๘,๐๐๐ บาท สำหรับการรักษาพยาบาลภายในระยะเวลาไม่เกิน ๓๐ วัน นับแต่วันเข้ารับการรักษาพยาบาล ส่วนที่เกิน ๓๐ วัน ให้เบิกได้ครึ่งหนึ่งของจำนวนเงินที่จ่ายจริงแต่ไม่เกินวันละ ๖๐๐ บาท ๒. ส่วนวงเงินสวัสดิการที่เพิ่มขึ้นปีละประมาณ ๒๕.๘๘ ล้านบาท ให้ใช้จ่ายจากเงินรายได้ของ กปภ. ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กปภ. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการควบคุมหรือประหยัดค่าใช้จ่ายอื่นที่ไม่จำเป็น เพื่อไม่ให้ค่าใช้จ่ายรวมเพิ่มสูงขึ้นมาก จนส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของ กปภ. ในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
907 | แผนปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 | พม | 18/09/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ที่มีมติเห็นชอบแผนปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ และเพื่อให้ประชากรเป้าหมายเข้าถึงหลักประกันด้านการป้องกันและการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ ประกอบด้วยมาตรการในด้านต่าง ๆ ได้แก่ ด้านการป้องกัน ด้านการดำเนินคดี ด้านการคุ้มครองช่วยเหลือ ด้านการพัฒนากลไกเชิงนโยบาย และด้านการพัฒนาและบริหารข้อมูล โดยการดำเนินโครงการ ๗ โครงการ วงเงินทั้งสิ้น ๑๕๒,๙๖๑,๗๗๒ บาท ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ โครงการป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ในรูปแบบแรงงาน มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจและคุ้มครองแรงงาน งบประมาณดำเนินการ ๑๗,๓๓๒,๘๕๐ บาท ๑.๒ โครงการเสริมสร้างศักยภาพการบังคับใช้กฎหมาย มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างทัศนคติและความเชี่ยวชาญในการดำเนินคดี และเพื่อพัฒนาศักยภาพพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. ๒๕๕๑ งบประมาณดำเนินการ ๑๑,๓๑๖,๔๐๐ บาท ๑.๓ โครงการพัฒนาประสิทธิภาพในการสืบสวนสอบสวน ขยายผล ปราบปรามและจับกุมขบวนการค้ามนุษย์ มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานสืบสวนและปราบปรามความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ งบประมาณดำเนินการ ๓๕,๙๓๒,๙๒๒ บาท ๑.๔ โครงการพัฒนาการคุ้มครองและส่งกลับ มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดบริการทางสังคมให้กับผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ และเพื่อเสริมสร้างความร่วมมือผู้เสียหายในการดำเนินคดี รวมทั้งเพื่อพัฒนากระบวนการส่งกลับ งบประมาณดำเนินการ ๑๘,๔๘๑,๗๐๐ บาท ๑.๕ โครงการเสริมสร้างเครือข่ายเฝ้าระวังการค้าทุกรูปแบบ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ และเพื่อสร้างหลักประกันการเข้าถึงความปลอดภัยจากการค้ามนุษย์ งบประมาณดำเนินการ ๕๗,๐๖๙,๙๐๐ บาท ๑.๖ โครงการพัฒนานโยบายการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมกระบวนการพัฒนานโยบายเชิงรุก สนับสนุนการศึกษาและวิจัยต่อต้านการค้ามนุษย์ งบประมาณดำเนินการ ๕,๗๐๐,๐๐๐ บาท ๑.๗ โครงการพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ มีวัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลการปราบปรามการดำเนินคดีการค้ามนุษย์ และการคุ้มครองผู้เสียหาย รวมทั้งเพื่อติดตามสถานการณ์ป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ งบประมาณดำเนินการ ๗,๑๒๘,๐๐๐ บาท ๒. ส่วนงบประมาณสำหรับดำเนินการตามแผนปฏิบัติการฯ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้จ่ายงบประมาณที่ได้รับการจัดสรร โดยคำนึงถึงความสอดคล้องกับแผนดังกล่าว ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์รับข้อเสนอของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นางนลินี ทวีสิน) เกี่ยวกับการดำเนินการแผนปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ เห็นควรบูรณาการการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการฯ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มีความเป็นเอกภาพ รวมทั้งควรจัดให้มีการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับแผนปฏิบัติการฯ ให้ประชาชนรับทราบด้วย และควรให้กองทุนพัฒนาบทบาทสตรีเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการฯ ดังกล่าว ในส่วนของโครงการเสริมสร้างเครือข่ายเฝ้าระวังการค้ามนุษย์ทุกรูปแบบด้วย รวมทั้งความเห็นของกระทรวงกลาโหม กระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับกิจกรรมตรวจสอบสภาพการจ้างและการทำงาน โดยเฉพาะแรงงานต่างด้าวในเรือประมง ที่ควรดำเนินการควบคู่ไปกับการแก้ไขปัญหาแรงงานภาคประมงทะเล การพิสูจน์สถานภาพของแรงงานต่างด้าว การพัฒนาระบบฐานข้อมูลแรงงานต่างด้าว การกำหนดมาตรฐานสภาพการจ้าง/การทำงานในเรือประมงให้มีความชัดเจน รวมทั้งการอบรมให้ความรู้แก่เจ้าหน้าที่ทหารเรือในฐานะพนักงานตรวจแรงงาน การบริหารจัดการเพื่อการนำไปสู่การบรูณาการร่วมกัน โดยเฉพาะในกิจกรรมที่มีหน่วยงานรับผิดชอบหลายหน่วยงาน การระบุเกี่ยวกับเหยื่อการค้ามนุษย์ในคนต่างชาติที่ถูกหลอกมาเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์กับกรณีคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองเพื่อมาทำงานในประเทศไทยต้องมีหลักเกณฑ์การแยกให้ชัดเจน การจัดทำฐานข้อมูลผู้ที่เป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ โดยให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นเจ้าภาพหลักในการกำหนดรายละเอียดของข้อมูลว่าต้องการข้อมูลประเภทใด จากหน่วยงานใด เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วนและครอบคลุมทุกมิติ การสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการตรวจ รักษาพยาบาล ผู้ที่เป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ในกรณีที่เป็นคนต่างชาติ สำหรับโรงพยาบาลนอกสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ควรมีแนวทางในการสนับสนุนงบประมาณที่ชัดเจน รวมทั้งการเร่งดำเนินการติดตามและประเมินผลแผนปฏิบัติการฯ เพื่อประโยชน์ในการปรับปรุงวิธีการบริหารการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์จากทุกภาคส่วน และการเชื่อมโยงงบประมาณของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ กับปี พ.ศ. ๒๕๕๖ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
908 | โครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต 2555/56 และการขอขยายปริมาณ และกรอบการใช้เงินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี 2555 | พณ | 18/09/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามมติคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ที่อนุโลมให้เกษตรกรที่เก็บเกี่ยวข้าวในช่วงเดือนมิถุนายน - ตุลาคม ๒๕๕๕ เข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี ๒๕๕๕ รอบ ๒ ได้อีก ๑ ครั้ง ๒. อนุมัติการขยายปริมาณและกรอบการใช้เงินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี ๒๕๕๕ จากเดิมที่กำหนดเป้าหมายไว้ จำนวน ๑๑.๑๑ ล้านตัน เพิ่มเติมอีก จำนวน ๒.๒๐ ล้านตัน รวมเป็นปริมาณ ๑๓.๓๑ ล้านตัน และเห็นชอบให้ใช้วงเงินที่กระทรวงการคลังเห็นชอบวงเงินค้ำประกันให้ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร จำนวน ๒๖๙,๑๖๐ ล้านบาท นำมาใช้ในปริมาณที่เพิ่มเติมดังกล่าว รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (ต้นทุนเงินและค่าบริหารโครงการ) ให้ใช้หลักเกณฑ์เช่นเดียวกับโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ ๓. ส่วนการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๕/๕๖ ให้กระทรวงพาณิชย์รับไปพิจารณาดำเนินการร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อตรวจสอบปริมาณข้าวเปลือกนาปรังและข้าวเปลือกนาปีที่รับจำนำไว้เดิมและที่ระบายออกไปแล้ว ปริมาณเป้าหมายที่จะรับจำนำใหม่ในปีการผลิต ๒๕๕๕/๕๖ รวมทั้งแนวทางการบริหารจัดการที่ครอบคลุมถึงการรับจำนำ การเก็บรักษา การระบาย ตลอดจนวงเงินสินเชื่อ และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง แล้วให้นำเสนอ กขช. พิจารณาก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วนต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
909 | แผนปฏิบัติการตามแผนแม่บทการบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเมืองพัทยาและพื้นที่เชื่อมโยง | นร. | 18/09/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๑๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๕๕ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ โดยคณะกรรมการกลั่นกรองฯ มีมติ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบแผนปฏิบัติการตามแผนแม่บทการบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเมืองพัทยาและพื้นที่เชื่อมโยง ตามที่องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อพท.) เสนอ โดยสาระสำคัญของแผนปฏิบัติการฯ ประกอบด้วย ๑.๑.๑ วิสัยทัศน์ พัทยา : เมืองน่าอยู่ น่าท่องเที่ยวระดับโลก ด้วยภาพลักษณ์ใหม่เมืองแห่งนวัตกรรมสีเขียว (New Pattaya : The World Class Greenovative Tourism City) ๑.๑.๒ เป้าหมายการพัฒนา ได้แก่ พื้นที่พิเศษเมืองพัทยาและพื้นที่เชื่อมโยงมีแหล่งท่องเที่ยวและบริการท่องเที่ยวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม นักท่องเที่ยวคุณภาพมาท่องเที่ยวเมืองพัทยาและพื้นที่เชื่อมโยงเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งชุมชนและผู้ประกอบการในพื้นที่ได้รับประโยชน์ทั้งในด้านเศรษฐกิจคุณภาพชีวิตและสภาพสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน ๑.๑.๓ ยุทธศาสตร์การพัฒนา ได้แก่ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ พัฒนาสภาพแวดล้อมสะอาด ความปลอดภัย และภูมิทัศน์สีเขียว ยุทธศาสตร์ที่ ๒ พัฒนาแหล่งท่องเที่ยวและกิจกรรมท่องเที่ยวที่จะเป็น Green Landmark ของพื้นที่พัทยาและพื้นที่เชื่อมโยง ยุทธศาสตร์ที่ ๓ ส่งเสริมกิจกรรมท่องเที่ยวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิตชุมชน และยุทธศาสตร์ที่ ๔ พัฒนาระบบคมนาคมขนส่งและระบบสาธารณูปโภคที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ๑.๑.๔ กลุ่มพื้นที่ในการพัฒนา ได้แก่ กลุ่มที่ ๑ เมืองท่องเที่ยวชายทะเล ได้แก่ เมืองพัทยา เกาะล้าน หมู่เกาะไผ่ เทศบาลตำบลนาจอมเทียน เทศบาลตำบลบางละมุง กลุ่มที่ ๒ พื้นที่รองรับการขยายตัวของที่อยู่อาศัยและการลงทุน ได้แก่ เทศบาลเมืองหนองปรือ เทศบาลตำบลตะเคียนเตี้ย เทศบาลตำบลโป่ง และกลุ่มที่ ๓ พื้นที่สีเขียว ท่องเที่ยวธรรมชาติ ศิลปวัฒนธรรม ได้แก่ เทศบาลตำบลห้วยใหญ่ องค์การบริหารส่วนตำบลหนองปลาไหล องค์การบริหารส่วนตำบลเขาไม้แก้ว และเทศบาลตำบลเขาชีจรรย์ ๑.๑.๕ งบประมาณดำเนินการตามแผนงาน/โครงการตามแผนปฏิบัติการฯ ระยะ ๘ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๖๒) มีโครงการพัฒนา จำนวน ๗๖ โครงการ วงเงิน ๙,๒๒๙.๔๖๕ ล้านบาท แบ่งเป็นเมืองพัทยา ๑๙ โครงการ วงเงิน ๖,๗๒๐.๕๑๗ ล้านบาท พื้นที่เชื่อมโยงทั้ง ๙ แห่ง จำนวน ๔๐ โครงการ วงเงิน ๑,๔๕๑.๗๔๘ ล้านบาท หน่วยงานส่วนกลาง จำนวน ๑๖ โครงการ วงเงิน ๑,๐๒๗.๒ ล้านบาท และ อพท. จำนวน ๑ โครงการ วงเงิน ๓๐.๐ ล้านบาท ๑.๒ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามแผนปฏิบัติการฯ ดำเนินการขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปีตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ กรณีขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปีจากคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (กกถ.) ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ หากโครงการใดไม่ได้รับการพิจารณาสนับสนุนงบประมาณและจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการโดยรวม เห็นควรให้หน่วยงานส่วนกลางที่มีภารกิจรับผิดชอบโดยตรงพิจารณาเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปีเพื่อดำเนินโครงการดังกล่าวแทน ๒. ให้ อพท. กำกับ ติดตาม และเร่งรัดการดำเนินการให้เป็นไปตามแผนปฏิบัติการฯ โดยร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาจัดลำดับความสำคัญและความจำเป็นเหมาะสมของโครงการในภาพรวมเป็น ๓ ระดับ (tier) คือ เป็นโครงการเพื่อตอบสนองความจำเป็นพื้นฐาน เพื่อแก้ไขปัญหาและลดความเหลื่อมล้ำของประชาชน เป็นโครงการเฉพาะของท้องถิ่นหรือของจังหวัดที่ส่งผลตอบแทนในเชิงเศรษฐกิจ และเป็นโครงการเพื่อตอบสนองนโยบายรัฐบาลในระยะยาว โดยครอบคลุมถึงการพัฒนาการท่องเที่ยวในแต่ละพื้นที่ ๓. สำหรับโครงการใดหากไม่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินการ ให้ อพท. ประสานงานกับ กกถ. เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
910 | กรอบเจรจาภายใต้ร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับสำนักเลขาธิการอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (CITES) เกี่ยวกับการประชุมสมัยสามัญภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ครั้งที่ 16 และการประชุมคณะกรรมาธิการบริหาร ครั้งที่ 63 และครั้งที่ 64 | ทส | 11/09/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี (คณะที่ ๑) (ฝ่ายความมั่นคงและโครงสร้างพื้นฐาน)
ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) เป็นประธานกรรมการ ในการประชุมครั้งที่ ๘/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๕๕ โดยคณะกรรมการกลั่นกรองฯ มีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบกรอบการเจรจาภายใต้ร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับสำนักเลขาธิการอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (CITES) เกี่ยวกับการประชุมสมัยสามัญภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ครั้งที่ ๑๖ และการประชุมคณะกรรมาธิการบริหาร ครั้งที่ ๖๓ และครั้งที่ ๖๔ ซึ่งกำหนดให้มีขึ้นในระหว่างวันที่ ๒-๑๕ มีนาคม ๒๕๕๖ ณ กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย เพื่อขอความเห็นชอบต่อรัฐสภาต่อไป โดยสาระสำคัญของกรอบเจรจาฯ ได้แก่ ๑.๑ การจัดการประชุมสมัยภาคีอนุสัญญาครั้งที่ ๑๖ และข้อปฏิบัติด้านการเงิน ๑.๑.๑ รัฐบาลไทยต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการจัดหาและจัดเตรียมสถานที่ พร้อมวัสดุอุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวก การรักษาความปลอดภัย และการจัดหาเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นสนับสนุนการจัดประชุม ๑.๑.๒ รัฐบาลไทยต้องจัดหาค่าใช้จ่ายในการจัดประชุมเป็นส่วนต่างระหว่างการดำเนินการจัดประชุมที่กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย กับการดำเนินการจัดประชุมที่สำนักเลขาธิการอนุสัญญาฯ ในสวิตเซอร์แลนด์ ๑.๑.๓ รัฐบาลไทยรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการขนย้ายและประกันภัยเครื่องมือและอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จำเป็นสำหรับการประชุม ๑.๑.๔ สำนักเลขาธิการอนุสัญญาฯ จะส่งรายละเอียดบัญชีค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงภายใน ๑๘๐ วัน หลังการประชุม และจะส่งเงินส่วนที่เหลือคืนให้กับรัฐบาลไทย ถ้าเกินกว่าที่ชำระไว้รัฐบาลไทยต้องชำระเพิ่ม ๑.๒ เอกสิทธิ์และความคุ้มกัน ๑.๒.๑ รัฐบาลไทยจะต้องดำเนินการเพื่อให้ความคุ้มกันจากกระบวนการทางกฎหมายที่เกี่ยวกับคำพูดหรือข้อเขียนและการกระทำต่าง ๆ ในระหว่างการประชุมให้แก่ ผู้แทนของรัฐภาคีอนุสัญญาฯ ผู้สังเกตการณ์ขององค์การสหประชาชาติ ผู้สังเกตการณ์จากหน่วยงานหรือองค์กรที่มีคุณสมบัติเชี่ยวชาญเฉพาะทางในด้านการคุ้มครอง การอนุรักษ์ หรือการจัดการเกี่ยวกับสัตว์ป่าหรือพืชป่า และคณะเจ้าหน้าที่ของสำนักเลขาธิการอนุสัญญาฯ และคณะเจ้าหน้าที่ที่รัฐบาลไทยจัดหาให้สำนักเลขาธิการอนุสัญญาฯ ๑.๒.๒ รัฐบาลไทยจะต้องดำเนินการเพื่อกำหนดให้สถานที่และอาณาบริเวณสำหรับการจัดประชุม ในระหว่างการประชุมจะต้องละเมิดมิได้ ๑.๒.๓ รัฐบาลไทยจะให้เอกสิทธิ์บางประการแก่ผู้เข้าร่วมประชุม เช่น การอำนวยความสะดวกเกี่ยวกับวีซ่า การยกเว้นภาษีสำหรับการนำเข้าเอกสาร เป็นต้น ๑.๓ ความรับผิดชอบต่อความเสียหาย ๑.๓.๑ รัฐบาลไทยจะต้องรับผิดชอบต่อการปฏิบัติใด ๆ การเรียกร้อง หรือความต้องการอื่น ๆ ที่ต่อต้านสำนักเลขาธิการอนุสัญญาฯ หรือเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานที่อาจเกิดความบาดเจ็บต่อร่างกาย และ/หรือความเสียหายหรือความสูญเสียซึ่งทรัพย์สินในสถานที่จัดการประชุม ที่มีสาเหตุหรือเกิดขึ้นในการใช้บริการคมนาคมที่รัฐบาลไทยจัดให้ และการจ้างบุคลากรสำหรับการประชุมฯ ของรัฐบาลไทย ๑.๓.๒ รัฐบาลไทยสามารถใช้มาตรการใด ๆ ตามสมควรในการป้องกันภัยที่อาจเกิดกับสถานที่ประชุม บุคคล และทรัพย์สินภายในสถานที่จัดประชุม ๑.๓.๓ รัฐบาลไทยจะต้องจ่ายค่าชดเชยและป้องกันภัยให้สำนักงานเลขาธิการอนุสัญญาฯ และเจ้าหน้าที่ในส่วนที่เกี่ยวกับการปฏิบัติ การเรียกร้องหรือความต้องการใด ๆ ยกเว้นการปฏิบัติและข้อเรียกร้องดังกล่าวเกิดจากความเพิกเฉยหรือความจงใจของเจ้าหน้าที่สำนักเลขาธิการฯ ที่เข้าประชุม ๑.๓.๔ แต่ละฝ่ายสงวนสิทธิ์สำหรับเหตุสุดวิสัยที่เกิดขึ้น เช่น ความปลอดภัย ความสงบเรียบร้อยของประชาชน หรือการสาธารณสุข ๑.๓.๕ ข้อพิพาทใด ๆ ระหว่างสำนักเลขาธิการอนุสัญญาฯ และรัฐบาลไทย ให้พิจารณาตามกฎอนุญาโตตุลาการ UNCITRAL ๑.๓.๖ ความตกลงและภาคผนวกทั้งหมดที่จะลงนามจะมีผลนับตั้งแต่วันที่รัฐบาลไทยแจ้งสำนักเลขาธิการอนุสัญญาฯ ทราบว่าได้เสร็จสิ้นกระบวนการตามกฎหมายภายในประเทศเพื่อให้มีผลบังคับใช้แล้ว ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับไปดำเนินการยกร่างพระราชบัญญัติเพื่อให้เอกสิทธิ์และความคุ้มกัน เนื่องจากในการประชุมสมัยสามัญภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ครั้งที่ ๑๖ และการประชุมคณะกรรมาธิการบริหาร ครั้งที่ ๖๓ และครั้งที่ ๖๔ ไม่เป็นการประชุมของ UNEP (United Nations Environmental Programme) จึงไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานของสหประชาชาติและทบวงการชำนัญพิเศษในประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๐๔ ตามความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
911 | ขอรับการสนับสนุนเงินชดเชยพิเศษให้กับกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกอ้อยเพื่อผลิตเอทานอล จังหวัดตาก | มท | 11/09/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๑๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๕๕ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ โดยคณะกรรมการกลั่นกรองฯ มีมติ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลความก้าวหน้าการดำเนินการแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนสารแคดเมียมในพื้นที่ลุ่มน้ำแม่ตาว จังหวัดตาก และการดำเนินงานตามแผนบูรณาการงานพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำแม่ตาว พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๕๗ ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรองรับการปรับเปลี่ยนระบบการเพาะปลูกพืชอาหารจากข้าวเป็นการปลูกอ้อยเพื่อนำไปผลิตเอทานอล ซึ่งเป็นการตัดห่วงโซ่อาหารในพื้นที่ปนเปื้อนสารแคดเมียมอย่างยั่งยืน และให้คณะกรรมการจัดทำแผนพัฒนาการทำเกษตรกรรมในพื้นที่ที่มีการปนเปื้อนสารแคดเมียมที่เหมาะสมพิจารณาปรับปรุงยุทธศาสตร์และแนวทางการใช้ประโยชน์ที่ดิน พร้อมศึกษาความเป็นไปได้ในการเวนคืนพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบในแต่ละระดับความเข้มข้นของสารแคดเมียม โดยให้นำเสนอคณะกรรมการกลั่นกรองฯ พิจารณาภายใน ๓ เดือน ๑.๒ ให้กระทรวงพลังงาน โดยกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานพิจารณาหาแนวทางการชดเชยให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกอ้อยในพื้นที่โครงการพัฒนาลุ่มน้ำแม่ตาวภายใต้ขอบเขตที่กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสามารถดำเนินการได้ โดยอ้างอิงการคำนวณเช่นเดียวกับมันสำปะหลังซึ่งนำไปผลิตเป็นเอทานอล พร้อมระบุหน่วยงานและสัดส่วนงบประมาณที่แต่ละหน่วยงานต้องรับผิดชอบในการจ่ายเงินชดเชยดังกล่าวเสนอต่อคณะกรรมการกลั่นกรองฯ พิจารณาภายใน ๒ สัปดาห์ ๑.๓ ให้จัดตั้งคณะทำงานเพื่อกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการปนเปื้อนสารแคดเมียมในลุ่มน้ำแม่ตาว จังหวัดตาก อย่างยั่งยืนต่อไป ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของนายกรัฐมนตรีที่เห็นควรกำหนดแผนระยะยาวและเร่งทำความเข้าใจกับเกษตรกรผู้ปลูกอ้อยเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ในการให้ความช่วยเหลือทั้งในเรื่องขอบเขตพื้นที่ที่จะได้รับการสนับสนุน รวมถึงวิธีการหรือเงื่อนไขในการให้ความช่วยเหลือ ไปดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
912 | การปรับปรุงสวัสดิการค่ารักษาพยาบาล ประเภทค่าธรรมเนียมการแพทย์หรือเรียกชื่ออย่างอื่นให้พนักงานสำนักงานธนานุเคราะห์ คู่สมรส และบุตร | พม | 04/09/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ในการประชุมเมื่อวันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๕๕ ที่เห็นชอบให้สำนักงานธนานุเคราะห์ปรับปรุงสวัสดิการเกี่ยวกับการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลของพนักงานสำนักงานธนานุเคราะห์ให้มีสิทธิการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาล ประเภทค่าธรรมเนียมการแพทย์ หรือที่เรียกชื่ออย่างอื่นได้เฉพาะตัวพนักงาน คู่สมรส และบุตร กรณีเข้ารับการรักษาพยาบาลในสถานพยาบาลของทางราชการนอกเวลาราชการประเภทผู้ป่วยนอกเท่าที่จ่ายจริงครั้งละไม่เกิน ๓๐๐ บาท รวมปีละไม่เกิน ๓,๖๐๐ บาท ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
913 | รายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการพิจารณาคัดเลือกเอกชนร่วมงานหรือดำเนินโครงการทางพิเศษสายศรีรัช - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครตามมาตรา 13 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 | คค | 04/09/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๑๐/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๕๕ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ โดยคณะกรรมการกลั่นกรองฯ มีมติ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุมหารือระหว่างกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ในประเด็นความคุ้มค่าระหว่างการให้เอกชนหรือภาครัฐเข้าลงทุนในโครงการทางพิเศษสายศรีรัช - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีต้นทุนทางการเงินและภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนผู้ให้บริการในระยะยาว ความเหมาะสมของการปรับเพิ่มกรอบวงเงินค่าก่อสร้าง และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ความถูกต้องของการประมาณการปริมาณจราจรและผลกระทบจากการปรับเพิ่มอัตราค่าผ่านทางตลอดอายุสัญญา ความเหมาะสมของการกำหนดเส้นทางที่มีลักษณะเป็นการแข่งขันตามสัญญาโครงการฯ การกำหนดให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) เป็นผู้รับภาระค่าภาษีโรงเรือน รวมทั้งความสามารถของ กทพ. ในการส่งมอบพื้นที่ก่อสร้างให้แก่เอกชนตามสัญญาก่อสร้างโครงการฯ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๑.๒ เห็นชอบผลการคัดเลือกเอกชนร่วมงานหรือดำเนินโครงการฯ ที่เสนอให้บริษัททางด่วนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เป็นเอกชนร่วมลงทุนโครงการฯ และรับทราบเงื่อนไขของสัญญาตามผลการเจรจาต่อรองของคณะกรรมการ ตามมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ เนื่องจาก กทพ. ได้ดำเนินการตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ แล้ว โดยให้รับประเด็นข้อสังเกตของคณะกรรมการกลั่นกรองฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่เห็นควรพิจารณารายละเอียดของการคำนวณกรอบวงเงินใหม่ ตามมาตรา ๖ ของโครงการฯ ให้รอบคอบ เนื่องจากการลงทุนโดยรวมมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างมาก การทำสัญญาร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชนในอนาคตจะต้องไม่กำหนดเงื่อนไขที่ให้สิทธิพิเศษกับเอกชนรายใดรายหนึ่ง เพื่อสร้างความเป็นธรรมในการแข่งขัน และให้มีกลไกติดตามเพื่อให้การส่งมอบพื้นที่เป็นไปตามกำหนดสัญญา รวมถึงการบริหารจัดการสัญญาให้มีความชัดเจนและยุติธรรมทั้งแก่ภาครัฐและเอกชน เพื่อป้องกันปัญหาข้อพิพาทในอนาคต นอกจากนี้ เห็นควรให้กระทรวงคมนาคมเป็นเจ้าภาพหลักในการประสานการขอใช้พื้นที่ก่อสร้างโครงการฯ กับหน่วยงานเจ้าของพื้นที่ ได้แก่ การรถไฟแห่งประเทศไทย กรุงเทพมหานคร และกรมทางหลวงชนบท เพื่อให้ กทพ. สามารถส่งมอบพื้นที่โครงการฯ ให้แก่เอกชนได้ตามสัญญา รวมทั้งให้ กทพ. และบริษัท ทางด่วนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ให้ความสำคัญกับการประชาสัมพันธ์เรื่องการกำหนดอัตราค่าผ่านทางและการปรับค่าผ่านทางที่ระบุไว้ในสัญญา เพื่อสร้างความเข้าใจและยอมรับแก่ประชาชนผู้ใช้บริการ ไปดำเนินการอย่างเคร่งครัด ๑.๓ ให้ฝ่ายเลขานุการฯ ประสานสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อติดตามผลการตรวจร่างสัญญาการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินโครงการฯ ของสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อนำร่างสัญญาที่ผ่านการพิจารณาของสำนักงานอัยการสูงสุดแล้วนั้นเสนอพร้อมกับรายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการพิจารณาคัดเลือกเอกชนร่วมงานหรือดำเนินโครงการฯ ตามมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ เพื่อให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบในคราวเดียวกัน ๑.๔ ให้กระทรวงคมนาคมเป็นหน่วยงานหลักในการประสานการขอใช้พื้นที่ก่อสร้างโครงการฯ กับหน่วยงานเจ้าของพื้นที่เพื่อให้ กทพ. สามารถส่งมอบพื้นที่โครงการให้แก่เอกชนได้ตามสัญญา เพื่อให้การดำเนินโครงการฯ เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ต่อไป ๒. เห็นชอบในหลักการร่างสัญญาสัมปทานการลงทุนออกแบบก่อสร้าง บริหารจัดการให้บริการและบำรุงรักษา โครงการทางพิเศษสายศรีรัช - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร ที่สำนักงานอัยการสูงสุดได้ตรวจพิจารณาและพิมพ์ยกร่างขึ้นใหม่ และผนวกแนบท้ายสัญญา รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงานอัยการสูงสุด ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้กระทรวงคมนาคม โดย กทพ. รับไปประสานงานกับสำนักงานอัยการสูงสุดอย่างเคร่งครัด โดยให้คำนึงถึงประโยชน์ของรัฐและประโยชน์สาธารณะ แล้วดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป และรายงานผลให้คณะรัฐมนตรีทราบด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
914 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพื่อจ่ายเป็นเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวแก่ข้าราชการหรือพนักงานส่วนท้องถิ่นและลูกจ้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | มท | 04/09/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๑๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๕๕ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ โดยคณะกรรมการกลั่นกรองฯ มีมติเห็นชอบในหลักการการปรับเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวของข้าราชการหรือพนักงานส่วนท้องถิ่นและลูกจ้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลในการช่วยเหลือบุคลากรภาครัฐให้มีรายได้เพียงพอต่อการดำรงชีพตามสภาวะเศรษฐกิจที่ปรับสูงขึ้น และให้มีความเท่าเทียมกับบุคลากรภาครัฐอื่น ๆ โดยให้ยึดถือแนวปฏิบัติ ดังนี้ ๑.๑ กรณีเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวที่เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล (ปริญญาตรี ๑๕,๐๐๐ บาท และค่าแรง ๓๐๐ บาท) ให้กระทรวงมหาดไทยและคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (กกถ.) ตรวจสอบรายได้และค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรตามที่ได้จ่ายจริงของ อปท. แต่ละแห่ง หาก อปท. แห่งใดมีรายได้เพียงพอ ก็ให้ใช้จ่ายจากเงินรายได้ของ อปท. นั้น ๆ สำหรับ อปท. ใดที่มีรายได้ไม่เพียงพอ ให้ กกถ. พิจารณาทบทวนเกณฑ์การจัดสรรเงินอุดหนุนทั่วไปสำหรับดำเนินการตามอำนาจหน้าที่และภารกิจถ่ายโอน ๑.๒ กรณี อปท. มีค่าใช้จ่ายด้านเงินเดือน ค่าจ้าง และประโยชน์ตอบแทนอื่นเกินกว่าร้อยละ ๔๐ ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี ให้ กกถ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันทบทวนหลักเกณฑ์การจัดสรรภาษีและค่าธรรมเนียมรถยนต์ และเงินเพิ่มตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ ภาษีรถตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก และค่าธรรมเนียมล้อเลื่อนตามกฎหมายว่าด้วยล้อเลื่อน ที่จัดสรรให้กับองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ร้อยละ ๑๐๐ โดยลดสัดส่วนการจัดสรรรายได้ให้แก่ อบจ. ลง เพื่อนำมาจัดสรรเพิ่มให้แก่องค์การบริหารส่วนตำบลและเทศบาล ซึ่งจะช่วยแก้ไขปัญหาค่าใช้จ่ายด้านเงินเดือน ค่าจ้าง และผลประโยชน์ตอบแทนอื่นให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด ๑.๓ ให้ อปท. ดำเนินการตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการรับเงิน การเบิกจ่ายเงิน การฝากเงิน การเก็บรักษาเงิน และการตรวจเงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๗ ข้อ ๙๐ กรณีที่งบประมาณรายจ่ายประกาศใช้บังคับแล้ว หรือ อปท. มีงบประมาณไม่เพียงพอที่จะจ่ายในกรณี รับโอน เลื่อนระดับ เลื่อนขั้นเงินเดือนพนักงานส่วนท้องถิ่น การเบิกเงินให้พนักงานส่วนท้องถิ่นตามสิทธิ ตลอดจนลูกจ้างมีสิทธิได้รับเงินอื่นตามกฎหมาย ระเบียบ คำสั่ง หรือหนังสือสั่งการกระทรวงมหาดไทยในระหว่างปีงบประมาณ หรือไม่ได้ตั้งงบประมาณเพื่อการนั้นไว้ ให้ อปท. จ่ายขาดเงินสะสมได้ โดยได้รับอนุมัติจากผู้บริหารท้องถิ่นและให้ถือเป็นรายจ่ายในปีนั้น ๒. ให้ กกถ. เร่งรัดการดำเนินการทบทวนเกณฑ์การจัดสรรเงินอุดหนุนทั่วไปสำหรับดำเนินการตามอำนาจหน้าที่และภารกิจถ่ายโอนของ อปท. ที่มีรายได้ไม่เพียงพอ ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองฯ ตามข้อ ๑.๑ ต่อไป ๓. ในระยะยาวให้ กกถ. พิจารณาทบทวนหลักเกณฑ์การจัดสรรเงินอุดหนุนให้ อปท. โดยให้คำนึงถึงจำนวนประชากรและรายได้ของ อปท. แต่ละแห่งเพื่อให้ อปท. ที่มีรายได้น้อยมีงบประมาณเพียงพอสำหรับจัดทำบริการสาธารณะขั้นพื้นฐานของประชาชน เช่น การให้บริการด้านสาธารณสุข การดูแลเด็กและผู้สูงวัย เป็นต้น และให้เสนอหลักเกณฑ์ดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรีโดยด่วน |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
915 | ผลการประชุมของคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ครั้งที่ 8/2555 | วท | 28/08/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและอนุมัติงบประมาณตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ (๓๕๐,๐๐๐ ล้านบาท) วงเงิน ๗๖๙,๓๑๑,๓๗๔.๘๕ บาท ตามมติคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ในการประชุมครั้งที่ ๘/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๕๕ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประธาน กบอ. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ โครงการป้องกันน้ำท่วมของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ วงเงิน ๑๗๑,๔๗๐,๔๗๑ บาท เป็นค่าก่อสร้างกำแพงเข็มพืดคอนกรีต พนังคันดิน ประตูกั้นน้ำที่ประตูทางเข้า - ออก และถนนยกระดับบริเวณทางเข้าหลักร่วมกันของสามสถาบัน ๑.๒ โครงการประตูระบายน้ำ/สถานีสูบน้ำกึ่งถาวรปากคลองรังสิตประยูรศักดิ์ ของกรมชลประทาน วงเงิน ๓๓๔,๐๔๔,๔๐๓.๘๕ บาท ๑.๓ โครงการก่อสร้าง Siphon เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการน้ำบริเวณประตูระบายน้ำบางโฉมศรี ของกรมชลประทาน วงเงิน ๒๖๓,๗๙๖,๕๐๐ บาท ๒. สำหรับโครงการประตูระบายน้ำ/สถานีสูบน้ำกึ่งถาวรปากคลองรังสิตประยูรศักดิ์ และโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการน้ำบริเวณประตูระบายน้ำบางโฉมศรี ของกรมชลประทาน นั้น เพื่อให้การระบายน้ำเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น การก่อสร้างประตูระบายน้ำต้องพิจารณารายละเอียดในด้านเทคนิคการก่อสร้างให้เหมาะสมด้วย โดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประธาน กบอ. รับไปประสานงานในรายละเอียดกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) ให้เหมาะสมชัดเจนก่อนดำเนินการต่อไป ๓. ให้กรมชลประทานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารโครงการและการใช้จ่ายเงินกู้เพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยให้หน่วยงานเจ้าของโครงการส่งแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินกู้ต่อสำนักงบประมาณเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบและจัดสรรวงเงินกู้ตามที่ได้รับอนุมัติ และให้สำนักงบประมาณส่งข้อมูลแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินกู้ให้แก่ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เพื่อประกอบการพิจารณาจัดหาเงินกู้ รวมทั้งให้หน่วยงานเจ้าของโครงการจัดส่งประมาณการการเบิกจ่ายเงินกู้เป็นรายเดือนให้แก่ สบน. เพื่อประกอบการพิจารณาเบิกจ่าย โดย กบอ. พิจารณาวงเงินโครงการดังกล่าวรวมทั้งวงเงินโครงการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติให้ใช้เงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดฯ ที่ผ่านมาให้อยู่ภายใต้กรอบการใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ ที่คณะรัฐมนตรีนำเสนอรัฐสภา เมื่อวันที่ ๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ โดยไม่ให้เกินกรอบวงเงินกู้ของแต่ละแผนงานที่กำหนดไว้ นอกจากนี้ เห็นควรระบุหน่วยงานเจ้าของโครงการให้ชัดเจนเพื่อจัดส่งรายละเอียดแบบรูปรายการ และแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินกู้ที่สอดคล้องกับแผนงานตามกรอบการใช้จ่ายเงินกู้ฯ ที่เสนอไว้ต่อรัฐสภา สำหรับการดำเนินการโครงการก่อสร้างประตูระบายน้ำ/สถานีสูบน้ำกึ่งถาวรปากคลองรังสิตประยูรศักดิ์ต้องใช้ระยะเวลาก่อสร้างรวม ๕ เดือน ซึ่งจะแล้วเสร็จไม่ทันฤดูน้ำหลากในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ให้กรมชลประทานหามาตรการเสริมในการป้องกันผลกระทบจากปัญหาน้ำหลากท่วมพื้นที่ในช่วงดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
916 | ขออนุมัติเพิ่มกรอบอัตรากำลังพลสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน ในส่วนภูมิภาค | มท | 28/08/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการเพิ่มกรอบอัตรากำลังพลสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน จำนวน ๘๒ อัตรา เพื่อบรรจุสั่งใช้ให้แก่กองบังคับการกองอาสารักษาดินแดน จังหวัดบึงกาฬ จำนวน ๒ กองร้อย ได้แก่ กองร้อยอาสารักษาดินแดนจังหวัดบึงกาฬ จำนวน ๖๐ อัตรา และกองร้อยบังคับการและบริการจังหวัดบึงกาฬ จำนวน ๒๒ อัตรา และให้กระทรวงมหาดไทยปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ของกรมการปกครอง สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายที่จำเป็นเบื้องต้นในการบรรจุสั่งใช้กำลังพลสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน จำนวน ๘๒ อัตราดังกล่าว ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายในเดือนกันยายน ๒๕๕๕ ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๑๐/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๕๕ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
917 | สรุปรายงานการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ 36 ระหว่างวันที่ 24 มิถุนายน-6 กรกฎาคม 2555 ณ นครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก สหพันธรัฐรัสเซีย | ทส | 21/08/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ ๓๖ ระหว่างวันที่ ๒๔ มิถุนายน-๖ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ณ นครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก สหพันธรัฐรัสเซีย ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมมีมติรับรองแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมและทางธรรมชาติในบัญชีรายชื่อเบื้องต้น (Tentative List) จำนวน ๑๐๓ แห่ง ทำให้ปัจจุบันมีแหล่งมรดกอยู่ในบัญชีรายชื่อเบื้องต้น จำนวน ๑,๕๔๑ แห่ง จากรัฐภาคี จำนวน ๑๖๘ ประเทศ ๒. ที่ประชุมมีมติถอดถอนแหล่งมรดกโลกที่อยู่ในภาวะอันตราย ๒ แห่ง คือ Fort and Shalamar Gardens in Lahore (Pakistan) และ Rice Terraces of the Philippine Cordilleras (Philippines) และเพิ่มเติมบัญชีรายชื่อแหล่งมรดกโลกที่อยู่ในภาวะอันตราย ๕ แห่ง ทำให้ปัจจุบันมีมรดกโลกในภาวะอันตราย จำนวน ๓๘ แห่ง ใน ๓๐ ประเทศ แบ่งออกเป็นแหล่งมรดกโลกทางธรรมชาติในภาวะอันตราย จำนวน ๑๗ แห่ง และแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรมในภาวะอันตราย จำนวน ๒๑ แห่ง ๓. ที่ประชุมมีมติให้ขึ้นทะเบียนแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมและทางธรรมชาติเป็นแหล่งมรดกโลก จำนวน ๒๖ แห่ง ประกอบด้วย แหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรม จำนวน ๒๐ แห่ง แหล่งมรดกโลกทางธรรมชาติ จำนวน ๕ แห่ง แหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรมและธรรมชาติ (Mixed Sites) จำนวน ๑ แห่ง ทำให้ปัจจุบันมีแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรมและทางธรรมชาติ จำนวน ๙๖๒ แห่ง โดยแบ่งออกเป็นแหล่งมรดกทางวัฒนธรรม จำนวน ๗๔๕ แห่ง แหล่งมรดกทางธรรมชาติ จำนวน ๑๘๘ แห่ง และแหล่งมรดกทางธรรมชาติและวัฒนธรรม จำนวน ๒๙ แห่ง ใน ๑๕๗ ประเทศ จากรัฐภาคีอนุสัญญาฯ ทั้งหมด จำนวน ๑๘๙ ประเทศ โดยมีรัฐภาคีที่มีแหล่งมรดกขึ้นทะเบียนเป็นครั้งแรกในการประชุมฯ จำนวน ๔ ประเทศ ได้แก่ สาธารณรัฐชาด สาธารณรัฐคองโก สาธารณรัฐปาเลา และรัฐปาเลสไตน์ ๔. การขอปรับเปลี่ยนชื่อแหล่งมรดกโลก จำนวน ๔ แห่ง ได้แก่ Los Glaciares (Argentina) เป็น Los Glaciares National Park (ภาษาอังกฤษ) และ Parc national de Los Glaciares (ภาษาฝรั่งเศส), Skellig Michael (Ireland) เป็น Sceilg Mhichil (ภาษาอังกฤษ และภาษาฝรั่งเศส), Pueblo de Taos (United States of America) เป็น Taos Pueblo (ภาษาอังกฤษ และภาษาฝรั่งเศส) และ Samarkand-Crossroads of Cultures (Uzbekistan) เป็น Samarkand-Crossroad of Cultures (ภาษาอังกฤษ) ๕. ที่ประชุมมีมติรับรองรายงานแผนการอนุรักษ์แหล่งมรดกโลก จำนวน ๑๐๕ แห่ง โดยในส่วนที่เกี่ยวข้องกับราชอาณาจักรไทย คือ การรายงานสถานภาพการอนุรักษ์พื้นที่กลุ่มป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ ซึ่งที่ประชุมได้ร้องขอให้ราชอาณาจักรไทยดำเนินการจัดส่งเอกสารข้อมูลการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมของทางหลวงสาย ๓๐๔ และเขื่อนห้วยโสมง และรายงานความก้าวหน้าสถานะการอนุรักษ์พื้นที่กลุ่มป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ ถึงศูนย์มรดกโลก ภายในวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ (ค.ศ. ๒๐๑๒) ตามรูปแบบที่กำหนด ตามข้อเสนอแนะตามมติคณะกรรมการมรดกโลก โดยร่วมกับศูนย์มรดกโลก/IUCN Reactive monitoring mission (RM Mission) ในการปฏิบัติการตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ถึงเดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๗ และให้ราชอาณาจักรไทยเสนอรายงานสถานภาพการอนุรักษ์แหล่งทรัพย์สินที่เป็นปัจจุบัน และรายงานความสำเร็จในการดำเนินการตามข้อเสนอแนะในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ต่อศูนย์มรดกโลกภายในวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ เพื่อเสนอคณะกรรมการมรดกโลกในการประชุม ครั้งที่ ๓๗ ซึ่งคณะกรรมการฯ สามารถพิจารณาถึงความจำเป็นในการติดตามตรวจสอบต่อไป และความเป็นไปได้ในการขึ้นทะเบียนทรัพย์สินในภาวะอันตราย ๖. ที่ประชุมมีมติให้รัฐภาคีเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายโดยสมัครใจ (Voluntary) ของคณะผู้เชี่ยวชาญขององค์กรที่ปรึกษาในกรณีที่จะต้องเดินทางไปเพื่อให้คำแนะนำในการเตรียมการ หรือการทบทวนการเสนอขึ้นบัญชีมรดกโลก หรือกรณีที่จะต้องมีการประเมิน หรือสำรวจแหล่งมรดกโลก ตามมติคณะกรรมการ ๗. ที่ประชุมมีมติเห็นชอบในการจัดตั้งศูนย์การดำเนินงานร่วมด้านมรดกโลก (เพิ่มเติม) ในราชอาณาจักรสเปนและสาธารณรัฐอิตาลี ทำให้ปัจจุบันมีศูนย์การดำเนินงานร่วมด้านมรดกโลก จำนวนทั้งสิ้น ๑๐ แห่ง ๘. ที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้ราชอาณาจักรกัมพูชาเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ ๓๗ ระหว่างวันที่ ๑๗-๒๗ มิถุนายน ๒๕๕๖ ณ Peach Palace กรุงพนมเปญ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
918 | การกำหนดราคาอ้อยขั้นสุดท้ายและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นสุดท้ายฤดูการผลิต ปี 2553/2554 | อก | 21/08/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการกำหนดราคาอ้อยขั้นสุดท้ายและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นสุดท้ายฤดูการผลิตปี ๒๕๕๓/๒๕๕๔ ในอัตรา ๑,๐๓๙.๑๔ บาทต่อตันอ้อย ณ ระดับความหวานที่ ๑๐ ซี.ซี.เอส. และกำหนดอัตราขึ้น/ลงของราคาอ้อยเท่ากับ ๖๒.๓๕ บาท ต่อ ๑ หน่วย ซี.ซี.เอส. ต่อเมตริกตัน และผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นสุดท้าย เฉลี่ยทั่วประเทศที่ ๔๔๕.๓๕ บาทต่อตันอ้อย ตามมติคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการทบทวนหลักเกณฑ์และวิธีการการกำหนดราคาอ้อยและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทราย โดยกำหนดปัจจัยที่ใช้ในการกำหนดราคาที่ชัดเจน สอดคล้องกับข้อเท็จจริงด้านสถานการณ์อ้อยและน้ำตาลทราย และต้นทุนการผลิตอ้อยที่แท้จริงของชาวไร่อ้อยในปัจจุบัน รวมทั้งเร่งรัดการศึกษาแนวทางการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายทั้งระบบให้แล้วเสร็จ เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างของอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายได้ในระยะยาว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
919 | ผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ครั้งที่ 6/2555 | นร | 21/08/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ครั้งที่ ๖/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๕๕ และเห็นชอบมติคณะกรรมการ กยอ. ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ กยอ. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการโครงการแม่บทประเทศไทย : การจัดระบบบัญชีรายการทรัพยากรพันธุกรรมที่ทรงคุณค่าการใช้ประโยชน์ และการจัดทำระบบฐานข้อมูลเพื่อการบริหารจัดการด้านการเก็บรักษา การปกป้องคุ้มครอง และการให้บริการ โดยให้สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) (สพภ.) เสนอโครงการฯ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณาก่อนและเป็นผู้ลงนามเสนอโครงการถึงประธาน กยอ. เพื่อให้ความเห็นชอบก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารโครงการและการใช้จ่ายเงินกู้เพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ ต่อไป สำหรับงบประมาณดำเนินการ ให้เสนอคณะรัฐมนตรีอนุมัติวงเงินงบประมาณดำเนินการเฉพาะในปีแรก วงเงิน ๓๐๐.๐๔ ล้านบาท จากโครงการเพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตของประเทศ (ภายใต้กรอบวงเงิน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท) ส่วนปีถัดไปให้ขอรับการจัดสรรงบประมาณตามแผนงานปกติของหน่วยงาน โดยเพิ่มเติมรายละเอียดการดำเนินงานให้เกิดความชัดเจน โดยเฉพาะในเรื่องการบริหารจัดการระบบฐานข้อมูล วิธีการให้ได้มาซึ่งข้อมูล และระบบควบคุมการเข้าถึงฐานข้อมูล ทั้งนี้ ให้ สพภ. จัดทำรายละเอียดตามแบบฟอร์มที่กำหนดในระเบียบฯ มาพร้อมหนังสือนำส่งโครงการฯ รวมทั้งให้จัดทำแผนแม่บทประเทศไทยว่าด้วยทรัพยากรพันธุกรรม ที่เสนอภาพรวมของฐานข้อมูลทรัพยากรพันธุกรรม การนำไปใช้ประโยชน์ และการเชื่อมโยงต่อยอดผลการศึกษาวิจัย และรายงานความก้าวหน้าหรือปัญหาอุปสรรคของการดำเนินงานโครงการฯ ให้ กยอ. เพื่อทราบต่อไป ๑.๒ รับทราบและเห็นด้วยกับข้อเสนอของธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank : ADB) ในการให้ความช่วยเหลือทางวิชาการเกี่ยวกับการพัฒนาระบบรถไฟของประเทศไทย โดยให้กระทรวงคมนาคม และการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ดำเนินการตามขั้นตอนรับความช่วยเหลือทางวิชาการต่อไป โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาธุรกิจและตลาดใหม่ การขนส่งสินค้า และการพัฒนาให้สามารถรองรับรถไฟความเร็วสูง ทั้งนี้ ให้ฝ่ายเลขานุการประสานกับ ADB เพื่อรับความเห็นของ กยอ. ไปดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ๑.๓ เห็นชอบการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์และบริหารทรัพยากรน้ำ ลุ่มน้ำตะวันออก ๙ จังหวัด เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (อยอ.) ประกอบด้วย จังหวัดฉะเชิงเทรา นครนายก ปราจีนบุรี สมุทรปราการ สระแก้ว ชลบุรี จันทบุรี ตราด และระยอง โดยให้ฝ่ายเลขานุการฯ ปรับปรุงคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการฯ ตามความเห็นของที่ประชุมแล้วให้นำเสนอประธาน กยอ. พิจารณาลงนามในคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการฯ ต่อไป ๑.๔ รับทราบความคืบหน้าการดำเนินงานเพื่อฟื้นฟูนิคมอุตสาหกรรมของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) กระทรวงอุตสาหกรรม ในส่วนของการสำรวจสถานะของผู้ประกอบการในนิคม/เขต/สวนอุตสาหกรรม และการก่อสร้างเขื่อนหรือพนังกั้นน้ำ และให้ กนอ. กระทรวงอุตสาหกรรม รายงานความคืบหน้าการฟื้นฟูพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมให้ กยอ. ทราบต่อไป ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการ กยอ. ถือเป็นหลักปฏิบัติว่าในกรณีที่ กยอ. ได้พิจารณามีมติเกี่ยวกับแผนงาน/โครงการใด ๆ แล้ว ให้ฝ่ายเลขานุการ กยอ. แจ้งมติให้หน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องกับแผนงาน/โครงการนั้น ๆ พิจารณาให้ความเห็นก่อนนำเรื่องดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรีด้วย เพื่อมิให้เกิดปัญหาความซ้ำซ้อนหรือมีความเห็นแย้งในภายหลัง |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
920 | ขอความเห็นชอบปรับปรุงหลักเกณฑ์การจ่ายเงินช่วยเหลือเยียวยาประชาชนที่เสียชีวิตและทุพพลภาพจากเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ | นร | 14/08/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการการปรับปรุงหลักเกณฑ์การจ่ายเงินช่วยเหลือเยียวยาประชาชนที่เสียชีวิตและทุพพลภาพจากเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตามมติคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๕๕ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ประธานกรรมการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบสืบเนื่องจากความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้เสนอ ดังนี้ ๑.๑ กรณีประชาชนผู้เสียชีวิตสืบเนื่องจากเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เดิมได้รับการช่วยเหลือเป็นเงินจำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาท เพิ่มเป็น ๕๐๐,๐๐๐ บาท ๑.๒ กรณีประชาชนผู้ทุพพลภาพสืบเนื่องจากเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ จากเดิมได้รับการช่วยเหลือเป็นเงินจำนวน ๘๐,๐๐๐ บาท เพิ่มเป็น ๕๐๐,๐๐๐ บาท ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้ความเห็นชอบเป็นต้นไป และให้ย้อนหลังครอบคลุมผู้เสียชีวิตและทุพพลภาพ ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๔๗ เป็นต้นมา โดยส่วนที่มีผลย้อนหลังจะดำเนินการให้เสร็จสิ้นไม่ช้ากว่าปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อไม่ให้เป็นภาระด้านงบประมาณในปีหนึ่งปีใดเกินสมควร และให้นำจำนวนเงินที่ได้รับความช่วยเหลือไปแล้วมาหักออกจากจำนวนเต็มที่พึงจะได้รับด้วย ๒. ส่วนรายละเอียดงบประมาณให้ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรที่เห็นควรดำเนินการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องในเรื่องหลักเกณฑ์การช่วยเหลือเยียวยาฯ ตลอดจนระเบียบ และวิธีการขอรับการช่วยเหลือต่อประชาชนในพื้นที่ เพื่อป้องกันไม่ให้กลุ่มผู้ไม่หวังดีนำไปใช้เป็นเงื่อนไขสร้างความแตกแยกในหมู่ประชาชนด้วยกันเองหรือประชาชนกับเจ้าหน้าที่รัฐ รวมทั้งเร่งรัดเรื่องการนำคนที่กระทำผิดมาลงโทษตามกระบวนการยุติธรรมให้ได้โดยเร็วควบคู่ไปกับการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |